Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

รัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านการลงประชามติ เรื่องพระราชอำนาจ

$
0
0

ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังถกที่ประชุม คสช. เตรียมใช้ ม.44 แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านการลงประชามติ หลังรัชกาลที่ 10 มีรับสั่งให้แก้ไข หมวดพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจ ด้านมีชัย ระบุ ยังไม่ทราบเรื่อง ระบุตามหลักการทำไม่ได้ ต้องแก้ไข รธน. ชั่วคราว 57 ก่อน

แฟ้มภาพ/เว็บไซต์รัฐบาลไทย

10 ม.ค. 2560 ในรายงานของ สำนักข่าวอิศรา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์หลังจากประชุมร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยชี้แจงให้ทราบว่า องคมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับผ่านการลงประชามติ ในหมวดพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจ

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า เมื่อวานนี้ได้หารือกับองคมนตรี ได้แจ้งว่า ภายหลังทูลเกล้าฯร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ องคมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว มีพระราชกระแสรับสั่งลงมา 3-4 รายการ แก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอำนาจพระองค์ท่าน สำนักราชเลขาธิการจึงทำเรื่องมาที่รัฐบาล รัฐบาลจึงรับสนองพระบรมราชโองการฯ โดยจะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เปิดช่องให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน เมื่อแก้เสร็จแล้ว จะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อ โดยใช้เวลาไม่เกิน 2-3 เดือน ถึงจะทูลเกล้าฯอีกครั้ง ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นเรื่องของพระราชอำนาจของพระองค์ท่าน

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ ภายหลังจากการจัดการพิธีเกี่ยวกับพิธีพระบรมศพ และพิธีราชาภิเษกเสร็จสิ้น

 

 

“ปลายปีนี้หลังจากพิธีพระบรมศพ ผมก็จะให้เริ่มการเมืองได้ หลังจากเสร็จพิธีพระบรมศพ พิธีอะไรอีกอัน พิธีอะไร เออ บรมราชาภิเษก อันนั้นค่อยไปเริ่มเตรียมการพูดคุยตั้งพรรค เลือกตั้ง อะไรก็ว่าไป แต่ก็ต้องหลังพิธีพระบรมศพนั่นแหละ ก็เป็นเรื่องของการเมืองเหมือนเดิม แต่ถ้าตีกันอีกก็มีปัญหาอีก ผมก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรแล้วเนี่ย ฉะนั้นก็เดินต่อ 150 วัน 90 วัน ก็ไปเลื่อนเอาดิ จะได้เมื่อไหร่ยังไม่รู้ ผมผิด ผมไปแก้ตรงไหน ถ้าผมไปแก้นะ ไม่ต้องมายุ่ง ยกเลิก นับใหม่ทั้งหมด คิดให้มันเป็นสมองสิ สมองคิดสิ อย่าใช้อย่าอื่นคิด”

ในรายงานของ คมชัดลึกออนไลน์ มีชัย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ทราบข่าวกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) เพื่อให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย กลับมาพิจารณาทบทวนแก้ไขได้ โดยที่ผ่านมารัฐบาล หรือ คสช. ไม่ได้แจ้งหรือขอคำปรึกษาใดๆ ทั้งนี้กรณีที่สื่อมวลชนสอบถามขอให้รอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ คสช. ชี้แจง เพราะ คสช.ตกลงไว้ว่าหากมีประเด็นอะไรจะให้พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง    

“ผมไม่ทราบสิ่งที่สื่อมวลชนสอบถาม และรู้สึกสับสน และไม่ทราบว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจะมีรายละเอียดอย่างใด มีมาตราใดบ้าง เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาล และแม้ผมจะเป็น คสช. แต่ก็ไม่ทราบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล อย่างไรก็ดีขอให้รอดูสัก 1-2 วัน” มีชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เป็นสมาชิก คสช. ได้หารือถึงการปรับปฏิทินทำงานหลังจากนี้หรือไม่ มีชัย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐธรรมนูญใหม่ยังไม่บังคับใช้ ดังนั้นโรดแม็พต้องเป็นไปตามเดิม แต่จะเริ่มวัน หรือเวลาใด ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ และยังเริ่มนับหนึ่งไม่ได้ จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วนกรณีที่นายกฯ ระบุว่าโรดแม็พเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2560 นั้น ตนตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญว่าจะประกาศใช้เมื่อใด อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไประยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเวลาอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ส่วนการทำงานของ กรธ. ต่อการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้น ขณะนี้ยังเดินหน้าไปตามกรอบที่ได้วางไว้ ไม่มีชะลอ หรือหยุดการทำงานแต่อย่างใด

ถามต่อว่า ตามหลักการร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติแล้ว สามารถแก้ไขรายละเอียดได้หรือไม่ มีชัย ระบุว่า ตนตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับที่บังคับใช้ในปัจจุบัน แต่หลักการขณะนี้แก้ไม่ได้ ทั้งนี้ต้องไปดูสิ่งที่วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า หากทำอะไรต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) ก่อน

ถามย้ำถึงความชัดเจนว่า การแก้ร่างรัฐธรรมนูญประชามติ สามารถทำได้ เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) เพื่อเปิดช่องให้ทำได้ มีชัย กล่าวว่า “ถูกต้อง”

 

เปิดบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบการแก้ รธน.ชั่วคราว 2557

ขณะเดียวกัน ในรายงานของสำนักข่าวอิศราได้เปิดเผยบันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช... มีรายละเอียดดังนี้

000

บันทึกหลักการและเหตุผล
ประกอบร่างรัฐธรรมนูแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช... 

หลักการ

แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

เหตุผล

ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช...ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงพิจารณานั้น ต่อมาคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกันเห็นว่า สมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรญนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เพื่อให้สามารถขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูที่ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายไปแล้วนั้น มาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามที่สำนักราชเลขาธิการแจ้งมาเท่านั้นแล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายในเวลาที่กำหนด จึงจำเป็นต้องตราร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้

000

ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช... 

------------------------

----------------

----------------

----------------

 

โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

มาตรา 1 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เรียกว่า “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช....” 

มาตรา 2 รัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็นวรรคสามของมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

“ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง”

มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในวรรคสิบเอ็ดของมาตรา 39/1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามวรรคเก้าประกอบกับวรรคสิบแล้ว หากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายในเก้าสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้น และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชทานคืนมาหรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันที่นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแล้วมิได้พระราชทานคืนมาให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตกไป" 

ผู้รับสนองพระราชโองการ 

..................................

นายกรัฐมนตรี 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลให้ประกันตัวจตุพร ตีราคาประกัน 6 แสน หลังยื่นขอมาแล้ว 7 ครั้ง

$
0
0

10 ม.ค. 2560 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์' รายงานว่า เมื่อเวลา 15.50 น. ศาลอาญาได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จตุพร ระหว่างพิจารณา (คดีก่อการร้าย) ภายหลังได้ยื่นขอประกันมาแล้ว 7 ครั้ง

โดยตีราคาประกัน 6 แสน ห้ามออกนอกประเทศ ซึ่งการขอประกันครั้งนี้มีเหตุเจ็บป่วยในเรือนจำในการยื่นคำร้องประกอบการพิจารณา โดยจะปล่อยตัวในเย็นวันนี้ เวลา 19:30 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
 
สำหรับ จตุพร เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งถูกถอนประกันตัวตั้งแต่เมื่อวันที่  11 ต.ค. ที่ผ่านมาและถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อมา 30 ธ.ค. 59 มีอาการป่วย หนาวสั่น ไข้สูง และนำตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยายาลราชทัณฑ์ ต่อมา กฤช กระแสทิพย์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เผยว่า จตุพรมีอาการปวดบริเวณกลางท้อง มีอาการหนาวสั่น และไข้สูง แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์วินิจฉัยแล้วพบว่า จตุพร ป่วยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนต้น ด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นำ 3,600 ชื่อ ยื่นกรรมการสิทธิ เรียกร้องสิทธิประกันตัว ‘ไผ่ ดาวดิน’

$
0
0

รังสิมันต์ โรม นำทีม ยื่น 3,600 ชื่อที่ได้จากการล่าชื่อผ่าน change.org ให้กรรมการสิทธิฯ เรียกร้องสิทธิประกันตัวให้ ไผ่ ดาวดิน ชี้ไผ่มีสอบกลางเดือนนี้อีกวิชาเดียวก็เรียนจบแล้ว

10 ม.ค. 2560  เมื่อเวลา 9.30น. ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ (กสม.) นักกิจกรรมเดินทางยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนกว่า 3,600 รายชื่อ ซึ่งร่วมลงชื่อผ่านเว็บไซต์ change.org เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้ นาย จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องหาในความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีแชร์ข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ข่าวบีบีซีไทย รวมถึงยื่นหนังสือจากนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของไผ่ ที่เรียกร้องต่อ นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานอนุกรรมการสิทธิด้านสิทธิพลเมือง กสม. ขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม กรณีกระบวนการจับกุม และกระบวนการพิจารณาคำร้องขอฝากขังนายจตุภัทร์มิชอบ, กรณีการถอนประกันและไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว และกรณีการใส่โซ่ตรวน และการละเมิดสิทธิในการตรวจร่างกายเมื่อออกมาศาล

รังสิมันต์  โรม สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ กล่าวว่า กระบวนการจับกุม นายจตุภัทร์ เป็นไปอย่างไม่ชอบธรรมและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน เนื่องจากขณะนี้ไผ่ไม่ได้รับการประกันตัวสู้คดี และขั้นตอนการการพิจารณาของศาลยังไม่ได้เริ่มต้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับไผ่ยังไม่มีการฟ้องเป็นเพียงแค่การฝากขังเท่านั้น และขณะนี้ไผ่เองอยู่ในผัดที่ 5 ซึ่งจะมีการฝากขังสูงสุดถึง 7 ผัด แบ่งเป็นผัดละ 12 วัน ทั้งนี้ กรณีของไผ่ไม่ตรงกับเงื่อนไขการสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวตามมาตรา 108/1 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คือ 1.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี 2.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน 3.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น 4.ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ ขณะนี้ไผ่เหลือเพียง 1 วิชาสอบในกลางเดือนมกราคมก็จะจบเป็นบัณฑิต อยากขอความเมตตาต่อศาลควรให้โอกาสเยาวชน

นอกจากนี้ เขากล่าวอีกว่า ในวันที่ 12 ม.ค. นี้ จะจัดกิจกรรม “หอบรัก มาห่มไผ่ รถไฟช้ามาหานะเธอ”  ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป โดยรถไฟจะออกเวลา 20.45 น. เพื่อร่วมเดินทางไปเยี่ยมไผ่และเพื่อนๆ ที่จังหวัดขอนแก่น

ด้านนางอังคณา กล่าวหลังรับมอบหนังสือว่า ทาง กสม.จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาในคณะอนุกรรมการ และจะนำกรณีนี้ไปรวมกับคำร้องก่อนหน้านี้ที่บิดาของไผ่ขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในการคัดค้านการประกันตัว อย่างไรก็ตาม  กสม.ไม่สามารถแทรกแซงการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลับมาแล้ว 'สรยุทธ' ลงพื้นที่รายงานน้ำท่วมใต้ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์

$
0
0

10 ม.ค. 2560 ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. 2559 สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดังและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านอินสตาแกรมชื่อ 'sorrayuth9111' ขอยุติการทำหน้าที่พิธีกร หลังจาก เขาถูกศาลอาญาพิพากษา ให้จำคุกเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในข้อหาที่เกี่ยวกับการทุจริตค่าโฆษณาของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และต่อมา สรยุทธ ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อ (อ่านรายละเอียด

เป็นเวลาเกือบปีที่ สรยุทธ หายไปจากบทบาทสื่อมวลชน ล่าสุดเกิดวิกฤตน้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคใต้ สรยุทธ ได้ใช้เฟซบุ๊กแฟนเพจ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ที่เพิ่งตั้งเมื่อปลายเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เริ่มรายงานสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วม โดยเริ่มใช้เฟซบุ๊กไลฟ์ วันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา ตั้งแต่ภาพฝนตกที่บริเวณ แยกมาบุญครอง กรุงเทพฯ และรายงานสถานการณ์น้ำตลอดการเดินทางลงใต้ เช่น ที่เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้ประสบเหตุโดยตรงหรือการสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ เป็นต้น

ล่าสุดเฟซบุ๊กแฟนเพจดังกล่าวมีผู้กดถูกใจกว่า 2 แสนแล้ว 

ชูวิทย์โพสต์หากเขายังอยู่บนจอทีวี คงได้เห็นแอคชั่นของเขาถึงพื้นที่

โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย ที่เพิ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ชูวิทย์ I'm Back' ถึงสรยุทธ ด้วยว่า วันก่อนตนเพิ่งพบสรยุทธ ดูเขายังมีความสุขดี แต่ขาดสรยุทธบนจอทีวี ก็เหมือนกับอาหารที่ขาดรสชาติ
 
"ผมเชื่อว่าเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้วันนี้ หากเขายังทำงานอยู่บนจอทีวี เราคงได้เห็นแอคชั่นของเขาถึงพื้นที่ ออกข่าวให้ประชาชนร่วมกันบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหมือนกับทุกครั้งในอดีต"  ชูวิทย์ กล่าว
 
ชูวิทย์ โพสต์ตั้งคำถามด้วยว่า อนาคตของสรยุทธจะเป็นอย่างไร เขามองข่าวทีวีทุกวันนี้ที่มีเด็กรุ่นใหม่ พร้อมสารพันข่าว ทั้งทุบข่าว เคาะข่าว แตกข่าว ยำข่าว คุ้ยข่าว แคะข่าว จนถึงนวัตกรรมสื่อสารยุคใหม่อย่าง Live เฟสบุ๊ก อย่างไร ที่ทำให้ทีวีดิจิตอลเป็นง่อยจนแทบอยากจะฉีกใบอนุญาตสัมปทานคืน กสทช. เพราะยิ่งทำยิ่งเจ๊ง  สรยุทธสัมภาษณ์คนมาหลากหลายแทบทุกวงการ ตั้งแต่ชาวบ้าน นักการเมือง ไปยันนักร้องเกาหลี รวมทั้งผมก็ถูกสัมภาษณ์อยู่หลายครั้งหลายครา จะเป็นอย่างไร ถ้าชูวิทย์ได้สัมภาษณ์สรยุทธสักครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้ตำแหน่งสลับสับเปลี่ยนกันเสียแล้ว ชูวิทย์เป็นผู้สัมภาษณ์ ส่วนสรยุทธเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์
 
ชูวิทย์ ระบุ พร้อมทิ้งท้ายว่า "ใครอยากเห็นผมสัมภาษณ์สรยุทธบ้าง"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบ้านวานรนิวาส จี้บริษัทเหมืองโปแตชเซ็น MOU ห้ามนำการจัดเวทีไปอ้างผลประโยชน์เอื้อการทำเหมือง

$
0
0

ชาวบ้านวานรนิวาส กว่า 800 คน ร่วมเวทีเสวนาวิชาการเรื่องการทำเหมืองโปแตช กดดันภาครัฐและบริษัทเหมืองโปแตชเซ็น MOU ห้ามนำผลการจัดเวทีเป็นเอื้อประโยชน์ต่อการทำเหมือง พร้อมตั้งข้อสังเกตเวทีวิชาการเหตุใด ต้องตรวจหาวัตถุระเบิดกับชาวบ้าน

10 ม.ค. 2560 เวลา 9.00-15.00 น. ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ได้มีการจัดเวทีสาธารณะเพื่อแสวงหาความรู้เรื่องเหมืองแร่โปแตชวานรนิวาส โปแตชคอร์เปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีชาวบ้านกลุ่มสำนึกรักษ์บ้านเกิดวานรนิวาสกว่า 800 คน และตัวแทนจากบริษัทไชน่ามิ๋งต๋า รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เจ้าหน้าที่จากศาลสว่างแดนดิน พร้อมกันนี้ก่อนเริ่มเวทีได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองและอาสาสมัครเกือบ 200 นายเข้าประจำในพื้นที่และ ตชด. คอยตรวจเข้มอาวุธ วัตถุระเบิด ชาวบ้านวานรนิวาสทุกคนก่อนเข้าไปภายในบริเวณเวทีหอประชุม

โดยเวทีเสวนาครั้งนี้มีตัวแทนจากบริษัทไชน่าหมิงต๋าฯ ได้แก่ รศ.ดร.ปกรณ์ สุวานิช คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  ดิเรก รัตนวิชช์  อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม  รศ.ดร.กิติเทพ เฟื่องขจร สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ ธัญญพัฒน์ หวังวงศ์สิริ  ผู้จัดการบริษัทไชน่าหมิงต๋าฯ ส่วนทางด้านตัวแทนจากภาคประชาชน ตัวแทนจากภาคประชาชน  ได้แก่ นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่   ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร  และบำเพ็ญ ไชยรักษ์ นักวิจัยอิสระ/ฝ่ายข้อมูลกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา

ขณะเวลา 10.52 น. ขณะที่ฝั่งตัวแทนของบริษัทกำลังแลกเปลี่ยนบนเวทีเสวนา มีกลุ่มชาวบ้านที่เข้าร่วมเวทีเสวนาได้ขอแสดงความคิดเห็น จึงทำให้เวทีหยุดชะงัก

ต่อมา 11.00 น. เวทีได้หยุดชะงักอีกครั้ง เมื่อชาวบ้านได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงชื่อ ทำสัญญา MOU เพื่อยืนยันว่าจะไม่นำการจัดเวทีในครั้งนี้  ไปอ้างอิงเพื่อผลประโยชน์ในดำเนินการเรื่องเหมือง หลังจากเวทีได้หยุดไปเกือบ 30 นาที เวทีเสวนาจึงได้เริ่มเสวนาต่อ หลังจากที่ตัวแทนหน่วยงาน นายอำเภอวานรนิวาส ตัวแทนจากสถานีตำรวจภูธรวานรนิวาสและตัวแทนบริษัทไชน่าหมิ๋งต๋า  ได้ลงนามในสัญญา MOU เป็นที่เรียบร้อยและเอกสารดังกล่าวเก็บไว้ที่ผู้ดำเนิน

11.45น. ชาวบ้านภายในหอประชุมร่วมกันชูกระดาษโดยเขียนข้อความว่า “ไม่เอาเหมืองแร่” เพื่อแสดงจุดยืนในการดำเนินการเหมืองแร่ในพื้นที่ ทั้งนี้ในเวลาต่อมา ชาวบ้านภายในหอประชุมร่วมกันชูกระดาษโดยเขียนข้อความว่า “โปแตชออกไป” และออกจากหอประชุมก่อนวิทยากรจะพูดครบทุกคน

13.30 น. ได้เริ่มเสวนาต่อ โดยนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยราชธานี อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุว่า ทั้งภาครัฐ และบริษัทต้องบอกทางเลือกว่า ทำอย่างไรให้โปแตชไม่ทำลายชาวบ้าน ถ้ามีผลกระทบเกิดขึ้น จะดำเนินการอย่างไร และจะต้องมีการจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมกับชาวบ้านด้วย

ด้าน ปรีชา สุทธิวงศ์ กลุ่มสำนึกรักษ์บ้านเกิดวานรนิวาส ให้สัมภาษณ์กับประชาไท ว่าเวทีวันนี้เกิดขึ้นได้เพราะ ศาลอนุญาตให้จัด โดยที่ก่อนหน้านี้ทางชาวบ้านได้มีแนวคิดในการจัดเวทีเสวนาวิชาการเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อรับรู้ข้อมูลผลกระทบ ข้อดี ข้อเสียของการทำเหมืองโปแตซในพื้นที แต่ก็ถูกหน่วยงานภาครัฐสั่งห้ามจัดโดยระบุว่า เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมที่สาธารณะ

ปรีชา กล่าวด้วยว่า เวทีในวันนี้ได้เชิญนักวิชาการจากทั้งสองฝ่ายจากทางบริษัทและทางประชาชนมาให้ความรู้ เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้นำข้อมูลต่างๆ ไปประกอบการตัดสินใจว่า ต้องการให้มีการทำเหมืองแร่โปแตซในพื้นที่หรือไม่ เนื่องจากทั้งที่ผ่านมาผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต่างให้ข้อมูลเท็จกับชาวบ้านว่าทางบริษัทแค่มาสำรวจแร่ ไม่ได้ต้องการทำเหมือง แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อสำรวจเสร็จจะมีกระบวนการต่างๆ เพื่อขอทำเหมืองใต้ดิน รวมทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงผลกระทบที่จะตามมาเช่น การแย่งชิงทรัพยากรน้ำ แผ่นดินทรุดตัว ปัญหาดินเค็ม

ปรีชา กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ในช่วงเช้าที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ชุดตรวจวัตถุระเบิด และอาวุธตรวจค้นประชาชนทุกคนอย่างละเอียดก่อนเข้าร่วมรับฟังเวทีเสวนานั้น สร้างความกังวลใจแก่คนในพื้นที่จนบางคนไม่กล้าเข้าไปรับฟัง เวทีในครั้งนี้เป็นเวทีวิชาการไม่ใช่สงครามไม่จำเป็นต้องตรวจค้นอาวุธเพราะชาวบ้านไม่นำเข้ามาอยู่แล้ว การทำแบบนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชน

เรียบเรียงจาก : นักข่าวพลเมืองTPBS , เฟซบุ๊กแฟนเพจอยู่ดีมีแฮง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์แจงตั้ง กก.ยุทธศาสตร์ปฏิรูป-ปรองดอง ขออย่าสนใจแต่เอาคนคุกออก-คนต่างปท.กลับ

$
0
0
ประยุทธ์ชี้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ปฏิรูป ปรองดอง เพื่อไม่ให้คนไทยทะเลาะกันอีก ขออย่ามัวสนใจแต่จะเอาคนติดคุกออกหรือให้คนที่อยู่ต่างประเทศกลับ 'นพดล' ชี้รัฐบาลควรทำตัวเป็นผู้อำนวยความสะดวก ไม่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเอง
 
10 ม.ค. 2560 เมื่อเวลา 13.45 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง แนวคิดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและปรองดองว่า การปฏิรูปหมายคิดใหม่ทำใหม่ วันนี้รัฐบาลทำงานตามแผนงาน บูรณาการ ปฏิรูประบบราชการ และระบบงบประมาณแก้ไขปัญหาครบวงจร เดินหน้าตามนโยบาย การปฏิรูปของรัฐบาลมีความคืบหน้ามาก โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ปฏิรูป ปรองดอง โดยนำงานที่ทำแล้วทั้งหมดมาดูเพื่อสร้างให้เกิดความชัดเจน ส่วนที่ยังทำไม่ได้เนื่องจากติดกฎหมายก็ต้องเร่งรัด หากมีความจำเป็นก็ต้องใช้มาตรา 44 ดำเนินการ นี่คือการปฏิรูประยะที่ 1 ปี พ.ศ. 2560 เพราะไม่ได้อยู่ถึง 20 ปี แต่จะทำให้เกิดความชัดเจน ให้ทุกอย่างอยู่ในแผนแม่บท นี่คือการส่งต่อให้แก่รัฐบาลใหม่
 
สำหรับการปฏิรูปที่รัฐบาลทำเสร็จแล้ว เช่น การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย หรือ ไอยูยู ซึ่งต้องเข้าใจว่าเป็นปัญหาที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข และการแก้ไขปัญหาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งสำนักการบินพลเรือนขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม มีกองทุนยุติธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการออกกฎหมายแล้วกว่า 180 ฉบับ และกำลังพิจารณาอีกประมาณกว่า 200 ฉบับ ยังไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาอีกประมาณ 200 ฉบับ ซึ่งรัฐบาลยังอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยลดขั้นตอนการลงทุน จัดตั้งบริษัท มีพระราชบัญญัติอำนายความสะดวก พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร รวมถึงจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมเพื่อรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งมีจำนวนกว่าแปดล้านเรื่อง และสามารถแก้ไขปัญหาได้แล้วประมาณ 90%
 
ส่วนเรื่องการปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขออย่าเข้าใจว่าการปรองดองต้องทำด้วยการพูดคุยกับนักโทษ หรือผู้มีความผิดเท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญคือทำอย่างไรเพื่อไม่ให้คนไทยทะเลาะกันอีก ถามว่าที่ผ่านมาทะเลาะกันเพราะสาเหตุใด ทำไมคนไทยถึงปฏิสัมพันธ์กันไม่ได้ เพราะคนอาศัยอยู่บ้านเดียวกันยังคุย หรือดูโทรทัศน์ช่องเดียวกันไม่ได้ อย่ามัวสนใจแต่ว่าจะเอาคนติดคุกออกมา หรือให้คนที่อยู่ต่างประเทศกลับมาหรือไม่
 
“เอาคนที่อยู่ในประเทศวันนี้ก่อน เดือนร้อนมากไหม เทียบกับคนที่อยู่ต่างประเทศใครเดือนร้อนกว่ากัน แล้วเดือดร้อนเพราะอะไร คิดให้เป็น ต้องปฏิรูปทางความคิดด้วย อย่าหาเหตุจนกระทั่งทำอะไรไม่ได้เลย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
อำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและปรองดอง ขับเคลื่อนการปรองดองว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องปรองดองไม่ต้องตั้งกรรมการอะไรให้ยุ่งยาก เพราะถ้าให้ฝ่ายต่างๆมาคุยกัน กลัวว่าจะมานั่งเถียงกันเปล่าๆ ถ้าจะเอาจริงเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 วางหลักการเพื่อให้เกิดการปรองดองได้เลย เช่น การยกเลิกความผิดฝ่ายการเมือง ที่ออกมาก่อความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านมา แล้วให้มาเริ่มกันใหม่ และไม่ต้องกลัวว่าหากทำเช่นนี้แล้ว จะมีความผิดตามมาในภายหลัง เพราะในมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ได้คุ้มครองการกระทำต่างๆ ของ คสช.ไว้แล้ว
 
นพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการที่รัฐบาลจะตั้งกรรมการปรองดองว่า ส่วนตัวเห็นว่าการปรองดองในชาติเป็นเรื่องที่ควรทำนานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังขาดรูปธรรมที่จับต้องได้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากเห็นและจะได้ประโยชน์จากความปรองดอง ตนเคยเสนอแนวคิดเรื่องปรองดองซัมมิต โดยให้ผู้มีส่วนได้เสียสำคัญต่างๆ และคู่ขัดแย้งมาร่วมในกระบวนการเปิดอกคุยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อหาแนวทางที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง เมื่อรัฐบาลคิดจะเริ่มทำ ก็ขอให้ทำจริง และให้เกิดผลจริง และต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก ถ้าทำจริงและทำถูก คงได้รับการสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ตนมีคำถามฝากถึงรัฐบาลในเรื่องนี้ว่า 1. 1. มีการรัฐประหารไปร่วมสามปีแล้ว ทำไมเพิ่งมาเริ่มทำเรื่องปรองดองทั้งๆ ที่เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารในปี 2557 หลายฝ่ายรวมทั้งพรรคเพื่อไทยเรียกร้องเรื่องการปรองดองมาต่อเนื่อง แต่ไม่มีการตอบสนอง รัฐบาลจริงจังแค่ไหนในเรื่องนี้ เพราะเวลาตามโรดแม็ปเหลือน้อยแล้ว
 
นพดล กล่าวต่อว่า 2. รัฐบาลเข้าใจเรื่องปรองดองอย่างไร ทำอย่างไรจะให้คู่ขัดแย้งเข้าใจความหมายของคำว่าปรองดองให้ตรงกัน 3. สาเหตุของความไม่ปรองดองเกิดจากอะไร คนในสังคมเข้าใจตรงกันหรือยัง 4. การที่รัฐบาลจะตั้งกรรมการปรองดองนั้น รัฐบาลควรทำตัวเป็นผู้อำนวยความสะดวกหรือกรรมการในการสร้างความปรองดองและไม่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเองใช่หรือไม่ ที่ผ่านมารัฐบาลยึดแนวทางนี้หรือไม่ และ 5. การเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน การไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน การไม่เคารพกฎหมายหรือหลักนิติธรรม ความแตกแยกทางการเมืองมีอยู่ในสังคมไทยหรือไม่ และจะแก้ปัญหานี้อย่างไรเพื่อให้เกิดความปรองดอง
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คดีศูนย์ปราบโกงบ้านโป่งยังไม่จบ! ตร.เตรียมส่งอัยการทหาร 23 ม.ค.

$
0
0


ภาพเปิดศูนย์ปราบโกงบ้านโป่ง

10 ม.ค. 2560 จากกรณีที่เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.59 พนักงานสอบสวนสภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ออกหมายเรียกให้ชาวบ้าน 27 คน ที่ร่วมกันเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติฯ ที่ อ.บ้านโป่งมารับรายงานตัวรับทราบคำสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันมั่วสุมทางการเมืองในที่เกิดเหตุเกิน 5 คนขึ้นไป ด้วยการขึ้นป้ายศูนย์ปราบโกงประชามติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย

บริบูรณ์ เกียงวรางกูล หนึ่งในผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา กล่าวว่าว่า พนักงานสอบสวนสภ.บ้านโป่งมีคำสั่งฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้งหมดโดยกำหนดจะเรื่องต่อให้อัยการทหารจังหวัดราชบุรีเพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลในวันที่ 18 ม.ค.60  อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความได้ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนดังกล่าวเนื่องจากวันที่ 18-19 ม.ค.ทนายความติดว่าความให้คดีก่อการร้ายของ นปช.ส่วนกลาง และได้ตกลงนัดพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งในวันที่ 23 ม.ค. 60  เวลา 8.30 น.

บริบูรณ์ ยังกล่าวอีกว่าว่าชาวบ้านที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ อายุราว 50-70 ปี มีอาชีพรับจ้างทำไร่ ทำนาและขายของหาเช้ากินค่ำ พนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวในชั้นอัยการ รายละ 12,000 บาท ชาวบ้านทุกคนยืนยันที่จะสู้คดีให้ถึงที่สุด และนปช.ยืนยันจะช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัว

ทั้งนี้เมื่อปลายปี 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ติดตามเก็บข้อมูล "คดีศูนย์ปราบโกงฯ" เปิดเผยตัวเลขชาวบ้านที่ถูกแจ้งข้อหาจากเหตุการณ์นี้ว่า การเปิดศูนย์ปราบโกงประชามตินั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในหลายจังหวัดพร้อมใจจัดกิจกรรมเปิดศูนย์นี้ และถูกดำเนินคดีในภายหลังทั้งสิ้น 8 จังหวัด ทั้งในภาคอีสาน เหนือและกรุงเทพมหานคร รวมแล้ว 142 คน มีผู้ต้องหารับเงื่อนไขสารภาพ แล้วเข้าอบรมกับทหารเพื่อให้คดียุติไปแล้วจำนวน 56 คน ขณะนี้มีคดีศูนย์ปราบโกงที่ฟ้องแล้วคือ จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ สอนเด็ก อย่าฟังคำพูดของคนที่ไม่ดี อย่าไปฟังคนอื่นพูดเยอะ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมเป็นประธานงานวันครู ย้ำครูมีความสำคัญต้องเป็นคนดี ประเทศชาติจะมั่งคงและยั่งยืน แนะเด็กๆ อย่าฟังคำพูดของคนที่ไม่ดี อย่าไปฟังคนอื่นพูดเยอะ 

ภาพ เลขาธิการคุรุสภานำคณะนักเรียน นักศึกษา พร้อมศิลปินดาราเข้าพบเพื่อมอบดอกไม้ประจำวันครูแด่ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรี 10 ม.ค. 2560 (ที่มาภาพเว็บไซต์ทำเนียบฯ
 
10 ม.ค. 2560 เมื่อเวลา 09.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา นำคณะนักเรียน นักศึกษา พร้อมศิลปินดาราเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครูโดยคุรุสภา ครั้งที่ 33 ในวันที่ 16 ม.ค. ของทุกปี พร้อมมอบดอกกล้วยไม้ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำวันครู เพื่อ รณรงค์ร่วมกันรักษาประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไปในอนาคต
 
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวคำขวัญวันครูว่า “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ครูต้องเป็นบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ สั่งสอนให้นักเรียนเป็นคนดีมีคุณภาพ นำความรู้ไปพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ทั้งนี้ นักเรียนจะต้องตั้งเป้าหมายด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยเป็นผู้นำร่องให้นักเรียนสามารถก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ เปรียบเสมือนดั่ง “สะพาน” ที่จะช่วยให้นักเรียนก้าวไปสู่เป้าหมายในอนาคต
 
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับนักเรียด้วยว่า โลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนอยู่ทั่วไป ครูจะคอยเป็นผู้ปกครอง และผู้อบรมสั่งสอน เป็นตัวอย่างของคนดี ไม่โกงกินคอรัปชัน อย่างไรก็ตาม นักเรียนจะต้องให้ความเคารพครู ที่สำคัญนักเรียนต้องเคารพพ่อ แม่ และผู้ปกครองที่อยู่ที่บ้านด้วย ควรนึกถึงความเหนื่อยยากในการทำงานหาสิ่งที่ดีให้กับบุตร ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย ไม่นำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด ไม่อยู่กับเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว
 
“ครูมีความสำคัญ ดังนั้น ครูต้องเป็นคนดี มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถในการสั่งสอนศิษย์ให้เป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมขอให้เด็กๆ ให้ความสำคัญกับสังคม เพราะทุกคนก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ที่สำคัญทุกคนต้องมีการพัฒนาตนเอง ควบคู่ไปกับการเป็นคนดี ต้องไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อเป็นอนาคตของประเทศใน 20 ปีข้างหน้า ขอเด็กๆ อย่าฟังคำพูดของคนที่ไม่ดี ทุกคนต้องตั้งเป้าหมาย เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ซึ่งตนเองเข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานให้ทุกคนก้าวข้ามสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งความหมายทั้งหมดก็อยู่ในเนื้อเพลงที่ตนเองแต่งขึ้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ขณะที่เด็กๆ ได้อวยพรให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสุขภาพแข็งแรงและทำงานเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติตลอดไป ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับยิ้ม พร้อมถามกลับว่า “จะให้ลุงอยู่ตลอดไปเลยหรือ แค่นี้ลุงก็โดนแย่แล้ว อย่าไปฟังคนอื่นพูดเยอะ”
 
สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นักศึกษาควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการประกอบอาชีพอะไร โดยให้คำนึงถึงอาชีพที่ประเทศไทยต้องการในอีก 5 ปีข้างหน้า เน้นหาประสบการณ์จริงมากกว่าการเรียนหนังสือ นักศึกษาที่มีความสามารถควรหาอาชีพเสริมเพื่อเป็นรายได้และประสบการณ์ให้กับตัวเอง ส่วนนักศึกษา ปวส. เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ควรจะทำงานเพื่อหาประสบการณ์ก่อน แล้วจึงค่อยกลับเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
 
ตอนท้ายพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวย้ำกับนักศึกษาชายว่า จะต้องปกป้องและปฏิบัติต่อนักศึกษาหญิง ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษด้วย พร้อมรับมอบดอกกล้วยไม้ และร่วมกันถ่ายภาพหมู่เพื่อเป็นการร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมรำลึกถึงพระคุณครูต่อไป
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วัฒนธรรมเมกเกอร์กับเสรีภาพการแสดงออกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

$
0
0

 

เกริ่นนำ

ปัจจุบันบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ผู้มีความรู้ด้านวิศวกรรมหรืออิเล็กทรอนิกส์ นักออกแบบ คนทำงานในด้านการศึกษาและพัฒนาสังคม ไปจนถึงนักธุรกิจหันมาให้ความสนใจกับกิจกรรมที่ ดูเหมือนจะเป็นงานอดิเรกของพวก ‘กี๊ก’ (geek) ซึ่งหลงใหลในคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีอย่างมาก มีแฮกเกอร์สเปซ เมกเกอร์สเปซ และแฟ็บแล็บตั้งอยู่ในหลายประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย

ทว่าขณะที่ดูเหมือนว่าชุมชนนักประดิษฐ์เหล่านี้ซึ่งเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลสร้างสรรค์สิ่งของด้วยมือของตัวเองได้อย่างอิสระกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะสวนทางกับสถานการณ์สิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนเกือบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ท่ามกลางการพัฒนาทางเทคโนโลยีอันรวดเร็วซึ่งควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ชุมชนเช่นนี้ขยายตัวมากขึ้น

ชุดบทความนี้ต้องการนำเสนอภาพรวมเบื้องต้นเกี่ยวกับชุมชนนักประดิษฐ์ในยุคดิจิทัลจาก 4 ประเทศได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา ผ่านการเก็บข้อมูลในพื้นที่ด้วยการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์สมาชิกของชุมชน ร่วมกับการค้นคว้าจากเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อหาคำตอบว่า สำหรับสมาชิกในชุมชนที่อาจจัดว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต และต้องการลงมือประดิษฐ์ของใช้ต่างๆ ด้วยตนเองให้ความหมายต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไร รวมทั้งพยายามทำความเข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ชุดบทความนี้แบ่งออกเป็น 4 ตอน ได้แก่

1) คน-เล่น-ของ: อะไรคือเมกเกอร์ ซึ่งอธิบายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัล

2) การเมืองของนักประดิษฐ์? กล่าวถึงการเมืองทำของใช้เองกับชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

3) ทลายข้อจำกัดในการเรียนรู้ นำเสนอแนวคิดเรื่องการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะซึ่งมีความสำคัญมากต่อวัฒนธรรมเมกเกอร์ผ่านชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับ

การต่อสู้ของนักประดิษฐ์ยุคดิจิทัล แสดงให้เห็นถึงการสร้างชุมชนใหม่ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพแวดล้อมในพื้นที่และหาข้อสรุปเกี่ยวกับความหมายของเสรีภาพในการแสดงออกของนักประดิษฐ์

0000

1. คน-เล่น-ของ: อะไรคือเมกเกอร์

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กิจกรรมหนึ่งซึ่งแพร่หลายในหมู่คนทำงานด้านซอฟต์แวร์ นักพัฒนาโปรแกรม หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับไอทีทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือคือ การใช้เวลาส่วนหนึ่งหันหลังให้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราวด้วยการประดิษฐ์สิ่งของที่จับต้องได้ และพูดคุยกับคนอื่นๆ ในบรรยากาศที่พวกเขารู้สึกผ่อนคลายในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า แฮกเกอร์สเปซ (Hackerspaces) เมกเกอร์สเปซ (Makerspace) แฟ็บแล็บ (Fablab) หรือชุมชนที่ใช้ชื่ออื่นแต่มีกิจกรรมหลักคล้ายกัน แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียดอยู่บ้างก็ตาม

ผู้คนในเมกเกอร์สเปซอาจคล้ายๆ กับการรวมตัวกันมาทำงานฝีมือจำพวกนิตติ้ง โคร์เชต์ ปักผ้า ในบ้าน แผนกขายอุปกรณ์งานฝีมือ หรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ ต่างกันตรงที่เมกเกอร์ (maker) สมาชิกของชุมชนเหล่านี้สนใจการสร้างสรรค์ผลงานจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องจักรต่างๆ

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดูเหมือนว่าสิงคโปร์จะตื่นตัวในเรื่องนี้มากที่สุด ทั้งการเป็นประเทศแรกสุดที่มีแฮกเกอร์สเปซ จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการให้ความสำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ 

เห็นได้ชัดเจนจากงาน Singapore Makers Faire 2016 เมื่อกลางปีที่ผ่านมา งานนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 แล้ว จากที่เคยมีผู้จัดและผู้เข้าร่วมงานไม่กี่สิบคน ปีนี้มีเมกเกอร์ร่วมแสดงสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองทั้งแบบรายบุคคลและกลุ่มต่างๆ กว่า 600 คน ส่วนผู้เข้าร่วมงานก็มีนับพันคน ไม่จำกัดเฉพาะแวดวง “กี๊ก” (geek) คอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่รวมถึงครู นักการศึกษา พ่อแม่ ศิลปิน โรงเรียน บริษัทไอที นักศึกษา ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่เฉพาะสิ่งประดิษฐ์ไอทีเท่านั้น ภายในงานยังได้รวบรวมคนทำงานฝีมือแบบอื่นๆ มาแสดงผลงานด้วย เช่น งานหนัง เย็บผ้า ร้อยลูกปัด เพราะถือว่าพวกเขาก็เป็นเมกเกอร์เช่นเดียวกัน ซึ่งการตีความเช่นนี้อาจจะไม่ตรงนักกับการรับรู้ของคนในแวดวงเมกเกอร์ในปัจจุบัน


บรรยากาศส่วนหนึ่งในงาน Singapore Makers Faire 2016

คน

“ประสบการณ์จากการสร้างสรรค์สิ่งของต่างๆ ด้วยตัวเอง และร่วมกับคนอื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกวันนี้งานที่เราทำเต็มเวลาคิดเป็นสัดส่วนที่เล็กมากของงานใหญ่ ซึ่งเราพอใจน้อยกว่าการที่ได้สร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ”

คำตอบของเอเดรียน เค (Adrian Ke) หนึ่งในสมาชิกประจำของแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ (HackerspaceSG) และมาแสดงเครื่องพิมพ์สามมิติที่เขาสร้างขึ้นเองในงาน Maker Flaire ต่อเหตุผลที่ทำให้เขาและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังทำงานหรือเคยทำงานด้านซอฟต์แวร์หรือคอมพิวเตอร์ในบริษัทเอกชนต่างๆ จึงหันมา “ทำ” ของต่างๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไปด้วยตนเอง

แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ทำให้เขาซึ่งชอบออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ จากเครื่องพิมพ์สามมิติสนุกกับการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้และใช้งานได้  รวมถึงการได้แลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นๆ ที่มีความสนใจคล้ายกัน ความสนใจของเขาคือ การสร้างเครื่องพิมพ์สามมิติที่พิมพ์สิ่งของขนาดใหญ่ได้ด้วยเวลาอันสั้น ซึ่งตอนนี้กำลังพัฒนาเป็นธุรกิจรับพิมพ์วัตถุจากเครื่องพิมพ์ที่เขาประดิษฐ์เอง ทดลองไปเรื่อยๆ จากการค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและคุยกับสมาชิกคนอื่นๆ ในแฮกเกอร์สเปซ ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานประจำในบริษัทเอกชน แต่ตอนนี้ลาออกมาใช้เวลากับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเต็มตัว โดยจ่ายเงินค่าสมาชิกแบบที่มีโต๊ะทำงานของตัวเองได้

เคมองว่าเหตุผลที่ทำให้คนตัดสินใจมาใช้พื้นที่ร่วมกับคนอื่นๆ แทนที่จะทำงานของตัวเองที่บ้านตามลำพังเป็นเพราะว่า พวกเขาสนุกกับการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้เรียนรู้เทคนิค หลักการต่างๆ จากคนอื่นๆ ทำให้สามารถประยุกต์ความรู้เหล่านี้มาสร้างสรรค์งานของตนเองได้

สมาชิกในชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลไม่แตกต่างจากเคมากนัก พวกเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุประมาณ 20-40  ปี สนใจงานช่างไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์เป็นพิเศษ ซึ่งผสานเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีเวลาว่างจากการเรียนหรือการทำงานและรายได้มากพอที่จะใช้ไปกับงานอดิเรก แล้วทดลองลงมือประดิษฐ์ของที่ตั้งใจไว้ ซึ่งอาจจะเป็น “ของเล่น” เพื่อความเพลิดเพลินใจ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจใหม่ก็ได้


เอเดรียน เค และเครื่องพิมพ์สามมิติของเขาในงาน Maker Faire Singapore 2016


ของเล่น

วัฒนธรรมเมกเกอร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีเครื่องมือ 3 ชิ้นนี้ ซึ่งทำให้คนธรรมดาสามารถสร้างสรรค์ งานและต่อยอดความคิดได้ จากเดิมที่เครื่องมือเหล่านี้เป็นเครื่องจักรที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมเท่านั้น ทุกวันนี้ผลงานของเม
กเกอร์และพื้นที่ที่เรียกว่าแฮกเกอร์สเปซหรือเมกเกอร์สเปซล้วนแต่ต้องประกอบด้วยหนึ่งในสามสิ่งนี้ทั้งนั้น


1.Raspberry Pi

Raspberry Pi  เริ่มต้นจากความคิดหลังจากการสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร ของเอเบน อัปตัน (Eben Upton)  ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อัปตันและคณะนักวิชาการจึงร่วมกันพัฒนาคอมพิวเตอร์ราคาถูกเพื่อทำให้เด็กสนใจการทำงานของคอมพิวเตอร์มากขึ้น

แรงบันดาลใจของพวกเขามาจาก BBC Micro ซึ่งเป็นไมโครคอมพิวเตอร์ของโครงการเพื่อสร้าง Computer Literacy ของ BBC ในปี 1981 มูลนิธิ Raspberry Pi ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 เพื่อส่งเสริมการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ในระดับโรงเรียนและทำให้การ computing เป็นเรื่องสนุกและเข้าถึงได้ Raspberri Pi ต้นแบบเปิดตัวในปี 2011 โดยมีขนาดเท่ากับ USB Stick ที่ด้านหนึ่งมีพอร์ต HDMI อีกด้านหนึ่งเป็นช่อง USB เพื่อต่อกับอีกด้านหนึ่ง

ชื่อ Raspberri Pi เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของการตั้งชื่อไมโครคอมพิวเตอร์ตามชื่อผลไม้ คำว่า Pi มาจากเหตุผลที่ว่าไมโครคอมพิวเตอร์นี้เขียนด้วยภาษา Python แม้ตอนนี้จะพัฒนาให้รองรับภาษาอื่นๆ แล้วก็ตาม

ครั้งแรกที่วางจำหน่ายในปี 2012 Raspberri Pi มีราคา35 เหรียญ ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล 700 เมกะเฮิร์ตซ แรม 512 เมกะไบต์ ช่องเสียบ USB 2 ช่องและการ์ดจอความละเอียด 1080 พิกเซล ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็น Raspberry Pi 3 ซึ่งประกอบด้วย a quad-core CPU ไวไฟและบลูทูธ ในปลายปี 2015 ถูกขายไปทั้งสิ้น 5 ล้านชิ้น กูเกิลได้มอบเป็นของขวัญแก่นักเรียนในประเทศอังกฤษ 15,000 ชิ้น เพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ล่าสุด Raspberry Pi รุ่น 3 ประกอบด้วยหน่วยประมวลผลข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตัวรับสัญญาณไวไฟ-บลูทูธ พอร์ต USB ราคาประมาณ 2,500 บาท


ภาพประกอบจากเว็บ https://www.raspberrypi.org/blog/raspberry-pi-3-on-sale/
  

2.Arduino

อาร์ดูโน   (Arduino)  เป็นแผงควบคุมวงจรไมโครคอมพิวเตอร์ซึ่งมีที่มาจากวิทยานิพนธ์ด้านการออกแบบของนักศึกษาปริญญาโท ในสถาบัน Interaction Design Institute Ivrea ประเทศอิตาลี ในปี 2004 ก่อนที่จะได้รับการพัฒนาต่อมาโดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี (non-technical audience) เช่น ศิลปิน นักออกแบบ ใช้เป็นเครื่องมือทำงานสร้างสรรค์ต่างๆ อาร์ดูโนเป็นแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์แบบเปิด (open source) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นแผงไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลข้อมูล ช่อง USB และซอฟต์แวร์ เราสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์เพื่อควบคุมการใช้กล้อง เซนเซอร์การเคลื่อนไหว การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ใช้วิธีเขียนโปรแกรมที่ถูกกว่า อาร์ดูโนได้รับความนิยมไปทั่วโลกและถูกจัดว่าเป็นการปฏิวัติ DIY อิเล็กทรอนิกส์ ราคาของอาร์ดูโนอยู่ที่ 30 เหรียญ ด้วยวิธีการติดตั้งฮาร์ดแวร์และการเขียนซอร์สโค้ดไม่มีลิขสิทธิ์ อาร์ดูโนจึงมีอิทธิพลที่สุดของขบวนการเคลื่อนไหวฮาร์ดแวร์เสรี

อาร์ดูโนเป็นแผงวงจรควบคุมที่ให้มือสมัครเล่นประดิษฐ์ของต่างๆ ได้ เราสามารถเชื่อมอาร์ดูโนเข้ากับอุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ ได้ ไฟ มอเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ และง่ายต่อการเรียนซอฟต์แวร์เพื่อโปรแกรมสิ่งที่ต้องการสร้าง หรือสร้างหุ่นยนตฺ์ที่ควบคุมด้วยโทรศัพท์มือถือ


ตัวอย่างแผงอาร์ดูโนรุ่นหนึ่ง
ภาพจาก Arduino.cc http://playground.arduino.cc/Main/DisablingAutoResetOnSerialConnection


3.เครื่องพิมพ์สามมิติ

เครื่องพิมพ์สามมิติทำให้นักออกแบบสร้างโมเดลสามมิติหรือโมเดลต้นแบบได้ ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ที่คนธรรมดาสามารถดาวน์โหลดไฟล์แล้วพิมพ์ชิ้นส่วน เครื่องพิมพ์์สามมิติเริ่มต้นพัฒนาโดย Charles W. Hull ราวทศวรรษ 1980 โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (Stereolithography) แบบพิมพ์ทีละชั้น (layers)  ซึ่งต่อยอดจากงานวิจัยของ Hideo Kodama นักวิจัยชาวญี่ปุ่น

เครื่องพิมพ์สามมิติควบคุมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และใช้วัสดุการพิมพ์ที่หลากหลาย โดยมากมักเป็นพลาสติก การพิมพ์ลักษณะนี้ใช้วัสดุที่เป็นอะคิลิกเป็นฐานที่รู้จักกันในชื่อโฟโตโพลิเมอร์ (photopolymer) ผสมกับเลเซอร์อัลตราไวโอเลตและเปลี่ยนรูปกลายเป็นชิ้นส่วนพลาสติกตามที่ออกแบบไว้ ฮัลล์ได้ก่อตั้งบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องพิมพ์สามมิติขึ้น ในช่วงทศวรรษแรกส่วนใหญ่ใช้ในวงการแพทย์ เช่น ผลิตชิ้นส่วนอวัยวะเทียม

ในช่วงปี 2005 เกิดโครงการ RepRap Project ซึ่งมีการเผยแพร่วิธีสร้างเครื่องพิมพ์สามมิติที่สร้างตัวเองได้ เช่น พิมพ์ชิ้นส่วนทั้งหมดของเครื่องพิมพ์ได้ เนื่องจากเป็นโครงการซอฟต์แวร์เสรีจึงทำให้เกิดความตื่นตัวในการสร้างเครื่องพิมพ์สามมิติอย่างกว้างขวางในหมู่คนธรรมดา และนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องพิมพ์สามมิติแบบใหม่ๆ รวมถึงการประดิษฐ์ข้าวของต่างๆ ด้วยตนเอง


ตัวอย่างเครื่องพิมพ์สามมิติที่เมกเกอร์สร้างเอง

ทุกวันนี้เครื่องมือเหล่านี้มีราคาถูกลง หาซื้อได้ง่ายและมีความสามารถมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมการใช้แผงไมโครคอมพิวเตอร์เหล่านี้ในแวดวงต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา นอกจากเทคโนโลยีและฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะมีราคาถูกลงแล้ว การที่ผู้ริเริ่มมีแนวคิดต่อการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะอย่างเสรีก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความรู้และเครื่องมือเหล่านี้


สนาม “ผู้ใหญ่” เล่น

ชุมชนนักสร้างสรรค์ของผู้สนใจงานประดิษฐ์จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่กลายเป็นต้นแบบของพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกได้แก่ แฮกเกอร์สเปซ เมกเกอร์สเปซ และแฟบแล็บ เป็นผลจากการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของคนทั่วไป ควบคู่กับการพัฒนาเครื่องจักรที่เดิมเคยอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมมาอยู่ในระดับครัวเรือนได้ในราคาที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์สามมิติ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องจักรกลที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เตารีดบัดกรี หรือแม้กระทั่งจักรเย็บผ้า ไปจนถึงแผงคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่หาซื้อง่าย ราคาถูก เรียนรู้ได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น Raspberri Pi หรือ Arduino สำหรับเป็นส่วนประกอบในสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ขนาดเล็ก สถานที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ซึ่งปัจเจกบุคคลมาใช้พื้นที่และเครื่องมือต่างๆ ร่วมกัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์

ก่อนหน้าที่จะมีชื่อและรูปแบบหลากหลายดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การ “ทำ” ข้าวของและการ “เล่น” ของชาวกี้กเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

แนวคิด “แฮกเกอร์สเปซ (Hackerspace)” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในรูปแบบของชมรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเหล่าโปรแกรมเมอร์มาใช้พื้นที่ร่วมกัน ชื่อ C-base และ C4 ที่ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 1995 แนวคิดนี้เริ่มขยายออกไปในทวีปอเมริกาเหนือในอีก 12 ปีต่อมา กลุ่มแฮกเกอร์ชาวอเมริกันได้เข้าร่วมงานประชุมหนึ่งในปี 2007 ซึ่งมี Ohlig และ Weiler ผู้ก่อตั้ง C4 นำเสนอแนวคิดการสร้างแฮกเกอร์สเปซ โดยได้อธิบายรูปแบบของแฮกเกอร์สเปซ แนวคิดหลัก และวิธีการจัดตั้ง เมื่อกลับไปยังสหรัฐอเมริกา กลุ่มแฮกเกอร์ก็ได้นำแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ต่อและจัดทำเว็บไซต์ Hackerspace.org ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการก่อตั้งชุมชนลักษณะนี้

แฮกเกอร์สเปซซึ่งเปิดระบบสมาชิก เป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน ในสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นงานอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์เสรี การรีไซเคิลคอมพิวเตอร์ การประดิษฐ์และใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ ความนิยมแฮกเกอร์สเปซสะท้อนผ่านจำนวนหลักสูตรอบรมวิธีการใช้งานอุปกรณ์ควบคุมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก (programmable microcontroller) ในแฮกเกอร์สเปซต่างๆ ได้

แฮกเกอร์สเปซเติบโตพร้อมกับการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของคนทั่วไปที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันทั้งออฟไลน์และออนไลน์ จากข้อมูลเดือนสิงหาคม 2559 ในเว็บไซต์ hackerspaces.org ระบุว่า มีแฮกเกอร์สเปซทั่วโลก 2,073 แห่ง โดยมีจำนวน 1,281 แห่งที่ยังเคลื่อนไหวอยู่

ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทวีปยุโรปมีปรากฎการณ์ที่คล้ายคลึงกันในแง่ของการสร้างพื้นที่ให้สาธารณะได้เข้าถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทว่าถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการทางการเมืองด้วย แฮกแล็บ (hacklab) เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1995-2005 ท่ามกลางความตื่นตัวของการเข้าไปจับจองพื้นที่รกร้างมาทำประโยชน์และขบวนการเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านสื่อในทวีปยุโรป

แฮกแล็บที่แรกอยู่ในอิตาลี ก่อนจะขยายไปยังเยอรมนี สเปน และเนเธอร์แลนด์ แฮกแล็บเป็นพื้นที่เปิดซึ่งดำเนินการโดยสมัครใจ มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตสาธารณะให้ใช้ โดยส่วนหนึ่งเป็นการนำกลับมาใช้ใหม่และระบบปฏิบัติการ Linux กิจกรรมในแฮกแล็บมักเป็นการฝึกอบรมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์เสรี ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวหลายระดับ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์พื้นฐานไปจนถึงการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันคำว่าแฮกแล็บไม่ได้ใช้เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกต่อไป แต่ถูกใช้ในความหมายเดียวกับแฮกเกอร์สเปซ

คำว่า “เมกเกอร์สเปซ (Makerspace)” ไม่ปรากฎในที่สาธารณะจนกระทั่งปี 2005 ซึ่งนิตยสาร MAKE วางแผงครั้งแรก คำนี้เป็นที่นิยมเมื่อปี 2011 ตอนที่เดล โดเกียตี (Dale Dougherty) จดทะเบียนเว็บไซต์ และเริ่มใช้คำนี้เพื่อหมายถึงสถานที่ซึ่งคนทั่วไปเข้าถึงได้ มาออกแบบและสร้างสิ่งต่างๆ มีเป็นชุมชนที่สมาชิกมาแลกเปลี่ยนเครื่องมือร่วมกัน ต่างจากแฮกเกอร์สเปซที่เน้นไปที่คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ คำว่าแฮกก็ถูกมองในแง่ลบแล้ว แม้เขาจะมองว่าคำว่าแฮก (hack) คือการกระทำสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ตาม

ใน Maker Movement Manifesto อธิบายว่าเมกเกอร์สเปซเป็นชุมชนที่ผสานเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตต่างๆ และการศึกษาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้สมาชิกในชุมชนสามารถออกแบบ สร้างต้นแบบจากเครื่องมือเหล่านี้ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นไปได้ยาก หากทำงานตามลำพัง รูปแบบขององค์กรไม่ตายตัว เมกเกอร์สเปซสามารถเป็นได้ทั้งบริษัทหรือองค์กรไม่แสวงหากำไร หรือเป็นกลุ่มที่อยู่ในสถานศึกษาก็ได้ เมกเกอร์สเปซเป็นกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตยของการออกแบบ วิศวกรรม การประดิษฐ์ และการศึกษา ทุกคนสามารถสร้างเมกเกอร์สเปซได้โดยไม่มีระเบียบข้อบังคับ โดยศึกษาแนวทางได้จากคู่มือสร้างเมกเกอร์สเปซ

ส่วน “แฟ็บแล็บ (Fablab)” ถือกำเนิดขึ้นในศูนย์วิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมทซาชูเซ็ตต์ที่ชื่อ Massachusetts Institute of Technology’s Center for Bits and Atoms และหลักสูตรที่ชื่อว่า “How to Make (Almost) Anything” เมื่อค.ศ. 1998 Neil Gershenfeld นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ซึ่งสอนการใช้เครื่องจักรต่างๆ ให้กับนักศึกษา ซึ่งมีทั้งศิลปิน สถาปนิก หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีภูมิหลังด้านอิเล็กทรอนิกส์มาก่อนเลย นักศึกษาเหล่านี้ใช้เครื่องมือของศูนย์ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องตัดเลเซอร์สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ตามจินตนาการของตัวเองได้ เช่น นาฬิกาปลุกที่หยุดเสียงปลุกได้เองโดยไม่ต้องกด จักรยานที่ชาร์ตแบตเตอรีได้ระหว่างปั่น ภายหลังมีการเผยแพร่แนวคิดของแฟ็บแล็บไปทั่วโลกจากการสนับสนุนของมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกาในฐานะที่เป็นต้นแบบของการฝึกอบรมด้านการประดิษฐ์ทางดิจิทัล (digital-fabrication) แฟ็บแล็บได้รับการจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า ผู้ที่จะใช้ชื่อแฟ็บแล็บต้องปฏิบัติตามกฎ คุณสมบัติเบื้องต้นของแฟ็บ เป็นพื้นที่ซึ่งสาธารณะเข้าถึงได้ มีระบบสมาชิก มีเครื่องจักรด้านเทคโนโลยีที่ให้ใช้งานร่วมกันและเข้าร่วมเป็นเครือข่ายของแฟ็บแล็บ จนถึงปี 2016 มีแฟ็บแล็บกระจายอยู่หลายประเทศทัวโลกจำนวน 692 แห่ง

เมกเกอร์สเปซ แฮกเกอร์สเปซ และแฟ็บแล็บ แม้จะมีที่มาแตกต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมกันตรงที่เป็นชุมชนที่สมาชิกเข้าถึงและใช้เครื่องจักรหรือเครื่องมือร่วมกัน นอกจากการสร้างสรรค์งานของปัจเจกบุคคลแล้ว เป้าหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้ความเชี่ยวชาญ


2. การเมืองของนักประดิษฐ์?

แม้ดูเหมือนว่าสมาชิกของชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตจะให้ความสำคัญกับการใช้เวลาว่างทำกิจกรรมที่ตนเองพึงพอใจ แต่การกระทำของพวกเขาก็สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมจำนนต่อข้อจำกัดที่มีอยู่ เช่น ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพงหรือมีลิขสิทธิ์ทางปัญญา อุปกรณ์บางอย่างที่มีราคาสูงเกินไป รวมถึงความพยายามสร้างชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ มีปฏิสัมพันธ์กันทางกายภาพ

ขณะที่ยังมีข้อถกเถียงอยู่ว่าที่สุดแล้ว สิ่งที่เมกเกอร์ปฏิบัติเป็นการแสดงออกทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจากเมกเกอร์อาจทับซ้อนกับสองปรากฎการณ์ที่สำคัญคือ กระแสการต่อต้านระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมในสังคมสมัยใหม่ และวัฒนธรรม Do-It-Yourself การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่รวดเร็วนำมาซึ่งความรู้สึกต่อต้านกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม จนนำมาสู่การหวนกลับไปสู่งานฝีมือ โดยในกรณีของเมกเกอร์เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงเครื่องจักรในระบบอุตสาหกรรม ใช้คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สร้างสรรค์งานของตนเอง

หลังจากตอนที่ 1 เป็นการแนะนำให้รู้จักกับชุมชนนักประดิษฐ์ในยุคสมัยใหม่ว่ามีลักษณะอย่างไรแล้ว บทความนี้จะย้อนกลับไปสำรวจวัฒนธรรมประดิษฐ์ของใช้เองในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่น่าจะสัมพันธ์กับความตื่นตัวต่อการสร้างสรรค์ของใช้ด้วยมือของเราเองในยุคดิจิทัลในบางด้าน โดยเฉพาะการท้าทายต่อโครงสร้างทางสังคมบางอย่าง โดยเริ่มจากพิจารณานักประดิษฐ์ในสิงคโปร์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำของภูมิภาคนี้ ในฐานะที่เป็นประเทศแรกสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับเอาแนวคิดแฮกเกอร์สเปซมาทดลองดำเนินการและยังดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  


ย้อนดูขบวนการเคลื่อนของไหวของนักประดิษฐ์

ก่อนการเกิดขึ้นของเมกเกอร์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เกิดขบวนการเคลื่อนไหวด้านศิลปะและงานฝีมือ (Arts and Crafts Movement) ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเทศอังกฤษ นักคิดชาวอังกฤษในช่วงนั้นซึ่งประกอบด้วยนักออกแบบและนักวิจารณ์ศิลปะแสดงความกังวลว่าระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ทำลายความเป็นมนุษย์ และทำให้งานฝีมือด้อยค่าลงนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 มนุษย์กลายเป็นเครื่องจักรและรู้สึกแปลกแยกกับงานของตัวเอง ขบวนการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหวนกลับมาให้ความสำคัญกับการทำงานฝีมือและศิลปะ แนวคิดนี้ได้ส่งผลให้เกิดชุมชนศิลปะและงานฝีมือใหม่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะชุมชนช่างฝีมือประเภทต่างๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ช่างไม้ ก่อนที่จะซบเซาลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

จนกระทั่งยุคสงครามเย็น แนวคิดนี้ได้ถูกกล่าวถึงอีกครั้งโดยคนหนุ่มสาวในทศวรรษ 1960 ซึ่งเชิดชูความเรียบง่ายและการหวนกลับไปใช้ชีวิตดั้งเดิมในชนบท รวมทั้งอิทธิพลจากแนวคิดที่ว่าการบริโภคอย่างฉลาดเป็นรูปแบบหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย ความคิดเช่นนี้ทำให้การปฏิเสธเครื่องจักรในยุคแรกเริ่มของขบวนการเคลื่อนไหวด้านศิลปะและงานฝีมือค่อยๆ หายไป พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี

ปรากฏการณ์เมกเกอร์ที่แพร่หลายนี้ยังเป็นหนึ่งในวัฒนธรรม Do-It -Yourself หรือ DIY โดยเปลี่ยนจากการผลิตอย่างเดียวของ DIY แบบเดิมมาสู่การบริโภคประสบการณ์ ซึ่งมาพร้อมกับบริการต่างๆ และเครื่องมือที่ซับซ้อนน้อยลงเพื่อการผลิตในระดับส่วนตัวได้ วัฒนธรรม DIY กำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อหมายถึงการปรับปรุงบ้าน (home improvement) ที่สหรัฐอเมริกา ปี 1912 เมื่อมีการใช้คำนี้ในนิตยสารแต่งบ้านเพื่อเป็นวิธีลดค่าใช้จ่ายของชาวอเมริกันในช่วงที่เริ่มเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หลังจากตลาดหุ้นตกต่ำร้ายแรงในปี 1929 การปรับปรุงบ้านเป็นที่กล่าวถึงอย่างจริงจังจนนับเป็นส่วนหนึ่งของจริยธรรมการทำงาน นิตยสารต่างๆ พากันนำเสนอความเพลิดเพลินของกิจกรรม DIY รัฐบาลยังได้มีโครงการปล่อยกู้สำหรับการซ่อมแซมหรือปรับปรุงบ้านที่การซ่อมแซมบ้าน จนการส่งเสริมการขายอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านๆ ต่างๆ เฟื่องฟู

ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชายชาวอเมริกันซึ่งมีประสบการณ์จากการไปซ่อมแซมบ้านในต่างประเทศหลังสงคราม เริ่มทำงานช่างมากขึ้น มีร้านขายวัสดุและเครื่องมือต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เคยเป็นร้านเฉพาะคนทำงานอาชีพนี้เท่านั้น กลายเป็นร้านสำหรับคนทั่วไปที่เป็นมือสมัครเล่น ประกอบกับการที่ห้องน้ำและห้องครัวกลายเป็นมาตรฐานของบ้านสมัยใหม่ที่มาพร้อมกับแนวคิดว่าด้วยความสะอาดและสุขอนามัย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น จานชาม เตาแก๊ส ผลิตจากระบบโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งคนทั่วไปซื้อหาได้ ชาวอเมริกันจึงปรับเปลี่ยนบ้านให้ทันสมัยมากขึ้นได้ด้วยราคาที่เข้าถึงได้

ความตื่นตัวต่อประเด็นสิทธิเสรีภาพของ “กี๊ก”คอมพิวเตอร์  กาเบรียลลา โคลแมน Gabriella Coleman) เสนอไว้ใน Coding Freedom: The Ethics and Aesthetics of Hacking (2013) ว่ามีแรงผลักดันมาจากสิทธิในการเข้าถึงความรู้และการเรียนรู้ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 หลังจากพวกเขามีประสบการณ์เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์และซอฟต์แวร์เสรีระหว่างปลายทศวรรษ 1970-1980 ซึ่งได้เปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้เป็นสินค้าที่ซื้อขายได้โดยได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญา ในช่วงทศวรรษ 1990 ซอฟต์แวร์ฟรีได้รับความนิยมและแพร่หลาย ระยะแรกนักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใช้งานบนพื้นฐานความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและการปฏิบัติจริง จนกระทั่งเห็นถึงข้อจำกัดทางกฎหมายในการใช้งาน และข้อจำกัดของซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยซอร์สโค้ด (source code) ซึ่งทำให้ไม่สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้ แนวคิดเรื่องซอฟต์แวร์แบบเสรีและเปิด (Free and Open Source Software: F/OSS) จึงได้รับความสนใจ

ส่วนชุมชนนักสร้างสรรค์ของผู้สนใจงานประดิษฐ์จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น แฮกเกอร์สเปซ (hackerspace) เมกเกอร์สเปซ (makerspace) แฟ็บแล็บ (fablab) เทคช็อป (techshop) ฯลฯ รวมถึงการ “ทำ” สิ่งของต่างๆ มากมายเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 แม้จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามจุดเริ่มต้น แต่มีลักษณะร่วมกันคือ ชุมชนทางกายภาพของปัจเจกบุคคลที่มาใช้พื้นที่และเครื่องมือต่างๆ ร่วมกัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์ กล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวของทั้งผู้ปฏิเสธสินค้าจากกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม และผู้ที่ลงมือทำสิ่งของด้วยตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้คนนอกโรงงานอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงเครื่องจักรได้และกลายผู้ผลิตของใช้ได้เอง แม้จะเป็นเพียงกิจกรรมในเวลาว่างก็ตาม


จุดเริ่มต้นของ แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเกิดขึ้นของแฮกเกอร์สเปซในเอเชียอาจนับจากการ “อสัมมนา (Unconference) ที่จัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2009 เป็นการรวมตัวกันของโปรแกรมเมอร์ วิศวกร นักพัฒนาไอที ศิลปิน พ่อครัว นักดนตรี และบุคคลทั่วไปที่สนใจวัฒนธรรมกี๊ก (geek culture) แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์สร้างแรงบันดาลใจให้กับอินโดนีเซีย ซึ่งภายในปีเดียวมีแฮกเกอร์สเปซในอินโดนีเซียเกิดขึ้นตามมา 4 แห่ง หนึ่งในนั้นคือแฮกเกอร์สเปซบันดุง (Hackerspace Bandung) (ปัจจุบันยุติการดำเนินงานแล้ว) ผู้ก่อตั้งซึ่งล้วนแต่เป็น “กี๊กคอมพิวเตอร์” เมื่อได้เยี่ยมชมแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จนเกิดความประทับใจจึงนำแนวคิดนี้ไปก่อตั้งแฮกเกอร์สเปซบันดุงในปี 2010 จากนั้นมีแฮกเกอร์สเปซอีกหลายแห่ง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อย่างไรก็ตามแฮกเกอร์สเปซเหล่านี้ปิดตัวลงภายในระยะเวลา 1-2 ปี ตัวอย่างเช่น แฮกเกอร์สเปซฮานอยซึ่งริเริ่มโดยนักพัฒนาโปรแกรมชาวเยอรมันที่มาอาศัยอยู่ที่ฮานอย แต่ต้องปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาการเช่าพื้นที่และผู้ก่อตั้งย้ายออกจากเมือง ปัจจุบันหลงเหลือแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์เพียงแห่งเดียวที่ยังคงดำเนินการภายใต้แนวคิดแฮกเกอร์สเปซ

เมกเกอร์สเปซเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในภูมิภาคนี้ เนื่องจากการพัฒนาบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ราคาถูกลงและหาซื้อได้ง่ายกว่าเดิม และคำว่าเมกเกอร์เป็นมิตรและครอบคลุมการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ด้วย ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ทิศทางของเมกเกอร์สเปซมีแนวโน้มจะสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ได้ รวมถึงขยายขอบเขตไปยังพื้นที่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะการศึกษาและการพัฒนาสังคม


กระบวนการประชาธิปไตยแบบเมกเกอร์ชาวสิงคโปร์

“กิจกรรมของชุมชนเมกเกอร์ก็ถือว่าเป็นกระบวนการของประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แม้ไม่ต่อต้านกับอำนาจโดยตรง แต่ก็ปฏิบัติผ่านการใช้ข้อมูล”

วิลเลียม ฮุย (William Hooi) เจ้าของบริษัท One Maker Group ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเมกเกอร์เต็มเวลาที่สิงคโปร์กล่าวถึงการแสดงออกทางการเมืองของเมกเกอร์ในสิงคโปร์

ฮุยทำงานอยู่ในแวดวงการศึกษามากว่า 15 ปี  เขาเคยเป็นครูในโรงเรียนมัธยม และทำงานที่ศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ชุมชนเมกเกอร์ และเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มจัดงาน Singapore Mini Makers’Faire ปัจจุบันฮุยลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองโดยเน้นไปธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมกเกอร์ เช่น การจัดงานเมกเกอร์ในสิงคโปร์และสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายเมกเกอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย กัมพูชา และไทย บริษัทของเขาแบ่งกำไร 25% เพื่อสนับสนุนชุมชนเมกเกอร์ในสิงคโปร์

เขายกตัวอย่างความพยายามนำเสนอข้อมูลให้กับรัฐบาลสิงคโปร์ในกรณีฝุ่นหมอกควันในประเทศ สิ่งที่เมกเกอร์ทำคือประดิษฐ์อุปกรณ์ตรวจวัดละอองฝุ่นเอง แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปนำเสนอให้กับรัฐบาลเพื่อถกเถียงกับข้อมูลของรัฐ เมกเกอร์สิงคโปร์อาจแตกต่างจากแฮกเกอร์สเปซหรือเมกเกอร์สเปซอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่าต้องการต่อต้านอะไรเป็นพิเศษ เขามองว่าชุมชนจะมีลักษณะอย่างไรขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ก่อตั้งว่ามีพื้นเพอย่างไร เช่น ตัวเขาเป็นนักการศึกษาก็จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นนี้เป็นหลัก

สิงคโปร์ไม่มีความขัดแย้งเรื่องใดเรื่องหนึ่งชัดเจน ประชาชนมักไม่แสดงออกว่าตนเองคิดเห็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ หากไม่เห็นด้วยก็เลือกที่จะเงียบ กลุ่มของตนเองทำงานกับรัฐบาล เมื่อมีปัญหาหรือข้อเสนอแนะก็จะหาทางพูดคุยกับรัฐบาลโดยตรง เช่น อยากให้รัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศก็จะเข้าร่วมประชุมกับตัวแทนภาครัฐ

“เราไม่ได้ต่อต้านรัฐโดยตรง เราต่อต้านในแบบของเรา ถ้าเราไม่พอใจ เราก็จะเข้าไปคุยกับรัฐ พยายามประนีประนอม ไม่แตกหัก"

สิงคโปร์ชูการส่งเสริมวิทยาศาสตร์เป็นนโยบายสำคัญในการพัฒนาประเทศ กลุ่มเมกเกอร์จึงได้รับความสนใจจากรัฐบาลสิงคโปร์ ในงานสิงคโปร์เมกเกอร์แฟร์ 2016  รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์มาดูงานก่อนวันจริง และพูดคุยกับกลุ่มเมกเกอร์ด้วย

ความเห็นของฮุยเป็นไปในทำนองเดียวกับสมาชิกของแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์อีกหลายคนที่มองว่าชาวสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติมากกว่า ไม่ค่อยถกเถียงสิ่งที่เป็นนามธรรม พวกเขาย้ำว่า “คนสิงคโปร์เป็นนักปฏิบัติ (pragmatist)”

การจัดการพื้นที่และความสัมพันธ์ในแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนสังคมที่พวกเขาอยากใช้ชีวิตอยู่


สังคมจำลองของนักประดิษฐ์ชาวสิงคโปร์  

แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ (HackerspaceSG) ตั้งอยู่บนชั้นสองของอาคารพาณิชย์ที่เป็นของครอบครัวของสมาชิกคนหนึ่ง มีขนาดพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร คนทั่วไปต้องขึ้นบันได กดกริ่งที่ประตู แล้วจะมีคนมาเปิดประตูให้ ส่วนสมาชิกจะมีรหัสผ่านประตู พื้นที่ในห้องแบ่งเป็นสามส่วนหลักได้แก่ ห้องเงียบสำหรับผู้ที่ต้องการสมาธิสูง พื้นที่ตรงกลางซึ่งมีโต๊ะประชุมขนาด 10-12 ตั้งอยู่กลางห้องและมุมหนังสือที่จัดไว้เป็นห้องสมุดขนาดย่อม ด้านหลังเป็นพื้นที่เก็บอาหารแห้ง เครื่องครัวต่างๆ

ข้าวของส่วนใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทุกที่คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อุปกรณ์งานช่าง เช่น สว่านไฟฟ้า ไขควง เครื่องพิมพ์สามมิติ ภายในห้องยังมีโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์ของสมาชิกบางคน ที่แฮกเกอร์สเปซนี้เปิดพื้นที่ให้สมาชิกทดลองทำสิ่งต่างๆ อย่างอิสระ ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่รบกวนคนอื่นๆ และรักษาความสะอาด บางคนปลูกผักไฮโดรโพรนิกส์ บางคนทำโยเกิร์ต เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ในพื้นที่นี้มาจากการบริจาคของสมาชิก ค่าใช้จ่ายหลักของแฮกเกอร์สเปซคือ ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำและค่าไฟ ซึ่งใช้วิธีเก็บค่าสมาชิก ท่ีนี่ไม่มีเวลาปิด แต่ส่วนใหญ่แล้วสมาชิกจะมาที่นี่ช่วงบ่าย จนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม แล้วจึงแยกย้ายกลับบ้าน

ในวันธรรมดาที่ไม่มีกิจกรรมพิเศษ เช่น เวิร์คชอปต่างๆ สมาชิกซึ่งล้วนแต่เป็นเพศชาย ต่างก็ทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ เช่น ประดิษฐ์และค้นข้อมูลเกี่ยวกับการพิมพ์ชิ้นส่วนต่างๆ จากเครื่องพิมพ์สามมิติ ประดิษฐ์โดรน หรือจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการแสดงผลงานหรือประชาสัมพันธ์กิจกรรม

ที่นี่ไม่มีพนักงานประจำนอกจากแม่บ้านทำความสะอาดเท่านั้น แม้การจัดการต่างๆ จะอยู่ในรูปแบบบริษัทเพื่อติดต่อกับทางการหรือเช่าการพื้นที่ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การจัดระบบหรือหาข้อตกลงต่างๆ เกี่ยวกับการใช้พื้นที่เป็นการสนทนาออนไลน์ผ่านกลุ่มในเฟซบุ๊กหรืออีเมลกลุ่ม ยกเว้นในกรณีที่ต้องมีการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เช่น การย้ายสถานที่ ที่จะต้องนัดประชุมสมาชิกเพื่อขอความเห็น

มีการจัดกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอและเปิดให้สาธารณะเข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือต้องเป็นสมาชิก เช่น การบรรยายให้ความรู้ต่างๆ ทั้งโดยสมาชิกด้วยกันเองและเชิญผู้เชี่ยวชาญมาบรรยาย ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สมาชิกสามารถจัดพูดคุยโดยใช้พื้นที่ได้ด้วยเช่นกันในเรื่องที่ตนเองถนัด เช่น การสอนเล่นอูโคเลเล่ การเล่นเกมกระดาน เป็นต้น

ระบบสมาชิกของแฮกเกอร์สเปซแบ่งออกเป็นหลายระดับโดยคิดค่าสมาชิกรายเดือนได้แก่ เพื่อน 16 ดอลลาร์สิงคโปร์ สมาชิกกิตติมศักดิ์ 32 ดอลลาร์สิงคโปร์ สมาชิกสมทบซึ่งสามารถเข้าใช้พื้นที่ได้ 24 ชั่วโมง แต่เป็นนักเรียน 64 ดอลลาร์สิงคโปร์ สมาชิกสามัญซึ่งสามารถเก็บทรัพย์สินส่วนตัวไว้ในล็อกเกอร์ส่วนตัวได้ ยืมหนังสือได้ 128 ดอลลาร์สิงคโปร์ ผู้อาศัยประจำซึ่งจะมีโต๊ะทำงานทุกครั้งที่เข้ามาใช้งาน แต่ไม่สามารถวางทิ้งไว้บนโต๊ะได้ 256 ดอลลาร์สิงคโปร์ ผู้สนับสนุนจะมีโต๊ะทำงานส่วนตัว วางของไว้บนโต๊ะได้ 512 ดอลลาร์สิงคโปร์ และสมาชิกอุปถัมภ์จะมีโต๊ะทำงานส่วนตัว วางของไว้บนโต๊ะได้ 1,337 ดอลลาร์สิงคโปร์

แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์เริ่มต้นขึ้นในปี 2009 โดยเป็นกลุ่มของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ขณะนั้นยังไม่มีบอร์ด Raspberri Pi หรือ Arduino ซึ่งเป็นแผงควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กออกมา รวมถึงคำว่า Makerspace แต่ชื่อ Hackerspace มีมานานแล้วและได้รับความนิยมในต่างประเทศ จึงตกลงใช้คำว่า Hackerspace ลูเธอร์ โกห์ (Luther Goh) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวัย 28 ปี อธิบายว่าเป็น “พื้นที่ของ Geek” ความแตกต่างระหว่างแฮกเกอร์สเปซและ เมกเกอร์สเปซในสายตาของเขาคือ ในยุคแรก แฮกเกอร์สเปซเน้นไปที่ซอฟต์แวร์ในตอนแรก ส่วนเมกเกอร์เป็นการทำของที่จับต้องได้ แม้ตอนนี้แฮกเกอร์สเปซจะมีทั้งสองอย่างแล้วก็ตาม

เขาอธิบายว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจเป็นสมาชิกของแฮกเกอร์สเปซคือ การแชร์พื้นที่และเครื่องมือต่างๆ ในการประดิษฐ์ตามความสนใจของตนเองร่วมกับคนอื่นๆ ที่มีความสนใจคล้ายกันคือ เทคโนโลยี ไอที คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์มีสมาชิกประมาณ 30 คน สมาชิกทั้งหมดเป็นชาย อายุระหว่าง 20-35 ปี ทำงานด้านไอทีในบริษัทเอกชนต่างๆ บางคนเป็นนักพัฒนาโปรแกรมอิสระ บางคนกำลังเริ่มสร้างธุรกิจของตนเองซึ่งพัฒนามาจากการประดิษฐ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากแฮกเกอร์สเปซ

โกห์ตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับสมาชิกแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ เศรษฐกิจน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้คนหันมาซ่อมแซมหรือประดิษฐ์ของใช้เอง ข้อมูลที่อยู่ในโลกออนไลน์ช่วยให้ความต้องการนี้เป็นไปได้ เช่น คินเดิล (Kindle) ของสมาชิกคนหนึ่งเสีย เมื่อเขาค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตแล้วพบว่า แค่เปลี่ยนเพียงชิ้นส่วนเดียวในเครื่องก็สามารถทำงานต่อได้แล้ว จึงใช้เครื่องพิมพ์สามมิติพิมพ์ชิ้นส่วนนั้นออกมา แทนที่จะต้องซื้อเครื่องใหม่ เพราะคำนวณแล้วคุ้มค่ากว่า สำหรับโกห์ เขาต้องการทางเลือกในการจัดการและควบคุมของใช้ของตัวเอง เช่น เขาเลือกสมาร์ตโฟนที่เปลี่ยนแบตเตอรีได้ เพราะว่าไม่ต้องการที่จะพกพาวเวอร์แบงก์ติดตัวไปด้วย

แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ไม่มีระบบบริหารจัดการองค์กรแบบธุรกิจทั่วไปและไม่แสวงหากำไร ไม่มีผู้บริหารและพนักงานประจำ มีการเก็บค่าธรรมเนียมสมาชิกเพื่อจ่ายค่าสถานที่ พนักงานทำความสะอาด ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

บรรยากาศของการใช้เวลาร่วมกันด้วยกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทักษะ และการได้ลงมือทำของใช้ด้วยตนเองยังทำให้สมาชิกรู้สึกพึงพอใจ ซึ่งต่างจากการทำงานปกติ เช่น สมาชิกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานในบริษัทเอกชน มักใช้เวลาช่วงเลิกงานที่นี่ไปกับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ รับประทานอาหาร ทำงานประดิษฐ์ของตนเองจนดึกจึงค่อยกลับบ้าน การที่ไม่มีระบบแบ่งงานกันทำหรือจัดโครงสร้างบริหารงานตามลำดับชั้นแบบองค์กรสร้างความสัมพันธ์แบบเพื่อนและทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจที่ได้มา

พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรในแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์เปิดโอกาสให้คนจำนวนหนึ่งแสดงความคิดและความสามารถที่ตนเองถนัดและสนใจได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสร้างข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันที่เสรีและให้ความรู้สึกเท่าเทียมกว่าสังคมสิงคโปร์จริงๆ ที่เต็มไปด้วยข้อห้ามมากมาย ถึงกระนั้นเห็นได้ว่าเฉพาะผู้ที่เสียเงินค่าสมาชิกเท่านั้นจึงจะสามารถมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่ได้

แม้ว่าแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์จะเปิดให้สมาชิกหรือกลุ่มต่างๆ มาใช้พื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเสรี แต่มีหัวข้อที่ห้ามพูดถึง 2 เรื่องคือ การเมืองและศาสนา


เศรษฐกิจสำคัญกว่าสิทธิเสรีภาพ?

น่าสังเกตว่าประเด็นเสรีภาพการแสดงออกหรือแนวคิดเรื่อง Open Source เป็นหลักการที่ไม่ได้รับความสำคัญในหมู่สมาชิกของแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ เช่น พวกเขายังคงใช้คอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์หรือแมคอินทอช เหตุผลที่ทำให้พวกเขาสนใจการประดิษฐ์สิ่งของมาจากเหตุผลอื่นๆ มากกว่าจะเป็นการต่อต้านหรือท้าทายโครงสร้างที่เป็นอยู่ เช่น ประหยัดเงิน ลูเธอร์ยกตัวอย่างสมาชิกคนหนึ่งที่เครื่องอ่าน Kindle ของเขาเสีย จากการค้นข้อมูลแล้วพบว่าแค่เปลี่ยนชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งก็สามารถทำงานต่อได้ เขาก็ใช้เครื่องพิมพ์สามมิติพิมพ์ชิ้นส่วนนั้นออกมา แทนที่จะต้องซื้อเครื่องใหม่ เขาคำนวณความคุ้มค่ามากกว่าคิดว่าจะต่อต้านระบบใดๆ ส่วนตัวเขาเลือกใช้โทรศัพท์ที่เปลี่ยนแบตเตอรีได้เพราะเขาอยากเปลี่ยนแบตเตอรีโทรศัพท์ได้เลย โดยไม่ต้องคอยชาร์จผ่านพาวเวอร์แบงก์  

โกห์กล่าวว่าโดยทั่วไปแล้ว ชาวสิงคโปร์ไม่ได้คำนึงถึงประเด็นสิทธิเสรีภาพ เพราะเป็นนักปฏิบัติมากกว่า สำหรับเขาเสรีภาพในการแสดงออกหรือการสื่อสารเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ คือ ไม่ดูถูกคนต่างความเชื่อหรือศาสนา

สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของแฮกเกอร์สเปซและเมกเกอร์สเปซในสิงคโปร์น่าจะมาจากการมองเห็นโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง

แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซเป็น co-working space อีกรูปแบบหนึ่ง ระบบสมาชิกในแฮกเกอร์สเปซเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการริเริ่มทำธุรกิจของตนเองสามารถใช้พื้นที่นี้เป็นห้องทดลอง พัฒนาผลงาน และประกอบธุรกิจส่วนตัวด้วย ดังเช่น เอเดรียน เค (Adrian Ke) อดีตวิศวกรในบริษัทพลังงานซึ่งใช้วางแผนเริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์สามมิติที่นี่ เขาใช้เวลาทั้งวันตั้งแต่ช่วงสายของวันจนเกือบเที่ยงคืน กิจกรรมส่วนใหญ่ของเขาคือ ค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเพื่อปรับปรุงเครื่องพิมพ์สามมิติของเขาให้สามารถพิมพ์ของขนาดใหญ่ได้ โดยใช้เวลาน้อยและต้นทุนต่ำ เพราะปัจจุบันการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติเพื่อพิมพ์ของขนาดใหญ่แพงมาก เขาเห็นโอกาสทางธุรกิจข้อจำกัดนี้ เค เป็นสมาชิกประจำของแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ตั้งแต่มกราคม 2016 เป็นต้นมา โดยรู้จักผ่านเว็บไซต์ Hackerspace.org

แรกเริ่มแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์ทำให้เขาซึ่งชอบออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ จากเครื่องพิมพ์สามมิติสนุกกับการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้และใช้งานได้ เคมองว่าเหตุผลที่ทำให้คนตัดสินใจมาใช้พื้นที่ร่วมกับคนอื่นๆ แทนที่จะทำงานของตัวเองที่บ้านตามลำพังเป็นเพราะว่า พวกเขาสนุกกับการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้เรียนรู้เทคนิค หลักการต่างๆ จากคนอื่นๆ ทำให้สามารถประยุกต์ความรู้เหล่านี้มาสร้างสรรค์งานของตนเองได้ ในความคิดของเขา แฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์คือ ชุมชนที่มีพลวัตตลอดเวลา เป็นทั้ง co-working space พื้นที่จัดกิจกรรม เป็นที่พึ่งพิงแก่เหล่าแฮกเกอร์ นักเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ และกี้กทุกประเภทเช่นเดียวกับเมกเกอร์อีกหลายคนในประเทศนี้ ตอนนี้เคเพิ่งเริ่มธุรกิจรับพิมพ์วัตถุจากเครื่องพิมพ์สามมิติของตนเอง และเขาเห็นว่าว่าธุรกิจนี้มีอนาคตที่สดใส

นอกจากสมาชิกจะกำลังสร้างธุรกิจของตนเองแล้ว ยังมีการลงทุนร่วมกันระหว่างเมกเกอร์สเปซในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์จำหน่ายให้กับเมกเกอร์ทั่วโลกอีกต่อไปด้วย    



ภายในแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์


3. ทลายข้อจำกัดในการเรียนรู้

“พบว่าบางอย่างมันง่ายมาก สอนกันแค่สามชั่วโมง แต่ตอนทำเคยหาข้อมูลหนึ่งอาทิตย์ เพื่อทำสิ่งที่ทำได้ในสามชั่วโมง รู้สึกมันยากลำบากมาก ก่อนหน้านี้สมาชิกบางคนไม่มีความคิดที่จะทำแอปพลิเคชั่นควบคุมหุ่นยนต์ จนเมื่อได้รู้จักกับผู้ที่ถนัดเขียนโปรแกรมจึงทำให้ทดลองทำหุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วยโทรศัพท์มือถือ และทำเสร็จภายใน 5 วัน”

ณัฐ วีรวรรณ ประธานชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับเล่าถึงประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนของเมกเกอร์คลับที่เปิดโอกาสให้ผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญต่างกันได้แลกเปลี่ยนความรู้กันจนไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ นี่นับเป็นหัวใจสำคัญของชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับ

บทความสองตอนก่อนหน้านี้เป็นการแนะนำให้รู้จักกับชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลและเริ่มต้นสำรวจชุมชนเมกเกอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามแบบฉบับของพวกเขา ในตอนนี้จะนำเสนอวิธีเรียนรู้ และการถ่ายทอดความรู้ของกลุ่มเมกเกอร์ที่สถาบันการศึกษาในระบบไม่สามารถตอบสนองต่อพวกเขาได้


ชมรมนักประดิษฐ์ยุคใหม่ในชมรมนักประดิษฐ์ที่คุ้นเคย

ชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับตั้งอยู่ที่ชั้นสองของอาคารภิญญ์ ครีเอทีฟสเปซ จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 เริ่มต้นหลังจากที่ ณัฐ วีรวรรณ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งใช้วันหยุดจากการทำงานชักชวนให้ผู้ที่สนใจประดิษฐ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผสมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วยมาแลกเปลี่ยนความรู้ที่สำนักงานของเขาในวันหยุดได้พบกับภาณุฑัต จันทะเสน เจ้าของบริษัทจิมมี่ ซอฟต์แวร์ และประธานบริษัทอาร์ตแอนด์เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์งานฝีมือภายใต้ชื่อ “ภิญญ์ ช้อป”

เนื่องจากบริษัทมีห้องว่างและเครื่องมือที่ไม่ค่อยมีคนใช้ ภาณุฑัตจึงชักชวนให้ก่อตั้งชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับขึ้นมา เพื่อให้ผู้ที่สนใจงานอิเล็กทรอนิกส์และงานประดิษฐ์เข้ามาใช้เครื่องมือและสถานที่ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น เครื่องพิมพ์สามมิติ เครื่องตัดเลเซอร์ มีผู้สนับสนุนอื่นๆ ซื้ออุปกรณ์และวัสดุต่างๆ

ห้องชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับมีพื้นที่เล็กกว่าแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์สองเท่าตัว แน่นขนัดไปด้วยกล่องใส่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง เช่น สายไฟ น็อต ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ สว่านไฟฟ้า เครื่องเจาะรูไฟฟ้า เครื่องพิมพ์สามมิติ บอร์ด raspberri pi หรือ Arduino เกือบทุกโต๊ะมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ชั้นวางของมีทั้งสิ่งประดิษฐ์ที่ทำสำเร็จแล้ว หรือโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ บนผนังมีกระดาษที่มีทั้งแผนผังรูปภาพ ข้อมูลต่างๆ ติดไว้ ผู้ที่ผ่านเข้าออกต้องรู้รหัสผ่านประตู

สมาชิกประจำของชมรมส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาหรือเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตล้านนา สาขาคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า และเครื่องกล ในช่วงแรกก่อนที่ชมรมจะมีพื้นที่ทางการ มีสมาชิกประมาณ 30-40 คนที่เคยมาแลกเปลี่ยนความรู้ จนกระทั่งเหลือ 2-3 คนที่ร่วมกันบุกเบิกชุมชน ยุคเริ่มต้นผู้ที่เข้ามาที่ชมรมเกือบทั้งหมดเป็นนักศึกษาที่ต้องการให้ช่วยทำงานส่งอาจารย์ เปิดให้คนทั่วไปที่สนใจเข้าไปมาเรียนรู้ได้ด้วยความตั้งใจอยากจะให้มีชุมชนเมกเกอร์เกิดขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความพยายามที่จะเชื่อมโยงสมาชิกที่มีความถนัดต่างกันได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้ เช่น ทำเกม Tetris ที่เล่นบนกล่องไม้ ปกติแล้วคนที่เรียนด้านซอฟต์แวร์มาจะควบคุมไฟไม่เป็น แต่คนที่เรียนไฟฟ้ามาทำได้ เมื่อได้ทำงานร่วมกันจึงเป็นการเรียนรู้ระหว่างกัน

กิจกรรมภายในชมรม ในวันที่ไม่มีกิจกรรมพิเศษแต่ละคนจะสร้างสรรค์งานของตัวเองได้อย่างอิสระแล้ว เช่น ประดิษฐ์โดรน ควบคุมความสว่างของหลอดไฟด้วยอินเทอร์เน็ต ทุกวันศุกร์จะมีกิจกรรมที่ใช้ชื่อว่า “Learning Friday” เพื่อเปิดพื้นที่ให้สมาชิกได้แสดงผลงานและเล่าประสบการณ์ของตนเอง นอกจากนั้นยังมีการไปจัดเวิร์คชอปเกี่ยวกับการใช้แผงคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก การประดิษฐ์โดรน เมื่อได้รับเชิญจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงเป็นเจ้าภาพจัดงานเมกเกอร์ปาร์ตี้ ซึ่งเป็นประจำปีที่เปิดโอกาสให้เมกเกอร์ทั่วประเทศได้แสดงผลงาน ร่วมงานและแลกเปลี่ยนความรู้

ชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับคล้ายกับแฮคเกอร์สเปซสิงคโปร์หลายอย่าง เช่น การเป็นพื้นที่ทดลองและสร้างสรรค์ผลงานของนักประดิษฐ์อย่างอิสระ มีเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามมีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งมาจากวัตถุประสงค์และตัวตนของผู้ก่อตั้งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก


ส่งต่อความรู้

ผู้ใช้เครื่องมือของชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ต้องแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยการเขียนบทความลงเว็บไซต์เปิดเผยขั้นตอนการทำงานของสิ่งประดิษฐ์และ source code ทั้งหมดแทน เพื่อเผยแพร่ความรู้ต่อสาธารณะ

ชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับให้ความสำคัญกับการแบ่งปันความรู้สู่สาธารณะด้วยการใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการเข้ามาที่ห้องของชมรม ใครได้ความรู้อะไรจากที่นี่ต้องเขียนบทความเพื่อ “จ่ายความรู้” ให้กับสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชุมชนนักประดิษฐ์ในเชียงใหม่ของณัฐด้วย ประสบการณ์จากการที่เขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ก็ด้วยความรู้ที่มีผู้เผยแพร่ในโลกออนไลน์ทำให้ เมื่อได้รับประโยชน์จากความรู้ของสาธารณะแล้ว เขาคิดว่าก็ควรจะต้องส่งต่อความรู้ให้กับคนอื่นๆ เช่นกัน นอกจากนี้การรวมกลุ่มกันยังเป็นโอกาสของการใช้ทรัพยากรร่วมกันด้วย เช่น ตัวเขาเองมีชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่ซื้อมาสะสมไว้ก็สามารถแบ่งปันให้ผู้ที่ต้องการได้ พร้อมกับช่วยประหยัดเวลาจากการค้นหาข้อมูลหรือลองผิดลองถูก

วัฒนธรรมเมกเกอร์เกิดขึ้นมาได้เพราะมีโอเพ่นซอร์ส (open source) ที่ทำให้การเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะไม่มีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเป็นความรู้ใหม่ได้ เมกเกอร์เองต้องอาศัยความรู้หลายสาขาวิชา โอเพ่นซอร์สจึงมีบทบาทสำคัญ

เช่นเดียวกับแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซอื่นๆ จุดร่วมกันประการหนึ่งคือ การถ่ายทอดความรู้ในหมู่คนธรรมดา ทำให้ความรู้ไม่ถูกผูกขาดจากผู้เชี่ยวชาญหรือสถาบันการศึกษาอย่างเดียว ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางสำคัญในการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนความรู้ ควบคู่กับการสนทนาแบบออฟไลน์


สนามทดสอบทฤษฎีในห้องเรียน

การเรียนรู้และความรู้ต่างสาขาวิชาในชมรมเมกเกอร์คลับเช่นนี้หาไม่ได้ในมหาวิทยาลัย การที่เมกเกอร์ซึ่งมีความรู้ต่างกันมาอยู่ร่วมกันทำให้เกิดความหลากหลายและสร้างความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ณัฐอธิบายว่าเมกเกอร์ใช้ความรู้หลายแบบซึ่งในมหาวิทยาลัยไม่มี ไม่ว่าจะเป็น การสร้างเมกเกอร์ที่ทำทุกอย่างได้ ผลจากการมาอยู่รวมกันทำให้มีความรู้หลากหลายแขนง การพูดคุยกับโปรแกรมเมอร์ เครื่องกล ไฟฟ้า ทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา และสร้างการเรียนรู้ได้รวดเร็ว

“เอาความรู้มาแชร์กัน บางทีอยู่คนเดียวทำได้แต่หุ่นยนต์ แต่ทำรีโมทคอนโทรลไม่ได้ แต่อันนี้อาจจะได้แอปขึ้นมาด้วยซ้ำ ส่วนผสมของคนที่หลากหลายทำให้เกิดของใหม่ๆ ขึ้นมา”

สำหรับตัวณัฐเองซึ่งเดิมรู้แต่เรื่องการเขียนโปรแกรม เมกเกอร์คลับทำให้เขาได้เพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ อีกหลายอย่างและนำไปสู่การประดิษฐ์ของใช้จริงๆ จากที่ปกติแล้วทำงานบนหน้าจออย่างเดียว

“เราได้เรียนรู้ ได้เล่นอิเล็กทรอนิกส์ไปด้วย เป็นอีกมิติหนึ่งของการเขียนโปรแกรม มีฮาร์ดแวร์มาเกี่ยวข้องด้วย เหมือนเราสามารถติดต่อกับโลกจริงๆ ได้  เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง เราสามารถทำรบบ detect คนเข้าบ้านได้ เมื่อก่อนทำงานไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ อันนี้ทำให้เขียนโปรแกรมได้สนุกขึ้น”

นักศึกษาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและเครื่องกลใช้ชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับเป็นโอกาสในการทดสอบทฤษฎีที่พวกเขาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ เช่น แม้ปลั๊กไฟที่สามารถหรี่ไฟได้จะมีขายตามท้องตลาดอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็อยากทดลองทำเองตามทฤษฎีโดยเชื่อว่าดีกว่า การอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ทำให้ได้รับคำแนะนำและคำวิพากษ์วิจารณ์เพื่อปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์ให้ดีขึ้นได้

นอกจากนี้สมาชิกยังใช้พื้นที่ทดลองทำโครงการอื่นๆ ที่ตนเองสนใจซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง เช่น ปลูกผักไร้ดิน โดยควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยด้วยการเขียนซอฟต์แวร์ควบคุม การทดลองทำโยเกิร์ต เป็นต้น


ความรู้ของคนกลุ่มเล็กๆ เริ่มกระเทาะวงจรการผลิตอุตสาหกรรมใหญ่

ปัจจุบันชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับให้ความสำคัญกับการต่อยอดสิ่งประดิษฐ์เพื่อสร้างรายได้ ณัฐมองว่าเมกเกอร์น่าจะเป็นมากกว่าคนที่ทำงานอดิเรก แต่งานจากความคิดและสองมือของพวกเขายังต้องขายได้ด้วย ภาพของเมกเกอร์คลับในความฝันของเขาคือ เป็นพื้นที่ตรงกลางระหว่างธุรกิจในระบบอุตสาหกรรมกับเมกเกอร์ เพราะข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของเมกเกอร์ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีระบบการทำงานซับซ้อนทำไม่ได้ นั่นคือ การค้นคว้า ข้อมูลและประดิษฐ์ข้าวของต่างๆ เป็นกระบวนการวิจัยแบบหนึ่ง ซึ่งในระดับปัจเจกหรือกลุ่มคนขนาดเล็กมีต้นทุนที่น้อยกว่า มีทักษะเฉพาะทาง และยืดหยุ่นกว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในบริษัทขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองแทนที่บริษัทจะต้องลงทุนไปกับขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็สามารถมาจับคู่ทางธุรกิจกับเมกเกอร์ได้ ขณะนี้ที่ชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับกำลังพัฒนาแนวทางนี้อยู่ร่วมกับนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์







ณัฐ วีรวรรณ ประธานชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับ

4. การต่อสู้ของนักประดิษฐ์ยุคดิจิทัล

นอกจากแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซที่มีความศักยภาพในการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ประกอบการดังเช่นแฮกเกอร์สเปซเชียงใหม่และชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์แล้ว ยังมีอีกหลายพื้นที่ในภูมิภาคนี้ที่วัฒนธรรมเมกเกอร์กำลังเริ่มก่อตัวขึ้น บทความนี้พยายามสะท้อนให้เห็นวิธีการสร้างชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลที่ต่างออกไปจากแนวปฏิบัติของแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซในยุคบุกเบิก อันเนื่องมาจากเงื่อนไขทางสังคมเฉพาะพื้นที่ จากการสำรวจเมกเกอร์สเปซที่กัมพูชาและอินโดนีเซีย

หลังจากการสำรวจชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลในสามบทความก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนท้ายของของบทความจะเป็นบทสรุปของชุดบทความเรื่อง “วัฒนธรรมเมกเกอร์กับเสรีภาพการแสดงออกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”โดยตอบคำถามว่าเมกเกอร์ในภูมิภาคนี้นิยามเสรีภาพในการแสดงออกว่าอย่างไร


ทดลองความคิดในแผ่นดินใหม่

“ไม่มีเมกเกอร์สเปซจริงๆ ที่กัมพูชา เพราะคนที่นี่ยังมีรายได้น้อย การจ่ายเงินค่าสมาชิกหรือใช้เวลาว่างเพื่อทำงานอดิเรก พวกเขาเลือกทำงานหารายได้มากกว่า” กีจงอธิบายถึงเหตุผลที่เขาต้องปรับวิธีดำเนินธุรกิจใหม่ ส่วนมากผู้ที่เข้ามายังอาร์คฮับ พนมเปญ (ARC Hub PNH Makerspace) เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพนมเปญ อีกทั้งชุมชนนักออกแบบที่กัมพูชายังเล็กมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวชาติ

อาร์คฮับ พนมเปญ (ARC Hub PNH Makerspace) เริ่มต้นด้วยความตั้งใจว่าอยากจะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในกัมพูชา คล้ายกับเมกโดเนีย ที่อินโดนีเซียผู้ก่อตั้งสองคนคือ กี ชง ทราน (Ki Chong Tran) และ น้องชาย กี โฮว ทราน (Ki How Tran) ชาวกัมพูชาที่เกิดในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่พ่อแม่ของพวกเขาลี้ภัยในช่วงสงครามกลางเมืองในกัมพูชาไปตั้งรกรากที่นั่น ต้องการกลับมาทำงานที่กัมพูชา หลังจากเคยมาเป็นอาสาสมัครในช่วงเวลาสั้นๆ

ก่อนหน้านี้กีชงเคยทำงานอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวกับวิศวกรรมการบินและอวกาศที่สหรัฐอเมริกามาก่อน จนเขาได้รู้จักกับเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์สามมิติที่ทำให้รู้สึกว่า โมเดลทางธุรกิจของบริษัทที่เขาทำอยู่คือ การซื้อขายชิ้นส่วนเครื่องบินจะต้องหายไปแน่นอนในอนาคต จึงเริ่มต้นค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์สามมิติ กีชงพยายามไปที่เมกเกอร์สเปซต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา จนครอบครัวตัดสินใจย้ายกลับไปที่กัมพูชา

กีชงเปิดอาร์คฮับเพื่อให้เป็นเมกเกอร์สเปซในพนมเปญตั้งแต่ปี 2013 โดยตั้งต้นจากธุรกิจบริการเครื่องพิมพ์สามมิติโดยมองว่าเครื่องพิมพ์สามมิติจะเปลี่ยนโลก และในประเทศกำลังพัฒนาเป็นที่ซึ่งเศรษฐกิจและประชากรเติบโตมากที่สุด สองพี่น้องเริ่มธุรกิจด้วยการประดิษฐ์สิ่งของจากเครื่องพิมพ์สามมิติ และเผยแพร่ความรู้เกี่่ยวกับวิธีใช้งาน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยายอยู่เป็นระยะ และขายเครื่องพิมพ์สามมิติเป็นหลัก

แม้จะดูเหมือนว่ากัมพูชาจะพัฒนาช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ แต่กีชงเห็นว่านี่เป็นโอกาสของการเติบโตทางธุรกิจ เขาไม่ต้องทำวิจัยทางการตลาดเลย เพราะพวกเขาคือผู้บุกเบิก เขาเปรียบเทียบว่านี่จะเป็นการก้าวกระโดดในการพัฒนาทางเทคโนโลยีแบบเดียวกับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำให้ผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงโทรศัพท์มาก่อน เนื่องจากสายส่งสัญญาณไปไม่ถึงได้ใช้โทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม หลังจากดำเนินการไประยะหนึ่ง เขาพบว่าเป็นเรื่องยากมากหากจะสร้างเมกเกอร์สเปซเหมือนกับที่อื่น จึงหาช่องทางอื่นๆ ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การสร้างเครือข่ายกับโรงเรียนมัธยม หรือเมกเกอร์อื่นๆ ในภูมิภาค

ไม่เพียงแต่การมุ่งทำธุรกิจด้านเครื่องพิมพ์สามมิติเท่านั้น กีชงและน้องชายยังมีโครงการเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมหลายอย่าง เป็นต้นว่า การเข้าไปให้คำแนะนำและทำงานร่วมกับองค์กรที่ทำงานด้านการผลิตอวัยวะเทียมสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่น กาชาดสากล องค์กรท้องถิ่นโดยพัฒนาอวัยวะเทียมด้วยการพิมพ์ชิ้นส่วนจากเครื่องพิมพ์สามมิติ

ปัจจุบัน อาร์คฮับ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย Royal of University of Applied Art ในปีนี้เขาเพิ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก USAID เพื่อจัดทำโครงการเผยแพร่ความรู้และฝึกอบรมด้านการออกแบบ การใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ ความรู้เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์และการสร้างหุ่นยนต์แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยให้สามารถสร้างธุรกิจของตนเองได้ พร้อมกับแก้ปัญหาสังคมด้วย เช่น ช่วยเหลือให้เด็กที่อยู่ในชนบทอ่านออกเขียนได้

อาร์คฮับทำงานร่วมกับองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนามากควบคู่กับการจัดอบรมในโรงเรียนต่างๆ เช่น ทำงานในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษร่วมกับ USAID กองทุนเด็กของกัมพูชา ออกแบบและผลิตต้นแบบแขนเทียมให้องค์กรพัฒนาของแคนาดา เป็นต้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหลังจากเริ่มต้นธุรกิจมาได้ระยะหนึ่ง กีชงรับรู้ถึงข้อจำกัดในกัมพูชา โดยเฉพาะการศึกษาและความยากจน ในปี 2014 ประชาชนกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในเมือง 39% เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ตโฟน และหลายพื้นที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ (Freedom House, 2015)


จินตนาการให้ไกลกว่าคอมพิวเตอร์ก่อน

กีชงยังร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่าย Southeast Asia Makerspace Network (SEAMNET) ซึ่งในปีนี้จัดงาน SEA Makerthon เป็นครั้งแรก พร้อมกันหลายประเทศ อาร์คฮับ จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการระยะ 3 วัน ภายใต้แนวคิดนวัตกรรมการเกษตรที่ยั่งยืน (Sustainable Agriculture Innovations) ซึ่งต้องการสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยเหลือเกษตรให้มีเครื่องมือประกอบอาชีพได้ดีขึ้นกว่าเดิม

แม้จะงานหลักของอาร์คฮับจะเน้นไปที่การส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่ในกิจกรรมนี้ไม่มีชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลย แต่เน้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ จากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญต่างกัน เช่น นักเรียนมัธยม นักศึกษามหาวิทยาลัย เกษตรกร เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานด้านส่งเสริมการเกษตร ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คนนี้จะแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 5 คน เพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบตามโจทย์ที่ผู้จัดตั้งไว้คือ การทำให้ผลิตผลทางการเกษตรอยู่ได้นาน ซึ่งกลุ่มที่ได้รางวัลชนะอันดับหนึ่ง จะมีโอกาสประกวดสิ่งประดิษฐ์ของตนเองในระดับภูมิภาคที่สิงคโปร์ เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนเพศหญิงและชายของผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัดส่วนใกล้เคียงกันมาก

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญด้านไอทีให้เหตุผลในการเข้าร่วมกิจกรรมว่า สนใจเรื่องเมกเกอร์สเปซและการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติและด้านเกษตรกรรม รวมทั้งอยากพบปะผู้คนใหม่ๆ ด้วย ตลอดทั้ง 3 วัน จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนธุรกิจเบื้องต้น การพัฒนาคิดด้านการออกแบบ การนำเสนอผลงาน จากวิทยากรต่างๆ ซึ่งมีทั้งกีชง และวิทยากรคนซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน พวกเขาจะต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบจากกระดาษลังขึ้นมา

กีชงอธิบายว่า เขาคิดว่าเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือความคิดสร้างสรรค์ เขาไม่อยากให้ผู้เข้าร่วมอบรมคิดจากว่ามีเครื่องมืออะไร หรือเริ่มคิดถึงคอมพิวเตอร์ซึ่่งจะกลายเป็นการจำกัดความคิด

อาร์คฮับไม่ได้ถือกำเนิดจากงานที่คนในแวดวงไอทีรู้จักกันอยู่แล้ว เช่น บาร์แคมป์ แต่มาจากเครือข่ายคนทำงานจากต่างประเทศซึ่งต้องการสนับสนุนให้คนท้องถิ่นได้เรียนรู้และสร้างนวัตกรรมขึ้นมาเองจากสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยมองว่าคนไม่ได้เรียนรู้จากห้องเรียนเท่านั้น แต่เรียนรู้จากที่อื่นด้วย

หลังจากใช้เวลาอบรมเป็นระยะเวลา 3 วัน ก็มีการตัดสินผลงานที่ชนะเลิศการประกวด ผลปรากฎว่ากลุ่มที่ประดิษฐ์เครื่องไล่หนูด้วยคลื่นเสียงได้รับรางวัลที่ 1 พวกเขาจะมีเวลาพัฒนาผลงานด้วยการสร้างต้นแบบจากวัสดุที่ใช้งานได้จริง เพื่อเข้าร่วมประกวดกับตัวแทนจากประเทศอื่นๆ ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนี่เป็นโอกาสให้พวกเขาได้รู้จักกับคนอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันและเรียนรู้จากกันและกันด้วย


กีชงกับทีมวิทยากร


ต้นแบบเครื่องไล่หนูด้วยคลื่นเสียง

ยังไม่พร้อม “เปิด”

สถานการณ์คล้ายกับอาร์คฮับ เมกโดเนีย เมกเกอร์สเปซแอนด์อินโนเวชั่นแล็บ (Makedonia: Makerspace and Innovation Lab) แม้จะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การจัดงาน Hackathon หลายครั้งในอินโดนีเซีย หรือการประกาศตัวว่าเป็นหนึ่งในขบวนการเมกเกอร์ที่มีการเผยแพร่ความรู้เหล่านี้ผ่านการฝึกอบรม ออกแสดงนิทรรศการ หรือจัดงานสัมมนาต่างๆ มากมายนับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2013 แต่การเข้าถึงสเปซมีข้อจำกัด และไม่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มาใช้พื้นที่ดังเช่นแฮกเกอร์สเปซสิงคโปร์และชมรมเชียงใหม่เมกเกอร์คลับ

ไม่ใช่ใครก็ได้จะสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในเมกโดเนีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงจาการ์ตา นอกเวลาฝึกอบรมหรือกิจกรรมที่เมกโดเนียจัด แต่พวกเขาจะต้องนัดหมายกับอาสาสมัครซึ่งทำหน้าที่ประสานงานไปยังผู้ร่วมก่อตั้งเมกโดเนียว่าอนุญาตหรือไม่

โดยปกติแล้วในวันธรรมดา ที่เมกโดเนียจึงมีเพียงอาสาสมัครที่ทำงานเอกสารและดูแลสำนักงานเบื้องต้นเท่านั้น ส่วนผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งมีจำนวน 5 คน ต่างทำงานประจำซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท ส่วนเมกโดเนียก่อตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัท โดยหนุ่มสาวอายุประมาณ 30 ปีที่จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจเกือบทั้งหมด ยกเว้นบางคนที่ทำงานด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์ของเมกโดเนียซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นผู้บุกเบิกเมกเกอร์สเปซในอินโดนีเซียคือ การสร้างระบบนิเวศของนวัตกรรมขึ้นในอินโดนีเซีย เริ่มต้นจาก Imanzar Nurhidayat ผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่งเสนอแนวคิดเมกเกอร์สเปซที่แพร่หลายอยู่ในสหรัฐอเมริกาแก่สมาชิกที่เหลือเมื่อปี 2013 ในปีนี้เองได้จัดงานเมกเกอร์วิีคเอนด์ (MakersWeekend) ขึ้นเป็นครั้งแรก ต่างจากเมกเกอร์สเปซอื่นๆ กิจกรรมหลักของเมกโดเนียอยู่ที่การเปิดหลักสูตรอบรมต่างๆ ได้แก่ Design Thinking การสอนให้เด็กและเยาวชนรู้จักการทำงานพื้นฐานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ระดับพื้นฐาน และส่งเสริมการเป็นเมกเกอร์โดยสนับสนุนโครงการประดิษฐ์ต้นแบบชิ้นส่วนต่างๆ จากเครื่องพิมพ์สามมิติ หรือบอร์ด arduino ผ่านการจัดกิจกรรมตามวาระพิเศษ

นอกจากนี้เมกโดเนียยังเป็นสมาชิกของสมาคมเมกเกอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย รายได้ของเมกโดเนียจึงมาจากการจัดกิจกรรมเหล่านี้เป็นหลัก นอกจากนี้ไม่เพียงแต่แสวงหาความร่วมมือกับโรงเรียนต่างๆ เมกโดเนียยังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐอยู่เป็นประจำที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาหรือเศรษฐกิจ

แทนการเปิดระบบสมาชิก เมกโดเนียมุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ต่อให้กับคนนอกวงการไอที โดยให้ความสำคัญกับการจัดทำกล่องการเรียนรู้การทำงานของไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์อย่างง่ายๆ สำหรับเด็ก หรือผลิตของเล่นเพื่อการศึกษาเป็นหลัก ควบคู่กับการเปิดคอร์สฝึกอบรมต่างๆ

ในระหว่างการเยี่ยมชมเมกโดเนียพบว่า ในวันที่ไม่มีกิจกรรม ที่สำนักงานไม่มีใครอยู่เลยนอกจากอาสาสมัคร 1 คน จากการพูดคุยกับวีต้าเป็นอาสาสมัครของเมกโดเนียมาได้ประมาณ 3 เดือน เธอเรียนจบมาทางด้านกายภาพบำบัด มีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่าการประดิษฐ์ของใช้ วีต้าจึงไม่มีโครงการทดลองของตนเอง เธอใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและฝึกฝนทักษะการทำงานจัดการเป็นหลัก เพราะวีต้าอยากทำงานในบริษัทโฆษณามากกว่า และใช้เวลาระหว่างรองานมาเป็นอาสาสมัครที่เมกโดเนีย

ความเป็นชุมชนที่ต้องอาศัยการใช้เวลาหรือแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันของผู้ที่สนใจการประดิษฐ์ “สมาชิก” ส่วนใหญ่ของเมกเกอร์โดเนียโดยมากเป็นเด็กนักเรียนที่เคยเข้าร่วมอบรมหลักสูตรต่างๆ หรือนักพัฒนาโปรแกรมที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมที่เมกโดเนียจัดขึ้น เช่น แฮกกาธอน (Hackathon) ด้วยเหตุนี้ภายในพื้นที่ของเมกโดเนียจึงแตกต่างจากเมกเกอร์สเปซอื่นๆ ในห้องมีเพียงโต๊ะไม้พับได้ที่ต่อกันเป็นแนวยาวสำหรับประชุมหรือเข้าร่วมฝึกอบรม เมื่อไม่มีกิจกรรมก็จะถูกเก็บไว้ท้ายห้อง ในตู้และชั้นวางของมีกล่องที่ใส่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เล็กๆ จัดเป็นชุดเรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อเตรียมขายหรือใช้อบรมเด็ก เครื่องพิมพ์สามมิติวางไว้ที่มุมห้องที่หากไม่สังเกตก็มองไม่เห็น คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่ตั้งอยู่เป็นของอาสาสมัครเพื่อใช้ทำงานเอกสารหรือประสานงานการจัดกิจกรรม


พื้นที่จัดกิจกรรมใน Makedonia
ภาพประกอบจากเพจ Makedonia
 


เครื่องพิมพ์สามมิติในงานฉลองครบรอบ 3 ปี
ภาพประกอบจากเพจ Makedonia

อนาคต?

ทั้งอาร์คฮับและเมกโดเนียไม่มีคุณลักษณะบางอย่างดังที่แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซโดยทั่วไปมักจะเป็น เช่น สร้างรายได้จากเปิดระบบสมาชิกโดยตรง แต่พวกเขาก็พยายามหาทางสร้างให้วัฒนธรรมเมกเกอร์ดำรงอยู่ให้ได้ด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ตนเองถนัด อาร์คฮัปอาจเลือกทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ส่วนเมกโดเนียมุ่งไปที่การสร้างความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และไฟฟ้าพื้นฐานแก่เด็กนักเรียนและค่อยๆ เริ่มสร้างชุมชนคนไอทีผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น แฮคกาธอน โดยทั้งคู่ต่างก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถสร้างเมกเกอร์สเปซได้ตามความตั้งใจเดิม


การเมืองและเสรีภาพในการแสดงออก

ในภาพรวมแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซที่ปรากฎในชุดบทความนี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของปรากฎการณ์แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซที่กำลังเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแข็งขันจากรัฐและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงเครื่องมือค้นหาความรู้อย่างคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตกว้างขวางมากขึ้น กระนั้นก็ตามเห็นได้ว่าสมาชิกยังอยู่ในวงจำกัดซึ่งไม่เพียงแต่ความรู้และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเท่านั้น สมาชิกเกือบทั้งหมดยังเป็นเพศชายที่มีอายุประมาณ 25-35 ปีซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ด้วย อุปสรรคสำคัญต่อการดำรงอยู่ของแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซได้แก่ สถานะทางเศรษฐกิจของประชาชน สำหรับในประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีคนส่วนใหญ่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจและเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้ กิจกรรมในแฮกเกอร์สเปซซึ่งเรียกว่าเป็น “ชุมชนของชาวกี๊ก (geek community) จึงดำเนินไปได้แบบเดียวกับแฮกเกอร์สเปซในสหรัฐอเมริกาหรือทวีปยุโรป ขณะที่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นกับเมกเกอร์สเปซที่เหลือก็ทำให้เห็นการปรับตัวของชุมชนเหล่านี้ เช่น การทำงานกับสถาบันการศึกษา งานพัฒนาสังคม ซึ่งนำมาสู่รูปแบบที่เฉพาะของแต่ละพื้นที่

เนื่องจากการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ต้องอาศัยทั้งเครื่องมือและความรู้ แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซได้เปิดโอกาสให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงองค์ประกอบพื้นฐานนี้ได้ ด้วยการสร้างพื้นที่สำหรับการแบ่งปันขึ้น

กิจกรรมต่างๆ ของ แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซ ดำเนินอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะบนสื่อดิจิทัลที่เข้มงวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาค น่าสนใจว่าประเด็นเหล่านี้แทบไม่ได้รับการพูดถึงจากผู้ก่อตั้งหรือสมาชิกก็ตาม เหตุผลหนึ่งนอกจากไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงแล้ว พวกเขายังได้รับประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐด้วย

ความหมายของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชุมชนนักประดิษฐ์ดิจิทัลคือ การเข้าถึงความรู้อย่างเสรีซึ่งทำให้พวกเขาได้สร้างสรรค์งานที่ต้องการได้

สถานการณ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของทั้งสี่ประเทศจากการจัดอันดับของฟรีดอมเฮาส์ ประจำปี 2015 พบว่า อันดับเสรีภาพเน็ตของประเทศไทยต่ำที่สุด โดยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศไม่เสรี จากการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์และการดำเนินคดีอาญาต่อผู้แสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์มหาศาล โดยเฉพาะข้อหาที่เกี่ยวกับความมั่นคง การหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และการเมือง ขณะที่ประเทศอื่นๆ อยู่ในกลุ่มเสรีบางส่วน ซึ่งเรียงลำดับตามอันดับเสรีภาพจากน้อยไปหามากได้ดังนี้  กัมพูชา อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ทั้งหมดมีการจับกุมและดำเนินคดีอาญากับผู้ที่แสดงความคิดเห็นออนไลน์ มีการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์

แม้จะดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแฮกเกอร์สเปซและเมกเกอร์สเปซ เนื่องจากพวกเขาคลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยีดิจิทัล แต่น่าสนใจว่าพวกเขามีความคิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่่แตกต่างออกไป

ตัวอย่างเช่น ในฐานะคนทำงานเกี่ยวกับเมกเกอร์ในอินโดนีเซีย วีต้าเห็นว่าสถานการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพในอินโดนีเซียไม่ย่ำแย่ เธอยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองหรือนายกรัฐมนตรีได้ โดยเฉพาะเรื่องการคอร์รัปชั่น วีต้าพอจะทราบข่าวการจับกุมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากการแสดงความคิดเห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก เธอคิดว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นคือการที่เธอสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่มีใครมาปิดกั้น หรือห้ามแสดงความคิดเห็น

ทำนองเดียวกับกีชง เขาเห็นว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหมายถึง การที่เราสามารถทำในสิ่งที่คิดได้โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ โดยมีสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีต่างๆ เป็นเครื่องมือ จากสายตาของเขาที่เติบโตมาในสหรัฐอเมริกา กีชงเห็นว่าการศึกษาของกัมพูชาสอนให้ตั้งคำถามน้อยเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการศึกษาแบบอเมริกัน การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในกัมพูชาเริ่มตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว ต่อกรณีการจับกุมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากการวิพากษ์วิจารณ์นั้น ผู้เข้าร่วมอบรมกับ อาร์คฮับ คนหนึ่งเล่าว่า ที่กัมพูชามีการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองและรัฐบาลทางโซเชียลมีเดียมากมาย และมีบางคนถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่เห็นว่ามีกฎหมายใดที่ระบุว่าสามารถจับกุมผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ และยังใช้อินเทอร์เน็ตได้อยู

อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาจกำลังปะทะกับการคุกคามมิติอื่นๆ มากกว่าจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชน เช่น ท้าทายการผูกขาดความรู้ของบริษัทไอทีขนาดใหญ่ด้วยการเผยแพร่ความรู้แบบไม่มีลิขสิทธิ์ เชิญชวนให้ผู้คนหันมาทำความเข้าใจระบบการทำงานของเครื่องจักรเพื่อซ่อมแซมหรือสร้างสิ่งของที่ตรงกับความต้องการของตนเอง การต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ผูกขาดข้อมูลสำคัญด้วยชุดข้อมูลที่แตกต่างเพื่อให้มีผลต่อการตัดสินใจทางนโยบายที่กระทบกับประชาชน แฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซกลุ่มนี้ยังชวนให้ตั้งคำถามต่อการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยมองเห็นว่าไม่ได้สร้างผู้เรียนที่มีความรู้ความเข้าใจที่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมากพอ โดยเฉพาะในฐานะผู้ผลิตได้ด้วยตนเองแทนที่จะเป็นผู้ใช้เพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่บริษัทไอทีระดับโลกครอบครองตลาดมาเป็นระยะเวลานานจนยากที่จะเกิดผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการรายย่อยและหน้าใหม่จากแฮกเกอร์/เมกเกอร์สเปซได้สร้างการอำนาจการต่อรองของตนเองขึ้น จากข้อได้เปรียบที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กซึ่งคล่องตัวกว่า เช่น การทดลองและวิจัยสร้างต้นแบบสิ่งของเพื่อขายให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ได้




หมายเหตุ: บทความนี้เป็นผลผลิตหนึ่งของชุดโครงการ Redefining Freedom of Expression from the Ground สนับสนุนโดย Heinrich Böll Foundation (HBF) และ the Foundation for Community Educational Media (FCEM)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เยอรมนีเล็งสืบสวนกรณีข่าวปลอมสะพัดโลกออนไลน์ หวั่นกระทบเลือกตั้งปีนี้

$
0
0

รัฐบาลเยอรมนีกังวลว่าเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์และการเพิ่มขึ้นของข่าวปลอมจะส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งที่จะขึ้นในปีนี้ของเยอรมนีโดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์ในรัสเซีย จากที่ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ กล่าวหาว่ารัสเซียมีอิทธิพลแทรกแซงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสหรัฐฯ

10 ม.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ทางการเยอรมนีเปิดเผยว่าพวกเขากำลังสืบสวน "ข่าวปลอม" ที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อสองเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล กล่าวว่า รัสเซียอาจจะพยายามมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งทั่วไปในเยอรมนีปีนี้

ไม่เพียงแค่เยอรมนีเท่านั้นทางการสหรัฐฯ เองก็เคยกล่าวหาว่ารัสเซียพยายามแทรกแซงส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ในกรณีของเยอรมนีนั้นหน่วยงานข่าวกรองของเยอรมนีที่ชื่อสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง (Bundesamt für Verfassungsschutz หรือ BfV) เปิดเผยว่ามีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) จริงเมื่อเดือน ธ.ค. 2559 ซึ่งเป็นวิธีการ "โจมตีโครงสร้างพื้นฐาน" แบบที่เคยมีปฏิบัติการแฮกรัฐสภาเยอรมนีในปี 2558 ซึ่งเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียที่ชื่อ APT28

BfV บอกอีกว่าเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาพวกเขาพบเห็น "การใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาล" และการปล่อยเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียที่มีการจงใจให้ข้อมูลเท็จเพื่อหวังทำให้รัฐบาลเยอรมนีขาดเสถียรภาพ ซึ่งทางการรัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามไซเบอร์ที่มีการตั้งเป้าหมายเป็นรัฐบาลและสถาบันต่างๆ ของโลกตะวันตก

สเตฟเฟน ไซเบิร์ต โฆษกรัฐบาลบอกว่าเยอรมนีควรใช้ทุกวิธีในการสืบสวนการเผยแพร่ข่าวปลอมในโลกออนไลน์ โดยบอกว่าวิธีตอบโต้ที่ดีที่สุดคือการมีความโปร่งใสมากขึ้น ไซเบิร์ตกล่าวอีกว่าพวกเขาต้องเผชิญปรากฏการณ์ในมิติที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

ทางด้าน มาร์ติน เชเฟอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนีกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าพวกเขาคิดต่อเรื่องความเป็นไปได้ที่ OSCE ถูกแฮกโจมตีและกรณีการโจมตีทางไซเบอร์อื่นๆ อย่างจริงจังมาก และแน่นอนว่าต้องมีการทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ในขอบเขตพื้นที่ของพวกเขา

ก่อนหน้านี้หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานว่ารัสเซียพยายามแผ่อิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของสหรัฐฯ โดยเข้าข้าง โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ทางการรัสเซียก็ปฏิเสธโดยกล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้อง

เจ้าหน้าที่ทางการเยอรมนีเปิดเผยอีกว่าทางการกำลังพิจารณาเรื่องการสร้างหน่วยงานแยกย่อยจากสำนักงานสื่อของรัฐบาลเพื่อทำการประเมินและโต้ตอบข่าวปลอมแบบเดียวกับที่สาธารณรัฐเช็กเคยประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ในตอนนี้ก็ยังเป็นแผนการตั้งต้นที่ยังไม่มีรูปธรรม อีกทั้งรัฐบาลยังกังวลอีกว่าพวกเขาถูกมองว่าเข้าไปควบคุมจัดการการรายงานข่าวในช่วงปีที่มีการเลือกตั้ง

เดอะการ์เดียนระบุว่าแองเกลา แมร์เคิล เคยวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของรัสเซียในกรณียูเครนมาก่อนจนทำให้เกิดการคว่ำบาตร โดยที่แมร์เคิลหวังว่าเธอจะชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีสมัยที่ 4 ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2560 นี้

 


เรียบเรียงจาก

Germany investigating unprecedented spread of fake news online, The Guardian, 09-01-2017
https://www.theguardian.com/world/2017/jan/09/germany-investigating-spread-fake-news-online-russia-election

Russian cyber-attacks could influence German election, says Merkel, The Guardian, 08-01-2017
https://www.theguardian.com/world/2016/nov/08/russian-cyber-attacks-could-influence-german-election-says-merkel

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ยันแก้น้ำท่วมได้ การันตีแก้มาตั้งแต่ปี 54 เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ.แล้ว

$
0
0

ประยุทธ์ขอ ปชช. ติดตามสถานการณ์น้ำฝนใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น อย่าโทษกันไปมาเพราะแจ้งเตือนแล้วแต่ ปชช.ไม่เตรียมตัวเลยย้ายของไม่ทัน การันตีแก้มาตั้งแต่ปี 54 ที่เป็น ผบ.ทบ.แล้ว ย้ำคงไม่ฉลาดน้อยไปกว่าตอนนั้น

เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงประชาชน ที่ประสบเหตุน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ และ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยขอให้ติดตามสถานการณ์ปริมาณน้ำฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามาจากหลายทาง และมีจำนวนมากเกินกว่าปกติ จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ทันที ซึ่งต้องดูว่าต่อไปจะทำอย่างไรไม่ให้น้ำท่วมอีก เมื่อน้ำท่วมแล้วจะทำอย่างไรให้น้ำลดลงภายในเวลาที่รวดเร็ว ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยลง และเพื่อให้รัฐบาลใช้เงินในการฟื้นฟูน้อยที่สุด เพราะงบประมาณของรัฐบาลมีความจำเป็น และต้องใช้อย่างคุ้มค่า แต่การดูแลประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ประสบเหตุน้ำท่วมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตามระเบียบของราชการที่วางไว้ สำหรับความช่วยเหลือพิเศษนอกเหนือจากระเบียบราชการ ต้องให้คณะกรรมการ ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และส่งเรื่องเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ขอให้ประชาชนช่วยเหลือตนเอง และเชื่อฟังการแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐบาล เพื่อลดผลกระทบและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น โดยต้องป้องกันไว้ก่อนจะมาแก้ไขภายหลัง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุของน้ำท่วมส่วนหนึ่งมาจากการสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ ต้องพยายามแก้ไข ด้วยการขุดเจาะแก้ไขทางน้ำในพื้นที่สิ่งปลูกสร้างเดิม พร้อมกับดำเนินการปฏิรูปกฎหมายผังเมือง รวมถึงกฎหมายควบคุมอาคารก่อสร้างอาคารเพื่อไม่ให้กีดขวางทางน้ำ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนอย่าขัดขวางกฎหมายผังเมือง และกฎหมายควบคุมอาคาร รวมไปถึงการจัดปฏิรูปที่ดินใหม่ โดยรัฐบาลจะดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
 
สำหรับกรณีวิจารณ์ระบบแจ้งเตือนภัยทำงานช้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าเขาแจ้งมาเป็นเดือนแล้ว ว่าฝนจะเข้าและมีคลื่นลมตรงนั้น ตรงนี้ แต่คนคิดว่ามันเป็นแบบเดิมเดี๋ยวมันก็ไป แล้วจะบอกว่าเขาแจ้งช้าได้อย่างไร เพราะฝนมาทีเดียวเป็น 100 มิลลิเมตร 3 วัน มันก็ท่วม ไม่ได้เตรียมตัวจะย้ายก็คิดว่าจะเป็นแบบเดิม
 
"แต่ประชาชนเมื่อเขาแจ้งเตือนก็เตรียมตัวสิ ใช่ไหม ถ้าไม่เตรียมตัวมันก็เป็นแบบนี้ ของก็ย้ายไม่ทัน เพราะฉะนั้นอย่าโทษกันไปกันมาเลยนะ ต้องช่วยกันสิ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
สำหรับเรื่องการอพยพประชาชนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมื่อปี 54 น้ำท่วมมันมีแผนทุกแผน แต่ประเด็นว่าจะเอาไปอยู่ที่ไหน วันนี้ก็ไปได้ในที่ดอนใช่ไหม ศาลาวัดอะไรต่างๆ เขาก็ทำอยู่แล้ว ปัญหาอีกอันก็คือหลายคนก็ไม่อยากย้าย อยากอยู่ที่บ้านอย่างเดียว ขออย่างเดียวขอให้มีอาหารไปส่งเขาอะไรเขา นี่คือปัญหาที่เราจะต้องแก้ให้ได้ เพราะบ้านเรือนมีหลายหลังจะต้องมีเรือไปส่งอาหารทุกมื้อ 
 
"นี่คือความยากง่ายในการทำงาน เพราะฉะนั้นเห็นใจรัฐบาลบ้าง เต็มที่ เพราะรัฐบาลนี้ก็ ผมเองก็เป็น ผบ.ทบ.เก่า และก็ทำงานตั้งแต่ปี 54 ผมรู้ว่าอะไรต้องทำอะไร อะไรยังไม่ได้ทำ และผมกำชับไปทุกเรื่องนั่นล่ะ นะ 54 ผมแก้ไหมล่ะ ผมคงไม่ฉลาดน้อยไปกว่าปี 54 ล่ะมั้ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.พิจารณาวาระแก้ รธน. 57 3 วาระรวด 13 ม.ค.นี้

$
0
0

มีชัยชี้แก้ไขร่าง รธน. หมวดพระมหากษัตริย์ จะต้องไปแก้ไขประเด็นของประธานองคมนตรี ที่เป็นผู้สำเร็จราชการโดยอัตโนมัติด้วย วิษณุ เผยชื่อ กก.แก้ไขร่าง รธน. ระบุกม.ลูกเดินหน้าตามโรดแมป สถานการณ์เปลี่ยนวันเลือกตั้งจะต้องวางใหม่

11 ม.ค. 2560 จากกรณีวานนี้ (10 ม.ค. 60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังจากประชุมร่วมกับ คสช. โดยชี้แจงให้ทราบว่า องคมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับผ่านการลงประชามติ ในหมวดพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

สนช.พิจารณาวาระแก้ 3 วาระรวด 13 ม.ค.นี้

วันเดียวกัน เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมวิป สนช. 10 ม.ค.60 นายกรัฐมนตรีส่งหนังสือด่วนถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.  ซึ่งเป็นมติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ฉบับปี 2557  ซึ่งวิปสนช. จึงมีมติ บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ในวันศุกร์ 13 ม.ค. โดยจะเป็นการพิจารณา 3 วาระรวดเพื่อความรวดเร็ว และให้เป็นไปตามโรดแมป โดยเป็นการแก้ไขใน 2 ประเด็น คือ เรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเงื่อนเวลาการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของตัวร่างแก้ไขได้  ขณะที่ในส่วนของร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ จะ ให้รัฐบาลเป็นฝ่ายชี้แจงถึงตัวผู้แก้ไข ว่าจะเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หรือ สนช. หรือรัฐบาลแก้ไขเอง

มีชัยชี้ต้องแก้ปมปธ.องคมนตรีที่เป็นผู้สำเร็จราชการโดยอัตโนมัติด้วย

วันนี้ (11 ม.ค.59) มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ระบุว่า ยังไม่ทราบว่าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ดำเนินการยกร่างมาตราที่จะมีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตพระราชทาน แต่ดูตามร่างแก้ไขแล้ว ประเด็นไม่กว้างไกล จึงจะแก้เฉพาะข้อสังเกตที่ส่งมาจากสำนักพระราชวัง

มีชัย ฤชุพันธุ์ 

มีชัย กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ปี 2557 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ก่อนวันที่ 6 ก.พ. ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญกลับคืนมา และดำเนินการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชามติ ภายใน 30 วัน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเริ่มดำเนินการทันที นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีรับพระราชทานร่างกลับคืนมา
 
มีชัย ยอมรับว่า การปรับแก้ไขประเด็นพระราชอำนาจ จะส่งผลกระทบต่อคำปรารภ และมาตราอื่นๆ เช่น การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ ที่ร่างใหม่กำหนดให้แต่งตั้งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งตรงนี้จะต้องไปแก้ไขประเด็นของประธานองคมนตรี ที่เป็นผู้สำเร็จราชการโดยอัตโนมัติ  พร้อมปฏิเสธที่จะให้คำยืนยันถึงโรดแมปเลือกตั้ง ว่าจะเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะต้องรอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ จึงจะสามารถเริ่มนับหนึ่งในกระบวนการได้

วิษณุ เผยชื่อ กก.แก้ไขร่าง รธน.

ด้าน วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึง การตั้งคณะกรรมการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติ ว่า จากการหารือที่ประชุมร่วมคณะรัฐมนตรี(ครม.) และ คสช. มีการเสนอให้ตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา 8-10 คน เพื่อยกร่างมาตราที่จะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตพระราชทาน โดยจะคัดเลือกจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีมากกว่า 100 คน มีคุณสมบัติอยู่ในฐานะที่จะช่วยตรวจสอบได้ ทำหน้าที่คือยกร่างและตรวจสอบให้เป็นไปตามข้อสังเกตพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัฐธรรมนูญประมาณ 3-4 มาตรา ไม่เช่นนั้นจะถูกสังคมกล่าวหาได้ว่ารัฐบาลจะสอดแทรกแก้ไขมาตราอื่น ๆ อีก
 
“กรรมการกฤษฎีกาที่ตั้งขึ้นจะมีทั้งผม มีชัย ฤชุพันธุ์  พรเพชร วิชิตชลชัย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ดิสทัต โหตระกิตย์ อัชพร จารุจินดา อำพน กิตติอำพน ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร  วีระพล ตั้งสุวรรณ และ อภิชาต สุขัคคานนท์ โดยจะดึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเข้ามาช่วยในฐานะเจ้าหน้าที่ในการประสานข้อมูลต่างๆ ซึ่ง มีชัย ฤชุพันธุ์ จะเป็นประธานในชุดนี้ อย่างไรก็ตาม จะยังไม่ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวในตอนนี้ โดยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน คือ ในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.นี้  สนช. จะแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวก่อน และรอการโปรดเกล้าฯลงมาภายใน 30 วัน จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดดังกล่าว เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชามติให้เสร็จภายในไม่กี่วัน ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะมอบให้องคมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคณะกรรมการฯดังกล่าว” วิษณุ กล่าว
 
วิษณุ กล่าวว่า การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจกระทบในบางมาตรา ที่เกี่ยวพันกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่ยืนยันไม่แก้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและแนวนโยบายของรัฐ คณะรัฐมนตรี ศาล การเลือกตั้ง องค์กร พรรคการเมือง ส.ว. ส.ส. รวมถึงบทเฉพาะกาล การร่างรัฐธรรมนูญในหมวดพระมหากษัตริย์ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง จึงมีความจำเป็นต้องปรับให้เข้ากับเหตุการณ์ เพราะหากไม่แก้ก็จะใช้หลักการเดิมตั้งแต่ปี 2475 และหลังจากแก้ไขเสร็จแล้ว 30 วัน นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ หลังจากนั้นอยู่ในพระราชอำนาจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

กม.ลูกเดินหน้าตามโรดแมป สถานการณ์เปลี่ยนวันเลือกตั้งจะต้องวางใหม่

ส่วนการร่างกฏหมายลูก 4 ฉบับ วิษณุ กล่าวว่า ยังยึดแนวทางเดิม คือ ร่างในส่วนที่สำคัญก่อน ซึ่ง กรธ. จะต้องทำหน้าที่ตามเวลาที่กำหนด ยืนยันโรดแมปยังเดินตามขั้นตอนที่กำหนดมาก่อนหน้านี้ ไม่ตัดขั้นตอนหรือยืดเวลาใด ๆ ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้ง อาจจะต้องกำหนดใหม่เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเรื่องพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งรัฐบาลไม่อยากใช้ข้ออ้างนี้ แต่คือความจริงที่อยู่ในหัวใจของทุกคน ซึ่งล้วนขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยในการกำหนดวันและเวลา อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งยังอยู่ตามกำหนดเดิมของโรดแมป
 
 
ที่มา : ทีมข่าววิทยุรัฐสภา และสำนักข่าวไทย 1, 2
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ชุมนุมต้าน ครม.ทรัมป์ หวั่นเป็นพวกทุนใหญ่เมินโลกร้อน

$
0
0

กลุ่มสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ จัดการประท้วง #DayAgainstDenial ต่อต้านแผนการแต่งตั้งรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เหตุหลายคนปฏิเสธโลกร้อน เช่น เร็ก ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศ และสก็อต พรุ๊ตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) กลุ่มนักสิ้งแวดล้อมยังเรียกร้องให้วุฒิสภาต่อต้านการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้

ผู้ประท้วง  #DayAgainstDenial ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ (ที่มา: Greenpeace USA)

11 ม.ค. 2560 การนัดประท้วง #DayAgainstDenial นำโดย 350.org กลุ่มที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องโลกร้อน มีองค์กรแนวร่วมอื่นๆ และนักกิจกรรมเข้าร่วมด้วยพวกเขาเรียกร้องให้วุฒิสภาลงมติต่อต้านการเสนอชื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีของทรัมป์ที่ประกอบด้วย เร็กซ์ ทิลเลอร์ซัน ซีอีโอบรรษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เอ็กซอนโมบิลเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ สก็อต พรุ๊ตต์ เป็นผู้อำนวยการ EPA ริค แพร์รี รัฐมนตรีด้านพลังงาน และ ไรอัน ชิงเก รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน ซึ่งทั้ง 4 คนนี้ต่างก็เป็นผู้ปฏิเสธว่าโลกไม่ได้กำลังประสบปัญหาโลกร้อนและต่างก็มีส่วนพัวพันกับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงพลังงานจากฟอสซิล

เจมี เฮนน์ ผุ้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารของ 350.org ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่าซีอีโอของบรรษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกไม่ควรทำหน้าที่กำหนดนโยบายการต่างประเทศของชาวอเมริกัน โดยที่การประชุมหารือของวุฒิสภาเพื่อยืนยันการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ของสหรัฐฯ จะมีขึ้นในตลอดช่วงสัปดาห์นี้

"ภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง และใครก็ตามที่ปฏิเสธในเรื่อนี้ไม่ควรเป็นคณะรัฐบาลของทำเนียบข่าว มันขึ้นอยู่กับวุฒิสภาว่าจะยับยั้งการเสนอชื่อแต่งตั้งเหล่านี้หรือไม่ และขึ้นอยู่กับพวกเราว่าจะแสดงตัวออกมาเองเพื่อเรียกร้องวุฒิสมาชิกให้ต่อต้านคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ที่ปฏิเสธปัญหาโลกร้อนหรือไม่" องค์กร 350.org กล่าว

มีแผนการจัดการประท้วงมากกว่า 70 แห่งตามสำนักงานของวุฒิสมาชิกทั่วสหรัฐฯ ซึ่งผู้จัดบอกว่าการประท้วงในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วงแนวทางที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของทรัมป์ในระยะยาว

เว็บไซต์ 350.org ระบุว่ามีร่วมการประท้วงในครั้งนี้หลายพันคนโดยมีการรวบรวมบรรยากาศการประท้วงในที่ต่างๆ เช่น ในรัฐนิวเม็กซิโก มีการประท้วงที่หน้าสำนักงานของวุฒิสมาชิก ทอม อูดัลล์ และ มาร์ติน ไฮริช ในเซาท์แคโรไลนา มีการชุมนุมที่หน้าสำนักงานของ วุฒิสมาชิกพรรครีพับรีกัน ลินเซย์ เกรแฮม ผู้ที่บอกว่าเขาเชื่อว่าโลกร้อนเป็นปัญหาจริง ในมินเนโซตามีการทำหุ่นภาพล้อเลียนเหล่าผู้เป็นหุ่นเชิดของอุตสาหกรรมพลังงานเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมในรัฐอื่นๆ อย่างนิวยอร์ก ฟลอริดา แมรีแลนด์ แคลิฟอร์เนีย รวมถึงไอดาโฮที่ผู้ชุมนุมติดอยู่ในลิฟท์ในอาคารเจฟเฟอร์ส้นขณะกำลังพยายามเข้าพบวุฒิสมาชิกด้วย

350.org ระบุขอบคุณผู้จัดการประท้วงและประชาชนทุกคนที่เข้าร่วมดยบอกว่าเสียงของพวกเขาและการปรากฏตัวของพวกเขาช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้พวกเขาก็ยังต้องกดดันต่อไป โดยมีการนำเสนอว่าวุฒิสมาชิกแต่ละคนในพื้นที่ต่างๆ มีจุดยืนอย่างไรเพื่อเรียกร้องให้พวกเขามีจุดยืนที่ดีขึ้นต่อปัญหาโลกร้อน

เรียบเรียงจาก

#DayAgainstDenial Calls on Senate to Reject Trump's Anti-Science Cabinet, Common Dreams, 09-01-2017

Thousands Protest Against Trump’s Climate Denier Cabinet, 350.org

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ชมรมนักข่าวอาวุโส' ลั่นจะสู้หากกมธ.ปฏิรูปสื่อออก กม.ละเมิดสิทธิเสรีภาพ-อิสระของสื่อมวลชน

$
0
0

11 ม.ค. 2560 ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ของชมรมฯ แสดงความกังวลยิ่งขึ้นว่ารูปแบบของกฎหมาย หรือข้อกำหนดใดๆ ที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พยายามดำเนินการผ่านเป็นกฎหมายออกมาใช้บังคับ จะเป็นการละเมิดหลักการในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเป็นอิสระของสื่อมวลชน ทั้งในระดับประเทศ และในระดับสากล ซึ่งล้วนเป็นการขัดกับหลักการความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าชมรมฯ จะคัดค้านพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ และจะร่วมต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพอันยั่งยืน มั่นคง ของสื่อมวลชนเฉกเช่นที่ได้เคยต่อสู้

โดยรายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้ 
แถลงการณ์
ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
 
จากสถานการณ์อันเปราะบางในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับสื่อมวลชนทุกรูปแบบในประเทศไทย แสดงออกให้เห็นถึงลักษณะความพยายามที่ต้องการให้อำนาจรัฐเข้ามามีอำนาจครอบงำ และบงการสื่อในลักษณะต่างๆ มากขึ้น
 
ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงและกังวลยิ่งขึ้นว่ารูปแบบของกฎหมาย หรือข้อกำหนดใดๆ ที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พยายามดำเนินการผ่านเป็นกฎหมายออกมาใช้บังคับนั้น จะเป็นการละเมิดหลักการในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเป็นอิสระของสื่อมวลชน ทั้งในระดับประเทศ และในระดับสากล ซึ่งล้วนเป็นการขัดกับหลักการความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน
 
แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในความพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มีขึ้นอย่างก้าวหน้า ในรูปแบบการเมือง การปกครองประเทศในอนาคต จะขาดการยอมรับในชุมชนประชาธิปไตยของโลก และผิดไปจากเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในความพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยตามโรดแมปที่กำหนดขึ้น
 
ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส มีความเป็นกังวลต่อความพยายามของ คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะ ในความพยายามนำเสนอการปฏิรูปสื่อที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้วยเกรงว่าลักษณะแห่งความพยายามดังกล่าว เป็นการคุกคามสื่อ แทรกแซงสื่อ และมีเจตนาแฝงเร้นในการควบคุม ครอบงำ และบงการสื่อมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยไม่อาจยอมรับได้ และไม่ปรารถนาสร้างให้มีขึ้น ไม่เป็นสิ่งอันพึงควรกระทำ
 
บรรดานักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโสทั้งมวลนี้ ต่างได้ผ่านสถานการณ์ของการเรียกร้อง แสวงหาสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน สิทธิเสรีภาพของการแสดงออก จนถึงขั้นได้ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ต่อสู้กับอำนาจรัฐในการครอบงำ บงการ และแทรกแซงสื่อ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามีความภาพภูมิใจว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับประเทศหนึ่ง ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาเซียน และในชุมชนสื่อมวลชนทั้งมวล ว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในการเรียกร้อง ต่อสู้ ให้ได้มา และรักษาไว้ ซึ่งสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทย จนสามารถนำเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในทุกมิติ มาบัญญัติไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2540 และรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550
 
ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส จึงขอแถลงการณ์แสดงความกังวลและห่วงใย ต่อสถานการณ์ “ก้าวถอยหลังลงคลอง” ของคณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะ ต่อทัศนคติความคิด ความเชื่อ และการวางคุณค่าอันยังความล้าหลังต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนทุกรูปแบบในประเทศไทย และจะขยายเป็นจุดด่างดำในความเป็นประชาธิปไตยที่ คสช.สร้างขึ้น เราขอคัดค้านพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ และจะร่วมต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพอันยั่งยืน มั่นคง ของสื่อมวลชนเฉกเช่นที่ได้เคยต่อสู้มา และจะร่วมสนับสนุนการต่อสู้ขององค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหกองค์กร อันได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย
 
เราเรียกร้องให้ผู้ครองอำนาจรัฐตระหนักถึงความสำคัญและหลักการของความเป็นประชาธิปไตย ที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ในลักษณะถอยหลังลงคลองลึกเลยเถิดอย่างไร้เหตุผล เราเรียกร้องให้ประชาชนตื่นตัว ตระหนักรู้ถึงสิทธิ เสรีภาพ ของสื่อมวลชน สิทธิของการรับรู้ซึ่งปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ ไม่มีระบอบประชาธิปไตยใดเลย ที่กดขี่ครอบงำ และบงการสื่อมวลชน นอกจากระบอบอำนาจนิยมเผด็จการ
 
ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
11 มกราคม 2560
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปวดห้องน้ำบน ‘รถไฟอังกฤษ’ ฝันร้ายที่กลายเป็นจริงของคนพิการ

$
0
0

หลากหลายประสบการณ์ปวดห้องน้ำบนรถไฟของคนพิการอังกฤษ ที่ที่แม้มีห้องน้ำ แต่ก็อาจเข้าไม่ได้เพราะมีของขวางทาง-เสีย-กลายเป็นที่เก็บของ จนนักเคลื่อนไหวด้านคนพิการหลายคน เรียกร้องให้บริษัทรถไฟแก้ไข-สร้างบทลงโทษหากทำให้คนพิการเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน


ซาแมนธา เรนกี
(ที่มา เฟสบุ๊ก Samantha Renke)
 

11 ม.ค.2560 ซาแมนธา เรนกี นักแสดงโฆษณาพิการชาวอังกฤษกล่าวกับเว็บไซต์เดอะการ์เดียนว่า เธอถูกทิ้งอย่างน่าเศร้าบนรถไฟเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง หลังสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการบนรถไฟนั้นใช้ไม่ได้จริง

เรนกี เกิดในเมืองแลนแคสเชีย และอาศัยในเมืองชอร์ดิตช์ในฝั่งตะวันออกของลอนดอน เธอพิการด้วยโรคกระดูกเปราะ และต้องใช้วีลแชร์ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา เธอออกเดินทางจากเมืองเพรสตันไปยังลอนดอนด้วยรถไฟรุ่นเวอร์จิ้นและไม่สามารถเข้าถึงที่นั่งคนพิการได้ เนื่องจากมีสัมภาระกระเป๋าต่างๆ วางอยู่เต็มพื้นที่ จึงเอ่ยปากขอย้ายที่นั่งไปยังขบวนถัดไป แต่ปรากฏว่า ที่นั่งคนพิการของขบวนอื่นก็เต็มไปด้วยกระเป๋าผู้โดยสารเช่นเดียวกัน


รถไฟรุ่น Virgin
(ที่มา
commons.wikimedia.org/wiki/File:Virgin_Class_390,_390128.jpg)
 

“ไม่มีการบอกอย่างแน่ชัดว่า เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างไร ระหว่างต้องเคลื่อนย้ายกระเป๋าเหล่านั้นออกหรือไม่เคลื่อนย้ายมันออก จึงต้องเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องแสดงให้เห็นว่า ฉันมีสิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่จะใช้พื้นที่ตรงนี้” เธอกล่าว

ในที่สุดกระเป๋าเหล่านั้นก็ถูกเคลื่อนย้าย เพื่อให้เรนกีเข้าไปนั่งในพื้นที่ของเธอ แต่การเข้าไปนั่งในพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยกระเป๋า ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธออยากจะสั่งไวน์สักแก้ว แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะจิบน้ำหรือกาแฟสักอึก เพราะกลัวจะปวดปัสสาวะ

เรนกี กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และเกิดขึ้นกับเธอ รวมทั้งคนพิการคนอื่นๆ ตลอดเวลา เพราะคนไม่พิการมักคิดไม่ถึงว่า คนที่มีความบกพร่องจะต้องการอะไรเพื่อข้ามผ่านสิ่งต่างๆ เธอเล่าย้อนถึงการเดินทางของเธอ หลังถูกทิ้งให้รอทางลาดลงจากรถไฟกว่า 20 นาทีทั้งต้องตะโกนเรียกคนช่วยเหลือ ซึ่งรวมถึงพนักงานทำความสะอาด นี่เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายตั้งแต่ต้นจนจบของเธอ

เหตุการณ์นี้สร้างความเครียดและรำคาญใจให้แก่เธอ และยิ่งหากเกิดในเวลาที่รถไฟมีผู้โดยสารแน่นขนัด เธอก็ยิ่งกังวลว่า เธอจะสร้างความรำคาญใจแก่ผู้โดยสารคนอื่นๆ

เธอกล่าวว่า บางครั้งการทำสิ่งอำนวยความสะดวกก็เสี่ยงที่คนอื่นจะไม่เข้าใจ เพราะพื้นที่พิการขวางบริเวณใกล้ห้องน้ำ ซึ่งอาจทำให้คนไม่พิการได้รับความไม่สะดวก แม้ว่าคนพิการต้องการทำให้การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของพวกเขาเป็นไปอย่างประนีประนอมที่สุดโดยไม่รบกวนใคร หรือเลือกโดยสารนอกเวลาที่คนเยอะแล้ว แต่ก็มีบางครั้งที่ฉันก็ต้องกลับไปทำงานให้ทันตามเวลาเช่นกัน

เธอต้องการเรียกร้องให้คนเห็นความสำคัญของพื้นที่คนพิการ และเรียกร้องให้บริษัทรถไฟทำตามกฎและข้อบังคับในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่อคนพิการ เพื่อลดการทำให้พื้นที่คนพิการนั้นใช้งานไม่ได้ พร้อมเสริมว่า แม้จะมีระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ แต่ก็ยังเห็นสถานที่ที่ไม่มีลิฟต์ หรือไม่มีห้องน้ำคนพิการอยู่

“อย่าทำพื้นที่คนพิการเพียงเพราะกฎหมายกำหนดว่าให้มี ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีความพร้อมเพราะนั่นก็เหมือนกับคำสัญญาที่ว่างเปล่า เรื่องเหล่านี้ทำร้ายจิตใจคนที่มีร่างกายไม่ครบสมบูรณ์อย่างมาก เมื่อสิทธิต่างๆ ของเราถูกลิดรอนไป มันก็เหมือนกับการที่เราเดินหน้าไป 1 ก้าว และเดินถอยหลัง 5 ก้าว” เธอกล่าว

อย่างไรก็ดี ตัวแทนจากบริษัทรถไฟเวอร์จิ้นกล่าวว่า พวกเขารู้สึกเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมากที่ได้ยินเรื่องราวของเรนกี เราต้องการให้ทุกคนมีประสบการณ์ที่ดีบนรถไฟและจะพยายามมากขึ้นในการปรับปรุงและทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เช่นเดียวกับ แทนนี เกร์ ทอมสัน แชมป์พาราลิมปิก 11 สมัยกล่าวว่า บางบริษัทมีที่นั่งวีลแชร์เพียง 2 ที่ โดยมี 1 ที่ในชั้นเฟิร์สคลาสและอีก 1 ที่นชั้นธรรมดา และมักตั้งอยู่ในที่ที่พวกเขาคิดว่าใกล้กับห้องน้ำที่น่าจะใช้ได้

ทอมสันกล่าวว่า เธอใช้งานโดยสารรถไฟระหว่างทางเหนือฝั่งตะวันออกของอังกฤษกับลอนดอน ประมาณ 40 สัปดาห์ต่อปี ห้องน้ำที่นั่นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ คนพิการจึงต้องวางแผนก่อนที่จะขึ้นขบวนรถไฟ และแทนที่ห้องน้ำจะสามารถใช้งานได้ พวกเขากลับต้องควบคุมการดื่มน้ำของตัวเองแทน

ฟิล เฟรน ผู้ร่วมแคมเปญคนพิการ และคณะกรรมาธิการสถาบันวิจัยผู้บริโภค ซึ่งทำงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุและคนพิการกล่าวว่า เป็นเรื่องยากสำหรับคนพิการที่จะหาห้องน้ำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟ หากมุมมองของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังมองว่า มีคนบางกลุ่มไม่ต้องการที่จะท่องเที่ยว และไม่เคยที่จะออกจากบ้าน

เช่นเดียวกับคนพิการหลายคนที่เดอะการ์เดียนได้พูดคุยด้วย บางคนต้องลงจากรถไฟเพื่อเข้าห้องน้ำและรออีกกว่าชั่วโมงเพื่อเข้าห้องน้ำในครั้งถัดไป บ่อยครั้งที่คนนั่งวีลแชร์จะต้องรอขึ้นรถไฟขบวนถัดไปและพบว่า รถไฟเหล่านั้นไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ แม้แต่อุปกรณ์ช่วยขึ้นและลงรถไฟ

 

หลายคนเคยถูกทิ้งให้เผชิญประสบการณ์ปวดห้องน้ำที่เลวร้ายบนรถไฟ

ก่อนหน้านี้ เดอะการ์เดียนได้เปิดเผยกรณีนักกีฬาพาราลิมปิก วีลเชร์เรซซิ่งชาวอังกฤษ แอน วาฟูลา ซึ่งถูกทิ้งให้ต้องปัสสาวะใส่ตัวเองตลอดการเดินทางเวลากว่า 3 ชั่วโมง เพราะรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองนั้น ไม่มีห้องน้ำสำหรับคนพิการ เธอกล่าวว่า คนพิการไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาเพียงต้องการปัจจัยขั้นพื้นฐานและการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ความขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก

เหมือนกับนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอล เอด เอดพิตัน ซึ่งถูกกดดันให้ต้องปัสสาวะใส่ขวดเพราะห้องน้ำคนพิการใช้งานไม่ได้ ห้องน้ำคนพิการหลายที่ถูกใช้เป็นที่เก็บของ และบางแห่งใช้เก็บรถจักรยาน

“ผมต้องปัสสาวะใส่ขวดเนื่องจากห้องน้ำคนพิการใช้งานไม่ได้ ต้องค่อยๆ เปิดเสื้อโค้ทขึ้นเหนือเข่าใต้โต๊ะรถไฟ และฉี่ใส่ขวดใต้เสื้อโค้ทนั้น

“ตราบใดที่ไม่มีบทลงโทษ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือผู้บังคับใช้กฎหมายไม่มีอำนาจมากพอที่จะบังคับใช้ รวมทั้งมีคนที่ไม่พิการมากมายใช้พื้นที่ของคนพิการอย่างห้องน้ำและที่จอดรถ บริษัทจึงควรทำอะไรสักอย่าง เพื่อทำให้เกิดการรับรู้หากพวกเขาทำให้สิทธิของคนอื่นหายไป” เขากล่าว

ซาร่าห์ อีแวน ทนายความจาก Slater and Gordon กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติต่อคนพิการไม่ได้กระทบต่อคนพิการที่มีปัญหาทางด้านร่างกายเท่านั้น คนที่มีปัญหาทางจิตใจก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แม้ว่าปัญหาเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการมีมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ก็ยังเหลือหนทางอีกยาวไกลกว่าจะเข้าใกล้คำว่าเท่าเทียม

“กรณีของแอนเป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า คนพิการมักถูกปฏิบัติเสมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง บริษัทรถไฟควรที่จะตรวจสอบว่า ห้องน้ำคนพิการหรือแม้แต่ห้องน้ำทั่วไปนั้นใช้งานได้และสามารถให้บริการกับลูกค้าทุกคนได้” เธอกล่าว

เช่นเดียวกับคนพิการอีกหลายคนที่เคยมีประสบการที่เลวร้ายบนรถไฟ โคลอี ทิมส์ พิการด้วยโรคเส้นประสาทไขสันหลังเสื่อม (SMA: Spinal Muscular Atrophy) และใช้วีลแชร์กล่าวว่า การใช้ห้องน้ำสาธารณะสำหรับเธอ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะห้องน้ำส่วนมากไม่ตอบโจทย์ความต้องการของเธอ โต๊ะเปลี่ยนเสื้อผ้า (เตียงพลาสติกพับติดข้างผนัง และดึงลงมาเพื่อใช้งาน คนพิการบางคนใช้มันเพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อม กางเกง ฯลฯ ) และเครื่องยกตัวติดเพดานเป็นอุปกรณ์ที่หายากมาก แค่เพียงโต๊ะเปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาๆ นั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้  


โต๊ะเปลี่ยนเสื้อผ้า
(ที่มา https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/94/Adult_disabled_changing_table_public_toilet.jpg)

 

เธอกล่าวว่า ผู้ช่วยที่สถานีรถไฟนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดอยู่เช่นกัน บางสถานี ผู้ช่วยเหลือจะรอเมื่อรถไฟมาถึงพร้อมกับทางลาดเคลื่อนที่ เพื่อเคลื่อนย้ายคนพิการที่นั่งวีลแชร์ออกจากรถไฟ ในขณะที่บางสถานีนั้นไม่มี หลายครั้งเมื่อเธอเดินทางคนเดียว เธอต้องร้องขอให้ผู้ร่วมทางคนอื่นๆ ช่วยเรียกเจ้าหน้าที่ให้เธอ แม้ว่าเธอจะจองตั๋วมาอย่างดีพร้อมกับแจ้งถึงลักษณะความพิการของเธอ แต่ก็ยังพบว่า บ่อยครั้งเธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนรถไฟเพื่อรอเจ้าหน้าที่ 

ชอนนา หลุยซ์ อายุ 19 ปี โดยสารรถไฟเพื่อเดินทางไปยังลอนดอน เธอใช้วีลแชร์ไฟฟ้าและกังวลทุกครั้งเมื่อต้องใช้บริการรถสาธารณะ และพบว่าที่สำหรับคนพิการนั้นเต็มไปด้วยคนและกระเป๋า แต่โชคดีที่พวกเขาหลีกทางให้กับเธอ เธอเข้ามาอยู่ในที่ของเธอ พร้อมกับกระเป๋าที่วางล้อมรอบเต็มพื้นที่ เมื่อเธอต้องการเข้าห้องน้ำแต่ไม่สามารถเข็นวีลแชร์ออกไปได้ เธอจึงต้องหยิบไม้ค้ำยันของแฟนเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น และเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล

 

แปลและเรียบเรียงจาก

https://www.theguardian.com/society/2017/jan/03/i-feared-for-my-health-disabled-actor-tells-of-nightmare-train-journey

https://www.theguardian.com/society/2017/jan/03/as-the-train-empties-i-worry-ill-be-forgotten-uk-disability-facilities

https://www.theguardian.com/society/2017/jan/03/transport-providers-come-under-pressure-improve-disabled-access-anne-wafula-strike-ade-adepitan

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.เตรียมจัดงานวัดเด็ก ภายใต้แนวคิด “ดินแดนแห่งความสุขตามศาสตร์พระราชา”

$
0
0

ที่มาเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam

11 ม.ค. 2560 พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2560 ณ ทำเนียบรัฐบาล ในวันเสาร์ที่ 14 ม.ค. นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00 - 15.00น. ภายใต้แนวคิด “ดินแดนแห่งความสุขตามศาสตร์พระราชา” โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างความรู้และความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่เด็ก ๆ เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา

“ท่านนายกฯ กล่าวว่า นอกจากเด็ก ๆ จะได้มีโอกาสนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว อยากให้ลูกหลานทุกคนเล่นอย่างสนุกและเรียนรู้จากกิจกรรมที่จัดไว้ให้ โดยเฉพาะศาสตร์พระราชา หรือแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งจะมีทั้งการฉายภาพยนตร์แอนนิเมชั่นพระมหาชนก ภาพยนตร์สั้นเมืองนิรมิตแห่งจิตตนคร การจำลองป่าชายเลน กังหันน้ำชัยพัฒนา หลักการทรงงาน ฯลฯ” พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าว

พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าวต่อว่า ในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติที่สนามเสือป่า จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำพิธีเปิดงาน ชมการแสดงโขนเด็กและศิลปะมวยไทย ถ่ายภาพร่วมกับเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ เด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เด็กพิเศษหรือเด็กด้อยโอกาส รวมทั้งกล่าวให้โอวาทกับเด็กและเยาวชนที่มาร่วมงาน และเยี่ยมชมบูธของหน่วยงานต่าง ๆ

สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นนั้นมีความหลากหลาย เช่น การนำเด็ก ๆ เยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้า ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี รถนำขบวนเกียรติยศ การแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมซุ้มอ่านข่าว หุ่นยนต์ปฏิบัติการ ฟุตบอลสนามเล็ก สนามเด็กเล่นรีไซเคิล นิทานในสวน วาดภาพระบายสี ประกวดคัดลายมือ บริการตรวจสุขภาพฟัน และตัดผม ตลอดจนการแจกของขวัญ ของรางวัล อาหาร ขนม และเครื่องดื่มจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้ปกครองนำบุตรหลานไปร่วมงานวันเด็กได้ที่ทำเนียบรัฐบาล

“ท่านนายกฯ ฝากให้เด็กและเยาวชนทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงและเจริญก้าวหน้า ตามคำขวัญวันเด็ก ประจำปี 2560 ที่ว่า เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง พร้อมทั้งขอให้ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดและการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ๆ และแนะนำให้ผู้ปกครองระมัดระวังการพลัดหลงกับบุตรหลานเนื่องจากจะมีผู้คนร่วมงานเป็นจำนวนมาก”  พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าว

 

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปลัดจังหวัด ทหารสั่งห้ามจัดกิจกรรมจุดเทียน “FREEPAI” อ้างอยู่ในช่วงไว้ทุกข์และน้ำท่วมภาคใต้

$
0
0

กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.มหาสารคาม สั่ง งดจัดกิจกรรมจุดเทียนเรียกร้องสิทธิประกันตัว “ไผ่ ดาวดิน” อ้างสถานการณ์ยังไม่ปกติ ไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มเติม เตือนนิสิตนักศึกษา “ไม่ควรแสดงออกทางสัญลักษณ์อะไรในตอนนี้”

11 ม.ค. 2560  ผศ.ดร.วินัย ผลเจริญ อาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ให้ข้อมูลกับประชาไทว่า ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคาม สั่งห้ามจัดกิจกรรมจุดเทียน แสดงออกเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องสิทธิประกันตัว ให้กับ “ไผ่ ดาวดิน” นักศึกษา นักกิจกรรมที่ถูกถอนประกันในคดีแชร์พระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จาก BBC Thai และถูกคุมขังที่เรือนจำขอนแก่นมาแล้ว 4 ผัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มนิสิต และอาจารย์มหาวิทยาลัยมหาสารคาร ได้มีความต้องการที่จะจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าว แต่เนื่องจากกลุ่มผู้จัดมีความกังวัลว่าจะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ จึงได้ยื่นแบบฟอร์มแจ้งจัดการชุมนุมตามที่กฎหมายระบุไปยัง สภ.เขวาใหญ่ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดูแลพื้นที่บริเวณมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2560 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตอบกลับมาว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความปลอดภัย ระหว่างจัดกิจกรรม

วินัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 10 ม.ค. ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรมาแจ้งว่า ทางกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคามไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมดังกล่าว

วินัย เผยต่อว่า ทางกลุ่มนิสิต และอาจารย์บางส่วน มีความต้องการที่จะจัดกิจกรรมนี้ให้ได้ เนื่องจากในที่อื่นก็สามารถจัดได้ วันนี้ (11 ม.ค.) 8.30น. จึงเดินทางไป กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคาม เพื่อขออนุญาตจัดกิจกรรมอีกครั้งโดยใช้ห้องประชุมของศาลากลางจังหวัดซึ่งมีเจ้าหน้าที่ส่วนต่างของรัฐ 7 คนประกอบไปด้วย ปลัดจังหวัด ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเขวาใหญ่  เสนาธิการ กกล.รส.จว.ม.ค. นายทหารยศพันตรีตัวแทนของกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมหาสารคาม ตำรวจสันติบาลซึ่งไม่ทราบยศ ทหารจาก กกล.รส.จว.ม.ค. 2 นาย และผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาหาสารคาม โดยทางปลัดจังหวัดซึ่งเป็นประธานและตัวแทนของผู้ว่าราชการจังหวัดได้บอกว่า ไม่อยากให้จัดกิจกรรมจุดเทียนเพราะเป็นห่วงความสงบเรียบร้อย อีกทั้งยังเป็นช่วงไว้ทุกข์และเหตุการณ์อุทกภัยภาคใต้ภาครัฐมีภาระจำเป็นที่ต้องทำมากควรทุ่มเทให้กับการแก้ปัญหาเร่งด่วนเช่นปัญหาน้ำท่วม  

ปลัดจังหวัดระบุด้วยว่า กรณีของไผ่นั้นมองว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควรศาลจะให้ประกันตัวเองตอนนี้คงทำให้เข็ดหลาบเท่านั้น โดยยกกรณีของจตุพร พรมพันธ์ขึ้นมาเปรียบเทียบว่าในที่สุดศาลก็ให้ประกันตัวออกมา

วินัย เผยต่อว่า เหตุผลที่อยากจัดกิจกรรมนี้เพราะอยากช่วยไผ่ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ อย่างน้อยการจุดเทียนก็ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสะท้อนออกมาได้เป็นการแสดงออกแบบสันติวิธีและอยากเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยให้นิสิตนักศึกษาตระหนักถึงคุณค่าของสิทธิเสรีภาพของคนทุกคน อย่างไรก็ตามทางปลัดจังหวัดและทหารได้ย้ำ พร้อมทั้งขอร้องว่า ไม่อยากให้จัดกิจกรรมใดๆ ในช่วงนี้ รอสถานการณ์เหมะสมกว่านี้รอเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ก็เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พร้อมฝากเตือนนิสิต “ไม่ควรแสดงออกทางสัญลักษณ์อะไรในตอนนี้”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เฟซบุ๊กรับ-ทำตามคำขอรัฐบาลไทย-ปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้งานในไทยเห็นบางโพสต์

$
0
0

เฟซบุ๊กยืนยันให้ความร่วมมือกับทางการไทยปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้งานในประเทศไทยเข้าถึงเนื้อหาโพสต์บางโพสต์ได้จริงหลังจากที่มีอดีตผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แอนดรูว์ มาร์แชลล์ ตั้งข้อสังเกตว่าโพสต์ของเขา และโพสต์ของสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล บางโพสต์ไม่สามารถเข้าถึงได้จากผู้ใช้เน็ตในประเทศไทย

ภาพจากวิดีโอไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งมักนำแมวมาประกอบการวิดีโอไลฟ์

11 ม.ค. Mashable รายงานว่าเฟซบุ๊กบล็อกโพสต์บางโพสต์ในประเทศไทยที่รัฐบาลไม่ชอบ จากที่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (10 ม.ค.) แอนดรูว์ แมคเกรเกอร์ มาร์แชลล์ ตั้งข้อสังเกตว่าโพสต์ของเขาบางโพสต์รวมถึงโพสต์ของสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล ไม่ปรากฏให้ผู้ใช้ในประเทศไทยเห็น

อย่างไรก็ตามโพสต์ที่ถูกบล็อกในไทยยังสามารถแสดงให้เห็นได้กับผู้ใช้ที่อยู่นอกประเทศ แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ที่เข้าถึงเฟซบุ๊กด้วยเลขไอพีจากไทยจะปรากฏข้อความว่าโพสต์ดังกล่าวไม่มีอยู่หรือถูกนำออกไปแล้ว

Mashable ระบุอีกว่าประเทศไทยมีการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวด โดยที่ฝ่ายวิจารณ์บอกว่ากฎหมายนี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยที่ในอดีตเคยมีคนที่ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะกดไลค์เนื้อหาหมิ่นมาแล้ว

เฟซบุ๊กกล่าวยืนยันกับ Mashable ว่าพวกเขาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการนำโพสต์ออกจริงโดยอ้างว่าทำไปเพื่อให้พวกเขายังคงอยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายของไทย โฆษกของเฟซบุ๊กกล่าวว่าทางบริษัทได้ดำเนินการกับโพสต์ที่มีคำร้องผ่านกระบวนการทางกฎหมาย และจนถึงตอนนี้มีเนื้อหา 10 เรื่องแล้วที่ถูกห้ามเผยแพร่ในประเทศไทยตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมส่งคำร้องให้

DPAเคยรายงานว่า มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊กเคยเข้าพบปะกับทางการไทยเมื่อเดือน พ.ย. 2559 เพื่อหารือเรื่องวิธีการตรวจตราและปิดกั้นเนื้อหาที่ถูกมองว่า "ไม่เหมาะสม"

ไม่เพียงแค่ในไทยเท่านั้น นิวยอร์กไทม์ระบุว่าเฟซบุ๊กเคยจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาในหลายประเทศมาก่อน โดยเคยปิดกั้นเนื้อหารวมแล้วราว 55,000 ชิ้น จาก 20 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคมปี 2558

เรียบเรียงจาก

Thai Facebook unable to see some posts blacklisted by the government, Mashable, 11-01-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น'แถลงการณ์เปิดตัวกลุ่ม Black Circle

$
0
0

แถลงการณ์และกำหนดกิจกรรมทางวิชาการจาก กลุ่มนักวิชาการ ศิลปินและนักเขียน ชื่อ Black Circle แสดงจุดยืนในการร่วมสร้างกิจกรรมทางวิชาการและศิลปวัฒนธรรม เพื่อกรุยทางสู่เส้นทางแห่งปัญญา โดยยึดหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ความมืดมิดคือองค์ประกอบพื้นหลังที่รองรับความสว่างไสวของแสง ถ้าแสงสว่างคือความหวัง จุดเริ่มต้นอันเป็นประกายของแสงที่เฉิดฉันก็คงเป็นที่อื่นไปเสียมิได้นอกจากในความดำมืดนั้นเอง

กลุ่มนักวิชาการ ศิลปินและนักเขียน ชื่อ Black Circle ได้ร่วมแถลงการณ์ เพื่อแสดงจุดยืนในการ่วมสร้างสรรค์กิจกรรมทางวิชาการและศิลปวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นความหวังที่จะร่วมกรุยทางสู่เส้นทางแห่งปัญญา โดยยึดหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้ กิจกรรมต่างๆจะดำเนินไปในลักษณะความร่วมมือข้ามสถาบัน/หน่วยงาน โดยมีลักษณะของกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การจัดประชุมวิชาการ การเสวนา การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ตลอดจนวารสารวิชาการชื่อ QUINTET JOURNAL เพื่อตีพิมพ์ผลงานวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

กิจกรรมแรกได้แก่ การร่วมมือกับคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร  ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดเสวนาสำนักทฤษฎีและปฏิบัติการทางสังคม ครั้งที่ 5 หัวข้อ "กรัมชี่กับปรัชญาปฏิบัติ: ว่าด้วยกฎหมายโบราณอีสาน และแรงงานข้ามชาติผู้ไร้เสียง" วันพฤหัสบดี ที่ 19 มกราคม 2560 14.00-16.30 น. ณ ห้องราชพฤกษ์ 1 ชั้น 2 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี ผศ.ดร. วัชรพล พุทธรักษา Black Circle สายมหาวิทยาลัยเนรศวร ร่วมอภิปรายและนำถก

กิจกรรมที่สองทาง Black Circle ได้ร่วมกับ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาหัวข้อ “สันติภาพกับความโอบอ้อมอารี: จากแดร์ริดา ถึงค้านท์” พบกับวิทยากร  เกษม เพ็ญภินันท์ เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช และกิตติพล สรัคคานนท์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ระหว่างเวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ร้าน Books & Belongings กทม.

สำหรับวารสารวิชาการ QUINTET JOURNAL สามารถส่งบทความวิชาการเพื่อลงในวารสาร 4 ชิ้น บทวิจารณ์หนังสือ 1 ชิ้น

ฉบับปฐมฤกษ์ ว่าด้วย“ความจริง” On Truth กำหนดส่ง 31 พฤษภาคม 2560

1. ความยาวประมาณ 20 หน้า A4

2. อ้างอิง ระบบนามปี

3. ฟอนท์ UPC Angsana/Cordia/ Browallia หรือ TH Saraban ขนาดฟ้อนต์ 16

ส่งมาได้ที่ email: quintetjournal@gmail.com

0000

แถลงการณ์ Black Circle
(English below)

ความหวังเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความรู้โดยตรงก็จริง แต่ความหวังคือเงื่อนไขของการมุ่งหน้าไปสู่ความรู้ เมื่อเราวาดหวังถึงภาพอนาคต นั่นย่อมหมายความว่าเรารู้ว่าสังคมการเมืองที่ดีควรมีหน้าตาอย่างไรและย่อมหมายความว่าสังคมการเมืองดังกล่าวสามารถเป็นไปได้(อย่างน้อยก็สำหรับตัวเราเอง)

นักคิด/นักปรัชญาต่างพากันครุ่นคิดถึงโลกในอุดมคติ นักวิชาการวาดโครงการถึงการวิจัยที่จะเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ในแขนงของตน แต่เป้าหมายเหล่านั้นจะเป็นไปได้หรือหากปราศจากความหวัง เป็นไปได้หรือที่นักวิชาการจะเดินหน้าสู่เส้นทางแห่งปัญญาหากขาดซึ่งเสรีภาพอันเปรียบได้กับลมหายใจแห่งความหวัง

แบล็ค เซอร์เคิล คือกลุ่มนักวิชาการ ศิลปิน นักเขียนที่มาดหมายว่ากิจกรรมทางปัญญาจะกรุยทางไปสู่สังคมที่ดีขึ้นได้ คำว่า “แบล็ค” ในชื่อกลุ่มของเรานั้นแม้ด้านหนึ่งอาจชี้ชวนให้หวนนึกถึงความมืดมนอนธกาล แต่ความมืดก็มิเคยเป็นเพียงแค่ภาวะไร้แสงเปี่ยมความสิ้นหวัง ตรงกันข้ามเพราะมีความมืดมิดจึงทำให้เรารู้ว่าแสงสว่างคืออะไร หากปราศจากความมืดมิดแสงสว่างก็คงเป็นสิ่งที่ไร้ค่าและไม่มีใครให้ราคา ในแง่นี้ ความมืดมิดจึงเปรียบได้กับเงื่อนไขที่ให้กำเนิดแสง ความมืดมิดคือองค์ประกอบพื้นหลังที่รองรับความสว่างไสวของแสง ถ้าแสงสว่างคือความหวัง จุดเริ่มต้นอันเป็นประกายของแสงที่เฉิดฉันก็คงเป็นที่อื่นไปเสียมิได้นอกจากในความดำมืดนั้นเอง

เราตระหนักว่าโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การจะจุดประกายแห่งแสง(และความหวัง) ย่อมต้องอาศัยความร่วมมือในบางลักษณะ เคราะห์ดีที่เทคโนโลยีการสื่อสารร่วมสมัยได้ส่งเสริมเราทั้งในการสร้างองค์ความรู้ที่เท่าทัน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมมือกันข้ามองค์กรหรือหน่วยงาน ในการนี้ แบล็ค เซอร์เคิล จึงเกิดขึ้นเพื่อดำเนินพันธกิจดังกล่าว ด้วยหวังว่าจะเป็นส่วนเล็กๆในการจุดแสงสว่างทางปัญญาและมอบความหวังให้กับสังคม

พวกเราเป็นกลุ่มนักวิชาการ ศิลปินและนักเขียนที่มุ่งทำกิจกรรมร่วมกันอย่างอิสระ เพื่อเกื้อหนุนกิจกรรมทางวิชาการ/ศิลปวัฒนธรรมอันจะเป็นหลักหมายสำหรับการจุดไฟแห่งปัญญา (และความหวัง) ท่ามกลางความมืดมิด

กิจกรรมต่างๆจะจัดขึ้นในรูปของการจัดประชุมวิชาการ การเสวนา การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ตลอดจนวารสารทางวิชาการชื่อ QUINTET JOURNAL เพื่อตีพิมพ์ผลงานวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นอกจากนี้เรายังมุ่งหมายจะสร้างเครือข่ายกับนักวิชาการในระดับนานาชาติ สำหรับสร้างสรรค์กิจกรรมทางวิชาการร่วมกัน เพราะเสรีภาพและความหวังนั้นมิเคยเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่แต่ในพรมแดนหรือขอบเขตจำกัดแต่อย่างใด ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็คงมิมีอะไรมาขวางกั้นเสรีภาพในการมุ่งหน้าไปสู่เส้นทางแห่งปัญญาได้

 

0000


Black Circle Manifesto

It is true that hope does not directly relate to knowledge, however; hope is a requirement in order to move towards knowledge. Hoping for the future means that we actually already know what a good political society should look like, which also implies that there is a possibility for such society to exist (at least for the person who hopes).

Thinkers/ philosophers have been pondering on what an ideal world should be like. Scholars have been conducting research projects that would lead them to the knowledge of their fields. However, can those aims be achieved without hope? Is it possible for a scholar to progress towards enlightenment without having liberty which is comparable to the breath of hope?

“Black Circle” is a group of scholars, artists, and writers who believe that critical thinking activities can pave the way to a better society. The word “Black” may indicate the state of total darkness, but darkness itself is never merely a state of hopelessness. On the contrary, it is because of darkness that light comes into existence. Without darkness, light would certainly be meaningless and valueless. Following this aspect, darkness is then required in order to shed light for it is the background that help support the brilliance of light. And if light is hope, then the origin of light certainly cannot be anything but darkness.

We all realize that the world have advanced so fast nowadays. Igniting a spark of light (and hope) needs a certain kind of cooperation. Fortunately communication technology today allows us to be updated with information and knowledge while offers us an opportunity to acquire collaborations from different organizations and departments. “Black Circle” was founded to carry out this mission. It hopes to become a small unit which helps enlighten and offers hope to the society.

We are a group of scholars, artists, and writers who aspire to encourage academic and cultural activities which should ignite intelligence (and hope) amidst the darkness. Activities will be organized in the forms of conferences, symposiums, workshops, and plications in “QUINTET JOURNAL” which features academic papers in the fields of humanity and social science. Moreover, we intend to build connections with academics at an international level to create activities together for liberty and hope know no border. As long as humanity still has hope, nothing will get in the way of liberty that shall lead us to the path of enlightenment.

 

ลงชื่อ

กิตติพล สรัคคานนท์   บรรณาธิการ/ นักเขียน

เกษม เพ็ญภินันท์    ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไกรวุฒิ จุลพงศธร     นักวิชาการอิสระ

คงกฤช ไตรยวงค์     ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ชัยวุฒิ ตันไชย    นักวิชาการอิสระ

ตฤณ ไอยะรา สาขาความสัมพันธุ์ระหว่างประเทศ สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

ทวีศักดิ์ เผือกสม ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยนเรศวร

ปิยณัฐ ประถมวงษ์    นักวิชาการอิสระ

บดินทร์ สายแสง  สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

พิพัฒน์ พสุธารชาติ  นักวิชาการอิสระ

พิพัฒน์ สุยะ  ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์  สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

ภู กระดาษ นักเขียน

มิ่ง ปัญหา   ภาควิชาประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง  คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ยุทธศิลป์ อร่ามศรี    นักวิชาการอิสระ

วัชรพล พุทธรักษา  สำนักทฤษฎีและปฏิบัติการทางสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

วริตตา ศรีรัตนา     ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์/ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา   นักเขียน

ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ  ภาควิชาสื่อ ศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สันติ  ลอรัชวี นักออกแบบ

สุรัช คมพจน์  สาขาการเมืองการปกครอง สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย

อรรถสิทธิ์ สิทธิดำรง  สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

อนุสรณ์ ติปยานนท์ อาจารย์/นักเขียน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอก'ลุงตู่' แม่น้ำโขงไม่ได้มีคุณค่าแค่การเดินเรือ

$
0
0


ตอบเรื่องแม่น้ำโขง ที่ "ลุงตู่" ตอบนักข่าวเรื่องระเบิดแก่งแม่น้ำโขงเมื่อวาน  (นายกฯ เมินเสียงค้านกลุ่มอนุรักษ์ ปรับปรุงร่องน้ำโขง)

ในฐานะที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2545 ขออธิบายทีละคำถาม ดังนี้ค่ะ

1 นายกฯ บอกว่า "การระเบิดร่องน้ำในแม่น้ำโขง ทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ..การดำเนินการอะไรก็ต้องมีการสมยอมกันทั้ง 4 ประเทศ ไม่ใช่อยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งอีกทั้งแม่น้ำโขงก็ไม่ใช่ของประเทศไทย เป็นแม่น้ำระหว่างประเทศไม่ใช่หรือ แล้วถ้ามีการดำเนินการจะเสียประโยชน์ตรงไหน"

ตอบว่า-- แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติ ใช้ร่วมกัน 6 ประเทศ จากเทือกเขาหิมาลัย-จีน ผ่านพม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม เฉพาะประเทศไทยที่แม่น้ำโขงไหลผ่านพรมแดน ก็มีถึง 8 จังหวัด คือเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบล

ข้อตกลงเดินเรือเสรีแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ปี 2000 ลงนามโดย 4 ประเทศ นำโดยจีน มีพม่า ลาว ไทย นำมาสู่การผลักดันโครงการปรับปรุงร่องน้ำเพื่อการเดินเรือพาณิชย์ "ระเบิดแก่งแม่น้ำโขง" ที่ทำให้แม่น้ำโขงตอนบนอันมีเกาะแก่งสลับซับซ้อน กลายเป็นเพียง "คลองเดินเรือ​" ให้เรือขนาดอย่างน้อย 500 ตัน เดินทางได้จากซือเหมา/ยูนนาน ลงมาถึงหลวงพระบาง

ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาจีน "ระเบิดแก่ง" ได้แค่ในจีน ลาว พม่า แต่มาติดที่พรมแดนไทย-ลาว จ.เชียงราย ที่แก่งคอนผีหลง เพราะชาวบ้านต้าน และกลาโหมคัดค้านเนื่องจากกระทบพรมแดน ---ชวนอ่านงานวิจัยเรื่องพรมแดน ()

"จีน" หงุดหงิดที่ไทยไม่ยอม และพยายามเดินหน้าตลอด สุดท้ายก็สำเร็จ มาผ่านมติ ครม.ไทยเมื่อ ธันวา 2559 นี่เอง (ดูรายละเอียด มติ ครม. )

"แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ" เป็น shared river แปลว่าใช้ร่วมกัน ไม่ใช่ของไทย ของใคร แต่ "ใช้ร่วมกัน" และนับตั้งแต่ยุคบรรพกาล ชุมชนสองฝั่งน้ำก็ใช้-รักษา มาโดยตลอด ที่สำคัญ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม) ก็มี "ข้อตกลงแม่น้ำโขง พศ.2538"ที่กำกับให้ประเทศสมาชิกใช้แม่น้ำโขงร่วมกันอย่างยั่งยืน 

2 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าถ้าตอบว่าเป็นเรื่องของทรัพยากรก็หมดมาตั้งแต่ข้างบนแล้ว ปัญหาวันนี้น้ำข้างบนที่จะไหลลงมาข้างล่างก็ยังไม่พอเลย

ตอบว่า--- "ข้างบน" หรือแม่น้ำโขงตอนบนในยูนนาน จีน มีเขื่อนสร้างตั้งแต่ปี 2539 จนเวลานี้ก็สร้างไปแล้ว 6 อภิมหาเขื่อน และกำลังก่อสร้างอีก 3 เขื่อน ทุกวันนี้จีนระบายน้ำ-กักน้ำ โดยเขื่อนจิงหง Jinghong Dam ที่เชียงรุ้ง ห่างไทยไป 340 กม กระทบบ้านเราเต็มๆ เพราะน้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ในหน้าแล้งแทบจะร้อยทั้งร้อยไหลมาจากจีน

น้ำโขงที่จีนจะปล่อยลงมาหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของจีน เขาปล่อยน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า และเดินเรือสินค้าของเขาเอาของมาขายเรา หากเขาจะเดินเรือ เขาก็ปล่อยน้ำมา ไม่สนว่าท่วมหาดทราย-แปลงเกษตรริมฝั่งฤดูแล้ง หรือพัดเรือ-บ้านเรือนชาวบ้านริมโขงเสียหาย หรือหน้าน้ำหลาก เขาไม่สนฤดูกาล เขื่อนจีนทำเอาระบบนิเวศ น้ำขึ้น-น้ำลง ตามฤดูกาลของแม่น้ำโขงแปรปรวน แต่ก็ยังไม่ "พัง" เพราะยังมีเกาะแก่ง ระบบนิเวศที่ยังคงอยู่

สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำ คือ เรียกร้องให้จีน-เจ้าของเขื่อนแก้ไขปัญหานี้ทันที ให้จัดการเขื่อนโดยคำนึงถึงท้ายน้ำ downstream และฤดูกาล

แม่น้ำโขงเสียหาย ต้องรีบแก้ไข-ฟื้นฟู ไม่ควรคิดว่าแลยตามเลยแล้วปล่อยให้ใครมากระทืบซ้ำให้ตายไปจริงๆ นะคะ

3 สุดท้าย นายกบอกว่า "ถ้าจะพูดถึงทรัพยากร เรื่องของเขื่อนปากมูล อยากถามว่าแล้วประมงพื้นบ้านหาเงินได้วันละเท่าไร น้ำมันตื้นขนาดนี้จะหาเงินได้เท่าไร แล้วก็มีการระบายน้ำทิ้งวันละไม่รู้กี่แสนลูกบาศก์เมตร ไปคิดกันเอาเอง"

ตอบว่า--- ลุ่มน้ำโขงเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประชาชนหลายล้ายคนใน 4 ประเทศน้ำโขงตอนล่างจับปลาและสัตว์น้ำได้ปีละ 1.9-4 ล้านตัน (http://bit.ly/2jn4WNt) ปลาแม่น้ำโขงเป็นแหล่งโปรตีน แหล่งรายได้ แหล่งอารยธรรมของภูมิภาคนี้ (รวมทั้งอารยธรรมสมัยนครวัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ทะเลสาบเขมร)

ราคาปลาน้ำโขงรู้กันว่าเดี๋ยวนี้แพงมากๆ ที่เชียงของ จ.เชียงราย ปลาเนื้ออ่อน-ปลานาง กก. ละ 450 บาท ร้านอาหารแย่งกันซื้อนะคะ มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะได้กิน (ที่ลาวใต้-สีพันดอน จับปลาน้ำโขงได้ฤดูกาลละ 1-10 ตัน/ครอบครัว ก็หลายล้านบาทค่ะรายได้จากปลา)

"การระบายน้ำทิ้ง" ไม่มีค่ะ แม่น้ำโขงที่ไหลไปนั้นคือสิ่งหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต หล่อเลี้ยงระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์เป็นอันดับ 2 ของโลก แม่น้ำโขงไม่ใช่ท่อน้ำหรือคลอง แม่น้ำโขงมีวัฏจักรน้ำขึ้นน้ำลงหมุนเวียนตามฤดูกาล ปลาแม่น้ำโขง 70% อพยพทางไกล จากปากน้ำเวียดนาม-ทะเลสาบเขมร-พรมแดนไทยลาว-ลำน้ำสาขา

น้ำโขงที่ไหลจากต้นน้ำถึงทะเลจีนใต้ มีคุณค่า ตะกอนที่แม่น้ำพัดพามา คืออู่ข้าวอู่น้ำของภูมิภาค ลองหาข้อมูลอ่านดู google ก็จะพบงานวิจัยทั้งภาษาไทย อังกฤษ และอื่นๆ น่าจะหลายพันชิ้นค่ะ

แม่น้ำโขงมีทุกอย่างค่ะ แต่ หายนะที่เกิด/กำลังจะเกิด เนื่องจากขาดอย่างเดียว คือความเป็นธรรม-ความโปร่งใส
..
..
เอกสารสรุปเรื่องระเบิดแก่งแม่น้ำโขง ทำไว้สิบกว่าปี วันนี้ยังเป็นเรื่องจริงค่ะ http://bit.ly/2iauoF4

ข้อมูลอื่นๆ มีรวบรวมไว้ที่ www.mymekong.orgค่ะ


 "นายก" พูด นาทีที่ 4.50 

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook Pai Deetes เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>