Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

'ผมไม่ใช่เพื่อนไผ่' บทความโดย บุญเลิศ วิเศษปรีชา

$
0
0

 


ผมไม่รู้จักไผ่ ดาวดิน หรือ นายจตุภัทร บุญภัทรรักษา นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นการส่วนตัว

ผมรู้จักเขาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ และรู้ว่า เขาเป็นนักศึกษาที่ร่วมทุกข์กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการโครงการสัมปทานเหมืองแร่ และเคลื่อนไหวคัดค้านมาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร

หลังการรัฐประหาร ไผ่ และเพื่อนกลุ่มดาวดิน เป็นกลุ่มแรกๆ ที่แสดงตัวไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร พวกเขาตระหนักว่า อำนาจเบ็ดเสร็จที่ปราศจากการตรวจสอบ เป็นอันตรายต่อคนเล็กคนน้อยในสังคม เพราะไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้รวมตัวส่งเสียงร้องทุกข์ในสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ

การชูสามนิ้วต่อหน้า พลเอกประยุทธ์ คือ การท้าทายที่องอาจที่สุดในยุค คสช. 


ที่มาภาพ: 
เฟซบุ๊ก ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDM
 

ถึงผมไม่ได้เป็นเพื่อนไผ่ และไม่รู้จักไผ่ เป็นการส่วนตัว แต่เท่านี้ผมก็นับถือไผ่แล้ว

หาคนหนุ่มสาวในยุคนี้ ที่สนใจทุกข์ร้อนของคนอื่น ได้ยากเต็มที ถ้าเราอยากเห็นสังคมที่คนรุ่นหนุ่มสาว ตระหนักถึงทุกข์ร้อนของคนร่วมสังคม ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องส่วนตัว คนอย่างไผ่ คือคนที่เราต้องยกย่อง ไม่ใช่ซ้ำเติม

เรื่องของไผ่มาเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อเขาถูกนายทหารท่านหนึ่งแจ้งข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเนื่องมาจากการแชร์ข่าว ที่รายงานโดยบีบีซีไทย ทราบกันว่า มีคนแชร์ข่าวนี้ นับพันคน แต่นอกจากไผ่แล้ว ไม่มีใครถูกแจ้งความดำเนินคดีแม้แต่คนเดียว ต้นตอของข่าวคือสำนักข่าวบีบีซีก็ไม่ถูกดำเนินคดี

จากข้อเท็จจริงแค่นี้ วิญญูชนผู้มีวิจารณญาณ ย่อมเห็นได้ไม่ยากว่า การดำเนินคดีกับไผ่ เหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติชัดๆ เพื่อเล่นงานไม่ให้ไผ่เคลื่อนไหวทางการเมืองได้สะดวกมากกว่าที่จะปกป้องสถาบัน อย่างจริงจัง

หากจะปกป้องจริงจัง และเห็นว่าสิ่งที่ไผ่แชร์ มีแนวโน้มที่จะผิด ควรดำเนินการกับสำนักข่าวบีบีซีไทยก่อน แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการ และคนอื่นๆ ที่แชร์อีกเป็นพันเล่า  ถ้าการแชร์ผิดหนักร้ายแรงจริง ทำไมคนอีกนับพันไม่ผิดด้วย 

ตรงกันข้าม ถ้าการแชร์นั้นไม่ผิด ต้นตอข่าวก็ไม่ถูกดำเนินคดี แล้ว ทำไมไผ่จึงต้องถูกดำเนินคดีคนเดียว  ไผ่จึงไม่สมควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้น

ถ้าจะบอกว่า เราจำเป็นต้องให้คนทุกคนมีความเสมอหน้าเท่าเทียมต่อหน้ากฎหมาย ทำไมกฎหมายจึงบังคับใช้กับคนบางคน  เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของไผ่ แต่เป็นเรื่องหลักประกันว่า ถ้ามันเกิดกับไผ่ได้ มันก็เกิดกับทุกๆ คนได้ มันจะมีกรณีที่เรื่องเดียวกัน คนอื่นทำไม่ผิด แต่มันผิดเฉพาะฉัน เราจะยอมให้กฎหมายมันมีเรดาร์ เลือกบังคับใช้เป็นบางคนอย่างนั้นหรือ ?

อย่างไรก็ดี ไผ่ก็ไปรายงานตัวตามหมายเรียก และยื่นบัญชีเงินสดประกันตัวเป็นเงินสี่แสนบาท ซึ่งเป็นไปตามหลักพื้นๆ ว่า ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะถูกตัดสินว่าผิด เราจึงเห็นกรณีที่แม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินว่าผิดแล้ว ก็ยังให้ประกันตัวจำเลย  นั่นก็เพราะว่า ถ้าเกิดไปจับเขาขังคุก ระหว่างไต่สวน เกิดศาลตัดสินภายหลังว่าไม่ผิด สิ่งที่เขาสูญเสียไประหว่างถูกขังระหว่างไต่สวนย่อมไม่อาจจะเรียกคืนได้ 

การจะไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหา ได้รับการประกันตัว จึงถูกจำกัดไว้ว่า เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น เกรงว่าจะหลบหนี เกรงว่าจะไปปั่นป่วนคุกคามพยานหลักฐาน  หรืออื่นๆ เท่าที่จำเป็น ซึ่งไผ่ก็ไม่อยู่ในข่ายนั้นอยู่แล้ว

เรื่องของไผ่มาเป็นประเด็นอีกที ก็เพราะไผ่ไปโพสต์เฟสบุ๊ก พาดพิงกรณี ที่ศาลจังหวัดพระโขนงที่ไม่ให้นักวิชาการใช้ตำแหน่งประกัน นักกิจกรรม 3 คนในคดีฉีกบัตรลงประชามติ เพราะไม่ใช่ญาติ และต้องให้ใช้เงินสดประกัน 3 คน คนละ สองแสนบาท  

ไผ่ถูกเจ้าพนักงานที่ขอนแก่น ยื่นคำร้องขอถอนประกันว่า การโพสต์ของเขา เป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐ ศาลที่จังหวัดขอนแก่น เรื่อยมาจนถึงศาลฎีกา ก็เห็นด้วย ให้ถอนประกันไผ่ จนต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำ

ผมนั้นเรียนจบปริญญาตรีประมง จบปริญญาเอกมานุษยวิทยา ไม่ได้เรียนเอกกฎหมายแต่อย่างใด แต่สมัยเรียนปริญญาตรี ผมมีโอกาสปรึกษากับนักฎหมายมหาชนชั้นนำคนหนึ่งของประเทศนี้อยู่เสมอ ปัจจุบันท่านเป็นหนึ่งในตุลาการสูงสุดในศาลปกครองสูงสุด ท่านสอนแก่นของหลักสิทธิเสรีภาพแก่ผม และผมยังจำได้มาจนทุกวันนี้  นั่นคือ

ตามหลักสิทธิและเสรีภาพ ประชาชนสามารถทำอะไรก็ได้เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้ และการบัญญัติห้ามนั้นต้องชัดแจ้ง  ให้รู้กันว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ห้ามทำ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ จะใช้อำนาจทำอะไรได้ ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจให้ทำได้ เพราะก่อนจะออกกฎหมายต้องไปผ่านสภา แปลว่า สภาผู้แทนจากประชาชน นั้นอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เราจึงได้ยินสำนวน ตามประกาศต่างๆของรัฐว่า  อาศัยความตามมาตรา.......ของพ.ร.บ. จึงสั่งให้ ...... 

กรณีของไผ่นั้น ผมไม่เห็นว่า การที่ไผ่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับคดีที่ศาลพระโขนงนั้น ผิดกับกฎหมายข้อใด และในเงื่อนไขการประกันตัวของไผ่ ก็ไม่ได้บอกว่า ไผ่ห้ามเย้ยหยันอำนาจรัฐ มิเช่นนั้น จะถูกถอนประกัน เมื่อไม่ได้ห้าม และถึงแม้จะห้าม ผมก็เข้าใจว่า ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจให้ตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ได้

ดังนั้น ในความเห็นของผม ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนของไผ่ ผมคิดว่า ไผ่ไม่ควรถูกถอนประกัน เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกห้าม เขาจึงไม่ได้ทำผิด

อย่างไรก็ดี ผมไม่ใช่นักฎหมาย ผมได้แต่หวังว่า นักกฎหมาย นักวิชาการทางด้านกฎหมาย ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย จะไม่อยู่นิ่งเฉย และจะต่อสู้ ช่วยกันเขียน ช่วยกันพูด เพื่อไม่ให้หลักการพื้นฐานทางกฎหมายนี้ถูกละเมิด มิเช่นนั้น เราคงไม่ต้องเรียนหลักการปกครองด้วยกฎหมายกันอีกแล้ว

ถ้ากฎหมายถูกเลือกปฏิบัติกับไผ่ได้ มันก็จะสามารถถูกเลือกปฏิบัติได้กับทุกคน  มันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของไผ่   มันจึงเป็นเรื่องที่คุกคามทุกคน

ถึง ไผ่ไม่ใช่เพื่อนผม ผมก็เห็นว่า เขาไม่ควรถูกจองจำ

ไผ่ควรมีอิสรภาพ ในระหว่างต่อสู้คดี.

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรยันรัฐบาลต้องเดินตามโรดแมปที่ได้สัญญากับประชาชน

$
0
0

9 ม.ค. 2560 จากกรณีที่ดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจว่าประชาชนไม่พร้อมเลือกตั้งในปีนี้ แต่ต้องการให้จัดการเลือกตั้งในปี 2561 นั้น (อ่านรายละเอียด) วันนี้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้คิดว่าผลสำรวจจะออกมาในรูปแบบใด แต่ รัฐบาลต้องเดินตามโรดแมปที่ได้สัญญากับประชาชนไว้ในภาพรวม ส่วนเรื่องอื่นยังไม่ได้คิดว่าจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ และอยู่อีกกี่ปี แต่จะต้องทำตามโรดแมปให้ได้ 

พล.อ.ประวิตร ไม่ขอตอบว่ามีการหารือกับนายกรัฐมนตรีถึงปัจจัยที่ไม่สามาารถดำเนินการตามโรดแมปได้หรือไม่ เนื่องจากโรดแมปขั้นที่ 1 ยังไม่แล้วเสร็จ จนไปสู่การเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน ส่วนการปฏิรูปที่หลายฝ่ายมองว่าจะปฏิรูปไม่เสร็จก่อนเลือกตั้งนั้น ยืนยันว่าขณะนี้มีการปฏิรูปไปแล้วหลายเรื่องและขณะนี้ก็ยังดำเนินการปฏิรูปต่อไป

สำหรับกรณีพบการทุจริตในการสอบข้อเขียนคัดเลือกบุคคลภายนอกเป็นนายสิบตำรวจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องทางตำรวจ ซึ่งจะมีพวกหนึ่งที่เป็นพวกทุจริตที่จะต้องนำมาลงโทษทั้งหมด ไม่ว่าจากภาคเอกชนหรือราชการ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวคงไม่มีการตรวจสอบย้อนหลัง เพราะถ้าย้อนหลังคงต้องย้อนกันถึง 20 ปี ดังนั้น จะเอาครั้งนี้ให้ชัดเจนก่อน ทางตำรวจต้องดำเนินการ แต่ในส่วนพวกที่สอบได้แล้วแต่ไม่ได้ทุจริต ต้องมาดูว่าจะตอบแทนอะไรได้บ้าง ต้องทำอย่างไรในการเยียวยา

ที่มา TNN24, มติชนออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์และโพสต์ทูเดย์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้ออกปฏิบัติการด่วน ชวนส่งจดหมาย กดดันไทยปล่อยตัว-ยกเลิกข้อหาไผ่ ดาวดิน

$
0
0


9 ม.ค. 2560 สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนผู้สนับสนุนที่มีอยู่มากกว่าเจ็ดล้านคนทั่วโลก ร่วมกันเขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกร้องให้ปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาต่อนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (หรือ ไผ่) โดยระบุว่า นายจตุภัทร์ตกเป็นเป้าหมายโจมตีเพียงเพราะการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งการรณรงค์จะดังกล่าวจะมีไปถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560

เนื้อหาของปฏิบัติการด่วน ระบุว่า นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกิจกรรมอาจได้รับโทษจำคุกสูงถึง 15 ปีเนื่องจากการโพสต์ข่าวทางอินเทอร์เน็ต ในวันที่ 22 ธันวาคม ทางการได้ถอนประกันของนายจตุภัทร์ โดยกล่าวหาว่าเขาแสดงความเห็นเยาะเย้ยในโซเชียลมีเดีย และได้ควบคุมตัวเขาไว้ในเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (หรือ ไผ่) นักศึกษากฎหมายปีสุดท้ายและนักกิจกรรม ได้ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ในข้อหาละเมิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เนื่องจากการแชร์ข่าวจากบีบีซีไทยที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และมีหัวข้อว่า “พระราชประวัติ: สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” บนเฟซบุ๊กของเขา ศาลให้ประกันตัวเขาด้วยการวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาทเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นให้ถอนประกันเขา ด้วยเหตุผลว่าความเห็นที่เขาแสดงทางโซเชียลมีเดียเป็นการเยาะเย้ยทางการ หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งแรก นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาเขียนแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กของเขาระบุว่า "เศรษฐกิจมันแย่แม่งจะเอาแต่เงินประกัน" เจ้าพนักงานสอบสวนยังได้กล่าวระหว่างการไต่สวนของศาลว่า ความเห็นเช่นนี้ “อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด” ต่อผู้ติดตามในเฟซบุ๊กของเขาจำนวน 4,000 คน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้ลบโพสต์ที่เป็นการแชร์ข่าวของบีบีซี และมีความเสี่ยงว่าหากปล่อยให้เขาโพสต์ข้อความต่อไป ทางการระบุว่า “อาจก่อให้เกิดความเสียหาย”
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาอาจได้รับโทษจำคุกสูงถึง 15 ปีเนื่องจากการแชร์ข่าวบีบีซีไทย เขายังคงถูกควบคุมตัวในเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม มีการพยายามขอประกันตัวเขาโดยเหตุผลว่าเขาต้องเข้าสอบในวันที่ 16 มกราคม 2560 แต่ศาลไม่อนุญาต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเขียนจดหมายเป็นภาษาไทย หรือภาษาของตนเอง
• กระตุ้นให้ทางการปล่อยตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา โดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข และยุติการดำเนินคดีอาญาใดๆ ต่อเขา
• แสดงความกังวลว่านายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาตกเป็นเป้าหมายโจมตีเพียงเพราะการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ
• เรียกร้องทางการให้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศของตนที่จะต้องปกป้องและทำให้เกิดผลต่อสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งในอินเทอร์เน็ต

โดยส่งจดหมายก่อนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 ไปยัง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ
กระทรวงยุติธรรม
อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
เลขที่ 120 หมู่ 3 อาคาร A ถนนแจ้งวัฒนะ
เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
โทรสาร: +66 2953 0503
คำขึ้นต้น: เรียน รัฐมนตรี

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่
เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ประเทศไทย
โทรสาร +66 2251 4739
คำขึ้นต้น: เรียนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

และส่งสำเนาจดหมายไปที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายดอน ปรมัตถ์วินัย
กระทรวงการต่างประเทศ ถ.ศรีอยุธยา
กรุงเทพฯ 10400 ประเทศไทย
โทรสาร +66 2643 5320 / +66 2643 5314
อีเมล์ minister@mfa.go.th

และให้ส่งสำเนาจดหมายไปยังผู้แทนการทูตในประเทศของท่าน กรุณาใส่ที่อยู่ของหน่วยงานการทูตตามรูปแบบด้านล่าง
ชื่อ ที่อยู่ 1 ที่อยู่ 2 ที่อยู่ 3 โทรสาร อีเมล คำขึ้นต้น พร้อมตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ section ของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลในประเทศของท่าน หากท่านส่งจดหมายหลังวันที่ที่ระบุไว้ข้างต้น 

ข้อมูลจาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า นายจตุภัทร์ เป็นแกนนำนักกิจกรรม ซึ่งปัจจุบันถูกดำเนินคดีเนื่องจากการประท้วงอย่างสงบเพื่อเรียกร้องสิทธิชุมชนและประชาธิปไตย เขาถูกตั้งข้อหาละเมิดคำสั่งของทางการที่ห้ามการชุมนุม “ทางการเมือง” ของบุคคลห้าคนหรือกว่านั้น รวมทั้งการแจกใบปลิวเพื่อกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และเข้าร่วมในเวทีเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญของไทย เขาอาจได้รับโทษจำคุกรวมกัน 40 ปี หากถูกฟ้องตามข้อหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 หลังถูกควบคุมตัว 19 วัน (โปรดดู UA 191/16 ที่ https://www.amnesty.org/en/documents/ASA39/4644/2016/en/)

นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 รัฐบาลทหารของไทยได้ใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อปราบปรามนักกิจกรรมและผู้ที่ทางการมองว่าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบปกครอง โดยเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทางการได้ปราบปรามอย่างหนักต่อการแสดงความเห็นทางอินเทอร์เน็ต โดยเป็นส่วนหนึ่งของการจำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ บุคคลจำนวนมากรวมทั้งนักการเมือง นักดนตรี กวี บล็อกเกอร์ และบรรณาธิการ ได้ถูกจับกุมหรือคุมขังเนื่องจากแสดงความเห็นอย่างสงบทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะผ่านการเขียนความเห็นและเปิดให้สาธารณะชมได้ทางเฟซบุ๊ก การคลิก “ไลก์” การแชร์ และการส่งข้อความส่วนบุคคล บุคคลจำนวนมากเหล่านี้ต้องเข้ารับการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรมในศาลทหารตามข้อหาเกี่ยวกับความผิดทางคอมพิวเตอร์ ขบถล้มล้างการปกครอง และความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ และบางคนได้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดและลงโทษจำคุกเป็นเวลาหลายสิบปี

ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย บุคคลใดที่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี เป็นกฎหมายที่ถูกใช้เพื่อลงโทษการแสดงความเห็นอย่างสงบ ร่วมกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และ/หรือปรับ 100,000 บาท ต่อบุคคลใดที่นำเข้าข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ถือเป็นความผิดด้านความมั่นคง ในเดือนธันวาคม 2559 มีการผ่านร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาชญกรรมคอมพิวเตอร์ที่อื้อฉาว กล่าวคือพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (โปรดดู UA 225/16 ที่ https://www.amnesty.org/en/documents/ASA39/4944/2016/en/) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มักถูกใช้เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีและลงโทษผู้ใช้งานเฟซบุ๊กอย่างสงบ การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวอนุญาตให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลและผู้ให้บริการเนื่องจากการใช้สิทธิที่จะแสดงความเห็นอย่างสงบ ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย และไม่ได้แก้ไขความลักลั่นในการปฏิบัติตามพันธกรณีเหล่านี้ รวมทั้งปัญหาการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว ทั้งยังขยายอำนาจการสอบสวนของทางการต่อการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งานไว้อย่างน้อยสองปี การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวยังขยายอำนาจศาลในการเซ็นเซอร์ข้อความที่ถือว่า “เป็นความเท็จ” หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลหรือสาธารณะ และให้อำนาจทางการในการเซ็นเซอร์ข้อความที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องขอหมายศาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: สังวร

$
0
0

'ฟูมฟักทั้งตัวทั้งหัวใจ

และไผ่พันธุ์หนึ่งจึงเติบหน่อ

สูงชั้นพันธุ์หญ้าศรัทธาทอ

แกร่งกล้าเหยียดกอขึ้นต่อกร


ที่อาจโค่นหนึ่งล้มหลังลมร้าย

อย่าหมายอื่นกอจักย่อหย่อน

มีแต่ล้านแสนจากแดนดอน

จักแตกหน่ออรชรขึ้นชิงชัย


อย่าเผลอกลึงกรวดเม็ดเป็นเพชรแก้ว

ประมาทแนวหญ้ายื่นจนยืนใหญ่

เมื่อกรวดแก้วกลายสะเก็ดแตกเม็ดไฟ

ระวังไม้ทั้งพนมจักล้มครืน' ฯ !

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: พ.ร.บ.สงฆ์และศาสนจักรคือเครื่องมือรับใช้อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม

$
0
0

พูดคุยกับ ‘สุรพศ ทวีศักดิ์’ พ.ร.บ.สงฆ์คือเครื่องมือรัฐเพื่อตอบสนองอุดมการณ์ แก้กฎหมายแค่สกัดสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่วางใจมหาเถรฯ เชื่อไม่แก้ปัญหาระยะยาว ย้ำต้องแยกรัฐออกจากศาสนาพร้อมกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตย ศาสนาต้องเป็นรองหลักการสากล หยุดเป็นกลไกของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม

สุรพศ ทวีศักดิ์

อาการยืดเยื้อจบไม่ลงของการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) หรือสมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ฝ่ายผู้มีอำนาจมองว่าเกี่ยวพันกับวัดธรรมกายถูกสกัดมิให้ขึ้นเป็นประมุขพุทธจักร ซึ่งในที่สุด เรื่องนี้ก็จบลงแบบไทยๆ ด้วยการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดการแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 แบบผ่านรวดเดียว 3 วาระ

ข้อใหญ่ใจความคือการแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ที่กำหนดให้มหาเถรสมาคมเป็นผู้เสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุด กลับไปสู่เนื้อหาเดิมใน พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ให้อำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นของพระมหากษัตริย์ แน่นอนว่าเมื่อการณ์ออกมาในรูปนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไปก็คงยากที่จะมีผู้ใดกล้าทักท้วง เท่ากับว่าปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจบลงโดยปริยาย

แต่เดี๋ยวก่อน…จริงหรือที่ปัญหานี้จบลง หรือเราแค่พักปัญหาไว้ชั่วคราว เลือกที่จะใช้วิถีทางลัด โดยไม่ได้แตะต้องแก่นแกนของปัญหาจริงๆ ไม่ได้ตั้งคำถามอย่างถึงรากถึงโคนหรือเฉลียวใจสักนิดว่า เมื่อศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล เหตุใดรัฐจึงต้องเข้ามาพัวพันกับปัญหาความเชื่อของปัจเจก ต้องยุ่งยากกับเรื่องว่าใครจะเป็นผู้นำสงฆ์ หรือโดยโครงสร้างของสังคมนี้ รัฐและศาสนาต่างช่วงใช้กันและกันเพื่อรับใช้อุดมการณ์บางชนิด และเป็นอุดมการณ์ที่ค่อนข้างจะไม่เป็นประชาธิปไตยหรืออาจถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านศาสนา กล่าวกับประชาไทว่า

“หน้าที่ของ พ.ร.บ.สงฆ์ คือการสถาปนาศาสนจักรของรัฐขึ้นมา ซึ่งก็คือมหาเถรสมาคม เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐ อุดมการณ์รัฐ ภายใต้หน้าที่แบบนี้ทำให้มีการเมืองสงฆ์ระหว่างนิกายมาตลอด ทำให้มีปัญหาระหว่างการเมืองสงฆ์กับการเมืองทางโลกพัวพันกันมาโดยตลอด แล้วก็มีผลต่อการผลิตสร้างความคิดทางศีลธรรมของศาสนาพุทธที่ผูกพันกับเรื่องความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี คือเอาศีลธรรมไปผูกพันกับอำนาจ ตัว พ.ร.บ.สงฆ์ จึงมีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด คนอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้าไม่มี พ.ร.บ.สงฆ์ ก็ไม่มีศาสนจักรของรัฐ พูดง่ายๆ คือ พ.ร.บ.สงฆ์ ทำให้เราเป็น Secular State ไม่ได้”

สืบสาวราวเรื่องกันอย่างลงลึกถึงความพัวพันระหว่างอำนาจรัฐและศาสนจักร พระและการเมือง กฎหมายสงฆ์และประชาธิปไตย ในบทสนทนานี้

การปฏิรูปที่ไม่ได้ตั้งคำถามกับศาสนจักร

กฎหมายสงฆ์ฉบับแรกของไทยมีชื่อว่า พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 เป็นการริเริ่มของคนเพียง 3 คนคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ต้องการอำนาจในการบังคับบัญชาคณะสงฆ์ เพื่อให้คณะสงฆ์ตอบสนองการปฏิรูปประเทศในยุคนั้น

“แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ และรัชกาลที่ 5 ก็รับแนวคิดเรื่องศาสนามาจากรัชกาลที่ 4 คือถ้าพูดในมิติการเข้าสู่สมัยใหม่ ก็เริ่มมาจากรัชกาลที่ 4 ที่แยกนิกาย และมีบางคนวิเคราะห์ว่ารัชกาลที่ 4 น่าจะทราบจากพวกมิชชั่นนารีที่เข้ามาว่ามีการปฏิรูปศาสนาของมาร์ติน ลูเธอร์ รัชกาลที่ 4 ก็ต้องการปฏิรูปบ้าง

“แต่การปฏิรูปนี้ต่างจากในยุโรป มาร์ติน ลูเธอร์ เป็นการปฏิรูปโดยการตั้งคำถามกับอำนาจศาสนจักร อำนาจรัฐ และคลี่คลายไปทำให้ความเชื่อทางศาสนาเป็นเสรีภาพของปัจเจกบุคคล แต่รัชกาลที่ 4 ปฏิรูปโดยการนำศาสนามาตอบสนองอำนาจรัฐ ตั้งนิกายธรรมยุตขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการเมืองระหว่างรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 3 จึงต้องสร้างคณะสงฆ์ที่เป็นฐานของท่านขึ้นมา

“เหตุผลก็คือกลุ่มเดิมประพฤติย่อหย่อนธรรมวินัย ไม่ได้ปฏิบัติตามพุทธวงศ์อย่างแท้จริง ตรรกะคือต้องการรักษาคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฎก รักษาวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ จึงตั้งธรรมยุตขึ้น แล้วธรรมยุตก็กลายเป็นนิกายของราชสำนัก การสร้าง พ.ร.บ.สงฆ์ ฉบับแรก มหานิกายก็ไม่มีส่วนร่วม รัชกาลที่ 5 กลายเป็นประมุขของศาสนจักรคล้ายกับอังกฤษ มหาเถรสมาคมในยุคนั้นมีหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือเพื่อเสนอความเห็นให้พระมหากษัตริย์มีพระราชวินิจฉัย ตอนนั้นยังไม่มีสังฆราชตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 จนกระทั่งปลายรัชกาลที่ 5 จึงค่อยมีสังฆราช แต่ก็อยู่ไม่นาน และต่อมาจึงเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ขึ้นเป็นสังฆราชมาถึงรัชกาลที่ 6”

พระสงฆ์-พ.ร.บ.สงฆ์และการเมือง

กฎหมายสงฆ์ได้สถาปนาศาสนจักรของรัฐขึ้น เป็นการพยายามปฏิรูปศาสนาแบบไทยๆ ที่ไปคนละทางกับในยุโรปที่ตั้งคำถามกับศาสนจักร จนหลุดพ้นจากอำนาจศาสนจักร มีความคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล และก็ก่อให้เกิดความคิดเสรีนิยมในยุคหลังๆ ต่อมา

“หน้าที่ของ พ.ร.บ.สงฆ์ คือการสถาปนาศาสนจักรของรัฐขึ้นมา ซึ่งก็คือมหาเถรสมาคม เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐ อุดมการณ์รัฐ...แล้วก็มีผลต่อการผลิตสร้างความคิดทางศีลธรรมของศาสนาพุทธที่ผูกพันกับเรื่องความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี คือเอาศีลธรรมไปผูกพันกับอำนาจ ตัว พ.ร.บ.สงฆ์ จึงมีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด"

“เมื่อคุณมีเสรีภาพที่จะตีความ ที่จะเข้าถึงคำสอนของพระเจ้าของตนเองได้ ไม่ต้องผ่านอำนาจศาสนจักร คุณก็มีเสรีภาพที่จะปกครองตนเองได้ แล้วก็มีนักปรัชญาอีกหลายคนตั้งคำถามกับศาสนาตามมาในยุคสว่าง เข้าสู่ยุคสมัยใหม่จนถึงการแยกศาสนาออกจากรัฐ

“แต่ของเราเข้าสู่ยุคใหม่โดยการตั้งศาสนาจักรของรัฐ เมื่อเป็นแบบนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์คือความไม่ยุติธรรมระหว่างนิกาย เช่น พระฝ่ายปกครองของธรรมยุตสามารถปกครองพระฝ่ายมหานิกายได้ แต่พระมหานิกายปกครองธรรมยุตไม่ได้ นี่ก็สองมาตรฐาน ถามว่าพระมหานิกายมีความรู้สึกมั้ย มี รู้ได้อย่างไร จากปี 2476 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มีคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาออกมาบอกว่า ในสมัยก่อนก็อึดอัด แต่พูดไม่ได้ ตอนนี้เป็นประชาธิปไตยแล้วจึงออกมาเคลื่อนไหวให้แก้ แต่ก็ใช้เวลานาน กว่าจะได้กฎหมายออกมาก็ปี 2484 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่กระบวนการก่อนหน้านั้นได้รับการสนับสนุนโดยปรีดี พนมยงค์

“ข้อสังเกตของผมก็คือศาสนจักรของรัฐสถาปนาขึ้นในยุครัชกาลที่ 5 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรก็ไม่ได้ตั้งคำถามว่าเราจะต้องเป็น Secular State หรือเปล่า นอกจากไม่ตั้งคำถามแล้ว ทางฝ่ายคณะราษฎรเองก็พยายามดึงศาสนจักรมาสนับสนุนประชาธิปไตย ดึงเข้ามาสู่การเมืองแบบใหม่ คือศาสนาอยู่กับอุดมการณ์แบบเก่าที่สนับสนุนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็จะเอาศาสนามาสนับสนุนประชาธิปไตยอีก เช่น สร้างวัดประชาธิปไตยหรือวัดพระศรีมหาธาตุในปัจจุบัน สร้างปี 2483 ในคำปรารภการสร้างพูดไว้ชัดเจนว่าพุทธศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตย พระที่ออกมาเรียกร้องให้แก้กฎหมายสงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตยก็บอกว่าพุทธศาสนามีความเป็นประชาธิปไตย

“เราจะเห็นว่าปรากฏการณ์หลัง 2475 มีการเรียกร้องให้แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ ก็มาได้ตอนปี 2484 ที่มีการแบ่งเป็น 3 อำนาจ แต่ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ แล้วในแง่ความคิดในการตีความพุทธศาสนาก็ใช้พระปัญญาชน เช่น ท่านพุทธทาสมาตีความสนับสนุนประชาธิปไตย แม้แต่กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็พยายามดึงแนวคิดของพุทธมาสนับสนุนประชาธิปไตย แต่ถ้ามองไปกว้างกว่านั้น แนวคิดแบบนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะไทย พม่า ศรีลังกา ก็เกิดการตีความพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นประชาธิปไตย ในยุคอาณานิคม

“จะเห็นว่า พ.ร.บ.สงฆ์ เกี่ยวข้องกับการเมืองมาตลอด ปี 2505 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา พ.ร.บ.สงฆ์ เนื่องจากมีความขัดแย้งกันอยู่ในสภาสงฆ์ สังฆมนตรี และสมาชิกสังฆสภา ธรรมยุตมีมากกว่ามหานิกาย ทั้งที่ธรรมยุตเป็นพระส่วนน้อย กระนั้นก็ตามการเปลี่ยนให้มาเป็นกฎหมายปี 2505 ก็ยังเป็นความต้องการของธรรมยุตมากกว่ามหานิกาย มหานิกายยังไม่อยากเปลี่ยน แต่จอมพลสฤษดิ์อาศัยความขัดแย้งเป็นเงื่อนไขเพราะต้องการให้ประเทศมีความสามัคคี บ้านเมืองสงบ สถาบันสงฆ์ก็ต้องสามัคคีด้วย มีบันทึกว่าจอมพลสฤษดิ์เห็นพระอภิปรายในสภาเหมือนนักการเมืองอภิปราย แล้วรับไม่ได้ เห็นว่าไม่สำรวจ ก็เลยทำให้กลับเป็นแบบเดิม เอามหาเถรสมาคมกลับมา

“แต่ก็มีการเคลื่อนไหวในยุค 14 ตุลา ที่มีพระฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา พระฝ่ายซ้ายไปเดินขบวนกับกรรมกร ชาวนา นักศึกษา แล้วเขาก็พ่วงการเมืองสงฆ์เข้าไปด้วย ตอนนั้นมีเรื่องพระพิมลธรรมที่มีพระมาชุมนุมกันที่ลานอโศกปี 2517 เรียกร้องให้คืนสมณศักดิ์แก่พระพิมลธรรม ขณะเดียวกันกับที่มีการชุมนุมนั้นก็มีข้อเสนอทางการเมืองด้วยคือให้ยกเลิกระบบมหาเถรสมาคม แล้วให้ปรับกฎหมายคล้ายฉบับปี 2484 มีสภาสงฆ์ แต่ขยายไปว่าต้องมีตัวแทนพระสงฆ์แต่ละจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง

“น่าตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายสงฆ์ฉบับแรก พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาพระสังฆราช ตอนปี 2484 ก็ไม่ได้เปลี่ยน พอปี 2505 ก็ยังเป็นพระมหากษัตริย์ แต่มาเปลี่ยนตอนปี 2535 ในช่วงนั้นสมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นสังฆราช ผมเข้าใจว่าน่าจะมีการต่อรองภายในมหาเถรสมาคมที่พยายามจะหาหลักเกณฑ์ที่ทั้งสองนิกายเชื่อว่าจะยุติธรรมระหว่างนิกาย คือให้มหาเถรสมาคมที่มีทั้งธรรมยุตและมหานิกายร่วมกัน และใช้ระบบอาวุโสเข้ามา ในความคิดของมหาเถรสมาคมยังคิดว่าเป็นพระราชอำนาจอยู่เหมือนเดิม แต่อยากมีส่วนในการกำหนดตัวประมุขสงฆ์

“ผมฟันธงว่าสมเด็จช่วงไม่ได้เป็นพระสังฆราช แม้แต่จะเป็นพระในมหานิกายที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ ผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมคิดว่าแนวโน้มน่าจะเป็นธรรมยุต”

“ข้อสังเกตประการต่อมาของผมคือในยุคที่เป็นเผด็จการ พ.ร.บ.สงฆ์ เกิดได้ง่าย สมบูรณาญาสิทธิราชคุยกัน 3 คนก็เกิดกฎหมายสงฆ์ แต่ยุคประชาธิปไตยใช้เวลาคุยกันตั้งนาน ตั้งแต่ปี 2476-2484 ในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้หมายความว่าคณะสงฆ์ไม่มีความพยายามจะแก้ไขโครงสร้างการปกครอง เคยเสนอมาแล้วในสมัยรัฐบาลทักษิณที่ต้องการปรับโครงสร้างมหาเถรสมาคมเป็นมหาคณิสสร ที่จะให้สมเด็จพระราชาคณะทั้งหลายเป็นที่ปรึกษา แล้วให้พระหนุ่มขึ้นมาอยู่ในโครงสร้างการบริหาร แต่ก็แก้ไม่ได้”

เมื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่ไว้วางใจมหาเถรสมาคม

เห็นได้ว่าการท้าทายอำนาจของมหาเถรสมาคมมีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งแบบที่พอจะเรียกได้ว่าก้าวหน้าและแบบย่ำอยู่กับที่ แต่การท้าทายมหาเถรสมาคมในยุคนี้ค่อนข้างแตกต่างออกไป

“การท้าทายมหาเถรสมาคมในยุคนี้เป็นเรื่องที่อำนาจอนุรักษ์นิยมไม่พอใจที่มหาเถรสมาคมสนับสนุนธรรมกาย ไม่จัดการธรรมกาย อำนาจรัฐบาล อำนาจอนุรักษ์นิยม ใช้ข้ออ้างตามกระแสของชนชั้นกลางในเมือง ผมไม่ได้พูดเหมารวมนะ แต่ดูจากกระแสชนชั้นกลางส่วนหนึ่งไม่พอใจทักษิณ มองว่าทักษิณสัมพันธ์กับธรรมกาย มองธรรมกายในมิติของการเมือง แต่ชนชั้นกลางกลุ่มหนึ่งที่เสพศาสนาที่คิดว่าเป็นศาสนาที่ก้าวหน้าและมีเหตุผล เช่นกลุ่มที่อ่านงานของท่านพุทธทาสหรือเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโต (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) เท่าที่ผมสัมผัสมา กลุ่มนี้จะไม่ชอบธรรมกาย จะมองว่าธรรมกายเป็นสัทธรรมปฏิรูปหรือการสอนที่ไม่ตรงตามพระไตรปิฎก

“ถ้าบอกว่าแก่นแท้คือไม่ตรงตามพระไตรปิฎก มันมีหลายสำนักมากที่สอนไม่ตรงพระไตรปิฎก แต่ผมคิดว่าประเด็นที่ชาวพุทธชนชั้นกลางที่คิดว่าตนก้าวหน้ารับไม่ได้กับธรรมกายอย่างหนึ่งก็คือ คิดว่าธรรมกายบริโภคนิยม เข้ากันได้กับทุนนิยม สอนว่าทำบุญมาก รวยมาก แต่อันนี้ก็เหมือนหลับตาข้างหนึ่ง เพราะวัดต่างๆ ก็ทำเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการตลาดไม่ชัดเจน เงินไม่เยอะเท่ากับธรรมกาย

“แต่เราจะเห็นกระแสต้านธรรมกายจากพุทธอิสระ ไพบูลย์ นิติตะวัน และอดีตลูกศิษย์-นพ.มโน เลาหวณิช นอกจากสอนผิดและเรื่องคดีแล้ว เขาก็ยังมองว่าธรรมกายจะเป็นภัยต่อความมั่นคง ถ้าสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็จะยึดอำนาจรัฐ ธรรมกายก็จะยึดศาสนจักร อันนี้เขาพูดเอง แล้วก็มีความเชื่อทำนองว่าวัดธรรมกายเทคโอเวอร์วัดต่างๆ ปรากฏการณ์ที่ธรรมกายจัดงานระดมบิณฑบาตรล้านรูป ระดมพระจากวัดต่างๆ มาได้มหาศาล จัดบวชทีแสนรูป มันทำให้กลุ่มที่ไม่ชอบธรรมกายกลัว

“เมื่อมหาเถรสมาคมไม่จัดการธรรมกายตามข้อเรียกร้องของเขา ข้อกล่าวหาต่อมาคือมหาเถรสมาคมถูกธรรมกายซื้อแล้ว ด้วยเหตุนี้อำนาจอนุรักษ์นิยมจึงไม่ไว้ใจมหาเถรสมาคม เกิดเรื่องคดีรถหรู เกิดการสกัดไม่ให้ขึ้นเป็นสังฆราช ไม่เห็นมหาเถรสมาคมอยู่ในสายตา ตอนนี้มหาเถรสมาคมถูกใครท้าทาย คำตอบคือถูกอำนาจอนุรักษ์นิยมท้าทาย กรณีนี้ถ้าไม่มีธรรมกายสนับสนุน ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสี ธรรมกายไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเสื้อแดงหรือสนับสนุนทักษิณ ไม่ถูกมองว่าสนับสนุนสมเด็จช่วง ผมก็คิดว่าการแต่งตั้งพระสังฆราชก็จะไม่มีปัญหา จะเป็นไปตามที่เป็นมา

“ผมคิดว่าโครงสร้างของมหาเถรสมาคมก็เหมือนกับระบบราชการ คือถ้ามีคำสั่งออกมา ก็จบ มหาเถรสมาคมก็เหมือนกัน เมื่อแก้กฎหมายออกมาแบบนี้ก็จบแล้ว คือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตรย์ มหาเถรสมาคมก็จะเงียบ ส่วนพระโดยทั่วไปอย่างกลุ่มพระเมธีธรรมาจารย์หรือพระบางกลุ่มที่รู้สึกไม่พอใจ ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ประเมินแล้วว่าเอาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งทางโลก ทางสงฆ์ เพราะถ้าบอกว่าเป็นพระราชอำนาจ ในสังคมไทยก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“ผมฟันธงว่าสมเด็จช่วงไม่ได้เป็นพระสังฆราช แม้แต่จะเป็นพระในมหานิกายที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ ผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมคิดว่าแนวโน้มน่าจะเป็นธรรมยุต”

ความสัมพันธ์รัฐ-ศาสนา คำถามที่ไม่เคยถูกถาม

การแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ จึงเป็นเพียงคำตอบของอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย ไม่ใช่คำตอบของอนาคตพุทธศาสนา และเป็นการตั้งโจทย์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ตั้งคำถามกับปัญหาระดับรากฐานที่สุด สังคมไทยเอาปัญหาเฉพาะหน้ามาเป็นปัญหาหลักในเรื่องการเมืองทางโลกและเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนา

"เรื่องพระประพฤติไม่ดีหรือใครจะเป็นผู้นำศาสนาก็ไม่ใช่ปัญหาของรัฐสมัยใหม่ ปัญหาของรัฐสมัยใหม่คือการรักษาเสรีภาพ ความเสมอภาคทางศาสนา เป็นกลางทางศาสนา แต่เราเอาเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของรัฐมาเป็นปัญหาของรัฐ ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ก็เพราะรัฐต้องการนำศาสนาและศาสนจักรมาเป็นเครื่องมือของตนเอง และศาสนจักรก็ต้องการใช้รัฐด้วย"

“การเมืองทางโลกเราตั้งโจทย์ว่านักการเมืองคอร์รัปชั่นและปัญหาความมั่นคง เราเอาสองเรื่องนี้มาเป็นโจทย์หลักว่าคือปัญหาของบ้านเมืองเรา แล้วเราก็ใช้วิธีรัฐประหารเข้าไปแก้มาตลอด เป็นวิธีคิดที่ว่ามีอำนาจวิเศษเข้ามาแก้ สังคมถูกกำหนดให้เดินตามโจทย์แบบนี้ แต่ว่ายิ่งทำๆ กลับยิ่งไม่เป็นประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยลดลงๆ เพราะโจทย์หลักที่เราต้องตั้งคำถามคือทำอย่างไรเราจะสร้างโครงสร้างการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ก็คือเขียนเขียนรัฐธรรมนูญและวางกติกาที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ทุกสถาบันต้องถูกปฏิรูปให้อยู่ภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตย โจทย์นี้สังคมไม่ได้ตั้งคำถาม อันที่จริงเราไม่มีเสรีภาพที่จะถามด้วย

“ศาสนาก็เหมือนกัน เราเอาปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปัญหาการสอนผิดพระไตรปิฎก ปัญหาพระประพฤติไม่ดี แล้วพระประพฤติไม่ดีก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วเรื่องพระประพฤติไม่ดีหรือใครจะเป็นผู้นำศาสนาก็ไม่ใช่ปัญหาของรัฐสมัยใหม่ ปัญหาของรัฐสมัยใหม่คือการรักษาเสรีภาพ ความเสมอภาคทางศาสนา เป็นกลางทางศาสนา แต่ใครจะสอนอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่ปัญหาของรัฐ เป็นเรื่องของพระ เรื่องของชาวพุทธแต่ละสายสำนักจะจัดการกันเอง แต่เราเอาเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของรัฐมาเป็นปัญหาของรัฐ ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ก็เพราะรัฐต้องการนำศาสนาและศาสนจักรมาเป็นเครื่องมือของตนเอง และศาสนจักรก็ต้องการใช้รัฐด้วย

“ถ้าถามผมว่า ทำไมเราจึงไม่เคยตั้งคำถามระดับรากฐานแบบนี้ ผมคิดว่าถ้าสืบสาวไปจริงๆ มันซับซ้อนนะ ถ้าในตะวันตก เขาเป็น Secular State ได้ ส่วนหนึ่งเพราะศาสนาในโลกตะวันตกไม่ได้เกิดในตะวันตก แต่นำเข้าไปจากที่อื่น และเมื่อนำเข้าไปก็ไปเถียงกับปรัชญาตลอด ภูมิปัญญาของคริสต์ไปปะทะกับปรัชญากรีก แล้วในยุคกลางนักปรัชญาคริสต์ก็เอาปรัชญาของอริสโตเติ้ลมาอธิบาย เมื่อมันมีเชื้อ มีความคิดทางปรัชญาอยู่แล้ว มีคำถามมากมาย หาเหตุผลต่างๆ มาอธิบายศาสนา มันจึงเกิดคนอย่างมาร์ติน ลูเธอร์ หรือคนอื่นๆ ที่ตั้งคำถามกับอำนาจ แล้วก็เกิดการปฏิรูปศาสนาจากข้างใน

“ยุคสว่างก็เกิดปรัชญาขึ้นมาตั้งคำถามกับศาสนาถึงขนาดที่เกิด Secular Morality คือปฏิเสธศีลธรรมแบบศาสนาไปเลย พอเกิดศีลธรรมแบบนี้ขึ้นมาก็เกิดความคิดว่ารัฐสมัยใหม่ต้องเป็นกลางทางคุณค่า ในทัศนะของค้านท์หมายความว่ารัฐมีหน้าที่รักษาสิทธิของปัจเจกบุคคลที่จะมีอิสระในการเลือกคุณค่าให้กับตัวเอง แปลว่าเลือกนับถือศาสนา เลือกปรัชญาชีวิต หรือเลือกหนทางชีวิตของตนเอง โดยที่รัฐไม่ต้องปลูกฝังศาสนาหรือความเชื่อใดในเรื่องศีลธรรม แต่ให้ประชาชนได้เรียนรู้หลากหลายและให้เขาเลือกเอง”

ศาสนาไม่ใช่หลักการสากล

หรือเพราะสังคมไทยไม่เคยมีความขัดแย้งทางศาสนาขนาดใหญ่ ชนิดที่ฆ่ากันตายเป็นเบือดังที่คาทอลิกและโปรเตสแตนท์เข่นฆ่ากัน?

“ก็มีคำอธิบายแบบนี้มากเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าปัจจัยการเปลี่ยนของเขาไม่ใช่แค่เรื่องความรุนแรงอย่างเดียว เพราะส่วนหนึ่งผมคิดว่าคือความคิดปรัชญาที่เปลี่ยนอย่างถึงราก ขนาดปฏิเสธว่าศาสนาไม่ถือเป็นศีลธรรม เป็นความเชื่อเฉพาะ ศีลธรรมต้องอธิบายได้ว่าเป็นหลักการสากล เป็นเหตุเป็นผล เช่น หลักสิทธิมนุษยชนเป็นศีลธรรมสมัยใหม่ หลักการที่เป็นศีลธรรมต้องอธิบายได้ว่ามันเคารพความเสมอภาค เสรีภาพ ความเป็นคนเท่ากัน หลักการนั้นจึงจะเป็นศีลธรรมได้

“ศาสนาก็ต้องตีความตัวเองว่าหลักของตนมีอะไรที่เป็นสากลแบบนั้น อะไรที่ขัดกับหลักสากล ก็ต้องบอกว่าคุณมีสิทธิที่จะเชื่อ แต่ไม่สามารถเอาความเชื่อนั้นมาออกเป็นกฎหมายบังคับหรือใช้อำนาจรัฐในการรักษา ปกป้องความเชื่อของคุณ ของเราไม่รุนแรงเหมือนในยุโรป แต่ของเรากดขี่หรือเปล่า ผมว่าก็กดขี่มาตลอด เรื่องไพร่ ทาส เจ้าขุนมูลนาย คำสอนก็สนับสนุนมาตลอด และเราก็เคยฆ่า เคยขัดแย้งมาในประวัติศาสตร์ แต่ทำไมไม่เปลี่ยน

“ถ้าเปรียบเทียบพุทธด้วยกัน พุทธมหายานที่เข้าไปในจีนก็ไปปะทะกับเต๋า ขงจื๊อ และปรัชญาอื่นๆ ในจีน เข้าไปที่ญี่ปุ่นก็ปะทะกับชินโต พุทธจึงไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่ไปประยุกต์กับปรัชญาที่เสมอกัน เท่ากัน แต่เข้ามาที่นี่ มีแต่ระดับต่ำต้อยกว่าพุทธ ผีถูกทำให้ต่ำกว่าพุทธ พราหมณ์ก็ไม่แข็ง พระกินรวบหมด พระทำหน้าที่ทั้งเป็นพราหมณ์ เป็นผี เป็นพุทธ ยกพุทธไว้เหนือทุกอย่าง ในแง่ภูมิปัญญาของเรา เราไม่ได้ปะทะขัดแย้งกับภูมิปัญญาที่มีความหนักแน่นระดับเดียวกัน แต่พอตะวันตกเข้ามาในยุคปลายรัชกาลที่ 3 ที่ 4 เราก็ปะทะบนพื้นฐานบนที่ว่า เขาไม่ใช่ของเรา เราเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นประชาธิปไตย เป็นนู่นเป็นนี่ที่ดีกว่าเขา

“การที่ศาสนากับรัฐไม่แยกจากกัน เป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยและต่อความงอกงามของพุทธศาสนาในมิติด้านจิตวิญญาณ มิติด้านปัจเจกบุคคล เพราะศาสนจักรเป็นกลไกของอุดมการณ์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาตลอดและก็จะเป็นตลอดไปถ้ายังไม่แยกจากรัฐ ในแง่ความคิดทางสังคมของศาสนาก็จะถูกสร้างขึ้นมาไม่พ้นจากกรอบอนุรักษ์นิยม”

“ในตะวันตกถกเถียงกันมากว่า เวลาเราเถียงเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวม เรื่องสิทธิ ความยุติธรรม การออกกฎหมาย มันมีนักปรัชญาที่เสนอว่าอย่าเอาความเชื่อศาสนามายุ่งอย่างจอห์น รอลส์ แต่บางฝ่ายก็บอกว่าควรจะเอามา เราจะตัดศาสนาไปไม่ได้ ก็เลยนำไปสู่คำอธิบายของนักปรัชญาบางคนที่บอกว่า เอาศาสนาเข้ามาถกเถียงเรื่องสาธารณะได้ แต่ต้องเอาส่วนที่เป็นหลักการสากลหรือส่วนที่สนับสนุนหลักการสากล ถ้าเป็นฮาเบอร์มาสก็จะพูดชัดว่าหลักการสากลต้องสำคัญกว่า แต่เราก็ไม่ควรจะตัดความเชื่อทางศาสนาออกไปโดยสิ้นเชิง ความเชื่อทางศาสนายังมีประโยชน์ต่อสังคมอยู่ แต่ว่าต้องสำคัญรองลงมาจากหลักการสากล แต่ของเรา เราเอาศาสนามาเหนือประชาธิปไตย เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”

Secular State

“ดังนั้น พ.ร.บ.สงฆ์ต้องยกเลิกอยู่แล้ว ถ้าจะแยกศาสนาออกจากรัฐ ถ้าจะไปให้สุดจริงๆ ต้องทำให้รัฐไทยเป็น Secular State โดยบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า รัฐไทยเป็น Secular State เป็นรัฐโลกวิสัย รัฐมีหน้าที่สนับสนุนเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนา ให้องค์กรศาสนาต่างๆ เป็นเอกชน อยู่ภายใต้การตรวจสอบทรัพย์สินต่างๆ มีเสรีภาพในการเผยแพร่ศาสนา รัฐจะเข้าไปยุ่งเมื่อทำผิดกฎหมายเท่านั้น แล้วก็ให้สิทธิทางการเมืองกับพระเหมือนกับประชาชนทั่วไป เช่นมีสิทธิเลือกตั้ง แล้วถ้าพระมีรายได้ที่เข้าเกณฑ์เสียภาษีก็ต้องเสียภาษีเหมือนนักบวชในศาสนาอื่นๆ ถ้าจะเก็บภาษีมาบำรุงศาสนาก็อาจจะเก็บแบบเยอรมันก็ได้ คือเก็บจากคนที่นับถือศาสนานั้นๆ คนไม่มีศาสนาก็ไม่ต้องเสีย

“การแยกศาสนาออกจากรัฐต้องพูดพร้อมกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในเมืองไทย คุณพูดถึงกระบวนการสร้างประชาธิปไตยไม่ได้ ถ้าคุณไม่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจของสถาบันต่างๆ ในสังคม ว่าจะมีอำนาจแค่ไหน ตรวจสอบได้ยังไง แล้วสถาบันศาสนาควรจะมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ตรงไหนที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย

“การที่ศาสนากับรัฐไม่แยกจากกัน เป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยและต่อความงอกงามของพุทธศาสนาในมิติด้านจิตวิญญาณ มิติด้านปัจเจกบุคคล เพราะศาสนจักรเป็นกลไกของอุดมการณ์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาตลอดและก็จะเป็นตลอดไปถ้ายังไม่แยกจากรัฐ ในแง่ความคิดทางสังคมของศาสนาก็จะถูกสร้างขึ้นมาไม่พ้นจากกรอบอนุรักษ์นิยม”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อุทธรณ์สั่ง คุก 2 ปี 8 เดือน 'ณัฐวุฒิ-วีระกานต์-เหวง-วิภูแถลง' คดีชุมนุมบ้านสี่เสาปี 50

$
0
0

9 ม.ค. 2560 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพรุจ วรชิตวุฒิกุล, วีระศักดิ์ เหมะธุลิน, วันชัย นาพุทธา, วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช., วิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และข้อหาอื่นๆ กรณีนำผู้ชุมนุมหลายพันคนไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อเรียกร้องกดดันให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก นพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ส่วน วีระกานต์ ณัฐวุฒิ วิภูแถลง และ เหวง จำเลยที่ 4-7 จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้อง วีระศักดิ์และ วันชัย จำเลยที่ 2-3 พร้อมให้ริบของกลางทั้งหมด

โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานเป็นตำรวจหลายนาย รวมทั้งนักข่าวและช่างภาพอีก 2 คน ให้การสอดคล้องกันในรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ปรากฏในวีซีดีบันทึกการชุมนุม ดังนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 4-7 จึงมีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 4-7 ฐานร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ตามมาตรา 215 รวม 2 กระทงนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมีเจตนาเดียว เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 4-7 ฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 138 ให้จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ตามมาตรา 215 วรรค 3 เป็นบทหนักสุด อีกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วน นพรุจ จำเลยที่ 1 พิพากษายืนยัน ตามศาลชั้นต้น

เมื่อเวลา 15.35 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก อ.ธิดา ถาวรเศรษฐรายงานด้วยว่า ขณะนี้ทีมทนายกำลังทำเรื่องประกันตัวชั่วคราวอยู่

ที่มา เฟซบุ๊ก อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ  มติชนออนไลน์และโพสต์ทูเดย์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.แรงงาน เร่งหาอาชีพ หลังมีผู้ต้องขังหลายหมื่นได้รับพระราชทานอภัยโทษ

$
0
0

กระทรวงแรงงาน เร่งให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พ้นโทษ ทั้งการประกอบอาชีพอิสระ และการทำงานในสถานประกอบการ โดยมีตำแหน่งงานรองรับไว้แล้วทั่วประเทศกว่า 55,000 อัตรา

9 ม.ค. 2559 รายงานข่าวจากกระทรวงแรงาน แจ้งว่า สิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ตามที่มีผู้ต้องขังเป็นจำนวนหลายหมื่นคนได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพื่อให้โอกาสประพฤติตนเป็นพลเมืองดี  พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการกรมการจัดหางานเร่งให้ความเหลือบุคคลดังกล่าวให้มีอาชีพ มีงานทำโดยเร็ว ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เป็นปกติสุข  กรมการจัดหางานได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ประสานผ่านกรมราชทัณฑ์หรืผู้พ้นโทษโดยตรงเพื่อให้ผู้พ้นโทษดังกล่าวที่ประสงค์จะหางานทำมาลงทะเบียนสมัครงาน และส่งตัวพบนายจ้างที่แจ้งตำแหน่งงานว่างไว้ได้พิจารณาบรรจุงานต่อไป จากนั้น ให้ติดตามผลการบรรจุงานและรายงานผลให้กรมการจัดหางานทราบโดยด่วน ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งว่างงานทั่วประเทศรองรับ จำนวนกว่า  55,000 อัตรา เช่น พนักงานบรรจุภัณฑ์ พนักงานในกระบวนการผลิต พนักงานขายหน้าร้าน พนักงานขับรถ แม่บ้าน พ่อครัว เป็นต้น

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวต่อไปว่าสำหรับผู้พ้นโทษที่เคยได้รับการฝึกอาชีพในระหว่างต้องขัง ที่ต้องการจะประกอบอาชีพอิสระของตนเอง  ก็ได้จัดกิจกรรมให้คำปรึกษา แนะแนวอาชีพ เช่น อาชีพที่ตนเองมีความรู้ ความสามารถ  ตลาด แหล่งเงินทุน เป็นต้น  ในกรณีที่ผู้พ้นโทษต้องการฝึกทักษะฝีมือเพิ่มเติมก็ได้ประสานกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อจัดฝึกอบรมต่อไป  ทั้งนี้ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และประชาชนทั่วไปมั่นใจได้ว่าคนกลุ่มนี้มีฝีมือและจะสามมารถทำงานในสังคมได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสมัครงานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์กรวิชาชีพสื่อร่วมประชุม กมธ. แจงแสดงความเห็นต่อ ร่างกฎหมายตั้งองค์กรคุมสื่อ

$
0
0

9 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยแจ้งว่า เทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ในฐานะประธานคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูป เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมประชุมกับ คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน โดยมี พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน ว่า ในวันนี้ (9 ม.ค.2560) ตัวแทนคณะทำงานปฏิรูปสื่อ และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 6 องค์กร ประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมประชุมกับ คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน เพื่อเสนอแนะข้อคิดเห็น และเจตนารมณ์ขององค์กรวิชาชีพสื่อ เกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมาย พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ...

คณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูปและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ได้ติดตามและได้รับเชิญไปแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวหลายครั้ง เพื่อให้การยกร่างกฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2559 ซึ่งยังคงหลักการสำคัญในการรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากการเมือง อันจะทำให้สิทธิการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้านของประชาชนสูญเสียไป

อย่างไรก็ตาม จากร่างกฎหมายดังกล่าวของคณะกรรมาธิการฉบับล่าสุดนั้น ทางคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูปและองค์กรวิชาชีพสื่อ พบว่ามีเนื้อหาบางประการที่สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรมที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนดำเนินการอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีเนื้อหาอีกบางส่วนที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2559 ซึ่งยังคงหลักการสำคัญในการรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากการเมือง อันจะทำให้สิทธิการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้านของประชาชนสูญเสียไป
 
จากเหตุผลข้างต้น คณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูปและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร จึงขอเข้าประชุมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ในวันนี้เพื่อเสนอความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดังต่อไปนี้
 
1) การกำหนดให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติให้เป็นองค์กรตามกฎหมายที่มีอำนาจในการลงโทษตามกฎหมายแก่ผู้ประกอบวิชาชีพและองค์กรสื่อมวลชน ย่อมเป็นการเปิดช่องให้มีการแทรกแซงการทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระของสื่อมวลชนของฝ่ายการเมืองโดยผ่านสภาวิชาชีพดังกล่าว เช่น การแทรกแซงกระบวนการสรรหา โดยการจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างแท้จริง เข้ามาเป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
 
2) การร่างกฎหมายดังกล่าว ควรยึดโยงกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมุ่งเน้นการคุ้มครองเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ขณะที่การส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นหน้าที่ขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ในการกำกับดูกันเองในสื่อหนังสือพิมพ์ หรือการกำกับดูแลร่วมกับองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระในกรณีของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ไม่ใช่การร่างกฎหมายให้มีองค์กรตามกฎหมายที่มีความเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงมาควบคุมองค์กรวิชาชีพอีกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกัน ควรมีการเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนให้มากขึ้น
 
จากเหตุผลและข้อมูลข้างต้น คณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูปและองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร ขอเสนอให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาการขับเคลื่อนประเทศ พิจารณาทบทวนการเสนอกฎหมายที่มีเนื้อหาขัดกับเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญ และการธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบไป
 
“อยากให้สื่อมวลชนผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้โดยตรง ร่วมกันติดตามกฎหมายฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นอิสระของสื่อมวลชน โดยปราศจากการใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยผ่านองค์กรใดองค์กรหนึ่งซึ่งจะมีการจัดตั้งขึ้นมาตาม กฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะในประเด็นให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติขึ้นมาเพื่อใช้อำนาจทางกฎหมาย เนื่องจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้การเมืองและธุรกิจเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งจะกระทบต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนโดยส่วนรวม” ประธานคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูป กล่าวต่อไปอีกว่า
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิษณุ เครืองามพร้อมชี้แจงสถานะของร่างรัฐธรรมนูญ-หากครบกำหนด 90 วัน

$
0
0

วิษณุ เครืองาม ชี้แจงว่าหากครบกำหนด 90 วัน ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญก็ตกไป และจะทำอย่างไรต่อก็ต้องพิจารณากัน โดยอาจแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งรัฐบาลจะประกาศให้ทราบ ไม่ทำอะไรมุบมิบ กรอบ 90 วันคือวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ เชื่อมั่นว่าประเทศไม่มีทางตัน

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี (ที่มา: แฟ้มภาพ/เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

9 ม.ค. 2560 ตามที่เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ว่า รัฐบาลจะต้องเขียนคำปรารภและบทเฉพาะกาล รวมถึงตรวจทานความถูกต้องของร่างรัฐธรรมนูญด้วย แต่จะไม่มีการแก้ไขเนื้อหา โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 "และเมื่อนำขึ้นทูลถวายไปแล้วก็ตามพระราชอำนาจก็ทรงมีเวลาพิจารณา 90 วัน แล้วแต่จะโปรดลงมาเมื่อไร" นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

โดยต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ในขั้นตอนการทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญ ว่า วันนี้ (8 พ.ย.) ได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป และจากนี้เป็นไปตามกรอบเวลาที่มีอยู่ 90 วัน "สำหรับผมมีกำหนดครบในวันนี้ 8 พ.ย. ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอนและกรอบเวลาที่จะต้องทูลเกล้าฯ ภายใน 30 วัน" โดยกรอบเวลา 90 วัน อยู่ที่ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 นั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 9 มกราคม 2560 ในรายงานของมติชนออนไลน์วิษณุ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีกรอบเวลาโปรดเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 90 วันว่า ไม่ขอตอบประเด็นนี้ เพราะกลัวว่าพูดไปแล้วจะผิด และไม่อยากให้เกิดความคาดหมาย ว่าจะต้องมีต้องเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้หารือเรื่องนี้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า มีบ้าง เพราะนายกฯ ถามเช่นเดียวกับสื่อ ถ้าหากเกิดกรณีเช่นนั้นจะทำอย่างไร ตนก็ยังตอบไม่ถูก

วิษณุตอบคำถามเมื่อมีผู้สื่อข่าวถามว่า หากครบกำหนด 90 วัน ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญ จะเป็นอย่างไร โดยรองนายกรัฐมนตรีตอบว่าร่างรัฐธรรมนูญก็ตกไป แล้วจะทำอย่างไรต่อก็ต้องพิจารณากัน ซึ่งอาจต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เพราะไม่มีช่องทางอะไรเขียนไว้ และถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวจริง รัฐบาลก็ต้องประกาศให้ทราบ เพราะจะมุบมิบทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำได้แต่เพียงคิดไว้ในใจไม่มาแลกเปลี่ยนอะไรกันตอนนี้ แต่เมื่อมีอะไรขึ้น คงต้องพูดกันได้ซึ่งกรอบ 90 วันนั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ และถึงอย่างไรประเทศไม่มีทางตัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.ตั้งคณะทำงานวางแผนการผลิตข้าวครบวงจร

$
0
0

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ออก 14 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร 'ประยุทธ์' ฝากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาการจัดหาที่ดินให้กับประชาชนได้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยเฉพาะการจัดหาที่ดินที่ไม่ใช่พื้นที่ป่า 

ม.ค. 2560 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า วันนี้ (9 ม.ค.60) เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ 1/2560  ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย 

ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2559-60 โดยตั้งแต่เดือนม.ค. – 20 ธ.ค. 2559 ประเทศอินเดียส่งออกข้าวได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก (ประมาณ 10.24 ล้านตัน)  รองลงมาเป็นไทย (9.63 ล้านตัน) เวียดนาม (4.87 ล้านตัน) และปากีสถาน (3.54 ล้านตัน) ตามลำดับ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ข้าวหอมมะลิไทยเป็นข้าวที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ที่ประชุมจึงได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางที่จะดำเนินการบริหารจัดการข้าวอย่างครบวงจรและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับทราบและอนุมัติแต่งตั้งคณะทำงานวางแผนการผลิตข้าวครบวงจร โดยกำชับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันดูแลประชาชนชาวเกษตรกร โดยได้มีการออกมาตรการต่าง ๆ (14 มาตรการ) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบนาแปลงใหญ่ โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60  โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือก โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อปศุสัตว์ โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชที่หลายหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2560 โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โครงการพักชำระต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการอบรมความรู้เชิงปฏิบัติเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2559 เป็นต้น

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฝากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษารายละเอียดถึงความเป็นไปได้ในการจัดหาที่ดินให้กับประชาชนได้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยเฉพาะการจัดหาที่ดินที่ไม่ใช่พื้นที่ป่า เช่น พื้นที่ที่รัฐบาลจัดให้ตามคณะกรรมการจัดการที่ดินพิจารณาดำเนินการให้กับทุกจังหวัด โดยไม่ใช่เป็นพื้นที่ สปก. ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้มอบที่ดินทำกินในลักษณะดังกล่าวให้กับประชาชนในหลายจังหวัดแล้ว และจะเร่งดำเนินการให้ครบทุกจังหวัดต่อไป อย่างไรก็ตามการจัดหาที่ดินทำกินให้กับประชาชนดังกล่าวยังไม่เพียงพอกับจำนวนประชาชนที่ยังไม่มี่ที่ดินทำกิน รัฐบาลจึงจะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขอความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากแต่ยังไม่ได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ในขณะนี้ โดยจะเป็นจัดทำสัญญาขึ้นระหว่างภาคเอกชนหรือประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินกับเกษตรกรที่ยังไม่มีที่ทำกิน ได้สามารถเข้ามาทำการเพาะปลูกพืชต่าง ๆ ได้ โดยตัวเกษตรกรเป็นผู้ผลิตและลงแรงขณะที่ภาคเอกชนเจ้าของที่ดินเป็นผู้ลงทุนในลักษณะประชารัฐ รวมถึงการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์และดูแลเรื่องการตลาด โดยมีการตกลงแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมทุกฝ่าย ทั้งนี้ แนวคิดในการดำเนินการดังกล่าว เนื่องรัฐบาลจะดูแลเองทั้งหมดคงไม่ได้ จึงต้องมีการประสานขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคมมาร่วมกันดำเนินการ ขณะที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้มีการดำเนินการในเรื่องของเกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้สอดคล้องเหมาะสมกับพื้นที่ และมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกของเกษตรกร ซึ่งการดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องมีการให้ข้อมูลและความรู้กับประชาชนได้เกิดความเข้าใจและพร้อมสนับสนุนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานต่าง ๆ ของภาครัฐเป็นไปตามแนวทางและเป้าหมายที่กำหนดไว้
 
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวว่า นอกจากรัฐบาลได้ออกมาตรการดูแลเกษตรกรทุกภาคส่วนแล้ว รัฐบาลต้องดูแลช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้เนื่องจากมีฝนตกหนักในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีน้ำที่ไหลหลากจากภูเขาลงมาสู่พื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยของประชาชน ตลอดจนเส้นทางคมนาคมได้รับความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งอีกหนึ่งสาเหตุมาจากการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายทำให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำจึงทำให้มีน้ำเอ่อล้นจากลำคลองขึ้นมาจนเกิดน้ำท่วมเพราะไม่สามารถระบายน้ำไหลลงสู่ทะเลได้โดยเร็ว ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์น้ำคลี่คลายและน้ำลดลงแล้วจะเร่งดำเนินการในเรื่องการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันแก้ปัญหาอุทกภัยและปัญหาน้ำแล้งอย่างยั่งยืน จึงขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐในการที่จะดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมและประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้กำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยทุกคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีการประกาศยกระดับการจัดการปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ให้เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ ระดับ 3  โดยได้จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ส่วนหน้า ขึ้น ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี และเขต 12 สงขลา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการ ทำหน้าที่บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องมีการเตรียมการรองรับกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นให้ได้ ส่วนการดูแลเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เบื้องต้นให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่กำหนดไว้ก่อนที่จะมีการพิจารณามาตรการดูแลเพิ่มเติมตามสถานการณ์และความเหมาะสมต่อไป
 
วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ตามที่ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการด้านการผลิตและการตลาดสินค้าข้าว คือ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เสนอ โดย มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย ฯลฯ  มีอำนาจหน้าที่ (1) วางแผนการผลิตข้าวปีการผลิต 2559/60 ทั้งนาปี นาปรังให้ครบวงจรสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ (2) เชิญผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานอื่น ๆ หรือบุคคลมาใช้ข้อมูล/ข้อเท็จจริง และขอให้ส่งข้อมูล หรือเอกสารใด ๆ ต่อคณะทำงาน (3) แต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตามที่คณะทำงานเห็นสมควร (4) ดำเนินการให้แล้วเสร็จและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะอนุกรรมการให้คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการด้านการผลิตและการตลาดสินค้าข้าวทราบ ภายใน 1 เดือน (5) ปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการด้านการผลิตและตลาดสินค้าข้าวมอบหมาย (6) พิจารณาทบทวนยุทธ์ศาสตร์ข้าวไทย ปี 2558 – 2562
 
รวมทั้ง ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นำข้าวสารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จำนวนประมาณ 1,500 ตัน โดยเป็นการนำข้าวสารดังกล่าวไปแลกข้าวใหม่เพื่อทำข้าวบรรจุถุงประมาณ 2 กิโลกรัม ในการนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติภายหลังสถานการณ์น้ำคลี่คลายหรือลดลง โดยคำนึงถึงความสะดวกของประชาชนในการประกอบหุงหาอาหารด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนขณะนี้รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดำเนินการนำข้าวสุกบรรจุกล่องพร้อมรับประทานได้ทันทีและอาหารกระป๋องไปมอบให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยในเบื้องต้นก่อน
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือแนวทางการระบายข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล จำนวนประมาณ 8 ล้านตัน  โดยได้แบ่งข้าวออกเป็น 3 กลุ่มตามคุณภาพข้าว คือ 1) ข้าวที่มีคุณภาพดี 2) ข้าวที่มีคุณภาพลดหลั่นลงมาหรือคุณภาพปานกลาง 3) ข้าวที่มีอายุเกินกว่า 5 ปี ซึ่งเป็นการเก็บไว้ในสต็อกมานานหลายรัฐบาลและมีข้าวที่เสื่อมคุณภาพ รวมทั้งมีข้าวเกรทอื่น ๆ ปนมากกว่า 80% ซึ่งไม่สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งคนและสัตว์ได้ โดยข้าวกลุ่มนี้จะต้องหาวิธีการและแนวทางในการที่จะเร่งระบายออกไปให้ได้โดยเฉพาะไปสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่อาหารสัตว์ เนื่องจากเป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการเก็บรักษา ทั้งนี้ ยืนยันการดำเนินการบริหารจัดการดังกล่าวจะไม่ให้มีการนำไปบริโภคทั้งในคนและสัตว์ โดยจะต้องมีวิธีการกำกับควบคุมการส่งมอบอย่างชัดเจนเพื่อให้ส่งมอบถึงปลายทางเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ระบายจริง พร้อมทั้งที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ดำเนินการบริหารจัดการระบายข้าวคงเหลือในสต็อกดังกล่าวให้เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดในขณะนั้น
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนร.ไฟเขียว 5 ยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 20 ปี แยกบทบาท 'ผู้กำกับดูแล-ผู้กำหนดนโยบาย-ผู้ให้บริการ'

$
0
0

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เห็นชอบ 5 ยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ ระยะ 20 ปี แยกบทบาท 'ผู้กำกับดูแล-ผู้กำหนดนโยบาย-ผู้ให้บริการ' ออกจากกันอย่างชัดเจน พร้อมรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหา 7 รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งแผนการแก้ไขปัญหาปี 60

9 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า วันนี้ (9 ม.ค.60) เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 โดยมี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. เปิดเผยผลการประชุม คนร. สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

คนร. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจเป็นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักการสำคัญของกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ไทยแลนด์ 4.0 แผนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) และนำสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน มาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนายุทธศาสตร์ขึ้น ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : กำหนดบทบาทรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ โดยกำหนดบทบาทและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจนและแยกบทบาทระหว่างผู้กำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบายและผู้ให้บริการออกจากกันอย่างชัดเจน

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : เร่งการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยการจัดให้มีแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจราย 5 ปี ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน พร้อมทั้งสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับโครงการลงทุน และการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนทางเลือกอื่น ๆ เช่น การส่งเสริมให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPPs) หรือการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จะจัดให้มีกลไกในการชดเชยให้แก่รัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐภายในกรอบระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล

ยุทธศาสตร์ที่ 4 : สนับสนุนการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะการมุ่งสร้างนวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 และแผนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนและลดต้นทุนการดำเนินงาน

ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลให้มีความโปร่งใสและมีคุณธรรม มีกลไกส่งเสริมและสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ เพื่อเป็นองค์กรคุณธรรม มีกลไกกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ บริหารความเสี่ยงและประเมินผลที่เพียงพอเหมาะสม มีโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงานสมัยใหม่ พัฒนาศักยภาพบุคลากรควบคู่กับการมีคุณธรรม กำหนดระบบแรงจูงใจการดำเนินงานที่เหมาะสม คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจจัดทำขึ้นโดย สคร. ร่วมกับ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ (PAC) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้รัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรคุณธรรมและเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่ความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

พร้อมกันนี้ คนร. รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจปี 2560 และกรอบเป้าหมายการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจเสนอ โดยได้มีการพิจารณาเรื่องที่สำคัญของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง สรุปได้ดังนี้

1) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) คนร. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ ธพว. โดย ธพว. มีผลการดำเนินงานในภาพรวมดีขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เช่น การขยายสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 34,000 ล้านบาท การบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2560 คนร. ได้กำหนดให้ ธพว. เร่งปล่อยสินเชื่อวงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท ให้เพิ่มขึ้น และการบริหารจัดการ NPLs ให้มีจำนวนไม่เกิน 16,600 ล้านบาท รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับการดำเนินการของ ธพว. ให้เป็นไปตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเคร่งครัด

2) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) คนร. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ ธอท. โดยมีการจัดทำแผนรองรับการดำเนินงานตลอดจนการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของ ธอท. ได้มากขึ้น และได้จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์เป็นไปตามแผนแล้ว ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการเพิ่มทุนและ ธอท. จะมีการโอนหนี้ NPFs ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับการดำเนินงานของ ธอท. ในเรื่องต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการสรรหาพันธมิตรภายในเดือนมิถุนายน 2560

3) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คนร. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และ ขสมก. ให้เป็นไปตามมติ คนร. และ/หรือ แผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ทั้งนี้ คนร. ได้เน้นย้ำให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยโดยเข้มงวด

4) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ บกท. ซึ่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีผลประกอบการดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ มอบหมายให้ บกท. เร่งจัดทำระบบขายตั๋วให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการขายผ่าน Internet ให้เร็วขึ้น และพิจารณาความเหมาะสมในการลงทุนในบริษัทลูกต่างๆ

5) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ทั้งนี้ สำหรับข้อเสนอของ รฟท. ที่จะรับผิดชอบเรื่องการดำเนินการพัฒนาที่ดินย่านมักกะสันและดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเอง มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายพิชิตฯ) และ รฟท. พิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งจะต้องกำหนดเงื่อนไขความสำเร็จ รวมทั้งจะต้องสามารถลดภาระหนี้สินของ รฟท. ลงด้วย

6) – 7) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที.) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท.) คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการปรับโครงสร้างการประกอบธุรกิจของ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โดยจัดตั้งบริษัท NGDC ในการดำเนินธุรกิจเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ำและอินเทอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ และ NGN ในการเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท พิจารณาแผนธุรกิจของ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท และบริษัทในเครือที่จะจัดตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จาก 'ครู' กลายเป็น 'แพะ' ติดคุกฟรี 3 ปี ศาลนัดสืบพยานใหม่ 16 ม.ค.นี้

$
0
0

9 ม.ค. 2560 เดลินิวส์และคมชัดลึกออนไลน์รายงานตรงกันว่า พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นิธิต ภูริคุปต์ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีของ จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.สกลนคร ภายหลังถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือนในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เหตุเกิดเมื่อปี 2548 และถูกจำคุกตั้งแต่ปี 2556 ก่อนได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2558 โดยกรณีดังกล่าวล่าสุดศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯได้เข้าไปช่วยเหลือจนสามารถนำพยานหลักฐานใหม่มายื่นต่อศาลและศาลสั่งให้รื้อฟื้นคดีใหม่ เนื่องจาก จอมทรัพย์ ยืนยันขณะเกิดเหตุตนอยู่กับครอบครัวที่บ้านซึ่งอยู่ที่จ.สกลนคร แต่อุบัติเหตุรถชนดังกล่าวเกิดขึ้นที่จ.นครพนม 
 
ภายหลังเจ้าหน้าที่สามารถสอบสวนหาพยานหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็น จอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด โดยรถยนต์ที่ใช้เป็นหลักฐานในคดีมีหมายเลขทะเบียนตรงกันแต่จดทะเบียนต่างจังหวัด กระทั่งสามารถติดตามหาตัวผู้ก่อเหตุตัวจริง ซึ่งให้การยอมรับสารภาพต่อศาลว่า เป็นคนกระทำผิดจริงและนำชี้จุดนำรถยนต์ไปซ่อน รวมถึงอู่ที่นำรถยนต์เข้าซ่อมหลังเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ก่อเหตุตัวจริงเป็นบุคคลที่มีฐานะ ทำให้ศาลเชื่อได้ว่าไม่ได้เป็นการรับจ้างมารับผิดแทน
 
นิธิต กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวผู้กระทำผิดตัวจริงเป็นผู้ไปให้การรับสารภาพต่อหน้าศาลด้วยตัวเอง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่สำคัญและมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณา หลังจากนี้ศาลได้นัดสืบพยานใหม่ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ เวลา 13.00 น. สำหรับการช่วยเหลือในฐานะเป็นจำเลยในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญานั้น เบื้องต้นต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดจริงก่อน จากนั้นจึงสามารถยื่นคำร้องขอรับการเยียวยาได้ โดยคดีดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการรื้อฟื้นคดีหากคดีสิ้นสุดแล้ว จึงจะสามารถสอบสวนเพื่อหาคนผิดในคดีขับรถชนคนตายได้ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการรับความช่วยเหลือในการต่อสู้คดีควรขอรับความช่วยเหลือในระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด เพราะหากการรอจนคดีสิ้นสุดแล้วการจะรื้อฟื้นคดีใหม่ตามเงื่อนไขของศาลเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะคดีที่ผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดควรต่อสู้คดีอย่างมั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแล้วไม่ทำอะไร เนื่องจากหลักการพิจารณาของศาลจะอาศัยตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนส่งฟ้อง
 
ด้าน จอมทรัพย์ กล่าวว่า ตนเคยรับราชการเป็นครูอยู่ 31 ปี หลังออกจากเรือนจำยังไม่สามารถกลับเข้ารับราชการได้ แม้จะได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ารับราชการไว้กับสำนักงานเขตการศึกษาฯในพื้นที่ เนื่องจากต้องรอคำพิพากษาของศาลว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับชีวิตครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะครอบครัวเพราะตนถือเป็นเสาหลัก ทำให้ลูกชายไม่ได้เรียนหนังสือไปหนึ่งคน ขณะที่คนรอบข้างที่เคยนับถือในฐานะครูก็น้อยลง แต่ตนยืนยันจะเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งหมด เพื่อให้เป็นตัวอย่างกับสังคมทั้งในฐานะครูและผู้ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้กระทำผิดต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีชัยยอมรับ-บอกไม่ได้จะเลือกตั้งทัน 2560 หรือไม่-ต้องรอรัฐธรรมนูญและ กม.ประกอบ

$
0
0

ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ไม่สามารถบอกเวลาชัดเจนถึงวันเลือกตั้งทันโรดแมปปี 60 หรือไม่ เนื่องจากต้องรอรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง และเมื่อผ่าน สนช. ก็ต้องรอกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ที่ต้องร่างให้สอดคล้องกัน

9 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ของสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ซึ่งกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่สามารถบอกเวลาชัดเจนถึงวันเลือกตั้งได้ เพราะต้องรอรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อน จึงจะยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เหลืออีก 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้สอดคล้องกันได้

ประกอบกับต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของพรรคการเมืองและ กกต.ด้วย โดยระหว่างนี้ กรธ.ได้ทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาควบคู่กันไป เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมมั่นใจจะไม่เกิดเหตุการณ์ทำให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งถูกตีตกไปในชั้น สนช. เพราะ กรธ.ยกร่างตามรัฐธรรมนูญอย่างดีที่สุดและรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย

ประธาน กรธ. กล่าวอีกว่า หากมีเหตุให้ สนช. ตีตกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ยังเป็นหน้าที่ของ กรธ. ที่ต้องเป็นผู้ร่างใหม่ โดยในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาเอาไว้ แต่ กรธ.ต้องเร่งทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน 10-15 วัน พร้อมยืนยัน กรธ.รับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายและทุกครั้งที่ปรับแก้ได้เปิดเผยลงเว็บไซต์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องคมนตรีอัญเชิญกระแสรับสั่งของรัชกาลที่ 10 เรื่องให้ความช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้

$
0
0

วิษณุ เครืองาม เปิดเผยหลังหารือกับองคมนตรี และนายกรัฐมนตรีว่า องคมนตรีอัญเชิญกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รับสั่งให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีจะเร่งวางแนวทางให้ความช่วยเหลือ

9 ม.ค. 2560 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี นายวิรัช ชินวินิจกุล องคมนตรี และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ว่าองคมนตรีอัญเชิญ กระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยเฉพาะเรื่องการให้ความช่วยเหลือและการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะน้อมนำไปแจ้งให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้และจะเร่งให้ความช่วยเหลือและวางแนวทางบรรเทาทุกข์และประชาชนต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปภ.สรุปเหตุน้ำท่วม 12 จังหวัดภาคใต้ กระทบ 3.3 แสนครัวเรือน

$
0
0

ประจวบคีรีขันธ์แจ้งเตือน เลี่ยงใช้ถนนเพชรเกษมช่วงทับสะแก-บางสะพาน หลังน้ำท่วมข้ามผิวการจราจร ด้านอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สรุปสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ 12 จังหวัด กินพื้นที่ 96 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบ 3.3 แสนครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 21 ราย สูญหาย 2 ราย ถนนเสียหาย 218 จุด คอสะพาน 59 แห่ง ยะลาเริ่มคลี่คลาย แต่ฝนยังคงตกหนักทั่วทั้งภาคใต้ จึงต้องรับมืออุทกภัยและดินถล่ม

ประจวบคีรีขันธ์แจ้งเตือน เลี่ยงใช้ถนนเพชรเกษมช่วงทับสะแก-บางสะพาน หลังน้ำท่วม

น้ำท่วมถนนเพชรเกษมช่วงทับสะแก-บางสะพาน (ที่มา: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)

10 ม.ค. 2559 สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์จากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักในพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีฝนตกหนักติดต่อมา2 วัน ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขอแจ้งเตือนผู้ใช้รถใช้ถนน ที่จะเดินทางผ่านถนนเพชรเกษมช่วง อ.ทับสะแก-อ.บางสะพาน หลักกิโลเมตรที่ 350-360 ทั้งขาขึ้น และขาล่องใต้ ให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม ผ่าน อ.ทับสะแก-บางสะพาน หรือชะลอการเดินผ่านบริเวณดังกล่าวไว้ก่อน เนื่องจากบางช่วงของถนนเพชรเกษม มีน้ำข้ามผิวการจราจร บางช่วงรถเล็กไม่สามารถผ่านได้ อีกทั้งปริมาณรถที่ติดสะสม ทำให้การจราจรช่วงดังกล่าวติดขัด และทางหน่วยงานที่เกี่ยวได้ควบคุมดูแลความปลอดภัย โดยปิด-เปิดการใช้เส้นทางในบางช่วง-บางเวลา จากการดูสถานการณ์น้ำที่ไหลผ่าน และเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน จึงขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ที่จะเดินทางผ่านถนนเพชรเกษมช่วง อ.ทับสะแก-อ.บางสะพาน หลักกิโลเมตรที่ 350-360 ชะลอการเดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ

 

ปภ.สรุปสถานการณ์อุทกภัย ยะลาคลี่คลาย-เหลืออีก 11 จังหวัดยังคงต้องรับมือ

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันใน 12 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ รวม 96 อำเภอ 588 ตำบล 4,277 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 330,415 ครัวเรือน 958,602 คน ผู้เสียชีวิต 21 ราย สูญหาย 2 ราย สถานที่ราชการเสียหาย 5 แห่ง ถนน 218 จุด คอสะพาน 59 แห่ง ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 1 จังหวัด ได้แก่ ยะลา ยังคงมีสถานการณ์ใน 11 จังหวัด รวม 97 อำเภอ 560 ตำบล 4,233 หมู่บ้าน

จังหวัดพัทลุง น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอกงหรา อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน อำเภอศรีบรรพต อำเภอเขาชัยสน อำเภอป่าบอน อำเภอบางแก้ว อำเภอป่าพะยอม และอำเภอตะโหมด รวม 65 ตำบล 663 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 54,549 ครัวเรือน 128,036 คน

จังหวัดนราธิวาส น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 13 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนราธิวาส อำเภอระแงะ อำเภอรือเสาะ อำเภอศรีสาคร อำเภอแว้ง อำเภอสุคิริน อำเภอสุไหงโก – ลก อำเภอสุไหงปาดี อำเภอจะแนะ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอยี่งอ อำเภอตากใบ และอำเภอบาเจาะ รวม 75 ตำบล 496 หมู่บ้าน 3 เทศบาล 35 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 33,420 ครัวเรือน 131,182 คน

จังหวัดสงขลา น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ ได้แก่ อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอสะเดา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอควนเนียง อำเภอรัตภูมิ อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสิงหนคร อำเภอสทิงพระ และอำเภอระโนด รวม 51 ตำบล 316 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 17,778 ครัวเรือน 53,455 คน

จังหวัดปัตตานี น้ำไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอยะรัง อำเภอกะพ้อ อำเภอหนองจิก อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอสายบุรี อำเภอแม่ลาน และอำเภอไม้แก่น รวม 50 ตำบล 202 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,191 ครัวเรือน 22,012 คน

จังหวัดตรัง น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอนาโยง อำเภอรัษฎา อำเภอเมืองตรัง อำเภอห้วยยอด และอำเภอวังวิเศษ รวม 29 ตำบล 6 เทศบาล 235 หมู่บ้าน 15 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 94,448 ครัวเรือน 32,312 คน

จังหวัดสุราษฎร์ธานี น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอบ้านนาสาร อำเภอดอนสัก อำเภอท่าชนะ อำเภอเกาะสมุย อำเภอไชยา อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอชัยบุรี อำเภอเกาะพงัน และอำเภอท่าฉาง รวม 70 ตำบล 516 หมู่บ้าน 25 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 70,355 ครัวเรือน 205,297 คน

จังหวัดนครศรีธรรมราช น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 23 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชะอวด อำเภอทุ่งสง อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล อำเภอนาบอน อำเภอพิปูน อำเภอช้างกลาง อำเภอฉวาง อำเภอนบพิตำ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอพระพรหม อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอขนอม อำเภอพรหมคีรี อำเภอลานสกา อำเภอบางขัน อำเภอปากพนัง อำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอหัวไทร และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ รวม 154 ตำบล 1,284 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 125,202 ครัวเรือน 359,459 คน

จังหวัดชุมพร มีน้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอทุ่งตะโก อำเภอพะโต๊ะ อำเภอหลังสวน อำเภอละแม อำเภอสวี และอำเภอเมืองชุมพร รวม 46 ตำบล 437 หมู่บ้าน 1 เทศบาล 17 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 14,272 ครัวเรือน 47,113 คน

จังหวัดกระบี่ มีน้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกะบี่ อำเภอเขาพนม อำเภอเกาะลันตา และอำเภออ่าวลึก รวม 16 ตำบล 57 หมู่บ้าน 1 ประชาชนได้รับผลกระทบ 97 ครัวเรือน

จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่อำเภอบางสะพานน้อย รวม 3 ตำบล 15 หมู่บ้าน และระนอง น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่อำเภอเมืองระนอง รวม 1 ตำบล 1 หมู่บ้าน

โดยในภาพรวมสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีฝนตกในพื้นที่ ระดับน้ำลดลง ยกเว้นจังหวัดนครศรีธรรมราช ระดับน้ำเพิ่มขึ้น และนราธิวาส ระดับน้ำทรงตัว ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว รวมถึงแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งจัดเจ้าหน้าที่ พร้อมรถบรรทุกขนาดใหญ่ เรือท้องแบนอำนวยความสะดวกในการสัญจรแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและจัดทำบัญชีผู้ประสบภัย และทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยด่วนต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมด้านตะวันตกของจังหวัดกระบี่ ได้เคลื่อนปกคลุมบริเวณจังหวัดกระบี่และพังงาแล้ว คาดว่า จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา ในวันที่ 9 – 10 มกราคม 2560 ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงได้ประสานจังหวัดดังกล่าวและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมรับมืออุทกภัยและดินถล่ม โดยจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยประจำจุดเสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที สำหรับผู้ประกอบการทางน้ำและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 2 – 3 วัน

ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทาง สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

 

สปท. เสนอหักเงินเดือนตัวเอง 5,000 บาท ช่วยน้ำท่วม

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานด้วยว่า ในการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ที่มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ในเวลา 09.30 น. วันที่ 9 ม.ค. 2560 ก่อนเข้าสู่วาระการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เรื่องการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ที่เสนอให้ปฏิรูปการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐผ่านระบบรัฐสภา ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีมติให้หักเงินเดือนสมาชิก สปท. คนละ 5,000 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน และในเบื้องต้นเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างเร่งด่วน สมาชิก สปท. บางส่วนเสนอสำรองจ่ายเงินไปก่อนจำนวน 1 ล้านบาท โดยมอบหมายให้นายเสรี สุวรรณภานนท์ และพลตำรวจโท สุวิระ ทรงเมตตา เป็นผู้ดำเนินการ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนาที่ SOAS ลอนดอน: นโยบายจำนำข้าวของประเทศไทยกับหลักนิติธรรม

$
0
0

สรุปสาระสำคัญจากบรรยายวิชาการ “นโยบายจำนำข้าวของประเทศไทยกับหลักนิติธรรม” จัดที่ SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน เกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้าน จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ Peter Leyland มองศาลปกครองผ่านคดียิ่งลักษณ์ และวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ เสนอ 3 ข้อกังวลเรื่องหลักนิติธรรมในคดีจำนำข้าว

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2559 โครงการนิติธรรมในประเทศไทยที่ มหาวิทยาลัยลอนดอน SOAS จัดบรรยายวิชาการหัวข้อ "นโยบายจำนำข้าวของประเทศไทยกับหลักนิติธรรม" (Thailand's Rice Subsidy and the Rule of Law) เกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากกรณีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งคาดว่าจะมีการโยงต่อไปในชั้นศาลปกครอง บรรยายโดยศาสตราจารย์ Peter Leyland ผู้บรรยายวิชากฎหมายปกครองขั้นสูง และ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการผู้ประสานงานโครงการนิติธรรมในประเทศไทยและผู้บรรยายวิชากฎหมายกับสังคมในเอเชียตะวันออกเชียงใต้ SOAS

 

Peter Leyland: มองศาลปกครองผ่านคดียิ่งลักษณ์

ในช่วงแรก ศาสตราจารย์ Peter Leyland บรรยายหัวข้อ "Yingluck and the Courts: Ordering the Law in Thailand" โดยพิจารณาความเป็นมาและผลงานของศาลและคำพิพากษาว่ามีส่วนในการส่งเสริมหลักนิติธรรมในประเทศไทยหรือไม่

Peter Leyland เริ่มนำเสนอในส่วนของความเป็นมาของการก่อตั้งศาลปกครองไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 5 หลังภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคม เป็นแรงผลักดันให้รัฐไทยพยายามควบคุมดินแดนของตน นำไปสู่การตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งมี 2 บทบาทคือ ร่างกฎหมาย และรับฎีกาของประชาชน ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเพื่อควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิด

แต่รูปแบบของศาลปกครอง ที่เป็นการแยกออกจากกันระหว่างอำนาจบริหารและตุลาการ มาเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่มีการตั้งศาลปกครองและออก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (2542) โดยการตั้งศาลปกครองเป็นไปเพื่อสนับสนุนรัฐธรรมนูญที่ใช้ระบบศาลคู่ ที่ได้ต้นแบบมาจากระบบของฝรั่งเศส โดยศาลปกครองมีการแยกผู้พิพากษาออกจากระบบศาลยุติธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดระบบศาลอิสระ

Peter Leyland นำเสนอว่า รัฐธรรมนูญ 2540 มีหลักประกันความเป็นอิสระของศาลปกครองได้อย่างไร โดยเขาเสนอว่า “มีความตั้งใจของความพยายามผ่านการรับผู้พิพากษาเข้ามาประจำศาลปกครองอย่างมืออาชีพ”

ประกอบด้วย หนึ่ง กระบวนการแต่งตั้ง โดยใช้กระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มงวด เน้นย้ำเรื่องคุณสมบัติและมีกระบวนการอบรม

สอง ความเป็นอิสระของการบริหารงานศาลปกครอง ซึ่งมีหลักประกัน แม้ตามบทบัญญัติภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ศาลปกครองยังคงฝ่าฝันอุปสรรค ดำเนินงานมานับตั้งแต่ปี 2540 แล้วแม้หลังรัฐประหารปี 2549 ก็ไม่มีการแทรกแซงการดำเนินงานของศาลปกครอง และหลังรัฐประหาร 2557 ก็ยังไม่มีการรบกวนการทำงานของศาลเหล่านี้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นภาพขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายไปเสียแล้ว นอกจากนี้กระบวนการสืบสวนและไต่สวนของศาลปกครองก็มีการจำกัดระยะเวลา กระบวนการไต่สวนคดีที่ล่าช้าเป็นไปได้ยาก

สาม อัตราเงินเดือนของตุลาการศาลปกครองได้รับเงินเดือนที่สูง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดสินบน

สี่ การปลดตุลาการศาลปกครองเป็นไปได้ยาก ต้องทำการพิจารณาผ่านการตั้งคณะกรรมการ

 

ในส่วนของคำสั่งเยียวยาของศาลปกครอง สามารถออกคำสั่งที่มีผลเพิกถอนการกระทำทางปกครองที่หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลเพิกถอนทั้งหมด หรือบางส่วน และคำสั่งของศาลปกครองยังสามารถมีผลทั้งย้อนหลัง หรือไม่มีผลย้อนหลัง

ศาลปกครองยังมีอำนาจที่ห้ามไม่ให้กระทำการต่อไป (the mandatory order and injunctive relief) ซึ่งเทียบเคียงได้กับระบบกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ ที่สั่งให้การกระทำหน้าที่ หรือคำสั่งให้บุคคลกระทำ หรือหลีกเลี่ยงจากการกระทำ เพื่อให้ยอมทำตามกฎหมายได้

ศาลปกครองยังมีอำนาจในการสั่งจ่ายเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการเยียวยา ซึ่งเป็นอำนาจที่มากกว่าระบบกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสหรืออังกฤษ ที่การสั่งให้มีการชดใช้เงินเป็นเรื่องไม่ปกตินัก

ในด้านสถิติของศาลปกครอง Peter Leyland นำเสนอว่า เมื่อเปรียบเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองมีประสิทธิภาพและพัฒนาการที่จับต้องได้หากมองตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม ไม่ถูกมองในแบบภาพลวง และทำหน้าที่ตัดสินคดีทางกฎหมายที่แท้จริง

Peter Leyland ยังกล่าวด้วยว่าโดยจนกระทั่งถึงปี 2552 มีคำสั่งของศาลปกครองมาแล้วกว่า 35,000 คดี โดยสัดส่วนของคดีสูงที่สุดคือ เกือบ 10,000 คดี เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรวมทั้งกรมที่ดิน และกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมโยธาธิการและผังเมือง 2,900 คดีเป็นการฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งรวมไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของการฟ้องคดีศาลปกครองเช่นกัน

สำหรับคำสั่งศาลปกครองระหว่างปี 2552 ถึงปี 2558 ยังเป็นที่สงสัยอยู่ แต่สามารถที่จะสืบค้นได้จากเว็บไซต์ของศาลปกครองเพื่ออ่านคำตัดสินตัวอย่างได้

ส่วนคำตัดสินของศาลปกครองที่สำคัญ เช่น ในปี 2546 กรณี ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนมติเสนอรายชื่อบุคคลที่ผ่านการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา กสช. คำพิพากษาในปี 2549 กรณีการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลป้องกันการแปรรูปให้เป็นกิจการเอกชนของกิจการผลิตไฟฟ้า โดยอ้างเรื่องของการขาดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

นอกจากนี้ยังคำพิพากษาในคดีชินคอร์ป กรณีที่ กสท. อนุญาติให้ชินคอร์ปขายหุ้นให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ ในปี 2549 และคดีมาบตาพุดในปี 2552 ที่องค์กรสิ่งแวดล้อมฟ้องศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งให้ระงับ 76 โครงการอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง

 

ภาพที่แตกต่างเมื่อเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญ

Peter Leyland ยังนำเสนอภาพที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นศาลรัฐธรรมนูญก็เต็มไปด้วยปัญหา โดยในปี 2544 กรณีตัดสินคดีทักษิณซุกหุ้นภาคแรก ในเวลานั้นศาลรัฐธรรมนูญมีทางเลือกหนึ่งคือ บังคับใช้รัฐธรรมนูญด้วยความเคร่งครัด ด้วยการ ‘แจกใบแดง’ ให้นักการเมือง ตัดสิทธิทางการเมืองใครก็ตามที่แสดงถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งหรือไม่

แต่ในเวลานั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่กี่เสียงที่ลงมติ ‘แจกใบแดง’ ตามที่เสนอโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งการตัดสินครั้งนั้น นับเป็นจุดพลิกพันของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่แสดงให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้นโคลงเคลงไปตามการคิดพิจารณาทางการเมือง

เมื่อเปรียบเทียบกับคดีต่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในปัจจุบัน ผู้สนใจทางการเมืองและสื่อมวลชนให้สนใจต่อแรงกดดันที่อาจมีผลต่อความเป็นอิสระของตุลาการ

นอกจากนี้มีข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่เป็นอิสระ ตัวอย่างเช่น บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2549 ที่ตัดสินเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 คำตัดสินที่ไม่ได้สัดส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ออกรายการทำกับข้าวทางโทรทัศน์ในปี 2551 และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญปี 2551 ในการยุบ 3 พรรคการเมือง (พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคพลังประชาชน) ซึ่งในครั้งนั้นมีคลิปเสียงล็อบบี้ผู้พิพากษาหลุดออกมาเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังมีกรณีของมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 7 พฤษภาคม 2557 ถอดถอนยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงการติดหล่มทางการเมือง ในขณะที่คำตัดสินของตุลาการศาลปกครองยังคงโต้เถียงได้บนพื้นฐานคำอธิบายทางกฎหมาย

Peter Leyland ยังชี้ว่า คดีฟ้องยิ่งลักษณ์ให้จ่ายค่าชดเชย 35,000 ล้านบาท จะเป็นความท้าทายที่มีต่อศาลปกครอง “ศาลปกครองจะตัดสินว่าผู้มีอำนาจมีอำนาจทางกฎหมายหรือไม่ในการเรียกร้องให้จ่ายค่าเสียหาย รวมทั้งพิจารณาว่าเป็นการเรียกค่าเสียหายที่ได้สัดส่วนหรือไม่”

ศาสตราจารย์ทางกฎหมายยังเสนอด้วยว่า แม้ความชอบธรรมของศาลปกครองยังคงมีอยู่นับจากรัฐธรรมนูญ 2540 แต่คดีจำนำข้าวถือเป็นกรณีที่ไม่ถูกคาดหมายให้เป็นหน้าที่ของศาลปกครอง และน่ากังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างศาลปกครองกับศาลยุติธรรมหรือไม่ หากศาลปกครองไปตัดสินในเรื่องความชอบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีที่จะถูกตัดสินโดยศาลยุติธรรม โดยในขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังพิจารณาเนื้อหาการกระทำของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวเช่นกันโดยคดีจำนำข้าวมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างศาลปกครองกับศาลปกติ และสุดท้ายผู้รัฐที่ใช้อำนาจจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลหนึ่งที่อาจดูขัดกันกับคำตัดสินของอีกศาลหรือไม่

โดยหลักการแล้วไม่ควรมีกรณีประหนึ่งอุทธรณ์ระหว่างศาล 2 ระบบ เพราะทั้งหมดของกระบวนการศาลปกครองคือการดำเนินการที่แยกออกจากกัน คือเป็นอิสระจากระบบศาลยุติธรรม

Peter Leyland เกรงว่าการนำศาลรัฐธรรมนูญและศาลอื่นๆ เข้าสู่การโต้เถียงทางการเมือง จะนำมาซึ่งความเสี่ยง ทำให้ศาลถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง “ศาลไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองไม่สามารถถูกคาดหมายให้คลี่คลายคำถามสำคัญทางการเมือง”

ศาสตราจารย์ Peter Leyland กล่าวปิดท้ายว่า ในระบบกฎหมายอังกฤษมีหลักที่เรียกว่า Wednesbury rule กล่าวคือ ศาลอังกฤษจะไม่เข้าไปใช้ดุลพินิจแทนการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ขัดเหตุผลอย่างชัดเจนซึ่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการรัฐบาลไม่อาจจะเป็นกรณีที่จะให้ศาลพิจารณาได้ และหากมีกรณีเช่นนี้เกิดในประเทศอังกฤษ ศาลก็คงไม่รับพิจารณา และน่าคิดว่า ศาลไทยควรจะมองว่าโครงการรับจำนำข้าวนั้นถือเป็นกรณีที่ไม่อาจชี้ขาดโดยศาล (non-justiciable) หรือไม่

 

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์: 3 ข้อกังวลเรื่องหลักนิติธรรมในคดีจำนำข้าว

ในช่วงต่อมาเป็นช่วงบรรยายของ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาคดีที่ดำเนินการต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งมี 2 ส่วน หนึ่ง ส่วนที่เป็นคดีอาญาซึ่งอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับ ส่วนที่จะบรรยายในครั้งนี้ คือ กระบวนการในทางปกครองโดยออกคำสั่งเรียกค่าเสียหายจากนโยบายจำนำข้าว เป็นจำนวนเงิน 35,000 ล้านบาท

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ สรุปข้อกังวล 3 เรื่องเกี่ยวกับหลักนิติธรรม ได้แก่ 1) การปรับใช้กฎหมายในเชิงขอบเขต (Scope of Application) รัฐสามารถที่จะเรียกค่าปรับจากนายกรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการทางนโยบายได้หรือไม่ ? 2) การปรับใช้กฎหมายในเชิงเนื้อหา (Substantive Application) สิ่งนี้เป็นการกระทำละเมิด (tortious act) หรือไม่? เป็นการกระทำโดยจงใจ (on purpose) หรือโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (gross negligence) หรือไม่? 3) ข้อพิจารณาทั่วไปเรื่องหลักนิติธรรม (Broader Rule of Law Issues) ได้แก่ ประเด็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย (Due process) ภาระรับผิดชอบ (accountability) และเส้นที่ไม่ชัดเจนของขอบเขตกฎหมายกับการเมือง (Domain of law and politics)

 

ประเด็นแรก การปรับใช้กฎหมายในเชิงขอบเขต (Scope of Application)

คำถามก็คือรัฐสามารถเรียกปรับค่าเสียหายจากนายกรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินนโยบายได้หรือไม่? หากถามนักกฎหมายที่ทำงานกับรัฐบาลทหารเขาก็จะตอบว่า "ทำได้" โดยอ้าง “ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (พ.ศ. 2539)” ซึ่งมาตรา 8 ระบุว่า “ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง”

แต่เราไม่สามารถดูเฉพาะมาตรา 8 เรายังต้องพิจารณามาตรา 12 ของกฎหมายฉบับนี้ด้วย ที่ระบุว่า “ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 10 ประกอบกับมาตรา 8 ให้หน่วยงานของรัฐที่เสียหายมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นชำระเงินดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด” โดยถ้อยคำทางกฎหมายที่ใช้ ยังมีคำว่า “ออกคำสั่ง” ซึ่งหมายถึงคำสั่งทางปกครอง (administrative order) ด้วย

ปัญหาก็คือยังมีกฎหมายอื่นอีก ได้แก่ “พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (พ.ศ. 2539)” โดยในกฎหมายนี้มาตรา 4 ระบุว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี (2) องค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ (3) การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง (4) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล และการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดี และการวางทรัพย์ … ฯลฯ

แปลว่าเมื่อคุณจะออกคำสั่งทางปกครอง ไม่ว่าจะเป็นสั่งการให้ซ่อมถนน สั่งการให้สร้างเขื่อน หรือมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจ่ายเงินชดเชย การออกคำสั่งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และไม่สามารถออกคำสั่งมาใช้บังคับกับกรณีที่ยกเว้นไว้ได้

จึงมีคำถามใหญ่ว่าเมื่อกระทรวงการคลังออกคำสั่งให้อดีตนายกรัฐมนตรีชดใช้ค่าเสียหายตาม “พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่” จะขัดต่อหลักการของ “พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง” หรือไม่ เพราะบางคนอาจจะให้เหตุผลว่า ทำแบบนี้ขัด พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

แต่เมื่อพิจารณาท่าทีของรัฐบาล คสช. ในปัจจุบัน เขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่า พวกเขาออกคำสั่งทางปกครองดำเนินการต่ออดีตนายกรัฐมนตรีในเรื่องการออกนโยบาย โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2558 วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เคยแสดงความเห็นว่า “มีคนอ้างว่ามาตรานี้ทำให้ออกคำสั่งทางปกครองกับนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ซึ่งเป็นจริงว่าเรื่องนโยบายใครจะไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ไม่ว่านโยบายนั้นจะดีหรือแย่อย่างไร ข้าราชการจะไปโต้แย้งไม่ได้ ฟ้องศาลไปก็ไม่รับ แต่หากเป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติแล้วมีการกระทำที่มิชอบ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เลือกปฏิบัติ หรือทุจริตคอร์รัปชั่น สามารถฟ้องร้องต่อศาลหรือออกคำสั่งทางปกครองได้ ที่ผ่านมานโยบายจำนำข้าวก็ไม่มีหน่วยงานใดที่ไปบอกว่านโยบายผิด แต่ผิดที่การดำเนินการซึ่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ไม่ได้ยกเว้น”

ซึ่งสิ่งนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นมือกฎหมายของ คสช. ก็ยอมรับว่าเรื่องนโยบายฟ้องไม่ได้ แต่อธิบายว่าไม่ได้ฟ้องยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีในเรื่องการกำหนดนโยบาย แต่เป็นเพราะยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบต่อการนำนโยบายจำนำข้าวไปปฏิบัติ แสดงว่าเรื่องนี้เราจะพิจารณาบทบาทของยิ่งลักษณ์ ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งกำหนดนโยบาย หรือยิ่งลักษณ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีบทบาทโดยตรงในการนำนโยบายไปปฏิบัติ

ส่วนที่เป็นประเด็นยากของเรื่องนี้คือ ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ในอีกตำแหน่งหนึ่งก็คือเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กนข.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่เธอตั้งขึ้นในฐานะนายกรัฐมนตรี และเธอเป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้ และเนื่องจากตำแหน่งใน กนข. ทำให้รัฐบาล คสช. ฟ้องเธอว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องรับผิดชอบ และเธอไม่ได้เป็นแค่นายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ข้อสังเกตของผมคือ ในทางหนึ่ง คงไม่ถูกต้องนักที่จะพิจารณาแยกเรื่องนโยบายกับเรื่องปฏิบัติโดยอาศัยแค่ชื่อของตำแหน่ง ลองนึกถึง ประธาน กนข. ซึ่งเป็นผู้กำกับนโยบายด้านการเกษตร ตัวประธาน (นางสาวยิ่งลักษณ์) จะต้องเป็นคนที่ไปเจอชาวนาด้วยตัวเองใช่ไหม ต้องไปชั่งน้ำหนักข้าวเองใช่ไหม และต้องทำให้แน่ใจว่าในแต่ละโกดังจะไม่มีการทุจริตใช่ไหม หรือแท้จริงแล้ว ประธาน กนข. ซึ่งมีขอบเขตการทำงานเชิงนโยบายเช่นเดียวกันนายกรัฐมนตรี คือ กำหนดนโยบาย แต่เพราะนายกรัฐมนตรีต้องกำกับดูแลนโยบายหลายเรื่องหลายหน่วยงาน จึงใช้วิธีตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ตนเองเป็นประธ่นมากำกับดูแลเรื่องต่าง ๆ นี่ก็เป็นคำถามหนึ่งที่ศาลปกครองจะต้องตอบ ซึ่งเราเองก็ยังไม่ทราบว่าศาลจะมีคำตอบกับเรื่องนี้อย่างไร

 

ประเด็นที่สอง การปรับใช้กฎหมายในเชิงเนื้อหา (Substantive Application)

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ กล่าวต่อไปว่า สมมติศาลเห็นในประเด็นแรกว่าขอบเขตการใช้กฎหมายแบบนี้ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และการออกคำสั่งสามารถนำมาใช้กับเรื่องจำนำข้าวได้ ก็ยังต้องพิจารณาต้อไปในเชิงเนื้อหาสาระว่าการกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์นี้เป็นการกระทำละเมิด (tortious act) หรือไม่ และมีเนื้อหากระทำอย่างไรที่นำไปสู่ค่าเสียหายเป็นเงิน 35,000 ล้านบาท

คำถามหลักคือ อะไรคือการ “กระทำละเมิด” เมื่อพิจารณาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 101/2548 วางหลักพิจารณณาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

ดังนั้น องค์ประกอบของการละเมิดจะต้องมี 1. การกระทำ 2. ความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ 3. โดยผิดกฎหมาย 4. ก่อให้เกิดความเสียหาย และ 5. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและการใช้ค่าสินไหมทดแทน

เมื่อพิจารณากับกรณีของยิ่งลักษณ์ องค์ประกอบข้อแรกคงไม่สงสัยว่ามีการกระทำ องค์ประกอบที่สองเรื่องจงใจหรือประมาทเลินเล่อจะกล่าวถึงภายหลังเพราะกฎหมายเรื่องนี้กำหนดให้ต้องร้ายแรงพิเศษ

ส่วนองค์ประกอบข้อที่สาม ที่ว่ากระทำผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ประเด็นนี้ก็ยังคงมีคำถาม โดยกรณีของยิ่งลักษณ์ ได้ดำเนินตามนโยบายที่แถลงไว้กับรัฐสภา เป็นช่องทางของนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่ทำให้เธอเข้าสู่อำนาจ และไม่มีกฎหมายที่ห้ามไม่ให้รัฐบาลทำนโยบายอุดหนุนการเกษตรเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งถ้าไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ใช่ละเมิด แต่ก็มีคนบอกว่า ไม่ว่ายิ่งลักษณ์จะทำผิดกฎหมายหรือไม่ แต่เธอใช้เงินจากงบประมาณภาษีจ่ายให้กับชาวนา และทำให้เกิดความสูญเสียในเชิงงบประมาณในภาคการคลัง ซึ่งเรื่องนี้ขอเป็นคำถามปลายเปิดก็แล้วกัน

แต่คำถามที่ใหญ่มาก ก็คือ องค์ประกอบข้อที่สี่ เรื่องก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งเราจะคำนวณปริมาณความเสียหายอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องติดตามว่าผลในชั้นศาลจะปรากฏอย่างไร โดยมีการอ้างว่าเกิดความเสียหาย 35,000 ล้านบาทจากการดำเนินโครงการทั้งหมด มีการนำเสนอภาพอย่างง่ายๆ ว่ารัฐบาลนำข้าวมาจากชาวนา แล้วรัฐบาลก็ไม่สามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่คาดหมายเอาไว้ เพราะรับซื้อจากชาวนาในราคาที่สูง ทำให้รัฐบาลสูญเสียงบประมาณมหาศาล แล้วนำตัวเลขปิดบัญชีที่ว่าไปเรียกค่าเสียหาย 35,000 ล้านบาทจากยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อเราพูดถึงนโยบายการให้เงินอุดหนุนทางการเกษตร ย่อมไม่ใช่นโยบายด้านการค้า นโยบายจำนำข้าวไม่ได้มุ่งส่งออกข้าวเพื่อสร้างกำไร แต่เป็นโครงการให้เงินอุดหนุน มุ่งช่วยคนยากจนหรือชาวนาในพื้นที่ชนบท เหมือนการสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน หรือโครงสร้างคมนาคม ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมากและไม่ได้ทำให้รัฐบาลได้กำไร ดังนั้นในเรื่องของการก่อให้เกิดความเสียหายในแง่ไหนก็เป็นคำถามหนึ่ง เช่นกัน การจะสรุปว่าเงินส่วนนี้กลายมาเป็นค่าเสียหายทางละเมิดคงเป็นคำถามใหญ่ที่รอคำตอบอีกเรื่องหนึ่ง

ในส่วนขององค์ประกอบข้อที่ห้า การจะเรียกค่าเสียหายทางละเมิดต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและการใช้ค่าสินไหมทดแทน ยกตัวอย่างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด เช่นคุณเรียกค่าสินไหมชดเชย เพราะมีคนขับรถโดยประมาทเลินเล่อทำให้ชนคุณบนถนน คุณก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าคนขับได้ขับรถคันนั้นและชนคุณ แต่ถ้าคุณเพียงแต่อ้างว่า คนขับได้ขับรถคันนั้น แล้วชนรถอีกคันหนึ่ง และรถอีกคันที่ว่าทำให้รถอีกคันชนคุณ คุณก็ต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำที่ทำให้เกิดรถชนคุณ

ในกรณีของนโยบายจำนำข้าวเราจะพิสูจน์มีความสัมพันธ์กับการทำให้เกิดความสูญเสีย 35,000 ล้านบาทได้หรือไม่ ว่าความสูญเสียนั้นจะเกิดจากการกระทำของเธอโดยตรงเอง หรือเป็นเพราะปัจจัยจากภาวะตลาดโลก ผมก็คิดว่านี่เป็นประเด็นใหญ่ที่เปิดกว้างให้มีการถกเถียง

กลับมาประเด็นเรื่ององค์ประกอบข้อที่สอง กรณีที่เรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ กฎหมายได้กำหนดเพิ่มไปอีกว่าต้องมีการกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ในคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 10/2552 หมายถึง “การกระทำโดยมิได้เจตนาแต่เป็นการกระทำซึ่งบุคคลพึงคาดหมายได้ว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น และหากใช้ความระมัดระวังแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจป้องกันมิให้เกิดความเสียหายได้ แต่กลับมิได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นเลย”

โดยหากศึกษาแนวคำพิพากษาศาลปกครอง กรณีประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เช่น 1. เจ้าหน้าที่รัฐจอดพาหนะที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย และทำพาหนะหาย 2. เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งไม่ตรวจนับสมุดเช็คและไม่ได้นับจำนวนเงินภาษีที่เก็บมา เมื่อนำส่งธนาคารแล้วไม่ครบจำนวน ก็ไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 3. เจ้าหน้าที่รัฐจัดซื้อที่ดินโดยไม่ตรวจสอบว่าเป็นที่ดินตาบอดไม่ติดถนน 4. หรือเจ้าหน้าที่รัฐรับรองคุณภาพสินค้า โดยไม่ได้ตรวจสอบที่ตัวสินค้าจริง เป็นต้น

ถ้าเรานำตัวอย่างเช่นนี้มาพิจารณากับกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ว่าได้ลงมือกระทำการที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยตนเองหรือไม่ เช่น มีการสั่งการหรือปล่อยให้รัฐบาลเก็บข้าวในสถานที่ซึ่งไม่ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ข้าวถูกขโมย หรือจะทำให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ หรือถ้ายิ่งลักษณ์สั่งการว่าเก็บข้าวไว้ที่ไหนก็ได้ เอาไปไว้กลางแจ้งที่ฝนอาจตกใส่ หรือเก็บในสถานที่ซึ่งทำให้ข้าวชื้น หรือว่า ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์สั่งการให้ไม่ต้องตรวจสอบนับจำนวนข้าวที่เก็บรักษา กล่าวคือ ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์กระทำการมิได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นแม้แต่น้อยเลยนี่ก็จะเข้าข่ายการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

แต่จากข้อมูลที่นำเสนอโดยสื่อมวชชน คดีซึ่งฟ้องโดยรัฐบาล คสช. จะเป็นประเด็นเรื่องที่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ใช้งบประมาณจำนวนมากในโครงการจำนำข้าว และการใช้วิธีอุดหนุนราคาข้าวโดยไม่คำนึงว่ารัฐอาจจะสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก และนั่นก็ถูกมองเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในสายตาของรัฐบาลปัจจุบัน แต่มองอีกแง่ นั่นคือการตัดสินใจในทางนโยบายที่ตั้งใจนำงบประมาณไปอุดหนุนชาวนาในกรอบงบประมาณตามกฎหมาย ดังนั้น ประเด็นที่ต้องพิจารณาเมื่อคดีไปถึงศาลปกครองก็คือ เรื่องใดที่ถือเป็นการกระทำที่ “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง”

หากเนื้อหาการกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ครบองค์ประกอบทั้ง 5 ข้อ ก็ย่อมไม่ถือเป็นการกระทำละเมิด และย่อมไม่มีเหตุที่จะทำให้เรียกค่าเสียหายได้

 

ประเด็นที่สาม ประเด็นพิจารณาทั่วไปเกี่ยวกับหลักนิติธรรม (Broader Rule of Law Issues)

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ บรรยายต่อไปว่า เมื่อพิจารณาเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย (Due process) และภาระรับผิดชอบ (accountability) คดีจำนำข้าวนี้ริเริ่มดำเนินการโดยรัฐบาล คสช. ที่ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และแทนที่จะใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วดำเนินการ รัฐบาล คสช. เลือกใช้มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งมาตรานี้เป็นเหมือนการเซ็นเช็คเปล่าให้กับหัวหน้า คสช. เพื่อที่จะใช้อำนาจทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ และให้ถือเป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด

สิ่งที่มาตรา 44 ส่งผลเกี่ยวข้องกับคดีจำนำข้าว มีอย่างน้อย 2 ระดับ ประการแรก ในขั้นตอนการปฏิบัติที่นำไปสู่การออกคำสั่งให้เรียกค่าเสียหาย 35,000 ล้านบาท ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบขั้นตอนปกติ แต่ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เรื่องนี้จึงถูกตั้งคำถามในเรื่องการดำเนินกระบวนการทางกฎหมาย และในระดับต่อมา ยังมีการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. (ที่ 39/2558) เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาดำเนินการสอบสวนกรณีจำนำข้าวเพิ่มเติมอีกชั้น ซึ่งเท่ากับว่านางสาวยิ่งลักษณ์ถูกดำเนินการโดยฝ่ายการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนอย่างชัดแจ้ง อีกทั้งดำเนินการโดยแตกต่างไปจากกระบวนการปกติที่ผู้ใช้อำนาจเองมีภาวะความคุ้มกันจากความรับผิดพิเศษขึ้นไปอีก

วีรพัฒน์ กล่าวปิดท้ายถึงคำถามต่อเรื่องขอบเขตระหว่างกฎหมายและการเมือง (domain of law and politics) เมื่อเราพิจารณาว่า ถ้าอดีตหัวหน้ารัฐบาลดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจหรือสังคม ใช้งบประมาณอัดฉีดลงไปเพื่อช่วยชาวนา แล้วจะถูกเรียกชดใช้ค่าเสียหายจากรัฐบาลชุดต่อมา คำถามก็คือ ถ้าในประเทศอื่นมีการปฏิบัติตามวิธีที่รัฐบาล คสช. ใช้ก็จะเกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้น

เช่น หาก เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรพาประเทศออกจากสหภาพยุโรปจริงๆ หลังผ่านประชามติ แล้วมีผู้อ้างว่าก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ จะสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเทเรซา เมย์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้หรือไม่ ถ้าประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ฟรังซัว อัลลอง ภายหลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายโจมตีกรุงปารีส แล้วรัฐบาลได้ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน ออกมาตรการเข้มงวด จนนักท่องเที่ยวเข้าเมืองน้อยลง แล้วนักธุรกิจฟ้องให้รับผิดชอบเพราะทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ หรือบารัก โอบามา ใช้นโยบายต้านโลกร้อนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ หรือทำให้การจ้างงานลดลง แล้วว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะฟ้องได้หรือไม่ หรือหากมีผู้อ้างว่ารัฐบาล คสช. ของไทยยึดอำนาจ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวหวาดกลัว หรือมีข้อห้ามไม่ให้สถานีโทรทัศน์ออกอากาศรายการปกติในช่วงที่ทำการยึดอำนาจ แล้วทำให้สถานีโทรทัศน์ขาดทุน จะมีใครสักคนสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล คสช. ได้หรือไม่

วีรพัฒน์ ย้ำด้วยว่า นักการเมืองและผู้ใช้อำนาจทุกราย ย่อมสมควรถูกตรวจสอบว่าได้กระทำการโดยทุจริตหรือใช้อำนาจโดยมิชอบหรือไม่ เพียงแต่ควรดำเนินการไปถูกต้องตามหลักกฎหมาย โดยเสมอภาคกับทุกคนตามกระบวนการที่เป็นปกติ เราจึงจำต้องเฝ้าดูว่าศาลปกครองจะดำเนินการต่อคดีจำนำข้าวนี้อย่างไร ที่ผ่านมามีคำตัดสินของศาลปกครองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องประโยชน์สาธารณะเช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ แต่ถ้าศาลปกครองถูกดึงมาพิจารณาคดีที่โต้แย้งการดำเนินนโยบายของรัฐ ในที่นี้คือคดีจำนำข้าว ก็มีความน่ากังวลต่อเรื่องขอบเขตของกฎหมายและการเมือง และจะเป็นความท้าทายใหญ่หลวงต่อหลักนิติธรรมในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็เผชิญความท้าทายนานัปการอยู่แล้ว

000

การเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสวนาทางวิชาการชุด “โครงการนิติธรรมในประเทศไทย” (Rule of Law in Thailand Project) ของศูนย์กฎหมายเอเชียตะวันออก (Centre of East Asian Law) หรือ CEAL ภายใต้วิทยาลัยบูรพศึกษาและการศึกษาแอฟริกา หรือ SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน ในวาระครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้ง SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน

สำหรับ “โครงการนิติธรรมในประเทศไทย” (Rule of Law in Thailand Project) มุ่งดำเนินการทางวิชาการเพื่อศึกษาความหมายของหลักนิติธรรมและประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เช่น ความเปลี่ยนแปลงในทางรัฐธรรมนูญ ระบบกระบวนการยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และประเด็นอื่นที่มีผลกระทบต่อสังคมไทย เป้าหมายของโครงการคือการผลักดันการศึกษาวิจัยกฎหมายเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งรวมไปถึงการสนับสนุนการทำงานของนักวิจัยในช่วงต้นของสายงานวิชาการและนักศึกษาปริญญาเอกที่ศึกษาวิจัยหัวข้อเกี่ยวกับหลักนิติธรรมและประเทศไทย โดยสามารถติดตามรายละเอียดและกิจกรรมของโครงการได้ที่ http://www.soas.ac.uk/ceal/rolt/ หรือ https://www.facebook.com/soasrolt

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้นำซีเรียเผยพร้อม 'เจรจาทุกอย่าง' กับฝ่ายกบฏโดยมีตุรกี-รัสเซียเป็นตัวกลาง

$
0
0

จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้นำอำนาจนิยมในซีเรียผู้ปกครองซีเรียมา 16 ปี จะยอมลงจากอำนาจและจัดให้ซีเรียมีการเลือกตั้งหลังจากที่เกิดสงครามกลางเมืองมานานเกือบ 6 ปี เมื่อผู้นำ บาชาร์ อัล อัสซาด เผยว่าพร้อม "เจรจาต่อรองทุกสิ่งทุกอย่าง" กับฝ่ายกบฏภายในเดือน ม.ค. นี้

10 ธ.ค. 2560 ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาดของซีเรียประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 9 ม.ค. 2560 ว่าเขาพร้อมที่จะ "เจรจาต่อรองทุกสิ่งทุกอย่าง" กับฝ่ายกบฏในการเจรจาที่จะจัดขึ้นที่คาซัคสถานในเดือนนี้ตามที่วางแผนไว้ โดยที่สื่อเอบีซีระบุว่าเป็นการที่อัสซาดพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลังจากที่กองกำลังของเขายึดคืนเมืองอเลปโปได้เมื่อเดือน ธ.ค. 2559

การเจรจาหารือที่จะมีขึ้นในเดือนนี้มีตุรกีและรัสเซียเป็นคนกลาง อย่างไรก็ตามฝ่ายกบฏในซีเรียยังไม่มีการยืนยันว่าจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่ โดยที่เหตุความขัดแย้งในซีเรียมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่มีที่มาและอุดมการณ์ต่างกันแต่ล้วนต้องการโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดที่เคยใช้กำลังสังหารประชาชนในช่วงที่มีการประท้วงอาหรับสปริง อย่างไรก็ตามกลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มก็ฉวยโอกาสหรือปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อพลเรือนในซีเรียเช่นกันอย่างกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

นักกิจกรรมซีเรียรายงานว่ามีกลุ่มกองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ บุกเข้ากวาดล้างกลุ่มไอซิสในเมืองดิแอร์เอซซอร์ทางตะวันออกของซีเรีย โดยมีการโจมตีบุคคลสำคัญของกลุ่มไอซิส มีกลุ่มติดอาวุธถูกสังหารรวม 25 รายในปฏิบัติการนี้

อัสซาดยังกล่าวปกป้องการตัดสินใจทิ้งระเบิดในทางตะวันออกของอเลปโปว่าไม่เช่นนั้นก็ต้องปล่อยประชาชนในเมืองไว้กับ "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งเป็นคำที่รัฐบาลซีเรียใช้เรียกกลุ่มกบฏทุกกลุ่ม อีกทั้งอัสซาดยังกล่าวหาว่ากลุ่มกบฏที่ต่อต้านเขามีชาติตะวันตกและซาอุดิอาระเบียหนุนหลัง และบอกว่ามันเป็น "ราคาที่ต้องจ่าย" ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ประชาชน "ได้รับการปลดปล่อยจากผู้ก่อการร้ายในที่สุด"

อย่างไรก็ตามสหประชาชาติกล่าวว่าการทิ้งระเบิดในอเลปโปที่มีการหนุนหลังโดยรัสเซีย ซึ่งทำลายอาคารหรือโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนอย่างโรงพยาบาลหรือร้านขนมปังอาจจะถูกจัดว่าเป็นอาชญากรรมสงครามด้วย

เอบีซีระบุว่าการเจรจาในครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามว่าอัสซาดจะยังคงเป็นประธานาธิบดีซีเรียต่อไปในอนาคตหรือไม่ จากการที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยืนยันว่าก่อนที่จะมีการปฏิรูปได้จะต้องให้อัสซาดลงจากตำแหน่งก่อนเป็นเงื่อนไขแรก อัสซาดยังกล่าวถึงข้อความของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่าจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซียว่าเป็นการ "สะท้อนผลบวกต่อความขัดแย้งในซีเรีย"

ก่อนหน้านี้เคยมีการพยายามจัดการเจรจาโดยมีสหประชาชาติเป็นตัวกลางแต่ก็ไม่สามารถนำสันติภาพกลับคืนมาได้ โดยที่อัสซาดบอกว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายกบฏละเมิดสนธิสัญญาสงบศึกชั่วคราวเสมอมา เหตุสงครามกลางเมืองที่ซับซ้อนในซีเรียตลอดเกือบ 6 ปีมานี้ทำให้เกิดผู้พลัดถิ่นจำนวนมากและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400,000 ราย แล้ว

 

เรียบเรียงจาก

Syrian government 'ready to negotiate on everything,' Assad says, The Indepedent, 09-01-2017
http://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/syria-government-ready-to-negotiate-everything-bashar-al-assad-step-down-rebels-ceasefire-a7516726.html

Syria's Assad Ready to 'Negotiate Everything' With Rebels, ABC, 09-01-2017
http://abcnews.go.com/International/wireStory/syrian-president-assad-aleppo-bombardment-justified-44645895

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อนอกตีแผ่เนื้อหา 4 เพลงของ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' สะท้อนอะไรให้เห็น

$
0
0

สื่อ PRI รายงานถึงเพลง 'สะพาน' เพลงล่าสุดที่แต่งโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทั้งตีแผ่เนื้อหาเพลง 4 เพลง ที่ผู้นำรัฐบาลจากการรัฐประหารแต่งขึ้นว่ามีธีมเนื้อหาซ้ำๆ บางอย่างที่อาจจะสื่อให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการสร้างภาพลักษณ์ตัวเองออกมาเป็นแบบใด และทำไมถึงเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ

10 ม.ค. 2560 สื่อวิทยุสาธารณะสากลหรือ PRI รายงานเกี่ยวกับเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนแต่ก็ "ไม่สามารถหักห้ามความอ่อนไหวในจิตใจได้" จนแต่งเพลงป๊อปออกมาแล้ว 4 เพลง (คืนความสุขให้ประเทศไทย, เพราะเธอคือประเทศไทย, ความหวังความศรัทธา และสะพาน) โดยที่ PRI ระบุว่าเพลงเหล่านี้เป็นเสมือนยาชาตินิยมรสหวาน แนวเพลงแบบ "adult contemporary" นุ่มๆ เบาๆ ที่มีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อ

PRI ระบุถึงเพลงล่าสุดที่แต่งโดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ชื่อ "สะพาน"ที่มีเนื้อหาแบบเดียวกับเพลงบัลลาดชื่อ "คืนความสุขให้ประเทศไทย" ที่ออกมาในเดือน มิ.ย. 2557 ไม่นานหลังการรัฐประหารที่เป็นการโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งและมีการคุมขังศัตรูทางการเมืองของเขา ในแต่ละเพลงมักจะมีการพูดถึงดินแดนที่งดงามที่กำลังถูกห้อมล้อมด้วย "ภยันตราย" ที่ต้องมีการกอบกู้ มีการเสนอภาพคนในเครื่องแบบมีภารกิจที่ต้องทำให้ไทยกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (making Thailand great again)

PRI ระบุว่า กองทัพไทยมีลักษณะคล้ายอียิปต์ในแง่ที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและความเป็นบรรษัทแม้กระทั่งในช่วงที่ประชาธิปไตยเบ่งบานกองทัพไทยก็คอยซุ่มอยู่เบื้องหลัง สื่อ PRI ยังตีแผ่เพลงของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่าแต่ละเพลงมีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพว่ากองทัพไทยที่มีปมเรื่องผู้กอบกู้ต้องคอยมาดับไฟที่กำลังลุกจากผู้นำจากการเลือกตั้งที่ "ไม่มีศีลธรรม" ก่อนจะสายเกินไป เพลงเหล่านี้ยังมีลักษณะทำให้ภาพอดีตของไทยดูโรแมนติกชวนโหยหาอดีตที่ดูเหมือนจะดีงาม

สื่อ PRI ยังวิเคราะห์ท่าทางการพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่ามีลักษณะเหมือนกำลังพยายามออกคำสั่งกองทัพที่ไม่มีระเบียบด้วยท่าทางหยาบกระด้าง อีกทั้งมีท่าทางเหมือนคุณพ่อที่เข้มงวดกวดขัน คอยสั่งสอนคนไทยไปทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องการทิ้งขยะไม่เป็นที่หรือเรื่องให้เด็กทำงานบ้าน นอกจากนี้ยังมีการสอนปฏิบัติการแบบทหาร เพื่อปลูกฝังคุณค่าความเป็นไทยที่เรียกว่า "ค่านิยม 12 ประการ" ให้กับเด็กตั้งแต่วัยประถม โดยบอกว่าต้องรู้จักละอายต่อบาปหรือไม่ยอมเข้าสู่ด้านมืด

PRI วิเคราะห์เนื้อเพลงของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปว่ามีลักษณะทำให้ประเทศไทยเหมือนอยู่กับคนรักไม่ดีที่ต้องมีการคืนศรัทธา และเสนออนาคตแบบเพ้อฝันว่ากองทัพไทยจะเข้ามาชำระล้างประเทศให้ปราศจากความแตกแยกทางการเมือง แต่ PRI ก็เสนอว่าแนวคิดดังกล่าวดูเพ้อฝันเกินจริง ความขัดแย้งทางการเมืองไทยระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นกรรมาชีพจะแก้ไขได้ในเชิงปฏิบัติด้วยการจัดการเลือกตั้งเท่านั้นซึ่งจะทำให้เกิดความพอใจกับทุกฝ่ายรวมถึงฝ่ายทหารเองด้วย แต่ทว่ากองทัพก็ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยอำนาจไปง่ายๆ จากการที่เสนอระบบใหม่อันเป็นการริบอำนาจจากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

ข่าวจาก PRI ยังระบุถึงเรื่องที่หลังจากการรัฐประหารกองทัพไทยมีความอ่อนไหวต่อการถูกต่อต้านมาก คนที่ประท้วงกองทัพก็ถูกจับตัวไป "ปรับทัศนคติ" เรื่องที่ว่าจะจัดการเลือกตั้งในไทยเมื่อไหร่นั้นก็ยังคงเป็นปริศนา จากที่มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ ทุกปีๆ หรือเป็นไปได้ว่าจะมีคำใบ้อยู่ในเพลงของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มักจะบอกให้ประชาชน "อดทน" กับกองทัพหน่อย และในเพลงล่าสุดที่มีขึ้นหลังผ่านช่วงเวลารัฐประหารมาแล้ว 2 ปีครึ่ง ก็ยังคงเป็นเพลงบัลลาดที่มีเนื้อหาอ้อนวอนขอเวลาต่อไปอีก

 

เรียบเรียงจาก

Thailand’s military ruler keeps writing syrupy pop ballads, PRI, 05-01-2017
http://www.pri.org/stories/2017-01-05/thailand-s-military-ruler-keeps-writing-syrupy-pop-ballads

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิถีเกษตรชุมชนโคกยาว ยึดแนวเกษตรอินทรีย์ ปลูกถั่วแดงตามร่องยูคาสร้างรายได้เสริม

$
0
0

การปลูกถั่วแดงถือเป็นอาชีพเสริม แต่อาชีพหลักจะยึดแนวคิดการผลิตในรูปแบบเกษตรอินทรีย์  เพื่อผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัยจากสารพิษ นอกจากความมั่นคงทางอาหาร ยังทำให้เกษตรกรมีความเป็นอิสระในการดำรงชีวิต ขณะที่สมาชิก คปอ.แต่ละพื้นที่เตรียมนำผลิตที่รวบรวมได้ เช่น พืชผัก ข้าว ปันน้ำใจช่วยพี่น้องทางภาคใต้ที่ถูกน้ำท่วม

สุภาพ คำแหล้ ชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เล่าให้ฟังว่า การปลูกถั่วแดงในช่วงที่ผ่านมาทำไม่ได้เต็มที่มากนัก หลังจากสามี คือ เด่น คำแหล้ (ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว) ได้หายตัวไปนับแต่วันที่ 16 เม.ย.2559 หลังจากเข้าไปหาหน่อไม้ในบริเวณสวนป่าโคกยาว พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามรอยต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการตามหา และต้องเดินทางไปยื่นหนังสือต่อองค์กรสิทธิมนุษยชน และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติตามและสืบสวนสอบสวนในการหายตัวไป อีกทั้งก็ต้องเดินทางไปรักษาอากาโรคมดลูกอักเสบหลายครั้ง

สุภาพ เล่าอีกว่า ในพื้นที่โคกยาวแห่งนี้ยายภาพเข้ามาอยู่ นับแต่ปี 2512 ก่อนที่จะมีการประกาศป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ตอนช่วงเด็กๆ ได้ช่วยพ่อกับแม่ทำการเกษตร และปลูกข้าวโพด ปลูกถั่วแดง แต่หลังจากแต่งงานในปี 2525 ส่วนสามีก่อนหน้านี้จะหารับจ้างแบกข้าวโพดและช่วยทำการเกษตร  พอได้ที่ดินทำกินสืบทอดมาจากพ่อกับแม่ ก็ได้ช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงชีพไปวันๆ โดยไม่เคยได้หนีหายไปไหน และทุกครั้งก่อนจะพากันออกไปขายของที่ตลาด ถ้ามีเวลาก็จะมาช่วยกันทำ ทั้งเตรียมดิน ลงปลูกและตีถั่วแดง และตอนนี้เป็นช่วงตีถั่วแดง ก็ต้องมาทำคนเดียว ลูกหลานก็ไม่มี แต่ก็ต้องทำเพื่อเป็นการหารายได้เสริม นอกเหลือจากงานหลักคือการทำพืชผักสวนครัวที่ชุมชนยึดในแนวรูปแบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ 

ส่วน บุญมี  วิยาโรจน์ รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาว บอกว่า การปลูกข้าวโพดและถั่วแดง เป็นวิถีชีวิตเกษตรกรในการหาเลี้ยงชีพที่สืบต่อกันมายาวนานของชีวิตคนอยู่กับป่า อยู่ตามโคกตามดอน ช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี จะเริ่มปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ขณะที่ข้าวโพดเริ่มออกดอกประมาณปลายเดือนพฤษภาคม จะทำการลงปลูกถั่วแดงไปตามร่องระหว่างต้นข้าวโพดไปด้วย เพราะช่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนสิงหาคม ข้าวโพดจะเริ่มเป็นฝักเต็มที่ ก็จะทำการหักข้าวโพด จากนั้นเริ่มช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม จะทำการตีถั่วแดง เพื่อนำไปขายให้กับพ่อค้าที่รับซื้อในหมู่บ้านทุ่งลุยลาย

บุญมี บอกอีกว่า ทุกวันนี้เลิกปลูกข้าวโพดกันแล้วเพราะปัญหาความแห้งแล้ง ความสมบูรณ์ที่เคยมีทั้งบนพื้นดินและตามลำห้วยขาดแคลนน้ำ ผลมาจากสภาพหน้าดินเกิดความเสื่อมโทรม จึงหันมาทำการปลูกถั่วแดงอย่างเดียว เพราะเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้มากกว่า แต่ทุกวันนี้ต้องมาปลูกตามระหว่างร่องยูคาฯ ตามมติที่ประชุมการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ภายหลังจากที่กรมป่าไม้ได้มีโครงการปลูกป่าทดแทน และผลักดันชาวบ้านออกจากพื้นที่ทำกิน และเข้ามาดำเนินการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส จำนวนกว่า 1,500 ไร่ ทำให้สภาพดินเกิดความเสื่อม

รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาว เล่าให้ฟังอีกว่า แม้เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าจะจัดสรรพื้นที่รองรับให้ แต่ไม่สามารถเข้าทำกินที่บอกว่าจะจัดสรรให้ได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีเจ้าของเดิมอยู่แล้ว ทำให้ผู้เดือดร้อนตกอยู่ในสภาพไร้ที่ทำกิน จึงได้เรียกร้องที่ทำกินมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งช่วงปี 2550 ได้มีการตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบายพิจารณาแก้ไขปัญหา จนมีมติให้สามารถเข้าทำกินในระหว่างร่องยูคาฯได้ จนกว่าการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ

ตลอดการ ร่วมกันต่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกินจะมี เด่น คำแหล้ จะเป็นแกนนำชุมชนโคกยาว เพื่อเร่งให้ภาครัฐเร่งดำเนินงานโฉนดชุมชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 เพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชน ที่ชุมชนเป็นผู้ดำเนินการวางแผนการจัดการทั้งในเรื่องการจำแนกพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดิน การพัฒนาระบบการผลิตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงในที่อยู่อาศัย

“แม้ทุกวันนี้ เด่น จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็ยังค้นหากันอยู่ และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)ยังคงร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เพื่อให้ภาครัฐเร่งดำเนินการจัดทำโฉนดชุมชน เพื่อจัดเป็นที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยแบบแปลงรวม ซึ่งการปลูกถั่วแดงถือเป็นอาชีพเสริม แต่อาชีพหลักของสมาชิกชุมชนโคกยาว เพื่อลดปัจจัยจากภายนอก คือจะยึดแนวคิดการผลิตในรูปแบบเกษตรอินทรีย์  เพื่อความปลอดภัยจากสารพิษ และนอกจากความมั่นคงทางอาหาร ยังเป็นการรักษาฟื้นฟูธรรมชาติ และสร้างความสมดุลในระบบนิเวศ และทำให้เกษตรกรมีความเป็นอิสระในการดำรงชีวิตที่ดี และแม้พื้นที่โคกยาวจะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา แต่ทุกหลังคาเรือนจะมีโอ่งรองรับน้ำฝน เพื่อใช้ประโยชน์ในผลผลิตทางการเกษตร ที่สำคัญตอนนี้ทางสมาชิก คปอ.แต่ละพื้นที่กำลังปรึกษาเตรียมการนำผลิตที่รวบรวมได้ เช่น พืชผักผัก ข้าว เพื่อปันน้ำใจช่วยพี่น้องทางภาคใต้ที่ถูกน้ำท่วม” บุญมี กล่าวทิ้งท้าย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ปล่อยตัว 'ไผ่ ดาวดิน'

$
0
0


 

เหตุการณ์เกิดขึ้นจากการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใหม่ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา ในวันที่ 2 ธันวาคม สำนักข่าวบีบีซีไทย ก็เผยแพร่บทความเรื่อง ‘พระราชประวัติกษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย’ ซึ่งเป็นบทความที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเพียงไม่นานหลังการเผยแพร่บทความ มีประชาชนเข้ามากดไลก์ 27,000 ครั้ง มีการแชร์ 2,478 ครั้ง และมีคอมเมนต์ถึง 1,024 คอมเมนต์

แม้ว่าบทความนี้ถูกสื่อมวลชนฝ่ายขวาวิจารณ์ว่า มีเนื้อหาเชิงลบต่อสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ทางการตำรวจไทยก็มิได้มีการฟ้องร้องเอาผิดต่อสำนักข่าวบีบีซีไทย กลับกลายเป็นว่า ในวันที่ 3 ธันวาคม นั้นเอง ทางการตำรวจของแก่น ได้ขออนุมัติต่อศาลให้จับกุม "ไผ่ ดาวดิน" หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะไปแชร์บทความจากบีบีซีไทยดังกล่าว

กรณีการจับกุมดำเนินคดี “ไผ่ ดาวดิน” ตามข้อหามาตรา 112 ครั้งนี้ จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า เป็นการตั้งข้อหาตามอำเภอใจ เพราะเมื่อไม่มีการดำเนินคดีบีบีซีไทย ผู้เผยแพร่บทความ และไม่มีการดำเนินคดีผู้กดไลก์กดแชร์คนอื่นเลย  ดำเนินคดีเฉพาะ “ไผ่ ดาวดิน” คดีนี้จึงเท่ากับว่า เป็นการหาเรื่องเล่นงานเฉพาะบุคคล เพราะ”ไผ่ ดาวดิน” เป็นนักศึกษาคนสำคัญในขบวนการประชาธิปไตยใหม่อีสาน ที่แสดงท่าทีเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)มาโดยตลอด จนถูกดำเนินคดีมาแล้ว 5 คดี ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยทั้งสิ้น

แต่เหตุการณ์ดูผ่อนคลายลงในวันที่ 4 ธันวาคม เพราะศาลจังหวัดขอนแก่นให้ประกันตัว "ไผ่ ดาวดิน" ด้วยหลักทรัพย์ 400,000 บาท โดยยกเหตุผลว่า ผู้ต้องหาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธันวาคม ผู้ต้องหามีสอบหนึ่งวิชา หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร ศาลจึงพิจารณาให้ประกันตัว

แต่พอถึงวันที่ 22 ธันวาคม ศาลจังหวัดขอนแก่นกลับสั่งถอนประกัน "ไผ่ ดาวดิน" และนำตัวกลับเข้าคุก โดยอ้างเหตุว่า นายจตุภัทร์ไม่ลบโพสต์ข่าวบีบีซีไทยที่เป็นเหตุแห่งคดี และยังโพสต์เย้ยหยันอำนาจรัฐ ด้วยข้อความว่า "เศรษฐกิจมันแย่แม่งเอาแต่เงินประกัน" ซึ่งข้อความนี้ ถูกตีความว่า ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทนายความของ"ไผ่ ดาวดิน" ยื่นอุทธรณ์คำสั่งถอนประกันถึงศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยอธิบายว่า นายจตุภัทร์ไม่เคยผิดเงื่อนไขประกัน และไม่มีแนวโน้มจะก่อความเสียหาย ดังนั้น ข้อวินิจฉัยของศาลจังหวัดขอนแก่นคลาดเคลื่อน จึงขอให้มีคำสั่งยกเลิกการถอนประกัน แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ยกคำร้องอุทธรณ์และยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมไม่เกรงกลัวต่ออำนาจรัฐและกฎหมาย และหากมีการปล่อยตัว ผู้ต้องหาอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้

ปัญหาสำคัญคือ การถอนประกันของศาลจังหวัดขอนแก่น ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า เป็นการดำเนินการที่มีความคลาดเคลื่อน และเหตุผลที่ศาลใช้พิจารณาไม่ได้เป็นไปตามหลักกฎหมาย เพราะการให้ประกันตัวผู้ต้องหานั้น อยู่ภายใต้หลักการทางกฎหมายว่า "บุคคลผู้ถูกกล่าวหาต้องได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะได้พิจารณาตัดสิน" และตามวิธีพิจารณาคดีความอาญา สิทธิประกันตัวสามารถยกเว้นได้ตามเงื่อนไข เช่น ผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับกับพยานหลักฐาน จะไปก่อเหตุอันตราย หรือจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

แต่การเพิกถอนประกัน “ไผ่ ดาวดิน” ศาลได้อ้างเหตุผลที่ไม่มีในตัวบทกฎหมายเลย เช่น การอ้างว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการอ้างเหตุผลที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการประกันตัวแต่แรก และความจริงแล้ว เมื่อฝ่ายตำรวจอ้างการโพสเฟสบุ๊กนี้เป็นหลักฐาน การลบข้อความเสียอีกที่จะตีความได้ว่า ไปกระทำ”ยุ่งเหยิง”ต่อพยานหลักฐาน และการอ้างเหตุว่า ผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ก็เป็นการอ้างนอกเหนือไปจากกรอบกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายใดเลยที่บอกว่า การกระทำ”เย้ยหยันอำนาจรัฐ” เป็นความผิด

ดังนั้น เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม กลุ่มพลเมืองโต้กลับจึงรวมตัวจัดกิจกรรม "กินข้าวหลามเฉยๆ" บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ เพื่อแสดงออกโดยสันติว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลจังหวัดขอนแก่นพิจารณาเพิกถอนประกันไผ่ ดาวดิน  ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รวมตัวกินข้าวหลามและขายข้าวหลามที่บรรจุในกระบอกไม้ไผ่ เพื่อเป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ถึงนายจตุภัทร์ ก่อนที่จะสลายตัวกลับบ้าน

ต่อมา ก็ได้มีเคลื่อนไหวของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ที่ออกแถลงการณ์คัดค้านการคุมขัง “ไผ่ ดาวดิน” โดยเสนอว่า การดำเนินการของศาลจังหวัดขอนแก่น เป็นการบังคับใช้กฎหมายในทางที่จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปิดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่าง จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม และเสนอว่า องค์กรตุลาการควรเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญและได้รับการรับรองโดยกติการะหว่างประเทศที่ผูกพันประเทศไทย องค์กรตุลาการจึงไม่ควรทำตัวเสมือนเป็นผู้พิทักษ์อำนาจรัฐอันไม่ชอบธรรม และเมื่อพิจารณาว่า นายจตุรภัทร์ไม่ได้ทำความผิดใด ก็ควรที่จะปล่อยตัวชั่วคราวเป็นอย่างน้อย เพื่อให้สิทธิในการต่อสู้คดี

สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การกล่าววิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจ หรือวิพากษ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการเรียกเงินประกัน หรือหลักประกันใดในคดีอาญา ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายใด และทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ และยังไม่เข้าข่ายความผิดฐาน “หมิ่นประมาท” ใครด้วย ตรงกันข้ามการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐ ถือเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบประชาชน

สรุปความแล้ว การจับกุมและการตั้งข้อหาหนักแก่ “ไผ่ ดาวดิน” ก็เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐเผด็จการ ต้องการที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย ปัญหาของเรื่องนี้ คือการใช้กลไกศาลเป็นเครื่องมือ นำเอาเรื่องที่ไม่ควรเป็นความผิดมาดำเนินคดี แล้วยังอ้างเหตุผลนอกกรอบกฎหมายมาห้ามการประกันตัว

การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปล่อยตัว “ไผ่ ดาวดิน” จึงเป็นความชอบธรรม

 


เผยแพร่ครั้งแรกในโลกวันนี้วันสุข ฉบับ 598 วันที่ 7 มกราคม 2560

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>