Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

ราชทัณฑ์เพิ่มมาตรการตรวจทวารหนัก ไผ่ ดาวดิน อ้างกลัวนำเข้ายาเสพติด-ศาลอนุมัติฝากขังผัด 4

$
0
0

ประกันไม่ได้ ศาลขอนแก่นอนุมัติฝากขังผัด 4 ถึงวันที่ 20 ม.ค. จตุภัทร์เผยถูกตรวจทวารหนักค้นหายาเสพติด แม้เป็นคดีการเมือง และก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกตรวจเช่นนี้ 

6 ม.ค.2560 เวลา 09.30 น. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้เบิกตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา มาไต่สวนจากคำร้องขอคำร้องฝากขังผัดที่ 4 ซึ่งทางทนายของนายจตุภัทร์ได้ยื่นคัดค้านการฝากขัง

หลังจากเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2560 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เข้ายื่นคำร้องขอฝากขังนายจตุภัทร์ ต่อศาลจังหวัดขอนแก่ ตั้งแต่วันที่ 9 - 20 ม.ค.2560 เนื่องจากการสอบสวนพยานบุคคลยังไม่เสร็จสิ้น พยานบางส่วนมีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพฯ, พยานบางส่วนอยู่ระหว่างการประสานการเข้าให้ปากคำ และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนยังสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงต่อเนื่องไม่เสร็จสิ้น

การไต่สวนคำร้องดังกล่าวได้มีขึ้นที่ห้องพิจารณาคดีที่ 8 ชั้น 3 ศาลจังหวัดขอนแก่น โดยศาลให้เป็นการพิจารณาคดีลับ ให้เข้าได้เฉพาะทนายความและบิดามารดา

บรรยากาศหน้าห้องพิจารณาได้มีประชาชนมาให้กำลังใจประมาณ 20 คนต่อมา ศาลขอนแก่นมีคำสั่งอนุมัติคำร้องฝากขังผัด 4 ของพนักงานสอบสวน จากนั้นจึงมีการนำตัวจตุภัทร์กลับเรือนจำ

ก่อนหน้าที่ศาลจะมีการไต่สวนและอนุมัติคำร้องฝากขังผัด 4 จตุภัทร์กล่าวว่า การถูกจับกุมครั้งนี้ ในการเบิกตัวมาศาลแล้วนำตัวกลับเข้าเรือนจำแต่ละครั้งต้องถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจค้นร่างกาย ด้วยการให้ถอดเสื้อผ้าทั้งหมด กางแขน ลุกนั่ง และโก้งโค้งเพื่อตรวจภายในช่องทวารหนัก ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกาย เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการนำยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายเข้าไปภายในเรือนจำ

จตุภัทร์กล่าวด้วยว่า การถูกคุมขังในคดีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ไม่มีการตรวจค้นตัวในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด เพิ่งจะมีก็ในการจับกุมครั้งนี้ เขาพยายามท้วงติงกับเจ้าหน้าที่ว่าโดนจับมาในนคดีการเมือง ไม่ใช่คดียาเสพติด และในกระบวนการควบคุมตัวออกมาที่ศาลนั้นก็เป็นไปอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่จากทัณฑสถานบำบัดพิเศษ จ.ขอนแก่นไม่รับฟัง

ทั้งนี้ จตุภัทร์ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2559 ตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai จากการเข้าแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี รักษาการหัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 23 นายทหารซึ่งได้ติดตามการทำกิจกรรม และการเคลื่อนไหวนักกิจกรรมและ ภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นมาตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 โดยศาลจังหวัดได้ออกหมายจับลงวันที่ 2 ธ.ค. 2559 และเขาถูกควบคุมตัวในขณะกำลังร่วมขบวนเดินธรรมยาตรากับพระไพศาล วิสาโล ที่จังหวัดชัยภูมิ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์เผยผลักดันกฎหมายแล้ว 521 ฉบับ-ใช้ ม.44 ตรากฎหมาย 80 ฉบับ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ เผย ม.44 ตราเป็นกฎหมายแล้วไม่ต่ำกว่า 80 ฉบับ ผลักดันกฎหมายทุกช่องทาง 521 ฉบับ เฉพาะ สนช. ออกเป็น พ.ร.บ. 218 ฉบับ ที่ต้องเร่งมือเพราะในรอบ 10 ปีไม่สามารถออกกฎหมายได้ แนะคนไทยสำรวจตัวเอง ทำบัญชีครัวเรือน ตรวจสุขภาพดีกว่ารอให้ป่วยแล้วไปรักษา เกษียณแล้วไม่เป็นภาระลูกหลาน ส่วนโรดแมปเชื่อว่าทุกฝ่ายรับได้ เพราะคนไทยอยู่ในช่วงสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่คาดคิด

6 ม.ค. 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2560 เวลา 20.15 น. มีรายละเอียดรายงานในเว็บไซต์รัฐบาลไทย ดังนี้

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวาระดิถี วันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งที่ผมขอน้อมนำมากล่าวย้ำกับพี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นแนวทางในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อส่วนรวมตลอดปีและตลอดไปดังนี้ คนไทยนั้น มีจิตใจดี มีความกตัญญูกตเวที มีความเอื้ออารีต่อกัน มีความรักชาติรักแผ่นดิน เป็นคุณสมบัติประจำชาติ และมีความรู้ ความสามารถ ไม่แพ้ชนชาติอื่นใด ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาหรือเหตุไม่ปกติใด ๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็เชื่อได้ว่า ถ้าเราร่วมกันคิด อ่าน และช่วยกันปฏิบัติแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถคลี่คลายลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน ขอให้ชาวไทยทุกคนตั้งใจให้แน่วแน่ที่จะรักษาคุณสมบัตินี้ ให้เหนียวแน่น และทำความคิดจิตใจให้แจ่มใส ด้วยปัญญาที่กระจ่าง พิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ ให้มีความมุ่งมั่น มีกำลังใจ อันที่จะร่วมกันปฏิบัติสรรพกิจน้อยใหญ่ในภาระหน้าที่ ตามแนวพระบรมราโชบายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานไว้ “ให้งานทุกอย่าง สำเร็จผล เป็นความดี ความเจริญ ทั้งแก่ตนเอง แก่ส่วนรวม และประเทศชาติ” ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน และการปฏิรูปประเทศนี้ ผมขอให้ปวงชนชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ควรได้ระลึกถึง และรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมน้อมนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขของพวกเราทุกคนและลูกหลานไทยในภายภาคหน้าด้วยครับ

สำหรับปี พ.ศ. 2560 นี้ ผมถือว่าว่าเป็นปีที่สำคัญ เป็นปีแห่งการเตรียมการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตามครรลองที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยที่มีลักษณะเฉพาะ ด้วยกระบวนการที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งเน้นสร้างความปรองดอง รู้ รัก สามัคคี และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะเมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ ตามศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ ใครที่คิดจะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป ควรร่วมมือตรงนี้ ประชาชนติดตามด้วยนะครับ

ในโอกาสนี้ ผมขอมอบบทเพลง ชื่อว่า “สะพาน” ไว้เป็นเพลงประจำของรัฐบาลนี้ และ คสช. ซึ่งปฏิบัติภารกิจในการเปลี่ยนผ่าน การปฏิรูป และการสร้างความปรองดองในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ “สะพาน” ในที่นี้ มีความหมายโดยธรรมชาติคือ เครื่องมืออุปกรณ์หรือสิ่งที่จะช่วยให้คนไทย ก้าวข้ามอุปสรรค ก้าวพ้นกับดัก ก้าวไปสู่ฝั่งฝัน และความหวังของเรา อีกทั้งก้าวไปพบกับอนาคตหรือสิ่งที่ดีกว่า ส่วนความหมายโดยนัย คือ การเป็นตัวกลางสมานความขัดแย้ง และผสานกลุ่มพลังต่าง ๆ การประสานการขับเคลื่อนด้วยกลไกประชารัฐ และการเชื่อมโยงแบบบูรณาการในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับนโยบายไปสู่ระดับปฏิบัติ

สำหรับ “สายน้ำที่เชี่ยวกราก” ใต้สะพานก็คือ 1)ปัญหาเรื่องคน เช่น ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ความไม่เคารพกฎหมาย ไม่รู้สิทธิและหน้าที่ ความไม่เข้าใจประชาธิปไตย วัตถุนิยม บริโภคนิยม 2)ปัญหาภายในประเทศที่สะสม และปัญหาในอนาคต เช่น ปากท้อง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ทุจริตคอร์รัปชั่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 3)ปัญหาภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบ เช่น ยาเสพติด การก่อการร้าย สิ่งแวดล้อม โลกร้อน ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย มาตรการกีดกันทางการค้า IUU, ICAO เป็นต้น และ 4)ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารสารสนเทศโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่กลับมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง การเข้าไม่ถึงแหล่งข่าวที่ถูกต้อง หรือการประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจของภาครัฐเองที่ยังมีข้อจำกัดเข้าไม่ถึงประชาชน ซึ่งผมได้ให้กำลังใจคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ขอให้เป็นสะพานที่เข้มแข็ง อย่าได้ท้อแท้ท้อถอยต่อกระแสน้ำที่รุนแรงดังกล่าว และสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เอาชนะกระแสข่าวลือข่าวเท็จ ทั้งที่ไม่มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่หวังดี ด้วยการลงพื้นที่ค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อสร้างการรับรู้ และทำความเข้าใจโดยน้อมนำศาสตร์พระราชา คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน

ทุกกลุ่มรัฐบาล และ คสช. ระลึกอยู่เสมอว่า การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเชื่อมั่น นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในการที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชน ดังนั้น “สะพาน” แห่งนี้ จะต้องมั่นคงด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และด้วยการบริหารบ้านเมืองที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปราศจากทุจริต จึงจะสามารถนำพาพี่น้องประชาชนชาวไทยผ่านภาวะที่ยากลำบาก ไปสู่จุดหมายร่วมกัน คือ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยสวัสดิภาพ ทุกคน ให้จงได้ครับ

พี่น้องประชาชนที่รักครับ การทบทวนและการประเมินผลตนเองเป็นสิ่งจำเป็น ควรทำในทุกระดับ อาจดำเนินการเป็นวงรอบ รอบปี รอบเดือน หรือเป็นระยะ ๆ ของแผนงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ในการก้าวสู่ศักราชใหม่ รัฐบาล และ คสช. ซึ่งได้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมและรอการสะสางมาเป็นเวลานานนับทศวรรษ ก็ได้มีการสำรวจผลการทำงานอยู่เสมอ เพื่อนำจุดแข็งไปขยายผลความสำเร็จ และจุดอ่อนไปปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาไปสู่แนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป

เนื่องจากเราไม่อาจหยุดนิ่งท่ามกลางโลกที่มีพลวัต เพราะการเดินที่ช้ากว่าโลกหมุน ก็คือความล้าหลัง ไม่ทันสมัยก้าวไม่ทันโลก ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า รัฐบาลได้แก้ปัญหาเดิม และวางรากฐานการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในอนาคตอันใกล้ ทุกอย่างดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการนำทุกปัญหาออกมาคลี่สางทีละปม แก้ทีละประเด็น เนื่องจากไม่ต้องการแก้เรื่องหนึ่ง แต่กลับไปสร้างอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และมีความยั่งยืน แทบทุกปัญหาต้องอาศัยการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ และหลายปัญหาต้องแก้ไขในระยะเร่งด่วน ด้วยการใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 44 เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ จากนั้นจึงไปทำกฎหมาย อาจเป็นพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทวง เพื่อจัดการกับประเด็นปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป

ปัจจุบัน มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ที่ถูกตราเป็นกฎหมายแล้ว เกือบ 80 ฉบับ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมากในการผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมแล้ว 521 ฉบับ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปี ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา รวมทั้งความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นเครื่องมือของหน่วยงานราชการในการปฏิบัติหน้าที่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก

ปัจจุบันมีร่างพระราชบัญญัติที่เข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแล้ว จำนวน 332 ฉบับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน 218 ฉบับ มีผลใช้บังคับแล้วตามกฎหมาย จำนวน 186 ฉบับ อยู่ระหว่างการทบทวน การศึกษา พิจารณาความเหมาะสม หรืออยู่ในกระบวนการออกกฎหมายอีกจำนวน เกือบ 200 ฉบับ อาทิเช่น พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ที่จะช่วยให้การกวดขันวินัยจราจรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอุบัติเหตุ และการสูญเสีย เช่น 1) ผู้โดยสารรถยนต์“ทุกคน” ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย 2) การชำระค่าปรับตามใบสั่งให้แล้วเสร็จก่อนการออกป้ายภาษีประจำปี 3) การเพิ่มโทษผู้ขับขี่ ที่กระทำผิดซ้ำซาก โดยมีการบันทึกในประวัติ และ 4) การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายในการทดสอบแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากฎหมายจะดีแค่ไหน บทลงโทษจะรุนแรงเพียงใด หากคนในชาติไม่มีจิตสำนึกด้วยตัวเองไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

และ พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรฯ สำหรับการส่งเสริมให้มีการพัฒนา การผลิตและการใช้ประโยชน์สมุนไพรไทยอย่างมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการใช้สมุนไพรไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถผลักดันเป็นอุตสาหกรรมมีการแปรรูปและมีการส่งออก เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนใน 2 ระดับ สำหรับดูแลการขึ้นทะเบียน และการจดลิขสิทธิ์สมุนไพรไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ทั้งนี้แยกสมุนไพรไทยออกจาก ยา อาหาร เครื่องสำอาง ให้มีความชัดเจน ที่สำคัญคือ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบัญชียาแผนไทยและสมุนไพร ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีราคาแพง เป็นต้น จากตัวอย่าง ทั้ง 2 ดังกล่าว เป็นความก้าวหน้า เป็นก้าวแรก ๆ ของการปฏิรูปที่ดำเนินการในทุกมิติ อย่างมียุทธศาสตร์ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งนอกจากจะต้องคำนึงถึงความเชื่อมั่นประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติแล้ว ยังส่งผลดีต่อการประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย

สำหรับการพัฒนาศักยภาพในการบริหารงาน ด้วยการปรับปรุงกลไกและกระบวนการทำงานของรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินที่มีความสลับซับซ้อน และเชื่อมโยงกันเพื่อให้ปีนี้ เป็นปีแห่งการปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดอง และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ผมได้ตั้ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ในการขับเคลื่อน เรื่องดังที่กล่าวมา ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญเป็นคณะกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ 1) คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2) คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 3) คณะกรรมการปรองดอง และ 4) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ โดยมีการจัดตั้ง “สำนักงานบริหารยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูป และปรองดอง” ขึ้น ทำหน้าที่ประสาน ติดตาม ตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ตามประเด็นการปฏิรูป การปรองดอง ตลอดจนยุทธศาสตร์หรือนโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายด้วยการขับเคลื่อนตาม Road map เน้นการปฏิรูป การปรองดอง และยุทธศาสตร์ใน 5 ปีแรก ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อม การเสริม และการสร้างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งยึดโยงกับ 6 ประเด็นในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาเป็นพื้นฐาน เชื่อมโยงกับ 138 ประเด็นปฏิรูปของ คสช. รัฐบาล สปช. และ สปท. ที่มีการจัดกลุ่มงานให้ชัดเจน เพื่อการขับเคลื่อนที่ไม่สับสน และทำงานเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในระดับรัฐบาล ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด ให้มีความประสานสอดคล้องทั้งแนวดิ่งและแนวระดับ

สำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว ผมอยากให้ลองสำรวจตัวเองด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบช่วยให้บ้านเมืองสวยงาม ภายในสถานที่ของตัวเอง เช่น สถานที่ทำงาน ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ประกอบการตลาด แผงลอย ให้สวยงาม น่าอยู่ น่าใช้ น่าบริโภค การจัดระเบียบบ้านเพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์พาหะนำโรค เช่น หนู แมลงสาบ เป็นต้น สิ่งสำคัญที่อยากจะบอก คือ “การจัดทำบัญชีครัวเรือน” ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ในการวางแผนการเงิน และแก้ไขปัญหาหนี้สิน ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นอีกศาสตร์พระราชาที่สอนให้เป็นนักวางแผนเพื่ออนาคต ด้วยหลักการจดไม่จสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เพราะรู้จักความพอมี พอกิน พอใช้ คำนึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตนเองโดยการไม่ประมาท โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือฟุ่มเฟือยลงไม่ปล่อยให้ “ชักหน้า ไม่ถึงหลัง” บัญชีครัวเรือนนี้ นอกจากจะทำให้รู้รายรับรายจ่ายแล้ว ยังทำให้เราสามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ หรือพยากรณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคตได้เป็นรายปี เช่น ห้วงฤดูหนาว ก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องนุ่งห่มเพิ่มเติม ฤดูร้อนก็จะมีค่าไฟฟ้าจากการใช้แอร์ พัดลม มากกว่าปกติ ฤดูฝน อาจมีค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมแซมบ้านหรือค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกในบ้านจากการเจ็บป่วย เป็นต้น หากจดบันทึกรายรับ รายจ่ายได้ชำนาญดีแล้ว ก็สามารถใช้วางแผนอนาคตได้อีกด้วย เช่น แผนการศึกษา แผนการซื้อผ่อนบ้าน รถ แผนการลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริม แผนการรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพเพื่อการป้องกันซึ่งดีกว่าการรักษาเพราะถูกกว่าและไม่ต้องรอให้เจ็บไข้ได้ป่วยเสียก่อน และที่สำคัญคือแผนการออมสำหรับตัวเองยามชรา ยามเกษียณไม่ปล่อยให้เป็นภาระของลูกหลานในอนาคตอีกด้วย ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นภูมิคุ้มกันของตัวเองและครอบครัวครับ

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ระหว่างวันที่ 9-19 มกราคมนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดงาน “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” ผมขอเชิญชวน พี่น้องประชาชน มาร่วมงานกัน ซึ่งนอกจากมีการเผยแพร่ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมฝีมือคนไทย ทั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และ หน่วยงานเครือข่าย ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แล้วยังมีการคัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 240 รายการ มาจัดแสดง และจัดจำหน่ายหรือให้บริการ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือชุมชน วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมจัดงาน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมออกบูธกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนด้วย ในส่วนกิจกรรม (HILIGHT) และผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นได้แบ่งงานออกเป็น 3 แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่ วิถีวิทย์สร้างความสุข วิถีวิทย์สร้างความรู้ และวิถีวิทย์โอกาสดีนาทีทอง ทั้งนี้ภายในงานยังมีการอบรมอาชีพ 20 หลักสูตร แก่ประชาชนฟรี อีกทั้งมีการนำเครื่องจักร เทคโนโลยี และนวัตกรรมของคนไทย เช่น เครื่องขายขวดพลาสติกอัตโนมัติ เรือดูดตะกอนเลนอเนกประสงค์ หุ่นยนต์ดินสอสำหรับบริการเสิร์ฟอาหาร เครื่องอบปลาแดดเดียวอินฟาเรด เป็นต้น ด้านผลิตภัณฑ์ เน้นจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนวิสาหกิจที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ผักผลไม้ สมุนไพร เป็นต้น ก็ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจนะครับ

สุดท้ายนี้ เรื่องการเมือง การดำเนินกิจกรรม การตอบโต้ ประเด็นต่าง ๆ ในด้านการเมืองในปีนี้ ขอให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกคน ทุกฝ่ายได้แสดงเจตนาร่วมใจในการถวายสักการะแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ทั้งนี้ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนี้ มิใช่เพียงแต่จะเป็นพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นพระราชพิธีซึ่งประชาคมโลกติดตาม และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ วันที่ 13 ตุลาคม เป็นต้นมา เนื่องจากนับได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกอีกด้วยครับ

สำหรับการเริ่มกระบวนการเลือกตั้ง เช่น การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การหาเสียงเลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนั้น ด้วยบรรยากาศ และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนชาวไทยในช่วงนี้อันเกี่ยวเนื่องกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้คาดคิด หรือเตรียมการล่วงหน้าได้ และด้วยขั้นตอน ตามกระบวนการนิติบัญญัติต่าง ๆ แล้วซึ่งก็ยังคงอยู่ในกรอบเวลา (หรือ Roadmap) ที่ผมเห็นว่าเราทุกคน ทุกฝ่าย จะยอมรับได้ และเห็นด้วย ที่จะลดระดับการตอบโต้ประเด็นทางการเมืองลง แล้วมุ่งปฏิบัติหน้าที่ ทำงานที่ตนรับผิดชอบให้ดีที่สุด ซึ่งหมายรวมถึง การปฏิรูป การเตรียมการจัดทำ และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับใหม่ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ในขั้นต้น ไว้แล้ว ประกอบด้วย 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ มีรายละเอียดตามหน้าจอ ซึ่งหาดูศึกษาทำความเข้าใจได้จากเว็บไซต์ของรัฐบาล (www.thaigov.go.th) และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (www.nesdb.go.th) รวมทั้งการจัดทำกฎหมายลูก และกฎหมายสำคัญให้เรียบร้อยมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐบาล และ คสช. ไม่มีเหตุผล หรือเจตนาใดที่จะยืดเวลาอะไรทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ขอความร่วมมือ ส่วนน้อยได้ปรับทัศนคติ และมีความเข้าใจร่วมกันด้วยครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สพฉ. จัดทีมเฝ้าระวังและลงพื้นที่ในสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ย้ำสายด่วน 1669

$
0
0
สพฉ. จัดทีมเฝ้าระวังและลงพื้นที่ในสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ย้ำสายด่วน 1669 พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมจัดระบบส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศยาน-เรือ ในรพ.ที่ได้รับผลกระทบ  เตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงฟังประกาศเตือนภัยและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และอย่าปล่อยบุตรหลานเล่นน้ำ พร้อมแนะจัดเตรียมกระเป๋ายังชีพแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน “สิ่งของฉุกเฉิน-สิ่งของจำเป็น-สิ่งของมีค่า” เพื่อหยิบใช้กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

 
 
 
 
 
 
7 ม.ค. 2560 นพ. ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ ว่า  สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้จัดทีมเฝ้าระวังสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเราได้ตรวจสอบคู่สาย1669 ให้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรจดจำสายด่วน1669 ให้ขึ้นใจ และหากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งระบบการให้บริหารด้านการแพทย์ฉุกเฉินจะอำนวยการในการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทันท่วงที   ทั้งนี้ในส่วนของถนนหลายสายที่ถูกน้ำกัดเซาะจนไม่สามารถสัญจรได้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้ประสานกับภาคีเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน อาสาสมัครมูลนิธิต่าง ๆ นำเรือท้องแบนและเสื้อชูชีพเข้าไปให้บริการในพื้นที่เพื่อนำส่งประชาชนและผู้ป่วยฉุกเฉินให้ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยขณะนี้มูลนิธิใจถึงใจได้เข้าพื้นที่โรงพยาบาลหลังสวนจังหวัดชุมพร เพื่อช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินแล้ว   นอกจากนี้ในส่วนของโรงพยาบาลอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ สพฉ.เตรียมให้การสนับสนุนหากมีความจำเป็นต้องส่งตัวผู้ป่วยและถนนไม่สามารถใช้งานได้ เราก็จัดเตรียมการขนส่งทางอากาศยาน หรือทางเรือ ไว้คอยให้บริการในการส่งต่อผู้ป่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
รองเลขาธิการสพฉ. ยังเตือนประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมด้วยว่า หากต้องอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลัน และอยู่ในพื้นที่ที่เกิดพายุ ประชาชนจะต้องคอยฟังประกาศเตือนภัยและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  และต้องเตรียมการในเบื้องต้นเพื่อระวังภัยโดยการตรึงประตู หน้าต่าง ให้มั่นคง ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรขณะฝนตกฟ้าคะนอง และขณะฝนตกฟ้าคะนอง ห้ามอยู่ใต้ต้นไม้ เสาไฟ และห้ามโทรศัพท์เด็ดขาด หากรู้สึกว่าบ้านกำลังจะพังให้ ห่อตัวเองด้วยผ้าห่ม หลบใต้โต๊ะ ใต้เตียง หรือที่แข็งแรงมั่นคง   ส่วนการป้องกันเหตุน้ำป่าน้ำท่วมฉับพลันประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต้องรีบอพยพขึ้นที่สูง ควรสวมเสื้อชูชีพ โดยหลีกเลี่ยงการเดินผ่านแนวธารน้ำ ช่องระบายน้ำ  ห้ามเดินฝ่ากระแสน้ำเด็ดขาด  ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการเดินควร ใช้ไม้ปักดินคลำทาง เพื่อสังเกตว่าดินตื้นลึกแค่ไหน  และห้ามขับรถฝ่ากระแสน้ำท่วม แต่หากเกิดน้ำท่วมระหว่างอยู่ในรถ และน้ำขึ้นสูงรอบๆรถ ให้รีบออกจากรถโดยเร็ว
 
สำหรับพื้นที่ที่คาดว่าจะมีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ควรจัดเตรียมกระเป๋ายังชีพฉุกเฉิน และจัดทำรายการสิ่งของจำเป็นที่ต้องเตรียม โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้  1.สิ่งของยามฉุกเฉินคือ น้ำดื่ม มีดอเนกประสงค์ กระดาษชำระ วิทยุใส่ถ่าน เชือก เทปกาวสะท้อนแสง ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ยาประจำตัว เสื้อผ้า ไฟฉาย นกหวีด เทียนไข ไฟแช็ค ไม้ขีดไฟ ถุงพลาสติก ปากกาเมจิค  และชุดปฐมพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย หน้ากาก ยาฆ่าเชื้อ สำลี ผ้าก็อซ แหนบ ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ยา  2.สิ่งของมีค่าคือ เอกสารหลักฐาน และสิ่งสำคัญในชีวิต อาทิ บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ บัตรประกันสุขภาพ ทะเบียนบ้าน สมุดธนาคาร หนังสือเดินทาง เงินสด กุญแจบ้าน กุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ ที่ชาร์ตโทรศัพท์มือถือ แว่นสายตา สมุดบันทึก  3.สิ่งของจำเป็น และของใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อการดำรงชีวิต อาทิ อาหารแห้งพร้อมรับประทาน ชุดชั้นใน หนังสือพิมพ์ (สามารถนำมาใช้เป็นผ้าห่มเพื่อกันหนาว นำมาพับเป็นจาน หรือใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือนำมาม้วนทำเป็นเฝือกฉุกเฉินได้)  สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน จาน ชาม ช้อน ส้อม ขันโลหะ เข็มกลัด กระจกพกพา ถ่านสำรอง อุปกรณ์กันฝน เข็มกลัด นอกจากนี้สำหรับผู้หญิงควรมีผ้าอนามัย และสตรีมีครรภ์ควรพกสมุดฝากครรภ์และผ้าขาวบางติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อใช้ในกรณีคลอดฉุกเฉิน อีกทั้งควรจัดเตรียมผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนผู้พิการควรเตรียมบัตรประจำตัวคนพิการและสมุดบันทึกการดูแลรักษาไว้ติดตัวตลอดเวลาด้วย และสำหรับเด็กทารกควรเตรียมนมผง ขวดนม อาหารเสริม ผ้าอ้อม สมุดบันทึกการฉีดวัคซีน และของเล่น
 
“สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังและต้องรับประทานยาเป็นประจำ แต่ไม่สามารถเดินทางไปรับยาที่รพ.ได้ หรือ ยาถูกน้ำท่วมหมด นั้น ไม่ควรขาดยาเพราะจะเกิดถาวะแทรกซ้อนต่างๆ ให้ติดต่อประสานไปยังโรงพยาบาลที่รักษาอยู่ หรือ ติดต่อที่สายด่วนเบอร์ 1669 ซึ่งสามารถให้ความช่วยเหลือได้”รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองสั่งระงับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารมหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนเซส

$
0
0
ศาลปกครองสั่งระงับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารมหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนเซส ที่สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ออกให้กับสำนักงานพระคลังข้างที่ (สำนักพระราชวัง) หลังสมาคมต้านโลกร้อนร่วมกับชาวบ้าน 49 คนฟ้องสำนักงานพระคลังข้างที่เหตุผู้ขอใบอนุญาตไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลขัดต่อข้อกำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมอาคาร

 
 
7 ม.ค. 2560 นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่าสมาคมฯ ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางว่า ศาลมีคำสั่งระงับการใช้ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูง 41 ชั้นของโครงการมหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนเซส ที่สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ออกให้กับสำนักงานพระคลังข้างที่ (สำนักพระราชวัง) โดยบริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ที่กำลังก่อสร้างอยู่บริเวณซอยมหาดเล็กหลวง 2 ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน โดยศาลปกครองให้เหตุผลว่า ผู้ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้าง คือ สำนักงานพระคลังข้างที่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพราะเป็นเพียงหน่วยงานในสังกัดสำนักพระราชวัง ซึ่งมีฐานะเป็นส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมเท่านั้น จึงไม่อาจยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้ อันเป็นการขัดต่อข้อ 2 วรรคสองและวรรคสาม ของกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) และฉบับที่แก้ไข
 
ทั้งนี้ศาลยังได้ระบุต่อไปว่า แม้การออกใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายของการเป็นนิติบุคคลจะสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่กรณีการออกใบอนุญาตโดยขัดต่อข้อกำหนดของกฎกระทรวงที่กำหนดไว้เพื่อประโยชน์แห่งความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตลอดขนการวางแผนพัฒนาสาธารณูปโภคของรัฐ อันเป็นการคุ้มครองต่อประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์สาธารณะทั่วไป จึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หากศาลปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคารต่อไป จะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผู้ฟ้องคดีและต่อสาธารณะที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลังได้ รวมทั้งความเสียหายของสำนักงานพระคลังข้างที่ (สำนักพระราชวัง) โดยบริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ด้วย ศาลจึงมีคำสั่งระงับใบอนุญาตก่อสร้าง ที่สำนักการโยธา กทม. ออกให้ในที่สุด
 
นายศรีสุวรรณ ยังเปิดเผยต่อไปว่า กรณีนี้การแก้ไขคงเป็นเรื่องยากเพราะตามกฎหมายที่ดินของส่วนราชการทั้งประเทศเป็นที่ราชพัสดุ ที่มีกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแล แต่กรณีนี้ที่ดินของสำนักงานพระคลังข้างที่ (สำนักพระราชวัง) กลับไม่โอนให้กรมธนารักษ์ดูแลตามกฎหมาย หากแต่มาดำเนินการหาประโยชน์โดยให้เอกชนเช่าระยะยาว จึงน่าจะขัดและแย้งต่อกฎหมายหลายฉบับ ดังนั้น หากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร พยายามที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันเพื่อเลี่ยงกฎหมาย สมาคมฯก็จะเดินหน้าร้องเรียนเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องและเอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ ป.ป.ท. ต่อไปแน่นอน นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1-7 ม.ค. 2560

$
0
0

พาณิชย์ ย้ำปรับค่าแรงไม่กระทบต้นทุนสินค้า อ้างขึ้นราคาไม่ได้เชื่อทั้งปีทรงตัวแข่งขันสูง
 
วันที่ 1 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ว่า จากการศึกษาแล้วพบว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคน้อยมาก เพียง 10 สตางค์เท่านั้น จึงไม่ใช่เหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ทั้งนี้หากผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาสินค้า ก็จะต้องมีการตรวจสอบต้นทุนว่า มีการใช้แรงงานมากน้อยแค่ไหนรวมทั้งหากปรับขึ้นราคาสินค้าจะต้องมีการปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน เพื่อแสดงต่อผู้บริโภค
 
แต่ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการและร้านค้าต่าง ๆ ไม่น่ามีการปรับขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง และขณะนี้ยังไม่มีสินค้ารายการใดที่ยื่นเสนอขอปรับราคาเข้ามายังกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งประเมินว่าราคาสินค้าในปี 2560 จะยังคงทรงตัว
 
 
นายจ้างและสถานประกอบการ ต้องการแรงงานมากกว่า 3 หมื่นอัตรา ส่วนใหญ่แรงงานภาคอุตสาหกรรมการผลิต
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสิงหเดช ชูอำนาจ บอกว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กรมการจัดหางานได้รับแจ้งความต้องการแรงงานจากนายจ้าง สถานประกอบการ จำนวน 32,728 อัตรา บรรจุงานได้ 20,149 คน คิดเป็นร้อยละ 61อุตสาหกรรมที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต รองลงมาคือการขายส่ง การขายปลีก ซ่อมยานยนต์ จักรยานยนต์ และที่พักแรมและบริการด้านอาหาร อาชีพที่มีความต้องการมากที่สุดคือ อาชีพงานพื้นฐาน แรงงานทั่วไป แรงงานด้านการผลิต รองลงมาคือ พนักงานบริการ พนักงานขาย เสมียน เจ้าหน้าที่ ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ปฏิบัติงานโดยใช้ฝีมือธุรกิจต่างๆดังนั้น สามารถสมัครได้ทางแอพพลิเคชั่น "Smart Job Center" สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร สอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วน 169 ส่วนเยาวชนที่จะเลือกเรียนสาขาใดควรพิจารณาข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้รอบด้าน เช่น ข้อมูลด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม
 
 
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เตรียมผลักดันแผนพัฒนากำลังคน ด้านการท่องเที่ยวและบริหาร นำร่อง 4 จังหวัด คาด 5 ปีความต้องการแรงงานกว่า 730,000 คน
 
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ระบุว่า แผนพัฒนากำลังคนด้านการท่องเที่ยวและบริการ จากนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สอดคล้องกับการเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมลงนามกับ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการป้อนสู่ตลาดแรงงาน ที่จะนำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง อุดรธานี ตรัง และชลบุรี ในปี 2560 ซึ่งคาดว่า จะมีความต้องการแรงานในกลุ่มนี้อีก 5 ปี กว่า 730,000 คน
 
 
ครม.ไฟเขียวแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
 
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของปี 2560 ว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแก้ไขร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้ครอบคลุมกลุ่มลูกจ้างบางประเภท เช่น ลูกจ้างเด็ก คนพิการ และคนสูงอายุ ลดภาระของนายจ้างในการส่งสำเนาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และกำหนดเกี่ยวกับการเลิกจ้างโดยเหตุเกษียณอายุ
 
รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมให้การเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง และกรณีที่ไม่ได้มีการกำหนดอายุการเกษียณให้นับว่า 60 ปี ถือเป็นการเกษียณอายุทันที และให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยในกรณีดังกล่าว เพื่อให้กฎหมายแรงงานบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
 
“เพื่อเป็นการรองรับสังคมสูงอายุที่จะเกิดขึ้น เราได้มีการแก้ไขบทกำหนดให้ในช่วงต่อไป การเกษียญอายุถือเป็นการเลิกจ้าง ในอดีต การเกษียณอายุนั้นไม่ได้ถือเป็นการเลิกจ้าง จึงไม่ได้มีการจ่ายเงินชดเชย ทำให้มีการฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก แต่ในครั้งนี้ กำหนดให้ การเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้าง จะต้องได้รับการชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จากเดิมที่ไม่ได้รับการชดเชย เพราะเกษียณอายุ เมื่อเป็นการเลิกจ้างจะได้รับการชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเชื่อว่าลูกจ้างทั่วไปจะได้ประโยชน์เมื่อเข้าเกณฑ์การเกษียณอายุ”นายกอบศักดิ์ กล่าว
 
สำหรับการจ่ายเงินชดเชยนั้น ได้ยกตัวอย่างว่า ในกรณีที่ทำงานอายุงาน 10 ปี เมื่อเกษียณอายุ จะได้รับเงินชดเชยประมาณ 10 เดือน ของเงินเดือนสุดท้าย กรณีอายุงาน 6-10 ปี จะได้รับเงินชดเชย 8 เดือน กรณี 3-10 ปี จะได้รับเงินชดเชยประมาณ 6 เดือน เป็นต้น
 
 
ก.แรงงานหนุนนายจ้างส่งเสริมลูกจ้างทดสอบฯ-จ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแห่งละ 100,000 บาทต่อปี-เริ่ม ม.ค.60 นี้
 
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 จัดตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน และได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือหรืออุดหนุนกิจการที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาฝีมือแรงงาน หลายประการ
 
"ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 จะมีมาตรการเพื่อส่งเสริมให้แรงงานทุกกลุ่ม มีการดำเนินทดสอบมาตรฐานฝีมือฯ เพื่มมากขึ้น ทั้งที่จะเข้าสู่การทำงาน หรือกำลังแรงงานที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบการ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและพลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการส่งเสริมพัฒนากำลังคนของประเทศให้มีมาตรฐานฝีมือ มีรายได้สูง และมีความพร้อมก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 "นายธีรพล กล่าว
 
นายธีรพล กล่าวต่อไปว่า โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทดสอบให้แรงงาน กรณีที่ กพร.เป็นผู้จัดส่งเข้าทดสอบ ณ ศูนย์ทดสอบที่เป็นเครือข่าย นอกจากนี้ยังจัดเงินอุดหนุนสำหรับผู้ประกอบกิจการที่ส่งพนักงานเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ในทุกสาขา และผู้ประกอบการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ผ่านมาตรฐานฯ ตามอัตราค่าจ้างมาตรฐานฝีมือแรงงานด้วย
 
"ทั้งนี้ กพร.จะสนับสนุน ด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนให้ผู้ประกอบกิจการจำนวน 1,000 บาท ต่อลูกจ้าง 1 คน ที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยสนับสนุนไม่เกินปีละ 100,000 บาท เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบกิจการ ให้ความสำคัญกับการจัดส่งพนักงานเข้ารับการทดสอบฯ ให้มากยิ่งขึ้น และให้มีการจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างตามอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานด้วย ซึ่งมาตรการจูงใจดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ทั้งผู้ประกอบกิจการและตัวลูกจ้างเอง"นายธีรพล กล่าว
 
อธิบดี กพร. กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ประกอบกิจการ จะได้รับประโยชน์จากการมีแรงงานที่มีทักษะฝีมือที่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน สินค้าและบริการมีคุณภาพ ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ เกิดการซื้อซ้ำหรือเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดการบอกต่อ ไปยังกลุ่มบุคคลหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง สามารถรักษาลูกค้าเก่าและมีโอกาสสร้างลูกค้าใหม่
 
นายธีรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบกิจการจะได้รับ นั่นคือด้านแรงงานสัมพันธ์ที่พนักงานมีต่อสถานประกอบกิจการ ที่ส่งเสริมให้พัฒนาฝีมือจนได้มาตรฐาน และได้รับอัตราค่าจ้างตามความสามารถ ที่สูงขึ้นด้วย จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้พนักงานคนอื่นๆ ได้มีการพัฒนาตนเอง เพื่อรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานต่อไป
 
"เพื่อเป็นแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบถึงฝีมือของลูกจ้างแต่ละคน กพร. ได้จัดให้มี โครงการ “แรงงานติดดาว” เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่แรงงานฝีมือ โดยในวันที่ 11 มกราคม 2560 นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะติดดาวให้แรงงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฯในรุ่นแรกด้วย"อธิบดี กพร กล่าว
 
"ทั้งนี้เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับรู้ว่ากำลังได้รับบริการจากแรงงานที่มีคุณภาพในระดับกี่ดาว โดย 1 ดาว เป็นมาตรฐานระดับ 1 คือมีฝีมือและความรู้พื้นฐานในการทำงานอย่างดี ส่วน 2 ดาว จะเป็นระดับ 2 คือ มีฝีมือระดับกลางมีความรู้ความสามารถทักษะการใช้เครื่องมืออุกรณ์ได้ดี และมีประสบการณ์ในการทำงานสูง ส่วน 3 ดาว จะเป็นระดับผู้ที่มีฝีมือระดับสูง สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจแก้ปัญหา นำความรู้และทักษะมาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ได้" นายธีรพล กล่าวในที่สุด
 
 
คนงานร้องทุกข์ถูกนายหน้าหลอกว่าสามารถส่งไปทำงานนวดสปาในแถบประเทศทวีปยุโรป
 
วันที่ 5 มกราคม 2560 ตัวแทนคนหางาน ทั้ง 22 คน ได้เข้าร้องทุกข์กับกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ว่า พวกตนถูกเจ้าของงบัญชีเฟสบุ๊ครายหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาว่าชื่อ นางสาวบี (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี หลอกลวงว่าสามารถส่งไปทำงานนวดสปาในแถบประเทศทวีปยุโรป รายได้เดือนละกว่าแสนบาท แต่ก่อนถึงวันนัดบิน น.ส.บี กลับโทรศัพทฺ์มาแจ้งข่าวร้ายกับพวกตนว่า น.ส.บี ได้ถูกเฟสบุ๊ครายหนึ่ง หลอกลวงว่าสามารถส่งทำงานนวดอีกทอดหนึ่ง โดยที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจ แต่เห็นว่าได้ค่านายหน้ารายละกว่า 5,000 บาท จึงหลงเชื่อ น.ส.บี จึงแสดงความบริสุทธิใจพาคนหางานทั้งหมด มาร้องทุกข์กับ กองทะเบียนฯ ดังกล่าว แต่คนหางานก็ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.บี ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายหน้า และรับเงินค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายจากพวกตนไปคนละ 25,000 - 48,600 บาท กองทะเบียนจัดหางานกลางฯ จึงขอเตือนคนหางาน และบรรดาสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน มิให้ลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ เพราะนอกจากจะเสียงต่อการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เหมือนกลุ่มคนหางานและนายหน้ารายนี้แล้ว ยังเสียต่อการถูกนายจ้่างในต่างประเทศเอารัดเอาเปรียบจากการทำงานเพราะเห็นว่าเป็นแรงงานเถื่อน ซึี่งหากคนหางานรายได้ต้องการร้องทุกข์ ร้องเรียน แจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางาน หรือขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการไปทำงานในต่างประเทศ สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมการจัดหางานโทร. 1694 หรือ โทร. 0 2245 6763
 
 
สปส.เผยใช้งบปีละ 7 พันล้าน ดูแลผู้ป่วยความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือด
 
พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ ผู้ช่วย รมว.แรงงาน กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคม ได้จัดสถานพยาบาลต้นแบบในการให้บริการตรวจสุขภาพเพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 12 ล้านคน รับรู้ถึงสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย หลังจากประกันสังคมขยายสิทธิประโยชน์ตรวจสุขภาพฟรี เป็นของขวัญปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 โดยบูรณาการร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ให้เป็นสถานพยาบาลต้นแบบ
ทั้งนี้เพื่อให้สถานพยาบาลอื่นได้มาศึกษาเพื่อนำไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันในปี 2560 จะขยายสถานพยาบาลต้นแบบ 40 แห่ง เป็นสถานพยาบาลรัฐ 30 แห่ง และของเอกชน 10 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 20 ของสถานพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม ซึ่งมีจำนวน 240 แห่ง โดยหวังให้ผู้ประกันตนใส่ใจสุขภาพ พึ่งพาการรักษาพยาบาลน้อยลง โดยพบว่าโรคเบาหวาน ความดัน และไขมันในเส้นเลือด เป็น 3 โรคที่คนป่วยมากที่สุด สปส. ต้องใช้งบรักษาปีละหลายพันล้านบาท
 
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ผู้ทุพพลภาพของประกันสังคมส่วนใหญ่ มี 2 สาเหตุหลักในการป่วย 90% มาจากเส้นเลือดในสมองแตก กับอุบัติเหตุทางถนน โดยเส้นเลือดสมองแตกมาจากโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง ถ้าสามารถควบคุมตรงนี้ได้ก็จะสามารถลดความเสี่ยง และลดเคสที่เกิดขึ้นได้
 
ผศ.นพ.สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์ หัวหน้าสาขาวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย กล่าวว่า การตรวจสุขภาพเป็นการป้องกันโรค แต่การใช้ชีวิตต้องไม่ประมาท โดยเฉพาะกลุ่มที่ป่วยจากอาการความดันสูง ช่วง 5-10 ปี โรคหัวใจ หลอดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต คนไทยมีอัตราสูงมากขึ้นทั้งหมด แม้ตรวจไม่พบโรคก็ไม่ควรประมาท มีโอกาสเกิดได้ การตรวจปีละ 1 ครั้งไม่เพียงพอ
 
อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาบางคนบอกว่าจะเอาสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบ แต่คนสหรัฐฯกลับมีอาการป่วยด้วยโรคความดันสูงมากขึ้น ขณะที่ญี่ปุ่นกับอังกฤษ อัตราป่วยลดลง โดยเฉพาะญี่ปุ่นประชากรป่วยลดลงเพราะมีเครื่องวัดความดันที่บ้านถึง 35 ล้านเครื่อง จากประชากร 200 ล้านคน
 
"ถ้าไม่อยากเป็นเบาหวาน ความดัน ต้องดูแลสุขภาพ คุมน้ำหนัก รอบเอวต้องไม่มากเกินไป รับประทานอาหารย่อยง่าย กินพอหายหิว งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ออกกำลังกายหรือออกแรงขยับตัวมากๆ ไม่นั่งต่อเนื่องนานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะเพิ่มโอกาสเป็นเบาหวานและความดัน ต้องรู้จักควบคุมการหายใจช้าๆ คุมใจให้สงบเย็นลงได้" ผศ.นพ.สมเกียรติ กล่าว
 
ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้จัดอันดับ 5 โรคเรื้อรังที่แรงงานในระบบประกันสังคมเจ็บป่วยมากที่สุดในปี 2557-2558 โดยพบว่า โรคความดันโลหิตสูง มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยโรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ทุกโรคมีจำนวนคนป่วยเพิ่มมากขึ้น
 
โดยปี 2558 โรคความดันโลหิตสูงมีคนป่วย 542,566 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 กว่า 3 หมื่นคน สปส.ต้องใช้งบในการดูแลรักษากว่า 3 พันล้านบาท ส่วนโรคเบาหวาน ในปี 2558 มีคนป่วย 250,194 คน เพิ่มขึ้นกว่า 2 หมื่นคน ใช้งบในการดูแล 2.7 พันล้านบาท และโรคไขมันในเลือดสูง ปี 2558 มีคนป่วย 204,236 คน เพิ่มขึ้น 2 หมื่นคน ใช้งบในการดูแลกว่า 870 ล้านบาท
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เทพไท' แนะถ้าลงพื้นที่น้ำท่วม อย่าขึ้นเรือให้คนอื่นเข็นให้ลุยน้ำเอง

$
0
0
'เทพไท เสนพงศ์' อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ระบุการลงพื้นที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบเพื่อไปดูปัญหาด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่าระบบราชการไทยถ้าหากไม่มีการสั่งจากเบื้องบนก็จะทำงานด้วยความล่าช้า ชี้ประชาชนไม่อยากเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลงพื้นที่นั่งเรือแล้วให้ข้าราชการเข็นเรือให้ เป็นภาพที่ไม่เหมาะสม หากจะลงพื้นที่เพื่อสัมผัสปัญหาก็ควรที่จะลุยน้ำพร้อมกับประชาชน 

 
7 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่านายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะลงไปดูแลแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ความเห็นว่าต่อไปจะไม่ลงพื้นที่เพราะจะเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับราชการ แต่จะใช้วิธีบริหารจัดการที่ส่วนกลางแทน ตนมองว่าการลงพื้นที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบเพื่อไปดูปัญหาด้วยตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นความจำเป็นที่จะทำให้การแก้ปัญหาลุล่วง เพราะว่าระบบราชการไทย ถ้าหากไม่มีการสั่งจากเบื้องบน ก็จะทำงานด้วยความล่าช้า ดังนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ควรลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ประชาชนคงไม่อยากจะเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลงพื้นที่แล้วก็นั่งเรือ โดยให้ข้าราชการตำรวจ ทหาร เข็นเรือให้ ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่เหมาะสม หากจะลงพื้นที่เพื่อสัมผัสปัญหาของประชาชน ก็ควรที่จะลุยน้ำ ไปพร้อมๆกับข้าราชการและประชาชน ซึ่งจะเป็นภาพที่สวยงามกว่า อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอบคุณ หน่วยงานราชการ ทหาร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เข้าไปช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
 
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นพบปัญหาก็คือขาดเครื่องมือและงบประมาณ ดังนั้นตนอยากจะให้รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณผ่านไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงมากกว่าจะผ่านไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ สำหรับการอนุมัติจากกรมบัญชีกลางเป็นกรณีพิเศษให้กับจังหวัดละ 50 ล้านบาทนั้น ตนเห็นว่าบางจังหวัดที่มีความเสียหายไม่เท่ากัน ก็น่าที่จะอนุมัติงบประมาณไปตามความเสียหายที่เป็นจริงมากกว่าการอนุมัติในลักษณะรวมๆกันไป เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่ใหญ่ มีความสูญเสียมาก หากได้รับการอนุมัติวงเงินเท่ากับจังหวัดเล็กๆก็อาจจะเป็นปัญหาสำหรับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้
 
นายเทพไท กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าที่ตนอยากจะเสนอให้รัฐบาลเร่งแก้ไข และบูรณาการก็คือ 1.อยากให้มีการระดมสรรพกำลังทั้งหมดช่วยประชาชนให้ผ่านพ้นวิกฤติ  2.รัฐบาลดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในภาวะที่เกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพ เรื่องยารักษาโรค และรวมไปถึงการจัดที่พักพิงสำหรับผู้ที่ถูกน้ำท่วมที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 3.ให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลเรื่องปัญหาขาดแคลนสินค้าและการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า  4.รัฐบาลควรจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซ่อมแซมถนนที่จำเป็นให้เสร็จทันที และ5.รัฐบาลควรจะให้งบฯกับองค์กรส่วนท้องถิ่นที่รู้ปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างเพียงพอ
 
นายเทพไท กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว รัฐบาลควรสำรวจความเสียหายของประชาชนหลังจากเกิดอุทกภัยแล้ว เพื่อออกมาตรการเพื่อเยียวยาผู้ประสบภัยและงบซ่อมแซมถนนทั้งหมดที่เสียหายจากน้ำท่วมอีกทั้งวางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาน้ำท่วมสนามบิน ตนถือว่าเป็นความเสียหายในสายตาทั้งชาวไทยและชาวโลก โดยเฉพาะสนามบินนครศรีธรรมราช ที่ในครั้งนี้ถูกน้ำท่วมเป็นครั้งที่สองแล้ว ดังนั้นรัฐบาลก็ควรจะหามาตรการป้องกันปัญหาน้ำท่วมสนามบินโดยการสนับสนุนงบประมาณให้กับกรมอากาศยาน ซึ่งตนคาดว่าในเบื้องต้นนั้นงบประมาณที่จะสนับสนุนน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 2 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่าที่จะไม่ให้สนามบินถูกน้ำท่วมอีก
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉ.ใหม่ ให้พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

$
0
0

ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 หมายเหตุแนบท้าย เพื่อให้สอดคล้องเพื่อเป็นการสืบทอดและธํารงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี 

7 ม.ค. 2560 จากเมื่อวันที่  29 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้พิจารณา 3 วาระ ก่อนมีมติเอกฉันท์เห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ถวายคืนพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวานนี้ (6 ม.ค.60) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 โดยระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิตบิัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
 
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560”
 
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
 
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
 
“มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี
ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” 
 
โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ
 
นอกจากนี้ ราชกิจจานุเบกษา ยังได้หมายเหตุ ระบุถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ด้วยว่า โดยที่ตามโบราณราชประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานนั้น เป็นพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 เป็นต้นมา สมควรบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องเพื่อเป็นการสืบทอดและธํารงรักษาไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี ดังกล่าวโดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วรชัย' หนุนนิรโทษฯ คดีการเมืองทุกสีเสื้อ ใช้ ม.44 หรือ ผ่าน สนช. ก็ได้

$
0
0

7 มี.ค. 2560 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่านายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. ที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกสีเสื้อที่มีคดีความเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตามมาตรา 44 หรือผ่านทาง สนช. พิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยเร็วที่สุด เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดองตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใจจะให้เกิดขึ้น ช่วยลดความขัดแย้งในบ้านเมืองก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็ป ทั้งนี้ กลุ่มคนเหล่านี้มีคดีความเพราะมาร่วมชุมนุม เดินขบวนประท้วงเพียงเพราะความเห็นต่างการเมือง ดังนั้นเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์จะได้ช่วยล้างมลทินให้กับคนกลุ่มนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองก็ได้อานิสงส์จากเรื่องนี้ไปด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สำรวจตรวจตราแนวโน้มการขึ้นค่าจ้างปี 2560

$
0
0

ปี 2560 ทั้งจากการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่และจากการสำรวจภาคธุรกิจ พบแนวโน้มค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นต่ำสุด 1.7% สูงสุด 10% กลุ่มประกันชีวิต, ไฟฟ้า, เคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นมากสุด 

ปี 2560 ทั้งจากการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่และจากการสำรวจภาคธุรกิจพบแนวโน้มค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นต่ำสุด 1.7% สูงสุด 10% ที่มาภาพประกอบ: Freeimages9 (CC0 Public Domain)

7 ม.ค. 2560 นอกเหนือจากที่รัฐบาลเห็นชอบที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใน 69 จังหวัด โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มจังหวัด ซึ่งจะส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 1.7% ส่วนใน 8 จังหวัดปริมณฑลและกรุงเทพมหานครจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.3% ซึ่งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560 เป็นต้นไปนั้น (อ่านเพิ่มเติม: หมดยุคค่าแรงขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ ครม.ไฟเขียวตามบอร์ดค่าจ้าง ขึ้นเป็น 4 กลุ่มจังหวัด)  ยังพบว่าจากการสำรวจของบริษัทให้คำแนะนำด้านทรัพยากรมนุษย์ชั้นนำต่าง ๆ ได้สำรวจแนวโน้มค่าแรงปี 2560 ไว้ดังนี้

จากการสำรวจของ บริษัท วิลลิส ทาวเวอร์ส วัทสัน ประเทศไทย (Willis Towers Watson) แนวโน้มทุกอุตสาหกรรมปี 2560 ปรับขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5.5% ระดับเดียวกับที่ปรับในปี 2559 แต่อัตราเงินที่ได้เพิ่มจริงจะต่ำกว่า เพราะเมื่อนำเงินเดือนที่เพิ่มหักด้วยเงินเฟ้อ เท่ากับปี 2560 มีอัตราเงินได้เพิ่ม 4.4% ส่วนปี 2559 หักลบแล้วมีอัตราเงินเพิ่ม 5.3% แม้ผลสำรวจนี้จะทำก่อนรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัด แต่คาดว่าเมื่อรวมปัจจัยนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ไม่ได้ทำให้อัตราการขึ้นเงินเดือนปีหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินนัก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขึ้นเงินเดือนสูงสุดคือ ประกันชีวิต เพิ่ม 6% เท่ากับที่เพิ่มปี 2559 เพราะเป็นกลุ่มที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้จากการที่จำนวนผู้ทำประกันชีวิตในไทยยังต่ำและการแข่งขันในตลาดแรงงานยังมี

บริษัท แมนพาวเวอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (ManpowerGroup) ได้ทพการสำรวจบริษัทคู่ค้าในหลากหลายธุรกิจในช่วงเดือน ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจบริการ (Services Business) จำนวน 42% กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต (Industrial Group) จำนวน 32% และกลุ่มธุรกิจซื้อมาขายไป (Trad ing Company) จำนวน 26% เพื่อเป็นการสำรวจอย่างทั่วถึง จึงได้มีการกำหนดขนาดขององค์กรจากจำนวนบริษัทที่เข้าร่วมสำรวจทั้งหมด 1,000 บริษัท ออกเป็นองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และกลุ่มธุรกิจ พบว่าบริษัทคาดการณ์แนวโน้มการปรับอัตราเงินเดือนของพนักงานส่วนใหญ่ (ซึ่งจะปรับขึ้นในปี 2560) อยู่ที่ 3-7% โดยมีอัตราการปรับเงินเดือน 3-5% จากฐานเงินเดือนที่บริษัทจะปรับให้พนักงานมาเป็นอันดับหนึ่งในสัดส่วน 42% ตามมาด้วยอัตราการปรับเงินเดือนที่ 6-7% ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือ 41% ในขณะเดียวกัน จากการสำรวจได้ค้นพบว่ายังมีบริษัทในจำนวน 7% คาดการณ์ว่าจะปรับอัตราเงินเดือนอยู่ที่ 8-9% และมีบริษัทเพียง 1% เท่านั้นที่คาดการณ์ว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานมากกว่า 10% สำหรับบริษัทที่มีแนวโน้มการปรับเงินเดือนให้พนักงานน้อยกว่า 3% จากการสำรวจมีเพียง 8% เท่านั้นอันเนื่องมาจากภาวะซบเซาของตลาดและผลประกอบการที่ลดลง

ด้าน คอร์น เฟอร์รี่ เฮย์ กรุ๊ป (Korn Ferry and Hay Group) ได้จัดทำผลสำรวจค่าจ้างค่าตอบแทน ประจำปี 2560 โดยในไทยสำรวจการจ่ายค่าจ้างค่าตอบแทนจากกว่า 200 องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วงเดือน ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา ระบุว่าแนวโน้มปี 2560 จะปรับขึ้นเงินเดือน 5.49% สูงกว่าปี 2559 ที่ปรับขึ้น 5.3% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขึ้นเงินเดือนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้า ปรับขึ้น 6.5% กลุ่มเคมีภัณฑ์ ปรับขึ้น 5.8% และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี 5.6%

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มูฮัมหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะได้รับอิสระหลังถูกตัดสินจำคุกข้อหาเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็น

$
0
0

มูฮัมหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ หรืออันวาร์ นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมที่ในปี 2556 ถูกศาลฎีกากลับคำพิพากษาตัดสินจำคุก 12 ปี ในข้อหาตระเตรียมการเป็นกบฏ-เป็นสมาชิกบีอาร์เอ็น ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังได้รับการลดโทษตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์

วิดีโอเพลงประกอบการรายงานข่าวมูฮัมหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะได้รับการปล่อยตัว ที่มา: Facebook/Insouthvoice

7 ม.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เรือนจำจังหวัดปัตตานี มูฮัมหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ หรืออันวาร์ หนึ่งในนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2556 ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 12 ปี ในข้อกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนท ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังได้รับการลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2559 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

โดยในวันนี้เพื่อนๆ รวมทั้งภรรยาของอันวาร์คือ รอมือละห์ แซยะ ได้ไปรอรับที่เรือนจำ และหลังได้รับการปล่อยตัวอันวาร์เดินทางไปที่มัสยิดกรือเซะ เพื่อละหมาดชูโกร หรือละหมาดเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เขาได้รับอิสรภาพ จากนั้นรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านข้างมัสยิดกรือเซะ และจึงเดินทางไปพักที่บ้านใน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

ผู้มีบทบาทแข็งขันในงานสื่อสารและภาคประชาสังคม

สำหรับอันวาร์ มีบทบาทในการก่อตั้งสำนักสื่อบุหงารายา ในปี 2550 เป็นการรวมตัวของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างสื่อทางเลือกในการรายงานข่าวและความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อให้คนท้องถิ่นมีสื่อเป็นของตัวเอง โดยในปี 2552 อันวาร์ได้เริ่มเข้ามาร่วมงานกับสำนักสื่อบุหงารายาในฐานะบรรณาธิการ เนื่องจากเพื่อนๆ เห็นว่าอันวาร์มีทักษะในการเขียนข่าวและบทความ อันเป็นความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการของสำนักข่าวเนชั่น

ในปี 2554 ซึ่งเป็นยุคที่สื่อทางเลือกในพื้นที่ได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย อันวาร์จึงเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการนำเสนอเน้นทำงานในประเด็นการศึกษาทางเลือก อบรมด้านสิทธิมนุษยชน สันติภาพ กิจกรรมเยาวชน นอกจากนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่เห็นความสำคัญของภาษามลายู เป็นผู้ที่เริ่มและเน้นการใช้ตัวอักษรยาวีในการเขียนงานเพื่อเป็นการอนุรักษ์ภาษามลายูในพื้นที่ด้วย ในรูปแบบของป้ายประชาสัมพันธ์ การทำนิตยสาร และเอกสาร เนื่องจากภาษามลายูที่ใช้อักษรยาวีเป็นอัตลักษณ์สำคัญหนึ่งของคนในพื้นที่ ในขณะที่สังคมชาวมลายูในอินโดนีเซียและมาเลเซียจะเน้นใช้อักษรรูมี

 

คดีที่นำไปสู่การจองจำอันวาร์

คดีของอันวาร์เริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคมปี 2548 เมื่อมีการจับกุมกลุ่มบุคคลทีละรายแต่รวมแล้ว 11 คน โดยใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ซึ่งเพิ่งประกาศใช้เป็นครั้งแรกในพื้นที่ โดยอันวาร์ซึ่งถููกจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกแยกฟ้อง 4 สำนวน ด้วยข้อหาหลักๆ คือ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ก่อการร้าย  อั้งยี่ ซ่องโจร ซึ่งจำเลยทั้งหมดปฏิเสธ ในการพิจารณา ศาลถือเป็นเรื่องเดียวกันจึงพิจารณาไปพร้อมกัน

ทั้งนี้แม้ไม่มีหลักฐานว่าอันวาร์เคยก่อเหตุความไม่สงบใดๆ แต่ในเดือนกรกฎาคม 2550 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อันวาร์มีความผิดฐานเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนท ตระเตรียมการอันเป็นกบฏ ให้ลงโทษจำคุกคนละ 12 ปี แต่ให้ยกฟ้องจำเลยสองคนเพราะเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอ จำเลยอุทธรณ์

ในวัที่ 16 มิถุนายน 2552 ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ยกฟ้องอันวาร์พร้อมจำเลยอีกคนหนึ่งคืออัรฟาน บินอาแว แต่ให้ลงโทษคนอื่นๆ ที่เหลือ อัยการอุทธรณ์คำสั่ง พอไปถึงชั้นศาลฎีกา จำเลยทั้งหมดต่างสู้คดีอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นกัน อ้างความไม่น่าเชื่อถือของพยานของอัยการว่าเป็นพยานบอกเล่า ซัดทอด และไม่มีการนำพยานที่ยอมรับว่าเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็นมาเบิกความในศาล ส่งแต่เพียงสำนวนสอบสวนในชั้นซักถามและในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งยังไม่มีหลักฐานอื่นๆ มาสนับสนุน

ระยะเวลาผ่านไปเกือบ 4 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาให้บรรดาจำเลยและครอบครัวฟัง ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องอันวาร์และอัรฟาน และยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นคือให้ลงโทษทุกคน จำคุกคนละ 12 ปี

ในรายงานของ FT Media (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)ศาลฎีกาตัดสินโดยให้น้ำหนักจากเจ้าหน้าที่ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมและสอบสวนตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคือง" กับจำเลยจึงไม่มีเหตุที่จะไป "สร้างเรื่อง ปรักปรำหรือข่มขู่ บังคับ หรือว่าจูงใจ" ให้บรรดาคนที่ให้ปากคำแหล่านั้นพูดตามที่ให้การ นอกจากนั้นศาลเห็นว่า การที่พวกเขาสามารถให้รายละเอียดของกระบวนการที่สมาชิกบีอาร์เอ็นทำก็ทำให้คำให้การนั้นสมจริง เพราะเป็นองค์กรที่ปิดลับ ต้องเป็นคนในเท่านั้นจึงจะรู้ได้

คำตัดสินของศาลดังกล่าว อาศัยหลักฐานจากการซัดทอดของคนสี่คน ในระหว่างการให้การในชั้นซักถามตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคำให้การของตำรวจในชั้นสอบสวน โดยมีเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ที่ได้เบิกความกับศาล นอกจากนั้นคำให้การของนักเรียนปอเนาะอีกสามรายที่ได้มาจากการซักถามในชั้นตำรวจ โดยให้การเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของสมาชิกบีอาร์เอ็นในการวางแผนสังหารดาบตำรวจ แต่ในชั้นศาล พวกเขากลับคำให้การ โดยบอกว่าไม่รู้เรื่องการวางแผนใดๆของสมาชิกบีอาร์เอ็นที่ไปก่อเหตุ อย่างไรก็ตามศาลนับเฉพาะคำให้การที่ให้ไว้ครั้งแรกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในชั้นสอบสวนแทน โดยไม่ฟังคำให้การในชั้นศาลโดยอ้างว่านักเรียนปอเนาะสามรายต้องการช่วยเหลือจำเลย

โดยศาลตัดสินให้จำเลยมีความผิดฐาน “อั้งยี่  ตระเตรียมการอันเป็นกบฏ” แต่จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานกระทำการอันเป็นกบฏ ก่อการร้ายและซ่องโจร เนื่องจากยังไม่ได้กระทำการใดๆ เพียงแต่ไปร่วมรับการฝึกฝนอบรม – เตรียมการเท่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปาฐกถาสร้างแรงบันดาลใจแห่งปี ‘อังคณา นีละไพจิตร’ ผู้หญิง ความยุติธรรม ความทรงจำบาดแผล

$
0
0

“ราคาของความยุติธรรมที่ต้องแลกกับคราบน้ำตาและชีวิตของผู้คนมากมกาย ถึงวันนี้พิสูจน์ว่าความยุติธรรมไม่มีจริง”  “การรักษาความทรงจำคือการรักษาประวัติศาสตร์ และมันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ในสังคมที่เปิดให้การถกเถียงอย่างอิสระและเปิดเผยจะทำให้เกิดการเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก” ฯลฯ

อังคณา นีละไพจิตร

สรุปปาฐกถาท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ หัวข้อ “ผู้หญิง ความยุติธรรมและความทรงจำบาดแผล” โดยอังคณา  นีละไพจิตร ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ วันที่ 7 ม.ค.2560

ปัจจุบันอังคณาดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อดีตพยาบาลที่เริ่มต้นเคลื่อนไหวด้านนี้หลังจาก สมชาย นีละไพจิตร สามีผู้เป็นทนายความที่มีบทบาทเปิดโปงการซ้อมทรมานผู้ต้องหาในชายแดนใต้ถูกอุ้มหายไปในปี 2547 จากการเคลื่อนไหวด้านคดีและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามี เธอได้ทำงานด้านนี้อย่างจริงจังในวงกว้างขึ้นเป็นลำดับ เธอเป็นประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และครอบครัวผู้ถูกทรมานและบังคับสูญหาย เธอมีบทบาทในส่วนนโยบายโดยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2550 เป็นกรรมาธิการแก้ปัญหาชายแดนใต้ ตั้งแต่ปี 2550-2557 ได้รับรางวัลมากมายจากทั้งในและต่างประเทศ

นอกเหนือจากภาพความเข้มแข็งของเธอ การต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองและคนอื่นๆ อย่างไม่ย่อท้อ น้อยคนนักที่จะรู้ว่า 12 ปีหลังการต่อสู้ในศาล เธอประสบกับ “ความพ่ายแพ้” ตามคำบอกเล่าของเธอ ไม่ใช่เฉพาะการตามหาความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม หากแต่ในชีวิตจริง หลังจากการหายตัวไปของสามี ผู้แวดล้อมคดีนี้ก็หายตัวและถูกสังหารอีก ไม่ว่าจะเป็นพยานลูกความของทนายสมชายที่ยืนยันการถูกซ้อมคนหนึ่งที่หายตัวไปจนปัจจุบัน ภรรยาของเขาก็ถูกยิงเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ฯลฯ

อังคณาได้รับคัดเลือกเป็นองค์ปาฐกในปีนี้ในหัวข้อที่เธอตั้งขึ้นเอง ใช้เวลาพูดราว 1 ชั่วโมง เธอกล่าวเริ่มต้นถึงแรงบันดาลใจที่ได้จากท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาของนายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแต่กลับไม่เป็นที่รู้จักมากนักในสังคมไทย

“ในโอกาสครบรอบ 105 ปีชาตกาลของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ มันสำคัญมากในการทบทวนวรรณกรรมและการต่อสู้ของผู้หญิง ตัวดิฉันเองมีความภาคภูมิใจและชื่นชมตัวท่านอย่างมากในความกล้าหาญ ทรนง และไม่เคยก้มหัวให้กับอำนาจไม่ชอบธรรม โดยไม่ต้องการยศถาบรรรดาศักดิ์” อังคณากล่าว

เธอกล่าวด้วยว่าเมื่อมีโอกาสทำงานกับผู้หญิงมากขึ้น ทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่ปรีดีเขียนถึงพูนศุขเมื่อครั้ง 10 วันหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ปรีดีอธิบายเรื่องเกิดขึ้นให้ภรรยาฟังโดยลงท้ายในจดหมายว่า “การเมืองก็การเมือง ส่วนตัวก็ส่วนตัว” อังคณากล่าวว่าในฐานะของผู้หญิงในครอบครัวและผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เธอเข้าใจประโยคนี้ดีว่า เราไม่สามารถแยกความเป็นผู้หญิงในครอบครัวกับความเกี่ยวพันทางสังคมการเมืองได้ โดยเธอขอยืนยันความเชื่อนี้ผ่านการต่อสู้ของผู้หญิง 3 กลุ่มที่หลากหลายแต่เชื่อมร้อยด้วยความรักความเป็นธรรมที่ไม่ต่างกัน

“ระหว่างสู้พวกเธอต้องร้องไห้เจ็บปวด แต่ก็แปรเปลี่ยนบาดแผลความทรงจำเป็นพลังและมีความหวัง หลายครั้งพวกเธอต้องต่อสู้กับความกลัว แต่ด้วยความหวังจะเห็นความเป็นธรรมถูกสถาปนาขึ้นจึงทำให้ยังคงต่อสู้ต่อไป และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมาก

“อันที่จริงทั้งหญิงและชายก็ย่อมมีความทรงจำบาดแผลไม่ต่างกัน แต่เหตุผลที่อยากหยิบยกเรื่องผู้หญิงมาพูดเหตุผลหลายประการ ประการแรก ดิฉันคือผู้หญิง ประการที่สอง ดิฉันมีโอกาสเป็นพยานรู้เห็นความไม่เป็นธรรมหลายครั้งในประเทศนี้ และทำให้เห็นว่าแถวหน้าของผู้ทวงถามความเป็นธรรม ประชาธิปไตย คือ ผู้หญิง ประการสุดท้าย ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากความไม่เป็นธรรมนั้นในฐานะเหยื่อทางอ้อม แบกรับภาระทุกอย่างที่ตามมา

“แม้จะมายืนแถวหน้าแต่ขณะเดียวกัน ผู้หญิงก็ยังมีวิถีชีวิตความเป็นผู้หญิง หลายคนต่อสู้ขณะตั้งครรภ์ ประท้วงขณะให้นมบุตร ต้องดูแลลูกเล็ก ดูแลพ่อแม่ การเรียกร้องความยุติธรรมของผู้หญิงจึงซับซ้อนกว่าผู้ชาย และบางกรณีขณะที่ปกป้องผู้อื่น พวกเธอก็ยังเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ”

แม่และยาย (ตัวแสบ ) ในอาร์เจนตินา สู้ 30ปีไม่มีคำว่าสาย

อังคณาแบ่งกลุ่มผู้หญิงที่เธอจะพูดถึงเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ผู้หญิงในครอบครัวเหยื่อที่ถูกซ้อมทรมานและบังคับสูญหายในอาร์เจนตินาในช่วงทศวรรษ 2500-2510 รัฐบาลอาร์เจนติน่ามีการปราบปรามฝ่ายซ้ายและคนหนุ่มสาวขนานใหญ่ ช่วง 3 ปีของการปราบปราม ประมาณการว่ามีผู้ถูกอุ้มหายมากกว่า 30,000 คน จนผู้คนเรียกขานเหตุการณ์นี้ว่า “สงครามสกปรก” แม่คนหนึ่งลุกขึ้นมาร้องถามว่าลูกของเธออยู่ที่ไหน ที่จัตุรัสกลางกรุงบูเอโนสไอเรสอย่างไม่ลดละ จากแม่คนเดียวก็มีแม่คนอื่นๆ มาสมทบด้วยมากมายกลายเป็นการชุมนุมทุกวันพฤหัส เกิดขึ้นอย่างยาวนานเพื่อไม่ให้สังคมลืมเหตุการณ์นั้น มีผ้าโพกศีรษะสีขาวเป็นสัญลักษณ์ ระหว่างประท้วงแม่บางคนก็ถูกอุ้มหายไปอีก และยายก็ออกมาทวงถามหาลูกสาวซึ่งออกมาทวงถามหาหลานอีกที

“มันเป็นความอัปยศของกระบวนการยุติธรรมไทย และความพ่ายแพ้ของครอบครัว ตลอดกว่า 12 ปีของการสู้คดี ยังมีโศกนาฏกรรมเกิดกับคนอีกมากมาย...ราคาของความยุติธรรมที่ต้องแลกกับคราบน้ำตาและชีวิตของผู้คนมากมกาย ถึงวันนี้พิสูจน์ว่าความยุติธรรมไม่มีจริง”  

หลังเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย กลุ่มแม่เริ่มเคลื่อนไหวในทางการเมือง ไม่ยอมรับค่าชดเชยจนกว่ารัฐบาลทหารของอาร์เจนตินาจะยอมรับผิด นอกจากนี้ยังเคลื่อนไหวยกเลิกกฎหมาย 2 ฉบับที่ทำให้ทหารพ้นผิด ฉบับหนึ่งระบุระยะเวลาฟ้องคดีเพียง 60 วันหลังเกิดเหตุ ส่วนอีกฉบับคุ้มครองทหารระดับกลางและระดับล่างให้ไม่ต้องรับผิดในการละเมิดประชาชนเพราะเป็นการทำตามคำสั่ง ต่อมาปี 2549 ศาลสูงตัดสินว่ากฎหมายทั้งสองฉบับขัดต่อรัฐธรรมนูญ การไต่สวนคดีจึงเริ่มต้นอีกครั้งหลังเหตุการณ์ผ่านไป 22 ปี สุดท้ายก็สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ มีการเปิดเผยชะตากรรมของผู้สูญหาย รวมถึงนำกระดูกบางส่วนคืนครอบครัว กลุ่มแม่ส่วนใหญ่ยุติบาทบาทแต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงชุมชนทุกวันพฤหัสเพื่อพูดถึงประเด็นทางสังคมอื่นๆ เรื่อยมา

 การบังคับสูญหายในประวัติศาสตร์ไทย และ 82กรณีที่รัฐบาลตอบไม่ได้

สำหรับในประเทศไทย ปี 2490 มีการบันทึกว่า การบังคับสูญหายถูกนำมาใช้เพื่อจัดการความเห็นต่างทางการเมือง ตั้งแต่กรณีนายเตียง ศิริขันธ์ และหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ หลังปี 2490 วิธีการนี้ถูกเว้นวรรคไป ปรากฏอีกครั้งกลางทศวรรษ 2500 ในยุคที่ทหารไทยทำสงครามปราบคอมมิวนิสต์ ในพัทลุงมีรายงานการสูญหายของบุคคลจำนวนมาก จนชาวบ้านสร้างอนุสรณ์สถาน “ถังแดง” รำลึกผู้ถูกอุ้มฆ่าเวลานั้น หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาเรื่อยมาจนถึงทศวรรษ 2530 ในปี 2534 นายทนง โพธิ์อ่าน ผู้นำแรงงานและสมาชิกวุฒิสภาก็หายตัวไป ต่อมาปี 2535 มีรายงานผู้สูญหายจำนวนมากในเหตุการณ์พฤษภาเลือด จนถึงทศวรรษ 2540-2550 ภายใต้นโยบายสงครามยาเสพติดและการปราบปรามการก่อการร้ายในภาคใต้ก็มีผู้สูญหายอีกจำนวนไม่น้อย คณะกรรมการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ ระบุว่าตั้งแต่ปี 2530-ปัจจุบัน มี 82 กรณีที่รัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงสถานะและที่อยู่ของผู้สูญหายได้

ความทรงจำบาดแผลของครอบครัว นีละไพจิตร-บิลลี่-แม่เฒ่าลาหู่

ในความทรงจำของครอบครัว อังคณาหยิบยกโควทคำพูดของครอบครัวเหยื่อหลายกรณี โดยเริ่มต้นจากประทับจิตร ลูกสาวของเธอเองที่เคยบอกเล่าความรู้สึกไว้ว่า ตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา เรารู้สึกถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะเสียงเล็กๆ ของครอบครัวเราไม่เคยได้ยินถึงหูผู้มีอำนาจ เขาต้องการให้เรากลัว ปิดปากเงียบ...เราบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องมีชีวิตที่ดี ช่วยเหลือสังคมเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อเราไม่ใช่คนผิด...เราไม่อยากทำร้ายคนที่ทำร้ายพ่อ แต่อยากบอกกับเขาว่า เราไม่กลัวและเราจะมีชีวิตที่ดีเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

พิณนภา พฤษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ รักจงเจริญ หนุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยง บ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ผู้เคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่ถูกอุ้มหายไปเคยพูดว่า พอบิลลี่หายไป ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ต้องเลี้ยงดูลูก 5 คนกับพ่อแม่ที่อายุมาก ชีวิตเหมือนกลายเป็นอีกคน จากไม่เคยเข้าเมือง ตอนนี้เพื่อเดินทางไปทุกที่เพื่อหาความยุติธรรม อยากฝากถึงรัฐบาลว่า อย่าปล่อยให้คนทำผิดลอยนวลได้ไหม ช่วยนำคนไม่ดีมารับโทษทางกฎหมายได้ไหม เพื่อไม่ให้พวกเขาไปทำผิดต่อคนอื่นอีก

ครอบครัวชาวมลายูมุสลิมที่ถูกบังคับสูญหายรายหนึ่งเล่าว่า ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญกับผู้ชายมาก แต่เมื่อไม่มีหลักฐานว่าเขาเสียชีวิต เธอจึงไม่มีโอกาสจัดพิธีศพ ลูกๆ ก็ไม่ได้รับทุนการศึกษา ครอบครัวอยู่อย่างยากลำบาก หวาดกลัว ไม่เห็นอนาคต

แม่เฒ่าชาวลาหู่เคยเล่าว่า เธอนั่งรอลูกชายหน้าบ้านทุกวัน ทุกวันนี้ยังคิดว่าลูกจะกลับมา...”พวกเขามีอำนาจ พวกเขาคิดว่าเราเป็นคนผิด คิดว่าเราขายยาเสพติด แม้แต่แจ้งความฉันก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีสัญชาติ ทั้งที่อยู่ที่นี่มานาน ฉันโกรธและเผาพริกเผาเกลือแช่งพวกเขาทุกวัน”

อังคณากล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐพยายามสร้างความเคลือบแคลงในตัวผู้สูญหายแทนที่จะพยายามตามหาพวกเขา หลังคนคนหนึ่งหายไปมักเกิดข่าวลือมากมาย ทำให้สาธารณชนคิดว่า เป็นคนไม่ดี และมีเพียงทนายสมชายคดีเดียวที่ถูกนำขึ้นการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรม แต่ท้ายที่สุดเมื่อต่อสู้มาเกือบ 13 ปี ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยตำรวจ 5 คน และตัดสิทธิ์ครอบครัวในการฟ้องร้องแทนผู้เสียหาย เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าสมชายได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจนไม่สามารถฟ้องคดีได้ด้วยตนเอง

“มันเป็นความอัปยศของกระบวนการยุติธรรมไทย และความพ่ายแพ้ของครอบครัว ตลอดกว่า 12 ปีของการสู้คดี ยังมีโศกนาฏกรรมเกิดกับคนอีกมากมาย ตำรวจที่เป็นจำเลยที่หนึ่งที่ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปีหายสาบสูญ ลูกความคนหนึ่งที่เป็นพยานในคดีซ้อมทรมานก็หายสาบสูญ ภรรยาของเขาถูกยิงเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน ทิ้งลูกเล็ก 2 คนไว้ตามลำพัง อีก 2 คนที่เป็นพยานว่าถูกซ้อม ก็ถูกแจ้งข้อหาให้การเท็จ...และหนึ่งในนั้นหายสาบสูญไป

“ราคาของความยุติธรรมที่ต้องแลกกับคราบน้ำตาและชีวิตของผู้คนมากมกาย ถึงวันนี้พิสูจน์ว่าความยุติธรรมไม่มีจริง”  

ชาวบ้านวังสะพุง-กรณ์อุมา ภรรยาเจริญ-แม่และเมียกรณีตากใบ

อังคณากล่าวถึงกลุ่มผู้หญิงกลุ่มที่ 2 นั่นคือ กลุ่มผู้หญิงปกป้องสิทธิชุมชน โดยยกตัวอย่างกรณีวังสะพุง จังหวัดเลยซึ่งต่อสู้กับเหมืองทองคำ ชาวบ้านกังวลผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่และเคลื่อนไหวต่อต้านการตั้งเหมือง มีการรวมกลุ่มห้ามรถขนสารพิษผ่านชุมชน มีผู้หญิงเข้าร่วมทุกกระบวนการเคลื่อนไหว วันที่ 15 พ.ค. 2557 ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธบุกพื้นที่ชาวบ้าน เหตุการณ์วันนั้นผู้หญิงเผชิญกับความรุนแรงมากขึ้น แม่คนหนึ่งบอกว่า.... “เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราผ่านความตายมาแล้ว วันนั้นเด็กผู้หญิงโดนจับมัด ถูกข่มขู่ว่าจะเอาไปข่มขืน ไม่มีตำรวจมาช่วย พวกเขาบอกว่าเราขัดขวางการพัฒนา แต่ไม่คิดว่าเรากำลังปกป้องภูเขา ป่าไม้ และทรัพยากรของเรา ฉันถูกฟ้องคดีกว่ายี่สิบคดี ถูกฟ้องค่าเสียหายกว่าพันล้านบาท”

อังคณากล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนถูกดำเนินคดีจำนวนมาก ทำให้การต่อสู้ของผู้หญิงมีความซับซ้อนขึ้น ต้องหาเงินทุนประกันตัวเอง จ้างทนายความ แม้แต่การเดินทางไปศาลแต่ละครั้งก็ต้องหาค่าใช้จ่าย ขณะที่มีภาระต้องดูแลครอบครัวด้วย แม้ศาลยุติธรรมจะเป็นความหวัง แต่ไม่นานนี้ศาลปกครองก็เพิ่งยกฟ้องคดีพิพาทที่ชาวบ้าน อ.วังสะพุง จ.เลย ฟ้องรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย หลังคำพิพากษาชาวบ้านถึงกับร่ำไห้ ตัวแทนกลุ่มแม่ ชาวบ้านบอกว่า น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ใช่น้ำตาของผู้แพ้ มันเครียด มันน้อยใจ คนมีอำนาจเขามองไม่เห็น.....”

เธอยังหยิบยกกรณีของแม่สมปอง เวียงจัน แม่ค้าแกนนำกลุ่มชาวบ้านปากมูนที่ต่อสู้เรื่องเขื่อนปากมูลเคยกล่าวไว้ว่า “ฉันสู้มา 30 ปี ตอนสู้ใหม่ๆ เขาไม่เห็นเราเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ เราหยุดไม่ได้ เราหยุดเราก็ตาย ผู้หญิงมีบทบาทหลักในครอบครัว ถ้าทรัพยากรหายเราก็อยู่ไม่ได้ ฉันถูกฟ้องร้องนับสิบคดี”

ไม่ต่างจากกระรอก กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานักต่อสู้เจริญ วัดอักษร แห่งกลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก จ.ประจวบฯ เคยกล่าวว่า 11 ปีของการติดตามคดีเจริญ เราได้เรียนรู้ว่า กระบวนการยุติธรรมไม่มีวันเอื้อมมือไปถึงคนจ้างวานฆ่าได้ ถ้าทำให้คนฆ่าตายไปก่อนจะพิพากษา เราคาดหวังกับกระบวนการยุติธรรมได้ยากเต็มที...ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่จะมีอยู่จริงได้ยังไง ถ้าแย่งมาจากคนเล็กคนน้อย เพราะชาติประกอบด้วยชุมชนเล็กๆ จำนวนมาก ถ้าชุมชนเข้มแข็งชาติจึงจะเข้มแข็ง

กลุ่มสุดท้ายกลุ่มที่ 3 อังคณาหยิบยกกรณีผู้หญิงที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุการณ์ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อปี 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 78 คนว่า ในวันฉลองวันสิ้นสุดของรอมฎอนในปีนั้น เด็กหนุ่มหลายคนกลับถึงบ้านวันถัดมาด้วยสภาพปราศจากลมหายใจ หากมีโอกาสสัมผัสชีวิตบรรดาแม่ๆ เหล่านั้นจะพบว่าพวกเธอเป็นผู้กุมอนาคตสังคมมลายูมากกว่าผู้ชายเสียอีก เธอเลี้ยงดูครอบครัวและทำหน้าที่หลักในการทวงถามความยุติธรรมด้วย น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเห็นพวกเธอในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ทางการเมืองที่มีอำนาจตัดสินใจ หนึ่งในนั้นเคยตอบคำถามว่าทำไมครอบครัวกรณีตากใบจึงไม่ฟ้องร้องรัฐ คำตอบก็คือ “ถึงฟ้องไปเราก็ไม่มีทางชนะรัฐได้หรอก แต่เราอยากจะบอกว่าถึงแม้เราไม่ฟ้องคดีในศาล เราก็รู้ว่าใครผิด ใครต้องรับผิดชอบ เราเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ความยุติธรรมได้ ทุกวันนี้รัฐยังมองเราเป็นโจร ทุกปีของเดือนรอมฎอนเรายังคงคิดถึงลูกหลานของเรา หลายครอบครัวยังคงร้องไห้ เราไม่เคยลืม แม้รัฐให้เงินเยียวยา แต่เงินไม่ได้ทำให้เราลืมเรื่องที่เกิดขึ้น”

อังคณากล่าวว่า บางคนอาจมองว่าความยุติธรรมเกี่ยวพันโดยตรงกับความประชาธิปไตย แต่ประสบการณ์ของเธอพบว่า การละเมิดสิทธิ์เกิดทั้งภายใต้รัฐบาลทหารและพลเรือน แต่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้เป็นอิสระ เข้าถึงการตรวจสอบมากกว่ารัฐบาลทหาร และประชาชนจะไม่หวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับรัฐ

เธอกล่าวอีกว่า ความยุติธรรมนั้นสำหรับเหยื่อหมายถึงการได้รับโทษของคนที่กระทำผิด การชดใช้เยียวยา และการสร้างหลักประกันว่าเหตุการณ์จะไม่เกิดซ้ำอีก ซึ่งต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้ประชาชนตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปทหาร ปฏิรูปความมั่นคง การที่เจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิของประชาชนแล้วไม่ต้องรับโทษ ทำให้เกิดวัฒนธรรมไม่ต้องรับผิดหรือการปล่อยคนผิดให้ลอยนวล ในประเทศไทยเรามักเรียกร้องให้เหยื่อให้อภัยแล้วลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยรัฐและสังคมไม่สนใจแสวงหาความจริง ไม่แสวงหาความยุติธรรมไม่เผชิญหน้ากับอดีต ไม่มีการจับคนผิด ไม่มีการปฏิรูปกฎหมายและความมั่นคง การเยียวยาที่รัฐให้เป็นเหมือนการสงเคราะห์ หลายครั้งการเยียวยายังมีการทวงบุญคุณกับครอบครัว การบังคับให้สัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องอีก นั่นจึงไม่ใช่การคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ครอบครัวเหยื่อ แต่คือการซ้ำเติม การให้การชดเชยด้วยเงินจำนวนมากไม่อาจรับประกันได้ว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก การรักษาความทรงจำของการละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาความจริงที่เกิดขึ้น และทำให้การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมดำรงอยู่

“การรักษาความทรงจำคือการรักษาประวัติศาสตร์ และมันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ในสังคมที่เปิดให้การถกเถียงอย่างอิสระและเปิดเผยจะทำให้เกิดการเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก” เธอกล่าวและว่า ส่วนเหยื่อถ้าไม่ได้รับการฟื้นฟู เหยื่อจะกลายมาเป็นผู้ใช้ความรุนแรงในภายหลัง การบันทึกประวัติศาสตร์ความทรงจำของผู้แพ้ แม้ขมขื่น แต่เรื่องราวของพวกเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

“การเรียกร้องการให้อภัย ถ้าคนทำผิดไม่เคยแสดงออกซึ่งการสำนึกผิดในสิ่งที่ทำ การให้อภัยย่อมไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดผลในการเปลี่ยนแปลง หนำซ้ำยังทำให้มีการกระทำผิดซ้ำซาก การขอโทษและการยอมรับต่อสถานะ ต่อข้อเท็จจริง และการรับผิดชอบ เป็นการชดใช้รูปแบบหนึ่งต่อเหยื่อที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่นเดียวกับการลงโทษผู้กระทำผิดก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง การขอโทษ การยอมรับผิดสำคัญมาก การที่สาธารณะได้รับรู้ความทุกข์ทรมานของพวกเขา และความจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิดเป็นขั้นตอนสำคัญในการนำไปสู่การปรองดองอย่างยั่งยืน”

“ความหวังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผู้หญิงยืนหยัดต่อสู้กับการปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยไม่หวาดกลัว พร้อมเผชิญหน้า เพื่อสร้างแบบอย่างการต่อสู้ของคนสามัญ คนสามัญที่อาจไม่มีใครรู้จัก คนเล็กๆ แต่เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ให้คนมากมาย คนที่ใช้ความทุกข์ยากของตนเองเป็นดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายปูทางสู่ชีวิตที่ดีกว่าของคนรุ่นต่อไป คนที่ไม่ท้อถอย ไม่ยอมแพ้ ไม่ก้มหัวให้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เราทุกคนจึงควรขอบคุณพวกเขาร่วมกัน”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชำนาญ จันทร์เรือง: เมื่ออำนาจรัฐใช้การไม่ได้

$
0
0


 


ในสภาวการณ์ที่บ้านเมืองในปัจจุบันดูเหมือนจะสงบกว่าที่ผ่านๆมาเพราะรัฐมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการทั้งในด้านบริหารที่ไม่ต้องพะวักพะวนกับโควตารัฐมนตรีและม็อบต่างๆ มีอำนาจเด็ดขาดในด้านนิติบัญญัติในการออกกฎหมายจากสภานิติบัญญัติที่ไม่มีฝ่ายค้านให้กวนใจ และมีอำนาจในด้านตุลาการผ่านศาลทหารโดยตรงและผ่านศาลอื่นโดยอ้อมเพราะต้องพิจารณาคดีตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายและคำสั่งที่ออกโดย คสช.ที่เชื่อกันว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์ และที่สำคัญที่สุดคือมีมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯที่มีอำนาจครอบจักรวาลอยู่ในมือ แต่สถานการณ์บ้านเมืองที่แท้จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะยังมีบางกรณีที่อำนาจรัฐใช้การไม่ได้ คือ


1 ) กรณีวัดธรรมกาย

กรณีนี้ไม่ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งจะทุ่มเทสรรพกำลังกำชับวงล้อมวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมหรือกดดันให้พระเทพญาณมุนีหรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสให้มอบตัวในคดีต่างๆซึ่งนับถึงปัจจุบันมีถึง 175 คดีรวมทั้งตั้งข้อหานายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายในข้อหายุงยง ปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งนายองอาจยังคงล่องหนหายตัวไป มีเพียงพระวิเทศภาวนาจารย์ รักษาการเจ้าอาวาสเดินทางไปยัง สภ.คลองหลวงเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงพระธรรมชโยและข้อหาอื่น รวม 19 คดีเท่านั้น

ซึ่งกรณีวัดธรรมกายนี้เป็นที่จับตาของหลายฝ่าย ทั้งจากฝ่ายที่อยากให้รัฐใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดเข้าดำเนินการให้สิ้นซาก เพราะด้วยเหตุความเชื่อที่ว่าธรรมกายไม่ใช่พุทธตามความเชื่อของตนเอง หรือด้วยเหตุที่เชื่อว่าวัดธรรมกายให้การสนับสนุนหรือได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกทักษิณ จึงจำเป็นต้องจัดการให้ได้โดยเร็ว

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นฝ่ายที่เคารพและศรัทธาคำสั่งสอนของพระธัมมชโย แต่ก็มีที่แอบเชียร์การขัดขืนของวัดธรรมกายโดยไม่ได้ศรัทธาต่อวัดธรรมกายแต่อย่างใด โดยแอบหวังลึกๆว่าหากวัดธรรมกายขัดขืนอำนาจรัฐในกรณีนี้ได้สำเร็จก็จะเป็นชนวนให้เกิดกรณีอื่นๆต่อไป

ในความเห็นของผมคิดว่าฝ่ายรัฐเองก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน เพราะหากจะใช้มาตรา 44 ตามที่หลายคนพยายามเสนอก็ไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ หรือหากใช้มาตรการที่รุนแรงก็อาจจะเกิดผลในทางลบหรือเกิดการลุกลามตามมา แต่หากปล่อยไปเช่นนี้ก็รังจะทำให้เสียต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล เพราะเปรียบเสมือนปล่อยให้มีรัฐอิสระเกิดขึ้นกลางกรุง


2) กรณีแฮ็กเกอร์แอโนนิมัส

กรณีนี้ก็ยุ่งยากเช่นกันเพราะเป็นการต่อสู้กับผู้ที่ไร้ตัวตนในสงครามไซเบอร์ที่เจาะผ่านช่องว่างของเว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐจนสามารถเปลี่ยนภาพหน้าเว็บเพจหรือล้วงข้อมูลออกมาได้ หรือแม้กระทั่งการใช้ระบบกด F5 พร้อมกันตามเวลานัดก็จะทำให้เว็บที่โดนเป็นอัมพาตไปเป็นระยะเวลาหนึ่งและมีทีท่าว่าจะลุกลามไปยังสถาบันการเงินและเศรษฐกิจด้วย ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามมาเพราะความเชื่อมั่นที่มีต่ออำนาจรัฐจะหมดไปด้วยเหตุที่ว่าแม้แต่ข้อมูลของรัฐเองยังถูกแฮ็กได้ นับประสาอะไรที่รัฐจะเข้าไปควบคุมข้อมูลของภาคเอกชนหรือประชาชน

แน่นอนว่ากรณีนี้เป็นกรณีที่หนักหนาสาหัสเพราะเป็นการรบที่นอกเหนือจากรูปแบบที่เราคุ้นเคยด้วยการสู้รบด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์แบบสมัยเดิมๆ แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีที่รัฐไทยใช้ต่อสู้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นเริ่มต้นหรืออนุบาลเท่านั้นเอง แต่การโจมตีจากนักรบไซเบอร์พวกนี้เรียกว่าอยู่ในขั้นเทพหรือเซียนคอมพิวเตอร์ และรบโดยไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งสร้างความเสียหายมานักต่อนักแล้วทั่วโลก ขนาดสหรัฐอเมริกาที่ว่าแน่ๆยังถูกล้วงตับได้เป็นว่าเล่นจนต้องตั้งกองกำลังขึ้นมาต่อต้านเป็นการเฉพาะในระดับกองบัญชาการเลยทีเดียว

การจับกุมผู้ต้องหาบางคนได้พร้อมกับคู่มือการใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น(Network Security) อาวุธปืน กัญชา ฯลฯ (ซึ่งผมไม่เชื่อว่าแฮ็กเกอร์มืออาชีพเขาจะใช้กัน)นั้นไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป เพราะยังคงมีการปฏิบัติการกันอย่างต่อเนื่องและยิ่งหนักหน่วงขึ้นเมื่อมีการผ่าน พรบ.คอมพิวเตอร์ฯโดย สนช.ที่ไม่ใส่ใจในเสียงทักท้วงของผู้คนกว่า 360,000 รายชื่อและยังมีความพยายามที่จะออกกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ตามมาอีก


3) กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

กรณีนี้เป็นผลต่อเนื่องมาอย่างยาวนานและทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเกิดกรณีปล้นปืนเมื่อปี 2547 แล้วอดีตนายกทักษิณปรามาสว่าเป็นพวก “โจรกระจอก” พร้อมกับเพิ่มกำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างมากมาย แต่ยิ่งปราบยิ่งลุกลาม เหตุระเบิดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ในบางพื้นที่เจ้าหน้าที่รัฐแทบจะเข้าพื้นที่ไม่ได้หากไม่มีกำลังคุ้มกัน ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าอำนาจรัฐใช้การไม่ได้เป็นบางส่วน การพยายามตั้งครม.น้อยเข้าไปจัดการก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลอันใด แน่นอนว่าปัญหานี้ต้องใช้เวลาแต่ถึงจะใช้เวลามันก็ต้องมีระยะเวลาที่คาดว่าจะสิ้นสุด มิใช่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เพราะเหตุว่าตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือนโยบายของรัฐเองนั่นแหละคือตัวปัญหา

จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่อำนาจรัฐใช้การไม่ได้ บางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมนะครับว่า การเป็นรัฐนั้นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการมีอำนาจอธิปไตยที่สมบูรณ์นั่นเอง แต่หากอำนาจรัฐบางส่วนใช้การไม่ได้ก็แสดงว่าอำนาจอธิปไตยนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่ออำนาจอธิปไตยไม่สมบูรณ์มากๆขึ้นก็จะทำให้เกิดภาวะ “อนาธิปไตย(anarchy)” ซึ่งนำไปสู่การเป็น “รัฐล้มเหลว(failed state)” ได้

และเมื่อเป็นรัฐล้มเหลวก็ย่อมที่จะถูกแทรกแซงจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติหรือรัฐอื่นใด ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนของเราอย่างแน่นอน

ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย(อปฺปมตฺตา น มียนฺติ) นะครับ

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขี้ของวิทยาศาสตร์

$
0
0


 

การศึกษาของเราเน้นเนื้อหาเเละความรู้เป็นหลัก สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเพราะเนื้อหาความรู้ (Content) เป็นปลายทางของกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ (Process) เหมือน “ขี้” ที่เป็นปลายทางของ “กระบวนการย่อยอาหาร” การศึกษาไทยป้อนเเต่ขี้ที่เป็นผลลัพธ์ ทำให้เด็กไม่มีกระบวนการย่อยเอาสิ่งใหม่ๆ ที่เจอในชีวิตประจำวันไปเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ได้ ตัวอย่าง “ขี้ของวิทยาศาสตร์” ที่เห็นได้ชัดคือสมการที่เด็กโดนบังคับให้จำไปสอบเเต่ไม่เข้าใจความสำคัญ ความสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง ประเทศเราจึงมีคนที่เรียน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” เเต่ไม่มี “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์” อยู่เลย

วิทยาศาสตร์จริงๆ เเล้วเกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความสงสัยเเละสนุกที่จะค้นหาความพิศวงในธรรมชาติเหมือนเล่นเกมถอดปริศนาทำให้มนุษยเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะสังเกตว่าทุกๆ ครั้งที่เราเล่นเกมไม่ว่าจะเป็น DotA Candy Crush เกมกีฬาหรืออะไรก็เเล้วเเต่เราจะค้นพบเทคนิคการเล่นใหม่ๆ มากขึ้น เเละเล่นเก่งขึ้น ทำนองเดียวกับการที่นักวิทยาศาสตร์เล่นเกมถอดรหัสธรรมชาติเเละค้นพบสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น เเต่การศึกษาไทยละเลยกระบวนการซึ่งมีความสนุก เอาเเต่ส่วนที่น่าเบื่อ(ผลลัพธ์)มาสอนทำให้คนไม่มีความสนุกเเละเเรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเราไม่สามารถเล่นเกมเก่งขึ้นได้ถ้าเราไม่ได้ผ่าน “กระบวน”การเล่น ท้ายที่สุดเเล้วเด็กที่เรียน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” จะสามารถจำเนื้อหาที่ตัวเองเรียนได้น้อยมากเพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเค้า เเต่จะคงเหลือไว้เเต่ความรู้สึกขยะเเขยงวิทยาศาสตร์โดยที่เขาไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ที่เเท้จริงเลยด้วยซ้ำ

การเเก้ปัญหานี้ง่ายมาก ก็เเค่เลิกป้อน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” ให้เด็กเเต่หันมาให้ความสำคัญกับการเล่นสนุกซึ่งเป็น “กระบวนการ” ของมนุษย์ในการค้นพบสิ่งใหม่!

เเต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือครูส่วนมากไม่เข้าใจ เเละสนุกในการทำให้เด็กรู้สึกว่าเรื่องที่เรียนมันยาก ครูส่วนมากยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเด็กเพราะพวกเขารู้เนื้อหามากกว่า เเต่พวกเขาลืมไปว่าวิทยาศาสตร์มันมีประโยชน์เพราะมันทำให้คนมี “กระบวนการ” ค้นหาสิ่งใหม่ หายาต้านไวรัส หาพลังงานทดเเทน หาวิธีการสร้างไอโฟน ไม่ใช่จำขี้ที่ไม่มีประโยชน์ใส่สมอง เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือต่อให้มีครูที่เข้าใจเเละสนุกกับวิทยาศาสตร์จริงๆ ครูคนนั้นก็อาจจะถูกบีบโดยเนื้อหามหาศาลที่ตัวเองต้องสอนทำให้ไม่มีอิสระในการสอนในเเบบที่ตัวเองคิดว่าถูก เเละต่อให้โรงเรียนนั้นมีหลักสูตรที่ไม่บังคับให้ครูต้องสอนตามเนื้อหากระทรวงเด็กที่ถูกสอนมาให้มี “กระบวนการคิด” ก็อาจจะทำข้อสอบกลางที่เน้นความจำไม่ได้เเละทำให้เข้าเรียนไม่ได้เเละอาจทำให้โรงเรียนได้รับการประเมินต่ำเเละไม่มีเด็กไปเรียนในที่สุด สิ่งนี้ก็จะเกิดซ้ำไปเรื่อยๆ เพราะการศึกษาไทยที่เราภูมิใจจะสร้างเด็กที่เชื่องเเละไม่มีความคิดไปออกข้อสอบที่วัดความไม่มีความคิดในอนาคต เเละก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ถ้าถามว่าเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้มีอีกไหมในการศึกษาไทย คำตอบคือมีอีกมาก เเต่คิดว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือการทำให้เด็กเป็นเด็กดี เด็กดีในนิยามคนไทย คือ เรียบร้อย น่ารัก เคารพกฎ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเเสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะผู้ใหญ่ถูกเสมอ สิ่งนี้อันตรายมากที่สุดด้วยสามเหตุผล คือ

1. การทำให้เด็กเป็นคนเฉย ในขณะที่การศึกษาทั่วโลกพยายามที่จะบ่มเพาะ Changemaker หรือ ผู้นำการเปลี่ยนเเปลงให้เกิดขึ้น เพราะโลกมีปัญหาอีกมากที่รอให้คนรุ่นใหม่ออกไปคิดวิธีการใหม่ๆ เพื่อเเก้ปัญหาเหล่านั้น เเต่การศึกษาไทยกลับพยายามจะหยุดทุกอย่างที่เด็กคิดว่าทำได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มเด็กที่พยายามจะประท้วงเรื่องทรงผม พวกเขามีเเนวคิดที่น่าสนใจ มีการค้นหาความรู้จากทั่วโลก มีการสร้างข้อโต้เเย้งที่ดีในระดับหนึ่ง เเต่การศึกษาไทยกลับบอกพวกเขาว่าพวกเขาเป็นเด็ก ไม่มีทางรู้ดีเท่าผู้ใหญ่ ถ้าเเค่การเปลี่ยนเเปลงในโรงเรียนยังยากขนาดนี้เด็กพวกนี้จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างไรว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนเเปลงโลกให้ดีขี้นได้

2. การเป็นเด็กดีทำให้เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เเละไม่มีประสบการณ์ในการทดลองทำสิ่งที่ถูกที่ผิด ผู้ใหญ่มักจะบอกว่าเด็กไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินใจ เเต่การที่ผู้ใหญ่ไม่ให้เด็กลองทำในสิ่งต่างๆ ยิ่งทำให้เด็กที่เกิดมาไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ในวัยที่เขาควรจะเรียนรู้ เมื่อเด็กเหล่านี้โตเป็นผู้ใหญ่พวกเขาจึงยังลองถูกลองผิดในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้ลองในวัยเด็ก

3. ค่านิยมเด็กดีที่ถูกถ่ายทอดจากผู้ใหญ่ไปสู่เด็ก เเม้ว่าในช่วงวัยเด็กของเด็กคนนั้นอาจจะไม่เห็นด้วย เเละคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน เเต่เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีเเนวโน้มสูงมากที่เด็กคนนั้นจะสอนเเบบเดียวกันในสิ่งที่เขาถูกสอนมาเพราะพวกเขาถูกสอนมาว่าผู้ใหญ่พูดอะไรก็ถูกเเละเด็กยังไงก็ไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะคิดอะไรดีๆ ได้ ทำให้ผู้ใหญ่เหล่านี้โดนล้างสมองว่าความไม่พอใจต่อความอยุติธรรมระหว่างวัยเด็กเป็นเรื่องไร้สาระเเละพวกเขาก็จะสืบทอดอุดมการณ์เด็กดีต้องเรียบร้อย น่ารัก เเละพร้อมโดนกดขี่ต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม น่าอยู่ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนมีน้ำใจ มีการศึกษาที่ดี เด็กเรียบร้อยน่ารักที่สุดในโลก มีศาสนาพุทธ เเละมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่คุ้มครองประเทศอยู่ เราไม่ต้องทำอะไรเราก็อยู่กันได้อย่างสบาย เเละเราก็จะยิ่งใหญ่กันต่อไป เเต่ถ้าวันใดที่ "ข้าวหมดนา ปลากลายพันธุ์" ก็หวังว่าขี้ของวิทยาศาสตร์ที่เราถูกยัดใส่หัวมาจะช่วยให้เราสร้างบทสวดมนต์ที่มีพลังขอพรต่อเจ้าพ่อเจ้าเเม่ทั้งหลายให้ช่วยประเทศไทยพ้นจากภยันตรายทั้งปวงเเละมีความสุข (Suck) ต่อไปด้วยเถิด…


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปท. เสนอประหารชีวิตคดีคอร์รัปชั่นทำรัฐเสียหายเกิน 1 พันล้าน

$
0
0
สปท. เสนอรายงานการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ให้ประหารชีวิตผู้ที่กระทำความผิดในคดีคอร์รัปชั่นที่สร้างความเสียหายมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท

 
เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์รายงานว่า ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้นัดประชุม สปท.ในวันที่ 9 มกราคมนี้ เพื่อพิจารณารายงานปฏิรูป เรื่อง “การควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ” ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การขับเคลื่อนการปฏิรูปของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการเมือง ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน โดยมีสาระสำคัญแบ่งออกเป็น 4 แนวทาง ดังนี้ 1.การปฏิรูปการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐผ่านระบบรัฐสภา เสนอให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองกระทู้ เพื่อคัดเลือกกระทู้ถามที่มีความสำคัญและเป็นปัญหาที่ต้องรับการแก้ไขในระดับการบริหารราชการแผ่นดินก่อนเข้าสู่การบรรจุในระเบียบวาระ เพื่อแก้ปัญหากรณีที่ตั้งกระทู้ถามลักษณะที่สนับสนุนหรือประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล
 
2.การปฏิรูปการควบคุมและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐผ่านองค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม เสนอให้ปรับกระบวนการสรรหา ซึ่งตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติกำหนดให้มีตัวแทนจากองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการสรรหาด้วย ดังนั้นควรกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกำหนดบุคคลไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจกระทบต่อความโปร่งใสการสรรหาได้ เช่นเดียวกัน คุณสมบัติของกรรมการองค์กรอิสระ ที่ระบุให้มีความรับผิดชอบสูง มีความดีเป็นที่ประจักษ์ ควรกำหนดนิยามและขอบเขตให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางและกรอบการคัดเลือกที่ชัดเจนและกรรมการสรรหาสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน และควรเปิดกว้างให้ทุกสาขาอาชีพสามารถสมัครเข้ารับการสรรหาได้
 
และ 3.การปฏิรูปการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยประชาชน เสนอให้มีการส่งเสริมให้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐ โดยสนับสนุนให้มีการประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. และ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. ที่ สปท.ได้เสนอต่อสนช.ไปแล้วโดยเร็ว และ 4.การปฏิรูปการควบคุมและการตรวจสอบข้าราชการและพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจรัฐ เสนอให้ใช้แนวทางเดียวกับการตรวจสอบฝ่ายการเมือง พร้อมกับเสนอให้ปรับอัตราการลงโทษผู้ที่กระทำความผิดในคดีคอร์รัปชั่น ดังนี้ 1.คดีที่สร้างความเสียหายมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี 2.คดีที่สร้างความเสียหายมูลค่า เกิน 1 ล้านบาท – 10 ล้านบาท ให้จำคุก 10 ปี 3.คดีที่สร้างความเสียหายมูลค่า เกิน 10ล้านบาท-100 ล้านบาท จำคุก 20 ปี 4.คดีที่สร้างความเสียหายมูลค่า เกิน 100 ล้านบาท-1,000 ล้านบาท ให้จำคุกตลอดชีวิต และ 5.คดีที่สร้างความเสียหายมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท ให้ลงโทษด้วยการประหารชีวิต
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สวนดุสิตโพลล์ระบุคน 36.99% เห็นด้วยเลื่อนเลือกตั้งปี 2561 เพราะปี 2560 จะมีพระราชพิธีสำคัญ

$
0
0
สวนดุสิตโพลล์เผยผลสำรวจ ถามถ้าการเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปเป็นปี 2561 ประชาชนเห็นด้วย 36.99% เพราะปี 2560 จะมีพระราชพิธีสำคัญ ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ นักการเมือง พรรคการเมือง และ กกต.ได้มีเวลาเตรียมความพร้อมให้มากขึ้น ฯลฯ ขณะที่ 32.21% ไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้เป็นไปตามโรดแม็ปที่กำหนดไว้ หากเลื่อนออกไปอาจมีปัญหาต่าง ๆ ตามมา

 
8 ม.ค. 2560 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าสวนดุสิตโพลล์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไร? ต่อการปฏิรูปประเทศและการเลือกตั้ง" โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,192 คน ระหว่างวันที่ 2-7 ม.ค. 2560 พบว่า ประชาชนคิดว่าการปฏิรูปประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยประชาชนมองว่า อันดับ 1 ค่อนข้างก้าวหน้า ร้อยละ 35.63 เพราะมีผลงานบางอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เป็นการทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามโรดแม็ป มีคณะทำงานที่รับผิดชอบ ฯลฯ อันดับ 2 ยังไม่ค่อยก้าวหน้า ร้อยละ 29.81 เพราะมีปัญหาที่จะต้องปฏิรูปหลายเรื่อง ปัญหาสะสมมาหลายสิบปี ต้องใช้เวลาในการดำเนินการแก้ไข ฯลฯ อันดับ 3 ก้าวหน้า ร้อยละ 17.70 เพราะ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ มีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา มีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน ฯลฯ อันดับ 4 ไม่ก้าวหน้า ร้อยละ 16.86 เพราะเป็นไปได้ยาก ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ยังมีความขัดแย้ง ประชาชนยังลำบาก ชีวิตความเป็นอยู่ยังไม่ดีขึ้น ฯลฯ
 
เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าการปฏิรูปประเทศมีความเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือไม่? ประชาชนมองว่า เกี่ยวข้อง ร้อยละ 71.08 เพราะการปฏิรูปประเทศช่วยให้ระบบการเลือกตั้งมีความโปร่งใส เป็นธรรม มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การซื้อสิทธิ์ขายเสียงอาจน้อยลง ฯลฯ ขณะที่ ร้อยละ 28.92 มองว่าไม่เกี่ยวข้องเพราะที่ผ่านมาถึงแม้จะมีมาตรการป้องกัน แต่ก็ยังมีการทุจริต การเลือกตั้งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของนักการเมืองฯลฯ
 
เมื่อถามว่า ระหว่างการเลือกตั้งกับการปฏิรูปประเทศ ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควรดำเนินการอย่างไร? อันดับ 1 ปฏิรูปประเทศก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง ร้อยละ 41.19 เพราะบ้านเมืองมีปัญหาหลายด้าน ควรจะแก้ปัญหาต่างๆ ให้เสร็จก่อน จะได้มีความพร้อมและไม่เกิดปัญหาขัดแย้งภายหลัง บ้านเมืองจะได้เดินหน้าอย่างมั่นคงมีเสถียรภาพ ฯลฯ อันดับ 2 เลือกตั้งก่อนแล้วค่อยปฏิรูปประเทศ ร้อยละ 38.06 เพราะจะได้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชน เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพได้รับการยอมรับ ฯลฯ อันดับ 3 เลือกตั้งและปฏิรูปประเทศไปพร้อมกัน ร้อยละ 20.75 เพราะการปฏิรูปประเทศต้องใช้เวลานาน การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ ฯลฯ
 
เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าสถานการณ์บ้านเมือง ณ วันนี้ พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งหรือไม่? โดยประชาชนมองว่ายังไม่พร้อม ร้อยละ 51.23 เพราะยังมีความขัดแย้ง กังวลว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ อาจเกิดการชุมนุมเคลื่อนไหว ปัญหาการเมืองไทยแก้ไขได้ยาก สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ยังไม่พร้อม จะมีพระราชพิธีสำคัญ ฯลฯ ขณะที่ ร้อยละ 48.77 มองว่าพร้อมเลือกตั้งแล้วเพราะเป็นไปตามโรดแม็ปที่กำหนดไว้ อยากให้บ้านเมืองเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งที่มาจากความต้องการของประชาชน ประชาชนตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ฯลฯ เมื่อถามว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร? ถ้าการเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปเป็นปี 2561 พบว่าประชาชนเห็นด้วย ร้อยละ 36.99 เพราะปี 2560 จะมีพระราชพิธีสำคัญ ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ นักการเมือง พรรคการเมือง และ กกต.ได้มีเวลาเตรียมความพร้อมให้มากขึ้น ฯลฯ ขณะที่ ร้อยละ 32.21 ไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้เป็นไปตามโรดแม็ปที่กำหนดไว้ หากเลื่อนออกไปอาจมีปัญหาต่างๆ ตามมา อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ จะได้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฯลฯ ส่วนร้อยละ 30.80 ไม่แน่ใจเพราะสถานการณ์บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับการบริหารประเทศของรัฐบาล กังวลว่าบ้านเมืองจะไม่สงบสุข สนใจเรื่องปากท้องชีวิตความเป็นอยู่มากกว่า ฯลฯ
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรคประชาธิปัตย์โต้ไม่ได้ละเลยน้ำท่วมภาคใต้ แต่ติดคำสั่ง คสช.

$
0
0
พรรคประชาธิปัตย์โต้โซเชียลทวงถามบทบาทพรรคช่วยเหลือน้ำท่วมใต้ ยันไม่ละเลย แต่ติดคำสั่ง คสช.เรื่องพรรคการเมืองห้ามทำกิจกรรม เผย 'อภิสิทธิ์' เตรียมเดินสายเยี่ยมผู้ประสบภัยภาคใต้ วันที่ 10-11 ม.ค.นี้

 
8 ม.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ว่าขณะนี้อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ กำลังลงพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งส่วนตัวต้องขอขอบคุณและสนับสนุนรัฐบาลที่ยกระระดับการช่วยเหลือรวมถึงจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภัยน้ำท่วมที่เขต 11 จ.สุราษฎร์ธานีและเขต 12 จ.สงขลา แต่หากอยากให้เกิดการบูรณาการควรใช้กองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ เป็นศูนย์ช่วยเหลือเพียงจุดเดียว เนื่องจากหน่วยงานทหารทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือมีอุปกรณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างครบครัน
 
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวถามถึงการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่มี ส.ส.ภาคใต้มากที่สุดและเรียกร้องให้พรรคจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น ยืนยันว่าทางพรรคไม่เคยละเลย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้กำชับไปยังลูกพรรคให้ช่วยเหลือประชาชนเต็มความสามารถ แต่ยังมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมของพรรคตามคำสั่งคณะรักษาคามสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ 57/2557ที่ห้ามพรรคการเมืองจัดประชุม ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ที่อาจถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง จึงต้องให้อดีต ส.ส.ของพรรค เข้าช่วยเหลือในนามส่วนตัว ซึ่งในวันที่10ม.ค.นี้นายอภิสิทธิ์ จะลงพื้นที่ภาคใต้ใน จ.ชุมพรและจ.สุราษฎร์ธานี และวันที่11 ม.ค.จะเดินทางลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งที่ประสบปัญหาน้ำท่วมมากที่สุด เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนและมอบถุงยังชีพ
 
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีสำนักข่าวแห่งหนึ่งนำเสนอข่าวโดยระบุว่า"นักการเมืองอยู่ไหน ทำไมมีแต่ทหาร"ว่าสมาชิกและอดีตส.ส.ของพรรคทุกคนได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างเต็มที่ เช่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันแรกๆ เดินลุยน้ำด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ลูกน้องลากเรือ โดยในภาวะวิกฤตเช่นนี้ทุกคนไม่นิ่งนอนใจและหากสำนักข่าวดังกล่าวจะเชียร์ทหารก็ไม่ว่า แต่ถ้ามาทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมืองเรายอมไม่ได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ: เปิดผัง ‘นิคมอุตสาหกรรม’ ใน ‘เขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว’

$
0
0

เผยรายละเอียด ‘นิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว’ ที่คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จเป็นแห่งแรกในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ล่าสุดประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการแล้วเมื่อต้นเดือน ม.ค. 2560 ด้านอนุกรรมาธิการศึกษาเศรษฐกิจพิเศษ สนช. ระบุมีจุดอ่อน ยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างโครงข่ายคมนาคม กำลังซื้อของกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญซึ่งการขนส่งจากอรัญประเทศยังมีต้นทุนสูงกว่าเมื่อเทียบกับโฮจิมินห์ของเวียดนาม

ข้อมูลจากคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าสู่อินโดจีน ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ศึกษาติดตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ จ.สระแก้ว ได้เปิดเผยรายละเอียดของ ‘โครงการนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว’ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อเดือน ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายประเด็น

ความเป็นมาและที่ตั้งโครงการ

ตามที่กรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2558 เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2558 ได้มีมติเห็นชอบการจัดสรรที่ดินที่มีการถอนสภาพเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก โดยให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เช่าเพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และได้มอบหมายให้ กนอ. รับผิดชอบดำเนินการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก 3 พื้นที่ ได้แก่ 1. พื้นที่ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก (พื้นที่ประมาณ 800 ไร่ในท้องที่ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก) 2. พื้นที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว (พื้นที่ประมาณ 660 ไร่ ในท้องที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) และ 3. พื้นที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา (พื้นที่ประมาณ 1,100 ไร่ ในท้องที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา)

ที่ตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ที่มาภาพ: คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าสู่อินโดจีน ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2559 กนอ. ได้ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินจากรมธนารักษ์ ในระยะเวลาการเช่า 50 ปี เนื้อที่ 660 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา พื้นที่หมุดหลักตามโฉนด เลขที่ 30649 เลขที่ดิน 2 หน้าสำรวจ 3187 ต.บ้านไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตั้งติดอยู่กับทางหลวงชนบท สก. 3085 ประมาณช่วง กม. ที่ 4+900-6+200 โดยการดำเนินการจัดหาที่ดินเป็นไปตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว โดยสภาพพื้นที่เป็นที่ราบมีระดับความสูงประมาณ 60 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 3 กิโลเมตร และด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากตัวเมือง อ.อรัญประเทศ ประมาณ 4 กิโลเมตร

ทั้งนี้โครงการนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว คาดว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่พัฒนาแล้วเสร็จเป็นแห่งแรก โดยได้รับอนุมัติงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2560 วงเงิน 700 ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้าง 18 เดือน

ข้อมูลพื้นที่ของโครงการนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว

พื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของโครงการนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว ที่มาภาพ: การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้การออกแบบและจัดทำรายละเอียดงานก่อสร้าง (Detail Design) มีแนวคิดในการออกแบบพัฒนาตามแนวคิดอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะและปัญหาสิ่งแวดล้อมแก่ท้องถิ่นและชุมชนในลักษณะอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) สำหรับการจัดแบ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม

  • ขนาดพื้นที่โครงการทั้งหมด 660-2-23 ไร่
  • พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 163 ไร่
  • พื้นที่สีเขียว 64 ไร่
  • พื้นที่ประกอบธุรกิจ/อุตสาหกรรม 433 ไร่
  • เขตประกอบการทั่วไป (Zone B,C,D,E) 242 ไร่
  • เขตประกอบการโลจิสติกส์ (Zone G) 89 ไร่
  • เขตประกอบการเสรี (Zone F) 60 ไร่
  • เขตพาณิชย์ (Zone A) 37 ไร่

สำหรับระบบสาธารณูปโภคที่จัดเตรียมไว้รองรับภายในนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว ได้แก่

  • ระบบไฟฟ้า ใช้จากสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด 50 MW โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จ.สระแก้ว
  • ระบบน้ำ ใช้น้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาอรัญประเทศ กำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยมีท่อน้ำประปาเข้าสู่ที่ดินทุกแปลง
  • ระบบน้ำเสียส่วนกลาง: ระบบบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพ (Biological Treatment) ขนาด 4,000 ลูกบาศก์เมตร/วั
  • ระบบรวมน้ำเสีย เป็นท่อแยกน้ำเสียเฉพาะเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรม
  • ระบบระบายน้ำ และระบบป้องกันน้ำท่วม
  • ระบบถนนภายในโครงการ ถนนสายประธานเขตทางกว้าง 40 เมตร ถนนสายรองเขตทางกว้าง 22 เมตร
  • ระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสูง
  • ระบบรักษาความปลอดภัย CCTV
  • มีเตาเผาขยะของโครงการ
  • สิ่งอำนวยความสะดวก อาคารสำนักงานศุลกากรในเขตประกอบการเสรี, ธนาคาร, คอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น
  • ในด้านการบริหารจัดการ มีการบริการอนุมัติ-อนุญาต และสิทธิประโยชน์แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS)

ความคาดหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการ

การคาดการณ์จาก 'โครงการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว' เมื่อเดือน ม.ค. 2559 ระบุไว้ว่าผลประโยชน์โดยตรงทางเศรษฐกิจที่สามารถประมาณการเป็นมูลค่าในรูปตัวเงิน และผลประโยชน์ทางอ้อมที่ไม่สามารถประเมินมูลค่า

สรุปได้คือด้านผลประโยชน์ทางตรงนั้น ในระยะก่อสร้างโครงการก่อให้เกิดการจ้างงานและการผลิตในหมวดการก่อสร้างภาครัฐ ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มประมาณร้อยละ 3.5 โดยมีมูลค่าการจ้างงานในการก่อสร้างโครงการรวม 21.54 ล้านบาท และเมื่อพัฒนาโครงการเสร็จแล้วจะมีผู้ประกอบการมาลงทุนก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 1,500 ตำแหน่งงาน ภายในระยะเวลา 10 ปีหลังเปิดดำเนินงาน โดยมีค่าจ้างเฉลี่ย 150,000 บาท/คน/ปี และเมื่อมีการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจะมีความต้องการวัตถุดิบในท้องถิ่นทั้งจากภาคเกษตรและภาคอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้มีมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.033

ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อมที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้โดยอาจเป็นสิ่งตอบแทนที่มาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผลจากการเพิ่มของราคาที่ดิน ผลประโยชน์ที่ต่อเนื่องจากการจ้างงาน เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ที่พัก ศูนย์การค้า และระบบสาธารณูปโภคที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาทั้งทางด้านคมนาคม ไฟฟ้า ประปา และคมนาคม เป็นต้น

หวั่นจุดอ่อน ‘การคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน-กำลังซื้อกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญ’

ทั้งนี้คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ของ สนช. ได้ประเมินปัญหาและอุปสรรคของเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ในด้านต่าง ๆ ไว้อาทิเช่น

ปัญหาด้านผังเมือง เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ยังไม่มีผังเมืองรวมเฉพาะ โดยปัจจุบันมีการใช้ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลบ้านใหม่หนองไทร ตำบลป่าไร่ ตำบลอรัญประเทศ ตำบลฟากห้วย และตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พ.ศ.2557 ซึ่งประกาศดังกล่าวมีข้อจำกัดในการตั้งโรงงานหรือการมาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำร่างผังเมืองรวมของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ซึ่งคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

ปัญหาด้านการคมนาคมขนส่ง ยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างโครงข่ายคมนาคมทางบกของกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) บริเวณที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม (บ้านป่าไร่) ไปยังด่านพรมแดนบ้านคลองลึก และด่านพรมแดนบ้านหนองเอี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีประเด็นความร่วมมือด้านการขนส่งสินค้าทางถนนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเรื่องจำนวนใบอนุญาตฯ จากเดิมกำหนดไว้ 40 ฉบับซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคเอกชน (ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เพิ่มใบอนุญาตฯ เป็น 150 ฉบับ แต่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อแก้ไขบันทึกความเข้าใจ) นอกจากนี้การสร้างรางรถไฟในราชอาณาจักรกัมพูชายังไม่แล้วเสร็จ และยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างบ้านด่านคลองลึก-ปอยเปต เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร รวมทั้งพิธีการผ่านแดนยังไม่มีความชัดเจน ทั้งทางด้านระเบียบขั้นตอน การขนส่งสินค้าและการเปลี่ยนขบวน ซึ่งในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการยกร่างข้อตกลงเกี่ยวกับการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างสองประเทศ ซึ่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ให้สัมปทานภาคเอกชนเดินรถไฟของประเทศกัมพูชา จึงยังไม่มีความชัดเจนด้านการเดินรถไฟร่วมกัน

ปัญหาในด้านการลงทุน พบว่านักลงทุนยังไม่สนใจมาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจสระแก้วมากนัก เนื่องจากยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนในสายตานักลงทุน ที่สำคัญคือราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก รวมทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงเส้นทางคมนาคม ถนน สะพาน ด่านชายแดน ระบบสาธารณูปโภค และการกำจัดของเสีย ก็ยังพัฒนาไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มกิจการที่ได้รับการส่งเสริมนั้นยังพบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ในกลุ่มกิจการแปรรูปสินค้าเกษตร ยังขาดเทคโนโลยีการแปรรูปสินค้าและความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งวัตถุดิบ อาหาร เครื่องดื่ม พลังงานทดแทน ส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ แม้จะมีแรงงานค่าจ้างราคาถูกจากกัมพูชา แต่จำนวนแรงงานก็มีไม่มากนัก เนื่องจากแรงงานในภาคนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงพนมเปญ และกัมพูชายังคงได้สิทธิพิเศษ GSP จากยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของนักลงทุนที่ลงทุนในกัมพูชา ในกลุ่มกิจการสินค้าอุปโภคบริโภค มีข้อจำกัดเรื่องตลาดรองรับโดยเฉพาะกำลังซื้อส่วนใหญ่ของกัมพูชาอยู่ที่กรุงพนมเปญซึ่งอยู่ใกล้กับโฮจิมินห์ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของเวียดนามมากกว่า ประกอบกับการคมนาคมระหว่างด่านอรัญประเทศกับพนมเปญยังไม่สะดวกและมีต้นทุนสูง ทำให้การผลิตและจำหน่ายน่าจะเกิดภายในประเทศไทยมากกว่า

คืบหน้าแค่ไหนแล้ว (ณ ต้นเดือน ม.ค. 2560)

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดของโครงการนี้ เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ประกาศ ประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (4 ม.ค. 2560) และประกาศ เชิญยื่นเอกสารเบื้องต้น งานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว โดยวิธีคัดเลือก (5 ม.ค. 2560) แล้ว

 

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง: 
จับตา: สิทธิประโยชน์ผู้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประเมินผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ เสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้น 85,000-123,841 ล้านบาท

$
0
0
คณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ประเมินผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสการลงทุน การสูญเสียรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ภาคขนส่งคมนาคม ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมไม่ต่ำ 85,000-123,841 ล้านบาท เสนอรัฐเร่งเยียวยาประชาชนทุ่มเทงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้เต็มที่ โดยชะลอหรือทบทวนการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศไปก่อนเนื่องจากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน 

8 ม.ค. 2560 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการและคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตเปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้นผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสการลงทุน การสูญเสียรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ภาคขนส่งคมนาคม ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมไม่ต่ำ 85,000-123,841 ล้านบาท กระทบจีดีพีคิดเป็นร้อยละ 0.58-0.84 อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจาก supply shockภาคการบริโภคชะลอตัวลง การว่างงานในภาคใต้เพิ่มขึ้นชัดเจนแต่อัตราการว่างงานทั้งประเทศยังคงต่ำกว่า 2% การสูญเสียรายได้และความเสียหายเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวไม่น่าจะต่ำกว่าสัปดาห์ละ 6,000 – 11,000 ล้านบาท ความเสียหายในภาคเกษตรกรรมไม่น่าจะต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการและนักลงทุน ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคใต้ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้น่าจะลดอย่างชัดเจน 
 
ความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยรวมยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนเนื่องจากต้องมีการสำรวจหลังน้ำลด อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำท่วมครั้งนี้มีลักษณะเป็นน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันความเสียหายต่อทรัพย์สินจึงค่อนข้างมากเพราะเตรียมการรับมือไม่ได้ดีนัก มีพื้นที่ได้รับผลกระทบถึง 10 จังหวัด ครอบคลุม 85 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบ 7 แสนถึงล้านคน เส้นทางคมนาคมในหลายพื้นที่ถูกตัดขาดทำให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก และ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำโดยด่วน คือ หยุดการสูญเสียชีวิตผู้คนจากน้ำท่วมให้ได้มากที่สุดเนื่องจากการสูญเสียชีวิตจากน้ำท่วมไม่สามารถฟื้นคืนได้แต่ความเสียหายอย่างอื่นสามารถฟื้นฟูและเยียวยาได้ 
 
ดร. อนุสรณ์ ได้กล่าวเสนอให้รัฐเร่งเยียวยาประชาชน เกษตรกร ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่เดือดร้อน เตรียมรับมืออาหารทะเลราคาแพงขึ้น หรือ กุ้งอาจขาดแคลนเนื่องจากบ่อกุ้งได้รับความเสียหายหนักในพื้นที่นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี แนวโน้มราคายางพารา น้ำมันปาล์มปรับตัวสูงขึ้น เสนอให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือให้เปล่าจากงบกลางไม่ต่ำกว่า 5,000– 10,000 ล้านบาททันทีมาตรการทางการเงิน (ลดดอกเบี้ย ยืดหนี้ ดอกเบี้ยต่ำกู้เงินเพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพ) มาตรการภาษีลดภาษีนิติบุคคลสำหรับกิจการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มาตรการใช้จ่ายภาครัฐ อัดฉีดเม็ดเงินหลังน้ำท่วมเพื่อซ่อมแซมสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่ได้รับความเสียหายมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้เป็นการเฉพาะ 
 
ขอให้รัฐบาลได้ทุ่มเทงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้เต็มที่ โดยชะลอหรือทบทวนการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศไปก่อน เนื่องจากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่มีสัญญาณสงครามใหญ่ใดๆเกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนและรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี หากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟื้นฟูให้กลับเข้าสู่ภาวะปรกติโดยเร็ว เร่งการลงทุนเพื่อซ่อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เสียหาย ย่อมทำให้ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีพ.ศ. 2560 ยังจะเติบโตในระดับ3.6 – 4.2% ได้ตามที่คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิตได้คาดการณ์ไว้ช่วงปลายปี พ.ศ. 2559 
 
ส่วนท่าทีในการกีดกันการค้ามากขึ้นตามลำดับของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะสร้างความไม่แน่นอนต่อระบบการค้าเสรีของโลกเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยมากนักและตัวเลขส่งออกในปีนี้น่าจะเป็นบวกและรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่อาจเติบโตจากปีที่แล้ว 5-8% แต่ต้องเร่งฟื้นฟูภาคใต้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญโดยเร็วหลังน้ำลด 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #139 จาก ‘แม่ครัวหัวป่าก์’ ถึงวิชาคหกรรมศาสตร์

$
0
0

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ คำ ผกา และชานันท์ ยอดหงษ์ แนะนำบทความของชาติชาย มุกสง “ จากแม่ศรีเรือนถึงแม่บ้านทันสมัย: การต่อสู้ทางศีลธรรมผ่านแม่บ้าน หลังปฏิวัติ 2475 ถึงทศวรรษ 2500” ซึ่งพูดถึงประวัติศาสตร์ว่าด้วย “วิชาการเรือน” ในสังคมไทย ซึ่งต่อมาจะได้รับการพัฒนากลายเป็นวิชาคหกรรมศาสตร์

โดย “วิชาการเรือน” ที่เริ่มมาจากการเรือนฝ่ายในนั้น ต่อมามีการรวมพิมพ์เป็นตำราครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2451 ในชื่อ “แม่ครัวหัวป่าก์” ผลงานของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ (เปลี่ยน ชูโต) และมีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้งมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่วิชาคหกรรมศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มมาจากวิชา “Home economics” ในสหรัฐอเมริกา ที่ริเริ่มโดย Ellen Swallow Richards ในช่วงต้นทศวรรษ 1890-1900 และแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยผ่านนักวิชาการผู้หญิงที่ไปศึกษาวิชา “Home economics” ในสหรัฐอเมริกากลายเป็นวิชาคหกรรมศาสตร์ ในชั้นเรียนไทยปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ว่าด้วยวิชาการเรือน วิชาคหกรรมศาสตร์ ศีลธรรม และความเป็นไทย เกี่ยวข้องกันอย่างไร ติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่

https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ

https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'FREE PAI' จุดเทียนหน้าศาลอาญา เรียกร้องสิทธิประกันตัว 'ไผ่ ดาวดิน'

$
0
0
ประชาชนจุดเทียนหน้าศาลอาญา เรียกร้องสิทธิประกันตัว 'ไผ่ ดาวดิน' หวังกระแสกระจายต่อ ด้านโฆษกศาลระบุแม้การแสดงข้อเรียกร้องเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะการกระทำนอกบริเวณศาลแต่หากมีความมุ่งหมายให้เกิดผลในบริเวณศาลและการกระทำนั้นก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยก็อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้

 
 
 
 
 
 
ภาพกิจกรรมจุดเทียน อ่านบทกวี (โดย กิตติกานต์ บุญเหลี่ยม)
 
8 ม.ค. 2560 เวลาประมาณ 18.10 น. บริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ประชาชนในนามกลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ประมาณ 15 คน ได้รวมตัวกันจุดเทียนเป็นรูป FREE PAI เพื่อให้กำลังใจจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกิจกรรมที่ถูกถอนประกันในคดีแชร์พระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จาก BBC Thai และถูกคุมขังที่เรือนจำขอนแก่นมาแล้ว 4 ผัด
 
ผู้จัดกิจกรรมกล่าวตอนหนึ่งว่า เหตุที่มารวมตัวกันวันนี้เพื่อเป็นกำลังให้ไผ่และเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนไทย อีกทั้งขณะนี้ไผ่มีสอบตัวสุดท้ายในการจบการศึกษาและไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีแต่อย่างใด
 
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรายหนึ่งซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า มาจุดเทียนวันนี้เพื่อแสดงสัญลักษณ์และอยากให้ไผ่ได้มีโอกาสประกันตัวและได้ต่อสู้คดีความอย่างเป็นธรรม ตอนนี้ มีนักโทษการเมืองในคุกมากพอแล้ว ทั้งสมยศ พฤกษาเกษมสุขและคนที่ไม่ได้รับประกันตัวรวมถึงคนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ อยากให้การจุดเทียนครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้คนอื่นๆ ไปจุดกันเองในสถานที่ต่างๆ ด้วย และสำหรับชื่อกลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรมนั้นแสดงถึงประชาชนผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม คนที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถนำชื่อนี้ไปใช้ได้
 
นอกจากนี้กลุ่มดังกล่าวยังมีการออกแถลงการณ์แสดงความเห็นว่า คำสั่งศาลในการถอนประกันและให้คุมขังไผ่นั้นขัดต่อกฎหมายว่าด้วยสิทธิการประกันตัว ทั้งกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
 
"พวกเรากลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรมขอยืนยันในสิทธิในการได้รับการประกันตัว และขอเรียกร้องให้องค์กรตุลาการไทยคืนสิทธิดังกล่าวให้กับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เพื่อให้นายจตุภัทร์ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม และดำเนินชีวิตอย่างที่เขาสมควรจะกระทำได้ต่อไป"
 
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
 
แถลงการณ์กลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรม
เรื่อง คืนสิทธิในการได้รับการประกันตัวแก่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา
 
ตามที่ศาลจังหวัดขอนแก่นได้สั่งเพิกถอนประกันนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ต้องหาในคดีเผยแพร่บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ซึ่งเคยได้รับการประกันตัวในช่วงเวลาก่อนหน้า โดยอ้างเหตุผลว่านายจตุภัทร์มิได้นำบทความที่ตกเผยแพร่ออกจากบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของตน และมีพฤติกรรมแสดงออกเย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ และไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา อีกทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็มีคำสั่งยืนตามศาลจังหวัดขอนแก่น ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวนายจตุภัทรชั่วคราวด้วยเหตุผลเดียวกันนั้น
พวกเรากลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรมมีความเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวขัดต่อกฎหมายว่าด้วยสิทธิในการได้รับการประกันตัว ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภายของประเทศไทยเอง
 
โดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อ กำหนดหลักการพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไว้ว่า “บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความผิดอาญามีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดตามกฎหมาย”
 
ในขณะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 กำหนดหลักเกณฑ์ในการไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวไว้ว่าจะต้องเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หลักประกันไม่น่าเชื่อถือ หรือการปล่อยตัวชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนหรือดำเนินคดีเท่านั้น และมาตรา 108 วรรค 3 กำหนดให้ศาลสามารถกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวปฏิบัติได้ แต่จะต้องเป็นไปเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น
 
จากข้อเท็จจริง ในการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งแรก ศาลจังหวัดขอนแก่นมิได้กำหนดเงื่อนไขให้นายจตุภัทร์นำบทความที่เผยแพร่ออกจากบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ด้วย ศาลจึงไม่สามารถอ้างเหตุดังกล่าวในการเพิกถอนประกันได้ ในขณะที่การแสดงออกของนายจตุภัทร์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐนั้นก็เป็นเพียงการแสดงออกโดยทั่วไป อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองจากทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี อีกทั้งความเสียหายต่อประเทศชาติที่กล่าวอ้างมานั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงออกแม้จะเป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐก็มิได้อยู่ในหลักเกณฑ์ในการไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
 
และนอกเหนือจากเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่านายจตุภัทร์มีพฤติกรรมที่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 108/1 อันเป็นเหตุสมควรไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่ยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้เป็นอย่างดีก็ได้แก่คำสั่งศาลจังหวัดขอนแก่นเอง ที่เคยอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุภัทร์ด้วยเหตุว่านายจตุภัทร์มีคดีติดตัวจำนวนมากจากการจัดกิจกรรมทางการเมือง แต่ก็ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเลย
 
การไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายจตุภัทร์โดยขัดต่อกฎหมายและปราศจากเหตุอันสมควรนี้ยังส่งผลกระทบให้นายจตุภัทร์อาจต้องขาดการสอบที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้นายจตุภัทร์ต้องพ้นสถานภาพนักศึกษาได้
 
พวกเรากลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรมขอยืนยันในสิทธิในการได้รับการประกันตัว และขอเรียกร้องให้องค์กรตุลาการไทยคืนสิทธิดังกล่าวให้กับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เพื่อให้นายจตุภัทร์ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม และดำเนินชีวิตอย่างที่เขาสมควรจะกระทำได้ต่อไป
 
กลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรม
8 มกราคม 2560
 

โฆษกศาลติงเสี่ยงละเมิดอำนาจศาล

ด้าน มติชนออนไลน์รายงานว่านายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มมวลชนนำเทียนมาเรียงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ FREE PAI หมายถึงการเรียกร้องให้มีการปล่อยชั่วคราวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่หน้าบริเวณทางเท้า หน้าป้ายสำนักงานศาลยุติธรรมเเละป้ายศาลอาญาว่า แม้การแสดงข้อเรียกร้องเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย แต่ก็พึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเพราะการกระทำนอกบริเวณศาลแต่หากมีความมุ่งหมายให้เกิดผลในบริเวณศาลและการกระทำนั้นก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยก็อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้ ในระหว่างนี้เมื่อผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในอำนาจศาลระหว่างการสอบสวน ผู้ต้องหาหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องก็น่าจะใช้วิธีการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะเหมาะสมกว่า
 
เมื่อถามว่าทางสำนักงานศาลยุติธรรมจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป นายสืบพงษ์กล่าวว่า รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ศาลอาญาทราบ ส่วนศาลอาญาจะใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างไร สำนักงานศาลยุติธรรมไม่อาจก้าวล่วงได้ อำนาจในการพิจารณาเป็นของศาลยุติธรรม มิใช่เป็นส่วนของสำนักงานศาลยุติธรรม
 
นายสุภัทร์ สุทธิมนัส อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ รปภ.ศาล ได้แจ้งข้อมูลผ่านสายบังคับบัญชาให้ทราบแล้วในเบื้องต้น หากไม่ได้มีการจัดกิจกรรมที่เข้ามาวุ่นวายในบริเวณศาลอาญา หรือกระทำการใดๆ ต่อป้ายศาลอาญาและสำนักงานศาลยุติธรรม ก็ยังไม่ดำเนินการใด แต่ถ้าเข้ามาในบริเวณศาลและกระทำการต่อป้ายศาล ก็สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำที่จะผิดกฎหมาย เช่นนั้นต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
 
 

ภาพกิจกรรมจุดเทียน อ่านบทกวี (ถ่ายภาพโดย กิตติกานต์ บุญเหลี่ยม)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>