กสท. ถกปรับ ทรูวิชั่นส์-จีเอ็มเอ็ม
หมายเหตุประเพทไทย #140 เล่นเพื่อน: หญิงรักหญิงยุคต้นรัตนโกสินทร์
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ คำ ผกา และชานันท์ ยอดหงษ์ แนะนำบทความของปรามิน เครือทอง เรื่อง “อ่าน ลักษณวงศ์ : สงสัย ฮาวทู “เล่นเพื่อน”?” ที่นำเสนอในวารสารอ่าน มกราคม-มีนาคม 2556 ที่เขียนถึงวรรณกรรมในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์หลายเรื่องที่แสดงให้เห็นภาพชีวิตของหญิงรักหญิงในสมัยนั้น รวมทั้งการ ‘เล่นเพื่อน’ ของบรรดาหญิงฝ่ายใน
นอกจากงานวรรณกรรมของสุนทรภู่เรื่อง ‘ลักษณวงศ์’ รวมไปถึง ‘พระอภัยมณี’ ที่เขียนถึงหญิงรักหญิงแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ก็เคยมีพระราชหัตถเลขาเพื่อสอนพระธิดาพระองค์หนึ่งว่า "อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด แต่อย่าให้ปอกลอกเอาทรัพย์ของเจ้าไปได้นัก"
ขณะที่วังหน้า คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เคยเขียนเพลงยาวกล่าวถึงการ ‘เล่นเพื่อน’ ของหญิงฝ่ายในเช่นกันโดยกล่าวถึงเป็นเชิงตำหนิว่า “ทำให้เฟือนราชกิจผิดทุกสิ่ง” แต่ที่บรรยายเป็นฉาก ก็คือเพลงยาวของ “คุณสุวรรณ” กวีหญิงในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่เล่าเรื่องเล่นเพื่อนของหม่อมขำกับหม่อมสุด
ทั้งนี้มุมมองจากวรรณกรรมช่วงต้นรัตนโกสินทร์ต่อ “หญิงรักหญิง” มีทั้งเชิงห้ามปราม ล้อเลียน และลงโทษ ขณะที่กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2451 ในมาตรา 242 เคยกำหนดความผิดของการรักร่วมเพศเอาไว้ กระทั่ง เมื่อมีการปรับปรุงและประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 จึงมีการยกเลิกฐานความผิดนี้
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ
วงเสวนาถก "เย้ยหยันอำนาจรัฐ" ผิดกฎหมาย หรือกลั่นแกล้ง
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จัดวงเสวนา “เมื่อสิทธิการประกันตัวหายไป” นักกฎหมาย กรรมการสิทธิฯ ระบุ ความผิดฐานเย้ยหยันอำนาจรัฐ ไม่มีบัญญัติในกฎหมาย ด้านพ่อไผ่ ดาวดินระบุ “ท่านอย่าลืมว่า ไผ่ ถูกกระบวนการยุติธรรมละเมิดสิทธิมาตลอด”
15 ม.ค. 2560 ที่ห้อง 206 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ หรือ NDM ได้จัดงานเสวนาวิชาการหัวข้อ “เมื่อสิทธิการประกันตัวหายไป เสวนาวิชาการ ว่าด้วยสิทธิผู้ต้องหาที่หายไป จากกระบวนการยุติธรรม” สืบเนื่องจากกรณีการจับกุมคุมขัง และเพิกถอนการสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษา นักกิจกรรม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จาก เว็บไซต์ BBC Thai และถูกเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2559 โดยการยื่นคำร้องขอเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราวของพนักงานสอบสวนเนื่องจากเห็นว่า ผู้ต้องหา มีพฤติกรรมที่แสดงออกผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะที่ เยาะเย้ยพนักงานสอบสวน โดยศาลพิจารณาแล้วสั่งให้เพิกถอนการสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว โดยศาลเห็นว่าผู้ต้องหาได้แสดงออกในลักษณะที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง และมีพฤติกรรมที่เป็นการ "เย้ยหยันอำนาจรัฐ"
สำหรับการเสวนาวิชาการครั้งนี้มีวิทยากรทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผศ.สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาวิบูลย์ บุญภัทรรักษา ทนายความและบิดาของไผ่ ดาวดิน และ วรวุฒิ บุตรมาตร สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เป็นผู้ดำเนินรายการ
วิบูลย์ บุญภัทรรักษา: อย่าลืมว่าไผ่ ถูกกระบวนการยุติธรรมละเมิดมาโดยตลอด
ทนายอู๊ด หรือ วิบูลย์ บุญภัทรรักษา พ่อของไผ่ ดาวดิน เริ่มต้นด้วยการกล่วถึง การทำกิจกรรมของลูกชายว่า ไผ่ เริ่มต้นทำกิจกรรมทางสังคม การเมือง จากประเด็นปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนในพื้นที่ภาคอีสานมาก่อนที่จะมีการทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 แต่หลังจากได้มีการทำรัฐประหาร สถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐต่อการเคลื่อนไหวในประเด็นที่ไผ่ ติดตามมาตลอดเริ่มเพิ่มสูงขึ้น จนหลายสิ่งหลายอย่างสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน และทำให้นักกิจกรรมกลุ่มดาวดิน เห็นชัดว่า รัฐประหารครั้งนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ที่พวกเขาเคยร่วมทำกิจกรรมด้วย
วิบูลย์ เล่าต่อไปว่า ไผ่เริ่มหันมาจับประเด็นปัญหาที่เป็นเรื่องโครงสร้างทางการเมืองนับตั้งแต่ การทำกิจกรรมของชาวบ้านถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ไผ่ พร้อมเพื่อนๆ กลุ่มดาวดิน เริ่มทำกิจกรรมทางการเมืองโดยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เริ่มต้นด้วยการออกไปต้อนรับ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการชูสามนิ้ว ต่อมาเมื่อครบรอบ 1 ปีการทำรัฐประหาร ก็ได้ออกไปชูป้ายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่จังหวัดขอนแก่น จากนั้นก็ทำกิจกรรมทางการเมืองเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบัน ไผ่ ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 5 คดี
พ่อของไผ่ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงคดีความล่าสุดของไผ่ จากการแชร์บทความจากเว็บไซต์ BBC Thai ว่าเหตุใดบทความดังกล่าวซึ่งมีคนแชร์ไปทั่วโลก จึงมีเพียงลูกชายตนเองถูกดำเนินคดีอยู่เพียงรายเดียว อีกทั้งต้นทางของบทความก็ยังไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแต่อย่างใด พร้อมกันยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงการเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยว่า เหตุผลที่ศาลระบุว่า ไผ่ "เย้ยหยันอำนาจรัฐ" ไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวที่อยู่ใน ป.วิอาญา ซึ่งเขามองว่าหากกรณีนี้ศาลมองว่าเป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐจริง ก็ควรที่จะตั้งข้อกล่าวแยกออกมาอีกคดี ไม่ใช่การเอาเป็นเหตุผลสำหรับเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว
วิบูลย์ เล่าต่อไปถึงวันพิจารณาคำร้องเพิกถอนการประกันตัวว่า วันนี้ได้มีการซักถามพนักงานสอบสวนว่า การกระทำใดที่เป็นการเยาะเย้ยพนักงานสอบสวนตามที่ได้มีการระบุเป็นเหตุผลไว้ในคำร้องขอเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว และการถ่ายรูปทำท่าทางคล้าย “หน้ากากแอคชั่น" ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ระบุว่า การเยาะเย้ย ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทางอะไร แค่นั่งเฉยๆ และยิ้ม ก็ถึงว่าเป็นการเยาะเย้ยได้ โดยวิบูลย์มองว่า เหตุผลของพนักงานสอบสวนอ่อนมาก แต่ที่สุดแล้วศาลเห็นตามเหตุผลของพนักงานสอบสวน สำหรับประเด็นเรื่องการไม่ลบโพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai ซึ่งถูกหยิบมาเป็นหนึ่งในเหตุผลสำหรับการเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว วิบูลย์ เห็นว่า หลังจากที่ไผ่ ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งแรก จากการยื่นหลักทรัพย์ทั้งหมด 4 แสนบาท ศาลได้สั่งห้ามไม่ให้เข้ายุ่งเหยิงกับพยานและหลักฐาน การที่ไม่ลบโพสต์ดังกล่าวจึงเป็นการทำตามเงือนไขการปล่อยตัวชั่วคราว ตามที่ศาลได้กำหนดมา
วิบูลย์ ระบุด้วยว่า หลังจากที่ศาลสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ทางครอบครัวและทนายความได้ยื่นขอปล่อยตัวชัวคราวไผ่ ไปทั้งหมด 5 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการอนุญาตจากศาล โดยศาลระบุว่ายังไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม อีกทั้งยังมีกรณีการสั่งฝากขังผัดที่ 3 ซึ่งวิบูลย์มองว่า มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากศาลไม่ได้อ่านคำร้องให้ผู้ต้องขังฟังและผู้ต้องขังไม่ได้ลงรายมือชื่อในเอกสาร แต่ศาลกลับระบุว่าผู้ต้องขังไม่ค้านการฝากขัง (อ่านข่าวที่เกียวข้อง)
สำหรับสภาพจิตใจ และสภาพร่างกายของไผ่ วิบูลย์ระบุว่า "ทุกครั้งที่ถูกจับเขาจะยิ้มตลอด เป็นคนยิ้มง่าย ถูกจับก็ยิ้มอดทนเอา มาถึงตอนนี้ร่างกายจิตใจยังดีอยู่ แต่บางครั้งมันมีช่วงที่ดูเหงาๆ ผมก็ถามเป็นอะไรลูก เขาบอกว่า เริ่มหมดหวังกับกระบวนการยุติธรรมแล้ว เพราะที่ผ่านมามันแสดงชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรกับเขาบ้าง...จะแพ้ จะชนะ เราไม่ว่าอะไร แต่โปรดทำตามกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม"
ท้ายสุดวิบูลย์ กล่าวกับผู้ฟังว่า “ท่านอย่าลืมนะว่า ไผ่ และครอบครัวผม ถูกกระบวนการยุติธรรม และศาลละเมิดมาโดยตลอด”
อังคณา นีละไพจิตร ข้อหาเย้ยหยันอำนาจรัฐ ไม่มีระบุไว้ในกฎหมาย
ด้านอังคณา นีละไพจิตร ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งขาติ ได้ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิฯ ได้ประสานไปทาง รองผบ.ตร. ในกรณีการสอบวิชาสุดท้ายของไผ่ วันที่ 17-18 ม.ค. 2560 โดยรองผบ.ตร. รับว่าจะประสานกับทางมหาวิทยาลัย และเรือนจำให้ไผ่ได้สอบตามปกติ และหวังว่าทางเรือนจำ มหาวิทยาลัย และตำรวจจะให้ความคุ้มครองในสิทธิดังกล่าว เพราะโดยหลักการแล้ว บุคคลใดที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาต้องมีสิทธิพิสูจน์ตนเอง และถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา อังคณากล่าวด้วว่า ศาลควรเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของประชาชนบ้างซึ่งจะช่วยให้เกิดวิธีการปรับปรุงการทำงานของศาลให้ดีมากขึ้น
อังคณา กล่าวต่อปถึงเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการตรวจร่างกายทางทวารหนัก ซึ่งในข้อกำหนดแมนเดลาของสหประชาชาติ โดยกระทรวงยุติธรรมของไทยได้รับมาปฏิบัติ ข้อ 52 ว่าด้วยการค้นตัวที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว รวมทั้งถอดเสื้อผ้า ค้นตามซอกหลืบของร่างกายให้กระทำได้ในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น เช่นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ในกรณีของไผ่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ฉะนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่เรือนจำ จึงเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และทางเรือนจำต้องพิจารณาตัวเอง ทั้งนี้สำหรับกรณีดังกล่าว คณะกรรมการสิทธิกำลังเตรียมที่จะออกรายงานต่อไป
สำหรับกรณีการเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว ไผ่ อังคณามองว่า บางครั้งการใช้ดุลยพินิจของศาล อาจจะทำให้ประชาชนตั้งข้อสังเกต และมีความสงสัยในกระบวนการยุติธรรม เนื่องเริ่มมีข้อกล่าวหาแปลกเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างเช่นข้อหาเย้ยหยันอำนาจรัฐ ซึ่งไม่เคยมีกฎหมายข้อใดระบุไว้ว่าเป็นความผิด ฉะนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่มีการสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม และไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย
เมื่อมีผู้ถามว่า กรณีของไผ่นั้น ทางคณะกรรมการสิทธิฯ จะมีการทำรายงานให้แล้วเมื่อใด อังคณาระบุว่า อาจจะไม่เสร็จทันภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เนื่องจากโดยกระบวนการของคณะกรรมการสิทธิเมื่อมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนมา จะต้องมีการคัดกรองเรื่อง และนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการ ซึ่งอาจจะใช้เวลาพอสมควร
สาวตรี สุขศรี : หากประชาชนเย้ยหยันอำนาจรัฐ ก็เท่ากับเย้ยหยันอำนาจของตัวเอง จะเป็นความผิดได้อย่างไร
สาวตรี สุขศรี กล่าวถึงกรณีการแชร์บทความ BBC Thai ว่า สามารถถกเถียงกันได้ว่าผิดหรือไม่ผิด โดยกรณีนี้สาวตรีมองว่าไม่น่าจะผิด และยังพูดถึงกรณีเกี่ยวกับการกดไลก์ ว่า กระกระทำความผิดนั้นจะต้องมีเจตนาที่จะประสงค์ให้เกิดการกระทำความผิด ฉะนั้นเมื่อมีการพิจาณาต้องดูว่าการไลก์เจตนาในการเผยแพร่ต่อหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ แต่หากเป็นการแชร์นั้นอาจเข้าข่ายใน พ.ร.บ.คอมมาตรา14 (5) ได้
สาวตรีระบุด้วยว่า กรณีที่ไผ่แชร์บทความจากเว็บไซต์ BBC Thai แล้วถูกดำเนินคดี มีลักษณะที่เลือกปฏิบัติ คือมีบุคคลทำพฤติกรรมเหมือนกันหลายคน แต่มีการเลือกปฏิบัติที่จะเจาะจงเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉะนั้นที่พูดกันว่า บุคคลมีความเท่าเทียมต่อหน้ากฎหมาย สำหรับกรณีไผ่ จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ และต้องตั้งคำถามว่า อย่างนี้เป็นการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ ซึ่งเมื่อเป็นการกลั่นแกล้งการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปถึงกรณีสิทธิของผู้ต้องหาว่า ตามหลักการบุคคลต้องได้รับการสันนิฐานว่า ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ยังไม่มีการพิพากษา เมื่อมีหลักการแบบนี้เกิดขึ้นเวลาเจ้าพนักงานจะปฏิบัติหน้าที่กับใครสักคนจะปฏิบัติเสมือนว่าเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ ต้องสันนิฐานว่าเขายังบริสุทธิ์อยู่ ฉะนั้น การไม่ปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการ ดั้งนั้นการปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เว้นแต่เข้ากรณีข้อยกเว้น ซึ่งจะต้องตีความโดยเคร่งครัด และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในรายละเอียด ตามข้อหาและต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไผ่ ถูกดำเนินคดีมาแล้ว 4 คดี แต่ไม่เคยมีปัญหาหรือพฤติการณ์จะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ต่อให้คดีจะร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าว
สาวตรี ระบุต่อไปว่า กรณีการปล่อตัวชั่วคราวนั้น มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ 1.การปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข 2.การปล่อยตัวโดยมีประกัน 3.การปล่อยตัวโดยมีประกัน และหลักประกัน ทั้งนี้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่มีเงื่อนไข ได้ถ้าพฤติการณ์ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมาจากสถิติจะพบได้ว่า ศาลจะเรียกหลักประกันเกือบทั้งหมด ซึ่งลักษณะนี้มีปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในต่างประเทศจีงกำหนดวิธีการปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขขึ้นมา คือปล่อยโดยไม่มีหลักประกันแต่มีเงื่อนไขให้ แต่ประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น สำหรับกรณีของไผ่ เมื่อครั้งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งแรกเขาได้ ยื่นหลักประกัน แต่ศาลยังกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า ไผ่ ได้ทำผิดเงือนไขที่ศาลระบุไว้ตอนต้นหรือไม่ สาวตรี ระบุว่า ไม่ผิดเงื่อนไข
สาวตรี กล่าวต่อไปถึงกรณีที่ศาลใช่ดุลพินิจในการวิเคราะห์ว่าไผ่เย้ยหยันอำนาจรัฐนั้น คำถามคือ หากไผ่ ได้มีเจตนาเย้ยหยันอำนาจรัฐจริงๆ การเย้ยหยันอำนาจรัฐนั้นถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ สาวตรีระบุว่า หากถามนักกฎหมายจะตอบได้ว่าไม่เป็นความผิด
โดยสาวตรี กล่าวต่อไปถึง องค์ประกอบของรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วย ประชาชน ดินแดนที่แน่นอน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลเป็นเพียงตัวแทนของประชาชน ฉะนั้นการเยาะเย้ย หรือเย้ยหยันอำนาจรัฐ ก็เท่าว่าประชาชนกระทำต่ออำนาจของตัวเอง
“ถ้าเราบอกว่าประเทศนี้ยังเป็นประชาธิปไตยอยู่ อำนาจรัฐเป็นของประชาชน คำถามคือประชาชนจะเยาะเย้ยอำนาจตัวเอง จะผิดตรงไหน” สาวตรี กล่าว
สาวตรี ทิ้งท้ายว่า เมื่อศาลมีดุลยพินิจ การใช้ดุลพินิจจะต้องมีขอบเขต การใช้ดุลพินิจโดยไม่มีกรอบกฎหมายกำกับไม่สามารถทำได้ ซึ่งในกรณีของไผ่ อาจไม่อยู่ในข้อกฎหมาย จึงมีการตั้งคำถามเกิดขึ้นตามมา และสุดท้ายจะนำไปสู่การตรวจสอบกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากวงเสวนาสิ้นสุด จ่านิว หรือ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ได้ชวนผู้เข้าร่วมฟังเสวนาทำกิจกรรม เชิงสัญลักษณ์ โดยการนำข้าวหลาม เป็นเซ่นไหว้กับศาลพระภูมิ เป็นทดแทนกับอิสระ และเสรีภาพของ ไผ่ ดาวดิน จากนั้น วิบูลย์ บุญภัทรรักษา ได้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วม ร้องเพลง “บทเพลงแห่งสามัญชน” เป็นกิจกรรมสุดท้ายของงานเสวนา
TCIJ: ตรวจสอบ ‘เนื้อวัวเถื่อน’ ทะลักไทย มาจากไหน?
เนื้อวัวเถื่อนทะลักไทยตั้งแต่ปี 2544 เคยพุ่งสูงสุดถึงปีละ 3 หมื่นกว่าตัน พบมีทั้งชำแหละมาแล้ว โดยเฉพาะเนื้อไม่ได้มาตรฐานจากอินเดีย ผ่านชายแดนไทย-มาเลเซีย รวมทั้งการลักลอบนำเข้าวัวเถื่อนชายแดนไทย-พม่า หวั่นไม่ถูกสุขลักษณะ-นำโรคติดต่อ-กระทบเกษตรกรกว่า 1.5 ล้านครอบครัวที่เลี้ยงวัวเนื้อในประเทศ
เนื้อวัวเถื่อนจากอินเดียแม้จะมีราคาถูก แต่ก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัย ปัจจุบันพบการลักลอบนำเข้าเนื้อวัวเถื่อนจากอินเดีย ผ่านมายังประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนนำมาจำหน่ายในไทย (ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)
ปัจจุบันไทยยังมีปัญหาการนำเข้าเนื้อวัวเถื่อนจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากประเทศอินเดีย ลักลอบผ่านทางชายแดนโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร เนื้อวัวเถื่อนเหล่านี้ไม่มีเอกสารรับรองด้านสุขศาสตร์ซากสัตว์ อาจเป็นพาหะของโรคระบาดสัตว์ได้ หากมีการกระจายออกไปจำหน่ายในท้องตลาด โดยเฉพาะการลักลอบนำเนื้อวัวเถื่อนจากอินเดียผ่านทางชายแดนไทย-มาเลเซีย เนื้อวัวเถื่อนเหล่านี้แม้จะเสี่ยงเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่กระนั้นพบว่ายังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเนื้อวัวในประเทศ
เนื้อวัวเถื่อนทะลักไทยหลายหมื่นตัน ตั้งแต่ 2544
สมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดเนื้อวัวไทย ได้เคยออกมาร้องเรียนตั้งแต่ปี 2550 ให้มีการปราบปรามการลักลอบจำหน่ายเนื้อวัวเถื่อนอย่างจริงจัง โดยเรียกร้องให้มีการตั้งค่าหัวและให้รางวัลผู้ให้เบาะแสการจับกุมการค้าเนื้อวัวเถื่อน เนื่องจากเนื้อวัวเถื่อนเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกร เนื้อวัวเถื่อนที่มีการลักลอบจำหน่ายในตลาดส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มาตรฐานและไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะเนื้อวัวเถื่อนจากประเทศอินเดีย
นอกจากการบริโภคแล้ว ยังนิยมนำเนื้อวัวเถื่อนไปแปรรูปเป็นลูกชิ้นหรือผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ โดยในช่วงปี 2550 เนื้อวัวเถื่อนหน้าเขียงตลาดราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท โดยต้นทุนการนำเข้าเนื้อวัวเถื่อนในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 30 บาท ส่วนเนื้อวัวไทยหน้าเขียงตลาดอยู่ที่เกือบกิโลกรัมละ 100 บาท (ราคาวัวเนื้อมีชีวิตอยู่ที่กิโลกรัมละ 40-45 บาท) และในปี 2551 เนื้อวัวเถื่อนหน้าเขียงตลาดราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 70-100 บาท ส่วนเนื้อวัวไทยหน้าเขียงตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละ 130-150 บาท ปัจจัยด้านราคานี้เอง ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อวัวเถื่อนมากขึ้น ข้อมูลจากสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย ประมาณการณ์ว่าในปี 2544 มีการลักลอบนำเข้าเนื้อจากอินเดียประมาณ 24,000 ตัน จากนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 36,500 ตันในปี 2549 และอยู่ในระดับที่ประมาณ 36,000 ตัน ในปี 2551
เส้นทางเนื้อวัวเถื่อนจากต่างประเทศ
สมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงเส้นทางการลักลอบนำเข้าเนื้อวัวว่า มีด้วยกัน 3 ทาง คือ 1. ทางบก ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัวจากอินเดีย ที่มีขบวนการลักลอบนำเข้าผ่านทางประเทศมาเลเซียแล้วขนเนื้อเข้าไทยข้ามชายแดน จ.นราธิวาส ส่งต่อไปยัง จ.สงขลา และสตูล เพื่อเก็บไว้ในห้องเย็นแล้วส่งต่อมายังกรุงเทพฯ 2. ทางน้ำ เป็นเนื้อวัวจากอินเดียเช่นเดียว กัน โดยจะขนใส่เรือประมงมาทางฝั่งอันดามัน ขึ้นที่ จ.ภูเก็ต และฝั่งอ่าวไทยขึ้นที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรสงคราม 3. ทางอากาศ วิธีนี้ใช้เฉพาะเนื้อโกเบ (Kobe beef) ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพดีจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถ้านำเข้าถูกต้อง ราคาจะตกกิโลกรัมละหลายพันบาท แต่ผู้ลักลอบใช้วิธีบรรจุในกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องบิน เพื่อส่งขายตามร้านอาหารหรูในกรุงเทพ นอกจากนี้ ยังมีการลักลอบนำเข้าวัวที่เป็นตัวเป็น ๆ ตามแนวชายแดนอีกด้วย
เนื้อวัวจากอินเดีย ที่มาภาพประกอบ: stacymoir0 (CC0) ประเทศอินเดียเลี้ยงโคเนื้อกว่า 245 ล้านตัว แต่ชาวอินเดียไม่รับประทานเนื้อโคตามหลักศาสนา จึงชำแหละเอาเฉพาะหนังไปใช้ประโยชน์ ส่วนเนื้อและซากส่งออกตามประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้การการลักลอบนำเข้าเนื้อเถื่อนจากอินเดียถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงที่สุด ทั้งเรื่องผลกระทบต่อตลาดเนื้อวัวของไทย รวมทั้งด้านโรคติดต่อ เนื่องจากการเลี้ยงวัวในอินเดียไม่ได้มาตรฐาน ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงแบบปล่อย จึงเสี่ยงต่อการติดโรคปากเท้าเปื่อย รวมทั้งโรงเชือดที่ไม่ได้มาตรฐานสากล |
หลังจากสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย ออกมาเคลื่อนไหวและร้องเรียนตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ภาครัฐได้ตื่นตัวกวดขันมากขึ้น โดยกรมปศุสัตว์ออกมาให้ข่าวต่อสาธารณะว่า ได้สั่งการให้ปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัดเข้มงวดในเรื่องการลักลอบนำเข้าเนื้อวัวเถื่อน โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนทั่วประเทศ รวมทั้งมีการหารือกับประเทศพม่า โดยไทยพร้อมจะไปช่วยในเรื่องการทำคอกกักกันวัวที่ชายแดนฝั่งพม่า เพื่อกักโรคและเพื่อกระตุ้นให้มีการนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย
2559 ปัญหายังไม่หมด ลามขึ้นห้างต่างจังหวัด
หลังจากกระแสข่าวเงียบหายไปหลายปี จนถึงปี 2557 ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวในตลาดเนื้อวัวอีกครั้ง ทั้งเรื่องการเข้มงวดในการควบคุมการชำแหละเนื้อสัตว์ให้สะอาด ปลอดภัยถูกสุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล มีการออกตรวจสอบจับกุมผู้ประกอบการชำแหละเนื้อวัวที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือมีการลักลอบชำแหละเนื้อวัวนอกโรงฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจากจากการตรวจสอบของกรมปศุสัตว์ยังพบว่าในปี 2557 นั้น ยังมีการลักลอบชำแหละเนื้อวัวอยู่อีกเป็นจำนวนมากในหลายจังหวัด เนื้อวัวที่ถูกชำแหละจะขายในเขียงเนื้อของตัวเองหรือถูกนำไปใส่รถเร่ขาย ทั้งที่ไม่ผ่านการตรวจโรคและสถานที่ประกอบการโรงฆ่าสัตว์ก็ไม่ถูกสุขลักษณะ
ต่อมาในปี 2558 ข้อมูลจาก สหกรณ์โคเนื้อพัทลุง จำกัด ระบุว่ากลุ่มผู้เลี้ยงวัวกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากมีเนื้อวัวเถื่อนจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดอีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือจากเนื้อวัวเถื่อนจากประเทศอินเดียที่เข้ามาทางประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจำหน่ายในราคาที่ถูกมากเพียงกิโลกรัมละ 90 บาทแล้ว ก็ยังพบว่ามีนายทุนจากประเทศออสเตรเลียได้สร้างฟาร์มวัวในประเทศเวียดนามและกัมพูชาอีกด้วย
ในปี 2559 การจับกุมเนื้อวัวเถื่อนเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง โดยเริ่มในเดือน ม.ค. 2559 ตำรวจสอบสวนกลางและศุลกากร บุกจับห้องเย็นย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ซุกซ่อนเนื้อและเครื่องในวัวแช่แข็งจำนวนกว่า 20,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จากนั้น ตำรวจภูธรสกลนคร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุด ปทส.ประจำพื้นที่ จ.สกลนคร เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จังหวัดสกลนคร และชุดปฏิบัติการ กอ.รมน. เข้าตรวจสอบร้าน P-Mart ซุปเปอร์สโตร์ ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าส่ง สินค้าอาหารแช่แข็ง ตั้งอยู่ริมถนน สกลฯ-อุดรฯ เขตเทศบาลนครสกลนคร
ก.พ. 2559 ปศุสัตว์ จ.ระยอง สนธิกำลังทหารจากค่ายมหาสุรสิงหนาท เข้าตรวจยึดเนื้อวัวเถื่อน จำนวน 2,000 กิโลกรัม ได้ที่ อ.เมือง จ.ระยอง ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งตำรวจ สภ.เมืองระยอง ดำเนินคดี และนำของกลางทั้งหมดไปทำลาย
ก.ย. 2559 เจ้าหน้าที่ทหารสังกัด กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกับกองกำลังเทพสตรีและตำรวจ สภ.สทิงพระ จับกุมเนื้อวัวเถื่อนแช่แข็งน้ำหนัก 3,700 กิโลกรัม มีต้นทางมาจากประเทศอินเดีย และลักลอบนำเข้ามาทางชายแดนไทย-มาเลเซีย มูลค่าเกือบ 9 แสนบาท บนถนนสายสงขลา-ระโนด พื้นที่ ต.สทิงพระ จ.สงขลา โดยในเดือนเดียวกันนี้ นายด่านศุลกากรวังประจัน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ระบุว่าปัจจุบันมีการลักลอบขนสินค้าหลบหนีภาษีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืช น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ เหล้า และล่าสุดที่พบคือเนื้อวัว ทั้งนี้เพราะความต้องการบริโภคเนื้อวัวในประเทศสูงขึ้นมากและมีราคาแพง อันเป็นผลกระทบสืบเนื่องจากไข้หวัดนกระบาดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เนื้อไก่ขาดตลาด คนจึงหันมาบริโภคเนื้อวัวกันมากขึ้น ผู้กระทำผิดมักจะนำซุกซ่อนมากับหัวหอมและกระเทียมที่เป็นสินค้าเสียภาษี โดยตั้งแต่ต้นปี 2559 มีเนื้อวัวเถื่อนลักลอบขนผ่านด่านชายแดนศุลกากรวังประจัน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล รวม 4,590 กิโลกรัมเลยทีเดียว
เสียงจากผู้ประกอบการผู้ประกอบการเขียงเนื้อรายหนึ่งใน จ.ลำพูน ที่เคยสั่งซื้อเนื้อวัวเถื่อนที่ขนส่งมาจากภาคใต้ ให้ข้อมูลกับ TCIJ ว่าภายหลังการเข้มงวดอีกครั้งในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้นปี 2560 นี้ไม่สามารถสั่งเนื้อวัวเถื่อนมาขายได้ และในช่วงต้นปีจนถึงกลางปี 2559 ที่เคยสั่งเนื้อมานั้น มีต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บา นำมาขายหน้าเขียงในราคาประมาณกิโลกรัมละ 200-240 บาท โดยมีหลายเกรด ทั้งเนื้อสัน เนื้อสะโพก เนื้อต้นขา เครื่องใน เป็นต้น โดยผู้ประกอบการรายนี้ระบุว่าถ้าหากการเข้มงวดของรัฐลดลง ก็คงจะสั่งเนื้อวัวเถื่อนนี้มาจำหน่ายอีก เพราะสามารถสร้างกำไรมากกว่าการขายเนื้อวัวในประเทศ |
ภาคเหนือคุมเข้มนำเข้าวัว หลังพบวัวผิดกฎหมายจากพม่า
วัวจากประเทศพม่าที่ถูกกักไว้ที่ จ.แม่ฮ่องสอน (ที่มาภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)
สำหรับเนื้อวัวที่บริโภคในภาคเหนือนั้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าทั้งอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบนำวัวเข้ามาตามแนวชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.ตาก และ จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนส่งมายัง จ.ลำพูน และ จ.เชียงใหม่ เพื่อขุนเลี้ยงและเข้าโรงฆ่าชำแหละ ก่อนที่จะกระจายเนื้อวัวออกจำหน่ายทั่วภาคเหนือ
ปัจจุบัน แม้ไทยและพม่าจะพยายามสร้างความร่วมมือในระยะยาว พร้อมทั้งหาแนวทางเพิ่มมูลค่าของวัว ด้วยการรณรงค์ต้อนฝูงวัวเข้าระบบโรงฆ่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้พม่าเป็นแหล่งเลี้ยงวัว ส่วนไทยรับหน้าที่แปรรูป เพื่อสนองความต้องการในประเทศและส่งออกไปยังประเทศที่สาม เช่น จีน และเวียดนาม แต่แนวทางนี้ ก็ยังอยู่ในช่วงการเจรจาหารือกับประเทศพม่าอยู่
ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ระบุว่าด้วยโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ที่เกิดขึ้นในสัตว์กีบ ยังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องในบ้านเรา โดยเฉพาะพื้นที่เขตติดต่อชายแดนนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการลักลอบนำวัวติดโรคเข้ามาตามชายแดน ทำให้เกิดการติดต่อมายังวัว กระบือ แพะ แกะ ที่เลี้ยงภายในประเทศ หากไม่มีการควบคุม ตรวจสอบ นอกจากส่งผลเสียต่อฝูงสัตว์กีบยังทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ได้คุณภาพความปลอดภัย โดยจากการสำรวจในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อปลายปี 2559 พบว่ามีความพร้อมในเรื่องของโรงฆ่า ซึ่งถือว่าเป็นตลาดซื้อ-ขายวัวและกระบือชายแดนที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ หากประเทศไทยสามารถนำวัวจากพม่าเข้าสู่ระบบโรงฆ่าได้อย่างถูกกฎหมาย ก็จะลดปัญหาเรื่องการลักลอบต้อนวัวตามเขตชายแดนเข้ามาอย่างผิดกฎหมายได้
รวมทั้งการดำเนินนโยบายคุมเข้มการนำเข้าวัวและกระบือเข้ามาในราชอาณาจักรของฝ่ายความมั่นคงไทย ล่าสุดช่วงต้นเดือน ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 จ.แม่ฮ่องสอน ดำเนินการกักวัวนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านตามนโยบายคุมเข้มนี้ โดยการกักวัวได้ทำการสุ่มตรวจสอบรถบรรทุกวัวจำนวน 2 คัน บรรทุกวัวรวมกันกว่า 40 ตัว มีมูลค่ากว่า 6 แสนบาท ซึ่งรถบรรทุกที่ถูกสุ่มตรวจ ได้ลำเลียงวัวมาจากชายแดนบ้านปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อจะนำไปขุนและจำหน่ายที่ อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน ทั้งนี้จากการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นพบว่า เอกสารการขนย้ายไม่สัมพันธ์กับตั๋วรูปพรรณการนำเข้าและการฉีดยา อีกทั้งยังไม่มีการติดคลิปที่หูของวัวเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่า วัวจำนวนดังกล่าวได้ฉีดยาป้องกันโรคก่อนการนำเข้า ตลอดจนไม่ได้ทำตามระเบียบเอกสารตั๋วรูปพรรณและหนังสืออนุญาตนำเข้าโคกระบือ
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง:
จับตา: ประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่ของโลก
ยืนยัน 'สะแปอิง บาซอ' ประธานบีอาร์เอ็น เสียชีวิตแล้ว
คสรท. เลือก 'สาวิทย์ แก้วหวาน' เป็นประธาน

สุนทรพจน์บารัก โอบามา อำลาตำแหน่ง #2 ประชาธิปไตยคือทำให้ชาติมีความหลากหลาย
จากช่วงแรกของสุนทรพจน์ที่กล่าวถึงความสำคัญของประชาธิปไตย เสรีภาพ การอภิปรายถกเถียงกันในสังคม และความเท่าเทียมกันของโอกาสทางเศรษฐกิจ ในช่วงหลัง บารัก โอบามา กล่าวถึงปัจจัยที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อประชาธิปไตยนั่นคือ การแบ่งแยกและกีดกันทางเชื้อชาติ/สีผิว และประชาธิปไตยอาจพังทลายได้หากจำนนต่อความกลัว
หมายเหตุ: อ่านสุนทรพจน์ช่วงแรกที่นี่
บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะหมดวาระ นั่งในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่างลงนามในบรรดากฎหมายส่งท้ายปี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา ด้านหลังสต๊าฟท์ทำเนียบขาวเพิ่งย้ายรูปปั้นมนุษย์หิมะมาไว้ในมุมที่ประธานาธิบดีจะมองเห็นจากห้องทำงาน (ที่มา: แฟ้มภาพ/Official White House Photo/Pete Souza)
มีอันตรายต่อประชาธิปไตยของพวกเราเป็นอย่างที่สอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อายุยืนยาวนานเท่ากับประเทศของเราเลย หลังจากการเลือกตั้งสมัยของผมผ่านมาแล้วก็เริ่มมีการพูดถึงอเมริกาหลังยุคแบ่งแยกเชื้อชาติสีผิว และวิสัยทัศน์นี้เองแม้ว่าจะมีเจตนาดีแต่ก็ไม่เคยเป็นความจริงเลย เชื้อชาติสีผิวยังคงมักจะเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกในสังคม ในตอนนี้ผมมีอายุยาวนานพอที่จะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติสีผิวเป็นไปได้ดีขึ้นมากกว่าเมื่อ 10, 20 หรือ 30 ปีที่แล้ว ไม่ว่าคนบางคนจะว่าอย่างไรก็ตาม (เสียงปรบมือ) คุณเห็นได้ว่ามันไม่ได้มีปรากฏแค่ในสถิติเท่านั้น คุณยังพบเห็นมันในทัศคติของคนหนุ่มสาวชาวอเมริกันทั่วทุกแนวคิดการเมือง
แต่พวกเราก็ยังไปไม่ถึงที่ๆ เราตวรจะไปถึง และพวกเราทุกคนต่างก็มีงานให้ต้องทำมากกว่าเดิม (เสียงปรบมือ) ถ้าหากประเด็นทางเศรษฐกิจทั้งหมดถูกจับใส่กรอบคิดว่าเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างชนชั้นกลางคนผิวขาวที่ทำงานหนักกับชนกลุ่มน้อยที่ไม่สมควรได้รับอะไรไปเสียหมด ก็จะทำให้แรงงานทุกส่วนถูกทิ้งให้ต่อสู้เพื่อให้เลี้ยงชีวิตไปวันๆ ขณะที่คนมั่งคั่งหลบเข้าไปอยู่ในที่ซุกตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น (เสียงปรบมือ) ถ้าพวกเราไม่ต้องการลงทุนกับเด็กที่เป็นผู้อพยพเพียงเพราะว่าพวกเขาดูไม่เหมือนพวกเรา พวกเราก็จะลดทอนโอกาสของลูกหลานพวกเราเอง เพราะว่าเด็กผิวน้ำตาลเหล่านั้นจะเป็นตัวแทนที่มีอยู่ในกลุ่มแรงงานอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ (เสียงปรบมือ) แล้วพวกเราก็แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของพวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นเกมที่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ (zero-sum game) เมื่อปีที่แล้ว ทุกๆ เชื้อชาติ ทุกช่วยวัย ทั้งชายและหญิงต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
ดังนั้นถ้าหากพวกเราจะจริงจังกันเรื่องความก้าวหน้าในประเด็นเชื้อชาติสีผิว พวกเราควรจะยึดมั่นกฎหมายต่อต้านการเหมารวมกีดกัน ทั้งในการจ้างงาน ในด้านที่พักอาศัย ในด้านการศึกษา และในด้านระบบยุติธรรม (เสียงปรบมือ) นั่นคือสิ่งที่รัฐธรรมนูญของพวกเราและอุดมคติสูงสุดของพวกเราต้องการ (เสียงปรบมือ)
แต่แค่กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ หัวใจเราต้องเปลี่ยนด้วย มันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน ทัศนคติทางสังคมมักจะต้องการเวลาหลายรุ่นถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าหากประชาธิปไตยของพวกเราคือการทำให้ประเทศชาติมีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นแล้วพวกเราทุกคนก็ควรพยายามทำตามคำแนะนำของตัวละครที่สุดยอดในนิยายของอเมริกันที่ชื่อ แอตติคัส ฟินช์ (เสียงปรบมือ) ผู้กล่าวไว้ว่า "คุณจะไม่มีทางเข้าใจคนๆ หนึ่งได้จนกว่าคุณจะพิจารณาจากมุมมองของเขา ...จนกว่าคุณจะแทรกตัวเข้าไปในเนื้อหนังของเขาและเดินไปมาในนั้น"
สำหรับคนดำและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แล้ว มันหมายถึงการผูกเอาการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเราเองไว้กับการท้าทายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในส่งที่ผู้คนจำนวนมากในประเทศนี้ต้องเผชิญ ไม่เพียงแค่ผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ คนจนในชนบท หรือคนข้ามเพศชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นกลางคนผิวขาวที่เมื่อมองจากภายนอกแล้วเขาเป็นคนที่ได้เปรียบ แต่ดันเห็นโลกแบบกลับหัวกลับหางจากการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี พวกเราควรต้องให้ความสนใจและรับฟัง (เสียงปรบมือ)
สำหรับคนขาวอเมริกันแล้วมันหมายถึงการยอมรับว่าผลของการใช้ทาสและจิม โครว์ (กฎหมายบังคับแบ่งแยกเชื้อชาติสีผิวในทางตอนใต้ของสหรัฐฯ) ไม่ได้หายไปหลังจากยุค 60s (เสียงปรบมือ) นั่นคือช่วงเวลาที่ชนกลุ่มน้อยแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขาไม่ได้แค่ใช้วิถีการเหยียดเชื้อชาติย้อนกลับหรือการใช้ความถูกต้องทางการเมืองเท่านั้น แต่พวกเขายังทำการประท้วงอย่างสันติ พวกเขาไม่ได้ต้องการให้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างวิเศษแต่ต้องการให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมตามที่ผู้ก่อตังประเทศพวกเราได้ให้สัญญาไว้ (เสียงปรบมือ)
สำหรับคนที่เป็นอเมริกันโดยกำเนิด มันหมายถึงการย้ำเตือนพวกเราเองว่าการเหมารวมเกี่ยวกับผู้อพยพยังคงมีการพูดกันอยู่ในทุกวันนี้แทบจะคำต่อคำ เกี่ยวกับชาวไอริช และอิตาเลียน และโปแลนด์ และใครก็ตามที่ถูกบอกว่าจะทำลายรากฐานตัวตนของอเมริกา แล้วก็กลายเป็นว่าอเมริกาไม่ได้อ่อนแอลงจากการปรากฏตัวของผู้มาใหม่เลย ผู้มาเยือนใหม่เหล่านี้โอบรับหลักบัญญัติของประเทศ และประเทศนี้ก็แข็งแกร่งขึ้น (เสียงปรบมือ)
ดังนั้น ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม พวกเราล้วนแต่ต้องพยายามให้มากขึ้นทั้งสิ้น พวกเราทุกคนต้องเริ่มจากหลักฐานที่ว่าเหล่าพลเมืองของพวกเรารักประเทศนี้มากเท่ากับที่พวกเรารัก และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับการทำงานหนักรวมถึงครอบครัวมากเท่ากับที่พวกเราให้ความสำคัญ ลูกหลานของพวกเขาต่างก็มีความสงสัยใคร่รู้และมีความหวังรวมถึงมีคุณค่าที่จะได้รับความรักมากเท่ากับลูกหลานของพวกเราเอง (เสียงปรบมือ)
นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำ สำหรับพวกเราจำนวนมากแล้วมันปลอดภัยกว่าถ้าจะหลบเข้าไปอยู่ใน "ฟองสบู่" ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนของพวกเราเองหรือวิทยาลัยของพวกเรา หรือสถานที่ทางศาสนา หรือ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าข่าวโซเชียลมีเดียของพวกเราเองที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เหมือนกับเราและแชร์มุมมองด้านการเมืองแบบเดียวกับเราโดยที่ไม่เคยมีการท้าทายข้อสันนิษฐานของพวกเราเองเลย ความเสี่ยงจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้ และการแบ่งชนชั้นทางเศรษฐกิจและภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ การกระจัดกระจายของสื่อพวกเรากลายเป็นช่องต่างๆ สำหรับทุกรสนิยม ทั้งหมดนี้ที่ดูเป็นการจัดประเภทแบบสุดๆ คล้ายว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติหรือถึงขั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเราซุกตัวอยู่กับฟองสบู่ของพวกเราเองจนกระทั่งพวกเราเริ่มเอาแต่รับข้อมูลที่เข้ากับความคิดเห็นของพวกเราแต่เพียงอย่างเดียวไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จก็ตาม แทนที่เราจะวางควาคิดเห็นของตัวเองอยู่บนหลักฐานข้อมูลที่มีอยู่ (เสียงปรบมือ)
จิตวัญญาณแห่งการศรัทธาในเหตุผล
และกระแสแบบนี้เองที่เป็นตัวแทนภัยอย่างที่สาม ต่อประชาธิปไตยของพวกเรา แต่การเมืองก็ไม่ใชเรื่องของการสู้รบทางความคิด นั่นคือสิ่งที่ประชาธิปไตยของพวกเราถูกออกแบบมาให้เป็น ในช่วงที่มีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างเป็นประโยชน์นั้นพวกเราเน้นเรื่องความแตกต่างของเป้าหมายมาเป็นอันดับแรกและวิธีการต่างกันในการเข้าถึงเป้าหมาย แต่ถ้าไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงร่วมกันบ้างเลย ไม่มีการยอมรับข้อมูลใหม่บ้างเลย และไม่มีการยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะพูดได้เข้าท่า เป็นวิทยาศาสตร์และใช้เหตุใช้ผล (เสียงปรบมือ) ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้พวกเราต่างก็จะพูดทะลุผ่านอีกฝ่ายไป แล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะหาจุดร่วมและการประนีประนอมได้
แล้วไม่ใช่ส่วนที่ว่านี้หรอกหรือที่ทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่ชวนให้ท้อใจ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแสดงความไม่พอใจ อ้างเรื่องการขาดดุลงบประมาณในตอนที่พวกเราเสนอให้ลงงบประมาณไปกับเด็กก่อนวัยเรียนได้อย่างไร ทั้งที่ตอนที่พวกเราตัดลดภาษีบรรษัทพวกเขาไม่โวยเรื่องนี้บ้าง (เสียงปรบมือ) พวกเราหาข้ออ้างการขาดจริยธรรมของพรรคการเมืองเราเองได้อย่างไร ทั้งที่เรากระโจนเข้าใส่พรรคอื่นด้วยเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่แค่เรื่องการไม่ซื่อสัตย์ การเลือกปฏิบัติรับแค่ความจริงบางอย่าง มันกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะแม่ผมเคยบอกไว้ว่าความจริงจะไล่ตามทันคุณเสมอ (เสียงปรบมือ)
ดูอย่างเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน แค่เพียง 8 ปี พวกเราก็ลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างชาติได้ครึ่งหนึ่ง พวกเราเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้นเป็นสองเท่า พวกเราเป็นผู้นำโลกไปสู่ข้อตกลงที่สัญญาว่าจะช่วยกอบกู้โลก (เสียงปรบมือ) แต่ถ้าไม่มีปฏิบัติการที่ทะยานไปไกลกว่านี้ ลูกหลานของพวกเราก็จะไม่มีเวลามาถกเถียงกันเรื่องว่าโลกร้อนมีอยู่จริงหรือไม่อีกต่อไป พวกเขาจะวุ่นวายอยู่กับการจัดการผลกระทบที่ได้รับ จะมีภัยทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีการชะงักงันทางเศรษฐกิจมากขึ้น มีคลื่นผู้ลี้ภัยที่แสวงหาที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
ในตอนนี้พวกเราสามารถและควรจะถกเถียงกันถึงวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่การปฏิเสธปัญหาไปเลยนั้นไม่เพียงแค่เป็นการทรยศต่อคนรุ่นอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นการทรยศต่อจิตวิญญาณที่แท้จริงของประเทศนี้อีกด้วย จิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างนวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาแบบเดียวกับที่นำทางให้ผู้ก่อตั้งประเทศของพวกเรา
มันคือจิตวิญญาณที่ถือกำเนิดมาจากยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) ที่ทำให้พวกเราเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จิตวิญญาณที่โบยบินจากคิตตี้ฮอว์ก (ชื่อเมืองในนอร์ทแคโรไลนา และชื่อเรือรบบรรทุกเครื่องบินเก่าแก่ของสหรัฐฯ) ไปจนถึงแหลมคานาเวอรัล (แหลมในรัฐฟลอริดา อยู่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่ตั้งของศูนย์อวกาศเคนเนดี) เป็นจิตวิญญาณที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บและเอาคอมพิวเตอร์ใส่ในกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงของทุกคน
มันคือจิตวิญญาณพวกนี้เอง จิตวิญญาณแห่งการศรัทธาในเหตุผล ความกล้าได้กล้าเสีย และการเน้นสิ่งที่ถูกต้องมาก่อนการใช้กำลัง นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้พวกเราสามารถต้านทานการล่อลวงจากลัทธิเผด็จการฟาสซิสม์และทรราชในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราสร้างระเบียบหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ได้ ระเบียบที่ไม่ได้มาพื้นฐานมาจากแค่อำนาจการทหารแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังสร้างขึ้นมาจากหลักการหลายอย่าง เช่น หลักนิติธรรม หลักสิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการมีสื่อที่เป็นอิสระด้วย (เสียงปรบมือ)
ระเบียบเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย เริ่มแรกจากกลุ่มหัวรุนแรงที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ก็มาจากผู้มีอำนาจเผด็จการในต่างประเทศที่มองว่าตลาดการค้าเสรีและประชาธิปไตยแบบเปิดกว้างรวมถึงตัวภาคประชาสังคมเองเป็นภัยต่ออำนาจของพวกเขา ภัยต่อประชาธิปไตยจากพวกเขาเหล่านี้ส่งผลสะเทือนไปไกลยิ่งกว่าคาร์บอมบ์หรือจรวดมิสไซล์เสียอีก มันเป็นภาพแทนความกลัวการเปลี่ยนแปลง เป็นความกลัวประชาชนผู้ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างหรือสวดภาวนาแตกต่างกัน เป็นการหยามหยันหลักนิติธรรมที่จะเป็นข้อผูกมัดให้ผู้นำถูกตรวจสอบและรับผิดชอบ เป็นความไม่อดกลั้นต่อการถูกต่อต้านและอิสรภาพทางความคิด เป็นความเชื่อว่าดาบและปืนหรือระเบิดหรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อจะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะความกล้าหาญเป็นพิเศษของชายและหญิงในเครื่องแบบของพวกเรา เพราะเหล่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของพวกเรา และผู้บังคับกฎหมาย และเหล่านักกการทูตของพวกเราที่สนับสนุนกองทัพของเรา (เสียงปรบมือ) ทำให้ไม่มีองค์กรก่อการร้ายจากต่างชาติองค์กรใดที่วางแผนและปฏิบัติกรโจมตีมาตุภูมิของพวกเราได้สำเร็จในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (เสียงปรบมือ) และแม้ว่าเหตุการณ์ในบอสตัน ออร์แลนโด ซานเบอร์นาร์ดิโน และฟอร์ทฮูดจะย้ำเตือนพวกเราว่ากระบวนการทำให้กลายเป็นพวกหัวรุนแรงนั้นเป็นอันตรายอย่างไร หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของพวกเรามีความระแวดระวังและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม พวกเราสามารถกำจัดผู้ก่อการร้ายได้หลายหมื่นคนรวมถึงบิน ลาเดน ด้วย (เสียงปรบมือ) กลุ่มสัมพันธมิตรโลกกำลังนำปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มไอซิล (กลุ่มไอซิส) ได้กำจัดผู้นำของพวกนั้นไปแล้วและสามารถยึดพื้นที่ของพวกนั้นได้ราวครึ่งหนึ่ง ไอซิลจะถูกทำลาย และไม่มีใครที่คุกคามอเมริกาจะปลอดภัย (เสียงปรบบือ)
และสำหรับเหล่าผู้ที่รับใช้และเคยรับใช้ การได้เป็นผู้บัญชาการทหารของพวกคุณถือเป็นเกียรติภูมิของผมไปชั่วชีวิต แล้วพวกเราต่างก็เป็นหนี้บุญคุณของพวกคุณอย่างลึกซึ้ง (เสียงปรบมือ)
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพวกเรา
แต่การปกป้องวิถีชีวิตของพวกเรานั่นไม่ใช่แค่งานของกองทัพพวกเราแต่เพียงอย่างเดียว ประชาธิปไตยยังสามารถพังทลายลงได้ถ้าหากเรายอมจำนนให้กับความกลัว ดังนั้น พวกเรา ในฐานะที่เป็นพลเมือง ควรต้องคอยเฝ้าระวังการรุกรานจากภายนอกเสมอ พวกเราควรต้องปกป้องคุณค่าที่ทำให้พวกเราเป็นเราซึ่งเป็นคุณค่าที่กำลังอ่อนแรงลง (เสียงปรบมือ)
และนั่นคือสาเหตุที่ทำไมในช่วงตลอด 8 ปีที่ผ่านมาผมถึงทำงานต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยยึดหลักการกฎหมายอย่างหนักแน่นขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงหยุดการทารุณกรรม พยายามปิดคุกกวนตานาโม (เรือนจำขังนักโทษที่อื้อฉาวเรื่องการทารุณกรรมนักโทษ) ปฏิรุปกฎหมายของพวกเราเกี่ยวกับการสอดแนมเพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพพลเมือง (เสียงปรบมือ) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต่อต้านการเหยียดชาวมุสลิมอเมริกันผู้ที่มีความรักชาติมากเท่าพวกเรา (เสียงปรบมือ)
มันคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงหลีกหนีการต่อสู้ขนาดใหญ่ในระดับโลกไปไม่ได้ ในการที่จะแผ่ขยายประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าความพยายามของพวกเราจะไม่สมบูรณ์แบบแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าการละเลยค่านิยมเหล่านี้จะทำให้เราได้เปรียบมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการปกป้องอเมริกา สำหรับการต่อสู้แนวคิดสุดโต่ง ความไม่อดกลั้นต่อความต่างนั้น การแบ่งแยกนิกายศาสนา และการคลั่งชาตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับอำนาจนิยมและการรุกรานจากชาตินิยม ถ้าหากขอบเขตของเสรีภาพและการเคารพในหลักนิติธรรมลดลงทั่วโลก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามภายในหรือระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และเสรีภาพของพวกเราเองก็จะถูกคุกคามไปด้วย
ฉะนั้นเรามาคอยเฝ้าระวังกันเถอะแทนที่จะหวาดกลัว (เสียงปรบมือ) กลุ่มไอซิลจะพยายามหาทางสังหารผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาจะไม่สามารถถโค่นล้มอเมรริกาได้เว้นแต่พวกเราทรยศต่อรัฐธรรมนูญและหลักการของพวกเราในการต่อสู้ (เสียงปรบมือ) คู่แข่งอย่างรัสเซียและจีนจะไม่อาจสู้กับอิทธิพลต่อทั่วโลกของพวกเราได้เลยเว้นแต่พวกเรายอมละจุดยืนที่พวกเรามีมาตลอด (เสียงปรบมือ) แล้วก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแค่ประเทศใหญ่ๆ ประเทศหนึ่งที่ข่มเหงรังแกเพื่อนบ้านที่ตัวเล็กกว่า
นั่นนำมาสู่ประเด็นสุดท้ายสำหรับผมคือ ประชาธิปไตยของพวกเราจะถูกคุกคามเมื่อใดก็ตามที่พวกเราไม่เห็นความสำคัญของมัน (เสียงปรบมือ) พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม ควรจะต้องเอาตัวเองเข้าไปทำภารกิจสร้างสถาบันประชาธิปไตยกันขึ้นมาอีกครั้ง (เสียงปรบมือ) เมื่ออเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการลงคะแนนเสียงน้อยที่สุดในหมู่ประเทศที่มีประชาธิปไตยพัฒนาแล้ว พวกเราควรจะทำให้มันง่ายขึ้น ไม่ใช่ยากขึ้น ในการที่จะลงคะแนนเสียง (เสียงปรบมือ) เมื่อความไว้ใจสถาบันของพวกเราอยู่ในระดับต่ำ พวกเราก็ควรจะลกอิทธิพลของเงินที่บ่อนเซาะต่อประชาธิปไตยของพวกเราลง และยืนยันในหลักการเรื่องความโปร่งใสและจริยธรรมในการให้บริการประชาชน (เสียงปรบมือ) เมื่อสภาคองเกรสไม่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเราควรจะนำพาภาคส่วนรัฐสภาให้ส่งเสริมนักการเมืองในการคำนึงถึงสามัญสำนึกและไม่สุดโต่งเข้มงวดเกินไป (เสียงปรบมือ)
แต่ก็ต้องจำไว้ว่า ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยตัวมันเอง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพวกเรา พวกเราทุกคนต้องยอมรับว่าตัวเองมีความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง ไม่ว่าจะลูกตุ้มแห่งขั้วอำนาจจะกำลังเหวี่ยงไปทางใดก็ตาม
รัฐธรรมนูญของพวกเรานั้นยอดเยี่ยม เป็นของขวัญที่งดงาม แต่มันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว ตัวมันเองไม่ได้มีพลังอยู่ในตัวเองหรอก แต่เป็นพวกเรา...ประชาชนอย่างพวกเรา ที่ให้พลังกับมัน (เสียงปรบมือ) พวกเรา...ประชาชน ให้ความหมายกับมัน ด้วยการมีส่วนร่วมของพวกเราและทางเลือกที่พวกเราเลือก และพันธมิตรที่พวกเราร่วมมือกันสร้างขึ้น (เสียงปรบมือ) ไม่ว่าพวกเราจะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อเสรีภาพของพวกเราเองหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะเคารพและทำให้เกิดหลักนิติธรรมหรือไม่ก็ตาม มันขึ้นอยู่กับพวกเรา อเมริกาไม่ใช่สิ่งที่เปราะบาง แต่สิ่งที่เราได้รับจากการเดินทางไปสู่อิสรภาพอันยาวนานนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้
"สายใยเหล่านั้นอ่อนแอลงเมื่อพวกเรานิยามพวกเรากันเองแค่บางกลุ่มว่ามีความเป็นอเมริกันมากกว่าคนอื่น"
ในสุนทรพจน์อำลาตำแหน่งของจอร์จ วอชิงตัน (ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ) ได้เขียนไว้ว่าการมีจัดการตนเองนั้นเป็นรากฐานความเข้มแข็งของความปลอดภัย ความรุ่งเรือง และเสรีภาพของพวกเรา แต่ในนั้นก็ยังระบุว่า "จากประเด็นสังคมที่ต่างกันและภาคส่วนที่ต่างกันจะทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก...จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อความจริงนี้ในจิตใจคุณอ่อนแอลง" และพวกเราควรจะรักษาความจริงนี้ไว้ด้วย "ความกังวลอันริษยา" อย่างการที่พวกเราควรปฏิเสธ "ทุกๆ การริเริ่มพยายามทำให้ภาคส่วนใดๆ ของประเทศพวกเราแปลกแยกจากส่วนอื่นๆ หรือทำให้สายใยอันศักดิ์สิทธิในสังคมอ่อนแรงลง" นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียว (เสียงปรบมือ)
อเมริกา พวกเราทำให้สายใยในสังคมที่ว่าอ่อนแรงลง พวกเราเปิดทางให้การถกเถียงทางการเมืองของพวกเรากลายเป็นสิ่งที่กัดกร่อนอย่างมากจนกระทั่งทำให้คนที่มีลักษณะที่ดีถึงขั้นไม่ยอมเข้าร่วมกับการบริการสาธารณะ มันหยาบกร้านไปด้วยความโกรธแค้นที่ชาวอเมริกันมองคนทีพวกเราไม่เห็นด้วยไม่ใช่เพียงแค่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิดเท่านั้นแต่ยังมองว่าชั่วช้าด้วย พวกเราทำให้สายใยเหล่านั้นอ่อนแอลงเมื่อพวกเรานิยามพวกเรากันเองแค่บางกลุ่มว่ามีความเป็นอเมริกันมากกว่าคนอื่น เมื่อพวกเราตีค่าไปแล้วล่วงหน้าว่าระบบทั้งระบบมันเสื่อมทรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อพวกเราเอาแต่เอนหลังแล้วก็โทษทุกอย่างกับผู้นำที่เลือกตั้งเข้ามาโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบบทบาทของพวกเราเองในการที่เลือกคนพวกนี้เข้ามาเลย (เสียงปรบมือ)
สิ่งนี้ตกอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราทั้งหมดในการที่เราจะเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตยของพวกเราเองทั้งที่มีความกังวลและริษยา ในการที่จะโอบรับหน้าที่อันน่าปิติในการพัฒนาประเทศที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของพวกเราจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทุกคนล้วนมีตำแหน่งยศที่น่าภาคภูมิใจเหมือนกันทั้งหมด เป็นยศสำนักงานที่สำคัญที่สุดในประชาธิปไตยของพวกเรา นั่นคือ พลเมือง (เสียงปรบมือ) ...พลเมือง
ดังนั้นคุณก็เห็นแล้วว่าประชาธิปไตยของพวกเราต้องการอะไร ประชาธิปไตยต้องการคุณ ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงที่มีการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะตอนที่ผลประโยชน์จำเพาะของตัวเองตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แต่เป็นตลอดชั่วชีวิตของคุณ ถ้าหากคุณเหนื่อยล้ากับการโต้เถียงกับคนแปลกหน้าบนอินเทอร์เน็ต ลองพูดกับพวกเขาสักหนึ่งในโลกความจริงดูสิ (เสียงปรบมือ) ถ้าอะไรบางอย่างต้องการได้รับการแก้ไข ก็ถึงเวลาผูกเชือกรองเท้าคุณแล้วก็จัดตั้งขบวนกันสักหน่อย (เสียงปรบมือ) ถ้าหากคุณผิดหวังกับเจ้าหน้าที่ที่คุณเลือกตั้งเข้ามา หยิบกระดานจดของคุณออกมา ออกไปล่ารายชื่อ แล้วก็ไปยื่นสำนักงานด้วยตนเอง (เสียงปรบมือ) แสดงตัวออกมา จดจ่อ แล้วก็อยู่กับประเด็นนั้น
บางทีคุณอาจจะชนะ บางทีคุณอาจจะแพ้ การคาดไปก่อนล่วงหน้าถึงความดีงามในตัวคนอื่นเป็นเรื่องเสี่ยง และบางครั้งกระวนการก็จะทำให้คุณผิดหวัง แต่สำหรับคนที่โชคดีพอก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้และได้มองมันใกล้ๆ ขอให้ผมได้บอกคุณหน่อยเถอะ ว่ามันสามารถสร้างพลังและแรงบันดาลใจได้ และหลายครั้งที่ศรัทธาในอเมริกาและในชาวอเมริกันของคุณจะได้รับการยืนยัน
ตัวผมเองก็เป็นเช่นนั้น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาผมได้มองเห็นใบหน้าที่มีความหวังของคนเรียนจบใหม่และเจ้าหน้าที่ทหารรุ่นใหม่ที่สุดของพวกเรา ผมได้ร่วมโศกเศร้าไปกับครอบครัวผู้เจ็บปวดที่ยังคงค้นหาคำตอบ แล้วก็ได้พบเห็นความงดงามในโบสถ์ชาร์ลส์ตัน ผมได้เห็นนักวิทยาศาสตร์ของพวกเราช่วยเหลือคนเป็นอัมพาตกลับมามีประสาทสัมผัสการแตะต้องได้ ผมได้เห็นนักรบที่บาดเจ็บซึ่งในตอนนั้นสิ้นหวังจะถูกปล่อยให้ตายไปกลับมาเดินได้อีกครั้ง ผมได้เห็นแพทย์ของพวกเราและอาสาสมัครช่วยกันสร้างอาคารหลังแผ่นดินไหวและหยุดยังโรคระบาด ผมได้เห็นเด็กที่เยาว์วัยที่สุดย้ำเตือนพวกเราผ่านการกระทำของพวกเขาและผ่านความเอื้อเฟื้อของพวกเขาในการทำหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยหรือทำงานเพื่อสันติภาพ และทั้งหมดทั้งมวลคือการดูแลกันและกัน (เสียงปรบมือ)
ดังนั้นแล้วศรัทธาที่ผมวางเอาไว้เพื่อหลายปีที่แล้วไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่เลย มันอยู่ในพลังของคนธรรมดาชาวอเมริกันที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ศรัทธานั้นให้อะไรบางอย่างแก่ผมในแบบที่ผมไม่สามารถจินตนาการออกได้ แล้วผมก็หวังว่าศรัทธาของคุณก็จะให้อะไรคุณเช่นกัน คุณบางคนในที่นี้คืนนี้หรือดูอยู่ที่บ้าน คุณอยู่กับพวกเราในปี 2547, 2551, 2555 (เสียงปรบมือ) บางทีคุณเองก็อาจจะไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ขอให้ผมได้บอกกับคุณ ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่รู้สึกเช่นนี้ (เสียงหัวเราะ)
(หมายเหตุ - หลังจากสุนทรพจน์ในท่อนนี้ก็จะเป็นช่วงที่โอบามาก็กล่าวขอบคุณครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของเขา)
เรียบเรียงจาก
President Obama farewell address: full text, CNN, 10-01-2017
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Jim_Crow_laws
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี: ระเบิดแก่งแม่น้ำโขงเดินเรือ จะเซ็งลี้แม่น้ำให้ประเทศเดียวหรือ?
หลังมีมติ ครม. 27 ธันวาคม 59 แผนเดินเรือและปรับปรุงร่องน้ำเดินเรือแม่น้ำโขง จนมีเสียงหวั่นกระแสระเบิดแก่งในแม่น้ำโขงระลอกใหม่นั้น ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี นักวิชาการ ม.เชียงใหม่ ชี้ให้เห็นการขยายอำนาจในการจัดการทรัพยากรของจีนที่แผ่ลงมาในแม่น้ำโขงตอนล่างมากขึ้น แต่แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นในลุ่มน้ำตอนบน ย่อมกระทบปลายน้ำ คำถามคือคิดจะระเบิดแก่งถามเพื่อนบ้านหรือยัง มีสิ่งใดอนุญาตให้เกิดการทำลายทรัพยากรแบบไม่มีลิมิตเช่นนี้
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวสำรวจร่องน้ำโขงเพื่อการเดินเรือและแผนระเบิดแก่ง
กรณีที่มีกระแสข่าวผลักดันการระเบิดแก่งในแม่น้ำโขงใกล้ด้านที่ติดกับ จ.เชียงราย เพื่อการเดินเรือ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 ธันวาคม 2559 "ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง – แม่น้ำโขง ค.ศ. 2015 – 2025 และการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง – แม่น้ำโขง" ท่ามกลางเสียงคัดค้านของภาคประชาสังคมและกลุ่มอนุรักษ์ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) โดยต่อมาในวันที่ 10 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ให้สัมภาษณ์เมินที่จะรับฟังเสียงคัดค้านการทบทวนมติ ครม. และชี้แจงว่าเป็นแค่การศึกษาเท่านั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อเรื่องดังกล่าว ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ต่อกระแสข่าวดังกล่าวและเรื่องการระเบิดแก่งในแม่น้ำโขงตอนบนว่า สะท้อนการเคลื่อนตัวของอำนาจธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพยากรส่วนร่วมของแม่น้ำโขง จากกลุ่มประเทศในคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง ( Mekong River Commission - MRC) ที่มีสมาชิกที่อยู่ติดแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งอำนาจจัดการได้ย้ายขึ้นไปข้างบน สะท้อนการแผ่อำนาจของจีน ใช้อำนาจในการครอบครองทรัพยากรข้างล่างมากขึ้น
ประเด็นคือ แม่น้ำโขงไม่ใช่ของไทย หรือของจีน แม่โขงเป็นแม่น้ำร่วมหลายๆ ประเทศ การระเบิดแก่งหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตเหนือน้ำ จะกระทบกับประเทศตอนล่าง ประชาชนเวียดนามทำนาโดยอาศัยแม่น้ำโขง เศรษฐกิจภาคเกษตรพึ่งพาแม่น้ำโขง เช่นเดียวกับ ประชาชนเขมร การประมงของเขาก็พึ่งพาแม่น้ำโขง คำถามใหญ่คือไประเบิดแก่งถามเพื่อนบ้านแล้วหรือยัง อะไรอนุญาตให้จีนสามารถมีโครงการพัฒนา หรือทำลายทรัพยากร แบบไม่มีขอบจำกัดเช่นนี้
ไทยไม่มีอำนาจในการจัดการแม่น้ำโขงฝ่ายเดียว ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคต้องคุยกัน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องระเบิดแก่งเท่านั้น เพราะจีนยังมีโครงการสร้างเขื่อนเหนือแม่น้ำโขงเต็มไปหมด คำถามคือเราจะเซ็งลี้แม่น้ำให้กับประเทศเดียว โดยประเทศอื่นๆ ที่ใช้แม่น้ำโขงจะได้ประโยชน์อะไร
ต่อคำถามที่ว่า งบประมาณลงทุนของจีนสำหรับประเทศในภูมิภาค ทำให้เสียงของประเทศเหล่านี้อ่อนหรือไม่ ปิ่นแก้ว เสนอว่า "ที่ผ่านมาจีนมีอิทธิพลในการลงทุนในประเทศเหล่านี้ ซึ่งเท่ากับเป็นไฟเขียวทำให้เรายอมทำให้จีนทำอะไรก็ได้ แต่คำถามใหญ่คือ แม่น้ำโขงไม่ได้ประกอบด้วยเกาะแก่งตอนเหนือเฉยๆ การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศด้านบน มีผลต่อระบบนิเวศลุ่มน้ำโขงด้วย มีการศึกษา หรือมีการมองผลกระทบทั้งระบบหรือยังก่อนตัดสินใจดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่แค่การเดินเรือเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียเศรษฐกิจภาคเกษตรด้วย"
คนอเมริกันหลายกลุ่มเตรียมจัด 'ขบวนของผู้หญิง' ชุมนุมใหญ่ต้านทรัมป์
ประชาชนในสหรัฐฯ วางแผนประท้วงใหญ่ภายในวันที่ 21 ม.ค. ที่จะถึงนี้หลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีการประเมินว่านี่อาจจะเป็นการชุมนุมของประชาชนจากหลายภาคส่วนของสังคม ที่มีประเด็นทางสังคมหลายประเด็น ในชื่อ "วีแมนส์มาร์ช" (Women's March) หรือ "การเดินขบวนของผู้หญิง" ซึ่งมีโอกาสกลายเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
15 ม.ค. 2560 เดอะการ์เดียนระบุว่าแผนการชุมนุมในครั้งนี้เริ่มต้นมาจากการเรียกร้องชุมนุมอย่างทันด่วนของกลุ่มนักสตรีนิยมทางโซเชียลมีเดีย แต่กำลังเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จากที่มีผู้เข้าร่วมในหลายประเด็นจนอาจจะกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ หลังจากวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยผู้คนแสดงการประท้วงต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ด้วยการสวมหมวกทอสีชมพู
เคย์ลิน วิตติงแฮม ประธานสมาคมทนายความผู้หญิงคนดำกล่าวว่าการร่วมเดินขบวนของผู้คนในหลากหลายประเด็นเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาต้องยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันจนเป็นพลังที่ไม่อาจละเลยได้
ในตอนนี้มีกลุ่มสายก้าวหน้าเกือบ 200 กลุ่มทั้งเล็กและใหญ่ให้การสนับสนุนวีแมนส์มาร์ช โดยในกลุ่มเหล่านี้มาจากหลากหลายประเด็นทั้งประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย สิทธิผู้ต้องขัง สิทธิการเลือกตั้ง เสรีภาพสื่อ ประกันสุขภาพในราคาที่คนเข้าถึงได้ ความปลอดภัยจากอาวุธปืน ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศสภาพรวมถึงประเด็นเรียกร้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แม้จะใช้ชื่อ "การเดินขบวนของผู้หญิง" แต่ผู้ชายก็สามารถเข้าร่วมได้
ลินดา ซาร์ซูร์ แกนนำการชุมนุมในครั้งนี้กล่าวว่าจะมีการประท้วงพร้อมกันมากกว่า 300 จุดทั่ว 50 รัฐ รวมถึงจะมีการเดินขบวนสนับสนุนในประเทศอื่นๆ 30 ประเทศด้วย ซาร์ซูร์กล่าวว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลที่เป็นภัยต่อประเด็นต่างๆ ของพวกเขา และหวังว่าการจัดชุมนุมในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในขบวนการรากหญ้าสายก้าวหน้าที่ใหญ่ที่สุด โดยที่ซาร์ซูร์เป็นนักกิจกรรมด้านสิทธิพลเมืองในนิวยอร์กและเป็นชาวอาหรับ-อเมริกัน ที่มีรากมาจากปาเลสไตน์
หนึ่งในผู้ชุมนุมเป็นหญิงที่ทำงานดูแลบ้านที่ชื่อ จูน แบร์เร็ตต์ เธอไม่พอใจเมื่อได้ยินทรัมป์พูดถึงการจับอวัยวะเพศผู้หญิงจากการที่เธอเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากการถูกจับอวัยวะเพศมาก่อน แบร์เร็ตต์เล่าว่าหลังจากที่เธอได้ยินทรัมป์พูดเรื่องนี้เธอก็เริ่มรู้สึกซึมเศร้าเล็กน้อย เธอพยายามอยู่ห่างๆ จากโบสถ์แบ๊บติสต์ที่พยายามชักจูงให้ลงคะแนนให้กับทรัมป์และไมค์ เพนซ์ ผู้สมัครพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สะเทือนศรัทธาทั้งหมดของเธอทำให้เธอตัดสินใจว่าจะร่วมเดินขบวนในครั้งนี้
แบร์เร็ตต์ยังเป็นผู้ที่ย้ายถิ่นฐานจากจาไมกามายังรัฐฟลอริดาในปี 2544 เธอเป็นคนดำ เป็นผู้อพยพ และนิยามตนเองว่าเป็นผู้ไม่ปิดกั้นทางเพศหรือ "เควียร์" ทำให้เธอเชื่อว่ารัฐบาลภายใต้ทรัมป์และเพนซ์จะส่งผลกระทบต่อเธอโดยเฉพาะทางลบ และเธอรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงหลายคนซึ่งส่วนมากเป็นหญิงผิวขาวลงคะแนนให้พรรครีพับลิกัน
"วีแมนส์มาร์ช" เริ่มต้นมาจากความคิดของ เทเรซา ชูค ทนายความเกษียณในฮาวายผู้ที่ไม่พอใจความคิดเห็นของทรัมป์ที่มีต่อผู้หญิงเช่นกัน เธอวางแผนมาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2559 และวางเวลาการประท้วงเอาไว้ราวช่วงสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่ต่อมาข้อความของเธอก็ถูกนำไปบอกต่อผ่านกลุ่มในเฟซบุ๊กและเริ่มแพร่กระจายทั่วข้ามคืน แต่ในแผนการประท้วงช่วงแรกยังคงถูกวิจารณ์ว่าดูเป็นงานชุมนุมของคนขาวอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งที่ชื่อของมันคล้ายกับ "มิลเลียนแมนมาร์ช" และ "มิลเลียนวูแมนมาร์ช" ที่เคยเป็นการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติสีผิวของกลุ่มคนผิวดำเมื่อราว 20 ปีก่อน
นอกจากนี้แล้วยังมีนักรณรงค์เรียกร้องการควบคุมอาวุธปืนและนักสิทธิแรงงานชาวลาติน มีกลุ่มรากหญ้าอื่นๆ แสดงตัวอยากเข้าร่วมแผนการประท้วงในครั้งนี้ด้วย รวมถึงกลุ่มหมวกทอ "พุสซีแฮตส์" ซึ่งเป็นกลุ่มที่คนร้จักกันมาก
ซาร์ซูร์กล่าวว่า "คนบางคนคิดว่าพวกเราเป็นแค่ไม้ประดับ แต่ฉันไม่ใช่แค่ชาวมุสลิมหน้าสวยคนหนึ่ง พวกเราจะนำการประท้วงนี้ไปด้วยกัน"
แลร์รี ซาบาโต ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการเมืองของมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนียกล่าวว่าการประท้วงในครั้งนี้อาจจะเทียบได้กับการประท้วงสงครามเวียดนามหรือการประท้วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองในประวัติศาสตร์ ทางด้าน ธานุ ยาคุพิทิยาจ โฆษกของสหพันธ์ผู้อพยพนิวยอร์กหนึ่งในกลุ่มที่จะร่วมชุมนุมกล่าวว่าการเดินขบวนในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อสิทธิของผู้อพยพอย่างเดียวแต่เป็นการเรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเพศ เรียกร้องการปฏิรูปตำรวจ และการคุ้มครองด้านสวัสดิการสาธารณสุขด้วย
หนึ่งในผู้ที่จะเข้าร่วมเป็นคนพิการที่นั่งรถเข็นชื่อ โคลลีน ฟลานาแกน เธอบอกว่าถึงแม้เธอจะ "เดินขบวน" ไม่ได้ก็ขอ "เลื่อนรถเข็น" เพื่อเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองจากการที่เธอไม่พอใจที่ทรัมป์เย้ยหยันนักข่าวผู้พิการออกสื่อ โดยบอกว่า "การข่มเหงรังแกเช่นนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นการเหมารวมกีดกันเป็นวงกว้างในสังคมได้"
ถึงแม้ว่าการร่วมกันชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมจากหลายภาคส่วนในสังคมครั้งนี้จะมีแนวร่วมจากหลายที่หลายประเด็นมากแต่คนหัวก้าวหน้าส่วนหนึ่งก็ยังบอกไม่อยากเข้าร่วม เช่น กลุ่มผู้หญิงคนขาวบางคนอ้างว่าพวกเขารู้สึกถูกกีดกันจากการพูดเรื่องความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติสีผิว ส่วนผู้หญิงที่เป็นชนกลุ่มน้อยก็อ้างว่าฝ่ายหญิงคนขาวยังไม่ค่อยยอมทำความเข้าใจว่าพวกเธอมีอภิสิทธิ์อะไรเหนือคนอื่นบ้าง
ถึงกระนั้น จอน โอ เบรียน จากกลุ่มคาทอลิกฟอร์ชอยส์ กลุ่มศาสนาที่สนับสนุนให้ผู้หญิงมีทางเลือกทางเพศวิถีหรือการทำแท้งผู้ที่ต้องการร่วมขบวนด้วยบอกว่าการเดินขบวนในครั้งนี้เป็นการแสดง "ความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันอย่างแท้จริง" จากที่มีคนทุกกลุ่มอัตลักษณ์ไม่ว่าจะเป็น "คนขาว คนดำ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ คนรักเพศตรงข้าม ผู้นิยมพรรคเดโมแครต ผู้นิยมพรรครีพับลิกันสายกลาง คนรวย คนจน พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อเมริกา"
เรียบเรียงจาก
Women's March on Washington set to be one of America's biggest protests, The Guardian, 14-01-2017
https://www.theguardian.com/us-news/2017/jan/14/womens-march-on-washington-protest-size-donald-trump
บทบาทของครูในปรัชญาการศึกษาของเซ็นต์ออกัสติน
เมื่อเราได้ยินคำว่า “สมัยกลาง” เรามักจะนึกถึงความมืดมิด เนื่องจากเป็นยุคที่เรียกขานกันว่า “ยุคมืด” ซึ่งหมายถึงยุคสมัยที่ศิลปวิทยาการคืบช้า เพราะอิทธิพลของคริสต์ศาสนาแผ่คลุมทั่วยุโรป แต่อันที่จริงแล้วท่ามกลางความมืดนั้นก็มีแสงสว่าง เหมือนดวงดาวส่องสกาวฟากฟ้าราตรี
หากเอ่ยถึงแนวคิดทางการศึกษาของนักคิดยุคกลาง เราก็อาจคิดไปว่าคงเป็นการบังคับกะเกณฑ์ให้อยู่ในร่องในรอย แต่เมื่ออ่านงานของเซ็นต์ออกัสติน ก็จะพบว่า สิ่งที่เราคะนึงคะเนเอาตามความคุ้นเคยนั้น อาจจะไม่จริงเสมอไป ดังที่เรามักจะเชื่อกันว่าคนสมัยกลางเชื่อว่าโลกแบน แต่หากไปอ่านงาน Summa Theologiae ของเซ็นต์อะควีนาสก็จะพบว่า ไม่เป็นความจริง
เราอาจกล่าวได้ว่าเซ็นต์ออกัสตินเป็นนักปรัชญาสมัยกลางคนแรก ยุคกลางกินเวลายาวนานนับพันปี เริ่มจากศตวรรษสุดท้ายของอาณาจักโรมันไปจนถึงสมัยสงครามศาสนาในยุโรป หรืออาจจะจัดได้คร่าวๆว่า เริ่มจากสมัยออกัสตินเรื่อยไปจนถึงเรอเน เดคาร์ตส์ ส่งอิทธิพลกินช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดของยุโรป แต่การแบ่งยุคสมัยก็ชวนปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะเอาเข้าจริงๆออกัสตินที่เรานับเป็นนักปรัชญาสมัยกลางคนแรกนั้น ก็หาได้เป็นคนสมัยกลาง และไม่ใช่ชาวยุโรป หากแต่เป็นพลเมืองโรมัน เกิดและโตที่แอฟริกาเหนือ และเรียนวาทศิลป์ที่คาร์เธจ ต่อมาหันมานับถือศาสนาคริสต์ และกลายเป็นบิชอปแห่งฮิปโป
หากหันไปพิจารณาอีกด้าน นักปรัชญาที่ไม่ใช่นักปรัชญาสมัยกลางอย่างฟรานซิส เบคอน (1521-1626) โทมัส ฮอบส์ (1588-1679) และเรอเน เดคาร์ตส์ (1596-1650) ก็ล้วนแต่มีชีวิตอยู่ใกล้กับสมัยนักปรัชญาและนักเทววิทยาอย่างเปโดร ดา ฟอนเซกา (1528-99) ฟรานซิสโก ซัวเรส (1548-1617) และจอห์นแห่งเซ็นต์โทมัส (1589-1644) ซึ่งมีเกณฑ์คำสอนและวิธีวิทยาจัดอยู่ในสมัยกลาง แต่กระนั้นเราก็ยังมีเกณฑ์ที่ใช้จำแนกเกณฑ์ คำสอน วิธีวิทยา ว่าแบบใดเป็นวิธีคิดแบบสมัยกลางได้ นั่นคือ ความตึงแย้งระหว่างศรัทธากับเหตุผลนั่นเอง (สนใจเพิ่มเติมโปรดอ่านได้ในคำนำหนังสือ Medieval Philosophy: Essential Reading with Commentary ที่ Gyula Klima เป็นบรรณาธิการ)
ทีนี้ขอให้เรากลับมาที่ประเด็นปรัชญาการศึกษาของเซ็นต์ออกัสติน ในหนังสือ คำสารภาพ (The Confessions) (ซึ่งเป็นหนังสือที่ออสการ์ ไวด์ นักประพันธ์นามอุโฆษชาวไอริชบอกว่า เป็นหนังสือเล่มเดียวของนักคิดศาสนาคริสต์ที่ควรค่าแก่การอ่าน) ออกัสตินได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ครูควรส่งเสริมให้กำลังใจศิษย์ ไม่เน้นการลงโทษ และมีความพยายามอันเปี่ยมด้วยความรักในอันที่จะนำพาศิษย์ไปสู่ครรลองที่เหมาะควร ใน คำสารภาพ เล่ม 1 ออกัสตินกล่าวถึงประสบการณ์การเรียนภาษากรีก และการเพิ่มพูนความรู้ภาษาละติน ซึ่งเป็นภาษาแม่ของเขาในโรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์อันขมขื่นเพราะต้องถูกบังคับเคี่ยวเข็ญ ต่างจากการเรียนรู้เมื่อวัยเยาว์ที่ไม่มีการลงโทษ ผู้คนก็เล่นมุกตลกกันได้ และท่านมักจะได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ อันที่จริงตัวท่านเองก็ดื่มด่ำกับบทกวีของเวอร์จิลเป็นอันมาก ออกัสตินจึงกล่าวว่า “ความอยากรู้อย่างเห็นที่เป็นไปอย่างอิสระย่อมมีพลังในการกระตุ้นการเรียนรู้มากกว่าการบังคับกะเกณฑ์” (Confessions I.xiv.23)
ในหนังสือ De catechizandis rudibus ซึ่งเป็นคำสอนเชิงปฏิบัติด้านศาสนกิจ ออกัสตินเห็นว่าครูมักจะมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่แสดงออกมา และย้ำว่าพระเจ้าทรงรักผู้ให้ที่เปี่ยมด้วยความรัก ครูผู้สอนควรมีหน้าที่พูดให้กำลังใจศิษย์ ทั้งนี้เพราะคำสอนสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจผู้เรียนได้ ออกัสตินเห็นว่าครูไม่ควรเปิดโปงความไม่ซื่อสัตย์หรือข้อบกพร่องของศิษย์ แต่ควรทำความเข้าใจสภาวะของผู้เรียนว่าเป็นอย่างไร แล้วสอนไปจนถึงระดับที่ลึกซึ้งกินใจ เพื่อนำไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง ดังคำกล่าวของออกัสตินที่ว่า “ได้ยินอาจนำพาให้เชื่อ การเชื่ออาจนำพาความหวัง และความหวังอาจนำพามาซึ่งความรัก” (hearing may believing, believing may hope, and hoping may love) (IV.8)
ยิ่งกว่านั้น ครูไม่ควรพูดราวกับศิษย์ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ต้องสำนึกว่าศิษย์รู้เรื่องนั้นแล้ว ครูเพียงแต่เป็นผู้ทำให้ศิษย์จำหรือรำลึกสิ่งที่ตนเคยรู้ได้ ชวนให้นึกถึงแนวคิดเรื่องการรำลึกได้ (recollection) ของเพลโต นอกจากนี้ ออกัสตินเห็นว่าครูต้องนำพาศิษย์ไปสู่เส้นทางแห่งความรัก การเชื่อความสัตย์จริงและคบหากัลยาณมิตรผู้มีปัญญา ออกัสตินเห็นว่าครูต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับศิษย์ จึงจะสามารถทำให้ของที่ว่าดูเก่ากลายเป็นสิ่งใหม่ได้ ผู้เรียนจะต้องสามารถแสดงออกได้โดยปราศจากความกลัว และผู้สอนเองก็ต้องอดทน (สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากข้อเขียนของ P.J. Fitzpatrick ใน Fifty Major Thinkers on Education : From Confucius to Dewey)
มองมาที่บ้านเราในปัจจุบัน ครูบาอาจารย์จำนวนไม่น้อยไม่กระมิดกระเมี้ยนที่จะปรามาสว่าเด็กโง่ และคอยแต่จะยัดเยียดความคิดของตนลงไปสมองผู้เรียน
จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นยุคกลางยิ่งกว่ายุคกลางเสียอีก
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook Kongkrit Traiyawong
กลุ่มนักกฎหมายสิทธิแถลง ขอคืนสิทธิประกันตัว 'ไผ่ ดาวดิน'
16 ม.ค. 2560 กลุ่มนักกฎหมาย ทนายความ และนักสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ เรียกร้องคืนสิทธิปล่อยตัวระหว่างดำเนินคดีแก่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาโดยทันที เนื่องจากการควบคุมตัวไว้ไม่ชอบด้วยเหตุผลตามหลักการทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ชี้หัวใจของกฎหมายอาญายึดอยู่บนหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะกรณีดังกล่าวกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ และก่อผลกระทบด้านการศึกษาและการประกอบวิชาชีพ แก่ผู้ถูกควบคุมตัวอย่างร้ายแรงและส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อกระบวนยุติธรรมของสังคมโดยรวม โดยการเยียวยาภายหลังจากการพิจารณาคดีของศาลไม่อาจจะคุ้มครองสิทธิของประชาชนได้อย่างแท้จริง หากพิสูจน์ได้ว่าจตุภัทร์ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
เผยแพร่ 16 มกราคม 2560
แถลงการณ์
คืนสิทธิปล่อยตัวระหว่างดำเนินคดีแก่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาโดยทันที
เนื่องจากการควบคุมตัวไว้ไม่ชอบด้วยเหตุผลตามหลักการทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชน
สืบเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2559 ศาลจังหวัดขอนแก่นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนสัญญาประกันตัว นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากการแชร์ข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเฟซบุ๊กของสำนักข่าวบีบีซีไทย ในเฟซบุ๊กของตนเอง โดยศาลให้เหตุผลในการเพิกถอนการประกันตัวว่า ยังไม่ยอมลบข้อความที่ถูกกล่าวหา และมีการโพสรูปภาพแสดงท่าทางในเชิงสัญลักษณ์ที่ศาลเห็นว่าเป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐ ซึ่งนับตั้งแต่ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัว ทนายความได้ยื่นอุทธรณ์ และฎีกาตามลำดับ แต่ศาลสูงได้ยืนตามคำสั่งของศาลจังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ ทนายความยังได้มีการยื่นขอประกันตัวใหม่ไปแล้วถึง 5 ครั้ง แต่ศาลก็ยังไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจตุภัทร์ โดยอ้างว่า ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขัง ครั้งที่ 4 โดยอ้างว่า การสอบสวนพยานบุคคลยังไม่เสร็จสิ้น และศาลขอนแก่นได้อนุมัติฝากขัง เป็นผลให้จตุภัทร์ต้องถูกคุมขังต่อไปอีกจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2560 ซึ่งจะทำให้เขาไม่ได้ออกมาสอบวิชาสุดท้าย ที่จะมีการสอบในวันที่ 17 มกราคม 2560 ที่กำลังจะถึงนี้
องค์กรและผู้มีรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ มีความเห็นต่อการเพิกถอนการประกันตัว และการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจตุภัทร์ ดังนี้
1. การเพิกถอนสัญญาประกันตัวและการยกคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวของจตุภัทร์ ขัดต่อหลักสิทธิที่จะได้รับการดำเนินคดีที่เป็นธรรม โดยเฉพาะหลักการที่ได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวระหว่างดำเนินคดี และสิทธิที่จะสามารถต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่ได้รับรองไว้ โดยประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีย่อมมีพันธกรณีที่ต้องเคารพและปฏิบัติตาม[1] และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และฉบับที่เพิ่งผ่านประชามติไป ก็ได้บัญญัติรับรองสิทธิดังกล่าวไว้ด้วยเช่นกัน[2]
2. การควบคุมตัวไว้ระหว่างดำเนินคดี เป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ การคุมขังบุคคลระหว่างสอบสวนหรือระหว่างการพิจารณาจึงเป็นวิธีสุดท้าย ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดไว้ชัดแจ้งว่า จะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ไม่มีวิธีการอื่นที่เหมาะสมกว่ามาใช้แล้ว และต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยเหตุผล โดยต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน พฤติกรรมหลบหนี หรือการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปจะก่อเหตุร้ายอีกหรือไม่เท่านั้น[3] ซึ่งการแสดงความเห็นทางสังคมการเมืองหรือพฤติกรรมเย้ยหยันอำนาจรัฐ ไม่ใช่เหตุตามกฎหมายซึ่งจะใช้ในการควบคุมตัวได้ ด้วยเหตุนี้ ในการพิจารณาว่าจะควบคุมตัวไว้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเคร่งครัดถึงเหตุจำเป็นในการควบคุมตัวดังกล่าว
3. บทบาทตุลาการจำเป็นต้องดำรงความเป็นอิสระและเป็นกลาง ไม่ว่าประเทศจะดำรงอยู่ในระบอบการปกครองใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในภาวะที่บ้านเมืองไม่ได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย การใช้ดุลพินิจบนฐานข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายย่อมทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ายังมีองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุลเจ้าหน้าที่รัฐ
ดังนั้น องค์กรและผู้มีรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์นี้ จึงขอให้ศาลทบทวนการใช้ดุลพินิจในการปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา อีกครั้งหนึ่ง โดยพิจารณาบนฐานข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายถึงความจำเป็นในการควบคุมตัวนายจตุภัทร์ไว้ในระหว่างการดำเนินคดีอย่างรอบคอบ เพราะหัวใจของกฎหมายอาญายึดอยู่บนหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะกรณีดังกล่าวกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ และก่อผลกระทบด้านการศึกษาและการประกอบวิชาชีพ แก่ผู้ถูกควบคุมตัวอย่างร้ายแรงและส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อกระบวนยุติธรรมของสังคมโดยรวม โดยการเยียวยาภายหลังจากการพิจารณาคดีของศาลไม่อาจจะคุ้มครองสิทธิของประชาชนได้อย่างแท้จริง หากพิสูจน์ได้ว่าจตุภัทร์ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
ด้วยความเคารพในสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
โครงการอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชน มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
สมชาย หอมลออ ทนายความ
ไพโรจน์ พลเพชร นักกฎหมาย
ผศ.สุรัสวดี หุ่นพยนต์
สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความ
สุรชัย ตรงงาม ทนายความ
ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ
เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักสิทธิมนุษยชน
วัฒนา นาคประดิฐษ์
จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์ นักกฎหมาย
คอรีเยาะ มานุแช ทนายความ
ณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายความ
ผรัณดา ปานแก้ว ทนายความ
อนุชา วินทะไชย นักสิทธิมนุษยชน
ปรีดา ทองชุมนุม ทนายความ
วรวุธ ตามี่ นักพัฒนา
จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ
จิรารัตน์ มูลศิริ ทนายความ
อัมรินทร์ สายจันทร์ นักกฎหมาย
สัญญา เอียดจงดี ทนายความ
สนธยา โคตรปัญญา นักกฎหมาย
พนม บุตะเขียว ทนายความ
วีรวัฒน์ อบโอ ทนายความ
กฤษดา ขุนณรงค์ ทนายความ
พิชญุตา ธนพิทชัย นักกฎหมาย
อิศสิยาภรณ์ อินทพันธุ์ นักกฎหมาย
ธัญญารัตน์ เพ็งลาภ นักกฎหมาย
ทิตศาสตร์ สุดแสน นักกฎหมาย
เฉลิมศรี ประเสริฐศรี นักกฎหมาย
มนทนา ดวงประภา ทนายความ
อำพร สังข์ทอง ทนายความ
พิฆเนศ ประวัง นักกฎหมาย
ธีรพล คุ้มทรัพย์ ทนายความ
นรเศรษฐ์ นาหนองตูม นักกฎหมาย
ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร
ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ นักสิทธิมนุษยชน
วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความ
คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความ
สุภาภรณ์ มาลัยลอย นักสิทธิมนุษยชน
พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ
ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ
เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ทนายความ
นภาพร สงปรางค์ ทนายความ
กรกนก วัฒนภูมิ นักกฎหมาย
ชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ นักกฎหมาย
บัณฑิต หอมเกษ นักกฎหมาย
สุนิดา ปิยกุลพานิชย์ นักกฎหมาย
อานนท์ นำภา ทนายความ
ศราวุฒิ ประทุมราช นักกฎหมาย
[1]กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 9 (3)
[2]ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับผ่านประชามติ มาตรา 29
โปรดเกล้าฯ แล้ว รัฐธรรมนูญ 57 แก้ไขเพิ่มเติม ปมพระราชอำนาจ
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ
16 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้วิธีพิจารณา 3 วาระรวด ก่อนมีมติเห็นชอบในวาระ 3 ให้มีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ..) พ.ศ.... ที่คณะรัฐมนตรีและ คสช.เป็นผู้เสนอ ด้วยเสียง 228 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง (อ่านราละเอียดเพิ่มเติม) sลังจาก 10 ม.ค. 60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ชี้แจงให้ทราบว่า องคมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับผ่านการลงประชามติ ในหมวดพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ
รู้จัก ‘ปรวย’ ผู้ลี้ภัย-ผู้กำกับหนังลุงนวมทอง /Democracy After Death
Democracy After Death ภาพยนตร์ที่แทบไม่มีการกล่าวถึง
ต้นเดือนตุลาคม 2559 มีข่าวเล็กๆ ว่า ในงานรำลึก 40 ปี 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งบังเอิญว่าเป็นการครบรอบ 10 ปี รัฐประหาร คมช. 2549 ด้วยนั้น มีการนำภาพยนตร์เรื่อง “Democracy After Death : A Tragedy of Uncle Nuamthong Praiwan” มาฉายในงานด้วยโดยไม่ได้มีการโปรโมทนัก หลังการฉายในครั้งนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีการฉายหรือเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ในที่ไหนอีก มีเพียงกระแสข่าวว่าคณะกรรมการผู้จัดงานถูกเตือนจากเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงว่าเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายอาญา ม.112
ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกฉายอีกครั้งที่งาน Screening of THAI Political Film จัดโดย กลุ่ม ASEAN’s friend ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 ที่มหาวิทยาลัย Songkunghoe University ประเทศเกาหลีใต้ และไม่นานมานี้ก็มีการเผยแพร่หนังเรื่องนี้สู่สาธารณะในเวอร์ชั่น “เซ็นเซอร์” ปรากฏบนยูทูบ ซึ่งตัดบางฉากออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้รวมหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ไม่ว่า อะนิเมชัน การแสดง กระทั่งฟุตเทจข่าวจริงๆ จำนวนมาก โดยรวมแล้วอาจเรียกได้ว่ามันเป็นภาพยนตร์สารคดีการเมืองที่มีสีสันและสมบูรณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย เพราะนอกจากมีเนื้อหารำลึกถึงการต่อสู้และการตายของ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ คนขับแท็กซี่สูงวัยที่ขับรถพุ่งชนรถถังเพื่อประท้วงการรัฐประหารปี 2549 และท้ายที่สุดผูกคอตายเพื่อยืนยันว่าผู้ยอมสละชีพเพื่อต่อต้านรัฐประหารมีจริงแล้ว มันยังได้ย้อนทวนไปถึงจุดเริ่มต้นความขัดแย้งในเหตุการณ์ปี 2549 ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์การเมืองที่ยาวนานต่อเนื่องมาถึงสิบปีโดยที่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะยุติ
ภาพความรุนแรง ความโหดร้าย ความเกรี้ยวกราด และความสิ้นหวังซึมเซา ถูกฉายยาวนานชั่วโมงครึ่ง ในตอนท้ายก็เหมือนภาพยนตร์ทั่วไปที่ต้องระบุเครดิตฝ่ายต่างๆ คำว่า “Anonymous” ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงชื่อของผู้กำกับเท่านั้นที่โดดเด่น “เนติ วิเชียรแสน” เขาคือผู้กำกับหนังโฆษณาที่ต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยเพราะการโพสต์ความเห็นในเว็บบอร์ดการเมืองแห่งหนึ่ง โดย DSI ได้จับกุมเขาและแจ้งว่าภาพและข้อความของเขานั้นเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ชื่อจริงผู้คนอาจไม่รู้จัก แต่หากเรียกเขาใหม่ในนามแฝงว่า “ปรวย” หรือ Pruay Saltihead ผู้เป็นคอการเมืองที่ชอบท่องโลกอินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2549 เป็นต้นมาน่าจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี
ใครคือปรวย
ตอนที่โพสต์ความเห็นบนเว็บบอร์ด ผมคิดว่าผมไม่ผิดนะ เราไม่ได้ด่าอะไรใครที่มันเกินเลย ไม่ได้โจมตีตัวบุคคล ไม่เคยคิดว่าประเทศนี้มันเป็นถึงขนาดนี้
จุดเริ่มต้นที่สนใจการเมือง คงเพราะพ่อเป็นทนายความ เคยเป็นผู้สมัครพรรคพลังใหม่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่บ้านมีหนังสือเยอะมากและไม่มีทีวีเลยพลอยได้อ่านหนังสือเยอะไปด้วย เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นจุดเริ่มต้นความสงสัยเมื่อเห็นพ่อเอาหนังสือการเมืองไปเผาในเตา หนังสือกรณีสวรรคตของร.8 ก็อ่านตั้งแต่ในยุคนั้น
ผมมีแอคเคาท์ชื่อ “ชอบหนัง” อยู่ในพันทิป ผมคอมเมนต์เรื่องหนังแล้วก็แต่งนวนิยายด้วย พอมีเหตุการณ์ปี 49 ผมไปโพสต์เรื่องการเมืองของเนปาลในห้องราชดำเนินเลยโดนยึดแอคเคาท์ บทความ ข้อเขียนเก่าหายหมด เลยต้องย้ายมาเล่นที่เว็บบอร์ดประชาไทกับเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
ชื่อปรวยก็มาจากการรับรู้ทางการเมืองในช่วงที่มีการขับไล่ทักษิณ ช่วงนั้นผมเข้าใจว่าประธานองคมนตรีมีส่วนสนับสนุนการไล่ทักษิณ ก็เลยตั้งชื่อที่เป็นคำผวนล้อเลียนชื่อ พล.อ.เปรม แต่หลังรัฐประหารปี 49 ไม่นาน ผมก็รู้ว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น
http://www.netishowreel.com/showreel/home.html
การจับกุม
ผมโดนจับวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ขณะที่กำลังขับรถออกจากหมู่บ้าน มีรถจอดนิ่งดูเหมือนว่าเสียอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ผมลงรถไปดู คนขับเป็นผู้หญิง จากนั้นก็มีรถและเจ้าหน้าที่ DSI เข้ามาล้อมและถามผมว่าใช่ปรวยหรือไม่ ผมยอมรับและเขาก็จับผมโดยแจ้งว่าโดนคดี 112
จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามีความผิดในข้อความไหน ตอนนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊ก ผมเล่นอยู่ตามเว็บบอร์ดประชาไท ฟ้าเดียวกัน ตอนจับไปเขาก็มีแฟ้มหลักฐานหนาเป็นตั้ง ตอนที่โดนจับเขาเอาหลักฐานบางส่วนให้ดู เป็นภาพถ่ายคณะรัฐประหาร คมช.เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในคืนรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 พร้อมกับคำพูดประชดประชัน
จริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาหลักฐานจากไหนบ้างมาเอาผิด เพราะมีหลักฐานเป็นตั้ง บางชิ้นระบุว่าตั้งแต่ปี 2551 ที่เขาเอามาให้ดู ผมก็จำไม่ได้ว่าได้โพสต์หรือไม่เพราะว่ามันนานมากแล้ว
เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ส่วนใหญ่ที่โพสต์ไม่ได้ระบุพระนามพระองค์ใด แต่จะใช้คำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการวิพากษ์เชิงสถาบันไม่ใช่ตัวบุคคลในเรื่องบทบาททางการเมือง
เขาจับผมได้จากการติดตาม IP Address เพราะว่าผมไม่ได้ปิดบังอะไร ชื่อเจ้าบ้าน ชื่อเจ้าของรถและชื่อผู้ใช้โทรศัพท์ก็เป็นชื่อของผม
สังเกตได้เลยว่าเราโดนจับเพราะเรื่องผังล้มเจ้า พอจับเราแล้วเขาก็เอารายชื่อคนอื่นๆ มาให้ดูพร้อมกับซักถามว่ารู้จักใครบ้าง ไปชุมนุมกับใคร ที่บ้านมีเสื้อแดงไหม เราก็ตอบไปว่าผมไม่รู้จักใคร ไปชุมนุมคนเดียว เสื้อแดงก็ไม่ชอบใส่ ก็มันไม่รู้จักจริงๆ ไม่รู้จะว่ายังไง
เขาเอาผมไปสอบสวนอยู่ 5 ชม. แล้วปล่อยมา ตอนแรกผมบอกว่าจะเรียกทนายแต่หัวหน้าชุดจับกุมบอกว่าจะเอาแบบ formal ใช่ไหม ก็เลยตกลงว่าคุยกันก่อนยังไม่ต้องตามทนาย ไปคุยกันก่อน
เจ้าหน้าที่พากลับไปบ้าน ยึดฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ แล้วก็หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คการเมือง ดูเหมือนว่าเราได้อภิสิทธิ์นิดๆ เมื่อเขาดูฐานะเรา มีงานการทำ หมู่บ้านที่เราอยู่ ดูเป็นคนชั้นกลาง บางทีก็สงสารคนที่โดนจับ คนเสื้อแดงคนจนๆ อย่างอากงจับแล้วแม่งขังเลย
เขาคงงงๆ เหมือนกันว่าส่วนใหญ่คนที่โดนจับไปมักจะปฏิเสธว่าไม่ได้โพสต์ แต่ผมตอบไปว่ากูนี่แหละที่โพสต์ สาเหตุที่ยอมรับก็เพราะคิดว่าโดนจับแน่ๆ ถ้าปฏิเสธแล้วกลัวว่ามันจะสับสน แล้วก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พูดสิ่งที่เราคิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐตรงๆ เขาถามว่าคุณคิดยังไงกับสถาบัน ผมก็พูดไปตรงๆ
วันที่โดนจับ เขาจับเอาแม่กับน้องสาวของผมไปสอบสวนด้วย นั่งในห้องประชุมเดียวกันแต่สอบคนละมุม แม่ผมเป็นเสื้อเหลือง เป็นอดีตครูโรงเรียนเอกชน ผมแอบได้ยินเขาถามแม่ของผมว่าทำไมไม่เตือนลูก แม่ของผมตอบไปว่าคนมันโตกันแล้ว ความคิดเห็นมันจะไปตรงกันหมดได้ยังไง ผมฟังแล้วคิดว่าถ้าเสื้อเหลืองเป็นอย่างนี้ทุกคน บ้านเรามันคงน่าอยู่
เหตุผลที่หนี
คืนนั้นเขาปล่อยมา บอกว่ากำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งฟ้อง แต่เจ้าหน้าที่ก็โทรมาเช็คตลอดว่ายังเล่นเน็ตอยู่รึเปล่า ก็ปฏิเสธไปและทุกวันจันทร์เขาก็จะเรียกไปรับของคืนทีละอย่าง เข้าใจว่าเป็นการเรียกไปเช็คว่าเรายังอยู่หรือไม่ อาทิตย์ที่สาม(สุดท้าย) เขาเรียกเราไปรับฮาร์ดดิสก์ เขาบอกว่าดูดข้อมูลออกแล้ว เราเลยคิดว่ามันอันตรายที่เขาทำโดยที่ไม่มีเราอยู่ด้วย ผมจึงตัดสินใจเดินทาง
ผมไม่สามารถยอมรับหรือยอมที่จะอยู่ในสภาพการจับกุมคุมขังได้
ตอนนั้นเป็นช่วงสลายการชุมนุม เสื้อแดงที่ถูกไล่ล่า หนีออกไปหลบที่ประเทศเพื่อนบ้านกันเยอะ มีข่าวว่าบางคนถูกยิงตาย ประกอบกับเราไม่รู้จักใครเลย เราเลยตัดสินใจเดินทางออก ขึ้นรถไฟที่สามเสนลุ้นตอนผ่าน ตม. ทีเดียว
พอรถไฟมันเคลื่อนออกจากชายแดนไทย เรารู้ตัวว่าเรารอดแล้ว มันมีความรู้สึกระคนกัน ผูกพันเป็นห่วงแม่ เป็นห่วงน้อง ห่วงบ้าน แต่เมื่อหลุดออกมาได้ แม่งก็เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก....
ผมเป็นคนทำหนัง ก่อนจะออกวันหนึ่งผมเอากล้อง SLR ของผมไปเทิร์นกล้องรุ่นใหม่กว่าที่สามารถถ่ายวิดีโอได้มา มันเป็นเหมือนอาวุธของผม ฟุตเทจจำนวนหนึ่งที่ผมใช้ในหนังลุงนวมทองนี้ก็มาจากการถ่ายภาพ-วิดีโอเก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนผมหนีออกมาพร้อมกับกล้องตัวนั้น
ก่อนที่จะต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ผมมีรายได้จากการกำกับหนังโฆษณา 1-2 ล้าน รายได้ไม่แน่นอนนัก คิดซะว่าไม่ได้มีหนังทำทุกเดือน ทำเรื่องละ 150,000 ก็คงประมาณนั้น ตอนออกนอกประเทศผมมีเงินติดตัวออกไปประมาณ 4-5 แสนบาท ใช้อยู่ได้แค่ 2 ปีก็หมด
ตอนจะออกจากบ้าน บอกแม่ว่าอีก 5 ปีก็ได้กลับแล้ว ตอนนั้นคิดว่ามันมีเลือกตั้งทุกอย่างมันคงเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แต่ถึงตอนนี้ 6-7 ปีแล้วก็ยังไม่เห็นอนาคต
ผมไม่รู้จักใครเลย ตอนโดนจับ โดนสอบ เจ้าหน้าที่บอกว่าอย่าไปโพสต์ในเว็บบอร์ด ให้ไปพูดคุยกับเพื่อนแทน แต่ผมไม่มีใครเลย เพื่อนแม่งเป็นเสื้อเหลืองกันหมด
ไม่มีใครรู้จักผม จนเริ่มมีข่าวและผมออกนอกประเทศได้ผมถึงเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อค้นหาข้อมูลเรื่องการลี้ภัย และโพสต์ในเฟซบุ๊กอีกครั้ง คนถึงเริ่มติดต่อหลังไมค์เข้ามา หมายเรียกจาก DSI ถึงได้ตามมาที่บ้านผมโดยระบุว่าเป็นข้อหา 112
การขอสถานะผู้ลี้ภัย
ผมไปเนปาลต่อเพราะค้นในกูเกิ้ลว่าที่เนปาลให้วีซ่ากับนักท่องเที่ยวปีละ 5 เดือน แล้วก็มีสำนักงาน UNHCR ด้วย ก่อนหน้านี้ผมเคยไปเที่ยวมาแล้วเป็นเดือน ผมก็เลยตัดสินใจไปที่นั่น หาที่พักในเนปาลได้แล้วถึงค่อยหาทางติดต่อแม่ บอกให้แกสบายใจว่าผมยังปลอดภัยดี
ไปแล้วก็ยังต้องทำความเข้าใจกับทาง UNHCR ก็ต้องอธิบายว่าปัญหา 112 คืออะไร พวกเขาไม่เข้าใจ เคยเจอแต่ผู้ลี้ภัยจากประเทศที่มีสงคราม ประกอบกับพวกเขามีทัศนคติไม่ดีกับผู้ลี้ภัย เพราะคนส่วนหนึ่งก็ลี้ภัยทางเศรษฐกิจ มันมาคลี่คลายตอนที่ DSI ออกหมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหากับผม ผมได้สำเนามาแล้วก็เลยแปลให้เขาฟัง เขาถึงเข้าใจ
ตอนที่ไปติดต่อ UNHCR เจ้าหน้าที่องค์กรได้ให้ผู้ติดต่อขอลี้ภัยที่อยู่มานานพาผมไปหาเช่าที่พัก พอไปเห็นเข้าก็รู้ตัวเลยว่าอยู่ไม่ได้ หลังจากนั้นเขาพาผมไปดูโรงพยาบาล เห็นสภาพโรงพยาบาลแล้วได้แต่นึกในใจว่า ตายแน่! กูจะต้องไม่ป่วยที่นี่เด็ดขาด
ความจริงเขาสัมภาษณ์ผมเสร็จตั้งแต่ 4 เดือนแรกแล้ว ในระยะต่อมาก็คือช่วงของการรออนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยเพื่อติดต่อหาประเทศที่ 3 รอจนวีซ่าหมดก็ยังไม่ได้ ตอนนั้นปี 2011 ต้องออกนอกประเทศเพื่อรอที่จะเข้ามาอยู่ใหม่ในปี 2012 ผมก็เลยตัดสินใจไม่รอต่อ ถามพวกซูดาน โซมาเลีย อัฟกานิสถานที่มาขอลี้ภัยบางคนก็อยู่มา 3 ปี 4 ปี 7 ปี แล้ว มันก็เหมือนกับอยู่ในคุกใหญ่ๆ
ข้อจำกัดของผู้ขอลี้ภัยนอกประเทศที่ต้องการลี้ภัยก็คือมันสามารถ pending ไปเรื่อยๆ อยู่รอไป 6 เดือน ก็เลยขอ UNHCR ย้ายไปอีกที่หนึ่งใกล้ไทย
ตอนที่มาอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เคยมีคนเสนอให้กลับเข้าไทยแต่ต้องอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว แต่ผมไม่เอาเพราะไม่มีหลักประกันอะไรเลย บ้านช่องชีวิตก็ชิบหายไปแล้ว แล้วก็คิดว่าตัวเองคิดถูกเพราะว่าหลังรัฐประหาร ไอ้เคสที่อยู่เงียบๆ โดนเรียกตัวไปหมดเลย
ตอนนั้นก็พยายามติดต่อขอลี้ภัยจากสถานทูตแห่งหนึ่งเอาไว้อีกที เขารับว่าจะส่งเรื่องไปที่รัฐบาลและรับว่าจะนัดสัมภาษณ์ ทาง UNHCR ก็บอกว่าจะให้สถานะเพราะกระบวนการสัมภาษณ์ทั้งหมดแล้วเสร็จมาจากที่เนปาลแล้ว แต่ก็ไม่เห็นให้เสียที มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เขาอาจเห็นว่าเรายังเดินทางไปมา ดูน่าจะยังไม่ลำบาก ไม่ดูเหมือนว่าเป็น “เหยื่อ” ก็เลยยังไม่ให้
ปัญหาของผู้ขอลี้ภัยก็คือวีซ่าหมดอายุ แต่ก็มีคนแย้งว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้วก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าตัวผู้ขอลี้ภัยหมดทางที่จะดิ้นรนไปต่อได้จริง มาอยู่มาเลเซียก็ต้องข้ามแดนไปต่อวีซ่าที่สิงคโปร์ การต่อวีซ่าครั้งที่ 2 ก็มีปัญหาถูก ตม. ของมาเลเซียเรียกสอบเนื่องจากสงสัยว่ามาทำอะไร เข้ามาขายแรงงานรึเปล่า ทำไมไม่ได้กลับไทยเลย ชี้แจงไปว่าเป็นคนทำหนังสารคดี เอาเว็บที่ใช้รวบรวมผลงานให้ดูก็เลยผ่านมาได้ แต่พอออกมาได้ก็ตัดสินใจไม่กลับไปอีกแล้ว
ตอนออกนอกประเทศผมมีเงินติดตัวออกไปประมาณ 4-5 แสนบาท ใช้อยู่ได้แค่ 2 ปีก็หมด ยังดีที่มีทักษะ ความรู้ และมีเพื่อน ก็เลยยังพอหางานทำได้
ตอนนี้มาอยู่ที่นี่ก็เรียกได้ว่าเริ่มต้นค่อนข้างดี ขอวีซ่าหรือกระบวนการอื่นๆ ค่อนข้างง่าย ก็เลยได้เริ่มต้นทำงาน ดีไปอย่างที่ยังมีพาสปอร์ตทำให้เดินทางได้ งานที่ทำก็มีตั้งแต่ออกแบบโลโก้ ปกหนังสือ สารพัด (หัวเราะ) ก็พอมีรายได้ เพื่อนๆ จากหลายประเทศก็ช่วยๆ กันหางานมาให้ เรามีอุปกรณ์ พอที่มาเลย์หรือสิงคโปร์มีงานเราก็บินไปถ่าย ออกแบบงานรีโนเวทอพาร์ทเมนต์ก็ทำ ทำสไลด์โชว์ก็ทำ ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ (หัวเราะ)
อนาคต
ผมไม่ได้คิดจะปักหลักที่นี่ ก็ยังมีหวังว่าจะได้ลี้ภัย สถานทูตที่เราเคยติดต่อไว้แล้วตั้งแต่ ปี 2011 เดือนมิถุนา
มีการตอบรับมา ผ่านมาถึงกันยายน 2013 เขาก็ติดต่อมาให้ไปสัมภาษณ์ที่ประเทศหนึ่งที่ผมไปได้ สัมภาษณ์เสร็จกลับมารอฟังผล ผ่านมาประมาณ 6 เดือน ปี 2014 เขาแจ้งมาว่าไม่รับเคสเราโดยให้เหตุผลว่า 1.ไม่มีคนรู้จักอยู่ที่ที่จะไป และ 2.ชีวิตไม่ได้วิกฤติอะไรยังเดินทางไปโน่นไปนี่ได้ เราก็อุทธรณ์ไป เผอิญว่าเป็นช่วงหลังรัฐประหาร 2557 ก็เลยอธิบายว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายลง และสาเหตุที่ขอลี้ภัยที่นั่นโดยที่ไม่มีคนรู้จักก็เพราะว่าที่นั่นเปิดให้ขอลี้ภัยจากนอกประเทศได้
ส่วนเรื่องที่บอกว่าเรายังไม่เดือดร้อนอะไร ผมอุทธรณ์กลับไปว่า การมีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างเงียบๆ ซ่อนตัว ไม่สามารถเปิดเผยที่อยู่เป็นชีวิตปกติมันไม่เดือดร้อนยังไง ถึงแม้ผมจะเป็นผู้ลี้ภัยจากประเทศโลกที่สาม แต่ผมก็ยังอยากที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนที่อยู่ในโลกที่ศิวิไลซ์แล้ว เปิดเผยตัวเอง แสดงความคิดเห็นได้ เหมือนคนปกติ สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธเราเหมือนเดิม
จะว่าไปแล้วตอนอุทธรณ์เราก็กวนตีนเขาด้วย เราสู้เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรมีเท่ากัน แล้วก็ไม่ได้ทำตัวให้พวกเขาสงสาร
เอาจริงๆ ตอนออกมานอกประเทศ เจอเพื่อนเอ็นจีโอเขาบอกว่าถ้าเป็นสื่อ เป็นแอคติวิสต์จะได้รับการคุ้มครอง ผมก็เลยคิดว่า ทำไมเป็นประชาชนธรรมดาถึงไม่ได้รับการปกป้องให้เท่าเทียมกัน
กระบวนการลี้ภัยมากระจ่างเอาในปี 57 ว่าการขอลี้ภัยจากภายนอกประเทศนี่มันคงจะไม่ได้แล้ว มันยากมาก ประจวบกับสถานการณ์ในบ้านเรามันรุนแรงขึ้นด้วย คงไม่ได้กลับบ้านง่ายๆ
ความลำบาก
บ้านที่ผมอยู่กับแม่และน้อง ผมซื้อเงินผ่อน ผมผ่อนไปแล้วประมาณสองล้าน ออกไปตอนแรกผมก็ยังพยายามที่จะผ่อนอยู่ แต่ที่สุดแล้วก็ผ่อนไม่ไหว ตัดสินใจขายเพื่ออย่างน้อยก็ให้ได้เงินที่ใช้ผ่อนไปคืนมาไว้ใช้สอย แต่ปรากฏว่าเป็นช่วงน้ำท่วมปลายปี 2554 ขายไม่ได้ สุดท้ายโดนธนาคารยึดไม่ได้เงินคืนมาเลยซักบาท
อีกช่วงที่แย่มากๆ ก็คือช่วงที่ไม่มีพาสปอร์ต จะอยู่ได้มันต้องมีงานทำ ต้องเดินทางได้ เดินทางไม่ได้มันก็มีงานน้อยลง ผมทำอาชีพนี้มา 20 ปี สนุกกับการทำงานกองถ่าย ได้ทำหนัง
ผมเริ่มหมดความหวังที่จะได้กลับบ้านตามที่เคยคาดการณ์ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงสังคมหรือแก้กฎหมายในปัจจุบันมันหมดยุคที่จะเกิดการปฏิวัติของประชาชนแล้ว ผู้แทนราษฎรจึงเป็นความหวังของเรา แต่ก็ไม่มี ส.ส. สักคนที่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ผมถึงได้คิดว่าที่ผ่านมาเรามองโลกในแง่ดีเกินไป
มันไม่มีอนาคต....
เรื่องของหนังนวมทอง
อย่างแรกต้องชี้แจงก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่า สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์ทำหนังนวมทองที่ล้มไป สารคดีชิ้นนี้ไม่ได้ใช้ต้นทุนมากมายนัก มีทีมงานแค่ 3-4 คน ถ่ายทำใน 2 ประเทศ ใช้ฟุตเทจเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็ใช้วิธีการขออนุญาตหรือบางชิ้นก็ต้องจ่ายเงินซื้อเอาถ้าไม่แพงมากนัก
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เป็นหมุดหมายสำคัญไม่ครบถ้วน ยอมรับว่ามันเป็นข้อจำกัด ระยะเวลา 10 ปีเราเอามาย่นย่อเหลือชั่วโมงกว่าๆ มันเป็นการยาก ผมคิดว่าให้หนังทำหน้าที่ปลุกความสนใจของคนดูเพื่อไปสืบค้นต่อก็น่าจะพอแล้ว
เมื่อไม่มีใครกล้าฉายหนัง
จริงๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เบื้องต้นผมถือว่าผมทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็มีนักศึกษาติดต่อเข้ามา เหมือนกันบอกว่าอยากจะนำไปฉายเป็นการภายในในสถาบันการศึกษา มันก็คงจะเป็นไปในลักษณะนี้ แอบฉายดูกันในกลุ่มเล็กๆ
หนังอะไร เปิดเผยเฉพาะชื่อผู้กำกับ
ในส่วนผมที่เป็นผู้กำกับ มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มีหมายจาก DSI มา ข่าวก็แพร่ไป แต่ก็หนีออกมาได้ ก็เลยคิดว่าเปิดเผยได้ไม่เป็นไร
ในส่วนของทีมงานคนอื่นๆ พวกเขาอยู่ในวงการด้านนี้ ถ้าเปิดเผยชื่อก็อาจมีปัญหากับการประกอบชื่อของพวกเขาในอนาคต ก็เลยต้องให้เป็น anonymous ไว้
Thais in Exile สารคดีเรื่องต่อไป
เริ่มแรก ผมอยากทำสารคดีเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยการเมืองและจากคดี 112 ทั่วโลกเพื่อบันทึกเรื่องราวอย่างนี้เก็บไว้ นำเสนอมุมมองข้อเท็จจริงกับคนดู ส่วนจะต่อสู้รูปแบบไหนจะสาธารณรัฐหรือประชาธิปไตยแบบญี่ปุ่นก็แล้วแต่พวกเขา แต่พอรัฐประหารครั้งล่าสุดในเมืองไทย มีคนลี้ภัยออกมาเยอะมาก ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดี มีดารามาให้เราถ่ายได้สะดวก โปรเจกต์ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ตอนนี้มันไม่ใช่ 112 เท่านั้นแล้ว แต่เป็นเรื่องของคนที่ลี้ภัยทางการเมืองจากการรัฐประหารด้วย
ผมพยายามเที่ยวนำเสนอโปรเจกต์กับนักธุรกิจที่สนใจการเมือง ก็พยายามขายไป พอสัมภาษณ์ได้แล้วส่วนหนึ่งก็ตัดทำหนังตัวอย่างส่งไปขอทุนทำสารคดีจากสถาบันที่สนับสนุนทุนตามที่ต่างๆ ส่งไป 6-7 ที่ เผื่อว่าจะได้ค่าเดินทางไปถ่ายทำเรื่องของผู้ลี้ภัยที่อยู่ไกลๆ แต่ก็ยังไม่ได้ทุนจากที่ไหนเลย มันก็เหมือนกับการแทงหวยน่ะ (หัวเราะ)
ความต้องการสื่อสาร
เราต้องการให้เห็นความแปลกประหลาดของสังคมไทย ในภาพยนตร์โฆษณาของไทยที่นำเสนอต่อชาวต่างประเทศ พวกเขาจะได้เห็นความสงบ ร่มเย็น มีพระ มีวัด มีอาหารอร่อย มีมวยไทย มีกษัตริย์ที่คนรัก มีพัฒน์พงศ์ แต่สิ่งที่คนพวกนี้เขาไม่รู้ก็คือประเทศเรามีผู้ลี้ภัย และเหตุผลที่พวกเราต้องลี้ภัยแม่งเป็นเรื่องตลกมาก ประเทศอื่นมีสงคราม มีผู้ลี้ภัยเพราะมันฆ่ากันตาย ต้องหอบลูกเมียหนีตาย แต่บ้านเรามันมีผู้ลี้ภัยเพราะเพียงแค่การแสดงความคิดเห็น บางคนเป็นนักแสดงละคร บางคนนักดนตรีก็มี ต้องลี้ภัยเพราะเพียงแค่พูดในเรื่องที่คนส่วนหนึ่งไม่อยากฟัง แม่งเป็นเรื่องตลกร้ายมาก (หัวเราะ)
สภาพปัญหาการเมืองจนต้องเกิดผู้ลี้ภัยการเมืองของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วอาจถูกมองว่ามันเล็กน้อยมาก แต่ผมต้องการบอกว่าปัญหาผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยมันเป็นปัญหาที่ควรสนใจให้ความสำคัญเหมือนกัน
ถ้าถามว่าสิ่งที่ผมทำจะเรียกว่าการต่อสู้หรือไม่ มันก็ดูยิ่งใหญ่เกินไป อาจจะเรียกว่าเราทำไปตามความถนัดในฐานะหน่วยหนึ่งของสังคม ที่รู้สึกอยากเห็นความเป็นธรรม ตอนอยู่เมืองไทย ผมทำหนังโฆษณามาก่อน ผมมีทักษะด้านนั้น ในประเทศเพื่อนบ้านนี่ผมก็ถ่ายไว้ได้หมดแล้ว ที่เหลือผมก็ให้เพื่อนที่เป็นคนทำหนังในประเทศนั้นๆ ช่วยถ่ายให้ ตอนนี้ก็เหลือแค่ผู้ลี้ภัยในประเทศไกลๆ ที่ยังหาทางอยู่
ความฝันซ้ำๆ ที่ตามมาหลอน
ผมอาจเป็นคนโชคดี ในชีวิตผมได้ทำสิ่งที่ผมชอบ (ภาพยนต์) แถมสิ่งที่ทำยังได้ตังค์เยอะอีกด้วย เหมือนกับคนจ้างไปทำสิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว ผมคิดถึงมันอยู่ตลอด เข้าใจว่าจากสาเหตุนี้มันก็เลยเป็นความฝันที่มาซ้ำๆ มาเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ยังฝันซ้ำๆ กันอยู่เดือนละ 3-4 ครั้ง แพทเทิร์นเดิมๆ ฝันว่าได้รับงาน ถ่ายหนัง ไปตัดต่อ ทำงานทางเทคนิค โลเคชั่นที่เมืองไทย แต่ทุกครั้งจะทำไม่สำเร็จเพราะตำรวจมาจับก่อนทุกครั้ง บางครั้งก็ฝันซ้อนฝัน เถียงกับตัวเองอยู่ว่าเฮ้ยนี่มึงกำลังฝันไป
ถึงจุดนี้ผมก็ยังพยายามทำในสิ่งที่เราถนัด เราชอบแล้วเราก็อินกับมัน เช่นสารคดีผู้ลี้ภัยนี่ก็ดับเบิ้ลเลย ได้เล่าเรื่องที่มันไม่เป็นธรรมในวิธีที่เราชอบ มันสุดยอดเลย
คิดอย่างไรหลังดูหนัง Democracy After Deathภัทรภร ภู่ทอง - หนึ่งในทีมทำหนังเรื่อง”ความทรงจำ | ไร้เสียง” กับหนังเรื่อง “ด้วยความนับถือ” ซึ่งมีโอกาสชมภาพยนตร์ Democracy After Death ที่นำไปฉายในประเทศเกาหลีใต้บอกเล่าบรรยากาศในงานว่า “ต้องบอกก่อนว่า ตัวเองไม่ได้เป็นนักดูหนัง ไม่ได้เป็นคนทำหนัง ไม่ได้เป็นคนเชี่ยวชาญเรื่องหนังหรืออะไรเลย ตัวเองขอให้ความเห็นในฐานะคนดูหนังธรรมดา และในฐานะที่ทนไม่ไหวกับความรุนแรงทางการเมือง และความรุนแรงทางโครงสร้าง และเป็นคนที่เลือกข้าง ความดีอีกอย่างของหนังเรื่องนี้ ทำให้เราเห็นว่า “ใจ” และ “อุดมการณ์” “ความหวัง” มันมีอยู่จริง แม้ว่าเรื่องเล่ามันจบเศร้า แต่มันไม่ได้ทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกโดดเดี่ยว (สิ่งที่เราไม่ชอบคือ ผู้ชายคนเล่าเรื่อง เรารู้สึกว่า เขาแปลกแยกกับเรื่องเล่ามาก และทำไมต้องอัดบุหรี่แบบนั้นด้วย (วะ) ทำไมต้องกินเบียร์ด้วยท่าแบบนั้นด้วย เรารู้สึกว่ามันจงใจไป ทำให้เราไม่อยากสูบบุหรี่ไปเลย และหลายตอนก็โผล่มาแบบไม่จำเป็น) เราคิดว่า มันไม่ได้เป็นหนังที่ดูสนุกหรือเป็นหนังที่ดูได้คนเดียว ในฐานะคนดู เราเลือกที่จะดูเป็นกลุ่มมากกว่า หนังบางเรื่องไม่เหมาะจะดูคนเดียว ที่เป็นแบบนี้เพราะหนังมันทิ้งอะไรให้เราต้องแลกเปลี่ยนและถามกันไปมาระหว่างคนดูด้วยกันต่อ หากอยู่คนเดียว คำถามต่างๆ มันคงวนเวียนขังอยู่ในหัวจนปวดหัวได้ ตอนแรก เรากับผู้จัดงานที่เกาหลีชั่งใจและคุยกันไปมาหลายครั้งมากว่า เราจะยังจัดงานและนำหนังเรื่องนี้ไปฉายไหม เราซึ่งต้องเดินทางกลับเมืองไทยและไม่มีแผนการไปใช้ชีวิตต่างประเทศในช่วงนี้ มีความกังวล ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่เราชอบเลย สำหรับเรามันคือความกลัวเงียบๆ การถูกคุกคามเงียบๆ และความอึดอัดอย่างที่สุดกับการที่เราต้องถูกทำให้กลัวทั้งที่เรื่องที่เราพูดหรือสนทนากับคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรผิดเลย และเป็นเรื่องที่ต้องนำออกมาสู่ที่แจ้งด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หากไม่จัดงานหรือไม่เข้าร่วม เราจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะมันผิดไปจากหลักการที่เราเชื่อ และเราไม่อยากรู้สึกผิดที่ต้องก้มหัวให้กับความงี่เง่า เมื่อถึงเวลาจัดงานเรากับน้องคนไทยคุยกันว่า เราควรจะบอกผู้เข้าร่วมกิจกรรมไหมว่า ต้องขอความร่วมมือที่จะไม่ถามหรือพูดประเด็นที่รัฐไทยถือว่าเป็นความละเอียดอ่อน และขอร้องไม่ให้บันทึกเทปหรือภาพงานสัมมนา เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเราและน้องคนไทยที่ต้องกลับประเทศเมื่อเรียนจบ พอหนังของคุณปรวยจบ ห้องทั้งห้องเงียบไปขณะหนึ่งเลย พูดไม่ออกกันหมด แต่เมื่อถึงเวลาแลกเปลี่ยนหลังดูหนังจบ เราเห็นพ้องกันว่า ใครอยากพูดอะไรก็พูด ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เราจะมีพื้นที่ที่มีเสรีภาพ ดังนั้น อยากพูดอยากถามอะไรก็ตามสบาย คนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ตกใจ ประหลาดใจกับหนังของคุณปรวย พวกเขา (แม้เราเอง) ก็ไม่เคยคิดจะได้เห็นภาพความรุนแรง เห็นความอำมหิต โหดเหี้ยม เห็นการมองคนไม่ใช่คนในจอ พวกเขาได้เห็นประจักษ์พยานของความไม่เป็นธรรม ได้เห็นปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” ได้เห็นเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้พอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาภายในเวลาเพียงชั่วโมงนิดๆ พวกเขาตั้งคำถามกับคุณปรวยถึงอนาคตของประเทศ ถึงความเห็นของเขาต่อสถานการณ์ ถึงความคาดหวังของเขาต่อประชาธิปไตย และต่อเหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่ได้อยู่ในเมืองไทยขณะนี้ ส่วนเราเองตื่นเต้นที่ได้เห็นหน้าคุณปรวยชัดๆ หลังจากตามเฟซบุ๊กมานาน เท่าที่เราฟังคุณปรวยตอบคำถาม เหมือนเราจะไม่ได้เห็นความหวังจากคุณปรวยเท่าไหร่ แต่เราคิดว่า หากเขาไม่มีความหวัง เขาก็คงไม่มีแรงทำ Democracy after Death ออกมาหรอก หมายเหตุ กลุ่ม ASEAN’s friend เป็นกลุ่มนักศึกษาและผู้สนใจสถานการณ์ สังคม วัฒนธรรมและการเมืองในประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้จัดกิจกรรมฉายหนัง Screening of THAI Political Film ซึ่งมีหนังฉายสี่เรื่องคือ Democracy after Death, ความทรงจำ | ไร้เสียง, ด้วยความนับถือ และ Missa Marjat โดยจัดที่มหาวิทยาลัย Songkunghoe University ภายในงานได้มีการ skype พูดคุยกับผู้กำกับหนังที่ไม่ได้มาในงานซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงปรวยด้วย |
ศาลไม่ให้เรือนจำคุมไผ่มาสอบ ยธ.ประสาน มข.ให้สงวนสิทธิในการสอบไว้ให้ นักสิทธิชี้ ศาลต้องให้ประกัน
ศาลยกคำร้องขอให้ศาลสั่งให้เรือนจำคุมตัวไผ่มาสอบวันพรุ่งนี้ ด้าน รองปลัด ก.ยุติธรรมเผยประสานทางมหา'ลัย สงวนสิทธิในการสอบไว้ให้ ทนายเตรียมยื่นค้านการฝากขังผัด 5 วันที่ 19 มกรา ที่ปรึกษาองค์การแอมเนสตี้ ประเทศไทย และตัวแทนมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนชี้ควรให้ ไผ่ ออกมาสอบและสู้คดี
16 มกราคม 2560 ทนายความของ ‘ไผ่ ดาวดิน’ หรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ต้องหาในคดี 112 จากการแชร์รายงานข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บ BBC Thai เข้ายื่นคำร้องขออนุญาตออกจากเรือนจำเพื่อสอบวิชาคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามที่จตุภัทร์มีกำหนดสอบในวันที่ 17-18 มกราคมนี้ ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น โดยเวลาประมาณ 13.00 น. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้มีคำสั่งไม่อนุญาต ระบุว่าได้เคยมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่ว
โดยที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แจ้งกับทางทนายความแล้วว่า ไม่สามารถดำเนินการนำตัวผู้ต้องหาออกไปสอบภายนอกเรือนจำได้ เว้นแต่ศาลอนุญาต และการจัดให้ผู้ต้องหาสอบภายในเรือนจำจะต้องนำบุคคลภายนอกและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เข้าไปภายในเรือนจำ ซึ่งอาจไม่สะดวกต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ดังนั้นแล้วคำสั่งศาลในวันนี้จึงเป็นการปิดโอกาสการมีโอกาสได้สอบวิชาสุดท้ายของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานเพิ่มเติมว่า การยื่นคำร้องฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากครอบครัวและทนายความพยายามดำเนินการเพื่อให้จตุภัทร์ได้ออกมาเตรียมตัวสอบในวิชาดังกล่าว โดยการคัดค้านการฝากขัง 2 ครั้ง และยื่นประกันตัว 4 ครั้ง ซึ่งอ้างเหตุจำเป็นในการเตรียมตัวและไปสอบ แต่ไม่เป็นผล โดยศาลอ้างเหตุผลซ้ำๆ ว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ผู้ต้องหาอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น แม้จตุภัทร์และทนายความจะได้เคยชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าวในคำร้องคัดค้านการฝากขัง และคำร้องขอประกันตัวว่า ผู้ต้องหาไม่อาจยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้ก่อเหตุอันตรายใดๆ ในคราวที่ได้รับการประกันตัวครั้งก่อน อีกทั้งจตุภัทร์ยังเป็นเพียงผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด โดยตำรวจเองก็ยังไม่ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดี การควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้จะกระทบต่อสิทธิและส่งผลต่ออนาคตทางการศึกษาของผู้ต้องหาอย่างร้ายแรง
แต่ในขณะเดียวกันในวันที่ 14 มกราคม นสพ.คมชัดลึกได้เผยแพร่ข่าวว่า นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นห่วงต่อการทำความเข้าใจกับประชาชน กรณี นายจตุรภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ"ไผ่ ดาวดิน" โดยที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้มอบให้กรมคุ้มครองสิทธิเข้าไปดูเรื่องการสอบวิชาคอมพิวเตอร์ และประสานมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้พิจารณาเรื่องนี้ด้วย ซึ่งได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ไปพบไผ่เมื่อวันที่ 13 ม.ค. และได้อธิบายว่าเรือนจำยินดีและพร้อมอำนวยความสะดวกให้ทำการสอบได้ที่เรือนจำหากไม่ได้ประกันตัว ขณะเดียวกันก็ได้ประสานทาง ม.ขอนแก่น ซึ่งก็ยินดีที่จะดูแลกรณีของไผ่ให้เต็มที่ถึงไม่ได้รับการประกันตัวและไม่ได้สอบจะด้วยเหตุใดก็แล้วตาม แต่จะยังคงสงวนสิทธิในการสอบให้อยู่ และสามารถมาสอบภายหลังได้
นางพริ้ม บุญภัทรรักษา กล่าวหลังจากทราบคำสั่งศาลยกคำร้องให้คุมตัว ไผ่ มาสอบวิชาสุดท้ายว่า หากไม่ได้ก็ขอให้ทางมหาวิทยาลัยเข้าไปจัดการสอบให้ไผ่เป็นกรณีพิเศษในเรือนจำก็ยังดี
ชำนาญ จันทร์เรือง ตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่าคดีของจตุภัทร์ว่า ไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลตั้งแต่กระบวนการ แจ้งข้อกลาวหาดำเนินคดี การควบคุมตัว และการถอนการให้ประกันตัว
อดีตประธานองค์กร แอมเนสตี้ ประเทศไทยกล่าวว่า หากรายงานข่าวของ BBC Thai เข้าข่ายว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 จริง รัฐก็ควรจะเอาผิดที่ BBC Thai และในเมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กแชร์ออกไปรวมทั้งหมดสองพันกว่ารายไม่ควรมาเอาความผิดที่จตุภัทร์ เพียงคนเดียว
"การพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องไต่สวนจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการ ในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ จึงไม่สมควรที่จะต้องมีการกักขังตัวผู้ต้องหา ผมมองว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติ รัฐต้องการใช้ข่มขู่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ผมคิดว่ามันเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเป็นการตัดโอกาสการศึกษา ผมไม่ได้ต้องการกดดันศาลไม่ได้กล่าวหาว่าศาลกินสินบาทคาดสินบน. แต่ต้องการยืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นไม่ควรมีใครที่ต้องถูกจับกุมคุมขัง "
"เราเพียงเสนอว่าไผ่ควรจะได้มีโอกาสประกันตัวออกมาทำการศึกษาต่อและสู้คดี และอยากขอให้ผู้พิพากษาลองคิดดูว่า ถ้าต้องจับตัวผู้ต้องหามากักขังไว้มาระหว่างการสอบสวน อยากเสนอให้ลองควบคุมตัวผู้พิพากษาไว้ระหว่างการพิพากษาบ้างดีไหม"
ในส่วนของคำร้องและคำสั่งให้ถอนประกัน ไผ่ จตุภัทร์ ชำนาญให้ความเห็นว่า คำร้องของตำรวจและคำสั่งของศาลระบุว่า หลังจากที่ได้ประกันตัวผู้ต้องหาอาจมีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและเมื่อผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วได้มีกิจกรรมในลักษณะเย้ยหยันเจ้าหน้าที่และอำนาจรัฐนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกระบุไว้อยู่ในเงื่อนไขของการปล่อยตัวชั่วคราว จึงไม่น่าเป็นเหตุผลในคำร้องขอถอนประกันได้
ต่อมา มติชนออนไลน์รายงานด้วยว่า กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน”โดยคำร้องขอออกนอกเรือนจำไปสอบวิชาคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยว่า เรือนจำมีหน้าที่ทำตามคำสั่งศาลในการควบคุมตัวหรือปล่อยตัวผู้ต้องขัง ทั้งนี้มีการประสานมายังกรมราชทัณฑ์ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในเรื่องของการสอบของนายจตุภัทร์ โดยมีการประสานให้มีการจัดสถานที่ในการสอบ ซึ่งสามารถใช้พื้นที่ในการสอบวิชาคอมพิวเตอร์ เบื้องต้นพร้อมให้มีการใช้ห้องเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ ที่มีคอมพิวเตอร์ กรมราชทัณฑ์ทำหน้าที่่ได้เพียงอำนวยความสะดวกในเรื่องการสอบ และไม่ได้ขัดขวางหรือกีดกัน
ประยุทธ์มอบคำขวัญวันครู "ชาติพัฒนา ด้วยครูดี มีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้ง พระคุณครู"
พล.อ.ประยุทธ์ ชี้ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพของชาติเพื่อจะได้โตเป็นทั้งคนเก่งและดี มีระเบียบวินัย คำนึงถึงส่วนร่วม และมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานเนื่องในวันครูแห่งชาติ ครั้งที่ 61 พ.ศ. 2560 ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 16 ม.ค. 2560 (ที่มาเว็บไซต์ทำเนียบฯ)
16 ม.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้เผยแพร่ สาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 61 พ.ศ. 2560
ประยุทธ์หนุนแนวคิดประวิตร เรียกทุกพรรคให้สัจจะวาจา เดินหน้าปรองดอง ไม่งุบงิบ
พล.อ.ประยุทธ์ หนุนแนวคิด พล.อ.ประวิตร ให้พรรคการเมืองมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อความปรองดอง เผยอยู่ระหว่างการเริ่มตั้งคณะกรรมการ ย้ำทุกพรรคพูดแล้วก็ต้องไม่ลืม การปรองดองมีหลายมติแยกประเภทคดี ขออย่ากังวลแก้ รธน.ทำตามขั้นตอน
16 ม.ค. 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแนวคิดให้พรรคการเมืองมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อความปรองดอง ว่า เรื่องปรองดองยังไม่ได้ทำ อยู่ระหว่างการเริ่มตั้งคณะกรรมการ เรื่องนี้ตนได้ฟังมาจากพล.อ.ประวิตร มีความคิดแบบนั้นแล้วดำริขึ้นมา ก็ต้องดูว่าถ้าจะต้องทำกัน แต่ตนไม่ได้หมายความว่าจะทำหรือไม่ทำ เพียงแต่มีแนวคิดขึ้นมา ซึ่งตนก็โอเค หลังได้ฟังในขั้นต้น โดยพล.อ.ประวิตร มีแนวคิดเรียกพรรคการเมืองแต่ละพรรคมาคุยกัน ว่าอะไรที่จะร่วมมือกันได้บ้าง และอะไรที่จะไม่ทำอีก เช่น การทำให้เกิดปัญหากับประชาชน จะไม่ทำอีกได้หรือไม่
"ท่านก็เรียกนักการเมือง พรรคการเมืองมาแต่ละพรรคมาคุยกันสิ แล้วอะไรที่จะร่วมมือกันได้บ้าง อะไรที่จะไม่ทำอีก เช่น ทำให้เกิดปัญหากับประชาชน จะไม่ทำอีกได้ไหม ก็เป็นสัญญาเขาเรียกอะไร สัจจะ สัญญา รู้จักกันไหมสัจจะ สัจจะวาจา ทำนองนั้น คือพูดแล้วก็ต้องไม่ลืม ต้องทำตามนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทุกคนต้องการให้เดินหน้าไปหรือเปล่า" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ที่มา : ยูทูบ matichon tv และผู้จัดการออนไลน์
ILO ประเมินปี 2560 ทั่วโลกว่างงานรวม 201.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 อีก 3.4 ล้านคน
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประเมินปี 2560 มีแนวโน้มผู้ว่างงาน 201.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มี 197.7 ล้านคน ส่วนในปี 2561 ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 203.8 ล้านคน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ILO ประเมินปี 2560 ทั่วโลกว่างงานรวม 201 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 อีก 3.4 ล้านคน ที่มาภาพ: skeeze (CC0)
จากรายงาน World Employment and Social Outlook – Trends 2017ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมาระบุว่าคาดว่าอัตราการว่างงาน (unemployment rate) ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.7 เป็นร้อยละ 5.8 ในปี 2560 และคงในระดับร้อยละ 5.8 ในปี 2561 และเมื่อวัดเป็นจำนวนคนว่างงานทั่วโลกในปี 2560 นั้นมีแนวโน้มอยู่ที่ 201.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มี 197.7 ล้านคน ส่วนในปี 2561 ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 203.8 ล้านคน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กอปรกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจส่งผลให้ขาดการลงทุนเพิ่มโดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
และแม้หากมองแบบผิวเผินจะเห็นว่าอัตราการว่างงานโลกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่กว่านั้นก็คือ จำนวนผู้ของผู้ที่ทำงานที่ไม่มั่นคง การทำงานด้อยคุณภาพ และคนทำงานยังเข้าถึงสวัสดิการรองรับทางสังคมได้อย่างจำกัด คนทำงานลักษณะนี้ยังคงมีมากถึง 1,400 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ของการจ้างงานทั้งหมดของโลก
เมื่อพิจารณาสัดส่วนอัตราการว่างงานจากการประเมินของ ILO ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging countries) มีอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 5.6, 5.7 และ 5.7 ตามลำดับ ส่วนประเทศกำลังพัฒนา (Developing countries) อัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 5.6, 5.5 และ 5.5 ตามลำดับ ส่วนประเทศพัฒนาแล้ว (Developed countries) กลับมีอัตราว่างงานที่สูงกว่าโดยในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 6.3, 6.2 และ 6.2 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาในด้านจำนวนผู้ว่างงาน จากการประเมินของ ILO ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 143.4, 147 และ 149.2 ล้านคน ตามลำดับ ส่วนประเทศกำลังพัฒนามีผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 15.7, 16.1 และ 16.6 ล้านคน ตามลำดับ ส่วนประเทศพัฒนาแล้วมีผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 38.6, 37.9 และ 38 ล้านคน ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาเป็นภูมมิภาคจากการประเมินของ ILO พบว่าภูมิภาคแอฟริกา มีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 8 ทั้ง 3 ปี ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 37.1, 38.3 และ 39.4 ล้านคน ตามลำดับ ภูมิภาคตะวันออกกลาง มีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 10.7, 10.6 และ 10.5 ตามลำดับ ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 5.8, 5.9 และ 5.9 ล้านคน ตามลำดับ
ภูมิภาคอเมริกาเหนือ มีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 5.1, 5.1 และ 5.3 ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 9.4, 9.5 และ 9.7 ล้านคน ตามลำดับภูมิภาคอเมริกาใต้และแคริบเบียน มีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 8.1, 8.4 และ 8.5 ตามลำดับ ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 25.1, 26.6 และ 27.1 ล้านคน ตามลำดับ
สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนั้น ILO ประเมินว่ามีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 4.2, 4.2 และ 4.3 ตามลำดับ ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 84.4, 85.4 และ 86.5 ล้านคน ตามลำดับ ทั้งนี้ประเทศที่มีสัดส่วนอัตราการว่างงานสูงลำดับต้น ๆ ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกคืออินโดนีเซีย ที่มีสัดส่วนอัตราการว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 5.6, 5.8 และ 5.9 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีจำนวนผู้ว่างงานสูงสุดในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกได้แก่จีน ที่มีจำนวนผู้ว่างงานในปี 2559, 2560 และ 2561 อยู่ที่ 37.3, 37.6 และ 37.9 ล้านคนตามลำดับ
นอกจากนี้ในรายงานของ ILO ยังระบุว่าปัญหาในตลาดแรงงานสะท้อนปัจจัยต่าง ๆ เช่น ศักยภาพการผลิตต่ำและความไม่เท่าเทียมทาง รายได้ที่เพิ่มขึ้นและอาจทำให้การว่างงานทั่วโลกเพิ่มขึ้น ส่วนแรงงานต่างชาติยังคงเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากต่อตลาดแรงงานทั่วโลก เป็นปัจจัยช่วยเหลือการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันแรงงานต่างชาติกับต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านสังคมและการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ ILO ยังระบุว่าหากภาครัฐมีนโยบายทางการคลังเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจ จะทำให้จำนวนผู้ว่างงานลดลงไปได้ 7 แสนคน ในปี 2560 และอีก 1.9 ล้านคน ในปี 2561
iLaw เปิดสถิติประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 หลังรัฐประหารพบไม่ได้ 28 ได้ 18
ศนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ โดย ไอลอว์ รายงานสถิติสิทธิประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีของผู้ต้องหาคดี ม.112 ช่วงเวลาหลังรัฐประหาร ของ คสช. 22 พ.ค. 57 พบ ไม่ได้รับสิทธิฯ 28 คน ได้ 18 คน และมีอย่างน้อย 11 คน ที่ยังรอสิทธิประกันตัวระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด
สถิติการประกันตัวคดี 112 (ที่มาภาพ ไอลอว์ )
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ โดย ไอลอว์ได้เผยแพร่รายงาน สถิติสิทธิประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีของผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯตามมาตรา 112 ช่วงเวลาหลังการทำรัฐประหาร ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 22 พ.ค. 57 เป็นต้นมา ซึ่งพบว่า ไม่ได้รับสิทธิฯ 28 คน ได้ 18 คน และอย่างน้อย 11 คน ที่ไม่มีโอกาสได้ยื่นขอประกันตัวเพราะไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอ ขณะที่อีก 16 คน ยังไม่มีข้อมูลว่าได้ยื่นขอประกันตัวหรือไม่
โดยรายงานของ ไอลอว์ ระบุไว้ดังนี้
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' นักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯตามมาตรา 112 คนล่าสุดที่กำลังเรียกร้องสิทธิประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี หลังเคยยื่นหลักทรัพย์ 500,000 บาท และถูกศาลปฏิเสธมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ จตุภัทร์ ไม่ใช่ผู้ต้องหาคนเดียวที่ศาลไม่ให้ประกันตัว สถิติภายใต้ยุครัฐบาล คสช. จากข้อมูลเท่าที่ทราบพบว่า ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว และมีอย่างน้อย 11 คน ที่ยังรอสิทธิประกันตัวระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด
รอสิทธิประกันตัวระหว่างพิจารณาอยู่อีก 11 คน
สถิติปี 59 ได้ประกันตัวเยอะขึ้น ทั้งศาลทหาร-ศาลพลเรือน
ทอ.คาด 2 เดือน รู้สาเหตุ กริพเพนตก ชี้ไม่มีเหตุผลที่จะให้เลิกบินในวันเด็ก
โฆษก ทอ. ชี้การบินในวันเด็กเพื่อเด็กได้ทราบและภาคภูมิใจว่า ทอ.มีขีดความสามารถอย่างไรบ้าง ทำให้เด็กที่รักการบินมีความสนใจ ระบุคงไม่มีเหตุผลที่จะให้เลิกบินในวันเด็ก 'ประวิตร' เสียใจ ระบุกริพเพนเป็นเครื่องบินใหม่ มีประสิทธิภาพสูง นักบินก็เป็นคนเก่ง มีความสามารถ
16 ม.ค. 2560 ความคืบหน้าการตรวจสอบสาเหตุเครื่องบินขับไล่กริพเพนประสบอุบัติเหตุตก ขณะปฏิบัติหน้าที่ในกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2560 ณ สนามบินกองบิน 56 จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ น.ต.ดิลกฤทธิ์ ปัถวี ผู้ทำการบินกับเครื่องบินขับไล่แบบที่ 2 (Gripen 39C) ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
UNHCR ชมไทยจัดตั้งระบบคัดกรองคนเข้าเมืองผิดกม.และผู้ลี้ภัย
UNHCR ชื่นชมประเทศไทยที่เห็นชอบการจัดตั้งกลไกการคัดกรองผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย ตามมติ ครม. เห็นชอมหลักการ ร่าง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุด้วยว่า กลไกคัดกรองดังกล่าวเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญในการสร้างกรอบการดำเนินการสำหรับการบริหารจัดการและคุ้มครองผู้ลี้ภัยในไทย โดยเสมือนเป็นการวางกรอบเชิงนโยบายในการระบุสถานะผู้ลี้ภัยและการให้การคุ้มครองที่เหมาะสมกับคนกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวจะนำโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะทำงานร่วมกับคณะกรรมการระหว่างกระทรวง โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะเปิดโอกาสสำหรับความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลของต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ ตลอดจนกลุ่มเอ็นจีโออีกด้วย
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียนรัฐบาลรายงานด้วยว่า พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า UNHCR แสดงความชื่นชมว่ามติของ ครม. ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการสร้างกรอบกำกับดูแลที่เหมาะสมในการบริหารจัดการและการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้มีความชัดเจนในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดกรองคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย