Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

Whistleblower จากทหารอาชีพชื่อ โจ ดาร์บี้ ถึง เชลซี แมนนิ่ง

$
0
0

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) ทวีตเรียกร้องขอความปรานีจากบารัค โอบามาว่า สิ่งหนึ่งที่เขาจะกระทำเพื่อเป็นการแสดงความเมตตาปรานีเป็นหนสุดท้ายก่อนอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีได้ก็คือ การปลดปล่อยเชลซี แมนนิ่ง Chelsea Manning

แมนนิ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 35 ปี ด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์หลายข้อ เนื่องมาจากการเปิดเผยความลับทางทหารและทางราชการของสหรัฐฯ สมัยที่ยังรับราชการและยังไม่เปลี่ยนเพศในชื่อเก่าว่า Bradley Manning แบรดลีย์ แมนนิ่ง

สิ่งที่เขาเปิดเผยหลายเรื่องเป็นการเปิดโปงสหรัฐฯ ชนิดที่ถือว่าเป็นขบถทีเดียว เรื่องใหญ่ๆ ที่วิกิลีคส์นำไปเผยแพร่เช่นเบื้องหลังการโจมตีทางอากาศกรุงแบกแดดเมื่อเดือน กรกฎาคม 2007 dkiเปิดเผยข้อความจากการสื่อสารภายในและกับประเทศต่างๆ ที่ฮือฮาหลายเรื่อง วิกิลีคส์อ้างว่า การกระทำของแมนนิ่งนั้นมีคนเชื่อว่ามีส่วนส่งผลให้เกิดอาหรับสปริง แต่ตัวคนเปิดเผยความลับคือแมนนิ่งกลับถูกจับ ถูกดำเนินคดีและตัดสินโทษต้องถูกจองจำในเรือนจำ maximum security

ทวีตของสโนวเดนได้เรียกทั้งเสียงเชียร์และด่าเช่นเดียวกันกับการเปิดเผยข้อมูลทางทหารของแมนนิ่ง บางคนว่าเขาเป็นฮีโร่ แต่บางคนก็ก่นด่าว่าเขาเป็นกบฎ แต่ก็มีหลายคนบอกว่า ไม่ใช่เฉพาะแมนนิ่ง แต่ตัวสโนวเดนเอง รวมทั้งจูเลียน อัสสานจ์ Julian Assange สามคนนี้ที่เอาความลับราชการมาเปิดเผย แม้จะผิดกฎหมายแต่ช่วยทำให้สังคมตาสว่างขณะที่ตัวเองเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย  พวกเขาต่างล้วนแล้วควรได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น

อันที่จริงแล้ว ถ้าจะพูดถึงชะตากรรมของพวกเปิดโปงความลับทางการ whistleblower เราควรรำลึกถึง  โจ ดาร์บี้ Joe Darby อดีตทหารอเมริกันที่ทำให้โลกได้รับรู้เรื่องการทรมานนักโทษของทหารอเมริกันในค่ายอาบูกราอิบ  คนที่เปิดโปงไปแล้วรักษาหน้าตากองทัพอเมริกันไว้ได้แต่ตัวเองเอาตัวแทบไม่รอด

เรื่องนี้ควรค่าแก่การใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศ impunity ที่เมืองไทยมีอย่างเปี่ยมล้น และภายใต้วิธีคิดไม่ฟ้องนายไม่ขายเพื่อน

โจ ดาร์บี้ เคยเป็นสารวัตรทหาร (military police MP) ของกองทัพสหรัฐฯ ทำงานในอิรัก เรื่องเกิดเมื่อปี 2004 เขาไปทำงานที่นั่นได้เจ็ดเดือน วันหนึ่งมีคนส่งซีดีรูปเพื่อนๆ มาให้เขาดู ดาร์บี้เปิดดูตอนแรกเจอรูปคนเปลือยกองสุมกัน เขายังนั่งขำ เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนๆ ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ตามปกติทหารที่นั่น แต่พอดูไปเรื่อยๆ เขาเริ่มตระหนักว่า รูปที่เห็นคือนักโทษชาวอิรักในเรือนจำอาบูกราอิบ ภาพต่อๆ มาเป็นภาพการทรมานนักโทษ เพื่อนเขาทุบตีนักโทษ ทหารหญิงเอาเชือกล่ามนักโทษราวกับสุนัข หลายภาพเป็นการกระทำที่แสดงควาดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขังโดยทหาร

ดาร์บี้เห็นภาพเหล่านั้นแล้วจึงรู้สึกอึดอัดอย่างหนัก จนต้องลุกออกไปอัดบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าท่ามกลางอากาศร้อนฉ่าของอิรัก เขาถกเถียงกับตัวเองอย่างหนัก เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์ ก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่า เขาจะไม่เพิกเฉยและตัดสินใจรายงานเรื่องดังกล่าวไปตามลำดับชั้น จนทำให้เกิดการสอบสวน เพื่อนๆ ของเขาถูกทำโทษ เพราะนี่หมายถึงการกระทำที่ผิดอนุสัญญาเจนีวา และความไม่เป็นมืออาชีพของทหารอเมริกัน

ดาร์บี้คิดว่าเขาทำตามหน้าที่ของเขา และตามระเบียบการกระทำเช่นนี้ เขาสามารถขอให้กองทัพปกปิดชื่อของเขาได้ ซึ่งตอนแรกก็เป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏว่าโดนัลด์ รัมสเฟลด์ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ในตอนนั้นได้เปิดเผยชื่อของดาร์บี้ว่าเขาเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ในวันนั้นเขากำลังกินข้าวอยู่ในโรงอาหารพร้อมทหารอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

คิดดูก็แล้วกันว่ามันน่าสยองขนาดไหน

ดาร์บี้เล่าว่า ในช่วงที่อยู่ที่นั่นเขาหวาดกลัวมาก กลัวว่าในระหว่างนั้นอาจตายด้วยน้ำมือของเพื่อนทหารด้วยกันที่เกลียดชังเขา เพราะเขาทำให้ทหารอเมริกันต้องติดคุก

ผลของการเปิดโปงการกระทำของเพื่อนทหารด้วยกัน และผลของการที่รัมสเฟลด์เปิดเผยชื่อดาร์บี้ให้สาธารณะได้รับรู้ ทำให้ชีวิตของเขาและครอบครัวเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า พวกเขาต้องย้ายที่อยู่เพราะสังคมรอบด้านไม่ยอมรับ บ้านโดนงัดแงะ ถูกข่มขู่ เขาและภรรยาต้องเปลี่ยนงาน

ดาร์บี้ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชน สื่อหลายแห่งได้สัมภาษณ์เขา แต่ในเพจวิกีลีคมีข้อมูลว่า เขาได้รับจดหมายจากรัมสเฟลด์ที่ขอร้องให้เขาหยุดพูดเรื่องที่อดีต รมว.กลาโหมคนนี้เปิดโปงชื่อของเขาเสียที โดยบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเพราะไม่รู้ว่าต้องเก็บชื่อของดาร์บี้ไว้เป็นความลับ จากที่ดาร์บี้ให้สัมภาษณ์บีบีซีเรดิโอ 4 เอาไว้ เขาบอกว่า เขาไม่เชื่อว่าคนเป็นถึง รมว.กลาโหมจะไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ...ก็แน่นอนว่าไม่ใช่ดาร์บี้คนเดียวที่คิดแบบนี้

เพราะการกระทำของดาร์บี้ทำให้ทหารอเมริกันที่เกี่ยวข้องถูกลงโทษ ดาร์บี้เสียเพื่อน เขาบอกว่าสิ่งที่ติดตาเขาอย่างมากก็คือสายตาของ ชารลส์ กราเนอร์เพื่อร่วมงานที่จ้องมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อข้ามห้องพิจารณาคดี

แต่ดาร์บี้ยืนหยัดในสิ่งที่เขาทำว่าเป็นสิ่งที่ถูก เขาไม่มองตัวเองเป็นฮีโร่ หรือว่าเป็นคนเลวที่กระทำการขายเพื่อน เขาบอกว่า เขาก็แค่ทำหน้าที่ของทหารเท่านั้น ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น และแม้ชีวิตจะยากลำบากอย่างยิ่ง แต่เขาบอกว่าไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

ทหารที่มืออาชีพยังมีอยู่อย่างน้อยก็เขาคนนี้นี่เอง

 

 

หมายเหตุ: เรียบเรียงจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/middle_east/6930197.stm และ https://en.wikipedia.org/wiki/Chelsea_Manning
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ติงสื่อลงข่าว 'ทรงรับสั่งแก้ไข รธน.' บอกโดนสื่อตปท.นำไปเสนอเสียหาย

$
0
0

12 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนัก เช่น สำนักข่าวอิศรา, ไทยรัฐ และไทยโพสต์ ฯลฯ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังจากประชุมร่วมกับ คสช. โดยชี้แจงให้ทราบว่า องคมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับผ่านการลงประชามติ ในหมวดพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจที่นั้น

ล่าสุดวันนี้ (12 ม.ค.60) ผู้จัดการออนไลน์และคมชัดลึกออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยกล่าวตำหนิสื่อมวลชนว่า

“เรื่องสำคัญผมต้องขอเรียนกับสื่อมวลชน ว่าอย่าไปเสนอข่าวเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมอ่านแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ไปลงข่าวว่า ทรงรับสั่งแก้ไข มีที่ไหน ผมพูดหรือ เขียนข่าวแบบนี้มันเสียหาย เข้าใจหรือเปล่า ไปเขียนเอามันได้อย่างไร ไปเปิดดูก็แล้วกัน ผมบอกว่าผมรับหนังสือลงมา แล้วไปเขียนได้อย่างไรว่าทรงรับสั่งให้แก้ไข มันไม่ใช่ การทำงานรัฐบาลก็ทำงาน ส่วนข้างบนก็มีคณะทำงานส่วนพระองค์ท่าน เขาพิจารณาแล้วนำขึ้นถวายพระองค์ท่านและส่งกลับลงมาก็เท่านั้น ผมก็ดำเนินการตามนั้น พยายามจะเอามาเกี่ยวกันอยู่ได้ เสร็จแล้วก็เป็นประเด็นให้คนนำมาบิดเบือน ขอร้องก็แล้วกัน รู้จักบ้างว่าอะไรมันตรงไหน”
       
รายงานข่าวระบุด้วยว่า จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์เพื่อกลับไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งนี้ เมื่อถึงทางเชื่อมระหว่างตึกสันติไมตรีและตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีได้หันมายังกลุ่มผู้สื่อข่าว พร้อมเปิดหน้าเพจข่าวบนโทรศัพท์มือถือของสำนักข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่งให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกล่าวว่า “เป็นอย่างไร เห็นหรือไม่ สื่อต่างประเทศเขาไปนำเสนอเสียหาย”
 
รายงานข่าวระบุอีกว่าผู้สื่อข่าวได้ชี้แจงว่า ในการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายกรัฐมนตรีพูดเองว่า มีพระราชกระแสลงมาว่ามี 3-4 รายการที่จำเป็นต้องแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวชี้แจงทันทีว่า “ผมพูดว่า ท่านทรงรับสั่ง การรับสั่งดังกล่าวนั้นหมายถึงการรับสั่งผ่านองคมนตรี ไม่ใช่รับสั่งลงมา ไปลงข่าวได้อย่างไร มันเสียหาย” จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินกลับขึ้นไปยังตึกไทยคู่ฟ้าทันที
       
ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการนัดประชุมกรรมการกฎีกาเพื่อดำเนินการยกร่างมาตราที่จะมีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ว่าเรื่องนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะยังต้องรอให้ผ่านการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 13 ม.ค.ไปก่อน อย่าลืมว่าด่านแรกของวันที่ 13 ม.ค.คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ให้ผ่าน และเมื่อผ่านความเห็นชอบทั้งหมดแล้วก็จะถึงขั้นตอนการแก้ไข จากนั้นค่อยว่ากันไม่ต้องรีบร้อนอะไร
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.ดูแลสุขภาพเด็กไทย จัดสิทธิประโยชน์หนุนสร้างประชากรคุณภาพ

$
0
0

บอร์ด สปสช.จัดสิทธิประโยชน์บัตรทองครอบคลุมดูแลสุขภาพเด็กไทยต่อเนื่อง เสริมพัฒนาการ ช่วยเจริญเติบโตสมวัย เป็นประชากรที่มีคุณภาพ เริ่มตั้งแต่ในท้องแม่ ทั้งคัดกรอง-ประเมินความเสี่ยง ให้วัคซีนป้องกันโรคตามช่วงวัย แก้ภาวะพร่องสุขภาพ รวมถึงรักษาพยาบาล  

ดูภาพขนาดใหญ่ 

12 ม.ค. 2560 ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา รักษาการเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เด็กไทยเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดเพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาและความก้าวหน้า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้เห็นความสำคัญจึงจัดชุดสิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนให้เด็กไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ เติบโตเป็นประชากรอย่างมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต โดยครอบคลุมการดูแลตั้งแต่ในครรภ์มารดา ทารกแรกเกิดจนถึงเด็กปฐมวัย ทั้งด้านการรักษาโรคทั่วไป โรคเฉพาะทางค่าใช้จ่ายสูง และการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค  ตามแนวเวชปฏิบัติ และมาตรฐานบริการที่กำหนดโดยกรมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัย และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง สปสช.ได้แบ่งสิทธิประโยชน์เด็นเป็น 2 กลุ่มวัย คือ กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-5 ปี และกลุ่มเด็กโตและวัยรุ่น อายุ 6-24 ปี

ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา

ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-5 ปี สิทธิประโยชน์จะรวมถึงทารกที่อยู่ในครรภ์ โดยจะได้รับการดูแลตั้งแต่มารดาเข้ารับการฝากครรภ์ในครั้งแรกขณะที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และต่อเนื่องตามระบบฝากครรภ์คุณภาพจนถึงคลอด มีการประเมินความเสี่ยงของครรภ์ การให้วัคซีนคอตีบและบาดทะยัก การให้ยาเสริมธาติเหล็ก กรดโฟลิก ไอโอดีน เป็นต้น และเมื่อคลอดทารกจะได้รับวิตามินเค วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากแม่เป็นพาหะตับอักเสบบี จะได้รับวัคซีนป้องกันตับอักเสบบีอีก 1 เข็ม การคัดกรองภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ และการส่งเสริมให้กินนมแม่

ต่อมาในช่วงเด็กเล็กอายุ 1-18 เดือน เป็นช่วงวัยที่สมองและร่างกายของเด็กจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว จึงเป็นช่วงที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง สิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในช่วงวัยนี้ จึงเน้นที่การตรวจพัฒนาต่างๆ ของเด็ก เพื่อให้เหมาะสมและเป็นไปตามวัย อาทิ การตรวจสุขภาพ ประเมินการเจริญเติบโตของร่างกายที่ต้องเป็นไปตามช่วงวัย วัดรอบศรีษะเพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติของสมอง การเฝ้าระวังภาวะโภชนาการ การตรวจสุขภาพในช่องปากและทาฟูลออไรด์วาร์นิช การให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็ก ให้คำปรึกษาพ่อแม่ในการดูแลเด็ก รวมถึงการกระตุ้นพัฒนาการในกรณีพบเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า ไม่สมวัย

นอกจากนี้ยังเน้นเฝ้าระวังและการป้องกันโรค โดยเฉพาะการให้วัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อาทิ วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยักและไอกรน วัคซีนป้องกันตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมัน และคางทูม และวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี เป็นต้น โดยจะมีการให้วัคซีนในบางรายการเพิ่มเติมตามช่วงอายุ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม

ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มเด็กโตและวัยรุ่น อายุ 6-24 ปี เป็นช่วงเริ่มเข้าสู่วัยเรียน ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะสนับสนุนการดูแลสุขภาพ “อนามัยโรงเรียน” เริ่มตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 หากเด็กไม่เคยรับวัคซีนมาก่อนจะได้รับในช่วงนี้ ส่วนเด็กที่ได้รับวัคซีนมาแล้วตามช่วงอายุจะได้รับการกระตุ้นเพิ่มเติม ทั้งวัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมัน และคางทูม และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นต้น พร้อมกันนี้จะได้รับการตรวจคัดกรองโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กจะได้รับยาเสริมธาตุเหล็ก แต่ในกรณีพบว่าเด็กมีโลหิตจางจากโรคอื่นๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย หากเป็นชนิดรุนแรงจะได้รับการส่งต่อพื่อรักษา

ขณะเดียวกันเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1-6 ทุกคนยังได้รับการคัดกรองและตรวจสุขภาพที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่แก้ไขให้เด็กเติบโตอย่างสมวัย เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของเด็ก ได้แก่ การประเมินภาวะโภชนาการ การคัดกรองเด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างโครงการนำร่อง และการตรวจสุขภาพช่องฟัน การเคลือบหลุมร่องฟัน ทั้งนี้กรณีที่พบเด็กมีภาวะผิดปกติ เช่น อ้วนหรือผอมไป มีปัญหาสายตา พบภาวะฟันผุ คุณครูจะส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะสุขภาพทันเวลา ตามสิทธิการรับบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  

สำหรับกรณีพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงโรคค่าใช้จ่ายสูง ได้แก่ โรคเบาหวาน ไตวาย หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจ หลอดเลือดสมอง และมะเร็ง สามารถรับการรักษาพยาบาลยังหน่วยบริการตามสิทธิภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้

“ตลอดระยะเวลา 15 ปีของการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บอร์ด สปสช.ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพเด็กมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยมีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาการของเด็กให้เป็นไปอย่างสมวัย และเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศ นับเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของการดำเนินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” รักษาการเลขาธิการ สปสช. กล่าว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีดีอาร์ไอชี้มาตรการด้านภาษี 'เงินบริจาค' มีจุดอ่อน แนะตั้ง 'บอร์ดส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม'

$
0
0
ทีดีอาร์ไอ เปิดผลวิจัย “การลงทุนด้านสังคม” ชี้มาตรการด้านภาษี 'เงินบริจาค' มีจุดอ่อน เสนอตั้ง 'บอร์ดส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม' หนุน “องค์กรตัวกลาง” ภาคสังคมให้เข้มแข็ง
 
 
12 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แจ้งว่า สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยในงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” พร้อมเปิดผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อ 11 ม.ค. ว่าแม้ประเทศไทยจะมีเงินบริจาคเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยปีละ 70,000 ล้านบาท  นอกจากนั้น ยังมีงบประมาณจากรัฐสนับสนุนกองทุนด้านสังคม 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวืตคนพิการ กองทุนผุ้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ โดยในปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 453 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.02 ของงบประมาณทั้งหมด 2.72 ล้านบาท นั้น มีปัญหาการใช้ให้มีประสิทธิภาพ  ยกตัวอย่าง กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ   ปี 2558 มีเงินส่งเข้ากองทุนฯตามพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้พิการ พ.ศ.2550 (ม. 34) จำนวน 2,485,268,259 บาท แต่จำนวนเงินที่ใช้จ่ายออกคิดเป็นร้อยละ 42 ของเงินที่ส่งเข้ากองทุน 
 
สมเกียรติ ระบุว่า ไม่เพียงเท่านั้น  ลำพังเงินอุดหนุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวย่อมไม่มากพอเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหา จึงจำเป็นจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้ประชาชนสามารถเข้ามาลงทุนแก้ปัญหาสังคมได้  ยกตัวอย่าง ปัญหาการศึกษา มีเด็กด้อยโอกาสจำนวน 4.8 ล้านคนที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา  ที่ผ่านมาสังคมไทยนิยมการบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งนับเป็นการลงทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม  มาตรการด้านภาษี ยังมีข้อจำกัด กล่าวคือจะต้องบริจาคให้กับมูลนิธิที่กระทรวงการคลังประกาศให้เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7) เท่านั้นถึงจะได้รับการลดหย่อนภาษี ปัจจุบันมีทั้งหมด 935 แห่ง และการสนับสนุนในส่วนผู้บริจาค ถ้าเป็นบุคคลจะหักลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ และถ้าเป็นนิติบุคคล สามารถหักได้ตามจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ  จึงไม่แปลกที่พบว่า มีมูลนิธิฯที่มีวัตถุประสงค์ให้ทุนศึกษาเพียงร้อยละ 14.64  หรือ 133 แห่งที่ผู้บริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้  ขณะที่ภาคเอกชน ตัวเลขบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกิจกรรมซีเอสอาร์ด้านการศึกษาคิดเป็น ร้อยละ 22.27 จากทั้งหมด 642 องค์กร
ประธานทีดีอาร์ไอกล่าวว่า  มาตรการด้านภาษีนอกจากไม่สร้างแรงจูงใจสำหรับผู้บริจาคแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรภาคสังคม หรือผู้ให้บริการด้านสังคมซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเงินบริจาคไปใช้เป็นงบประมาณด้านบริหารจัดการและอัตรากำลังคน เพราะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้  ทำให้เสียโอกาสในการสรรหาว่าจ้างบุคคลากรที่มีคุณภาพมาร่วมงาน และหากมีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการมากกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณดำเนินการในแต่ละปี ส่งผลให้มูลนิธิหรือองค์กรนั้นจะไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารรกุศล ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 531) 
 
โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า ผู้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นการลงทุนด้านสังคมและสองหน่วยงานมีบทบาทหลักในการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งอาจเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้น จึงนำมาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” หรือ Social Investment Board มีบทบาทให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ให้บริการทางสังคม ที่สามารถอ้างอิงผลลัพธ์ได้ โดยไม่จำกัดลักษณะองค์กร ว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ หรือกิจการเพื่อสังคม หรือมูลนิธิภายใต้การดำเนินงานของภาคเอกชน
 
“ผู้ให้บริการภาคสังคมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการฯชุดนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในลักษณะเดียวกันกับองค์การการกุศลสาธารณะในปัจจุบัน เงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องมีการจัดทำรายงานการเงินส่งทุกปี ซึ่งรายงานนั้นจะต้องสะท้อนให้เห็นได้ว่าได้บรรลุวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณะ และสร้างประโยชน์ที่วัดผลลัพธ์จับต้องได้” สมเกียรติ กล่าวและว่า นอกจากนี้ยังผลวิจัยพบว่า ตัวแปรสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการลงทุนด้านสังคมให้เข้มแข็ง คือ องค์กรตัวกลางเพราะเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายเสริมสร้างขีดความสามารถและสนับสนุนทรัพยากรให้ผู้ให้บริการทางสังคม
 
วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ให้บริการทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร หรือกิจการเพื่อสังคมจะต้องตื่นตัวที่จะมองหาแหล่งทุนที่ยั่งยืน มากกว่าการยึดแหล่งทุนแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายถึงต้องมีความพร้อมที่จะเปิดการลงทุนจากประชาชนทั่วไปมากขึ้น ทั้งหมดนี้ต้องใช้การสร้างผลลัพธ์ทางสังคมมาเป็นเครื่องมือยืนยันความน่าเชื่อถือให้สังคมร่วมลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทุนเงิน หรือทุนมนุษย์ อย่างการเชิญชวนอาสาสมัครผู้เชี่ยวชาญจากภาคธุรกิจมาแก้ปัญหาสังคม และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องเน้นทำงานแบบสร้างการมีส่วนร่วมกับองค์กรต่างๆ ปัจจุบันมีกลไกความร่วมมือเกิดขึ้นในสังคมมากมาย แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ในระบบนิเวศงานพัฒนาความยั่งยืนไทย ที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ร่วมกันอีกระยะหนึ่ง
 
วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ข้อเสนอของทีดีอาร์ไอ.จะช่วยยกระดับการพัฒนางานสังคมไปอีกขั้นหนึ่งที่เป็นการสร้างผลลัพธ์ทางสังคมที่จับต้องได้ ที่ผ่านมาบลจ.บัวหลวงได้ร่วมกับภาคสังคมริเริ่มก่อตั้ง “กองทุนรวมคนไทยใจดี” หรือ BKIND โดยลงทุนเฉพาะในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และการต่อต้านคอร์รัปชัน (ESGC) และยังสนับสนุนเงินร้อยละ 0.8 ของผู้ลงทุน หรือร้อยละ 40 ของค่าบริหารจัดการกองทุน ไปพัฒนาโครงการเพื่อสังคมหรือองค์กรสาธาณประโยชน์ต่างๆ ปรากฏว่าปัจจุบัน สามารถสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม 32 โครงการ แก้ปัญหาสังคม 9 ประเด็น และมีผู้รับประโยชน์ทางตรง 13,843 คน หรือ 829,634 คนหากทุกโครงการดำเนินงานแล้วเสร็จ เหล่านี้ สะท้อนได้ว่าประชาชนทั่วไปหรือผู้ถือหน่วยก็สามารถเป็นนักลงทุนทางสังคมได้ และในอนาคตอันใกล้ เชื่อว่า ภาคตลาดทุนไทยจะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆ เชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาเป็นนักลงทุนทางสังคม เพราะสิ่งนี้เป็นแนวโน้มใหม่ของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและดีต่อสังคม 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนทำหนังไทยเรียกร้องจัดสัดส่วนโรงฉาย-แก้ปมผูกขาดธุรกิจโรงหนัง

$
0
0

เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์เรียกร้องแบ่งสัดส่วนฉาย-ระยะเวลาฉายหนัง ยกเลิกค่าธรรมเนียมการฉายและแก้ไขระบบผูกขาดในธุรกิจโรงภาพยนตร์

11 ม.ค.2560 เวลา 14.00 น. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ไทยแถลงข่าว ยื่นข้อเรียกร้อง เร่งพาหนังไทยออกพ้นวิกฤติการณ์ โดยมีข้อเรียกร้องต่อสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ให้แสดงบทบาทในการกอบกู้วงการภาพยนตร์ไทย ด้วยการกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ จำนวนรอบและระยะเวลาฉายให้เหมาะสม ยกเลิกค่าธรรมเนียมการฉายดิจิตอลและค่าธรรมเนียมค่าให้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการฉายทั้งหมดสำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่อง แก้ไขปัญหาการผูกขาดในธุรกิจโรงภาพยนตร์ ตลอดจนสร้างกลไกเพื่อการพัฒนาคุณภาพของทั้งผู้สร้างภาพยนตร์ไทยและผู้ชมภาพยนตร์ไทย ผ่านวิธีการและการดำเนินในลักษณะต่างๆ โดยให้ผู้สร้างภาพยนตร์เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ 

ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทยและผู้กำกับภาพยนตร์ “ปั๊มน้ำมัน” เล่าถึงภาพยนตร์ล่าสุดของตนเองว่า ไม่ได้เป็นหนังที่ดูยากมีความบันเทิง ถูกนำไปฉายในระดับโลกก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากแต่เมื่อนำเข้าฉายในไทย ในวันเปิดตัวกลับมีรายได้เพียง 9,000 บาท และเมื่อหนังเริ่มเป็นที่พูดถึง ก็กลับถูกถอดออกจากโรงหมดแล้ว

“คือการที่เราออกมาพูดวันนี้เราไม่ได้มาสร้างศัตรู เรามาหาทางออกทางรอดอย่างไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามาคือ เรามาหาแนวร่วมที่เราจะทำยังไงให้หนังไทยซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาติไม่ตายไปไหน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังเรียกร้องไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนดูแต่อย่างใดทุกคนยังสามารถเลือกดูหนังฮอลลีวูดได้อยู่ เพียงแต่เราต้องการสร้างพื้นที่ให้มีทางรอดให้หนังไทย"

ทางด้าน บุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์ บอกว่า วงการหนังไทยในตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ บ้านใครบ้านมันมือยาวสาวได้สาวเอา ไม่มีใครลุกขึ้นมาสู้เพื่อใครเลย และตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว จึงต้องมีอะไรบางอย่างมาช่วยกันอย่างจริงจัง

เจนไวยย์ ทองดีนอก ผู้กำกับภาพยนตร์ไทย บอกว่า อยากจะเห็นการพัฒนาวงการภาพยนตร์ที่เขาเรียกกันว่าตายไปแล้วแต่ยังไม่ตายสนิท วันนี้เราอยากจะทำให้ภาพยนตร์ไทยฟื้นขึ้นมาและผลักดันให้แก้กฎหมายให้ภาพยนตร์เป็นสื่อมวลชน

ด้านพัชร เอี่ยมตระกูล ตัวแทน HAL ผู้จัดจำหน่ายอิสระ กล่าวว่า มีคำถามว่ารายได้ของทุกคนมันเท่ากันหรือเปล่า เพราะว่าภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงใหญ่ อัตราส่วนรายได้ระหว่างโรงหนังกับผู้กำกับหนัง จะอยู่ที่ 55:45 ในสัปดาห์แรก จากนั้นในสัปดาห์ที่ 2 จะอยู่ที่ 60:40 ยังไม่รวมกับค่าใช้จ่ายจากภาษี ขณะที่เฮ้าส์ อาร์ซีเอ เป็นโรงเล็ก จะอยู่ที่ 50:50 และนำค่าภาษีมาหักรวมกัน ตั้งคำถามว่า คนทำหนังควรได้ทำธุรกิจแบบเท่าเทียมกับทุกโรงหนังหรือไม่

 

11 มกราคม 2560

เรื่อง ข้อเรียกร้องจากกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ เพื่อการแก้ไขวิกฤติวงการภาพยนตร์ไทยอย่างเร่งด่วนที่สด

เรียน ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ

ตามข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีว่า ปี พ.ศ. 2557 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดภาพยนตร์ทั้งประเทศ 22% โดยมีภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าฉายทั้งสิ้น 166 เรื่อง ทำรายได้จากโรงภาพยนตร์รวมกว่า 3,372 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์ไทยเข้าฉาย 39 เรื่อง ทำรายได้จากโรงภาพยนตร์รวมกัน 927 ล้านบาท โดยประมาณ

จากนั้นได้ลดลงในปี พ.ศ. 2558 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในภาพยนตร์ทั้งประเทศ 18% และในปี พ.ศ. 2559 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดภาพยนตร์ทั้งประเทศเหลือเพียง 13% เท่านั้น ซึ่งในปี พ.ศ. 2559 ภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้าฉายโรงภาพยนตร์ทั้งปีนับถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 245 เรื่อง ทำเงินรวมกันได้ราว 4,127 ล้านบาท ในขณะที่ภาพยนตร์ไทยเข้าฉายทั้งปี 38 เรื่อง ทำเงินรวมทั้งสิ้น 565 ล้านบาท โดยประมาณ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดกับภาพยนตร์ไทยในขณะนี้ มีความเกี่ยวข้องกับโรงภาพยนตร์โดยตรง กล่าวคือ โรงภาพยนตร์ไทยในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นระบบมัลติเพล็กซ์ ครอบครองจอฉายจำนวนมาก และอยู่ภายใต้การดำเนินงานของเครือใหญ่เพียงสองเครือ ส่งผลให้มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกและจัดฉายภาพยนตร์ในทุกช่วงเวลา เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่โรงภาพยนตร์โดยมากทั่วประเทศ จัดฉายภาพยนตร์ขนาดใหญ่ (Block Buster) จากฮอลลีวูด ในเวลาพร้อมๆ กัน และเหลือพื้นที่ให้แก่ ภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ประเทศอื่นๆ เพียงเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของภาพยนตร์เหล่านั้นอย่างร้ายแรง

ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ผู้ดำเนินกิจการโรงภาพยนตร์มักจะมีคำอธิบายให้แก่สังคมในลักษณะที่ว่า โรงภาพยนตร์เป็นธุรกิจจำเป็นต้องสร้างรายได้ ภาพยนตร์เรื่องใดที่มีศักยภาพทำรายได้ ก็ย่อมจะได้รับโอกาสจากโรงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยหรือต่างประเทศ นอกจากนั้นหากภาพยนตร์ไทยสามารถสร้างอย่างมีคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้ชม โรงหนังก็ยินดีจะนำเข้าฉายและย่อมจะสามารถทำรายได้เป็นที่พอใจแน่นอน

ทว่า ในความเป็นจริง ผู้สร้างภาพยนตร์ท้องถิ่นในทุกประเทศทั่วโลกรู้ซึ้งดีว่าคำอธิบายเหล่านี้ไม่ได้สร้างพื้นที่การแข่งขันยุติธรรมอย่างแท้จริงขึ้นในตลาด เนื่องจาก

ในความเป็นจริงภาพยนตร์ย่อมมีความหลากหลาย เป็นไปไม่ได้ที่ภาพยนตร์ทุกเรื่องจะสามารถลงทุนอย่างมหาศาลจนมีศักยภาพด้านทำรายได้เทียบเท่าภาพยนตร์ Block Buster ในสายตาของโรงภาพยนตร์ และแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่ดูมีศักยภาพพอสมควร ทว่า เมื่อต้องถูกเบียดบังพื้นที่และระยะเวลาในการฉายจากภาพยนตร์ที่ใหญ่กว่าอยู่เป็นประจำ ก็ย่อมยากจะสามารถทำรายได้ระดับสูงหรือแม้ระดับคุ้มทุน จนเอื้อต่อการพัฒนาต่อๆ ไปให้ยิ่งใหญ่ขึ้น หรือดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้นได้ อย่างที่กลุ่มต้องกล่าวปัญหาเชิงระยะยาวด้านวัฒนธรรม ที่ผู้ชมชาวไทยจะถูกบั่นทอนโอกาสในการได้รับชมภาพยนตร์อย่างหลากหลายลงเรื่อยๆ เนื่องจากนักการโรงภาพยนตร์ก็จะกลายเป็นพื้นที่ของภาพยนตร์ขนาดใหญ่ยักษ์มากขึ้นทุกทีและมีทางเลือกอื่นน้อยลงทุกขณะ

จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าวของโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยไม่เพียงไม่ส่งเสริมให้วงการภาพยนตร์ไทยได้เติบโตอย่างเป็นระบบเท่านั้น หากยังกัดกร่อนโอกาสที่วงการภาพยนตร์ไทยจะได้บ่มเพาะสร้างผู้ชมภาพยนตร์ของตนเอง และโอกาสที่สร้างรายได้ตอบแทนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดคุณภาพให้เติบโตทัดเทียมวงการภาพยนตร์ในต่างประเทศ

ซึ่งหากปัญหานี้ยังถูกปล่อยปละละเลยโดยทุกฝ่ายต่อไป ก็ไม่ต้องสงสัยว่า วงการภาพยนตร์ไทยจะตกอยู่ในภาวะถดถอยล้าหลังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในเวลาอันใกล้ แม้ว่าเราจะมีบุคลากรที่มีความสามารถในหลากหลายด้านของงานสร้างภาพยนตร์ก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์จึงเห็นพ้องต้องกัน ที่จะไม่ปล่อยให้วิกฤตินี้ดำเนินต่อไป เราขอเรียกร้องสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ให้แสดงบทบาทในการกอบกู้วงการภาพยนตร์ไทย ตามข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

ข้อ 1. ข้อเรียกร้องสำหรับการดำเนินการระยะเร่งด่วน

ข้อ 1.1 กำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์มัลติเพลกซ์ ในพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. 2541 มาตรา 9 (5) ได้กล่าวถึงอำนาจหน้าที่คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติไว้ว่า ออกประกาศกำหนดสัดส่วนระหว่างภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศที่จะนำออกฉายในโรงภาพยนตร์ตาม (1) บทของนิยามคำว่าโรงภาพยนตร์ ในมาตรา 4 แต่ที่ผ่านมา มาตราดังกล่าวนี้ได้ถูกละเลยปฏิบัติมาโดยตลอด เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์จึงขอเรียกร้องให้มีการกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์มัลติเพลกซ์ เพื่อสร้างสภาวะการณ์แข่งขันทางการตลาดที่เป็นธรรมต่อผู้สร้างทั้งหลาย โดยกำหนดให้โรงภาพยนตร์ทุกเครือในประเทศไทยต้องจัดสัดส่วนการฉายของภาพยนตร์แต่ละเรื่องไม่เกิน 20% ของจำนวนจอทั้งหมดของเครือนั้น (ยกตัวอย่างเช่น โรงภาพยนตร์เครือ A มีจอฉายทั้งหมด 100 จอ จะต้องจัดฉายภาพยนตร์แต่ละเรื่องไม่เกิน 20 จอต่อเรื่อง ตลอดระยะเวลาการฉาย)

ข้อ 1.2 กำหนดจำนวนรอบและระยะเวลาการฉายในประเทศไทย เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์เรียกร้องให้โรงภาพยนตร์มัลติเพลกซ์ ต้องวางโปรแกรมฉายให้แก่ภาพยนตร์ไทยทุกเรื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อยที่สุดสองสัปดาห์เต็ม นับแต่วันที่เริ่มฉายภาพยนตร์ตามปกติ ไม่นับรวมระยะเวลาการทดลองฉาย หรือที่เรียกว่าระบบ Sneak Peek และในการฉายโปรแกรมปกตินั้นต้องให้รอบการฉายวันละห้ารอบเป็นอย่างน้อย ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้ภาพยนตร์ไทยได้มีโอกาสสร้างรายได้ตอบแทนทันเวลา และได้มีเวลาบ่มเพาะกลุ่มผู้ชมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อ 1.3 ยกเลิกค่าธรรมเนียมการฉายดิจิตอลหรือ VPF และ/หรือ ค่าธรรมเนียม ค่าใช้อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการฉายภาพยนตร์ทั้งหมดของภาพยนตร์ทุกเรื่อง ค่า VPF เป็นค่าชดเชยการลงทุนเปลี่ยนเครื่องฉายที่โรงภาพยนตร์โยนภาระให้แก่ผู้สร้างภาพยนตร์มาเป็นเวลานาน ปัจจุบันได้เริ่มมีการยกเลิกการเก็บจากผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศแล้ว แต่บริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ระดับรองและภาพยนตร์ไทยกลับยังถูกเรียกเก็บอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สมควรเก็บในทุกกรณี เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์จึงเรียกร้องให้โรงภาพยนตร์มัลติเพลซ์ยกเลิกการเก็บค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบฉายภาพยนตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่อใดจากผู้จัดจำหน่ายทุกรายและกับภาพยนตร์ทั้งหมดโดยทันที

ข้อ 1.4 แก้ไขระบบผูกขาดในระบบธุรกิจโรงภาพยนตร์ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะอยู่ภายใต้การบริหารในเครือใหญ่เพียงสองเครือแล้ว ไทยยังมีระบบ สายหนัง ซึ่งควบคุมการจัดจำหน่ายในพื้นที่ภูมิภาคนอกกรุงเทพ และ ปริมณฑล ผลที่เกิดขึ้นคือ การที่โรงภาพยนตร์มีแต่ภาพยนตร์ที่ถูกเลือกเข้าฉายด้วยทัศนะคติและมุมมองอันจำกัดของเจ้าของโรงและสายหนัง ผู้ชมถูกทำให้อยู่ในฐานะผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือกอันหลากหลายอย่างแท้จริง ยังไม่นับรวมถึงการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น การกำหนดราคาบัตรของภาพยนตร์ที่สูงขึ้นทุกขณะ ราคาสินค้าอาหารที่สูงขึ้นทุกขณะ การจัดกิจกรรมเสริมของโรงภาพยนตร์ในลักษณะของการค้า เช่น การทำบัตรสมาชิก บัตรลดราคา ซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ผู้บริโภคไม่อาจรู้เท่าทัน สภาพการผูกขาดทั้งหมดนี้กำลังทำลายตลาดและวัฒนธรรมของการชมภาพยนตร์ของประเทศไทยอย่างรวดเร็ว เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ จึงเรียกร้องให้ คณะกรรมการการแข่งขันการค้าผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติการค้า พ.ศ. 2542 เข้ามากำกับดูแลให้การแข่งขันของธุรกิจภาพยนตร์ให้ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมทั้งระบบ เพื่อประโยชน์ของผู้สร้างและผู้ชมภาพยนตร์โดยตรง

ข้อ 2. ข้อเรียกร้องสำหรับการดำเนินการระยะต่อไป เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์เรียกร้องให้สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติมีบทบาทอย่างจริงจัง ในการสร้างกลไกเพื่อการพัฒนาคุณภาพของทั้งผู้สร้างภาพยนตร์ไทยและผู้ชมภาพยนตร์ไทย ผ่านวิธีการและการดำเนินในลักษณะต่างๆ โดยให้ผู้สร้างภาพยนตร์เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ อาทิเช่น การตั้งกองทุนส่งเสริมผู้สร้างภาพยนตร์ไทย ที่มีเกณฑ์การพิจารณาอย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลงานภาพยนตร์ไทย ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาด ขณะเดียวกันก็เกิดผู้ชมที่มีรสนิยมอันหลากหลาย มีจิตใจที่เปิดกว้าง สามารถเพาะบ่มวัฒนธรรมของการชมภาพยนตร์ของประเทศไทยได้อย่างแข็งแรง ทัดเทียมประเทศอื่นทั่วโลกอย่างแท้จริง

ในนามของ เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ จึงเรียนมาเพื่อขอเรียกร้องให้สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ในฐานะผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์ไทยโดยตรง โปรดแสดงบทบาทในการผลักดัน ให้ข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ ได้ถูกปฏิบัติให้เป็นจริงอย่างเร่งด่วน เพื่อนำพาวงการภาพยนตร์ไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤติที่ร้ายแรง และสามารถเริ่มต้นพัฒนาตนเองอย่างแท้จริงและจริงจัง

ทั้งนี้ เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการในประการอื่นต่อไป หากพบว่า สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ยังคงไม่ตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวภายในระยะอันเหมาะสม

ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิพากษาปรับ 1,000 บาท คดี ‘จ่านิว’ โปรยโพสต์อิท ที่สกายวอล์ก BTS ช่องนนทรี

$
0
0

ศาลแขวงพระนครใต้ อ่านคำพิพากษา ‘จ่านิว’ โปรยโพสต์อิทเรียกร้องปล่อยตัว วัฒนา เมืองสุข – 8 แอดมินเพจ “เรารักพลเอกประยุทธ์” สั่งปรับหนึ่งพัน ด้านจำเลย เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อไป ระบุถูกควบคุมตัวไม่ชอบธรรม และยืนยันไม่มีเจตนาทิ้งขยะ แต่ต้องการแจกโพสต์อิทให้คนเขียนเสรีภาพ

12 ม.ค.2560 ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ได้นัด สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาฟังคำพิพากษาในคดีถูกกล่าวหาตามความผิดฐาน ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยลงบนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาด จากรณีการจัดกิจกรรมโพตส์สิทธิ์ ที่ BTS ช่องนนทรี ในวันที่ 1 พ.ค.2559 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัววัฒนา เมืองสุข และแอดมินเพจ “เรารักพลเอกประยุทธ์” 8 คนที่ถูกทหารจับกุมตัว

09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษา พิเคราะห์จากพยานหลักฐาน เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 32 เทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย ลงบนทางบกหรือทางน้ำ ระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งศาลเห็นว่า เป็นการกระทำที่มีเจตนาเล็งเห็นผล เพราะถ้าผู้ชุมนุมที่มาร่วมกิจกรรมเก็บโพตส์อิทไปไม่หมด โพตส์อิทจะกลายเป็นขยะ จำเลยจึงมีความผิด ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาด นอกจากนี้แผ่นกระดาษที่จำเลยเขวี้ยงหรือโปรยบริเวณสกายวอล์กบีทีเอสสถานีช่องนนทรีนั้น ถือเป็นการทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (เศษกระดาษ) ในที่สาธารณะ จึงพิพากษาให้จำเลยมีความผิดและปรับ 1,000 บาท

โดยหลังจากฟังคำพิพากษา สิรวิชญ์ ได้ชำระค่าปรับ 1,000 บาท  พร้อมเปิดเผยว่า จะเตรียมเรื่องยื่นอุทธรณ์ต่อไป เนื่องจากเห็นว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมในวันนั้นเป็นไปด้วยความไม่ชอบธรรม และเห็นว่าคำพิพากษาของศาลมีการคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่จะทิ้งขยะ แต่ต้องการแจกกระดาษโพสต์อิทให้กับประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมเพื่อเขียนเสรีภาพ

ในกรณีที่ใกล้เคียงกัน และในเหตุการณ์เดียวกัน ศาลแขวงพระนครใต้นัด ฐิตารีย์ ฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2559 ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่า ทำความผิดตาม พ.ร.บ.ความสะอาด โดยการปิดโฆษณาในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังเขียนกระดาษโพตส์อิทติดบนเสารถไฟฟ้าบีทีเอส เมื่อวันที่ 1 พ.ค. โดย ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ไม่ได้กำหนดนิยามคำว่าโฆษณาเอาไว้ จึงต้องใช้ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต ซึ่งให้ความหมายว่าการโฆษณาการทำให้ปรากฏเพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งการกระทำของจำเลยไม่ใช่การแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า แต่เป็นการใช้สิทธิทางการเมือง ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด พิพากษายกฟ้อง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมยศ พฤกษาเกษมสุข ส่งข้อความผ่านลูกกรงถึง ไผ่ ดาวดิน

$
0
0

<--break- />

ท่ามกลางกระแสข่าวคุมขังจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักกิจกรรมและนักศึกษาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาพักใหญ่*‘ประชาไท’ ได้รับข้อมูลจากผู้ใกล้ชิดสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112**ว่าสมยศได้ฝากข้อความมาถึงไผ่ ดาวดิน เนื้อหามีดังนี้

ถึงไผ่ ดาวดิน

ยุคสมัยแห่งความมือมนและอนธการ ประชาชนมีชีวิตหวาดกลัวและยอมจำนนภายใต้มายาภาพของความสงบราบคาบ เพื่อความมั่นคงยั่งยืนของพวกอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ไผ่ ดาวดิน คือแสงเทียนที่ส่องสว่างของคืนอันมืดมิด

สิทธิการประกันตัวเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรมซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่ายังไม่มีความผิดก่อนคำพิพากษาถึงที่สุด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระทำความผิดไม่ได้ การต่อสู้ของ ไผ่ ดาวดิน จึงมีคุณค่าในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและมีความหมายต่อสังคมไทย ทั้งในเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิที่ติดตัวมาแต่เกิด

ขอชื่นชมกับความกล้าหาญและการยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้อง ความยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทย เพื่อสังคมใหม่ที่ดีงามสำหรับทุกคน

สมยศ พฤกษาเกษมสุข

12 มกราคม 2560

 

*จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ถูกแจ้งข้อหาความผิดตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังจากที่เขาแชร์รายงานพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเพจ BBC Thai มายังเฟซบุ๊กของตนเองโดยคัดลอกข้อความในรายงานบางส่วนมาโพสต์ประกอบไว้ด้วย ในเบื้องต้นเขาได้รับการประกันตัวจากศาลขอนแก่น โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท ต่อมาไม่นานพนักงานสอบสวนสภ.เมืองขอนแก่นยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนประกันตัวเขา โดยอ้างถึงพฤติกรรมการโพสต์เฟซบุ๊กของเขาหลายอย่าง เช่น การโพสต์ถึงกรณีปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้และเพื่อนอีก 2คนในคดีฉีกบัตรประชามติแล้วต้องวางเงินประกันตัวหลักแสนว่า “ #เศรษฐกิจแย่แม่งเอาแต่เงินประกัน” หรือการโพสต์ภาพถ่ายตัวเขาและเพื่อนทำท่า “หน้ากากแอคชั่น” ตามแบบการ์ตูนชินจังหลังจากได้รับการประกันตัว โดยระบุว่าเป็นการเยาะพนักงานสอบสวน ศาลขอนแก่นเห็นเช่นเดียวกันว่าเขามีพฤติการณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐจึงอนุมัติให้ถอนประกัน เขาถูกคุมขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นนับถึงปัจจุบันเป็นผัดที่ 4 แล้ว (ผัดละ 12 วัน ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนฝากขังได้ 7 ผัดก่อนส่งฟ้องต่อศาล)

**สมยศ พฤกษาเกษมสุข ปัจจุบันถูกคุมขังมา 5 ปี 9 เดือนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เขาเป็นผู้ต้องหาไม่กี่คนที่ต่อสู้คดี 112 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุด สมยศถูกคุมขังเรื่อยมาตั้งแต่ชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณาคดีและ จนถึงปัจจุบัน เขายังเป็นผู้ต้องหาคดี 112 ที่ทำสถิติยื่นประกันตัวมากที่สุด ราว 15-16 ครั้ง ใช้หลักทรัพย์ตั้งแต่ 4 แสน จนถึง 2 ล้านบาท เขาถูกกล่าวว่าเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Vocie of Taksin ซึ่งเผยแพร่บทความ 2 ชิ้นเขียนโดย “จิตร พลจันทร์” ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.เห็นชอบ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร เป็น 'พ.ร.บ.' เพื่อสอดคล้องกับการค้าระหว่างประเทศ

$
0
0

สนช.เห็นชอบ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากรเป็น พ.ร.บ. ขณะที่รมช.คลัง แจงเพื่อความทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ พร้อมมีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ. การเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... 

12 ม.ค. 2560 การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดย พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธานการประชุม มีมติเห็นชอบอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)พิกัดอัตราศุลกากร(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2559 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ด้วยคะแนนเห็นด้วย 200 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง  

วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าเนื่องจากประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกองค์การศุลกากรโลกและภาคีอนุสัญญาระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลากรโลก โดยอนุสัญญาดังกล่าวมีการปรับปรุงแก้ไขการจำแนกประเภทสินค้าใหม่ ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ เพื่อให้พิกัดศุลกากรของสินค้ามีความทันสมัย ชัดเจน และสอดคล้องกับรูปแบบทางการค้าระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงด้าน เทคโนโลยยี 
 
“เป็นกลไกในการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารของโลก การคุ้มครองสังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกอาเซียนได้ร่วมลงนาม และรับพิธีสารว่าด้วยการนำพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียนมาใช้ ซึ่งพิธีสารดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้พิกัดศุลกากรในระดับ 8 หลักร่วมกัน จึงต้องแก้ไขอัตราศุลกากรขาเข้า โดยพิกัดศุลกากรที่มีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ เป็นเรื่องสัตว์มีชีวิตและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
 
สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับหลักการของพระราชกำหนด พร้อมเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่า ควรมีมาตรการบังคับให้สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในทางปฏิบัติได้จริง เพื่อไม่ให้เกิดการลักลอบสินค้าเข้ามาในไทย
มติรับหลักการร่าง พ.ร.บ. การเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... 
 
วันเดียวกัน สนช. มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ. การเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... ไว้พิจารณาด้วยคะแนนเห็นด้วย 203 คะแนน ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง กำหนดเวลาแปรญัตติ 15 ระเวลาการดำเนินงาน 60 วัน  
 
พิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า เมื่อมีความเสียหายจากมลพิษน้ำมันที่เกิดจากเรือ ผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษอาจจะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่ได้รับ ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. 1992 จะส่งผลดีต่อบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน และเพื่อเป็นการอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว สมควรมีกฎหมายว่าด้วยการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิศน้ำมันอันเกิดจากเรือ
 
พิชิต กล่าวชี้แจงถึงประเด็นการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนด้วยว่า จากการหารือบริษัทน้ำมันที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับหลักการในร่างนี้ โดยในกรณีที่ไม่เกิดอุบัติการณ์ความเสียหายทุกบริษัทจะจ่ายไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุน แต่หากมีอุบัติการณ์เกิดขึ้นจะเก็บเงินเป็นครั้งๆ ซึ่งจะต้องมากกว่าจำนวนเงินข้างต้น แต่จะอยู่ในวิสัยที่บริษัทรับได้ โดยเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมัน 5 ล้านบาทเมื่อเทียบแล้วจะมีผลกระทบกับราคาน้ำมันน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย จึงถือว่ากระทบน้อยมาก ส่วนประเด็นผู้รับผิดชอบหากมีความเสียหายเกินกว่า 8,000-10,000 ล้านบาท จะมีกองทุนที่เข้ามาดูแลความเสียหาย แต่จากการพิจารณาความเสียหายของไทยที่เคยเกิดขึ้นไม่น่าเกินไปกว่าความเสียหายของกองทุนตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ เนื่องจากในอดีตไม่เคยมีเหตุการณ์ที่จะต้องจ่ายความเสียหายเกิด 4,500 ล้านบาท จึงเห็นว่า การเป็นสมาชิกของกองทุนนี้น่าจะเพียงพอในการคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้ได้รับเรื่องการเร่งออกกฎหมายลูก ของกฎหมายต่างๆที่ลงสัตยาบรรณไว้แล้วไปพิจารณา
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะถกเตรียมปฏิรูป-ยุทธศาสตร์-ปรองดอง 'ประวิตร' จ่อดึงผู้ใหญ่คุยปรองดอง

$
0
0

ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะ ประชุมเตรียมการปฏิรูป-ยุทธศาสตร์ชาติ-ปรองดอง ตั้ง 4 คณะกรรมการ เผยจะทำให้ประเทศเดินหน้าสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นภายใน 15 ปี  ระบุปี 60 รัฐบาลจะซ่อมของเก่า ย้ำโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ต้องเกิด 'ประวิตร' จ่อดึงผู้ใหญ่คุยปรองดองฝ่ายการเมือง สนช.พร้อมออก กม.รองรับ

ที่มาภาพ : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

12 ม.ค.2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม

ภายหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยได้มอบหมายความรับผิดชอบให้กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมถึงแม่น้ำ 5 สาย ในเรื่องการขับเคลื่อนต่าง ๆ ทั้งหมดที่มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย เพื่อเป็นการจัดทำโครงสร้าง ซึ่งถือเป็นอนาคตของประเทศไทยที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นภายใน 15 ปี จึงต้องปฏิรูปในหลายเรื่อง วันนี้จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในแม่น้ำ 5 สายทั้งหมดมาร่วมประชุมด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในปี 2560 รัฐบาลจะซ่อมของเก่า เสริมให้แข็งแรงขึ้นและสร้างโครงการใหม่ ๆ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ภายในปี 2560 ซึ่งหลายอย่างต้องคิดใหม่และหลายอย่างต้องมีกฎหมายสำคัญ รวมถึงประชาชนต้องให้ความร่วมมือและเข้าใจว่าตัวเองจะได้ประโยชน์จากตรงไหน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความขัดแย้ง แล้วจะทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม โดยวันนี้ได้สั่งการหลายเรื่อง ให้ไปสู่แนวคิดของคณะทำงาน ทั้งเรื่องการทำเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งจะใช้ที่ดินของประชาชน เกษตรแปลงใหญ่ที่ใช้ที่ดินของเอกชน และเกษตรแปลงใหญ่ที่ใช้ที่ดินของประชาชนพร้อมนำเอาสมาร์ทฟาร์เมอร์หรือปราชญ์ชาวบ้านเข้าไปดูแล เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ หากเกษตรกรแย่งกันทำบางครั้งก็จะล้มเหลว จึงต้องเกิดโครงการเหล่านี้ในบางพื้นที่หรือในทุกพื้นที่ หากรอให้มีการรวมกลุ่ม เมื่อน้ำดี ราคาดี ก็จะกลับไปปลูกพืชอื่นอีก รัฐบาลต้องการแก้ปัญหาให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะกิจตลอดเวลา หรือหาเงินให้อุดหนุนเยียวยา เพราะจะพัฒนาประเทศไปไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ต้องสร้างการรับรู้ให้คนไทยและให้ต่างประเทศรับรู้ ว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อให้เกิดความร่วมมือและได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ทำในวันนี้ที่จะเป็นอนาคต ซึ่งจะรวมถึงเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด รวมทั้งเศรษฐกิจชายแดนด้วย อันเกี่ยวพันกับประชาชนทั้งหมด รัฐบาลจะดูแลประชาชนในพื้นที่ ไม่ให้ประชาชนจะเดือดร้อน ขออย่ากังวล แต่ทุกอย่างต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถใช้กฎหมายเดิมและกติกาเดิมในการเดินหน้าประเทศต่อไปได้ในขณะที่โลกกำลังแข่งขันกันอยู่ เราเดินอย่างนั้นไม่ได้แล้ว ต้องยอมรับกันบ้าง แต่จะไม่ให้ใครเดือดร้อนมากที่สุด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกตัวอย่าง ถนนหนทางที่เคยจะต้องทำขยาย ทำเส้นใหม่แล้วทำไม่ได้ เพราะผ่านเขตอนุรักษ์ ก็ได้บอกให้ไปคิดใหม่ ทำเส้นทางใหม่ที่ไม่มีผลกระทบ และให้ทำให้ได้ เพราะสุดท้ายก็ไปถึงเหมือนกัน โดยต้องเปลี่ยนแปลงหลักการคิด ถ้าคิดแบบราชการเดิมคือสั้นที่สุดประหยัดที่สุดก็ได้แบบเดิม ที่จะต้องผ่านป่า สะพานกับท่อลอดก็น้อยทำให้ขวางทางน้ำ ซึ่งถือเป็นปัญหาเชิงซ้อนของประเทศไทย

จากนั้น สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงสร้างการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ หรือ ปยป. จะออกเป็นระเบียบหรือคำสั่งตามมาตรา 44 แต่การประชุมครั้งนี้ได้วางกรอบการทำงานให้ความสำคัญตามที่นายกรัฐมนตรีตั้งเป้าว่าปี 2560 จะเป็นปีของการปฏิรูปการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติใน 20 ปีและการสร้างความปรองดองต้องนำไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยหลักการสำคัญที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเกี่ยวกับวาระการปฏิรูป คือคณะกรรมการชุดนี้จะต้องคัดกรองวาระการปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ส่วนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอมา จะแยกเป็นหมวดหมู่ ทั้งการซ่อม เสริม และสร้าง จัดลำดับก่อนหลัง ทำเรื่องเร่งด่วนที่มีความเป็นไปได้ก่อน ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง และคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งทุกคณะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมวันนี้มีการพิจารณาเรื่องระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้เร่งดำเนินการเรื่องการจัดทำกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคมนี้ หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะมีการตั้งคณะกรรมการ EEC และจะมีการออกสิทธิประโยชน์ให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ยังเร่งโครงการต่าง ๆ ให้สำเร็จ 5 โครงการ ได้แก่ โครงการสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง รถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพ – ระยอง อุตสาหกรรมไฮเทค และโครงการเมืองใหม่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมทั้งเร่งรัดให้จัดทำแผนการใช้งบประมาณการจัดทำการลงทุนแบบกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด ซึ่งแบ่งเป็นแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ กองทุนเอสเอ็มอีแบบกลุ่มจังหวัด และงบส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในประเทศ

'ประวิตร' จ่อดึงผู้ใหญ่คุยปรองดองฝ่ายการเมือง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ว่า ตนทำยุทธศาสตร์ด้านการปรองดองอยู่แล้ว และได้หารือกับนายกรัฐมนตรีไปแล้ว จึงไม่ได้เสนออะไรเพิ่มเติม หลังจากนี้ตนจะทำโครงสร้างเกี่ยวกับความปรองดองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าขั้นตอนดำเนินการจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดความปรองดองและอยู่ร่วมกันได้
       
“ส่วนการพูดคุยกับฝ่ายการเมืองนั้น ขอให้โครงสร้างเสร็จก่อน เราจะให้เขาเสนอว่าอยากทำอะไร เพื่อนำมารวบรวมเป็นข้อมูล โดยคนที่จะมานั่งหัวโต๊ะพูดคุยกับฝ่ายการเมืองเป็นระดับผู้ใหญ่ ซึ่งในอดีตเคยมีตำแหน่งหน้าที่มาแล้ว อาจจะเป็นได้ทั้งผู้นำในกองทัพและพลเรือน เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมอบให้ผมทำยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการปรองดอง ผมก็จะเป็นคนคิดว่าจะทำอย่างไรและจะเสนอให้นายกฯ ทุกอย่างจะเป็นกระบวนการ ผมคิดไว้แล้วและจะประชุมกับคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาก่อน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 

สนช.พร้อมออก กม.รองรับปฏิรูป-ยุทธศาสตร์-ปรองดอง

ขณะที่ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ว่า เป็นการกำหนดนโยบายและกรอบเวลาในการที่รัฐบาลจะเร่งรัดมาตรการเรื่องการปฏิรูปประเทศให้ลงมือปฏิบัติเห็นผลภายใน 1 ปี คือ ปี 2560 และเป็นแผนระยะเวลาที่จะต้องแล้วเสร็จไม่เกินปี 2564 ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกว่าถ้าได้ลงมือภายในปี 2560 จะมีการส่งมอบภารกิจไปยังรัฐบาลชุดหน้าเพื่อสานต่อ เพราะมีการเริ่มต้นไว้แล้ว ซึ่งการดำเนินการหลายเรื่องต้องมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ จึงเป็นเหตุผลว่า สนช.ทำไมเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เพราะกฎหมายจะทยอยมายัง สนช.ในเดือนมีนาคม ตนได้แจ้งกับที่ประชุมว่า สนช.ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและยินดีสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการบัญญัติกฎหมายที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้หรือจำเป็นต้องออกมาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศให้เป็นรูปธรรม
 
ต่อกรณีคำถามว่า มีการหารือถึงบุคลากรส่วนหนึ่งของ สนช.ว่าหากรัฐธรรมนูญประกาศใช้อาจจะมี สนช.บางส่วนลาออกเพื่อที่จะลงเล่นการเมืองหรือไม่ นายสุรชัยกล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกัน ยังไม่รู้ว่าจะมีคนไหนตัดสินใจลาออกเพื่อเล่นการเมืองหรือไม่ เพราะยังมีกรอบเวลาในการตัดสิน 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ คงเป็นเรื่องส่วนตัวที่สมาชิกจะต้องคิดกันว่าตัดสินใจอย่างไร
       
สุรชัยกล่าวว่า การทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปทาง สนช.จะทำตามกรอบกฎหมายเดิมหรือจะต้องย่นระยะเวลา ต้องนำไปหารือกับในวิป สนช.เพื่อช่วยกันคิดในการกำหนดแนวทางและมาตรการในการทำงานเพื่อให้มีการรวดเร็ว สอดรับกับนโยบายรัฐบาลตามแผนยุทธศาสตร์ต่อไป

 

ที่มาเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล, ผู้จัดการออนไลน์และไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรเพชร แจงแก้ รธน. พิจารณา 3 วาระรวด ลงมติวิธีขานชื่อรายบุคคล ชี้ไม่กระทบกรอบ กม.ลูก

$
0
0

ประธาน สนช. แจงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 พิจารณา 3 วาระรวด ลงมติโดยใช้วิธีขานชื่อเป็นรายบุคคล ชี้ไม่กระทบกรอบพิจารณา กม.ลูก เหตุนับหนึ่งเมื่อ รธน.บังคับใช้ 'วิษณุ' ไม่รีบแก้ร่างรธน. รอให้แก้รธน.ชั่วคราวผ่านสนช.ก่อน

ที่มาภาพ เว็บไซต์วิทยุรัฐสภา

12 ม.ค. 2560 พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงการพิจารณาปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557  ในที่ประชุม สนช. วันพรุ่งนี้(13 ม.ค.) ว่า  เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด  โดยตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา และให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ คณะรัฐมนตรี(ครม.) ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจว่าจะแก้ไขหรือไม่ เข้าร่วมพิจารณาต่อสภา ซึ่งเบื้องต้น วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นตัวแทนมาชี้แจง ทั้งนี้ การลงมติในวาระ 1 ขั้นรับหลักการ และวาระ 3 ในการพิจารณาทั้งฉบับ จะใช้วิธีการขานชื่อสมาชิกเป็นรายบุคคล  ส่วนวาระ 2  ซึ่งเป็นการพิจารณารายละเอียดแต่ละมาตรา หากมีการแก้ไขถ้อยคำจะใช้วิธีการลงมติด้วยเครื่องลงคะแนนตามปกติ

ประธาน สนช. ยังได้กล่าวถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติว่า ได้ทราบข่าวมีรายชื่อเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ แต่ยังไม่ได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการ
 
นอกจากนี้ ประธาน สนช. ยังได้กล่าวถึงการเตรียมพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่า ทางกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะส่งให้ สนช. พิจารณา ภายหลังจากร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้  ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมที่จะตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ศึกษาเนื้อหาของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ  โดยได้ประสานให้ กรธ. ส่งร่างมาให้ล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการก่อน  เพื่อทำการศึกษาคู่ขนานกันไป   ซึ่งหากมีข้อคิดเห็น ก็จะส่งสัญญาณกลับไปยัง กรธ.

ชี้ไม่กระทบกรอบพิจารณา กม.ลูก เหตุนับหนึ่งเมื่อ รธน.บังคับใช้

พรเพชร กล่าวว่า เนื้อหาการแก้ไข รธน. ฉบับชั่วคราว 2557 เป็นขั้นตอนในการขอรับร่าง รธน. ฉบับผ่านประชามติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทูลเกล้าฯ เพื่อกลับมาแก้ไข เพื่อเปิดช่องให้ขอรับร่างที่ทูลเกล้าฯ ไปกลับคืนมาเพื่อแก้ไขตามพระราชกระแสรับสั่ง อย่างไรก็ตามทราบจาก วิษณุ ว่าจะแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ เพียงหมวดเดียว สำหรับขั้นตอนเมื่อได้รับพระราชทานร่าง รธน. ฉบับผ่านประชามติกลับคืนมา โดยจะเป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้โดยจะตั้งคณะกรรมการพิเศษที่เป็นกรรมการกฤษฎีกาเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย ส่วนสาเหตุที่ตนมีชื่อหนึ่งในคณะกรรมการเพราะเป็นกรรมการกฤษฎีกาอยู่ด้วย
 
พรเพชร กล่าวด้วยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะไม่กระทบต่อกรอบเวลาในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบ รธน. เนื่องจาก รธน. ฉบับผ่านประชามติบังคับใช้อย่างเป็นทางการถึงจะเริ่มต้นนับหนึ่ง โดยขณะนี้ กรธ. ยังไม่ได้มีการส่งร่างมา แต่ขณะนี้ได้มีการประสานกันเป็นการภายในขอร่างมาให้ สนช. ศึกษาล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการก่อน เป็นการรู้ข้อสอบล่วงหน้าก่อน

วิษณุไม่รีบแก้ร่างรธน. รอให้แก้รธน.ชั่วคราวผ่านสนช.ก่อน

วิษณุ กล่าวถึงการนัดประชุมกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการยกร่างมาตราที่จะมีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ว่าเรื่องนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะยังต้องรอให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 13 ม.ค.ไปก่อน และเมื่อผ่านความเห็นชอบทั้งหมดแล้วก็จะถึงขั้นตอนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นค่อยว่ากันไม่ต้องรีบร้อนอะไร
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พลเมืองโต้กลับนัดรวมพล นั่งรถไฟไปเยี่ยม ไผ่ ดาวดิน ด้านเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกระจายตัวทั่วหัวลำโพง

$
0
0

กลุ่มพลเมืองโต้กลับนัดรวมตัวจัดกิจกรรมนั่งรถไฟไปขอนแก่น เพื่อให้กำลังใจ "ไผ่ ดาวดิน" ด้านเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกระจายตัว ถ่ายรูป จับตา ทั่วหัวลำโพง หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางระบุ ไม่สนิทกับไผ่ แต่ต้องการเดินทางไปให้กำลังใจ หวังได้ประกันตัวออกมาสอบ

12 ม.ค. 2560 ที่ สถานีรถไฟหัวลําโพง กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นำโดยสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ได้จัดกิจกรรม "หอบรักไปห่มไผ่" โดยได้นัดกลุ่มประชาชนผู้สนใจ ร่วมเดินทางไปยังจังหวัดขอนแก่น โดยขบวนรถเร็วที่ 133 นำทางสถานีหัวลำโพงปลายทางสถานีหนองคาย เพื่อไปเยี่ยมให้กำลังใจจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน โดนขบวนรถไฟจะออกเดินทางในเวลา 20.45 น. คาดว่าจะเดินทางถึงจะหวัดขอนแก่นในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น

สำหรับไผ่ ดาวดิน นักศึกษา นักกิจกรรม คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ถูกจับกุมดำเนินคดี ตามฐานความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ข่าวบีบีซีไทย โดยล่าสุดเขาถูกเพิกถอนการประกันตัว เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการประกันตัวโดยให้เหตุผลว่าผู้ต้องหาได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในลักษณะเยาะเย้ยพนักงานสอบสวน โดยศาลพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2559 มีคำสั่งให้เพิกถอนการประกันตัว

โดยศาลให้เหตุผลว่า ผู้ต้องหาไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองและมีพฤติกรรมเย้ยหยั่นอำนาจรัฐ ทำให้ไผ่ถูกฝากขังมาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2559 จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งนี้เขากำลังจะมีสอบวิชาสุดท้ายเพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีในวันที่ 17 พ.ค. 2560 และหากไม่ได้รับการประกันตัวอาจส่งผลให้ไม่สามารถเรียนจบได้ตามหลักสูตร

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าขณะที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้นัดรวมตัวกันที่บริเวณโถงของสถานีรถไฟหัวลำโพง ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเฝ้าจับตาอยู่โดยรอบไม่ต่ำกว่า 10 นาย พร้อมทั้งถ่ายรูปผู้ร่วมเดินทางทุกคน

ไพศาล จันทปาน ผู้ร่วมเดินทางรายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ร่วมเดินทางในวันนี้ว่า ต้องการไปเยี่ยม และไปให้กำลังใจกับไผ่ ดาวดิน เนื่องจากเห็นว่าสิ่งที่ไผ่เผชิญอยู่นั้นไม่เป็นธรรม และต้องการให้มีการอนุญาตให้ประกันตัว เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน

ไพศาล ระบุด้วยว่า ตนไม่ได้รู้จักกับไผ่ดาวดินเป็นการส่วนตัว เพียงแค่เคยมาร่วมกิจกรรมที่ทางขบวนการประชาธิปไตยใหม่ และกลุ่มนักศึกษาจัดหลายครั้ง และวันนี้ต้องการที่จะไปให้กำลังใจกับคนรุ่นใหม่ ที่เคยออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า มีความกังวัลหรือไม่ที่มาร่วมกิจกรรมแล้วมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาถ่ายรูป หรือเฝ้าจับตาตลอดเวลา ไพศาล ระบุว่า

"จะให้พี่กลัวอะไร เพราะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ตั๋วรถไฟก็ซื้อเอง ไม่ได้แอบนั่งฟรี และการนั่งรถไฟไปเยี่ยมน้อง เยี่ยมเพื่อน จะเป็นความผิดได้อย่างไร"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แม่ไผ่ ดาวดิน ยื่นขอรักษาสถานะนักศึกษาลูกชาย ด้าน ‘บินหลา’ ชวนเพื่อนนักเขียนเล่าเรื่องราวของไผ่

$
0
0

แม่ไผ่ ดาวดิน เข้ายื่นคำร้องจอรักษาสถานะนักศึกษาให้ลูกชาย หลังศาลยังไม่อนุญาตให้ประกันตัว เหตุมีสอบวิชาสุดท้าย 17 ม.ค. ด้านนักเขียนซีไรต์ บินหลา สันกาลาคีรี เข้าเยี่ยม พร้อมชวนเพื่อนนักเขียนเล่าเรื่องเล่าของ ไผ่ ดาวดิน

12 ม.ค. 2560 พริ้ม บุญภัทรรักษา หรือแม่ของจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นักศึกษา นักกิจกรรม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถูกจับกุมตามฐานความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai ได้เดินทางเข้าด้เข้ายื่นคำร้องกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อคงสถานะภาพการเป็นนักศึกษาของ ไผ่ ไว้ ไม่ให้ถูกรีไทร์ เพราะไม่สามารถทำการสอบรายวิชาสุดท้ายได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัว ทั้งนี้เขากำลังจะมีสอบวิชาสุดท้ายเพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีในวันที่ 17 พ.ค. 2560

ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 11.00 น. บินหลา สันกาลาคีรี หรือ วุฒิชาติ ชุ่มสนิท นักเขียนรางวัลซีไรต์ประจำปี 2548 จากหนังสือรวมเรื่องสั้น “เจ้าหงิญ” ได้เดินทางเยี่ยมไผ่ ดาวดิน ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น โดยบินหลา เปิดเผยกับประชาไทว่า ได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นกับไผ่ มาตั้งแต่แรก แต่เพิ่งจะได้มีโอกาสเดินทางมาเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ แม้จะไม่ได้สนิทสนมกับไผ่ มากนัก แต่รู้สึกว่า หากมีโอกาสจะต้องมาหาไผ่ ให้ได้

บินหลา เล่าต่อไปว่า เขารู้จักกับไผ่ แบบได้พูดคุยกันครั้งแรกเมื่อต้นปี 2559 ซึ่งตอนนั้นเขาได้เดินทางไปงานวันเด็กที่หมู่บ้านนาหนองบง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ได้พบกับไผ่ และนักศึกษากลุ่มดาวดิน คนอื่นๆ ที่นั้น หลังจากนั้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางร้าน the writer's secret ได้มีความคิดที่จะจัดงานเสวนาในประเด็นผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม กับโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชน จึงได้เชิญไผ่ ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สนใจเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวมาเป็นวิทยากร ชวนพูดคุยที่ร้าน

บินหลา อธิบายความรู้สึกที่มีต่อคนรุ่นใหม่อย่าง ไผ่ ดาวดิน ว่า “สำหรับผม ไผ่ เป็นคนที่จริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง คือเขาแยกแยะสิ่งที่พบเห็น อธิบายความเชื่อที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคม โดยที่เขากล้าหาญมากที่จะพูด ที่จะทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง”

บินหลา กล่าวหลังจากที่เข้าเยี่ยม ไผ่ ในวันนี้ว่า ไผ่ยังมีรอยยิ้มให้เห็นเหมือนเดิม แต่ดูมีสภาพอิดโรยเล็กน้อย ไผ่ยังทักทายด้วยว่าสบายดีไหมครับพี่

“ส่วนผมเองก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะคุยไม่ออก คือผมรู้สึกว่ามันเศร้ามาก แต่ว่าต่อหน้าเขาก็พยายามจะไม่แสดงปฏิกริยาอะไร ก็ถามข่าวคราวความทุกข์สุขไปเรื่อยๆ เขาก็รับฟัง แต่เขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมาก ผมไม่แน่ใจว่าเขาระมัดระวังว่าจะมีการดักฟังหรือไม่ ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก”

บินหลา กล่าวด้วยว่า อยากชวนเพื่อนนักเขียน มาเยี่ยมไผ่ เขา แล้วช่วยกันอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ไผ่กำลังเผชิญอยู่ คือสถานการณ์ที่คุกคามคนทุกคนในประเทศนี้ ไม่ใช่เพียงแต่คุกคามไผ่คนเดียว ทุกคนกำลังโดนเหมือนกันหมด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อภิสิทธิ์ ยันไม่ซีเรียสอะไรเลย หากกลาโหมยื่นฎีกาคดีเลี่ยงเกณฑ์ทหาร

$
0
0

อภิสิทธิ์ เผยไม่เครียด และไม่ซีเรียสอะไรเลย หากกระทรวงกลาโหมยื่นฎีกาคดี เลี่ยงเกณฑ์ทหาร ขณะที่ พล.อ.ประวิตร บอกไม่ลำบากใจ ทุกอย่างทำตามขั้นตอนของกฎหมาย

ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Abhisit Vejjajiva

12 ม.ค. 2560 จากกรณีที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งรัดให้กระทรวงกลาโหมยื่นฎีกาคดี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลี่ยงเกณฑ์ทหาร ซึ่งอัยการได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาไว้ถึงวันที่ 13 ม.ค.นี้

อภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ตนได้ยื่นฎีกาไปแล้ว ส่วนที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ถ้าจะต้องมีการยื่นฎีกา กรมพระธรรมนูญทหารจะเป็นผู้ที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายนั้น ก็เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหมจะดำเนินการ ส่วนตัวไม่เครียด และไม่ซีเรียสอะไรเลย 

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ไม่เป็นไรทุกอย่างทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการหากจะยื่นฎีกาก็ให้ยื่นกรมพระธรรมนูญจะเป็นผู้ดูแล เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายบริหาร ส่วนตัวไม่ลำบากใจในเรื่องดังกล่าว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุนทรพจน์บารัก โอบามา อำลาตำแหน่ง #1 ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องทำให้เหมือนกันหมด

$
0
0

ในการกล่าวสุนทรพจน์อำลาตำแหน่งของ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา พูดถึงความสำคัญของเสรีภาพและประชาธิปไตย โดยที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมด และไม่สามารถละเลยซึ่งการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน

ที่มาของภาพประกอบ: whitehouse.gov

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์อำลาก่อนพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา เนื้อหาสุนทรพจน์ฉบับเต็มในช่วงแรกมีดังนี้

สุนทรพจน์อำลาตำแหน่งประธานาธิบดี บารัก โอบามา (ตอนที่ 1)

สวัสดีชิคาโก (ผู้คนปรบมือ) ดีจริงๆ ที่ได้กลับบ้าน (ผู้คนปรบมือ) ขอบคุณทุกคน (ผู้คนปรบมือ) ขอบคุณมากๆ เอาล่ะนั่งลงได้ (ผู้คนปรบมือ) พวกเราออกโทรทัศน์ถ่ายทอดสดกันอยู่ตอนนี้ (ผู้คนปรบมือ) ต้องดำเนินพิธีการต่อไปกันหน่อย (ผู้คนปรบมือ) คุณบอกได้เลยว่าตอนนี้ผมเป็นคนที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีใครทำตามคำสั่งผมอีกแล้ว (ผู้คนหัวเราะ) เอาล่ะทุกคนนั่งลง (ผู้คนปรบมือ)

เพื่อนพ้องชาวอเมริกันของผม (ผู้คนปรบมือ) มิเชลล์และผู้รู้สึกปลื้มปิติอย่างมากจากคำอวยพรที่ดีที่พวกเราได้รับตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในคืนนี้ เป็นตาของผมบ้างแล้วที่จะต้องกล่าวขอบคุณ (ผู้คนปรบมือ) ไม่ว่าพวกคุณจะเห็นพ้องกันหรือแทบจะไม่เห็นด้วยเลย บทสนทนาของผมกับพวกคุณ...ประชาชนชาวอเมริกัน ทั้งในห้องนั่งเล่นและในโรงเรียน ที่ฟาร์มหรือในโรงงาน ที่ร้านอาหารและในค่ายทหารที่อยู่ห่างไกล บทสนทนาพวกนั้นต่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมยังคงซื่อสัตย์และทำให้ผมมีแรงบันดาลใจทำให้ผมก้าวต่อไป และในทุกวันผมก็เรียนรู้จากพวกคุณ พวกคุณทำให้ผมเป็นประธานาธิบดีที่ดีขึ้น และพวกคุณทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น (ผู้คนปรบมือ)

ผมมาที่ชิคาโกครั้งแรกเมื่อผมอายุอยู่ในช่วง 20 ปีต้นๆ และผมก็พยายามค้นหาตัวเองว่าผมเป็นใคร ยังคงค้นหาว่าความหมายของชีวิตผมคืออะไร และมันก็คือย่านชุมชนที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ที่ผมเริ่มทำงานกับกลุ่มในโบสถ์ภายในร่มเงาของโรงเหล็กกล้าที่ปิดตัวไปแล้ว เป็นถนนเหล่านี้เองที่ทำให้ผมได้พบเจอพลังแห่งศรัทธา และความทรนงในศักดิ์ศรีอย่างเงียบๆ ของกลุ่มคนทำงานที่กำลังเผชิญหน้าการต่อสู้และความสูญเสีย

(ผู้คนที่กำลังรับฟังตะโกนว่า "อยู่ต่ออีกสี่ปี! อยู่ต่ออีกสี่ปี! อยู่ต่ออีกสี่ปี!")

ผมทำเช่นนั้นไม่ได้

(ผู้คนที่กำลังรับฟังยังคงตะโกนต่อไปว่า "อยู่ต่ออีกสี่ปี! อยู่ต่ออีกสี่ปี! อยู่ต่ออีกสี่ปี!")

"พวกคุณเองนั่นและคือความเปลี่ยนแปลง"

(โอบามาพูดต่อไป) นี่คือที่ๆ ผมเรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนธรรมดาเข้ามามีส่วนร่วมและทำอะไรร่วมกัน แล้วพวกเขาก็ร่วมกันออกมาเรียกร้องมัน

หลังจากที่เป็นประธานาธิบดีของพวกคุณมา 8 ปี ผมยังคงเชื่อเรื่องที่ว่านี้อยู่ และไม่ใช่เป็นแค่ความเชื่อของผมเองคนเดียวเท่านัน มันคือแนวคิดอเมริกันของพวกเราเสมือนหัวใจที่กำลังเต้น คือการทดลองอันหาญกล้าของพวกเราในการปกครองตัวเอง มันคือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าพวกเราทั้งหมดถูกสร้างมาให้เท่าเทียมกัน ได้รับมอบสิทธิที่มีมาตั้งแต่เกิดจากพระผู้สร้างของพวกเรา ในสิ่งเหล่านั้นคือชีวิต เสรีภาพ และการตามหาความสุข ต้องขอย้ำว่าสิทธิเหล่านี้ถึงแม้จะประจักษ์ชัดในตัวเองแต่ก็ไม่เคยเป็นสิทธิที่มีอยู่แล้วอย่างไม่ต้องรอการรับรองตามกฎหมายของประเทศ พวกเรา ประชาชนจึงสามารถร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าประชาธิปไตย

ช่างเป็นความคิดที่สุดขั้วอะไรเช่นนี้ ของขวัญที่ผู้ก่อตั้งสถาปนาประเทศมอบให้พวกเราคือเสรีภาพในการไล่ตามความฝันของปัจเจกบุคคลอย่างพวกเราเองผ่านหยาดเหงื่อและความตรากตรำและจินตนาการ แล้วมันก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่พวกเราจะต่อสู้ดิ้นรนไปด้วยกันร่วมไปกับการทำให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม

เป็นเวลา 240 ปีมาแล้วที่ประเทศชาติของพวกเรารวบรวมกันเป็นพลเมืองที่มีหน้าที่การงานและเป้าหมายในชีวิตในแต่ละรุ่นๆ สิ่งนี้ทำให้เกิดความรักชาติที่จะเลือกการเป็นสาธารณรัฐแทนที่จะกลายเป็นทรราช หลักดันให้พวกเราปีนป่ายสู่ตะวันตก เหล่าทาสผู้หาญกล้าก่อร่างเส้นทางสู่อิสรภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เหล่าผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจากทั่วสารทิศข้ามมหาสมุทรและริโอแกรนเด (เสียงปรบมือ) สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ผู้หญิงเรียกร้องที่จะมีสิทธิเลือกตั้ง ผลักดันให้แรงงานจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ทำให้พวกทหารจีไอสละชีพในสมรภูมิโอฮามาและอิโวจิมา ในอิรักและอัฟกานิสถาน และมันคือเหตุผลที่ทำไมชายและหญิงจากเซลมาถึงสโตนวอลล์พร้อมที่จะเสียสละตัวเองเช่นกัน (เสียงปรบมือ)

ดังนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้คือความหมายที่เราสื่อถึงเมื่อเราบอกว่าอเมริกามีความพิเศษ ไม่ใช่เพราะว่าประเทศพวกเราไร้ที่ติมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นเพราะว่าพวกเราต่างก็แสดงให้เห็นศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงและทำให้ชีวิตดีขึ้นสำหรับผู้ที่เดินตามเรามา แน่นอนว่าความก้าวหน้าของพวกเราก็ไม่ได้ราบเรียบ การทำงานของประชาธิปไตยเป็นเรื่องยากเสมอมา มันมีเรื่องที่ต้องถกเถียงพิพาทกันมาโดยตลอด บางครั้งก็ถึงขั้นเลือดตกยางออก สำหรับทุกๆ 2 ก้าวที่เราก้าวไปข้างหน้าบางครั้งพวกเราก็มักจะรู้เหมือนก้าวถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งด้วย แต่ในฝีพายแบบกวาดยาวของเรือที่ชื่ออเมริกาก็ยังคงอยู่กับนิยามถึงการเคลื่อนไปข้างหน้า มีการขยายหลักการก่อตั้งประเทศของพวกเราอยู่เสมอในการที่จะโอบรับคนทุกคนไม่เพียงแค่บางคนเท่านั้น

ผมเคยบอกคุณแล้วเมื่อ 8 ปีก่อนว่าอเมริกาจะพลิกวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำให้ได้ ปลุกอุตสาหกรรมยานยนต์ให้กลับมาอีกครั้งให้ได้ และทำให้เกิดการสร้างงานยาวไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเรา (เสียงปรบมือ) ถ้าหากผมเคยบอกกับพวกคุณว่าพวกเราจะเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่กับประชาชนชาวคิวบา ปิดโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยไม่ต้องเสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว กำจัดผู้อยู่เบื้องหลัง 9/11 (เสียงปรบมือ) ถ้าหากผมเคยบอกพวกคุณว่าพวกเราจะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันเรื่องการแต่งงานและทำให้เกิดสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการสุขภาพแก่ประชาชนที่เหลืออีก 20 ล้านคนของพวกเรา (เสียงปรบมือ) ถ้าหากผมเคยบอกพวกคุณอย่างนี้ พวกคุณอาจจะบอกว่าเราตั้งเป้าหมายกันสูงเกินไปสักหน่อย แต่ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่พวกเราร่วมกันทำได้สำเร็จ (เสียงปรบมือ) สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกคุณทำสำเร็จ

พวกคุณเองนั่นและคือความเปลี่ยนแปลง พวกคุณตอบรับความหวังของประชาชน และเป็นเพราะพวกคุณ อเมริกาดีขึ้นจากมาตรวัดแทบทุกชนิด เป็นที่ๆ แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมจากตอนต้น (เสียงปรบมือ)

ประชาธิปไตยไม่ได้จำเป็นต้องทำให้ทุกคนเหมือนกันหมด พวกเราต้องโต้แย้งกันได้

ภายใน 10 วันโลกจะได้ประจักษ์ถึงเครื่องหมายของประชาธิปไตยของพวกเรา

(ผู้ฟังต่างบอกว่า "ไม่...")

ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่... ผมหมายถึงการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจอย่างสันติจากประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเสรีคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง (เสียงปรบมือ) ผมมีพันธะหน้าที่ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ผู้มาจากการเลือกตั้งว่ารัฐบาลของผมจะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีบุชเคยทำกับผม (เสียงปรบมือ) เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะทำให้แน่ใจว่ารัฐบาลของพวกเราจะช่วยให้พวกเราต่อสู้กับปัญหาจำนวนมากที่พวกเรายังคงเผชิญอยู่ได้

พวกเรามีสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมี พวกเรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะมีสำหรับเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ ถึงที่สุดแล้วพวกเราก็ยังคงเป็นชาติที่มั่งคั่งที่สุด มีอำนาจที่สุด และน่าเคารพนับถือที่สุดในโลก คนหนุ่มสาวของพวกเรา พลังขับดันของพวกเรา ความหลากหลายและเปิดกว้างของพวกเรา สมรรถภาพในการกล้าเสี่ยงและคิดค้นใหม่อย่างไม่มีขอบเขตของพวกเราหมายความว่าอนาคตควรเป็นของพวกเรา แต่ศักยภาพเหล่านี้จะเป็นที่ตระหนักได้ก็ต่อเมื่อประชาธิปไตยของพวกเราทำงานเท่านั้น ถ้าเพียงแค่การเมืองของพวกเราจะสะท้อนความดีงามของประชาชนพวกเรา (เสียงปรบมือ) ถ้าเพียงแค่พวกเราทุกคนไม่ว่าจะอิงอยู่กับพรรคการเมืองใดหรือกลุ่มผลประโยชน์ใดก็ตามช่วยกันคืนความรู้สึกร่วมของผู้คนในวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือสิ่งที่พวกเรากำลังต้องการอย่างมากในตอนนี้

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการเน้นในคืนนี้ สภาพประชาธิปไตยของพวกเรา ต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ได้จำเป็นต้องทำให้ทุกคนเหมือนกันหมด ผู้ก่อตั้งประเทศของพวกเราก็โต้แย้ง พวกเราทุ่มเถียงกัน จนกระทั่งพวกเขาประนีประนอมกันได้ พวกเขาคาดหวังว่าพวกเราจะทำเหมือนกัน แต่พวกเขาก็รู้อีกว่าประชาธิปไตยก็ต้องการความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในระดับพื้นฐาน เป็นแนวคิดที่ว่าไม่ว่าความแตกต่างภายนอกของพวกเราทั้งหมดจะเป็นอย่างไร พวกเราต่างก็ยกระดับขึ้นและตกต่ำลงไปด้วยกันหมด

มันมีช่วงเวลาหลายช่วงในประวัติศาสตร์ที่เป็นอันตรายต่อความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวของพวกเราอยู่เหมือนกัน และในช่วงต้นศตวรรษนี้ก็เป็นหนึ่งในช่วงเวลานั้น โลกที่เล็กลง ความไม่เท่าเทียมกันที่เพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์และ "ผี" ของการก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ทดสอบความปลอดภัยและความรุ่งเรืองของพวกเราเท่านั้น แต่ยังทดสอบประชาธิปไตยของพวกเราด้วย และวิธีการที่เราเผชิญกับปัญหาประชาธิปไตยของพวกเราเองจะหลายเป็นตัวกำหนดความสามารถในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของพวกเรา และสร้างงาน ปกป้องมาตุภูมิของพวกเรา พูดอีกอย่างหนึ่งคือ มันจะเป็นการกำหนดอนาคตของพวกเรา

เริ่มต้นด้วยว่า ประชาธิปไตยของพวกเราจะใช้การไม่ได้เลยถ้าไม่มีแนวคิดว่าทุกคนมีโอกาสในทางเศรษฐกิจ และข่าวดีคือในปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังเติบโตขึ้น ค่าแรง รายได้ ราคาที่อยู่อาศัย และเงินบัญชีเกษียณอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ความยากจนกำลังลดลงอีกครั้ง (เสียงปรบมือ) คนผู้มั่งคั่งกำลังจ่ายภาษีอย่างเป็นธรรมมากขึ้นแม้ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในระดับทำลายสถิติ ระดับการว่างงานแทบจะเรียกได้ว่าต่ำในรอบ 10 ปี ค่าใชจ่ายแบบไม่เอาประกันภัยก็ไม่เคยต่ำเท่านี้มาก่อน (เสียงปรบมือ) อัตราราคาค่าบริการสาธารณสุขปรับตัวเพิ่มขึ้นช้าลงที่สุดในรอบ 50 ปี และผมได้พูดไปแล้ว ผมได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ ว่า ถ้าหากใครก็ตามที่รวบรวมแผนการที่สาธิตให้เห็นแล้วว่าดีขึ้นกว่าการพัฒนาระบบสาธารณสุขของพวกเราและทำให้คนเข้าถึงได้มากที่สุดโดยมีค่าใช้จ่ายลดลง ผมก็ออกตัวจะสนับสนุนผ่านสื่อ (เสียงปรบมือ)

เพราะนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงรับใช้ ไม่ใช่เพื่อทำให้ได้คะแนนหรือทำเอาหน้า แต่เพื่อทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น (เสียงปรบมือ)

"ถ้าหากพวกเราไม่สร้างโอกาสให้กับผู้คนทุกคน ก็จะเกิดความบาดหมางและการแบ่งแยก"

แต่สำหรับความก้าวหน้าทั้งหมดที่พวกเราทำมา พวกเรารู้ว่ามันยังไม่พอ เศรษฐกิจของพวกเราไม่ได้เติบโตได้ดีพอหรือเร็วพอเมื่อมีแค่ไม่กี่คนที่มั่งคั่งทำให้ส่งผลกระทบต่อชนชั้นกลางที่กำลังเติบโคขึ้นและต่อบันไดที่ชนชั้นล่างจะใช้ปีนขึ้นไปสู่ชนชั้นกลาง นั่นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันทางเศรษฐกิจ แต่ความไม่เท่าเทียมกันอย่างสิ้นเชิงกำลังกัดกร่อนอุดมคติประชาธิปไตยของเรา ขณะที่พวกชนชั้นนำร้อยละ 1 รวบรวมความมั่งคั่งและรายได้มากขึ้น แต่ก็มีครอบครัวจำนวนมากทั้งในเมืองและในชนบทยังคงถูกทอดทิ้ง คนงานโรงงานอุตสาหกรรมที่ถูกเลย์ออฟ พนักงานเสิร์ฟหรือคนทำงานสาธารณะสุขที่ต่อสู้ดิ้นรนเพียงเพื่อจะจ่ายค่าครองชีพได้ พวกเขารู้สึกว่าเกมนี้มันถูกกำหนดให้กีดกันพวกเขาออกไปอยู่แต่แรกแล้ว รัฐบาลของพวกเขาเพียงแค่รับใช้ผลประโยชน์ของคนที่มีอำนาจ มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ร้ายอย่างหยามเหยียดและการแบ่งขั้วทางการเมืองของพวกเรา

แต่ก็ไม่มีวิธีการสำเร็จรูปที่จะแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องในระยะยาวนี้ ผมเห็นด้วยว่าการค้าของเราต้องเป็นธรรมด้วยไม่ใช่แต่เพียงเสรีเท่านั้น แต่คลื่นลูกต่อไปของการย้ายฐานทางเศรษฐกิจจะไม่ได้มาจากต่างชาติ แต่จะมาจากการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งที่ทำให้เกิดการผลิตสินค้า ทำให้งานของชนชั้นกลางหายไป

ดังนั้นพวกเราจึงต้องสร้างข้อตกลงร่วมกันทางสังคมแบบใหม่ที่จะการันตีให้เด็กทั้งหมดของพวกเราได้รับการศึกษาอย่างที่พวกเขาต้องการ (เสียงปรบมือ) เพื่อที่จะให้พลังแก่แรงงานในการรวมกลุ่มสหภาพเพื่อค่าแรงที่ดีขึ้น เพื่อพัฒนาฐานตาข่ายความปลอดภัยทางสังคมเพื่อให้สะท้อนรับกับวิถีชีวิตที่เรามีอยู่ในตอนนี้และทำการปฏิรูปกฎหมายภาษีมากขึ้นเพื่อให้บรรษัทและบุคคลที่กวาดต้อนผลประโยชน์จากเศรษฐกิจใหม่นี้ไปมากที่สุดไม่ละเลยพันธะกรณีของพวกเขาต่อประเทศชาติที่ทำให้ความสำเร็จของพวกเขาเป็นไปได้ (เสียงปรบมือ)

พวกเราสามารถโต้แย้งกันได้ว่าพวกเราจะใช้วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงเป้าหมายนี้ได้อย่างไร แต่พวกเราก็ไม่ควรที่จะหยุดยั้งแล้วเพียงพออยู่กับแค่ตัวเป้าหมายเองอย่างเดียง เพราะว่าถ้าหากพวกเราไม่สร้างโอกาสให้กับผู้คนทุกคน ก็จะเกิดความบาดหมางและการแบ่งแยกที่จะเป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าของพวกเราซึ่งจะเป็นสถานการณ์ที่แหลมคมขึ้นในอีกหลายปีหลังจากนี้

000

ในตอนต่อไปของสุนทรพจน์ โอบามาได้พูดถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "ภัยต่อประชาธิปไตยอย่างที่สอง" ที่พวกเขากำลังเผชิญ

 

เรียบเรียงจาก

President Obama farewell address: full text, CNN, 11-01-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ย้อนรอยรัฐประหาร 13 ครั้ง นานแค่ไหนกว่าจะเลือกตั้ง คสช.ท้าชิงสฤษดิ์-ถนอม

$
0
0

ระหว่างที่ผู้คนคงกำลังลุ้นว่าการเลือกตั้งจะเกิดเมื่อไรแน่ เราชวนดูประวัติศาสตร์การรัฐประหารของไทย แต่ละยุคสมัยครองอำนาจกันนานเท่าไรกว่าจะจัดเลือกตั้ง น่าแปลกที่ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่กี่เดือน ไม่น่าเชื่อว่า คสช.ที่ทำรัฐประหารในยุคสมัยใหม่โลกหมุนไปไกลแล้วนั้นจะอยู่ยาวเป็นอันดับต้นๆ 


คลิ๊กดูภาพขนาดใหญ่

หากนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน อยู่ในอำนาจ 2 ปี 7 เดือน 22 วันแล้ว มีการขยาย “สัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ออกไปเรื่อยๆ และจนขณะนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะคืนอำนาจและจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อไร

หากนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง แม้ คสช. จะทำรัฐประหารในวันที่โลกหมุนไปไกลและไม่น่าเชื่อว่าจะยังทำ(รัฐประหาร)ได้ แต่ คสช.กลับอยู่ในอำนาจยาวนานและทิ้งช่วงเวลาจัดการเลือกตั้งยาวนานเป็นอันดับ 3

อันดับหนึ่งคือ สมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ทำรัฐประหารครั้งที่สอง ในนาม “คณะปฏิวัติ” ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 จนกระทั่งจัดการเลือกตั้งในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 รวมระยะเวลา 10 ปี 3 เดือน 21 วัน

อันดับสองคือ “คณะปฏิวัติ” ของ จอมพลถนอม กิตติขจร ที่ขึ้นกุมอำนาจเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 จนกระทั่งรัฐบาลถนอมถูกโค่นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จากนั้นจึงมีการจัดเลือกตั้งเมื่อ 26 มกราคม 2518รวมใช้เวลา 3 ปี 2 เดือน 9 วัน

คสช.ยังอยู่ยาวแซง คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนำโดย พล.ร.อ.สงัด ชะลออยู่ ที่ใช้เวลา 1 ปี 6 เดือน 2 วัน จึงจะจัดการเลือกตั้งครั้งแรก รวมทั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ใช้เวลา 1 ปี 3 เดือน 4 วัน จึงจัดการเลือกตั้งครั้งแรก รวมถึงคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดยพล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ใช้เวลา 1 ปี 28 วัน จึงจัดการเลือกตั้งครั้งแรก

ส่วนการรัฐประหารอื่นๆ อีก 8 ครั้งในประวัติศาสตร์นั้น คณะทหารมักอยู่ในอำนาจราว 1 - 4 เดือนเท่านั้นแล้วเร่งจัดการเลือกตั้ง หรือไม่เช่นนั้นก็ยังไม่ทันได้จัดเลือกตั้งแต่ถูกรัฐประหารซ้อนหรือทำรัฐประหารตัวเองเพื่อกระชับอำนาจเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม ต้องเตือนสติกันไว้ด้วยว่า “การเลือกตั้งทั่วไป” ไม่ได้หมายความถึงการหลุดออกจากเงาของคณะรัฐประหาร ในอดีตที่ผ่านมา การเลือกตั้งหลังรัฐประหาร บางครั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ที่อยู่ภายใต้กติกาหรือรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารร่างขึ้น และมักจบลงด้วยการที่รัฐบาลพลเรือนดังกล่าวถูกล้มล้างเนื่องจากกลไกกติกาที่ว่า หรือคณะรัฐประหารทำรัฐประหารซ้ำเสียเองเพื่อกระชับอำนาจ นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีที่การเลือกตั้งเป็นเพียง “ฉากหน้า” เพราะมีการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนโดยผู้ทำรัฐประหาร เช่น กรณีเลือกตั้งเมื่อปี 2512 ที่ ส.ส. พรรคสหประชาไทย ยังคงรวมเสียงพรรคการเมืองต่างๆ ตั้งรัฐบาลผสมและหนุนจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

หรือกรณีเลือกตั้งปี 2522 ที่พรรคการเมืองต่างๆ หันไปสนับสนุน พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทหารเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย หลัง พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำรัฐประหารครั้งที่สอง และเมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ แถลงลาออกกลางสภาในเดือนมีนาคมปี 2523 ส.ส. ในสภาก็ยังคงเลือก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกและ รมว.กลาโหม ในเวลานั้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใด ส.ส. ก็ยังคงเลือก พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี การเมืองในช่วงนี้จนถึงปี 2531 ถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ หากพิจารณาระยะเวลาการอยู่ในอำนาจของคณะรัฐประหาร 2 ชุดหลังสุด คมช.-คสช. จะพบว่า มีระยะเวลาการอยู่ในอำนาจ จนกว่าจะจัดการเลือกตั้งครั้งแรก ยืดเวลานานขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า รัฐประหารครั้งล่าสุดมีแนวโน้มต้องการเวลายาวนานในการจัดการสถานการณ์ทางการเมืองและจัดระเบียบโครงสร้างทางการเมืองใหม่หมดผ่านรัฐธรรมนูญ สาเหตุมาจากปัจจัยหลักที่พรรคของพลเรือนนั้นเข้มแข็งมากขึ้นอันเป็นผลผลิตจากรัฐธรรมนูญ 2540 “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคของเขายังคงได้รับความนิยมจากคนรากหญ้าอย่างสูง แม้ถูกยุบพรรคหลายครั้งหรือนายกฯ ถูกปลดหลายคน เป็นโจทย์เสี้ยนหนามที่ต้องใช้เวลาบ่งอย่างประณีต

ในล้อมกรอบด้านล่าง เป็นการคัดเลือก 5 อันดับของคณะรัฐประหารไทยที่ใช้เวลาครองอำนาจสูงสุดกว่าจะจัดการเลือกตั้งพร้อมข้อมูลโดยสังเขป ใครจะรู้ว่าเราต้องอยู่กับ คสช.ยาวนานแค่ไหน และเรื่องราวจะย้อนยุคไปได้ไกลเพียงไร

คณะปฏิวัติ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ - จอมพลถนอม กิตติขจร

รัฐประหารครั้งที่สอง เมื่อ 20 ตุลาคม 2501 จัดเลือกตั้งครั้งแรกหลังการรัฐประหารเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2512 รวมแล้วใช้เวลา 10 ปี 3 เดือน 21 วัน กว่าจะจัดเลือกตั้งครั้งแรก

การรัฐประหารครั้งแรก “ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร”

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 โดยมีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร (ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 74 ตอนที่ 76 16 กันยายน 2500)

ผลของการรัฐประหารดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้นำรัฐบาลที่เคยมาจากคณะราษฎรสิ้นสุดบทบาทลงอย่างสิ้นเชิง มีการเชิญ พจน์ สารสิน เลขาธิการองค์การซีโต้มาเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 21 กันยายน 2500 ต่อมาจัดเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม 2500

ผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่า พรรคสหภูมิ ได้ ส.ส. มากที่สุดคือ 45 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด159 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 39 ที่นั่ง โดยจอมพล สฤษดิ์ ได้แนะนำให้ พล.ท.ถนอม กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) รองหัวหน้าพรรคพรรคชาติสังคมที่ได้ ส.ส. 9 ที่นั่ง ร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ตั้งรัฐบาลขึ้นมา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

รัฐประหารครั้งที่สองในนาม “คณะปฏิวัติ”

อย่างไรก็ตาม 20 ตุลาคม 2501 จอมพลสฤษดิ์ ได้ทำการรัฐประหารอีกครั้ง โดยประกาศให้ยกเลิกพรรคการเมืองทั้งหมด ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น และยกเลิกรัฐสภา พร้อมกับขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน (วิกิพีเดีย)

รัฐประหารครั้งนี้ถือว่า จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจตัวเองก็ได้ โดยในเดือนมกราคม มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 โดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจในตำแหน่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ มีรัฐธรรมนูญมาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีจัดการกับบุคคลที่ก่อความไม่สงบได้ทันที แล้วจึงค่อยแจ้งต่อสภา ทำให้ในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์อยู่ในอำนาจ มีการใช้มาตรา 17 สั่งประหารชีวิตคนจำนวนมาก

กระทั่งภายหลังจอมพลสฤษดิ์ เสียชีวิตเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 จอมพลถนอม กิตติขจร จึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลสฤษดิ์ โดยในที่สุดรัฐธรรมนูญที่ร่างมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ก็มีการประกาศใช้เมื่อ 20 มิถุนายน 2511 เป็น “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511” มีการจัดเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 รวมเวลานับตั้งแต่การรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์เมื่อ 20 ตุลาคม 2501 ถึงวันเลือกตั้งครั้งแรกกินเวลา 10 ปี 3 เดือน 21 วัน

โดยผลการเลือกตั้ง จอมพลถนอม ซึ่งไม่ได้ลงเลือกตั้ง แต่เป็นหัวหน้าพรรคสหประชาไทย ได้ที่นั่ง 74 ที่นั่ง ทำให้จอมพลถนอมรวมเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลตั้งรัฐบาลผสมและเป็นนายกรัฐมนตรีต่อสมัยที่สอง ส่วน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ที่นั่ง 55 ที่นั่ง เป็นแกนนำฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 จอมพลถนอมก็ทำรัฐประหารตัวเอง

คณะปฏิวัติ (ครั้งที่ 2)
จอมพลถนอม กิตติขจร

รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514 จัดการเลือกตั้งครั้งแรก 26 มกราคม 2518 รวมใช้เวลา 3 ปี 2 เดือน 9 วันกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งครั้งแรก

หลังจัดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2512 และตั้งรัฐบาลที่จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมา จอมพลถนอมก็ทำรัฐประหารตัวเองเมื่อ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 (ราชกิจจานุเบกษา) ยกเลิกรัฐสภา พรรคการเมือง และประกาศใช้กฎอัยการศึก ตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติ ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิกิพีเดีย

จนกระทั่งรัฐบาลทหารของจอมพลถนอมถูกโค่นลงอันเป็นผลจากการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา กรรมกร ประชาชนเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จากนั้นสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นแนวทาง ใช้เวลายกร่าง 3 เดือนก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับปรุงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2517 และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาและลงมติเห็นชอบเมื่อ 5 ตุลาคม 2517 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 (วิกิพีเดีย)

โดยหลังจากนั้นจึงมีการจัดเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 โดยผลการเลือกตั้ง พรรคกิจสังคม ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้ ส.ส. เพียง 18 ที่นั่ง สามารถรวมเสียงจากพรรคอื่นๆ เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาคือ 57 ที่นั่ง ต้องเป็นพรรคฝ่ายค้าน (วิกิพีเดีย)

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือน 21 วัน ยังไม่จัดเลือกตั้ง

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในคดีย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรเมื่อ 20 พฤษภาคม 2557 และในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ระหว่างการเจรจา 7 ฝ่ายเพื่อหาทางออกทางการเมืองเป็นวันที่สองที่สโมสรกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศยึดอำนาจกลางที่ประชุม ในนามคณะรักษาความแห่งชาติ หรือ คสช. มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ยกเว้นหมวด 2 และต่อมามีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

โดยนับตั้งแต่ยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. เคยประกาศถึงโรดแมปในหลายโอกาส โดยครั้งแรกภายหลังการยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในรายการ “คสช.คืนความสุขให้คนไทย” เมื่อ 30 พฤษภาคม2557 ระบุถึงโรดแมป คสช. ว่าระยะที่ 1 ช่วงแรกของการควบคุมอำนาจการปกครอง จะต้องดำเนินการในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ให้เร็วที่สุด ใช้เวลา 2-3 เดือน ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และร่างรัฐธรรมนูญ ใช้เวลา 1 ปี และหากสถานการณ์เรียบร้อยปกติ ปฏิรูปสำเร็จ ปรองดอง สมานฉันท์กับทุกฝ่าย ประชาชนมีความรักความสามัคคีกัน ก็จะเริ่มดำเนินการก้าวเข้าสู่ระยะที่ 3 คือการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่ทุกพวกทุกฝ่ายพอใจ กฎหมายทันสมัยในทุกด้าน กฎระเบียบ กติกาต่างๆ ได้รับการแก้ไข ได้คนดี สุจริต มีคุณธรรม มาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล (ประชาไท, 31 พ.ค. 2557) ซึ่งหากเป็นไปตามแผนที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว การเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม 2558

อย่างไรก็ตามโรดแมปของ คสช. ก็เลื่อนออกไปอีก โดยระหว่างการเยือนญี่ปุ่นปีเดือนกุมภาพันธ์ 2558 พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ NHKระบุว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยว่า หากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินไปด้วยความราบรื่น อาจทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย มีขึ้นเร็วที่สุดปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559 (ไทยรัฐ)

ต่อมาในวันที่ 6 กันยายน 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และต้องมีการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดใหม่ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เลื่อนกำหนดวันเลือกตั้งไปอีก โดยกล่าวในวันที่ 27 กันยายน 2558 ว่า หากประชาชนลงประชามติเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะร่างโดย กรธ. ดังกล่าว ก็จะดำเนินการยกร่างกฎหมายลูกประกอบการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศการเลือกตั้งทั่วไปได้ภายในกลางปี 2560 (ประชาไท)

อย่างไรก็ตามภายหลังจากผ่านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 ไปแล้ว และรอการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2559 นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่หนึ่ง ระบุว่า กรอบเวลาการเลือกตั้งจะยืดออกไปอีก โดยอ้างถึงการทำงานของ สนช.ตลอดปี 2560 ว่าจะมีงานสำคัญคือการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) จำนวน 10 ฉบับ รวมไปถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกประมาณ 50 ฉบับ รวมแล้วประมาณ 60 ฉบับ ซึ่งเป็นภารกิจและความรับผิดชอบของ สนช.ที่ต้องดำเนินการตามกรอบเวลาของรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีมีมติเร่งรัดเป็นพิเศษอีก 41 ฉบับ รวมในส่วนนี้ทั้งหมดแล้วจะมีประมาณ 100 ฉบับ และยังมีกฎหมายที่อยู่ในบัญชีตามโรดแมปของคณะรัฐมนตรีอีกมากกว่า 100 ฉบับ ซึ่งตรงนี้เป็นภารกิจของ สนช.ทั้งหมดในปี 2560 ที่ต้องรับผิดชอบเพื่อออกกฎหมายเพื่อให้เป็นเครื่องมือกับรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของโรดแมปก่อนนำไปสู่การเลือกตั้งประมาณกลางปี 2561 (มติชน)

ที่จริงแล้ว รัฐบาล คสช. สามารถจัดเลือกตั้งได้เร็วกว่าที่รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติระบุ เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ ในบทเฉพาะกาล มาตรา 268 กำหนดให้ดำเนินการเลือกตั้ง ส.ส. ให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน นับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ใน 10 ฉบับผ่าน ประกอบด้วย (1) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (3) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (4) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (รัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ, ประชาไท, 29 มีนาคม 2559)

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่

รัฐประหารครั้งที่สอง 20 ตุลาคม 2520 เลือกตั้งครั้งแรก 22 เมษายน 2522

ใช้เวลา 1 ปี 6 เดือน 2 วัน เพื่อจัดเลือกตั้งครั้งแรก

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำรัฐประหารในช่วงเย็นหลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยแต่งตั้งธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี (วิกิพีเดีย)

ต่อมา พล.ร.อ.สงัด ได้ทำรัฐประหารรัฐบาลธานินทร์อีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 โดยให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี (วิกิพีเดีย) และมีประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 ซึ่งธรรมนูญการปกครองฯ กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาและสภาร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมกับให้มีสภานโยบายแห่งชาติ ซึ่งมีฐานะเหนือกว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี

สภานโยบายแห่งชาติสิ้นสุดลง เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ในเดือนธันวาคมปี 2521 แล้ว และหลังจากนั้น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522  (วิกิพีเดีย) รวมระยะเวลาตั้งแต่รัฐประหารครั้งที่สองจนถึงวันที่จัดเลือกตั้งครั้งแรก ใช้เวลา 1 ปี 6 เดือน 2 วัน หากนับตั้งแต่รัฐประหารครั้งแรก 6 ตุลาคม 2519 จนถึงวันที่จัดเลือกตั้งครั้งแรก จะใช้เวลา 2 ปี 6 เดือน 16 วัน

พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ยังคงได้รับเลือกจากสภาเป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งแถลงลาออกจากตำแหน่งกลางสภาเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 และสภาได้เลือก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.เปรม ได้รับเลือกจากสภาอีกหลายสมัยจนถึง พ.ศ. 2531 ที่ได้รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สภาเลือกนายกรัฐมนตรีจากกองทัพนี้ ถูกเรียกว่ายุค "ประชาธิปไตยครึ่งใบ"

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เลือกตั้งครั้งแรก 23 ธันวาคม 2550

ใช้เวลา 1 ปี 3 เดือน 4 วัน เพื่อจัดการเลือกตั้งครั้งแรก

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการทักษิณ ชินวัตรเมื่อ19 กันยายน 2549 ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผลทำให้ต้องยกเลิกการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ

หลังรัฐประหารมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 แทน และมีการแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตองคมนตรี มาเป็นนายกรัฐมนตรี และมีการนำร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นำมาลงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม 2550

โดยหลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ และมีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ต่อมาจึงมีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 รวมเวลานับตั้งแต่มีการรัฐประหาร จนถึงการจัดเลือกตั้งครั้งแรก ใช้เวลา 1 ปี 3 เดือน 4 วัน

โดยผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นหลังการยุบพรรคไทยรักไทยในปี 2550 ได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุดคือ 233 ที่นั่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

อย่างไรก็ตามยังคงเกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤษภาคมมีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งกินเวลายาวนานถึง 193 วัน จนกระทั่งในวันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมัครขาดคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจัดรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” และต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ต้องมีการพลิกขั้วการเมือง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง 3 พรรคได้แก่ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 (วิกิพีเดีย)

คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์

รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 เลือกตั้งครั้งแรก 22 มีนาคม 2535

ใช้เวลา 1 ปี 28 วันเพื่อจัดเลือกตั้งครั้งแรก

คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ฯลฯ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยรัฐบาลชาติชายเป็นรัฐบาลผสมมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งทั่วไป 24 กรกฎาคม 2531การยึดอำนาจครั้งนี้ใช้วิธีควบคุมตัวนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก รมช.กลาโหม จากเครื่องบินซี 130 ที่กำลังขึ้นบิน ที่สนามบินกองทัพอากาศ (บน.6) ดอนเมือง ขณะเตรียมเดินไปทางเข้าเฝ้าถวายถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง รมช.กลาโหม ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ (วิกิพีเดีย)

หลังรัฐประหาร มีการตั้งอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากยกเลิกสภาผู้แทนราษฎร ยังยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521นอกจากนี้ยังได้สั่งให้มีการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองที่เป็นคนสำคัญและมีชื่อเสียงหลายคนจากหลายพรรคการเมืองเพื่อจะยึดทรัพย์อีกด้วย

ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป 22 มีนาคม 2535 (วิกิพีเดีย) รวมใช้เวลา 1 ปี 28 วัน เพื่อจัดการเลือกตั้งครั้งแรก

ผลการเลือกตั้ง พรรคสามัคคีธรรมซึ่งทหารสนับสนุนจะได้ ส.ส. เป็นอับดัน 1 คือ 79 ที่นั่ง มีพรรคการเมือง 5 พรรค ได้แก่ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทยและพรรคราษฎร ซึ่งมี ส.ส. รวมกัน 195 เสียงเสนอชื่อณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีข่าวว่าสหรัฐอเมริกาเคยปฏิเสธที่จะออกวีซ่าให้กับณรงค์ เนื่องจากสงสัยมีการพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งกรณีดังกล่าวณรงค์ วงศ์วรรณปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แต่ภายหลังข่าวดังกล่าวพรรคการเมืองทั้ง 5 พรรค จึงสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี จนเป็นสาเหตุทำให้ประชาชนเรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นชนวนของเหตุการณ์พฤษภาคม 2535

หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา ได้แถลงลาออกจากนายกรัฐมนตรีเมื่อ 24 พฤษภาคม 2535 และต่อมาอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ตัดสินใจเสนอชื่ออานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 แทนที่จะเป็น พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย โดยอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในวันที่ 23 กันยายน 2535 ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลผสม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ สนช.

$
0
0

12 ม.ค. 2560 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเมือง สนช. ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน ได้ยกร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมือง พ.ศ. ... มีทั้งสิ้น 33 มาตรา เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 มีสาระสำคัญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการและรับสนองพระบรมราชโองการ

บุคคลที่จะได้รับประโยชน์ไม่รวมถึงผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ที่นำมาสู่การกระทำความผิดอาญาหรือเหตุการณ์ความรุนแรง การกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 ถึงมาตรา 112 หรือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง (ดูล้อมกรอบด้านล่าง)

ทั้งนี้ ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมือง จำนวน 11 คน ประกอบด้วย ผู้ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความ และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยแต่งตั้ง ฝ่ายละ 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสันติวิธีหรือสิทธิมนุษยชน จำนวน 2 คน ซึ่งทำการคัดเลือกกันเอง เป็นกรรมการ และให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นเลขานุการ

คณะกรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือ ไม่เป็นการสมาชิกรัฐสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น เป็นหรือเคยเป็นกรรมการพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสามปีก่อนดำรงตำแหน่ง 3.เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะมีการรอการลงโทษหรือไม่ก็ตาม เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ไม่อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือในระหว่างถูกกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เป็นต้น   
              

มาตรา 18 กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(1) รวบรวมข้อเท็จจริงและข้อมูลคดีเกี่ยวกับการกระทำที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 ต.ค.2557 ที่เป็นการละเมิดกฎหมายหรือสิทธิมนุษยชน และจะต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้เสียหาย ผู้ถูกดำเนินคดีอาญา เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน และห้ามเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นคณะกรรมการจะมีมติด้วยเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

(2) กำหนดหลักเกณฑ์การจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง โดยต้องคำนึงถึงความร้ายแรงของความผิด ความได้สัดส่วนของการกระทำ รวมทั้งผลกระทบต่อชาติและประชาชนด้วย โดยจะต้องทำให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่ได้แต่งตั้ง

(3) กำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์การอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ถูกดำเนินคดีอาญาที่เป็นผู้ให้ความจริงอันเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของคณะกรรมการในคดีความผิดที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง และแสดงความสำนึกเสียใจต่อผลของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น

(4) ดำเนินการจำแนกคดีอาญาตามหลักเกณฑ์ และกำหนดมาตรการอำนวยความยุติธรรมที่จะใช้กับผู้ถูกดำเนินคดีอาญาแต่ละรายตามเหตุผลหรือเงื่อนไขที่เหมาะสมกับประเภทของการกระทำและความผิด

(5) เสนอข้อมูลการจำแนกคดีอาญาและความเห็นในการใช้มาตรการในการอำนวยความยุติธรรมกับผู้ถูกดำเนินคดีอาญาแต่ละรายต่อพนักงานอัยการหรือศาลที่พิจารณาพิพากษาคดี โดยการเสนอดังกล่าวควรมีความเห็นของผู้เสียหายและผู้ถูกดำเนินคดีอาญาประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อพนักงานอัยการได้รับเรื่องแล้ว ให้พนักงานอัยการเสนอความเห็นให้อัยการสูงสุดพิจารณามีคำสั่งต่อไป โดยให้ถือเอกข้อมูลการจำแนกคดีอาญาและความเห็นในการใช้มาตรการในการอำนวยความยุติธรรมตามเหตุผลหรือเงื่อนไขดังกล่าวเป็นคดีที่มีเหตุที่อัยการสูงสุดจะใช้อำนาจสั่งหรือไม่สั่งคดี


ให้ศาลรื้อคดีเดิมได้
มาตรา 20 ระบุว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีที่มีข้อหาความผิดที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ศาลพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการมาตรา 18(5) ประกอบด้วย ถ้าศาลเห็นสมควรให้ศาลมีอำนาจพิพากษาว่าผู้กระทำความผิดมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองรายนั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญาได้ แม้ว่าโทษจำคุกที่ศาลจะกำหนดหรือได้กำหนดนั้นจะเกินกว่า 5 ปี หรือศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ และมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขอื่นหรือระยะเวลาเพื่อคุมความประพฤติผู้กระทำความผิด นอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ตามที่เห็นสมควร หากศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีเห็นว่าผู้ถูกดำเนินคดีอาญารายใดไม่ควรรับโทษจำคุกหรือควรได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ก็ให้ถือเป็นเหตุผลหรือเงื่อนไขที่มีเหตุอันควรปรานีหรือเหตุบรรเทาโทษแล้วแต่กรณี ตามประมวลกฎหมายอาญาสำหรับผู้ถูกดำเนินคดีอาญารายนั้น 

ในกรณีที่คดีใดถึงที่สุดก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้ เป็นคดีที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลอาจลดโทษ รอการกำหนดโทษ รอการลงโทษ หรือลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดได้ตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคล บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภรรยา ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ของผู้นั้น พนักงานอัยการหรือคณะกรรมการร้องขอให้ศาลมีอำนาจกำหนดเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นเสียใหม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีการเยียวยาโดยคณะกรรมการต้องดำเนินการ สำรวจปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการการเยียวยา และจัดทำฐานข้อมูลสถานะของการได้รับการเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย รวมถึงทายาทผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บพิการ หรือทุพพลภาพ ผู้ที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม จัดทำรายงานความเห็นเกี่ยวกับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสำหรับความเสียหายทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูสภาพจิตใจ พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะในการให้ความช่วยเหลือและการเยียวยาในคดีแพ่งแก่ผู้ได้รับผลกระทบและผู้เสียหาย      

ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ถูกนำเข้าไปสู่การหารือในการประชุม เตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ในส่วนคณะกรรมการสร้างความปรองดอง ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกระบวนการผลักดันผ่านเป็นกฎหมายในที่ประชุมสนช.ล่าสุดยังไม่มีกำหนดเข้าสู่วาระการประชุมแต่อย่างใด


 

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และถ้าผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มีฐานะยากจน หรือผู้ต้องพึ่งพาผู้ใช้เพราะเหตุป่วยเจ็บหรือไม่ว่าทางใด ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับผู้นั้น


มาตรา 107-112 อยู่ใน หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

มาตรา 107 ผู้ใดปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต
ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระ มหากษัตริย์หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กระทำ การใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ ผู้ กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้าย ต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็น การช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือฆ่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์ พระราชินีหรือรัชทายาท หรือเพื่อฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือจะฆ่าผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือ จำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือ ชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือ เสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้าย ต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือ ประทุษร้ายต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบสองปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 111 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 107 ถึง มาตรา 110 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี 
 

 


ที่มาหนังสือพิมพ์มติชน, เว็บไซต์ข่าวสด, คมชัดลึก
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.ผ่าน 3 วาระรวด แก้ไข รธน.ชั่วคราว 57 ประเด็นพระราชอำนาจ

$
0
0

สนช. พิจารณาสามวาระรวด ก่อนมีมติเห็นชอบ 228 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง แก้ไข รธน.ชั่วคราว 57 ประเด็นแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชอำนาจ ซึ่ง ครม.เสนอเฉพาะประเด็นที่สำนักราชเลขาธิการส่งหนังสือตั้งข้อสังเกต 'วิษณุ' ชี้หากปล่อยให้มีการประกาศใช้ร่างรธน.ฉบับที่ผ่านประชามติ เป็นกฎหมาย จะยิ่งเกิดความยุ่งยากในการแก้ไขบางมาตรา 

 
13 ม.ค. 2560 ในกาประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)โดย พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม ใช้วิธีพิจารณา 3 วาระรวด ก่อนมีมติเห็นชอบในวาระ 3 ให้มีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ..) พ.ศ.... ที่คณะรัฐมนตรีและ คสช.เป็นผู้เสนอ ด้วยเสียง 228 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง
 
สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า จากที่นายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ผ่านประชามติ) ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 59 เพื่อทรงพิจารณา ต่อมาสำนักราชเลขาธิการแจ้งข้อสังเกตที่รัฐบาลควรนำไปดำเนินการ รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงพิจารณาแล้วเห็นควรดำเนินการในขณะนี้ เพราะหากปล่อยให้มีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายแล้ว จะยิ่งเกิดความยุ่งยากในการแก้ไขบางมาตรา ดังนั้น การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ในครั้งนี้ เพื่อให้สามารถขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายไปแล้ว มาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะตามประเด็นตามที่สำนักราชเลขาธิการแจ้งมาเท่านั้น แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายในเวลาที่กำหนด
 
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม กำหนดมาตรา 3 เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 และมาตรา 19 และมาตรา20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาใช้บังคับ ส่วนในมาตรา 4 กำหนด เมื่อนายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย หากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายใน 90 วัน ให้นายกฯ ขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้น และประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ เมื่อนายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชทานคืนมาหรือเมื่อพ้น 90 วัน ที่นายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายแล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตกไป
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TDRI ชี้เอกชนไม่ลงทุน เหตุรัฐหนุนแต่การเงิน ขาดนโนบายต่อเนื่อง ไม่ใช่ความเป็นเผด็จการ

$
0
0

นณริฎ นักวิชาการ TDRI เขียนบทความชี้เหตุที่เอกชนไม่ลงทุนในไทย เหตุจากภาครัฐยังเน้นที่แรงจูงใจทางการเงินเป็นหลักและขาดความต่อเนื่องในเป้าหมายที่สนับสนุน ระบุไม่ใช่เพราะ 'ความเป็นเผด็จการในไทย' เนื่องจากมิได้นำมาซึ่งการกดขี่ภาคธุรกิจ แต่กลับเป็นการดึงเอาภาคีธุรกิจเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่ง

นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

13 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์รายงานตอนหนึ่งว่า สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังน้อยใจมาก ที่เอกชนไม่ลงทุนเมื่อปีที่แล้ว ให้มาตรการภาษีแบบไม่เคยให้มาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย อ้อนวอน ประชาสัมพันธ์ก็แล้ว ด้านเอกชนบอกว่า เราอ่อนประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เราเป็นแพะ เราก็ยอม เราไม่เข้าใจว่าทำไมเอกชนไม่ลงทุน แต่เราพอใจว่ามันเป็นอุปสงค์ อุปทาน ถ้าไม่มีความมั่นใจก็จะไม่ลงทุน นั้น

วันนี้ (13 ม.ค.60) นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เผยแพร่บทความชื่อ 'การพัฒนาปัจจัยเชิงสถาบันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุน'  กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ของ ปลัดกระทรวงการคลังดังกล่าวว่า มูลเหตุที่เป็นไปได้ ที่ทำให้ภาคเอกชนตัดสินใจที่จะไม่ลงทุน แม้ว่าภาครัฐจะให้สิทธิประโยชน์อย่างมากมาย โดยสาเหตุที่อยากจะนำเสนอก็คือ การขาดการสร้างปัจจัยเชิงสถาบัน ที่เหมาะสมในการสนับสนุนการลงทุน 

"การจะตีความว่าปัจจัยทางด้านการเมืองเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจไม่ลงทุนอาจจะเป็นการด่วนตัดสินใจมากเกินไป เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ได้บ่งชี้ว่าความเป็นเผด็จการในไทย มิได้นำมาซึ่งการกดขี่ภาคธุรกิจ แต่กลับเป็นการดึงเอาภาคีธุรกิจเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐได้ดึงเอานักธุรกิจเข้าไปร่วมในคณะทำงานในหลายๆ ด้าน" นณริฎ ระบุ ในบทความ

โดยรายละเอียดของบทความมีดังนี้ : 

การพัฒนาปัจจัยเชิงสถาบันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุน
 
นณริฎ พิศลยบุตร
นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสนใจข่าวหนึ่งก็คือ ข่าวที่ปลัดกระทรวงการคลังออกมาให้สัมภาษณ์ว่าภาครัฐได้ให้สิทธิประโยชน์มากเป็นประวัติการณ์ แต่ภาคเอกชนก็ยังไม่ยอมลงทุน โดยมีนักวิชาการออกมาให้เหตุผลว่าภาคเอกชนยังขาดความเชื่อมั่น ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นระบบการเมืองและความเป็นประชาธิปไตย

โดยส่วนตัว ผู้เขียนมองว่าเหตุผลที่อธิบายดังกล่าว แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เนื่องจากมีความสอดคล้องกับทฤษฎีทั้งในสาขาเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ แต่กระนั้นการจะตีความว่าปัจจัยทางด้านการเมืองเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจไม่ลงทุนอาจจะเป็นการด่วนตัดสินใจมากเกินไป เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ได้บ่งชี้ว่าความเป็นเผด็จการในไทย มิได้นำมาซึ่งการกดขี่ภาคธุรกิจ แต่กลับเป็นการดึงเอาภาคีธุรกิจเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐได้ดึงเอานักธุรกิจเข้าไปร่วมในคณะทำงานในหลายๆด้าน
 
ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะเสนออีกหนึ่งมูลเหตุที่เป็นไปได้ ที่ทำให้ภาคเอกชนตัดสินใจที่จะไม่ลงทุน แม้ว่าภาครัฐจะให้สิทธิประโยชน์อย่างมากมาย โดยสาเหตุที่อยากจะนำเสนอก็คือ การขาดการสร้างปัจจัยเชิงสถาบัน (institution) ที่เหมาะสมในการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งสามารถจะอธิบายประเด็นปัญหาได้ดังนี้
 
ปัญหาที่หนึ่งก็คือ ภาครัฐยังมุ่งเน้นที่จะผลักดันการลงทุนผ่านการให้แรงจูงใจทางด้านการเงินเป็นหลัก โดยมิติในการสนับสนุนด้านอื่นๆ กลับเป็นเพียงส่วนเสริมมากกว่าที่จะเป็นข้อเสนอแบบเป็นชุด (package) ที่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ
 
ปัญหาที่สองก็คือ ภาครัฐขาดความต่อเนื่องในเป้าหมายที่สนับสนุน โดยในอดีตที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมที่สนับสนุนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามนโยบายของพรรคการเมือง เมื่อพรรคการเมืองใหม่เข้ามาเลือกตั้งก็จะมีการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น จากเดิมที่สนับสนุนการผลิตรถยนต์ Eco car เป็นหลักก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้า เป็นต้น
 
ในประเด็นนี้แม้ว่าภาครัฐจะได้มีการวางยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว แต่รูปแบบการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายยังขาดกลไกการตรวจสอบที่ชัดเจน เช่น การขาดการวางเป้าหมายที่จับต้องได้ในระยะสั้น-กลาง-ยาว ว่าการสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายที่เห็นได้ชัดถึงการพัฒนาที่ชัดเจนได้อย่างไร การขาดกลไกการประเมินผลทำให้ภาครัฐขาดข้อมูลที่เหมาะสมในการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
 
กลไกการประเมินผลยังมีความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยมีศักยภาพในอดีตอาจจะไม่มีความเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีอุตสาหกรรมใหม่ๆที่มีความเหมาะสมเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้
 
นอกจากนี้ กลไกการประเมินผลยังช่วยให้ภาครัฐลดความเสี่ยงที่จะถูกกลุ่มผลประโยชน์ที่จะเข้ามาผลักดันการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ ทำให้ภาครัฐสูญเสียโอกาสที่จะผลักดันอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากกว่าอย่างแท้จริงไป
 
ปัญหาที่สามก็คือ หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลในแต่ละด้านจะมีความชำนาญเป็นพิเศษเฉพาะในด้านที่ตัวเองมีอำนาจหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจซึ่งมีความซับซ้อนในหลายๆด้านได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจนอกจากจะต้องการแรงจูงใจทางด้านการเงินแล้ว อาจจะต้องการการพัฒนาบุคลากร การสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนา การสนับสนุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งที่เป็นกฎระเบียบ กฎหมายและที่เป็นสิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงการดึงบุคลากรที่ชำนาญการเฉพาะทางจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยหรือจากต่างประเทศ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ภาคธุรกิจส่วนหนึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาความแตกต่างกันระหว่างกฎระเบียบ ข้อบังคับและมาตรฐานต่างๆระหว่างหน่วยงานที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนยังปรากฏอยู่
 
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนมองว่าปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนยังลังเลที่จะลงทุน มาจากการขาดระบบการสนับสนุนการลงทุนที่ดีซึ่งทำให้เอกชนเกิดความไม่แน่ใจและไม่กล้าที่จะลงทุน
 
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ผู้เขียนมองว่าการที่จะแก้ไขปัญหาทั้งสามข้างต้นจะสามารถผลักดันได้ต้องอาศัยการกำหนดเจ้าภาพ เป็นหน่วยงานภาครัฐ หรืออาจจะอาศัยคณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการลงทุนอย่างเบ็ดเสร็จ โดยให้ข้อเสนอแบบเป็นชุด (package) ที่สอดคล้องกับประเด็นความต้องการของภาคธุรกิจในทุกๆด้าน ในขณะเดียวกันองค์กรเจ้าภาพก็ต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบประเมิน และกำหนดเป้าหมายร่วมกับภาคเอกชนในระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมมีความต่อเนื่อง มีความก้าวหน้าในระดับที่เหมาะสม และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุมัติ 52 หมายจับ คดีทุจริตสอบนายสิบ ตร. ข้อหา 'อั้งยี่-แจ้งความเท็จ-พ.ร.บ.คอมฯ'

$
0
0

ศาลอาญา อนุมัติหมายจับ เทศกิจ กับพวกรวม  52  คน ทุจริตสอบนายสิบ บช.น.  รวม 3 ข้อหา อั้งยี่,แจ้งความเท็จ,พ.ร.บ.คอมฯ ด้านผลการสอบดังกล่าวเป็นโมฆะทั้งหมดหรือโมฆะบางส่วน รอ 'จักรทิพย์' พิจารณา16 ม.ค.นี้ 

13 ม.ค. 2560 ความคืบหน้ากรณีพบการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ล่าสุดวันนี้ พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน ผู้กำกับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า วันนี้ ได้นำสำนวนการสอบสวน ไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว โดยศาลได้ทำการไต่สวนพนักงานสอบสวน นาน 2 ชั่วโมง  จึงอนุมัติหมายจับ จิระพจน์  พลายด้วง เจ้าหน้าที่เทศกิจ สำนักงานเขตปทุมวัน กับพวก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี รวม 52 คน ใน 3 ข้อหา ประกอบด้วย อั้งยี่, แจ้งความเท็จ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งหลังจากนี้ จะได้ดำเนินการตามหมายจับ ในการติดตามตัว ผู้ต้องหาทั้งหมด มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) สั่งให้พนักงานสอบสวน ประสานไปยังผู้ปกครองนักศึกษา 51 คนที่ร่วมทุจริตสอบนายสิบตำรวจ ให้นำตัวนักศึกษามารับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินในวันพรุ่งนี้พร้อมกันทั้งหมด ส่วนกรณีที่ต้องออกหมายจับ จิระพจน์ เพิ่มเติม เนื่องจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานจนมีความชัดเจนว่าเข้าข่ายเป็นหัวหน้ากระบวนการอั้งยี่ ประกอบกับความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องขอให้ศาลพิจารณาอนุมัติหมายจับในฐานความผิดดังกล่าว สำหรับพฤติการณ์ของจีระพจน์แม้จะเข้ามอบตัวและให้การรับสารภาพถึงพฤติการณ์กระทำผิด แต่ยังไม่ชัดเจนถึงตำแหน่งในขบวนการนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีเพิ่ม

พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผบช.น. ได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน โดยยอมรับว่าคดีนี้ยังมีความคืบหน้าไม่มากนัก เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารจำนวนมากกว่า 13,000 ชุดที่ต้องนำมาตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งหมด แต่คาดว่าภายในวันนี้จะมีความชัดเจนของเครือข่ายและหน้าที่ของนายจีระพจน์ ส่วนกลุ่มนักศึกษาที่เข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ได้มีการประสานงานให้สถาบันการศึกษาต้นสังกัด ทั้งของรัฐบาลและเอกชนทราบเรื่องแล้ว 

รอ 'จักรทิพย์' พิจารณาปมทุจริตสอบนายสิบ16 ม.ค.นี้ 

พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผบ.ตร. กล่าวว่า ตนและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจาก บช.น.,บช.ภ.1-9,ศชต. และ ตชด. ได้สรุปแนวทางให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พิจารณาว่าจะให้การสอบดังกล่าวเป็นโมฆะทั้งหมดหรือโมฆะบางส่วน หรือมีแนวทางอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดต้องรอความชัดเจนในวันที่16 ม.ค. ที่จะถึงนี้ 
 
“ส่วนการออกหมายจับผู้กระทำความผิด เบื้องต้นมี จำนวน 52 รายตามที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ข่าวไป อย่างไรก็ตาม ในการจัดการกับผู้กระทำความผิดถ้าพยานหลักฐานเชื่อมโยงหรือซัดทอดไปถึงใครก็ต้องดำเนินการ โดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น” พล.ต.อ.เดชณรงค์ ระบุ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความยุติธรรมเกิดจากกระบอกไม้ไผ่

$
0
0

ไม่มีเหตุผลที่จะใช้อ้างในการจับกุมไผ่ ดาวดินแล้ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนน่าจะได้ทำการสอบสวน สอบปากคำไผ่ ดาวดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะจับกุมตัวไผ่เอาไว้อีก

ภาพถ่ายโดย กันต์แสงทอง

ผมคิดอยู่นานว่าจะเอาอะไรมาเขียนถึงไผ่บ้าง เพราะมีหลายเรื่องเหลือเกินที่สามารถยกขึ้นมาพูดถึงไผ่ในเวลานี้ วันนี้ก็จะขอเล่าให้ฟัง สำหรับบางท่านที่อาจจะไม่ทราบว่าไผ่ ดาวดินคือใคร หรือบางท่านอาจจะเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่ทราบว่าเขาไปทำอะไรมาก่อน

ไผ่ ดาวดินหรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เป็นชาวอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เป็นลูกของทนายอู๊ด ปัจจุบันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ร่วมกับเพื่อนๆ นักศึกษาในนามกลุ่มดาวดิน ออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อชาวบ้าน โดยมากมักจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในชุมชน การเรียกร้องความเท่าเทียม การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนในสังคม และกิจกรรมสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย โดยลงพื้นที่ร่วมกับชาวบ้าน ซึ่งหากจะยกมากล่าวก็คงจะยาวมาก

ไผ่เริ่มเป็นที่รู้จักของสังคมในวงกว้าง ในตอนที่เขาไปชูสามนิ้วต่อหน้านายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีที่จังหวัดขอนแก่น

นอกจากนี้ไผ่ ดาวดินและกลุ่มดาวดิน ก็ได้ร่วมกับนักศึกษากลุ่มอื่นๆ จัดกิจกรรมต่อต้านการทำรัฐประหารมาโดยตลอด อาทิเช่น ร่วมกับโรม รังสิมันต์ ก่อตั้งกลุ่มประชาธิปไตยใหม่(New Democratic Movement:NDM) แจกใบปลิวรณรงค์โหวตโนในการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ กระทั่งถูกจับกุม และถูกตั้งข้อกล่าวหาในทางการเมืองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง คดีของไผ่ ดาวดินจึงจัดว่าเป็นคดีทางการเมือง และสถานะของไผ่ ดาวดินในขณะนี้ก็จัดได้ว่าเป็นนักโทษทางการเมือง ไผ่ถูกตั้งข้อหาและจับกุมตัวครั้งล่าสุดด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากกรณีการแชร์บทความของบีบีซีไทย

ไผ่ถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ 433/2559 จากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดขอนแก่นก็ได้ไปตามจับกุมตัวไผ่จากขบวนธรรมยาตรา ที่อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ตำรวจก็ได้ขออำนาจศาลฝากขังโดยคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ทนายประจำตัวไผ่ก็ได้ยื่นคำขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีหลักประกันคือเงินสดจำนวน 400,000 บาท เมื่อไผ่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เขาก็ได้โพสต์ไปยังเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า "เศรษฐกิจมันแย่ แม่งเอาแต่เงินประกัน" วันที่ 16 ธันวาคม 2559 พนักงานสอบสวนก็ได้ยื่นคำขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจึงได้ไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ไผ่จึงต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น

อย่างไรก็ตามการติดคุกของไผ่ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ คือว่า ไผ่มีสอบวิชาทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในวันที่ 17-18 มกราคมนี้ ซึ่งทนายความของไผ่ก็ได้พยายามอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ไปจนถึงชั้นศาลฎีกาแล้ว แต่ศาลฎีกาก็มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลล่าง แม้คำสั่งจะเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ตัดสิทธิทนายในการที่จะยื่นคำขอเข้าไปใหม่ แต่ดูจากกรณีที่ผ่านมา คงเป็นการยากที่ศาลจะปล่อยตัวไผ่ ให้ออกมาสอบในครั้งนี้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากๆ ด้วยความเคารพต่อคำสั่งศาล แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่ศาลจะสั่งกักขังควบคุมตัวไผ่เอาไว้ที่เรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น โดยอาศัยเหตุผลสนับสนุนดังต่อไปนี้

1. ไม่มีเหตุผลที่จะใช้อ้างในการจับกุมไผ่ ดาวดินแล้ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนน่าจะได้ทำการสอบสวน สอบปากคำไผ่ ดาวดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะจับกุมตัวไผ่เอาไว้อีก

2. ไผ่ไม่เคยหนีหมายนัดรายงานตัวต่อศาล ทุกๆ ครั้งที่พนักงานสอบสวนหรือศาลเรียกตัวไผ่ไป เขาไม่เคยหนี เขาไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง

3. ใผ่ไม่เคยผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว เงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ศาลใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ได้แก่ คดีมีอัตราโทษสูง ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีพฤติการณ์ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เงื่อนไขตามกฎหมายมีเท่านี้ และไผ่ไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขเหล่านี้ ส่วนเงื่อนไขห้ามโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ศาล ไม่มี! เงื่อนไขห้ามถ่ายรูปกับศาลโพสท่าทางเลียนแบบตัวการ์ตูน ไม่มี! เงื่อนไขห้ามเย้ยหยันอำนาจรัฐ ไม่มี!เงื่อนไขให้ลบโพสต์ต้นเหตุของการกระทำความผิด ไม่มี! ถ้ามีก็จะไปผิดเงื่อนไขห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ฉะนั้น ตามความเห็นของผมไผ่ไม่ได้ผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด

4. ที่ไผ่โพสต์วิพากษ์วิจารณ์ศาลไม่ใช่เหตุที่ศาลจะยกขึ้นมากล่าวอ้างในการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากถ้าศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาล ศาลก็ย่อมมีอำนาจในการสั่งกักขังไผ่ฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากอยู่แล้ว มิใช่เหตุในการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เป็นเรื่องคนละประเด็นกัน

5. สิทธิของไผ่ในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ก็เป็นไปตามหลักสากลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็คือ หลักที่ว่า"ปล่อยเป็นหลัก จับเป็นข้อยกเว้น"ถ้าว่ากันตามหลักนี้ตอนนี้ ไผ่ต้องอยู่ข้างนอก เว้นแต่จะมีเหตุอนุญาตให้จับกุมควบคุมตัวไผ่ได้ ซึ่งก็ไม่มีเหตุดังกล่าวแต่อย่างใด

6. การกักขังควบคุมตัวไผ่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ชัดเจนเพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีหลักคุ้มครองเป็นข้อสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง และก่อนหน้าที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้องนั้น จะต้องปฏิบัติต่อจำเลยหรือผู้ต้องหาในฐานะที่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้กระทำความผิดมิได้ เว้ยเสียแต่ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้น เป็นผู้ดุร้ายซึ่งเห็นได้ประจักษ์ชัด ซึ่งไผ่ไม่ใช่แบบนั้น

7. ในการควบคุมตัวไผ่ในเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของไผ่อย่างน่ารังเกียจ จับแก้ผ้า ตรวจทวารหนักเพื่อค้นหายาเสพติด ไผ่เป็นนักโทษในคดีการเมืองไม่ใช่นักโทษในคดียาเสพติด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นอย่างใดๆ นอกเสียจากว่าเป็นการกลั่นแกล้งผู้ถูกควบคุมตัว และยังเป็นการละเมิดผู้ต้องหาอย่างน่ารังเกียจอีกด้วย

8. การควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา เป็นการบังคับเสมือนรับโทษโดยที่ศาลยังไม่ได้มีการวินิจฉัยซึ่งความผิด เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนต่อสาระสำคัญในสิทธิเสรีภาพ ของผู้ต้องหาหรือจำเลยอย่างร้ายแรง

9. ไผ่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษที่จะต้องออกมาสอบวิชาทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ หากศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จนระยะเวลาความจำเป็นเร่งด่วนพิเศษผ่านพ้นไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่ออนาคตทางการศึกษาของไผ่ คือไผ่อาจจะไม่สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ศาลจะรับผิดชอบต่อความเสียหายนี้อย่างไรเมื่อศาลมีอำนาจที่จะปล่อยตัวชั่วคราวไผ่ได้ แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ

10. ศาลแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ชุมนุมโดยสงบเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวไผ่ อันเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่ไผ่พึงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย บทบาทการวางตัวดังกล่าวของศาล ย่อมไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ เชื่อถือ ในความเป็นกลางและความยุติธรรมที่ประชาชนพึงจะได้รับ ศาลไม่ควรทำตัวเป็นคู่พิพาทในคดีเสียเอง สิ่งต่างๆ ที่ผมได้ยกมากล่าวนั้น ล้วนเกิดจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งสิ้น หากมิให้คิดเป็นอื่น จะให้ผมเชื่อได้อย่างไรว่าความยุติธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้กับกระบอกไม้ไผ่ท่อนนี้ที่รอวันเข้าสู่ตะแลงแกงทางการเมือง ขอบคุณครับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>