Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

สพฉ.เปิดสถิติ 10 อันดับอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินในเด็ก

$
0
0

13 ม.ค. 2560 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เผยแพร่สถิติข้อมูลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุของเด็กๆ อายุระหว่าง 1 -15 ปี ตลอดปี พ.ศ. 2559 พบว่า มีเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินทั้งสิ้น 156,525 คน เป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉินเกี่ยวกับกุมารเวชกรรม มากที่สุด คือ 56,101 คน อันดับ 2 คือ อุบัติเหตุยานยนต์ 36,203 คน อันดับ 3 พลัดตกหกล้ม 15,245 คน

อันดับ 4 ปวดท้อง ปวดหลัง เชิงกราน ขาหนีบ 14,113 คน อันดับ 5 ป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง 12,659 อันดับ 6 หัวใจหยุดเต้น 5,642 คน อันดับ 7 สัตว์กัด 3,141คน อันดับ 8 ชัก 2,617 คน อันดับ 9 ปวดศีรษะ ภาวะผิดปกติทางตา หู คอ จมูก 1,599 คน และ อันดับ 10 แพ้ยา แพ้อาหาร 1,579 คน

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากสถิติดังกล่าว จะพบว่าเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ อุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์ และการพลัดตกหกล้ม เพราะเมื่อประสบอุบัติเหตุแนวโน้มในการเสียชีวิตจะมีมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะร่างกายของเด็กยังอ่อนแอและบอบบาง ดังนั้นทางที่ดีผู้ปกครองควรระมัดระวังให้ดี

โดยหากผู้ปกครองจะพาบุตรหลานออกนอกบ้าน ควรดูแลเรื่องความปลอดภัย คือ หากเด็กนั่งรถยนต์ควรให้เด็กนั่งที่เบาะหลังและคาดเข็มขัดนิรภัย หรือเด็กเล็กควรนั่งคาร์ซีท จะช่วยลดความรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนเด็กที่นั่งรถจักรยานยนต์ ให้เด็กสวมหมวกนิรภัยขนาดที่เหมาะสมกับเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะได้รับการกระแทก เพราะสิ่งที่น่ากังวลสำหรับเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุคือการกระทบกระเทือนทางศีรษะ เพราะเด็กอาจเสียชีวิตได้โดยง่าย

ส่วนการพาบุตรหลานไปเล่นตามเครื่องเล่นต่างๆ หรือตามสนามเด็กเล่น ควรดูแลการพลัดตกหกล้มให้ดี ก่อนอื่นต้องดูที่ความแข็งแรงของเครื่องเล่น ไม่ชำรุดเสียหาย อุปกรณ์ทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน มีความแข็งแรง และถ้าเครื่องเล่นที่มีความสูง ต้องมีราวกันตกหรือผนังกันตก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการตก และก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง

แต่ทั้งนี้เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บ เช่น หัวกระแทกโดยตกจากที่สูง มากกว่าความสูงของเด็ก หรือกระแทกกับพื้นที่มีความแข็ง ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากมีอาการสลบ ไม่รู้สึกตัว ชัก ปวดศีรษะหรืออาเจียนมาก ก็ควรรีบไปพบแพทย์ หรือโทรแจ้งขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1669 แต่หากเด็กประสบอุบัติเหตุรุนแรงก็ไม่ควรเคลื่อนย้าย เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น ควรรอทีมผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือ

“ไม่ว่าจะวันเด็กปีไหนๆ เราก็อยากเห็นเด็กๆ ทุกคนได้ร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งความสุขมากกว่าการที่จะต้องมาเจ็บป่วย ดังนั้นผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด และสิ่งสำคัญต้องคอยสอนให้เด็กๆ สามารถดูแลตนเองได้เมื่อต้องพบเจอกับการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และจดจำสายด่วน 1669 เรียกใช้ทันทีเมื่อพบเหตุบาดเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.อนุชากล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรลงนามยื่นฎีกาคดีอภิสิทธิ์เลี่ยงเกณฑ์ทหารแล้ว

$
0
0

พล.อ.ประวิตร ลงนามยื่นฎีกา คำสั่งปลด อภิสิทธิ์ ออกจากการเป็นนายทหารสัญญาบัตร ยศประจำการยศร้อยตรี แล้ว จากกรณีเลี่ยงเกณฑ์ทหาร

ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Abhisit Vejjajiva

13 ม.ค. 2560 จากกรณีที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งรัดให้กระทรวงกลาโหมยื่นฎีกาคดี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลี่ยงเกณฑ์ทหาร ซึ่งอัยการได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาไว้ถึงวันที่ 13 ม.ค.60 นั้น

ล่าสุดวันนี้ (13 ม.ค.60) Voice TVรานงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามยื่นฎีกา คำสั่งปลด อภิสิทธิ์ ออกจากการเป็นนายทหารสัญญาบัตร ยศประจำการยศร้อยตรี แล้ว ตามการเปิดเผยของ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  

สำหรับคดีนี้ เมื่อปี 2555 พล.อ.สุกำพล รัฐมนตรีกลาโหม ในขณะนั้น ได้สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบก่อนมีคำสั่งปลด อภิสิทธิ์ ออกจากราชการ และมีคำสั่งฯให้เพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตร 

คำสั่งมีขึ้นภายหลัง ศาลแพ่งพิพากษาว่า อภิสิทธิ์ หลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตรโดยมิชอบ โดยแสดง สด.9 ซึ่งเป็นเอกสารราชการเท็จ ไปขึ้นทะเบียนทหารกองประจำการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2531 และสมัครเข้ารับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จึงเป็นการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ ผิดวินัยทหาร ในขณะอยู่ในประจำการ 
 
ต่อมา อภิสิทธิ์ ได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลวินิจฉัยและพิพากษาในข้อกฎหมายว่า เป็นการกระทำผิดปรากฏที่ทราบภายหลังนายอภิสิทธิ์ ลาออกจากราชการแล้ว และขณะที่มีคำสั่งปลด อภิสิทธิ์ เป็นนายทหารกองหนุน ไม่ได้อยู่ในประจำการ อีกทั้ง พ.ร.บ.วินัยทหาร พศ.2476 ไม่ได้ใช้บังคับกับทหารกองหนุนฯ ให้เพิกถอนคำสั่งกลาโหมดังกล่าว
 
แต่อัยการได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาไว้ และครบกำหนดวันนี้ตามศาลอนุญาต
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายผู้บริโภคจี้คมนาคมปรับมาตรฐานคุ้มครองผู้โดยสารรถตู้ วางแนวทางลดผลกระทบ

$
0
0

เครือข่ายผู้บริโภคยื่นหนังสือถึง รมว.คมนาคม ขอให้ปรับมาตรฐานสร้างความปลอดภัยโดยเฉพาะปัญหารถตู้ที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง วางมาตรการลดผลกระทบกับผู้ใช้บริการกรณียกเลิก แนะติดสัญญาณเตือนหากคนขับๆ เกินกว่าที่กำหนด

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Boonyuen Siritum

13 ม.ค. 2560สำนักข่าวไทยรายงานว่า ตัวแทนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 5 ภูมิภาค เข้ายื่นหนังสือถึง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อยื่นข้อเสนอมาตรการคุ้มครองสิทธิ์ผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะและขอให้เลิกจดทะเบียนรถตู้โดยสารใหม่ และนำเทคโนโลยีติดตั้งระบบเสียงเตือนผู้โดยสารเมื่อรถวิ่งเร็วเกินกำหนด  เปิดเผยข้อมูลจีพีเอสให้ผู้โดยสารดูข้อมูลได้ตลอดเวลา รวมทั้งมาตรการตั้งรางวัลการแจ้งเบาะแสผู้ขับขี่ที่กระทำผิดกฎหมาย รวมถึงกำหนดมาตรฐานการทำงานและรายได้ที่เหมาะสมให้พนักงานขับรถ เพื่อแก้ปัญหาวิ่งทำรอบ

ทั้งนี้  นอกจากอุบัติเหตุครั้งล่าสุดที่รถตู้เส้นทางกรุงเทพฯ-จันทบุรีเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิต 25 ราย ปัญหาดังกล่าวยังสอดคล้องกับสถิติการเกิดอุบัติเหตุของรถตู้โดยสารปี 2559 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงพฤศจิกายนที่รวบรวมโดยมูลนิธิผู้บริโภคและศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน พบว่ารถตู้โดยสารเกิดอุบัติเหตุมากถึง 215 ครั้ง  มีผู้เสียชีวิต 1,102 คน  บาดเจ็บ  103  ราย  หรือเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ย 19.5 ครั้งต่อเดือน

บุญยืน ศิริธรรม แกนนำสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค หนึ่งผู้เข้ายื่นหนังสือดังกล่าว โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Boonyuen Siritum ' ด้วยว่า  ข้อเสนอถึง กระทรวงคมนาคมวันนี้โดยสรุปคือ 1. เรื่องการยกเลิกรถตู้โดยสารมีขั้นตอนอย่างไรบ้างและจะลดผลกระทบกับผู้ใช้บริการอย่างไร คำตอบเบื้องต้นคือจะไม่จดทะเบียนรถตู้โดยสารเพิ่มและในปีนี้จะมีใบอนุญาตหมดอายุ 46 คัน ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนจากรถตู้มาเป็นมินิบัสและจะทยอยเปลี่ยนให้หมดภายใน 10 ปี

ข้อที่ 2 เรื่องการบังคับรถตู้ทุกคันต้องติด GPS ข้อเสนอของเราคือไม่ใช่แค่ติด GPS แต่ควรติดสัญลักษณ์ความเร็วของรถให้ผู้ร่วมทางเห็นด้วยคล้ายรถแท๊กซี่ของนครชัยแอร์และหากคนขับๆ เกินกว่าที่กำหนดต้องมีเสียงเตือนผู้โดยสารในรถด้วย

ข้อที่ 3 เราเสนอให้รางวัลกับคนที่แจ้งเบาะแสจะได้เป็นแรงจูงใจในการเฝ้าระวังของเพื่อนร่วมทางด้วย ข้อที่3เรื่องมาตรฐานวิชาชีพผู้ขับรถโดยสารสาธารณะให้กระทำโดยเร็วเพื่อให้อาชีพขับรถโดยสารเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้สัมภาษณ์เหยื่อให้ปากคำคดีกอรมน.ฟ้องหมิ่นฯนักสิทธิฯหลังเปิดโปงการทรมานชายแดนใต้

$
0
0

พยานบุคคลผู้สัมภาษณ์เหยื่อทรมานเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ให้ปากคำเป็นพยาน ในคดี กอรมน.ร้องทุกข์ดำเนินคดี 3 นักสิทธิฯข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีรายงานสถานการณ์การทรมานในจังหวัดชายแดนภาคใต้

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ สมชาย หอมลออ และอัญชนา หีมมิหน๊ะ 

13 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 14.00 น. ทนายความของ สมชาย หอมลออ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และอัญชนา หีมมิหน๊ะ หรือ 3 นักสิทธิมนุษยชน พร้อมพยานบุคคลและพยานเอกสาร เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี คดีที่ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เนื่องจากการเปิดเผยรายงานการทรมานในจังหวัดชายแดนใต้

รายงานข่าวจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุว่าในวันดังกล่าวมีพยานบุคคลจำนวน 3 คน ซึ่งเป็นทีมงานจากองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานีและเป็นผู้สัมภาษณ์บุคคลที่ให้ข้อมูลว่าถูกกระทำทรมานระหว่างการถูกควบคุมตัว เข้าให้ปากคำเป็นพยานในคดี โดยสรุปความได้ว่า ทั้งสามเป็นผู้สัมภาษณ์และบันทึกตามคำบอกเล่าของบุคคลที่ให้ข้อมูลว่าถูกกระทำทรมานจำนวน 3 คน ที่ปรากฏอยู่ในรายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2557-2558  โดยก่อนเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้สัมภาษณ์ได้ผ่านการอบรมการจัดเก็บข้อมูลและการบันทึกข้อมูลเรื่องการร้องเรียนการทรมาน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเป็นวิทยากรอบรมให้และผู้สัมภาษณ์ทั้งสามเชื่อว่าผู้ให้ข้อมูลเรื่องถูกทรมานพูดความจริง

ในการอบรมฯวิทยากรได้ให้แบบฟอร์มเอกสารในการเก็บบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล  แบบประเมินผลกระทบฯ (Proxy)  เป็นแบบฟอร์มที่จัดทำโดย American Bar Association Rule of Law Initiative (ABAROLI) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมและหลักนิติธรรม   และองค์กร Physician for Human rights ที่ทำงานเรื่องการรักษาเยียวยาผู้มีอาการซึมเศร้ารุนแรงและอาการผิดปกติจากความเครียดหลังได้รับการบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบจากการถูกทรมาน (PTSD)  ทั้งสององค์กร เป็นผู้ออกแบบจัดทำจากมาตรฐานสากลขององค์กรสหประชาชาติที่ชื่อว่า Istanbul Protocol ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับองค์กรทางกฎหมายและแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการเยียวยาผู้ถูกทรมานอีกหลายองค์กร

ผู้สัมภาษณ์ทั้งสามทำงานกับองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานีมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและลงพื้นที่เก็บข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ร้องเรียนว่าตนถูกซ้อมทรมาน ตลอดจนการประสานงานให้เกิดการเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกทรมาน โดยองค์กรจะส่งแบบประเมินผลกระทบฯ นั้นให้กับผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ ดำเนินการช่วยเหลือรักษาเยียวยาทางร่างกายและจิตใจ ตลอดจนประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป 

พยานผู้สัมภาษณ์คนหนึ่งได้ให้ถ้อยคำในกรณีที่ตนและเพื่อนกว่า 7 คน เคยควบคุมตัวไป และตนกับเพื่อนอีกหนึ่งคนที่ถูกซ้อมทรมานได้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลปกครอง คดีถึงที่สุดในชั้นศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยศาลเชื่อว่าตนกับเพื่อนถูกเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวซ้อมทรมานจริงจึงพิพากษาให้ตนกับเพื่อนชนะคดี พิพากษาให้หน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายหลายแสนบาท

นอกจากนี้ ทนายความผู้ต้องหาทั้งสามได้ยื่นพยานเอกสารกว่า 10 รายการ และขอเพิ่มเติมรายชื่อพยานบุคคลจำนวน 2 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยบุคคลทั้งสองมีความสำคัญที่จะสามารถยืนยันข้อเท็จจริงและปัญหาการซ้อมทรมานในระหว่างการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนในคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติด้วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูนิเซฟชี้ไทยเน้นความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย

$
0
0

เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ ยูนิเซฟแนะให้เพิ่มการลงทุนในการพัฒนาสมองของเด็กเล็กมากขึ้น เพราะเป็นการวิธีที่ฉลาดที่สุดในการพัฒนาทักษะทางการเรียนรู้ สังคมและอารมณ์ให้แก่เด็ก และยังเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

13 ม.ค. 2560 รายงานจากองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ระบุว่า แม้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเด็กในหลายด้าน เช่น อัตราการตายของเด็กแรกเกิตลดลงจนอยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว หรือการที่ประเทศไทยสามารถยุติการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้เมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเด็กปฐมวัยในประเทศไทยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการดูแลและกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสม โดยข้อมูลสถิติของยูนิเซฟชี้ว่าเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ 1 ใน 6 ในประเทศไทยยังมีภาวะเตี้ยแคระเกร็น นอกจากนี้ เด็กน้อยกว่าครึ่งประเทศมีหนังสือเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึงสามเล่ม ในขณะที่พ่อเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นที่ทำกิจกรรมร่วมกับลูกอย่างสม่ำเสมอ

โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาเรื่องนี้ โดยหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นลำดับแรก เพราะช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเด็ก ซึ่งเราไม่ควรพลาดโอกาสที่สำคัญยิ่งนี้

การศึกษาของ ศ.เจมส์ เฮคแมน ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนทางนโยบายสังคมในช่วงวัยอื่นๆ โดยทุกๆ 1 บาทที่ลงทุนในการศึกษาของเด็กปฐมวัย จะให้ผลตอบแทน 7-10 เท่า นั่นเป็นผลมาจากการที่เด็กมีผลการเรียนที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น และมีความสามารถทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนอัตราการเกิดอาชญากรรมที่น้อยลง

ในช่วงสัปดาห์นี้ ยูนิเซฟได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ ชื่อว่า #EarlyMomentsMatter เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต และความจำเป็นของการพัฒนาสมองของเด็ก เพราะเป็นช่วงเดียวของชีวิตที่สมองพัฒนาเร็วที่สุด โดยเซลล์สมองจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ถึง 1,000 ครั้งต่อวินาที โดยการเชื่อมต่อกันนี้ส่งผลต่อการเรียนรู้ และเป็นรากฐานของการพัฒนาทางร่างกายและอารมณ์ในอนาคต ทั้งนี้ หากเด็กไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมทั้งในเรื่องอาหาร การกระตุ้นพัฒนาการ ความรักความอบอุ่น จะส่งผลต่อการเชื่อมโยงของเซลล์สมองในช่วงนี้

ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ The Lancet ระบุว่า มีเด็กเกือบ 250 ล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาที่เสี่ยงต่อการมีพัฒนาการไม่สมวัยเนื่องจากภาวะเตี้ยแคระเกร็นและความยากจน อย่างไรก็ตาม เด็กที่ยากไร้ในประเทศรายได้ปานกลางและรายได้สูงก็เผชิญกับความเสี่ยงนี้เช่นกัน โดยยูนิเซฟประมาณการณ์ว่าเด็กหลายล้านคนกำลังเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางสมองของพวกเขา 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สังคมไทยกับยาแรงที่ไม่เคยรักษาโรคให้หายขาด

$
0
0




สังคมไทยแม้จะเป็นเมืองพุทธและมีความพยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เมื่อเกิดคดีความสะเทือนขวัญการขอให้ตัดสินคดีแบบตาต่อตาฟันต่อฟันมักถูกเรียกร้องอยู่เสมอ

ล่าสุดคือคดีฆ่าชิงทรัพย์บัณฑิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่มีการเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 สำเร็จโทษผู้ต้องหาคนดังกล่าว เนื่องจาก เชื่อกันว่าผู้ต้องหาจะไม่สำนึกตัวเพราะเคยติดคุกมาแล้ว 8 ครั้ง อีกทั้งยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดและคำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ถลกเสื้อโชว์รอยสักเป็นเครื่องยืนยันความผิด

ก่อนที่กระแสเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาจะกว้างออกไป นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ได้ออกมาตัดบทว่า

“มาตรา 44 ไม่ได้ใช้สำหรับลงโทษประหารชีวิต หรือ ทำร้ายใคร แต่ใช้ในการจัดระเบียบสังคมในภาพรวมหรือเป็นหลักการเท่านั้น”

แม้ข้อเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมจะถูกพับฐานไป แต่กรณีที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดสังคมไทยจึงนิยมใช้ยาแรงในการจัดการกับปัญหา

ประการแรก คือ สังคมไทยเป็นสังคมที่ปล่อยให้อารมณ์และความเชื่ออยู่เหนือเหตุผลสังเกตได้จากการเชื่อเรื่องการใบ้หวย ฉะนั้นเมื่อเกิดความเครียดแค้นจึงต้องการระบายออกมา โดยไม่สนใจข้อกฎหมายที่อยู่และไม่ตระหนักว่าการฆ่าคนตายในทางศาสนาพุทธคือบาปมหันต์

เราจึงพบเห็นการเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง เช่น มักมีการรณรงค์ให้ฆ่าข่มขืนเท่ากับประหารชีวิต ทั้งที่ความผิดฐานฆ่าคนตายก็มีโทษประหารชีวิตอยู่แล้ว

การปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลของสังคมไทยยังจะนำไปสู่การลดทอนความเป็นคนของผู้ที่สังคมชิงชังจนนำไปสู่การเข่นฆ่าคนดังกล่าวได้เพราะไม่เห็นว่าเค้าเป็นคนอีกต่อไป เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลา 2516 พฤษภา 2535 กรือเซะ ตากใบ และ พฤษภา 2553 ฯลฯ

ประการต่อมา คือ สังคมไทยเป็นสังคมลำดับชั้นต่ำสูงจึงไม่มีการฝึกฝน อบรม และ เรียนรู้เรื่องสิทธิของผู้อื่น สังคมยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังไม่มีความผิดก่อนคำพิพากษาถึงที่สุด และ จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระทำความผิดไม่ได้” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิทธิไม่ใช่เรื่องสำคัญของสังคมไทยเท่ากับเรื่องของอำนาจ ใครมีอำนาจจึงมักจะเป็นฝ่ายถูกแม้อำนาจนั้นจะไปละเมิดสิทธิผู้อื่นก็ตาม

ประการสุดท้าย คือ สังคมไทยมักมองโลกในมุมแคบและสายตาสั้นจึงคิดว่า การกระทำของคนใดเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคนๆ นั้น โดยไม่พิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมทางสังคมว่ามีส่วนกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคนอย่างไร

กรณีการฆ่าชิงทรัพย์ของผู้ต้องหาที่ติดคุกตั้งแต่อายุ 13 ปีในคดียาเสพติด สังคมไทยไม่ตระหนักว่าสาเหตุที่ผู้ต้องหาต้องติดยาเสพติดตั้งแต่ยังเป็นเด็กมีส่วนมาจากสภาพสังคมขนาดไหน ส่วนการก่อคดีฆ่าชิงทรัพย์สังคมก็ไม่ได้ตระหนักว่าเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดี หรือ เป็นเพราะสังคมไม่ยอมรับอดีตผู้ต้องขังหรือเปล่า จึงทำให้ผู้ต้องหาต้องมาก่อคดี

การที่สังคมไทยไม่ค่อยคิดในมุมกว้างและสายตาสั้น เชื่อว่า มาจากการปลูกฝังความคิดเชิงเดี่ยวให้กับนักเรียน เนื่องจากการเรียนการสอนของไทยมักจะมีตำราหลักให้นักเรียนศึกษาและเชื่อตาม และ มีการสอบแบบปรนัย คำตอบของนักเรียนไทยจึงมีแค่คำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียวโดยมักไม่คิดอะไรกว้างไกลไปนี้

จากสาเหตุสามประการที่ยกมา ได้แก่ การใช้อารมณ์เป็นใหญ่ การไม่ตระหนักเรื่องสิทธิของผู้อื่น และ การมองโลกในมุมแคบและสายตาสั้น ทำให้คนไทยกระแสหลักมักมองอะไรแค่มิติเดียวจึงทำให้เกิดการเรียกร้องให้ใช้ยาแรงอยู่เสมอ

นอกจากการเรียกร้องให้ใช้ยาแรงในระดับสังคมทั่วไปแล้ว ในระดับประเทศก็มีการใช้ยาแรงเช่นกัน เช่น การเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งโดย กปปส. ซึ่งก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 ทางอ้อม จนนำมาสู่การยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ซึ่งคือการใช้ยาแรงเข้ามาจัดการความขัดแย้งทางการเมือง

การที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เสนอว่า หากเกิดความเสียหายจากการทุจริตคอรัปชั่น จำนวนเกินกว่า 1 พันล้านบาทขึ้นไปต้องระวางโทษประหารชีวิต

การที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญร่างกฎหมายพรรคการเมือง โดยกำหนดบทลงโทษนักการเมืองที่ซื้อขายตำแหน่งสูงสุดถึงประหารชีวิตก็คือยาแรงเช่นกัน

ทั้งสามกรณีที่กล่าวมาล้วนเป็นยาแรงทั้งสิ้น นี่ยังไม่รวมถึงมาตรการลดอุบัติเหตุการเดินทางบนท้องถนนในช่วงเทศกาล ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สามารถยึดรถและควบคุมตัวผู้ขับรถได้ ในกรณีเมาแล้วขับหรือขับขี่อันตราย

แต่เมื่อปรากฏว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลปีใหม่ปี 2560 เพิ่มขึ้น 98 คน แทนที่รัฐบาลจะทบทวนว่ายาแรงใช้ได้ผลหรือไม่ กลับจะใช้ยาแรงมากกว่าเดิมเพื่อลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยพุ่งเป้าไปที่การจัดระเบียบรถตู้สาธารณะ แต่ไม่ได้คำนึงว่าแม้จะยกเลิกรถตู้แล้วหันมาใช้รถมินิบัสแทน การเกิดอุบัติเหตุก็อาจจะไม่ลดลงถ้าผู้ขับขี่รถยังมีพฤติกรรมเช่นเดิม

การเรียกร้องให้ใช้ยาแรงในกรณีคดีฆ่าชิงทรัพย์ก็ดี การรัฐประหารก็ดี หรือ การลดอุบัติเหตุทางถนนก็ดี ล้วนพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป เช่น

แม้จะสั่งยิงเป้าผู้ต้องหาทันที แต่ก็จะทำให้คนส่วนหนึ่งสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้คือความยุติธรรมแล้วหรือ จะมั่นได้อย่างไรว่าประหารชีวิตไม่ผิดคน การแก้ปัญหาการชิงทรัพย์มิติอื่นๆ เช่น การสร้างสวัสดิการและสภาพแวดล้อมสังคมที่ดีเพื่อที่จะได้ลดคดีชิงทรัพย์ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะถือว่าแก้ปัญหาด้วยการประหารชีวิตไปแล้ว สุดท้ายเป้าหมายหลักของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองก็จะไม่บรรลุผล

การยึดอำนาจก็เช่นกันแม้จะทำให้เกิดความสงบเพราะม็อบ กปปส. และ ม็อบเสื้อแดงสลายตัว แต่ก็เป็นความสงบบนความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงอยู่ ประชาชนยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเหมือนเดิม

สังเกตได้จากปรากฏการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ของปีนี้ ที่ประชาชนภาคอื่นๆ ไม่ได้ระดมความช่วยเหลือชาวใต้คึกคักเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งคนในภาคใต้บางส่วนก็ประกาศไม่รับความช่วยเหลือจากคนภายนอกอีกด้วย

จากข้อมูลที่กล่าวมาจึงพอบอกได้ว่าการแก้ไขปัญหาด้วยการใช้ยาแรงแม้บางครั้งจะรักษาโรคได้บ้างแต่ก็ทำให้ร่างกายต้องอ่อนแอลงไปด้วย ประดุจการรักษามะเร็งด้วยการฉายรังสีที่แม้จะทำให้เซลมะเร็งตายแต่ก็ทำให้เซลที่ดีตายตามไปด้วย ซึ่งหลายกรณีเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย 

จึงกล่าวได้ว่ายาแรงไม่เคยรักษาโรคให้หายขาดโดยไม่มีอาการข้างเคียง ยาแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป ยาแรงเป็นแค่การรักษาโรควิธีหนึ่งที่ไม่เหมาะสมกับทุกอาการ ยาแรงทำให้เกิดความมึนเมาและคิดว่าโรคหมดไป ทั้งที่โรคเดิมยังคงอยู่และอาจมีโรคใหม่แทรกซ้อนเข้ามา

กรณีของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงก็เช่นกัน การใช้ยาแรงกับไผ่ด้วยการถอนประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า “ไผ่เย้ยหยันอำนาจรัฐ” อาจจะทำให้ไผ่ต้องยุติการใช้เสรีภาพเนื่องจากถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น แต่คงไม่สามารถหยุดการเรียกร้องเสรีภาพของผู้คนในสังคมที่เห็นว่าไผ่ไม่ได้รับความยุติธรรม

ถ้าประชาชนส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่าบ้านเมืองนี้ไม่ยุติธรรมการสร้างความปรองดองตามนโยบายหลักของคสช.ซึ่งคือเรื่องสำคัญกว่าการจำกัดเสรีภาพไผ่ ก็คงยากที่จะเกิดขึ้นทุกอย่างที่ผ่านมาก็คงสูญเปล่า

เข้าทำนองเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

#ปล่อยไผ่ดาวดิน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เมืองหลับ

$
0
0

 


เดินเดี่ยวเดี่ยว เปลี่ยวเหงา ในเงามืด
จืดชืด ไร้รส หมดความหวาน
แสงสว่าง วับวับ ก็ดับดาล
ผ่านกาล เวลา มาเท่าไหร่

เสียงไชโย โห่ร้อง ก้องพิภพ
โล่งสงบ ตั้งแต่ เมื่อไหร่
ไหน ปลายอุโมงค์ ประชาธิปไตย
แสงสว่าง รำไร ยังไม่มี

เมืองแห่งฝัน  รุ่งเรือง เหมือนเมืองร้าง
อ้างว้าง จืดจาง ไปทุกที่
ลมหนาว ยามนอน บ่ห่อนมี
ลมร้อน ระอุ ที่หัวใจชน

เราจะอยู่ อย่างนี้ กี่ปีชาติ
ความหวังวาด คาดไว้ ไม่เป็นผล
เมืองแห่งเมือง ง่วงนอน ลดทอนคน
เมืองหลับไหล อยู่บน ทุกข์ประชา

เดินดุ่มดุ่ม กลุ้มใจใน เงามืด
แห้งหืด หดเหี่ยว เรี่ยวแรงล้า
หลับเถิด ลาโบก โชคชะตา
ชาติหน้า จะมี ประชาธิปไตย....

0000
 

 

13/1/2560
ประชาราษฎรบำเพ็ญ
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครื่องบินขับไล่กริพเพนตกระหว่างโชว์วันเด็ก

$
0
0
เครื่องบินขับไล่กริพเพนเกิดอุบัติเหตุตกระหว่างแสดงโชว์ในงานวันเด็กประจำปี 2560 ที่กองบิน 56 สนามบินหาดใหญ่ เบื้องต้นนักบินเสียชีวิต

 
14 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ TNNรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 09.27 น.ที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่แบบกริพเพน 39 ตกขณะทำการบินโชว์ในวันเด็กประจำปี 2560 ที่กองบิน 56 สนามบินหาดใหญ่ เบื้องต้นนักบินเสียชีวิต ซึ่งผู้ขับเครื่องคือ น.ต.ดิลกฤทธิ์ ปัถวี ตำแหน่งนักบินประจำหมวดบิน 3 ฝ่ายยุทธการ ฝูงบิน 701 กองบิน 7
 
ล่าสุดได้มีการปิดสนามบินเป็นการชั่วคราวและคาดว่าจะเปิดสนามบินอีกครั้งก่อนเวลา 12.00 น.
 
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจเหตุเครื่องบินตก
 
ด้าน สำนักข่าวไทยรายงานว่าพล.ท.วีรชน สุคนธปฎิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีเครื่องบินกริพเพน กองทัพอากาศตก ระหว่างการแสดงในงานวันเด็ก ที่กองบิน 56 จังหวัดสงขลา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเสียใจกับนักบิน ครอบครัว และกองทัพอากาศ และขอให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติขั้นสูงสุด และให้ผู้บัญชาการในพื้นที่ตัดสินใจ เรื่องการแสดงให้ปลอดภัยทุกกรณี และรัฐบาลพร้อมให้กระทรวงกลาโหม ดูแลผู้สูญเสียอย่างเต็มที่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมว.กระทรวงดิจิทัล ยอมรับขอความร่วมมือเฟซบุ๊กบล็อคเนื้อหาไม่เหมาะสม

$
0
0

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2560 มติชนออนไลน์รายงานว่านายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่ากรณีที่มีสำนักงานข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่งลงข่าว ระบุในทำนองว่า เฟซบุ๊กตอบรับคำขอรัฐบาลบล็อกการเข้าถึงเนื้อหา และข้อความหมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย โดยจากกรณีดังกล่าวยอมรับว่า ก่อนหน้านี้กระทรวงดีอีได้มีหนังสือแจ้งในการขอความความร่วมมือกับทางเฟซบุ๊กในเรื่องดังกล่าวไปแล้วจริง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นการบีบบังคับทางเฟซบุ๊กแต่อย่างใด เพียงแต่ได้อธิบายเหตุผลให้ทางเฟซบุ๊กฟังเท่านั้น โดยเฉพาะการที่วัฒนธรรมของประเทศไทยกับต่างชาติในบางส่วนมีความไม่เหมือนกัน บางเรื่องต่างชาติอาจมองว่าถูก แต่ในประเทศไทยหากมีการเผยแพร่เนื้อหานั้นๆออกไปอาจสร้างความเสียหายต่อสังคมในวงกว้างได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องขอระงับสื่อหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่อาจจะตามมาได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพนกวิ้นและเพื่อน' เปิดมุมหนังสือ 'จิตร' ที่ เตรียมอุดมฯ หวังเป็นแรงบันดาลตั้งคำถามสังคม

$
0
0

พริษฐ์ และเพื่อนนักเรียน รร.เตรียมอุดมศึกษา เปิดมุมหนังสือ 'จิตร ภูมิศักดิ์' หวังเพื่อนนักเรียนได้อ่านผลงานศิษย์เก่าคนสำคัญที่ใคร ๆ ในสังคมเหมือนจะไม่พูดถึง พร้อมเป็นแรงบันดาลใจตั้งคำถาม-สร้างความเปลี่ยนแปลง ขณะที่สมาคมศิษย์เก่าระงับเนติวิทย์ร่วมงาน

14 ม.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (13 ม.ค.60) พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิ้น นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และอดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท พร้อมด้วยเพื่อนโรงเรียนดังกล่าว จัดกิจกรรมเปิดมุมหนังสือจิตร ภูมิศักดิ์  ที่ ห้องสมุดม.ล.ปิ่น มาลากุล โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เนื่องในงาน  TU Open House

พริษฐ์ กล่าวว่ามุมหนังสือดังกล่าวจัดโดยตนร่วมกับกลุ่มเพื่อนๆ โดยมีสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันกับอ่านช่วยสนับสนุนหนังสือ

สำหรับเหตุผลที่จัดทำมุมหนังสือจิตร นั้น พริษฐ์ กล่าวว่า มุมหนังสือนี้ตั้งชื่อตามจิตร ภูมิศักดิ์ ศิษย์เก่าคนสำคัญที่โรงเรียนและใคร ๆ ในสังคมเหมือนพยายามจะไม่พูดถึง มุมหนังสือของเราประกอบด้วยหนังสือด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงผลงานของจิตรและคนอื่น ๆ การจัดตั้งมุมหนังสือนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้แล้ว ยังเป็นจุดรำลึกถึงจิตร และเป็นหมุดหมายว่าอย่างน้อยเตรียมอุดมก็ยังพอมีพื้นที่สำหรับจิตร และแนวคิดที่มาก่อนกาลสำหรับสังคมไทยบ้าง

พริษฐ์ กล่าวอีกว่า สมัยนี้การจะทำให้คนได้นึกถึงแค่ทำมุมคงไม่พอแล้ว คงจะต้องให้มีการจัดกิจกรรมโดยใช้ชื่อของมุมหนังสือในการทำให้คนรู้จักจิตรมากขึ้น ตอนนี้ เพื่อนเริ่มได้ยินชื่อจิตรมากขึ้น
 
"ถ้าเพื่อนสนใจอ่านงานจิตรก็คงดี งานของจิตรเป็นงานที่น่าอ่านในฐานะงานวิชาการและงานศิลปะการเขียน แต่ยิ่งกว่านั้น ถ้าจิตรเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนลุกขึ้นตั้งคำถามและสร้างความเปลี่ยนแปลงแบบจิตรก็คงจะดีไม่น้อยเชื่อว่าจิตรเองก็ต้องการอย่างนั้น" พริษฐ์ กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กิจกรรมนี้ตามกำหนดการจะมีการเชิญ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตเลขาธิการกลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท มาเป็นวิทยากรพูดในงานด้วย แต่ถูกสมาคมศิษย์เก่าระงับไปนั้น ซึ่ง พริษฐ์ กล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยว่า เพื่อนๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใด โรงเรียน จึงไม่ยอมให้ เนติวิทย์ มา
 
เนติวิทย์ ได้โพสต์่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Netiwit Chotiphatphaisal' ในลักษณะสาธารณะถึงกรณีถูกห้ามไม่ให้มางานนี้ด้วยว่า การไม่ให้ตนเข้าไปพูดเปิดงานสั้นๆ เพียงไม่กี่นาที ของมุมจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ห้องสมุด เนื่องจากเหตุผลว่า ตนไม่ใช่ศิษย์เก่า แล้ว ยังช่วยเน้นย้ำอีกครั้งว่า ตนเป็น "นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี" อีกด้วย "ระบบการศึกษาแสนดี" เป็นอย่างไร ก็ดูได้จากการที่เขา ปฏิบัติต่อเด็กและความคิดเชิงวิพากษ์ โรงเรียนเตรียมอุดมฯได้ชื่อว่าอันดับหนึ่งนี่ ส่วนนักเรียนที่กล้าท้าทายก็กลายเป็น "นักเรียนเลว" ซึ่งเตรียมอุดมช่วยยืนยันว่ามันจริงแค่ไหน
 
ล่าสุดเมื่อเวลา 12.47 น.ที่ผ่านมา พริษฐ์ ได้โพสต์ข้อเขียนในหัวข้อ '10 เรื่องที่อยากเล่าเกี่ยวกับการตั้งมุมหนังสือจิตร ภูมิศักดิ์' ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Parit Chiwarak' ในลักษณะสาธารณะด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดโรดแมปสู่การเลือกตั้ง หลังแก้ รธน. ชั่วคราว 57 พบเลือกตั้งไกลสุดไม่เกิน ต.ค. 61

$
0
0

เปิดเส้นทางสู่การเลือกตั้ง จากปลายปากกา สู่ปลายปากกา พบโรดแมปหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เลือกตั้งห่างออกไปได้ไกลสุด 19 เดือน หรือไม่เกิน ต.ค. 61 แต่ยังสามารถย่นย่อระยะเวลาให้จัดเลือกตั้งเร็วขึ้นได้

สืบเนื่องกระแสข่าวเรื่องการเลือนการเลือกตั้งออกไปจากปลายปี 2560 และการออกมาให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ได้หารือกับองคมนตรีว่า ภายหลังทูลเกล้าฯร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ องคมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว มีพระราชกระแสรับสั่งลงมา 3-4 รายการ แก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอำนาจพระองค์ท่าน สำนักราชเลขาธิการจึงทำเรื่องมาที่รัฐบาล รัฐบาลจึงรับสนองพระบรมราชโองการฯ จากนั้น ครม. และ คสช. ได้ประชุมร่วมกันจนได้มติว่า จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดช่องทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการลงประชามติ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)จึงทำให้โรดแมปสู่การจัดการเลือกตั้งจำเป็นต้องขยับเวลาออกไปอีก

ประชาไทเปิดโรดแมปสู่การเลือกตั้ง หลังมีการประกาศรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาผ่าน 3 วาระรวดเมื่อวานนี้ (13 ม.ค.)  (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)พบว่า หากนับจากวันที่นายกรัฐมนตรีของพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญคืนลงจากจากพระมหากษัตริย์ พร้อมกับคำแนะนำหรือข้อสังเกตที่ทรงเห็นว่าควรปรับแก้ไข การเลือกตั้งจะสามารถจัดได้ไม่เกินเดือน ต.ค. 2561 โดยมีรายละเอียดดังนี้

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

1.ช่วงรอพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ระยะเวลา 90 วัน

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านการลงประชามติ และนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ และนับจากวันที่ 8 เป็นต้นไป พระมหากษัตริย์ทรงมีระยะเวลาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อลงพระปรมาภิไธยทั้งสิ้น 90 วัน ทั้งนี้กระบวนการต่างๆ ตามโรดแมปบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญจะเริ่มต้นได้หลังจากมีการลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้หากภายในวันที่ 6 ก.พ. 2560 พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและพระราชทานคืนมาหรือเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน แล้วไม่ได้พระราชทานคืนมา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ..) พ.ศ.... ที่คณะรัฐมนตรีและ คสช.เป็นผู้เสนอ และ สนช. ได้พิจารณาผ่าน 3 วาระ ในมาตรา 4 ระบุว่าให้ร่างนั้นตกไป

สำหรับหากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายใน 90 วัน ให้นายกฯ ขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้น และประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ และจากนั้นพระมหากษัตริย์ทรงมีระยะเวลาในการลงพระปรมาภิไธยอีกไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้เมื่อนายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

2.ช่วง กรธ.จัดทำร่าง พ.ร.ป. 10 ฉบับ ภายในระยะเวลา 8 เดือน

ในกรณีที่ร่างรัฐรัฐธรรมนูญได้รับการลงพระปรมาภิไธย แล้วพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานกลับคืนมา เมื่อรัฐธรรมนูญได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยการการเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา 267 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านการลงประชามติ กำหนดให้ กรธ. จัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป) ทั้งสิ้น 10 ฉบับ ในระยะเวลา 240 วัน พ.ร.ป.ทั้งหมดประกอบด้วย

(1) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  

(2) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  

(3) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง  

(4) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

(5) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  

(6) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง   

(7) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน  

(8) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  

(9) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

(10) พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

โดย พ.ร.ป. ทั้ง 10 ฉบับ อาจแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ (1)-(4) เป็นพ.ร.ป. ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีกฎหมายทั้ง 4 ฉบับนี้การเลือกตั้งอาจจะจัดทำขึ้นไม่ได้ หรือได้โดยไม่มีกฎกติกาที่ระบุอย่างชัดเจน ส่วน (5)-(10) เป็นกฎหมายที่จะกำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ แม้ยังไม่มี (5)-(10) ก็จัดการเลือกตั้งได้

ทั้งนี้ใน มาตรา 268  กำหนดมีการให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา 267 (1) (2) (3) และ (4) มีผลใช้บังคับแล้ว”

ซึ่งหมายความว่า กรธ. สามารถเร่งจัดทำ พ.ร.ป หลักทั้ง 4 ฉบับให้เสร็จก่อนได้ เพื่อที่จะนำไปเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้พิจารณาและประกาศใช้ก่อน พ.ร.ป. ฉบับอื่นๆ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้มีการร่าง พ.ร.ป. ครบก่อนทั้ง 10 ฉบับ ทั้งนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทาง กรธ. ได้เผยแพร่ร่าง พ.ร.ป.แล้วทั้งสิ้น 2 ฉบับคือ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะนำเสนอต่อ สนช. หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

3.ช่วง สนช. พิจารณากฎหมาย เพื่อประกาศใช้ มีระยะเวลา 2 เดือนต่อหนึ่งฉบับ

ตามที่ได้ระบุไว้ในขั้นตอนของการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญโดย กรธ. แล้วว่า ในช่วงกรอบระยะเวลาทั้งสิ้น 240 วัน หรือ 8 เดือน หาก กรธ.จัดทำร่างกฎหมายฉบับใดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถนำเสนอต่อ สนช. เพื่อพิจารณาได้เลย โดยไม่ต้องรอให้มีการจัดทำครบทั้งสิ้น 10 ฉบับ แล้วส่งเพื่อพิจารณาพร้อมกัน

ฉะนั้นหากภายในระยะเวลา 1-2 เดือน หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ กรธ. สามารถจัดทำร่าง พ.ร.ป. หลัก ทั้ง 4 ฉบับจนเสร็จสิ้น ตามมาตรา 268 ก็จะสามารถยนย่อระยะเวลาที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งได้

ทั้งนี้เมื่อ ร่าง พ.ร.ป. ถูกส่งมายัง สนช. เพื่อพิจารณาบัญญัติเป็นกฎหมาย สนช. จะมีระยะเวลาทั้งสิ้น 2 เดือนต่อ 1 ฉบับในการพิจารณา โดยกรอบระยะเวลาสองเดือนเป็นกรอบเวลาที่ว่างไว้เพื่อเป็นกรอบกำหนดกว้าง ในทางปฏิบัติ สนช. ไม่จำเป็นตั้งใช้เวลานานถึง 2 เดือนในการพิจารณากฎหมายก็ได้ เช่นการแก้ไข มาตรา 7 ใน พ.ร.บ.สงฆ์ ซึ่ง สนช. มีความสามารถในการพิจารณา 3 วาระรวด ภายใน 1 วัน

4.ช่วงจัดการเลือกตั้งภายในระยะเวลา 5 เดือน

ภายหลังจาก สนช. พิจารณา พ.ร.ป.หลักทั้ง 4 ฉบับเสร็จสิ้น แล้วศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วว่าไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ให้เตรียมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน นับจากวันที่ พ.ร.ป. หลักทั้ง 4 ฉบับประกาศใช้เป็นกฎหมาย

00000

ฉะนั้นเมื่อพิจารณาตามโรดแมปจะพบว่า หากพระมหากษัตริย์มีทรงพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญกลับคืนมา พร้อมกับข้อสังเกตที่เห็นว่าควรแก้ไข ระยะเวลานับจากวันที่พระราชทานร่างรัฐธรรมนูญกลับคืนมา เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม แล้วมุ่งไปสู่การจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และพิจารณาเป็นกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง สามารถใช้เวลาได้ทั้งหมดไม่เกิน 19 เดือน หรือ 570 วัน และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่เกินเดือน ต.ค. 2561

ทั้งนี้ระยะเวลาทั้งหมด 570 วัน สามารถย่นย่อระยะเวลาลงได้ตามกระบวนการขั้นตอนต่างๆ เช่น การลงพระปรมาภิไธย การร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และการพิจารณากฎหมายของ สนช.

สำหรับสาระสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ในวันที่ 13 ม.ค. คือมาตรา 3 และมาตรา 4 ได้แก่

มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็นวรรคสามของมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557

“ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 19 และ 20 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 มาใช้บังคับ

ส่วนมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในวรรคสิบเอ็ดของมาตรา 39/1 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 เดิม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามวรรคเก้าประกอบกับวรรคสิบแล้ว หากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายในเก้าสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้น และประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชทานคืนมาหรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันที่นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแล้วมิได้พระราชทานคืนมาให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตกไป"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

(เก็บตก) 'ล้อเลียน' กับ 'เหยียดหยาม' หลังฝุ่นตลบเพจ 'น้องง' ปะทะ 'โหลกแดง'

$
0
0

อธิป ย้ำไม่มี "เหยื่อสากล" พิมพ์สิริ กางกฎหมายระหว่างประเทศพิจารณา พร้อม 6 ข้อทดสอบจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ชี้เคารพทางหลากหลายไม่จำเป็นต้องมาพร้อมการปิดกั้นเสรีภาพ 'โชติศักดิ์' หนุนผลิตเนื้อหาที่ไม่ย้อนแย้งเสียเองมาสู้ ย้ำต้องมีขันติธรรมทางการเมือง

14 ม.ค. 2560 จากกรณีช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเกิดประเด็นถกเถียงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ระหว่างเฟซบุ๊กแฟนเพจ น้องง กับเพจ Red Skull และเพจควาย+Social ในประเด็น การล้อเลียนเสียดสี (Parody) กับ การเหยียดหยาม (Discrimination) จนถึง ความถูกต้องทางการเมือง (Political Correctness) หรือ PC จากการโพสต์เรื่อง 'คนบ้านนอก' กับ 'เรื่องเพศ' (ซึ่งเพจมิตรสหายท่านหนึ่ง ได้คัดลอกข้อความสรุปเหตุการณ์การถกเถียงที่เกิดขึ้นไว้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่เพจ มิตรสหายท่านหนึ่ง)

ในโอกาสนี้ ประชาไทได้พูดคุยกับ อธิป จิตตฤกษ์ พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ และ โชติศักดิ์ อ่อนสูง ถึงประเด็น ความแตกต่างระหว่างการล้อเลียนเสียดสีกับการเหยียดหยาม การมีขันติธรรมทางการเมือง (political tolerance) รวมไปถึงการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการจัดการกับเนื้อหาลักษณะเหยียดในโลกออนไลน์ เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่างการล้อเลียนกับการเหยียด

"คนละมิติเลยเวลาเราพูดถึงการล้อเลียน เรากำลังพูดถึงมิติ "รูปแบบ" การแสดงออก ส่วนเวลาพูดถึง การเหยียดเรากำลังพูดถึงมิติ "เนื้อหา" การแสดงออก ซึ่งพอมันคนละมิติกัน คำถามว่ามันไปมีเส้นแบ่งหรือไม่เลยผิดฝาผิดตัว เพราะมันเป็นได้พร้อมๆ กันตามปกติอยู่แล้ว" อธิป ตอบคำถามความแตกต่างระหว่างการล้อเลียนกับการเหยียด

ขณะที่ พิมพ์สิริ ได้ยกเอา Rabat Plan of Action on the prohibition of advocacy of national, racial or religious hatred that constitutes incitement to discrimination, hostility or violence มาอธิบาย ซึ่ง พิมพ์สิริ ระบุว่า เป็นเอกสารหลักของประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกและการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ความมุ่งร้าย หรือความรุนแรงพูดไว้ชัดเจนว่าการจะจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกต้องเป็นไปตามข้อทดสอบหกข้อ ดังนี้ 

หนึ่ง บริบทโดยเฉพาะบริบทสังคมการเมืองที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าข้อความนั้นจงใจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติหรือก่อให้เกิดความรุนแรงหรือไม่

สอง ผู้พูด และสถานภาพในสังคมของผู้พูดในการจะนำมาซึ่งการเลือกปฏิบัติหรือความรุนแรง

สาม เจตนาการพูดพล่อยๆ หรือไม่ยั้งคิดไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างในการจำกัดความคิดเห็นได้ ความเห็นที่มาจากการพูดพล่อยๆ อาจจะเป็นเป็นที่รบกวน แต่ไม่ได้หมายความว่าความเห็นเหล่านั้นจะนำไปสู่การกระทำ

สี่ เนื้อหาและรูปแบบที่ต้องมีการวิเคราะห์ว่าคำพูดเหล่านี้จะนำไปสู่การกระทำดังกล่าวหรือไม่

ห้า ขอบเขตของคำพูดความคิดเห็นเหล่านั้นถูกเผยแพร่ผ่านสื่อชนิดใด เข้าถึงผู้คนจำนวนมากหรือเป็นเพียงแค่กลุ่มคนในสภาพจำกัด

และ หก ความเป็นไปได้ศาลอาจจะต้องเป็นผู้พิจารณาและวางหลักเกณฑ์ในท้ายที่สุดว่าความเห็นดังกล่าวนั้นมีผลต่อการทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงจริงหรือไม่

ด้าน โชติศักดิ์ กล่าวถึง ความแตกต่างระหว่างการล้อเลียนกับการเหยียดว่า เท่าที่ทราบมีคนพยายามเสนอเส้นแบ่งอยู่ เช่น  ถ้านำไปสู่การเลือกปฏิบัติถือว่าเป็นการเหยียด แต่ตนก็ยังเห็นข้อจำกัดของเส้นแบ่งพวกนี้อยู่ เพราะเวลาพูดว่า นำไปสู่ นี่มันนำไปสู่แบบทางตรงหรือทางอ้อมแค่ไหน คือถ้าจะพยายามเชื่อมโยงให้ได้จริงๆ การล้อทุกกรณีก็อาจเชื่อมให้เห็นว่าสามารถนำไปสู่การเลือกปฏิบัติได้ทั้งนั้น 

"พูดในแง่อำนาจ ซึ่งอันนี้ไม่เชิงเป็นการแบ่งระหว่างล้อเลียนกับเหยียดซะทีเดียว แต่เป็นเส้นที่บอกว่าล้อเลียนแบบไหนที่ทำได้แบบไหนที่ทำไม่ได้ ซึ่งผมว่าก็ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะไม่รู้จะแบ่งด้วยอำนาจอะไร อำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจ หรืออะไร แล้วต้องมีอำนาจมากแค่ไหนถึงมากพอที่จะล้อเลียนได้ แต่ที่มีปัญหาที่สุดก็คือ พวกที่เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวตั้ง คืออันไหนที่ไม่ชอบแล้วถือว่าเหยียดหมด" โชติศักดิ์ กล่าว

ไม่มี "เหยื่อสากล" 

อธิป กล่าวว่า เข้าใจก่อนว่าทั่วๆ ไปมันไม่มี "เหยื่อสากล" ในแง่ที่จะเป็นเหยื่อทุกกาลเวลาและสถานที่ ไปถามคนไม่พอใจ ใครก็พอว่าตัวเองเป็นเหยื่อทั้งนั้น แต่คนอื่นๆ ก็อาจไม่เห็นด้วยก็ได้ คือมันต้องเริ่มก่อนว่ามิติความเป็นเหยื่อมันซับซ้อนและสัมพัทธ์มากๆ โดยเฉพาะเมื่อ "การทำร้าย" มันไม่ชัดเจน ซึ่งตรงนี้เราพูดบนฐานที่ว่าเหยื่อมันจะเป็นเหยื่อก็ต่อเมื่อสังคมในภาพรวม "ยอมรับ" ก่อนว่าเหยื่อเป็นเหยื่อจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นสถานะทางสังคมของคนที่เคลมว่าตัวเองเป็นเหยื่อก็เป็นแค่คนที่ทึกทักไปเอง ซึ่งอันนี้มันก็ต้องเข้าใจอีกว่าแต่ละสังคม แต่ละกลุ่มคนในสังคมมันก็มองไม่เหมือนกันอีก สุดท้ายมันเหมือนเวลาคนทะเลาะกัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าตนคือผู้ถูกกระทำทั้งคู่ คือถ้าไม่มีสถานการณ์เฉพาะมา แทบไม่ต้องพูดเลยว่าตัดสินได้หรือไม่ว่าใครถูก ควรจะเข้าข้างใคร มันไม่ได้อยู่แล้ว

การจำกัดความคิดเห็น ผ่านกฎหมายระหว่างประเทศ

สำหรับการจำกัดความคิดเห็นนั้น พิมพ์สิริ ได้ยกกฎหมายระหว่างประเทศมาอธิบายว่า เสรีภาพในการแสดงออกจะถูกจำกัดได้ภายใต้ข้อ 19(3) และข้อ 20 ของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 1. บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง 2. บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือการตีพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก
 
3. การใช้สิทธิตามที่บัญญัติในวรรค 2 ของข้อนี้ ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบควบคู่ไปด้วย การใช้สิทธิดังกล่าวอาจมีข้อจำกัดในบางเรื่อง แต่ทั้งนี้ข้อจำกัดนั้นต้องบัญญัติไว้ในกฎหมายและจำเป็นต่อ (ก) การเคารพในสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น (ข) การรักษาความมั่นคงของชาติ หรือความสงบเรียบร้อย หรือการสาธารณสุข หรือศีลธรรม ของประชาชน 
 
ส่วนข้อยี่สิบนั้น ระบุว่า 1. การโฆษณาชวนเชื่อใดๆ เพื่อการสงคราม เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย 2. การสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังในชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา ซึ่งยั่วยุให้เกิดการเลือกประติบัติ การเป็นปฏิปักษ์ หรือการใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย
 
พิมพ์สิริ สรุปถึงการจำกัดความคิดเห็นที่ชอบด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ควรย้อนกลับไปดูข้อทดสอบหกข้อที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้

โชติศักดิ์หนุนขีดเส้นแบ่งล้อเลียนกับเหยียดให้ชัด

โชติศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้ก็หาเส้นแบ่งให้ชัดเจน อันนี้ไม่ใช่แค่แบ่งว่าล้อเลียนกับเหยียด แต่อาจจะต้องแบ่งลงไปถึงว่าอาจจะมีล้อเลียนบางแบบที่ไม่ถึงขั้นเหยียดแต่ก็ไม่ควรทำด้วย ที่สำคัญคือแบ่งด้วยเหตุผลไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว เพราะถ้าใช้ความรู้สึกมาแบ่ง ทุกๆ อย่างมันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ไปหมด เพราะทุกๆ อย่างก็มักจะมีคนไม่ชอบทั้งนั้น สมมุติมีการวิจารณ์เรื่องนึงซึ่งโคตรจะใช้เหตุผลเลย แต่คนที่ถูกวิจารณ์ฟังแล้วส่วนมากก็มักจะไม่ชอบทั้งนั้น คือถ้าใช้ความรู้สึก อย่าว่าแต่การล้อเลียนเลย แม้แต่การวิจารณ์ด้วยเหตุผลก็ทำไม่ได้

ย้ำต้องมีขันติธรรมทางการเมือง

สำหรับขันติธรรมทางการเมืองนั้น โชติศักดิ์ ยืนยันว่า ต้องมี อย่างน้อยที่สุดอย่างที่ยกตัวอย่างไป คือถ้ามีคนวิจารณ์เราด้วยเหตุด้วยผล และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เราก็ต้องอดทนให้ได้ แต่คำถามคือเราต้องอดทนกับการล้อหรือไม่ แบบไหนต้องอดทน แบบไหนไม่ต้องทน เส้นแบ่งมันจะบอกเราเอง ถ้าเราสามารถหามันเจอได้
 

อธิปแนะควรยอมรับทำอะไรไม่ได้กับเนื้อหาเหยียด

ต่อคำถามถึงมาตรการในการจัดการเนื้อหาที่มีลักษณะเหยียดบทสื่ออินเทอร์เน็ตนั้น อธิป กล่าวว่า เราควรจะยอมรับว่าในทางปฏิบัติเราแทบทำอะไรไม่ได้เลย ตนยังนึกไม่ออกว่าเรามีทางเลือกในการจัดการอะไรกับสิ่งที่เราไม่พอใจบนอินเทอร์เน็ตรวมๆ ขนาดผู้มีอำนาจมันยังจัดการกันไม่ได้เลย

เคารพทางหลากหลายไม่จำเป็นต้องมาพร้อมการปิดกั้นเสรีภาพ

พิมพ์สิริ กล่าวด้วยว่า การปิดกั้นหรือการล่าแม่มดจะยิ่งทำให้พื้นที่เสรีภาพในสังคมนั้นๆ รวมถึงการพูดคุยถกเถียงในประเด็นเหล่านั้นหดแคบลง การเคารพทางหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องมาพร้อมการปิดกั้นเสรีภาพ และสังคมที่เคารพเสรีภาพก็ควรจะมีที่ทางให้กับความเห็นทุกประเภท ตราบใดที่ความเห็นเหล่านั้นจะไม่นำไปสู่ความรุนแรงหรือการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบต่อกลุ่มอัฒลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่ง
 
"สิ่งที่ทำได้สำหรับคนที่ไม่ชอบใจหรือคิดว่าความเห็นเหล่านั้นขัดหูขัดตาคือการผลิตเนื้อหาในแบบที่ตัวเองเชื่อขึ้นมาตอบโต้ ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ต่างฝ่ายต่างก็ใช้เสรีภาพของตนเองในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่จำเป็นต้องไปละเมิดผู้อื่น" พิมพ์สิริ กล่าว

หนุนผลิตเนื้อหาที่ไม่ย้อนแย้งเสียเองมาสู้

"ความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี่ตัดไปได้เลย เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริง เอาง่ายๆนะ ถ้าผมบอกว่าวัฒนธรรมของพวกผมคือการไม่เคารพวัฒนธรรม แค่คุณบอกหรือเรียกร้องให้ผมเคารพวัฒนธรรมมันก็เป็นการไม่เคารพต่อวัฒนธรรมของพวกผมแล้ว เพราะถ้าคุณเคารพคุณจะมาเรียกร้องให้ผมทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามทำไม" โชติศักดิ์ กล่าว
 
ส่วนกรณีที่มีคนไม่พอใจเนื้อหาของคนอื่นนั้น โชติศักดิ์ กล่าวเสนอว่า ก็คือผลิตเนื้อหาออกมาสู้ วิพากษ์วิจารณ์เนื้อของเขา ที่สำคัญก็คือจะต้องไม่ทำอะไรที่ย้อนแย้งเสียเอง เช่น ถ้าบอกว่าเกลียดการเหยียด แต่ก็ผลิตเนื้อหาที่เหยียดเสียเอง เพราะมันเป็นการดิสเครดิตทั้งตัวเองและประเด็นที่นำเสนอ ทำให้ตัวองเป็นตัวตลก ซึ่งที่พูดนี่ไม่ใช่จะบอกว่าเขาไม่มีสิทธิทำ ใครๆ ก็มีสิทธิดิสเครดิตตัวเองและทำให้ตัวเองเป็นตัวตลกทั้งนั้น เพียงแต่ถ้าถามตน ก็ไม่เสนอให้ทำ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

งานวันเด็กกร่อยหลายแห่งเหตุ สตง. คุมเข้ม อปท. จัดงาน

$
0
0

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งงดจัดวันเด็ก เหตุ สตง.เข้มการใช้งบประมาณ ด้านเด็กในพื้นที่น้ำท่วมระบุวันเด็กปีนี้ไม่คิดจะไปเที่ยวไหน เพราะน้ำท่วมและไม่มีการจัดงาน ของขวัญวันเด็กที่อยากได้คือให้น้ำลดลงจะได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่

14 ม.ค. 2560 มติชนออนไลน์รายงานบรรยากาศงานวันเด็กแห่งชาติ จ.ปราจีนบุรี พบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งที่ใกล้ชิดชาวบ้านที่สุดต่างพากันงดจัดงาน อาทิ เทศบาลเมืองปราจีนบุรี อ.เมืองปราจีนบุรี, เทศบาลตำบลกบินทร์ อ.กบินทร์บุรี เป็นต้น ส่งผลให้ประชาชนในตัวเมืองหรือชุมชนต่างพากันหอบลูกหลานไปยังหน่วยงานอื่นรอบนอกในองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต่าง ๆ ที่ยังจัดงานนี้ให้ความสำคัญกับเด็กๆ อาทิ
 
ที่หน้าที่ว่าการอำเภอนาดี จ.ปราจีนบุรี นายนภดล งามเหลือ นายอำเภอนาดี เป็นประธานเปิดงานโดยแต่งกายด้วยชุดนักเรียนคอยต้อนรับให้บริการเด็ก ๆ – ผู้ปกครองด้วยตนเองพร้อมกิจกรรมบันเทิง การแสดงบนเวที แจกอาหาร เครื่องดื่มฟรีตลอดงาน พร้อมนำรถถังยานเกราะล้อยางจากหน่วยทหารบูรพาพยัคฆ์แสดงโชว์ให้เด็ก ๆ สนุกสนาน
 
ขณะที่ในย่านเขตนิคมอุตสาหกรรม บริเวณหน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกี่ (อบต.),หน้าที่ว่าการองค์การบริหารส่วนตำบลวังดาล (อบต.),องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเก่า (อบต.) อ.กบินทร์บุรี พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ในพื้นที่ได้จัดงานวันเด็กแห่งชาติอย่างคึกคัก และโดยเฉพาะหน่วยงานทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ร. 2 รอ.) ได้ส่งหน่วยทหารต่างๆ นำอาวุธยุทโธปกรณ์มาแสดงให้เด็กได้สัมผัสอย่างใกล้โดยเฉพาะรถถังยานเกราะ,ปืนใหญ่ ,รถจี๊ปหุ้มเกราะ พร้อมการแสดงบนเวที อาหารเครื่องดื่มฟรี
 
และหน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลโคกไม้ลาย (อบต.),องค์การบริหารส่วนตำบลเนินหอม (อบต.) อ.เมืองปราจีนบุรี พบ ผู้ปกครองพาเด็กและเยาวชนมาร่วมงานคับคั่งรับของขวัญรางวัล โดยเฉพาะรถจักรยานที่แจกมากถึง 111 คัน พร้อมกับขาดไม่ได้คือ การนำรถถังล้อยางยานเกราะ,ปืนใหญ่ ,รถสายพานลำเลียงพลมาแสดงโชว์ โดยพบนายอำนาจ วิลาวัลย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ปราจีนบุรีพรรคเพื่อไทยหลายสมัยลงพื้นที่ให้บริการเด็ก ๆ
 
นายอำนาจ กล่าวว่า “วันเด็กแห่งชาติปีนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งใน จ.ปราจีนบุรี ต้องงดจัดงาน เนื่องจากไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้เนื่องจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้มงวดการจัดซื้อของขวัญ –รางวัล ทำให้ไม่มีงบประมาณ ในการจัดงานหลายพื้นที่ต้องขอรับบริจาคจากบริษัท-ห้างร้าน,ประชาชน หรือจากสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยกันเอง (อปท.) ที่มีการจัดงาน ทั้งสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) เพื่อนำมาใช้จัดงานให้กับเด็ก ๆ และสำหรับ จ.ปราจีนบุรี จะจัดงานวันเด็กแห่งชาติให้กับเด็กทั้งจังหวัดโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี (อบจ.) พิธีเปิดงานเวลา 17.00 น. งานมีถึงเวลา 23.30 น. ”นายอำนาจกล่าว
 
ด้าน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานบรรยากาศวันเด็ก ประจำปี 2560 ที่ จ.ตรัง ไม่คึกคักเหมือนปีก่อนๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีข้อทักท้วงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในการปฏิบัติงานเรื่องการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งมีข้อระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณที่รัดกุมมากขึ้น พร้อมชี้แนะให้สถานศึกษาทำหน้าที่จัดกิจกรรมวันเด็กแทน ประกอบกับช่วงนี้ หลายจังหวัดในภาคใต้ รวมทั้ง จ.ตรัง ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ส่วนโรงเรียนหลายแห่งก็ยังไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ
       
ทั้งนี้ ที่โรงเรียนบ้านควนสระแก้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.6 ต.นาโต๊ะหมิง อ.เมืองตรัง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง ป.6 ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 63 คน และมีครู 3 คน โดย 60 เปอร์เซ็นต์ ของนักเรียนมีความบกพร่องในพัฒนาการ ทั้งการเรียนรู้ และสติปัญญา ซึ่งจะช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่สถานศึกษาแห่งนี้ก็ยังคงมีการจัดกิจกรรมวันเด็ก 2560 ขึ้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้มีโอกาสพิเศษ ทั้งการแต่งตัวที่หล่อเหลา สวยงาม หรือได้แสดงออก และโชว์ความสามารถ
 
ส่วนทางด้านของเด็ก ๆ ที่บ้านถูกน้ำท่วมใหญ่มานานเกือบ 10 วันแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ ต.นาตาล่วง และ ต.หนองตรุด พื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำตรัง ซึ่งขณะนี้ยังต้องพักอาศัยที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชั่วคราว ต่างก็รู้สึกดีใจที่มีผู้นำสิ่งของ ขนม นมและน้ำ เข้าไปเยี่ยมเยียน และไปช่วยเหลือ โดยเด็กบางคนบอกว่า วันเด็กปีนี้ไม่คิดจะไปเที่ยวไหน เพราะพื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่น้ำท่วม และไม่มีการจัดงาน แต่สิ่งที่อยากได้เป็นของขวัญในวันเด็กปีนี้ก็คือ อยากให้น้ำลดลง และอยากกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่
 
ก่อนหน้านี้ เพจสถานี สตง./ข้อทักท้วงของคนท้องถิ่นได้เปิดเผยหนังสือเรื่องขอให้ทบทวนการจัดงานวันเด็ก ที่ สตง. ส่งให้กับ อปท. 
 
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: วันเด็ก

$
0
0

 

เด็กๆปีนป่ายรถถัง
สัมผัสปืน รอคิวลองนั่งเก้าอี้นายกฯ
ซึมซับไว้เถิดหนู
เรียนรู้ที่จะคุ้นเคย
กับยวดยานและเครื่องมือ
ที่จะนำไปสู่เก้าอี้นั้น.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เด็กในสถานสงเคราะห์อยากได้ขนมจริงหรือ?

$
0
0

‘วันเด็กไปไหนดี’ เด็กหลายคนอาจชวนพ่อแม่ไปเที่ยวห้าง กินขนม ดูหนัง หรือแม้แต่ไปดูไดโนเสาร์ และมีอีกหลายคนเช่นกันที่เลือกทำบุญโดยมอบขนม เลี้ยงข้าวเด็กๆ ในสถานสงเคราะห์ แล้วเด็กในสถานสงเคราะห์ต้องการจริงหรือ? ขนม นม เนยสารพัดที่หลั่งไหลเข้าไป (ไม่เฉพาะเพียงแค่วันเด็ก) สามารถทดแทนความอบอุ่นจากครอบครัวได้จริงหรือไม่ และตอกย้ำการเป็นผู้รับของเด็กมากเกินไปหรือเปล่า

คุยกับ กอบกาญจน์ ตระกูลวารี หัวหน้างานพัฒนาบุคลากร สหทัยมูลนิธิ ผู้ซึ่งทำงานกับเด็กและข้องเกี่ยวกับสถานสงเคราะห์มากว่า 20 ปี เพื่อทำความเข้าใจ และรู้จักกับเด็กๆ ให้มากขึ้น

วันเด็กเป็นวันแห่งการ ทำบุญกับเด็กยากไร้หรือเปล่า

กอบกาญจน์: ปัญหาเรื่องการให้ของในสถานสงเคราะห์ ไม่ได้มีแต่เฉพาะในวันเด็ก นานมาแล้วที่สถานสงเคราะห์เป็นที่ที่ให้คนมาบริจาค อีกทั้งมูลนิธิหลายที่ก็เชื่อว่า ถ้าเขาไม่มีโรงเรียน ไม่มีบ้านสำหรับเด็ก เขาจะอยู่ไม่ได้ คนจะไม่บริจาค เหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพราะสังคมไทยก็รู้สึกว่า ตัวเองได้ทำบุญ ได้ให้ของ เพราะการให้ของนั้นเป็นรูปธรรม แต่จริงๆ แล้วความเข้าใจต่อปัญหาหรือความคิดที่จะแก้ไขอย่างเป็นระบบยังไม่ค่อยมี

บ้านเด็กกำพร้า จำเป็นต้องมีหรือเปล่า

เราเชื่อว่า เด็กทุกคนต้องโตในครอบครัว สภาพสถานสงเคราะห์หรือการอยู่โรงเรียนประจำนั้นไม่ใช่ชีวิตธรรมชาติ มนุษย์มีลูกครั้งละ 1 คน ไม่เหมือนกับช้างที่ตกลูกมาปุ๊บก็เดินเองได้ ไม่ต้องการการฟูมฟักเยอะ เพราะธรรมชาติเป็นแบบนั้น ในทางกลับกัน คนต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเติบโตหรือพัฒนา คิดดูตอนเราอยู่บ้าน มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเลี้ยงเยอะมากกว่าเราจะโต แต่สภาพสถานสงเคราะห์นั้นกลับกัน เด็ก 30 คน พี่เลี้ยง 1 คน ระบบแบบนี้จะทำร้ายเด็ก และไม่ทำให้เขาเติบโตอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องของความรักความอบอุ่น

สิ่งที่ดี เราต้องทำงานกับพ่อแม่ที่มีวิกฤต ช่วยเสริมส่วนที่เขาขาด ให้เลี้ยงลูกเองได้ เราเชื่อว่า ถ้าเขาได้รับการสนับสนุน เขาจะดูแลลูกเองได้ ไม่จำเป็นต้องยกให้คนอื่น ไม่จำเป็นต้องฝากใครเลี้ยง เพราะการฝากคนอื่นเลี้ยง ทำให้เด็กโตมาพร้อมความสงสัยว่า ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ สงสัยในคุณค่าของตัวเองว่า ทำไมพ่อแม่ไม่รักเขา

ถ้าครอบครัวเลี้ยงดูไม่ไหวล่ะ

ถ้าไม่ไหวจริงๆ อยู่กับครอบครัวแล้วเด็กจะแย่มาก ก็ต้องพิทักษ์สิทธิเด็กด้วยการจัดหาครอบครัวอุปถัมภ์ หรือการจัดหาครอบครัวบุญธรรมถาวร

ใจจริงแล้วเราไม่ต้องการให้มีสถานสงเคราะห์ใหญ่ๆ สถานสงเคราะห์ต้องเป็นที่สุดท้ายของเด็ก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในสภาพสังคมแบบนี้ ยังจำเป็นที่ต้องมีเด็กเข้าสถานสงเคราะห์ เช่น อยู่สถานสงเคราะห์แล้วคุณภาพชีวิตดีกว่าอยู่บ้าน ตอนนี้เหมือนกับว่า สถานสงเคราะห์กลับเป็นที่แรกที่ถูกคิดถึง ฉะนั้นเด็กก็จะมีพัฒนาการที่ล่าช้าและมีสภาวะสุขภาพที่เจ็บป่วยง่าย

เด็กๆ รู้สึกถูกทอดทิ้งไหม

ก็คงมีบ้าง เขาคงรู้สึกมีช่องว่าง เด็กทุกคนอยากจะอยู่กับครอบครัว พอไม่ได้อยู่ก็คงสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ไม่เลี้ยงเขา

พวกเขาอยากได้อะไรมากที่สุด

จากการทำงาน 20 กว่าปี เราเห็นว่า คนชอบไปบริจาคสิ่งของที่สถานสงเคราะห์ ทั้งที่จริงแล้วเด็กไม่ได้ต้องการวัตถุ แต่พวกเขาต้องการความรู้สึกภาคภูมิใจ และถูกรัก แต่คนกลับเอาของไปให้ หนำซ้ำไปแล้วก็อยากจะแจกให้ถึงมือ ถ่ายรูป ฯลฯ หรือหากไปเลี้ยงข้าวก็ไปบังคับว่า เด็กต้องกินข้าวให้หมด เด็กเองก็จะถูกสั่งว่า ต้องกินให้หมด แม้อิ่มแค่ไหนก็ต้องกินเพราะเดี๋ยวแขกเสียใจ ด้วยระบบการทำงานแบบนี้ เจ้าหน้าที่หลายคนก็ไม่กล้าปฏิเสธแขก เพราะกลัวแขกเสียใจและรู้สึกไม่ดี

การให้เด็กรับของนั้นตอกย้ำการเป็นผู้รับของเด็ก สิ่งนี้ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า พอโตขึ้น ‘การรับของ’ ซึ่งเคยถูกมองว่าน่ารัก คลานเข่าเข้าไปกราบไหว้ผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้น่ารักอีกต่อไป ผู้ใหญ่ก็ไปต่อว่าเด็ก ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสอนเขามาแบบนั้น

แล้วน่าจะทำแบบไหน

ต้องพยายามทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ว่า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กไปยืนรับของ หรืออาจให้แขกนำของที่จะแจกไปฝากกับเจ้าหน้าที่เพราะการมอบนอกจากจะตอกย้ำเรื่องการเป็นผู้รับแล้ว บางทีเด็กอิ่มก็ต้องกินหรือไม่ชอบก็ต้องรับ เป็นการทำลายอัตลักษณ์ของเขา ซ้ำยังไม่ได้ฝึกวินัย สร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กับเด็ก บางคนกินอิ่มจนอ้วกก็มี

เด็กๆ ควรถูกเปิดโลกทัศน์ ด้วยการทำความเข้าใจในข้อจำกัดว่า ทำไมเขาถึงเป็นแบบคนข้างนอกไม่ได้ โดยต้องพยายามให้สังคมมีส่วนร่วม เช่น สนับสนุนให้เขาออกไปใช้ชีวิตในสังคมปกติ แน่นอนว่า หากมีคนทำอะไรดีๆ ให้ เด็กก็ควรจะขอบคุณ แต่มันยังขาดกระบวนการการทำงานทางความคิดกับเด็กว่า ที่คนมาช่วยช่วยเพราะเขาเห็นคุณค่าของหนูไม่ใช่เพราะหนูน่าสงสาร

ช่วงหลังมีโครงการ อาสาสมัครสายสัมพันธ์ คือการพยายามบอกแขกที่มาว่า เด็กไม่ได้ต้องการของ เขามีจนล้นเหลือแล้ว สิ่งที่เขาอยากได้คือความรัก ฉะนั้น หากคุณสามารถมาเยี่ยมเด็กคนเดียวทุกๆ อาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกว่าเขามีเจ้าของ เขามีคนที่รักเขา ‘เป็นหลานของป้าณี’หรือ ‘เป็นน้องของพี่จูน’ อะไรแบบนี้ เป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก

ป้ามล (ทิชา ณ นคร) เคยพูดว่า เด็กกำพร้าไม่ใช่บันไดไปสู่สวรรค์ เขาไม่ได้มาเพื่อให้เราทำบุญแล้วได้บุญ


กอบกาญจน์ ตระกูลวารี

แจกของ ต้องดูด้วยว่าเขาต้องการอะไร

ที่บ้านราชวิถี นอกจากจะมีการแจกของแล้วยังมีการจัดกิจกรรมให้เด็ก โดยกลุ่มนักศึกษาบางกลุ่มก็ไปในวันที่เด็กไม่ได้พร้อม เช่น เสาร์-อาทิตย์ เด็กเขาอยากมีเวลาส่วนตัว ได้ทำความสะอาด ซักผ้า ทำธุระ แม้เจ้าหน้าที่ไม่ได้อยากรับทุกงาน แต่ด้วยระบบการฝากมา เกรงใจนาย ส่วนมากจึงมีความจำเป็นต้องรับทุกงาน

บางคนมาจัด ก็จัดไม่สนุก นึกถึงเด็กๆ แล้วก็สงสารเขา ต้องไปนั่งฝืนใจ หลังๆ มานี้เขาก็เรียนรู้และใช้วิธีส่งสายสืบไปก่อน ถ้ากิจกรรมสนุกค่อยไปตามเพื่อนมาเข้ากิจกรรม แต่พอไม่มีเด็กเข้ากิจกรรม เจ้าหน้าที่ก็จะว่าว่าทำไมไม่เข้าร่วมกิจกรรม ทำไมไม่ช่วยรับแขก

แสดงว่า ของแจกมีจนล้นแล้ว

มีคนเข้าไปทำเยอะมากและไม่มีการจัดระบบว่า เดือนหนึ่งควรมีกี่หน กรณีของเด็กโตน่าจะถามเขาได้ว่า อยากมีกิจกรรมประเภทไหน เวลาไหน ฯลฯ เพราะเด็กต้องการภาวะการเคารพตัวเอง การค้นหาคุณค่าในตัวเอง การถูกถามความเห็น ซึ่งเราควรรับฟังตรงนี้

เด็กนะ บางครั้งไม่อยากได้ของแต่ก็ต้องรับมา แล้วก็เอาไปทิ้งถังขยะ ตุ๊กตาสวยมากก็เอาไปทิ้งหมด เพราะมันเยอะมากจนเขารู้สึกไม่มีคุณค่า เขาไม่รักษาของเลยเพราะได้มาง่ายมาก ตอนบริจาคควรถามไปด้วยว่าเขาต้องการอะไร

แจกมากๆ เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ด้อยกว่าหรือเปล่า

สถานสงเคราะห์อยากฝึกให้เด็กอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งแน่นอนเวลาเราเอาของไปให้เด็ก เราย่อมอยากให้เด็กรู้สึกว่า คุณป้าเขาใจดีที่ช่วยเหลือเรา แต่ก็ต้องมีกระบวนการที่ทำให้เด็กรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องของบุญคุณหรือรู้สึกแย่ ไม่ได้ช่วยเขาเพราะความยากจนหรือน่าสงสาร

เคยมีผู้ปกครองเด็กบ้านนนทภูมิ (บ้านเด็กพิการ) เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนแขกชอบไปเดินดูเด็กตามตึก จึงเสนอให้ยกเลิกเพราะเด็กควรมีความเป็นส่วนตัว และแขกน่าจะเข้าใจ ไม่รบกวนด้วยการไปเดินดูเสมือนเป็นของแปลก เหมือนไปดูสวนสัตว์

ที่บ้านราชวิถี พอมีแจกเงิน ก็ชอบให้เด็กคลานไปรับ มองดูแล้วมันมีระบบศักดินา เด็กก็ดูต่ำต้อยมาก เราก็ต้องไม่ให้แจก และอธิบายว่าไม่อยากได้ภาพแบบนั้น

คิดว่าคนบริจาคต้องการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองไหม

ก็เป็นไปได้ คนเราก็พยายามมีคุณค่าในแบบที่เชื่อ เราเองไม่ได้แอนตี้ และคิดว่าการช่วยเหลือกันเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ว่า คนที่ถูกช่วยจะต้องรู้สึกตัวเองมีศักดิ์ศรี ไม่ถูกรุกราน บางคนหวังดีมากเกินไป ถึงขั้นเสาะหาที่อยู่และตามไปให้ของ จนเกิดภาวะพึ่งพิง เราหวังดีมากเกินไปโดยไม่คิดถึงคนที่รับ คนทุกคนอยากมีคุณค่า เพียงแต่ว่าเราต้องทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่เราจะเข้าไปช่วยทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จะทำให้เด็กรู้สึกตัวเองมีคุณค่าได้ยังไง

บ้านราชวิถี เด็กตั้งแต่ป. 1 ขึ้นไป จะต้องช่วยดูแลน้อง ทำงานบ้าน รับผิดชอบของของตัวเอง มีวินัย หรือแม้แต่ฝึกอาชีพ เช่น ทำขนม ปลูกผัก ฯลฯ เพื่อให้เด็กรู้สึกพึ่งตัวเองได้และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

 

อยู่รวมกันเป็นร้อยๆ ทำยังไงให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง

ตอนแรกๆ ที่เราทำงาน เด็กไม่มีของส่วนตัวเลย เสื้อผ้าก็ใส่รวมหมด เราก็เข้าไปทำงานกับเด็ก เช่น ทุกคนต้องมีสัญลักษณ์ประจำตัว สัญลักษณ์นี้จะเขียนที่รองเท้า ที่ของใช้ของเขา เวลาเขาระบายสีส่งงาน ก็จะมีสัญลักษณ์ประจำตัว เพื่อให้รู้ว่าตัวเขาเองมีเอกลักษณ์ และต้องรู้จักดูแลรักษาเอกลักษณ์นั้น

ถึงตอนนี้ เสื้อผ้าของเด็กก็ยังคงเป็นเสื้อผ้าที่ใช้ร่วมกัน เนื่องจากเด็กมีจำนวนเยอะและมีเจ้าหน้าที่น้อย การทำแบบนี้ทำให้เด็กไม่สามารถแยกได้ว่า ขอบเขตของของส่วนตัว และของคนอื่นคืออะไร ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องในเรื่องการรักษาของของตัวเองด้วย เพราะเขาไม่เคยมีของของตัวเอง ไม่เคยต้องฝึก ไม่เคยต้องดูแล

เด็กบางคนเมื่อได้ครอบครัวอุปถัมภ์ ไปโรงเรียนวันแรกก็ขี่จักรยานของคนอื่นกลับมา เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ขโมยและเคยใช้ได้หมดทุกอย่าง ไปจับไก่บ้านนั้นบ้านนี้ สนุกสนาน วุ่นไปหมดทั้งหมู่บ้าน

เด็กๆ มีสิทธิตัดสินใจในเนื้อตัวร่างกายตัวเองแค่ไหน

ก็มีกรอบเยอะ ยิ่งถ้าตอนเล็กๆ ก็ไม่มีสิทธิเลย โตมาหน่อยก็มีกรอบโรงเรียนเหมือนเด็กบ้านทั่วไป

เขาชอบกิจกรรมแบบไหน

เด็กเขาถูกทำให้ชอบแบบที่เป็นอยู่ คือมีรางวัล มีขนมมาจูงใจ

ฝึกทักษะการใช้ชีวิตของเด็กยังไง

เด็กเล็กเริ่มด้วยการให้เขาได้เลือกเสื้อผ้าใส่เอง พี่เลี้ยงอาจแนะได้ว่า ถ้าใส่กางเกงปั่นจักรยานหกล้มจะไม่เจ็บ

เด็กโตที่บ้านราชวิถี      เราพยายามผลักดันให้เขามีตู้เสื้อผ้าของตัวเอง เก็บของของตัวเอง ซักเสื้อผ้า รีดผ้าเอง เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ

ทั่วไปแล้ว ชีวิตเด็กที่นี่ไม่ต้องทำอะไร ตื่นมาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวพร้อมกัน เสร็จแล้วเดินไปกินข้าว ข้าวก็ไม่ต้องทำ มีคนทำให้เสร็จ กินเสร็จจานก็ไม่ต้องล้าง ถึงโรงเรียนก็กินข้าว มีอะไรก็ต้องกิน

มีครั้งหนึ่งให้เด็กๆ ทำกิจกรรม ‘วันซื้อขนม’ มีร้านขนม 6 ร้านแต่มีเหรียญแค่ 3 เหรียญ เด็กต้องเลือกเพื่อสร้างทักษะการตัดสินใจให้เขา ช่วงแรกจะมีเด็กที่ใช้เหรียญหมดไปแล้ว 3 เหรียญ พอถึงร้านที่ 4 แล้วก็นั่งร้องไห้ เพราะเขาไม่เคยตัดสินใจ พอครั้งหลังเขาก็รู้ว่า จะต้องเดินดูก่อนว่าอยากกินอะไรมากที่สุด ต้องคิด ต้องค้นหา ซึ่งเราต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เขา

เท่าที่เห็นเวลาไปสถานสงเคราะห์ เด็กๆ ก็ดูพึ่งตัวเองได้ แถมดูแก่นแก้วมาก ทำไมเด็กที่สถานสงเคราะห์ถึงเปรี้ยวจังเลย

อาจเป็นเพราะเขามีชีวิตที่อยู่ในกรอบ กฎเกณฑ์เยอะ ต้องทำอะไรพร้อมกันหมด คนข้างนอกถึงแม้ต้องไปโรงเรียน ก็ยังมีชีวิตที่ยืดหยุ่น กำหนดได้ อยากกินข้าวตอนนี้ ไม่อยากกินตอนนี้ แต่เด็กที่นั่น ชีวิตต้องทำอะไรตลอดเวลา จะอยู่คนเดียวในห้องก็อยู่ไม่ได้ มีอะไรก็ต้องกิน กดดันพอสมควรโดยไม่รู้ตัว มีเด็กหลายคนที่หนีไปไม่กลับมา แม้จะไปตกระกำลำบากข้างนอกก็ไม่คิดกลับมา

หลายคนเรียนจบ ก็ออกไป บางคนเรียนไม่ได้ก็ฝึกอาชีพ เสริมสวย ตัดเย็บ ปลูกผัก และบ้างก็กลับไปอยู่กับครอบครัว

เจ้าหน้าที่จัดการเรื่องเหล่านี้ยังไง

เจ้าหน้าที่ที่อยู่บ้านเด็กพิการจะต้องใจรัก เพราะงานที่นี่หนักกว่าบ้านเด็กทั่วไป อีกทั้งต้องคอยทำกายภาพให้เด็ก เพื่อให้อาการไม่แย่ลง แต่เพราะมีคนน้อย ปัจจุบันการกายภาพก็ทำได้ไม่ทั่วถึง

เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเด็กอ่อน เด็กบางคนโตขึ้นมาแล้วถึงรู้ว่าพิการ เราไม่อยากให้ส่งเขาไปบ้านเด็กพิการ เพราะตอนเขาอยู่ที่นี่พี่เลี้ยงมีเวลาดูแลเขา บางครั้งเขาเห็นเพื่อนเดิน เขาก็พยายามเดิน เจ้าหน้าที่เองก้ต้องเรียนรู้ เด็กเองก็มีความสุขมากที่ได้อยู่กับเพื่อน ถ้าไปอยู่กับเด็กพิการด้วยกันก็อาจจะนอนทั้งวัน  ทั้งไม่มีตัวแบบสำหรับเขาและไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอที่จะดูเแล

มีการสอนเด็กๆ เรื่องเพศไหม

ไม่ทั่วถึง จริงๆ แล้วในสถานสงเคราะห์เองก็มีกรณีของเด็กที่มีความสัมพันธ์กันจนท้อง พี่เลี้ยง ครู นักสังคมสงเคราะห์เองมีจำนวนน้อย และไม่มีเวลาทำงานเจาะลึกกับเด็ก อีกทั้งขาดทักษะในเรื่องเหล่านี้ ชีวิตของเด็กจึงต่างจากเด็กบ้าน เป็นชีวิตที่ไม่รู้ข่าวสารความเป็นไปของโลก อยู่ก็อยู่รวมกัน ดูทีวีก็ต้องดูรายการเดียวกัน ส่วนมากเป็นรายการที่พี่เลี้ยงอยากดู อย่างในบ้านเด็กพิการซึ่งอาจจะต้องมีคนดูแลตลอดเวลา เด็กก็ยากที่จะมีชีวิตส่วนตัว และเวลาของการติดตามข่าวสาร คนข้างนอกถึงเราไม่ได้ดูข่าว แต่เราก็ยังมีการสื่อสารพูดคุยกับคนอื่น ชีวิตในสถานสงเคราะห์ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้

จริงๆ แล้ว สถานการณ์เรื่องพวกนี้ แม้แต่ในโรงเรียนเด็กทั่วไปก็ไม่ค่อยได้เรียนอย่างเข้าใจนัก

ในกรณีเด็กพิการวัยรุ่น พ่อแม่มักตกใจว่า จะจัดการกับเรื่องทางเพศของลูกอย่างไร เช่น การช่วยตัวเองของเด็กผู้ชาย พ่อแม่ไม่เข้าใจว่าเด็กมีความต้องการเหมือนคนทั่วไป เราต้องทำอย่างไร จึงต้องมีหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องเพศให้พ่อเเม่ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและปฏิบัติกับเด็กอย่างเหมาะสม ไม่ห้ามหรือไม่ตีเด็กบางทีเด็กที่เป็นซีพี (CP: Cerebral Palsy) กล้ามเนื้อนั้นจะหงิกเกร็ง และบางคนพูดไม่ได้ก็มีความอัดอั้นเพราะเขาสื่อสารไม่ได้ เราจะช่วยเด็กได้ยังไง

 

ไม่กล้ารัก ไม่กล้าสนิทสนมเพราะคนรักมักหายไปทีละคน สองคน

เนื่องจากสถานสงเคราะห์ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานราชการ ผู้อำนวยการ (หรือที่เด็กๆ เรียกแม่)ก็ต้องเปลี่ยนไปตามวาระ เด็กๆ มีความรู้สึกยังไง

เป็นปัญหาต่อการปรับตัวมาก ตอนแม่ย้ายทั้งเด็กและเจ้าหน้าที่ก็เสียใจ การแยกจากของเด็กในสถานสงเคราะห์นับว่าเป็นบาดแผลในจิตใจอย่างหนึ่งของเขา เขาถูกเปลี่ยนตลอดจนเฉยชากับการสร้างความสัมพันธ์ ไม่กล้าคาดหวังว่าจะรักคนนั้น คนนี้เพราะเดี๋ยวรักไปแล้วจะเสียใจ

แสดงว่า การมีครอบครัวถาวร เป็นผลดีกับเด็กมากที่สุด

กัญญา สาวพิการที่ถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ตอนเล็กๆ ถูกทิ้งที่ปากช่อง ทางโรงพยาบาลก็ผลัดกันเลี้ยงเขาไว้ จนเขา 2-3 ขวบ คนดูแลจึงต้องการหาครอบครัวให้กัญญา เธอจึงได้ครอบครัวบุญธรรมที่สหรัฐอเมริกา เมื่อไปถึงที่โน่น ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเธอจะมา ก็มีการติดป้ายแจ้งคนในหมู่บ้านว่า ต่อไปนี้จะมีคนใช้วีลแชร์มาอยู่ในหมู่บ้านเรา มีเจ้าหน้าที่รัฐมาถามว่า ต้องการอะไรบ้าง แม้จะค่อนข้างยากและต้องฝ่าฟันกับการเปลี่ยนคนเลี้ยง เปลี่ยนที่อยู่ ซ้ำยังต้องเรียนภาษาใหม่แต่เธอก็ผ่านมันมาได้

ครอบครัวแบบไหนที่มักรับบุตรบุญธรรม

ต่างชาติเยอะกว่า คนไทยเวลาขอเด็กจะเลือกเด็กน่ารัก เด็กปกติ เด็กพ่อแม่ไม่มีปัญหา เพราะคนไทยเชื่อเรื่องกรรมพันธุ์ว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ดีเด็กจะไม่ดี โดยไม่มองการเลี้ยงดู

บ้านเราหากขอเด็กพิการไปเลี้ยง ค่าใช้จ่ายก็จะค่อนข้างเยอะเพราะไม่มีอะไรสนับสนุนจากรัฐเลย

ก่อนรับ เราจะถามเขาว่า รับเด็กประเภทไหนได้บ้างแบบกว้างๆ เพศ ผิว ตัวเล็กตัวใหญ่ ฯลฯ ทั้งนี้การจัดเด็กก็ต้องจัดให้สอดคล้องกับสมาชิกในครอบครัว มีครั้งหนึ่งที่ผู้อุปการะเป็นคนแคระ พอดีกับตอนนั้นมีเด็กเป็นโรคนี้กำลังหาครอบครัว เราก็ส่งให้ เด็กก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่แปลกแยก ไม่โดดเดี่ยว

เด็กอยากไปไหม

เด็กส่วนใหญ่อยากไป เพราะเขามีความหวังมากกว่าอยู่ในสถานสงเคราะห์ เขาอยากมีครอบครัว มีบ้าน ได้เรียน ถึงจะล้มเหลว ก็ยังดีกว่าไม่เคยมีอะไรเลย

ด้านกชกร ก่อทองอายุ 39 ปีซึ่งพิการด้วยโรคโปลิโอที่ขาทั้งสองข้าง เธออยู่ที่บ้านนนทภูมิตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนกระทั่งเรียนจบ แม้เธอจะมีครอบครัว แต่ปัญหาด้านการเรียนเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอมาอยู่ที่นี่ เราสัมภาษณ์เธอในฐานะของผู้ที่เคยมีประสบการณ์วันเด็กกว่า 9 ปีในสถานสงเคราะห์

เท่าที่จำได้ วันเด็กในสถานสงเคราะห์มีกิจกรรมอะไรบ้าง

ก็มีคนมาจัดกิจกรรมให้ มีจัดการแสดง ฉายหนัง ตอนเด็กๆ จะชอบดูหนังและซื้อของในงานออกร้าน เพราะเด็กจะได้เลือกซื้อของ ได้เลือกว่าจะกินอะไรดี

ชอบอะไรมากที่สุด

เขาจัดอะไรก็ชอบหมด นึกไม่ออกว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่บางทีถ้ามีของเยอะเกินไปอยู่แล้ว เช่น ของกิน แล้วยังต้องมาร่วมกิจกรรมอีกก็จะไม่ค่อยอยากออกมาร่วมกิจกรรม

เวลาคนให้ของ เขาบอกให้ทำยังไง

เวลาคนมาแจกของ ก็จะเดินแจกตามโต๊ะ เราก็ต้อง สวัสดี กล่าวขอบคุณ ตอนเด็กไม่ได้รู้สึกอะไร ด้วยความเป็นเด็กก็ทำตามเขา พอโตมาเราก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ แต่คนที่เขามองเราอาจมองแบบสงสารมากกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น คนอื่นร้องเพลงขอบคุณก็อาจจะรู้สึกอีกแบบ แต่เราร้องก็รู้สึกสงสารไปอีกแบบ

บางทีคนในสังคมก็มองว่าเป็นเรื่องการทำบุญเป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรด้วยความเป็นเด็ก แต่ถ้าตอนนี้เราอยู่ในอีกสถานะหนึ่ง มีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องการอะไรแบบนั้นแล้ว ถ้ามาทำแบบนั้นเราก็ไม่รับ

ต้องการให้คนอื่นมองยังไง

เราอยากเปลี่ยนภาพที่ทุกคนมองเราแบบสองเท่าซะ การทำอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่า น่าสงสารก็อยากให้ลด ภาพที่ต้องไปร้องเพลงก็อาจจะไม่ต้อง เหลือแค่คำขอบคุณธรรมดาเวลาเขาให้ของ เหมือนเป็นการช่วยเหลือกัน แต่ถ้าต้องมีตัวแทนออกไปกล่าวขอบคุณ เพื่อทำให้รู้สึกสงสารเพิ่มมากขึ้นก็คงต้องลดลง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 8-14 ม.ค. 2560

$
0
0
 
กระทรวงแรงงานเร่งหางานให้ผู้พ้นโทษกว่า 1 หมื่นคน
 
นายสิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ต้องขังจำนวนหลายหมื่นคน ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ นั้น ทาง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการกรมการจัดหางานเร่งให้ความเหลือบุคคลดังกล่าวให้มีอาชีพ มีงานทำโดยเร็ว ดังนั้นกรมการจัดหางานจึงได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ประสานผ่านกรมราชทัณฑ์หรือผู้พ้นโทษโดยตรง เพื่อให้ผู้พ้นโทษดังกล่าวที่ประสงค์จะหางานทำมาลงทะเบียนสมัครงาน และส่งตัวพบนายจ้างที่แจ้งตำแหน่งงานว่างไว้ได้พิจารณาบรรจุงานต่อไป
จากนั้นให้ติดตามผลการบรรจุงานและรายงานผลให้กรมการจัดหางานทราบโดยด่วน ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งว่างงานทั่วประเทศรองรับ จำนวนกว่า  55,000 อัตรา เช่น พนักงานบรรจุภัณฑ์ พนักงานในกระบวนการผลิต พนักงานขายหน้าร้าน พนักงานขับรถ แม่บ้าน พ่อครัว เป็นต้น ซึ่งสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสมัครงานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่าสำหรับผู้พ้นโทษที่เคยได้รับการฝึกอาชีพในระหว่างต้องขัง ที่ต้องการจะประกอบอาชีพอิสระของตนเองก็ได้จัดกิจกรรมให้คำปรึกษา แนะแนวอาชีพ เช่น อาชีพที่ตนเองมีความรู้ ความสามารถ ตลาด แหล่งเงินทุน เป็นต้น
 
"ขอให้นายจ้าง สถานประกอบการ และประชาชนทั่วไปมั่นใจได้ว่าคนกลุ่มนี้มีฝีมือและจะสามมารถทำงานในสังคมได้"อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
 
 
ก.แรงงานยันลูกจ้างบ้านน้ำท่วม หยุดงานไม่ถือเป็นวันลา
 
เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดและขยายเป็นบริเวณกว้างนั้น ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ได้ตระหนักในความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการทำงาน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน ลูกจ้าง ผู้ประกอบการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ลูกจ้าง พนักงาน ที่ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัย ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา รวมทั้งจะดำเนินการสำรวจผลกระทบและความต้องการทำงานว่าจะมีผู้ที่ไม่สามารถทำงานในพื้นที่เดิมหรือต้องการประกอบอาชีพต่าง ๆ ว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อดำเนินการจัดเตรียมตำแหน่งงานพร้อมอาชีพอิสระไว้ให้ในพื้นที่เดิมรวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงรองรับภายหลังน้ำลด ในด้านของผู้ประกันตนจะช่วยเหลือโดยการลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 3 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ลดสิทธิประโยชน์
 
“สำหรับพี่น้องแรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในครั้งนี้ สามารถขอรับบริการความช่วยเหลือ จากกระทรวงแรงงาน โดยสามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้ที่สำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบันศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสำนักงานประกันสังคมทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สายด่วนประกันสังคม 1506 และสายด่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1546” โฆษกกระทรวงแรงงานกล่าว
 
 
เผย 4 เดือน กพร.ปล่อยกู้พัฒนาฝีมือกว่า 46 ล้าน
 
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2557 มีสาระสำคัญเพื่อให้การพัฒนากำลังคนของประเทศมีการพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 สนับสนุนอุดหนุนกับผู้ประกอบการที่ส่งลูกจ้างเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และเมื่อนายจ้างได้จ่ายเงินค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือฯ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 180 วัน สามารถยื่นของรับเงินอุดหนุนจำนวน 1,000 บาท ต่อลูกจ้าง 1 คนไม่เกินปีละ 100,000 บาท
 
นอกจากนี้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เห็นชอบค่าใช้จ่ายกองทุนฯ ประจำปี 2560 เป็นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการกู้ยืมไปใช้ในการฝึกอบรมพนักงานด้วย ซึ่งระหว่างเดือนต.ค.-ธค. 59 อนุมัติให้กู้แล้ว 26,364,000 บาท 32 แห่ง กำหนดให้ชำระคืนภายในระยะเวลา 1 ปี โดยไม่มีดอกเบี้ย และในเดือนม.ค.60 คณะกรรมการส่งเสริมฯ พิจารณาอนุมัติให้กู้ยืมอีก 19,998,300 บาท เพื่อให้นายจ้างหรือผู้ประกอบการนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อให้ลูกจ้างได้รับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้น
 
โดยส่วนนี้มีการกู้ยืม 24 แห่ง รวมอนุมัติให้กู้ยืมแล้ว 56 แห่งเป็นเงิน 46,362,300 บาท จากการสำรวจพบว่ามีสถานประกอบการประสงค์กู้ยืมระหว่างเดือน ก.พ.-ก.ย.2560 อีก 11 แห่ง เป็นเงิน 5,400,000 ลาท ซึ่งการให้กู้ยืมเงินหลังจากวันที่ 12 มกราคม 2560 แล้ว จะคิดอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี นายจ้างหรือผู้ประกอบการสอบถามได้ที่ 0 2643 4977 หรือ 0 2245 4035
 
 
คนงานไทยจำนวน 36 คน ได้ถูกนายหน้าหลอกลวง โดยอ้างว่าสามารถส่งไปทำงานในประเทศเกาหลีได้
 
เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ม.ค. 60 ที่ผ่านมา คนงานไทย จำนวน 36 คน ได้ถูกนายหน้าที่เป็นคนจังหวัดนครราชสีมาชื่อนางนาง และพวก หลอกลวง โดยอ้างว่าสามารถส่งไปทำงานในประเทศเกาหลีได้ โดยเก็บค่าค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายจากคนหางานไป คนละ 65,000 - 120,000 บาท คนหางานหลงเชื่อจ่ายเงินไปให้ แต่เมื่อถึงวันเดินทาง คนงานได้ไปขึ้่นตั๋วโดยสารกับสายการบินฯ ที่สนามบินดอนเมือง แต่พนักงานประจำเคาว์เตอร์ เห็นพิรุท ว่า เป็นการซื้่อตั๋วไปขาเดียว ไม่มีขากลับ จึงไม่ออกตั๋วให้ คนงานจึงไม่สามารถเดินทางไปได้ จึงจะรวมตัวกันไปแจ้งความดำเนินคดีกับนางนางและพวกต่อไป เลยขอเตือนบรรดาคนหางานทั้งหลายนะครับ การลักลอบไปทำงานในเกาหลีมีความเส่ียงต่อการถูกหลอกลวงสูงมาก ในระยะหลัง มีคนหางานหลายราย มาร้องทุกข์กับ ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน ว่า จ่ายเงินไปแล้วไม่ได้บิน หรือบินไปแล้วงานและ รายได้ไม่เป็นไปตามท่ี่นายหน้่าอ้าง บางรายก็ถูก ต.ม.จับกุมขณะทำงาน ทั้งที่เพิ่งยังทำไม่ถึงเดือนก็มี ดังนั้น ก่อนคิดจะลักลอบไปทำงานต่างประเทศ โทร.มาปรึกษาเราสักนิด เพื่อป้่องกัีนมิให้ถูกหลอกลวงจนเสียเงินเสียทอง แถมยังต้องมาเจ็บใจอีกต่างหาก สอบถามรายละเอียด โทร. สายด่วน กรมการจัดหางาน
 
 
อยุธยาเปิดตลาดนัดแรงงานรองรับคนตกงานกว่า 1,500 อัตรา
 
(10 ม.ค.) ที่เดอะฮอลล์ ศูนย์การค้าอยุธยา ซิตี้พาร์ค ว่าที่ร้อยตรีพิเชียน ลิมป์หวังอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดกิจกรรม "วันนัดพบแรงงานอาชีวศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา" ซึ่งจัดขึ้นโดยอาชีวศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับสำนักงานจัดหางานจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสถานประกอบการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้มีงานทำ พร้อมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน
 
โดยภายในงานได้มีการให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาเกี่ยวกับโอกาสในการทำงาน การเตรียมความพร้อมก่อนการทำงาน เทคนิคในการสมัครงานให้มีโอกาสได้รับงานสูง การเขียนใบสมัครงาน และการฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น 108 อาชีพให้ฟรี นอกจากนี้ ที่สำคัญยังมีการออกบูธรับสมัครงานจากบริษัทชั้นนำต่างๆกว่า 40 บริษัท เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังหางานและต้องการเปลี่ยนงาน สามารถเลือกสมัครได้โดยตรง โดยมีตำแหน่งงานรองรับกว่า 1,500 อัตรา
 
โดย ว่าที่ร้อยตรีพิเชียน ลิมป์หวังอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าวนับเป็นโอกาสที่ดีของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่เรียนมาในสายอาชีวะและใกล้จะเรียนจบได้มีช่องทางในการทำงาน ขณะที่สถานการณ์การจ้างงานของจังหวัดยังเป็นปกติ อัตราการเลิกจ้างมีน้อยมาก เนื่องจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหลายๆแห่ง ยังมีความต้องการแรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นแหล่งรองรับแรงงานทางวิชาช่างได้เป็นอย่างดี
 
นายจรัญ ยุบรัมย์ ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์แรงงานในภาคอุตสาหกรรมได้เริ่มก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 นั่นคือจะมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น สิ่งสำคัญในการทำงานยุคนี้คือความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาษาและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะฉะนั้นการเตรียมคนของอาชีวะหลังจากนี้จะต้องมีการเน้นหนักในเรื่องนี้เป็นพิเศษ อาจจะมีการเปลี่ยนจากการสอนให้คนทำงานเป็นสอนให้คนเรียนรู้การใช้เครื่องจักรแทน และที่ผ่านมาได้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับประเทศต่างๆ เพื่อเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้
 
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากนักศึกษาที่จบมาล้วนมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้อัตราการรับจ้างงาน ยังมีมากกว่าจำนวนนักศึกษาที่จบมา ดังนั้น จึงเพียงพอต่อการจ้างแรงงานในอนาคต
 
 
เตือนเรือประมงยื่นขอ ซีบุ๊ค พ้น 120 วัน ใช้ต่างด้าวผิด กม.
 
กรมประมงเผยเรือประมงพาณิชย์ มายื่นขอ"ซีบุ๊ค" แล้วกว่า 3,000 ลำ มีแรงงานต่างด้าวกว่า 3หมื่นคน เตือนเรือประมงที่เหลือกว่า 8,000 ลำมายื่นขอภายใน 120 วัน หากพ้นกำหนดพบใช้แรงงานต่างด้าวมีโทษปรับสูงสุดถึง 8 แสนบาทต่อคน พร้อมเพิกถอนใบอนุญาตทำประมง
 
นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลังจากที่กรมประมงได้แจ้งให้เจ้าของเรือประมงพาณิชย์ที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอส ขึ้นไป หรือเจ้าของเรือประมงพาณิชย์ที่มีขนาดตั้งแต่ 10 ตันกรอสขึ้นไปที่ใช้เครื่องมือทำการประมงประเภทอวนลาก อวนล้อมจับและอวนครอบปลากะตักที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานในเรือประมง ต้องมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าวหรือ "ซีบุ๊ค" ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (PIPO) ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนถึงวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมเรียกเก็บ 100 บาท ต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน ทั้งนี้ ล่าสุดมีเรือประมงพาณิชย์มายื่นขอซีบุ๊คแล้วกว่า 3,100 ลำ จากเรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมง 11,045 ลำ และมีแรงงานต่างด้าวมายื่นขอซีบุ๊คทั้งหมดกว่า 3 หมื่นคน จากแรงงานต่างด้าวซึ่งตามข้อมูลของกรมการจัดหางานมีมากกว่า 1.3 แสนคน
 
นางอุมาพร กล่าวอีกว่า หลังวันที่ 15 ตุลาคม 2559 เรือประมงพาณิชย์ที่มายื่นขอ ซีบุ๊คจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 100 บาทต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน และหลังวันที่ 10 มกราคม 2560 ซึ่งครบกำหนด 120 วัน ตามที่ประกาศ
 
สำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการออกหนังสือคนประจำเรือกำหนดไว้ หากแรงงานต่างด้าวไม่มีซีบุ๊คแล้วไปทำงานในเรือหรือท่าเทียบเรือ เจ้าของเรือประมงพาณิชย์จะมีความผิดตามมาตรา 153 พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 โดยมีโทษปรับไม่น้อยกว่า 400,000 บาท แต่ไม่เกิน 800,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าวที่ประจำเรือ 1 คน และให้อธิบดีกรมประมงมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมงของเจ้าของเรือประมง และให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีคำสั่งเพิกถอนประกาศนียบัตรของผู้ ควบคุมเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน กรมประมงยังคงเปิดให้เจ้าของเรือประมงพาณิชย์มายื่นขอซีบุ๊คได้ จึงขอให้มาดำเนินการเพื่อให้ เป็นไปตามกฎหมาย
 
 
แรงงาน บรรเทาเดือดร้อนนายจ้าง ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ ฟื้นฟูสถานประกอบกิจการหลัง
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ มีสถานประกอบกิจการได้รับผลกระทบ ๘,๗๒๕ แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ๑๒๕,๙๑๘ คน ในการนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้ทุกงานในสังกัดเร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน ในส่วนของกสร. ได้กำหนดมาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง ที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นสองระยะ คือ มาตรการแรกขณะที่ยังมีสถานการณ์น้ำท่วม
 
โดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเข้าไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่ประสบปัญหาอุทกภัยโดยร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
และขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทำงาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทำงานได้ตามปกติสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา มาตรการระยะที่สองคือการบรรเทาความเดือดร้อนหลังจากน้ำลด โดยการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่นายจ้างเพื่อนำไปปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ภายในวงเงิน ๒ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ต่อปี ผ่อนชำระไม่เกิน ๔ ปี ปลอดเงินต้นในปีแรก
 
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อไปว่า นายจ้าง ผู้ประกอบการรายใดสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
 
 
บอร์ดประกันสังคม มีมติลดอัตราจ่ายเงินสมทบ พร้อมขยายเวลานำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ให้นายจ้าง-ลูกจ้าง ประสบอุทกภัย 12 จังหวัดภาคใต้
 
เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 60 ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานกรรมการประกันสังคม เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการประกันสังคม ว่า บอร์ดประกันสังคม มีมติให้ลดอัตราจ่ายเงินสมทบ และขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมให้กับนายจ้างลูกจ้างที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง และประจวบคีรีขันธ์
 
ทั้งนี้ ให้ลดอัตราเงินสมทบจากนายจ้างและลูกจ้าง ลงฝ่ายละร้อยละ 2 คือ จากเดิมที่จ่ายฝ่ายละร้อยละ 5 ให้เหลือจ่ายฝ่ายละร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. โดยนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จ่ายฝ่ายละร้อยละ 3 ส่วนผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 จ่ายเดือนละ 288 บาท และให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนของเดือน ม.ค.-มี.ค. โดยไม่เสียเงินเพิ่ม
 
อย่างไรก็ตาม สำนักงานประกันสังคม อยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ.2560 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวัน ทั้งนี้ ไม่เกิน 180 วัน โดยสำนักงานประกันสังคมจะได้เร่งดำเนินการเพื่อเสนอให้ รมว.แรงงาน ลงนามในกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวต่อไป
 
 
พนักงานสยามแอร์ ร้องผู้บริหารจ่ายเงินล่าช้า
 
พนักงานสายการบินสยามแอร์ ของบริษัท สยามแอร์ ทรานสปอร์ต จำกัด รวมตัวที่สำนักงานสยามแอร์ สนามบินดอนเมือง เรียกร้องให้ผู้บริหารจ่ายเงินเดือนพนักงาน หลังค้างจ่ายเงินเดือนพนักงานกว่า 150 คน เป็นเวลากว่า 2 เดือน โดยจ่ายเงิน เดือนพฤศจิกายนเพียงครึ่งเดียว และยังค้างจ่ายของเดือนธันวาคม รวมทั้งก่อนหน้านี้ ยังจ่ายเงินเดือนไม่ตรงตามกำหนดเป็นเวลา 8 เดือน
 
โดยอ้างเหตุผลว่า ยังไม่ได้รับเงินจากบริษัทแม่ที่ประเทศจีน แต่ไม่ชี้แจงว่าจะสามารถจ่ายเดือนเงินพนักงานได้เมื่อใด ทำให้พนักงานมีปัญหาภาระค่าใช้จ่าย เพราะไม่สามารถผ่อนชำระหนี้สินได้ทันตามกำหนด และถูกคิดดอกเบี้ย
 
นอกจากนี้ พนักงาน ยังไม่ได้รับสิทธิประกันสังคม นาน 8 เดือน เพราะบริษัทส่งข้อมูลพนักงานล่าช้า ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้ จึงต้องการให้บริษัทเปลี่ยนคณะผู้บริหาร และจ่ายเงินชดเชย ผลกระทบ
 
เวลาต่อมา เรืออากาศเอก สุรินทร์ สุขขัง ประธานบริหารบริษัท สยามเเอร์ ทรานสปอร์ต ได้เข้ามาเจรจากับพนักงาน โดยระบุ ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สายการบินประสบปัญหาทางธุรกิจ จากมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ เเละถูกอาชญากรข้ามชาติจากจีนโจรกรรมข้อมูลทางการเงิน ทั้งนี้ จะขอหารือกับพนักงานเป็นการภายใน และยืนยันจะยื่นหนังสือชี้แจงกับกระทรวงแรงงาน
 
ทั้งนี้ เชื่อว่า พนักงานบางส่วนที่มารวมตัวกัน อาจได้รับการจ้างวานจากคู่เเข่งทางธุรกิจ เพราะมีข้อเรียกร้องที่ตรงกับความต้องการของฝ่ายตรงข้าม
 
ด้านที่ปรึกษากฎหมายบริษัท สยามเเอร์ ทรานสปอร์ต ยอมรับ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทถูกอาชญากรข้ามชาติ ปลอมเเปลงเอกสาร เเละโกงเงินบริษัทไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านบาท เบื้องต้น ได้ประสานไปยังเจ้าของบริษัทที่ประเทศจีน เพื่อให้จ่ายเงินเดือนพนักงานที่ค้างอยู่ในสัปดาห์หน้า
 
ล่าสุด ฝ่ายผู้บริหาร ยินยอมจ่ายเงินเดือนให้พนักงานส่วนที่เหลือของเดือนพฤศจิกายน และสัปดาห์หน้า จะจ่ายเงินของเดือนธันวาคมทั้งหมด โดยยืนยันว่า เดือนกุมภาพันธ์ จะจ่ายล่าช้า ไม่เกินภายในวันที่ 15 และมีนาคมจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคใต้เตรียมรับน้ำฝนระลอกใหม่ 16-20 ม.ค.นี้

$
0
0
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ 16-18 ม.ค. 2560 จะมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่วนวันที่ 19-20 ม.ค. 2560 จะมีฝนตกหนักบางแห่ง จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กรมชลประทานระบุเตรียมเครื่องจักรติดตั้งพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกลต่าง ๆ เพื่อเร่งระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง

 
15 ม.ค. 2560 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือติดตั้งพื้นที่เสี่ยงภัยในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกลต่าง ๆ เพื่อเร่งระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ฝนระลอกใหม่ที่จะตกลงมาอีก หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าวันที่ 16-18 มกราคม 2560 จะมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  ส่วนวันที่ 19-20 มกราคม 2560 จะมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
 
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันมีจังหวัดที่เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ตรัง พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่วนนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำบางแห่ง โดยในเขตอำเภอชะอวด นครศรีธรรมราชเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังตอนล่างยังคงมีน้ำท่วมในที่ลุ่มต่ำก่อนออกสู่ทะเล ปัจจุบันมีปริมาณน้ำคงเหลือในพื้นที่ประมาณ 340 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณน้ำที่ท่วมทั้งสิ้นประมาณ 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากกรมชลประทานเพิ่มเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลเพิ่ม ทำให้ปริมาณน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การระบายน้ำยังต้องคำนึงถึงการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้านี้ด้วย
 
​ทั้งนี้ มีเครื่องสูบน้ำที่ส่งเข้าไปช่วยเหลือ 93 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำอีก 68 เครื่อง และยังมีเรือผลักดันน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรืออีก 70 เครื่อง นอกจากนี้ ยังติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ ขนาด 3 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ำในพื้นที่บ้านบางไทร ต.บ้านใหม่ อ.ปากพนัง  2 เครื่อง ทำให้การระบายน้ำออกจากพื้นที่รวดเร็วมากขึ้น หากฝนไม่ตกหนักลงมาเพิ่ม คาดว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติภายใน  1 – 2 วัน​
 
​ส่วนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีระดับน้ำในแม่น้ำตาปี อ.พระแสง เสมอระดับตลิ่ง แนวโน้มลดลง คาดว่าระดับน้ำจะต่ำกว่าตลิ่งวันนี้ (15 ม.ค. 60) ส่วนที่ อ.เคียนซา ระดับน้ำยังสูงกว่าตลิ่ง 1.53 เมตร แนวโน้มทรงตัวและลดลง คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติวันที่ 19 มกราคม 2560 และที่ อ.พุนพิน ระดับน้ำยังสูงกว่าตลิ่ง 15 เซนติเมตร (เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนในบางช่วงเวลา) คาดว่าจะมีระดับน้ำล้นตลิ่งสูงสุดไม่เกิน 70  เซนติเมตร ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจในเขตเทศบาลเมืองท่าข้าม
 
ทั้งนี้ กรมชลประทานได้สนับสนุนเครื่องผลักดันน้ำช่วยเร่งระบายน้ำในแม่น้ำตาปี 10 เครื่อง และได้รับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจากกองทัพเรืออีก 26 ลำ เพื่อให้ระบายน้ำออกสู่ทะเลได้เร็วที่สุด  ส่วนเครื่องจักร เครื่องมือ ที่กรมชลประทานจัดส่งไปสนับสนุนการเร่งระบายน้ำในพื้นที่ภาคใต้จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ เครื่องสูบน้ำที่ออกปฏิบัติการ 143 เครื่อง เครื่องสูบน้ำที่พร้อมใช้งานสำรองอีก 96 เครื่อง ส่วนเครื่องผลักดันน้ำที่ออกปฏิบัติการ  83 เครื่อง สำรองพร้อมใช้งานอีก 29 เครื่อง และสถานีสูบน้ำอีก 8 สถานี นอกจากนี้ ยังเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ จากส่วนกลางเพิ่ม ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำ 388 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ำอีก 51 เครื่อง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเขียนซีไรต์เรียกร้องเพื่อนนักเขียนลองเยี่ยม 'ไผ่ ดาวดิน' ดูสักครั้ง

$
0
0

'บินหลา สันกาลาคีรี' ออกจดหมายเปิดผนึกผ่านเพจ Writer Thailand เรียกร้องพี่น้องนักเขียนไม่ว่าจะอยู่ในสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม ให้ลองไปเยี่ยม 'ไผ่ ดาวดิน' ดูสักครั้ง ระบุถึงเวลาที่เราต้องถามตัวเองอย่างจริงจังว่ากรณีไผ่ ดาวดินได้รับการปฏิบัติโดยกระบวนการยุติธรรมอย่างไร และในฐานะนักเขียนสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง

 
15 ม.ค. 2560 เพจ Writer Thailandเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกลงชื่อโดย 'บินหลา สันกาลาคีรี' ซึ่งเป็นนามปากกาของนายวุฒิชาติ ชุ่มสนิท เจ้าของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2548 โดยเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกได้เรียกร้องให้นักเขียนลองไปเยี่ยม 'ไผ่ ดาวดิน' หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นอกจากนั้นยังเรียกร้องให้นักเขียนถามตัวเองอย่างจริงจังว่ากรณี 'ไผ่ ดาวดิน' ได้รับการปฏิบัติโดยกระบวนการยุติธรรมอย่างไร และในฐานะนักเขียน เราสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง
 
โดยเนื้อหาของจดหมายเปิดผนึกทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
 
 
15 มกราคม 2560
เรียน พี่น้องนักเขียนทุกท่าน 
ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม
ครั้งที่ศรีบูรพา, จิตร ภูมิศักดิ์ ตลอดจนนักเขียนและนักข่าวหลายคนถูกจับเข้าคุกในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ผ่านมา หลายคนยังไม่เกิด ขณะที่หลายคนที่เกิดแล้วแต่อยู่ในวัยไร้เดียงสา ใช่ไหมครับ
ผมเองก็ยังไม่เกิด
แต่เรารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น
เราอ่าน เราศึกษา เราจึงเขียน จึงจดจำมาบอกเล่าต่อ
เราเล่าว่าพวกเขาต้องเผชิญความอยุติธรรมอย่างไร เราชื่นชมในความกล้าหาญ แน่วแน่ ของพวกเขา (ถ้าใครยังไม่รู้จักสองคนนี้อาจติดตามได้จากหนังสือ เรื่องของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นหนังสือหลายเล่ม รวมทั้งเพลงพี่หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติ ประวัติศรีบูรพาแนะนำเล่มที่เขียนโดยชมัยภร แสงกระจ่าง ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งค้นคว้าละเอียด ราวสวมวิญญาณ ความกล้าหาญ และอุดมการณ์ศรีบูรพาจริงๆ)
แต่ประเด็นของผมคือ 50 กว่าปีผ่านไป วันนี้เรายังมีคนที่ถูกความยุติธรรมสีดำทำร้ายอยู่อีกครับ
ล่าสุดคือกรณีของไผ่ ดาวดิน
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
หลายท่านคงทราบ ไผ่ติดคุกอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว เพราะศาลเพิกถอนข้อตกลงให้ประกันตัว วันนี้ใกล้ครบ 1 เดือนที่เขาต้องอยู่ในเรือนจำแล้ว
ทางครอบครัวไผ่และทนายความได้ยื่นขอประกันตัวตามสิทธิ์ของผู้ต้องหา เท่าที่ผมทราบได้ยื่นขอมา 4-5 ครั้งแล้ว ทุกครั้งถูกยกคำร้อง
คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนนักกฎหมายหลายคนได้ยื่นต่อศาล แสดงความไม่เห็นด้วยกับดุลยพินิจ โดยแสดงความรู้และทรรศนะทางกฎหมาย (เพื่อนนักเขียนคงติดตามค้นหาอ่านได้ไม่ยาก) ผมคิดว่านี่คือความสามารถที่พวกเราไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่ไม่เจนจัดเรื่องกฎหมายก็ควรนิ่งเฉย ไม่ต้องทำอะไรเลย
ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องถามตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่า
ท่านคิดว่า ไผ่ ดาวดิน ได้รับการปฏิบัติโดยขบวนการยุติธรรม อย่างไร
และในฐานะนักเขียน เราสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง
ผมอยากตะโกนถาม แต่ไม่ทราบจะตะโกนถามจากใคร เรียกร้องจากใคร ก็เลยถามเพื่อนนักเขียนนี่แหละ
เช่นเดียวกับผู้คนทุกคน ทุกอาชีพในสังคม ครู อาจารย์ นักธุรกิจ ศิลปิน ชาวไร่ชาวนา เศรษฐี หรือกระทั่งผู้พิพากษาทุกท่านบนผืนแผ่นดิน ผมอยากบอกว่ากลับไปอ่านข่าวให้ละเอียด เอาข้อกฎหมายมาพลิกดู ถามใจตัวเองดู ตัดอคติทั้งมวลทิ้ง เก็บทรรศนะทางการเมืองที่ทำให้ขุ่นมัวด้วยความรักความชังออกไป มองดูเพียงว่ากรณีของเขานี้ เขาได้รับสิ่งที่ควรหรือไม่
เราจะเรียกหาความยุติธรรมได้จากที่ไหน หากไม่เริ่มที่ใจเรา
ความขลาดหวาดกลัว ความเพิกเฉย ความเกลียดชัง มีผลให้อนาคตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งสูญเสียไปตลอดกาล อย่าว่าแค่อนาคตของประเทศชาติเลย
ผมขอร้องอีกครั้ง เพื่อนนักเขียนทุกคนครับ ทรรศนะทางการเมืองเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราแตกแยกและไม่พูดคุยกันเป็นเวลาร่วมๆ 10 ปีแล้ว เอาวางไว้ก่อน เรายังต้องถกเถียงต้องต่อสู้กันเรื่องนั้นแน่ๆ แต่วันนี้ นาทีนี้ ผมขอถามทรรศนะเรื่องความยุติธรรม เปิดอกกันให้ชัดๆ ว่าเรายังมีความยุติธรรมอยู่ในหัวใจหรือเปล่า
เราคิดเรื่องความยุติธรรมอย่างไร มองเห็นตรงกันไหม
ผมไปเยี่ยมไผ่มาครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 60 ด้วยความช่วยเหลือของคุณแม่และคนรักของเขา ผมไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ในทางส่วนตัว รู้แต่เรื่องงานสิ่งแวดล้อมที่เขาต่อสู้ ในวันนั้นเราไม่ได้คุยกันนัก ความจริงแล้ว เจอหน้าแล้ว ผมไม่ได้อยากคุย แต่อยากร้องไห้มากกว่า
ผมบอกแล้วว่าเกิดไม่ทันศรีบูรพา ไม่ทันจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ผมเชื่อว่าแววตาคับแค้นที่โชนประกายตรงหน้านั้น เป็นแววตาเดียวกัน
มิพักต้องพูดหรอกครับว่า แล้วในที่สุด คนหนึ่งออกจากคุก เดินทางไปตายนอกประเทศ คนหนึ่งต้องตายในป่า อะไรคือเหตุที่ผลักให้พวกเขาต้องออกไป ถ้าไม่ใช่ความขี้ขลาดใจแคบของสังคมที่ไม่ปกป้องพวกเขาในครั้งนั้น
วันนี้ มันกำลังจะเกิดอีกครั้ง
แต่วันนี้ตัวเราไม่ได้เป็นเพียงอสุจิ และวันนี้เราไม่ไร้เดียงสาอีกแล้ว
ไม่ต้องเชื่อผมหรอกครับ ลองไปเยี่ยมไผ่ ดาวดิน ดูสักครั้ง ไปเพ่งดวงตาคู่นั้นสักครั้ง จะไปกันเองหรือไปพร้อมกับผมก็ได้ ยินดีครับ นัดหมายกันมาเลย
 
เคารพ
บินหลา สันกาลาคีรี
หมายเหตุ : จดหมายฉบับนี้ เดิมที ผมตั้งใจจะเขียนถึงพี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในฐานะนักเขียนอาวุโส ศิลปินแห่งชาติ และสมาชิก สนช. เพราะอยากทราบทรรศนะเรื่องความยุติธรรมจากเขา แต่คิดว่าเขาอาจเข้าใจว่าผมต้องการแขวะหรือหาเรื่อง อันจะทำให้ไม่ได้รับคำตอบเปล่าๆ ผมจึงเขียนถึงนักเขียนทุกคนครับ และยินดีอย่างยิ่งถ้ามีใครจะให้คำตอบ โดยเฉพาะพี่เนาวรัตน์ อยากทราบทรรศนะเรื่องความยุติธรรมจริงๆ
อีกประการคือผมไม่รู้หรอกครับว่าจดหมายฉบับนี้จะมีที่ผิดกฎหมายหรือไม่ พยายามเขียนอย่างไตร่ตรองแล้วทุกตัวอักษร เพื่อสื่อสารให้เข้าใจกัน ถ้าผิด ก็ยินดีครับ มาจับไปเลย
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บินหลา สันกาลาคีรี ชวนเพื่อนนักเขียนเยี่ยม ไผ่ ดาวดิน

$
0
0



15 มกราคม 2560

เรียน พี่น้องนักเขียนทุกท่าน


ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม

ครั้งที่ศรีบูรพา, จิตร ภูมิศักดิ์ ตลอดจนนักเขียนและนักข่าวหลายคนถูกจับเข้าคุกในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ผ่านมา หลายคนยังไม่เกิด ขณะที่หลายคนที่เกิดแล้วแต่อยู่ในวัยไร้เดียงสา ใช่ไหมครับ

ผมเองก็ยังไม่เกิด

แต่เรารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

เราอ่าน เราศึกษา เราจึงเขียน จึงจดจำมาบอกเล่าต่อ

เราเล่าว่าพวกเขาต้องเผชิญความอยุติธรรมอย่างไร เราชื่นชมในความกล้าหาญ แน่วแน่ ของพวกเขา (ถ้าใครยังไม่รู้จักสองคนนี้อาจติดตามได้จากหนังสือ เรื่องของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นหนังสือหลายเล่ม รวมทั้งเพลงพี่หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติ ประวัติศรีบูรพาแนะนำเล่มที่เขียนโดยชมัยภร แสงกระจ่าง ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งค้นคว้าละเอียด ราวสวมวิญญาณ ความกล้าหาญ และอุดมการณ์ศรีบูรพาจริงๆ)

แต่ประเด็นของผมคือ 50 กว่าปีผ่านไป วันนี้เรายังมีคนที่ถูกความยุติธรรมสีดำทำร้ายอยู่อีกครับ

ล่าสุดคือกรณีของไผ่ ดาวดิน

นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

หลายท่านคงทราบ ไผ่ติดคุกอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว เพราะศาลเพิกถอนข้อตกลงให้ประกันตัว วันนี้ใกล้ครบ 1 เดือนที่เขาต้องอยู่ในเรือนจำแล้ว

ทางครอบครัวไผ่และทนายความได้ยื่นขอประกันตัวตามสิทธิ์ของผู้ต้องหา เท่าที่ผมทราบได้ยื่นขอมา 4-5 ครั้งแล้ว ทุกครั้งถูกยกคำร้อง

คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนนักกฎหมายหลายคนได้ยื่นต่อศาล แสดงความไม่เห็นด้วยกับดุลยพินิจ โดยแสดงความรู้และทรรศนะทางกฎหมาย (เพื่อนนักเขียนคงติดตามค้นหาอ่านได้ไม่ยาก) ผมคิดว่านี่คือความสามารถที่พวกเราไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่ไม่เจนจัดเรื่องกฎหมายก็ควรนิ่งเฉย ไม่ต้องทำอะไรเลย

ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องถามตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่า

ท่านคิดว่า ไผ่ ดาวดิน ได้รับการปฏิบัติโดยขบวนการยุติธรรม อย่างไร

และในฐานะนักเขียน เราสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง

ผมอยากตะโกนถาม แต่ไม่ทราบจะตะโกนถามจากใคร เรียกร้องจากใคร ก็เลยถามเพื่อนนักเขียนนี่แหละ

เช่นเดียวกับผู้คนทุกคน ทุกอาชีพในสังคม ครู อาจารย์ นักธุรกิจ ศิลปิน ชาวไร่ชาวนา เศรษฐี หรือกระทั่งผู้พิพากษาทุกท่านบนผืนแผ่นดิน ผมอยากบอกว่ากลับไปอ่านข่าวให้ละเอียด เอาข้อกฎหมายมาพลิกดู ถามใจตัวเองดู ตัดอคติทั้งมวลทิ้ง เก็บทรรศนะทางการเมืองที่ทำให้ขุ่นมัวด้วยความรักความชังออกไป มองดูเพียงว่ากรณีของเขานี้ เขาได้รับสิ่งที่ควรหรือไม่

เราจะเรียกหาความยุติธรรมได้จากที่ไหน หากไม่เริ่มที่ใจเรา

ความขลาดหวาดกลัว ความเพิกเฉย ความเกลียดชัง มีผลให้อนาคตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งสูญเสียไปตลอดกาล อย่าว่าแค่อนาคตของประเทศชาติเลย

ผมขอร้องอีกครั้ง เพื่อนนักเขียนทุกคนครับ ทรรศนะทางการเมืองเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราแตกแยกและไม่พูดคุยกันเป็นเวลาร่วมๆ 10 ปีแล้ว เอาวางไว้ก่อน เรายังต้องถกเถียงต้องต่อสู้กันเรื่องนั้นแน่ๆ แต่วันนี้ นาทีนี้ ผมขอถามทรรศนะเรื่องความยุติธรรม เปิดอกกันให้ชัดๆ ว่าเรายังมีความยุติธรรมอยู่ในหัวใจหรือเปล่า

เราคิดเรื่องความยุติธรรมอย่างไร มองเห็นตรงกันไหม

ผมไปเยี่ยมไผ่มาครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 60 ด้วยความช่วยเหลือของคุณแม่และคนรักของเขา ผมไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ในทางส่วนตัว รู้แต่เรื่องงานสิ่งแวดล้อมที่เขาต่อสู้ ในวันนั้นเราไม่ได้คุยกันนัก ความจริงแล้ว เจอหน้าแล้ว ผมไม่ได้อยากคุย แต่อยากร้องไห้มากกว่า

ผมบอกแล้วว่าเกิดไม่ทันศรีบูรพา ไม่ทันจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ผมเชื่อว่าแววตาคับแค้นที่โชนประกายตรงหน้านั้น เป็นแววตาเดียวกัน

มิพักต้องพูดหรอกครับว่า แล้วในที่สุด คนหนึ่งออกจากคุก เดินทางไปตายนอกประเทศ คนหนึ่งต้องตายในป่า อะไรคือเหตุที่ผลักให้พวกเขาต้องออกไป ถ้าไม่ใช่ความขี้ขลาดใจแคบของสังคมที่ไม่ปกป้องพวกเขาในครั้งนั้น

วันนี้ มันกำลังจะเกิดอีกครั้ง

แต่วันนี้ตัวเราไม่ได้เป็นเพียงอสุจิ และวันนี้เราไม่ไร้เดียงสาอีกแล้ว

ไม่ต้องเชื่อผมหรอกครับ ลองไปเยี่ยมไผ่ ดาวดิน ดูสักครั้ง ไปเพ่งดวงตาคู่นั้นสักครั้ง จะไปกันเองหรือไปพร้อมกับผมก็ได้ ยินดีครับ นัดหมายกันมาเลย

เคารพ
บินหลา สันกาลาคีรี

 


หมายเหตุ:จดหมายฉบับนี้ เดิมที ผมตั้งใจจะเขียนถึงพี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในฐานะนักเขียนอาวุโส ศิลปินแห่งชาติ และสมาชิก สนช. เพราะอยากทราบทรรศนะเรื่องความยุติธรรมจากเขา แต่คิดว่าเขาอาจเข้าใจว่าผมต้องการแขวะหรือหาเรื่อง อันจะทำให้ไม่ได้รับคำตอบเปล่าๆ ผมจึงเขียนถึงนักเขียนทุกคนครับ และยินดีอย่างยิ่งถ้ามีใครจะให้คำตอบ โดยเฉพาะพี่เนาวรัตน์ อยากทราบทรรศนะเรื่องความยุติธรรมจริงๆ

อีกประการคือผมไม่รู้หรอกครับว่าจดหมายฉบับนี้จะมีที่ผิดกฎหมายหรือไม่ พยายามเขียนอย่างไตร่ตรองแล้วทุกตัวอักษร เพื่อสื่อสารให้เข้าใจกัน ถ้าผิด ก็ยินดีครับ มาจับไปเลย
 

เผยแพร่ครั้งแรกใน เฟซบุ๊ก Writer Thailand

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสนอแปล ‘ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง’ ขยายองค์ความรู้ล้านนาคดีศึกษา

$
0
0

ประชุมวิชาการล้านนาข้ามแดน เสนอปริวรรต “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง” ชวนอภิปรายโดย วสันต์ ปัญญาแก้ว ด้าน สมหมาย เปรมจิตต์ หวังสร้างความรู้แจ้งแก่คนรุ่นหลัง ศรีเลา เกษพรหม ชี้ฉบับเชียงรุ่งมีความสำคัญ หลังสิบสองปันนาผ่านยุคจีนล้างศาสนา นอกจากนี้ยังเสนอให้แปลตำนานพระธาตุ-ตำนานพระบาทที่ยังกระจัดกระจาย ให้เป็นกิจจะลักษณะด้วย

ขณะที่เธียรชาย อักษรดิษฐ์ เสนอว่า การแปลจะทำให้สามารถเทียบกับตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับอื่นๆ ในภูมิภาค รวมทั้งตำนานอุรังคธาตุในอีสาน ซึ่งจะทำให้เห็นบริบททางพุทธศาสนาในภูมิภาคที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนสุดแดน วิสุทธิลักษณ์ เสนอว่าตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับที่อ่านกันอยู่เป็นมุมมองของเชียงใหม่ที่มองออกไปข้างนอก ขณะที่หวังว่าฉบับเชียงรุ่งจะช่วยให้เห็นมุมมองจากพื้นที่ชายแดนอีกด้วย และหากนำแต่ละฉบับมาเปรียบเทียบกันก็จะทำให้การศึกษาน่าสนใจยิ่งขึ้น

คลิปเสวนา “โครงการปริวรรตและจัดพิมพ์ ‘ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง’” โดยเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการ "ล้านนาข้ามแดน" เมื่อ 13 มกราคม 2560 ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

(จากซ้ายไปขวา) สมหมาย เปรมจิตต์, ศรีเลา เกษพรหม และวสันต์ ปัญญาแก้ว

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ในการประชุมวิชาการ "ล้านนาข้ามแดน" จัดโดย คณะกรรมการเตรียมการจัดประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการประชุมดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเสนอผลงานทางวิชาการ เพื่อทำความเข้าใจตำนาน ประวัติศาสตร์ เครือข่ายความสัมพันธ์ข้ามแดน และองค์ความรู้ด้านล้านนาคดีศึกษาที่ไม่ได้จำกัดแค่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยเท่านั้น

โดยในช่วงเช้ามีการอภิปรายเรื่อง “โครงการปริวรรตและจัดพิมพ์ ‘ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง’” กล่าวแนะนำและดำเนินรายการโดย วสันต์ ปัญญาแก้ว คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีผู้อภิปรายโดย สมหมาย เปรมจิตต์ อดีตอาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ริเริ่มโครงการ “การสำรวจคัมภีร์ใบลานใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน” และศรีเลา เกษพรหม ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกล้านนา อดีตนักวิจัยสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ร่วมอภิปรายโดย เธียรชาย อักษรดิษฐ์ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวัลลภ ทองอ่อน คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

ตำนานพระเจ้าเลียบโลก รจนาโดยภิกษุชาวมอญชื่อ "พระธรรมรส" ได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์หงสาวดีให้ไปศึกษาพระพุทธศาสนามาจากลังกา ทำให้ทราบรายชื่อของพระพุทธเจดีย์และรอยพระบาทที่สำคัญ และทำให้พระธรรมรสจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ในอาณาจักรมอญและดินแดนต่อเนื่อง ในระหว่าง พ.ศ. 2060-2066 และเริ่มเขียนงานชื่อ "พยาเทสะจารี" เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานเกศาธาตุตามที่ต่างๆ พร้อมการพยากรณ์ในดินแดนที่สำคัญว่าจะมีการสร้างพระธาตุ หรือมีรอยพระพุทธบาท โดยต่อมาได้รับการแปลเป็นอักษรล้านนาชื่อ "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อ "ตำนานพระอุรังคธาตุ" และ "ลำพระเจ้าเยี่ยมโลก" ของล้านช้างด้วย

โดยตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับอักษรล้านนานั้น "พระมหาโพธิสมภาร" ภิกษุชาวลำพูนได้คัดลอกไว้จากพระธรรมรสเมื่อปี พ.ศ. 2066 ขณะพระธรรมรสจาริกแสวงบุญตามศาสนสถานต่างๆ และมีการคัดลอก ปรับปรุงเพิ่มเติม และเผยแพร่ในดินแดนต่างๆ กลายเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญในล้านนาและพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงเชียงรุ่งในสิบสองปันนาด้วย โดยในปี พ.ศ. 2518 สิงฆะ วรรณสัย ได้ปริวรรตตำนานพระเจ้าเลียบโลกเป็นภาษาไทย

วสันต์ ปัญญาแก้วเริ่มแนะนำโครงการว่า มีตำนานพระเจ้าเลียบโลกเรื่องเดียวกันนี้ แต่มีหลายฉบับ ที่ปรากฏพบในดินแดนแถบนี้ สำหรับตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่งนั้น เป็นฉบับที่จาร และจารึก ลงในใบลาน ที่เขียนโดยพระสงฆ์ในแถบเชียงรุ่ง และได้มีการคัดสรร คัดเลือก เพื่อนำมาปริวรรตดังกล่าว ทั้งนี้จารีตดั้งเดิมของสิบสองปันนา-ล้านนา คือทานธรรม โดยให้ผู้ที่บวชเรียนคัดวรรณกรรมหรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเพื่อถวายให้กับวัด

และในที่สุดก็เกิดเป็นความคิดว่า เป็นโอกาสที่ดี และถ้ายึดตำนานเลียบโลกฉบับวัดกู่คำ ที่สิงฆะ วรรณสัย ก็จะครบ 100 ปี ในปีนี้ด้วย และในทางวิชาการ เราเห็นความสำคัญการศึกษาด้านล้านนาคดี จึงอยากเห็นการปริวรรตตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง จึงติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรธรรม และล้านนาคดี คือ สมหมาย เปรมจิตต์ และศรีเลา เกษพรหม มาร่วมอภิปรายในประเด็นของ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง

สมหมาย เปรมจิตต์ เสนอแนวคิดในการดำเนินการปริวรรตว่า ในส่วนของบทนำ ต้องการสร้างความรู้แจ้งแก่คนรุ่นใหม่ได้คิดถึงช่วงเวลาที่มีการเขียนพระเจ้าเลียบโลก คือเราต้องสมมติตัวว่ามีวิญญาณหรือแนวคิดของคนสมัยนั้นเพื่อเข้าไปอ่าน เข้าไปศึกษา ถึงจะรู้ว่ามันเป็นบริบทแบบไหน

ทั้งนี้จารีตการแต่งวรรณกรรม หรือตำนานเพื่อพุทธศาสนาในล้านนา ก็นำมาจากธรรมเนียมของลังกา ทั้งชินกาลมาลีปกรณ์ จามเทวีวังศะ ก็มีแบบอย่างเหมือนมหาวงศ์ และจุลวงศ์ของลังกา ในส่วนของการแต่งตำนานพระเจ้าเลียบโลก ก็เพื่อให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ หรือให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง คนจะได้เลื่อมใสศรัทธาในสถานที่นั้นๆ หากไม่มีตำนานของสถานที่สำหรับสักการะบูชา คนก็จะไม่นับถือ เหมือนธรรมเนียมการไหว้ต้นโพธิ์ น่าเอ็นดู เข้ามาในดินแดนแถบนี้หลายยุค มาตั้งแต่สมัยพญามังราย แต่ก็ไม่มีใครไปไหว้ เพราะเราไม่ได้มีธรรมเนียมไหว้ต้นไม้เหมือนแขกอินเดีย ธรรมเนียมไหว้ต้นโพธิ์ก็ตกไป

ในส่วนของสำนวนในตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง ถือว่ามีความดังเดิม และเนื่องจากฉบับที่ปริวรรตดังกล่าวมีการเรียบเรียงเป็นตัวพิมพ์ไทลื้อแล้วจึงอ่านได้ง่าย แต่ตัวลายมือที่แสดงต้นฉบับอยู่ในเล่ม มีขนาดเล็กต้องใช้แว่นขยาย ทั้งนี้ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง ถือว่าคัดกรองต้นฉบับมาดีพอสมควร เหมือนกับตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับแปลโดยสิงฆะ วรรณสัย

สำหรับหนังสือที่ผ่านการปริวรรตนั้น ต้องใช้ความรอบคอบมากในการเตรียมต้นฉบับ หากจะไม่ให้พลาดต้องอ่านกันหลายคน บรรณาธิการเล่มต้องอ่านเป็น 10 เที่ยว อย่างไรก็ตามมีเรื่องน่าเสียดายที่ในระยะหลังงานปริวรรตของหน่วยงานราชการบางแห่ง ก็มีข้อความผิด ซึ่งไม่ใช่ข้อความตกหล่นแต่เป็นข้อความที่ปริวรรตออกมาผิด ซึ่งไม่ควรให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น

ศรีเลาเกษพรหม นำเสนอว่า ถ้าจะปริวรรตตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง ต้องมีการสืบถามว่าสิบสองปันนาใช้ต้นฉบับจากที่ไหน อย่าลืมว่าสิบสองปันนานั้นหลัง พ.ศ. 2509 ที่เขาเรียกว่า “ม้างศาสนา” เอกสารหายหมด ตัวเขาเคยเดินทางไปสิบสองปันนาเพื่อสืบถามวัดที่รักษาคัมภีร์เก่า สอบถามจึงทราบว่าได้มาจากพระสงฆ์ที่ไปอยู่เชียงตุง เลยเอาไปเขียนใส่กระดาษ A4 แล้วเอาไปถวายให้พระ พระก็เทศน์ด้วยเอกสาร A4 นี่แหละ ดังนั้นเอกสารดั้งเดิมจริงๆ ในสิบสองปันนานั้นหายาก ต้องสืบดูว่ามีการใช้ต้นฉบับเดิมมาจากวัดไหน

สำหรับการปริวรรตก็ไม่มีขั้นตอนยาก ในฉบับนี้อาจจะใช้อักษรไทลื้อใหม่ ก็ค่อยๆ ปริวรรตได้ แต่สำคัญที่ว่า ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง จะมีส่วนที่ดีกว่าตำนานในฉบับของล้านนาหรือไม่ เพราะตำนานพระเจ้าเลียบโลกนั้น มีส่วนที่กลายเป็นตำนานพระธาตุต่างๆ เพราะวัดแต่ละที่ก็นำตำนานพระธาตุไปจากตำนานพระเจ้าเลียบโลก และตำนานพระธาตุในแต่ละแห่ง ก็จะมีความละเอียดเพิ่มขึ้น หรือมีการนำไปปรับปรุงเพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าตำนานพระเจ้าเลียบโลก ดังนั้น โครงการปริวรรตและจัดพิมพ์ ‘ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง’ น่าจะรวบรวมตำนานพระธาตุต่างๆ เช่น ผมเพิ่งได้อ่านตำนานพระธาตุโต้งตุ๋ม (ทุ่งตูม) แล้วนำไปถวายวัดดังกล่าว หรือพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุช่อแฮ ฯลฯ แล้วนำมาเทียบกับตำนานพระเจ้าเลียบโลก ว่าผิดไปจากกันอย่างไร หรือมีรายละเอียดมากกว่ากันอย่างไร

นอกจากนี้ได้คุยกับ พระอาจารย์นคร ปรังฤทธิ์ จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยด้วยว่า ได้เคยอ่านตำนานพระบาท 8 ผูก ที่รักษาไว้โดย ฮันส์ เพนธ์ นักจารึกวิทยาผู้มีชื่อเสียง ทั้งนี้เรามักจะเจอตำนานพระธาตุ แต่ในกรณีนี้เป็นตำนานพระบาท ที่มีนักวิชาการเสนอว่าพระธาตุทางล้านนามีมาก ส่วนรอยพระพุทธบาททางเชียงตุงมีมากกว่านั้น ขอเสนอว่าถ้าได้อ่านตำนานพระบาทฉบับนี้ จะพบว่าล้านนาก็มีรอยพระพุทธบาทอยู่มากเช่นกัน โดยมีข้อมูลเรื่องรอยพระพุทธบาทหลายแห่งไปถึงแถบสุโขทัย จึงขอเสนอให้ทางมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยแปลตำนานพระบาทอย่างเป็นกิจจะลักษณะด้วย

อีกเรื่องหนึ่งเหตุใดเมื่อนิมนต์พระสุมนเถระมาล้านนาแล้วต้องไปอยู่ที่ลำพูน ก็เพราะลำพูนเป็นเมืองศาสนา สมัยพญามังรายตีลำพูนได้แล้วก็อยู่ไม่ได้เพราะลำพูนเป็นเมืองศาสนา ดังนั้นเมื่อได้ศาสนามาก็ต้องไปอยู่ที่ลำพูนก่อน สำหรับพระธาตุที่พระสุมนเถระได้มานั้น มาจากการขุดวัดร้างที่เมืองปางจา ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างสุโขทัยกับศรีสัชนาลัย เมื่อได้พระธาตุมาก็เดินทางมาที่วัดสวนดอก เชิญเจ้าเมืองมาดูพระธาตุ เพื่อสรงน้ำ ซึ่งอาจจะเทน้ำขมิ้นส้มป่อยแรงไป ทำให้พระธาตุแตกเป็น 2 อัน แต่ในตำนานก็ต้องบอกว่าแสดงปาฏิหาริย์ โดยพระธาตุองค์หนึ่งไว้ที่วัดสวนดอก อีกองค์ไว้ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ พระสุมนเถระซึ่งต่อมาจะเป็นพระพุทธศาสนานิกายสวนดอก ซึ่งพระสุมนเถระก็ยังเป็นพระธรรมดาอยู่ ไม่ได้เคร่งครัดมาก เมื่อพญากือนาขอเอาพระธาตุบรรจุที่วัดสวนดอก ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับพระสุมนเถระโดยให้หลานของพระสุมนเถระไปเป็นเจ้าเมืองที่เวียงด้ง ต่อมาพุทธศาสนาสายพระสุมนเถระอ่อนตัวลง พระเจ้าติโลกราชจึงต้องไปอาราธนาพุทธศาสนามาจากลังกาอีกหนหนึ่งกลายเป็นพุทธศาสนานิกายป่าแดง เมื่อกล่าวโดยสรุป ตำนานพระธาตุน่าจะเป็นสายวัดสวนดอก ส่วนตำนานพระบาทจะเป็นสายวัดป่าแดง

(จากซ้ายไปขวา) เธียรชาย อักษรดิษฐ์, วัลลภ ทองอ่อน, สุดแดน วิสุทธิลักษณ์, สมหมาย เปรมจิตต์, ศรีเลา เกษพรหม และวสันต์ ปัญญาแก้ว

วสันต์ เสนอด้วยว่า ถ้าจะปริวรรตจริงๆ คงจะต้องติดต่อไปที่สิบสองปันนา เพื่ิอสอบถามคณะผู้ปริวรรตว่าเอาใบลานเหล่านี้มาจากไหน เพราะเขาก็ปริวรรตเป็นตัวไท และใช้ฟอนต์คอมพิวเตอร์ มีพินยิน มีอักษรจีน ที่เราสนใจคือภาพใบลานที่แสดงไว้ในหนังสือฉบับดังกล่าว ซึ่งเท่าที่สอบถามคร่าวๆ น่าจะได้มาจากแถวชายแดนจีน-พม่า อาจจะมาจากแถบเชียงตุง เมืองลา เมืองหุน แล้วเข้ามาในสิบสองปันนา เพราะช่วงที่จีนมีการปฏิวัติ ก็ต้องข้ามหนีเข้าพม่า

นอกจากนี้ตำนานพระเจ้าเลียบโลกนั้นมีวิธีอ่านได้หลายแบบ แต่ก็เป็นต้นเค้าใหญ่ของวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่ทรงคุณค่า และมีตำนานพระธาตุ ตำนานพระบาทแห่งต่างๆ ที่แยกแขนงออกไป นำไปแต่งขยายความเพิ่มเติม โดยอาจารย์ศรีเลาก็เสนอว่ายังมีตำนานอีกจำนวนมากที่ยังขาดการปริวรรต ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องใหม่ และอาจจะต้องมีอีกโครงการหนึ่งเพื่อส่งเสริมการปริวรรตขึ้นมา หรือมีข้อสังเกตเรื่องตำนานพระบาทอยู่ในโครงการปริวรรต ‘ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง’ ด้วย

เธียรชายอักษรดิษฐ์เสนอว่า การปริวรรตตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง มีความน่าสนใจว่าจะได้มีการเปรียบเทียบทั้งเรื่องสำนวน เรื่องวิธีการหยิบยืมซึ่งกันและกัน การกล่าวอ้างอิงเรื่องสถานที่และเหตุการณ์ และอาจลงลึกถึงเรื่องราว เหตุการณ์ในช่วงที่มีการเรียบเรียงด้วย ซึ่งก็จะทำให้เห็นภาพจิ๊กซอว์ ทำให้เห็นภาพที่ใหญ่ขึ้น และนอกจากสำนวนที่เราใช้ในล้านนาแล้ว ก็จะได้ขยายพื้นที่ เพิ่มเติมเนื้อหาเพื่อใช้อ้างอิงซึ่งกันและกัน รวมทั้งเทียบกับสำนวนในลุ่มน้ำโขง ในพื้นที่ลาว หรือภาคอีสาน และตำนานอุรังคธาตุ ซึ่งเป็นแม่บทใหญ่ของตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับอีสาน ซึ่งทั้งหมดเมื่อนำมารวมกันเป็นผืนใหญ่ จะทำให้เห็นภาพบริบททางพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

วัลลภ ทองอ่อน ตำนานพระเจ้าเลียบโลก นับเป็นวัฒนธรรมร่วมในภูมิภาคแถบนี้ทั้งหมด ขณะที่จีนก็เริ่มหันมาวิจัยแล้วเสนอว่าเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของชาติ ดังนั้นถ้าฝ่ายไทยได้ทำวิจัยบ้าง ก็จะได้มีความก้าวหน้าหลักในเรื่องตำนานพระเจ้าเลียบโลก ที่เป็นผลงานของฝ่ายไทยด้วย

สุดแดนวิสุทธิลักษณ์ กล่าวว่าสนับสนุนเต็มที่ให้มีการแปลตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับเชียงรุ่ง โดยตำนานพระเจ้าเลียบโลกฉบับที่อ่านกันอยู่ ก็เป็นมุมมองของเชียงใหม่ที่มองไปข้างนอก แต่ในกรณีของฉบับเชียงรุ่ง ก็จะทำให้มองเห็นวิธีคิดของคนพื้นถิ่น คนชายแดนว่ามองเรื่องนี้อย่างไร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันก็น่าจะสนุกมาก

สำหรับพระเจ้าเลียบโลกก็เป็นตำนานที่สืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน เป็นการเขียนขึ้นเพื่อการฟัง หมายความว่าเป็นการเขียนขึ้นเพื่ออ่าน ให้คนอื่นๆ ฟังเรื่องของการเดินทาง ปัจจุบันก็ยังมีซอพระเจ้าเลียบโลกสืบมาในปัจจุบัน

หากพูดถึงมุมมองสมัยใหม่ ถ้าจะให้ดูกลางเก่ากลางใหม่ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ก็เป็นวิธีการเดินทางของผู้ชาย ที่เดินทางไปในที่ต่างๆ และบอกว่าไปเจออะไรบ้าง และเรายังไม่เห็นบทบาทของผู้หญิงเลย เมื่อเราอ่านตำนานพระเจ้าเลียบโลกในฉบับอื่น เราจะเห็นมุมมองแบบนี้หรือไม่

ตำนานพระเจ้าเลียบโลกในส่วนของไทยนั้น เราประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชาติประกาศเมื่อปี 2553 แต่ในแง่การทำงานของรัฐชาติต่อเรื่องนี้ ยังไม่อาจเทียบเท่ากับจีน ที่เขาทำออกมานานแล้ว และสมบูรณ์ในส่วนของเขาเอง แต่ของเรายังพึ่งพางานปริวรรตฉบับสิงฆะ วรรณสัยที่ทำในปี พ.ศ. 2518 ก็เป็นภาระหน้าที่ของรัฐชาติ ของมหาวิทยาลัย ของผู้มีความรู้ทั้งหลายที่จะได้ทำให้สำเร็จในส่วนที่เป็นภาษาไทยโดยคนของเราเอง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>