Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

7 วันปีใหม่ ตายเจ็บมากกว่าปี 59 ครม.ไฟเขียวแก้ กฎหมายจราจรทางบก

$
0
0
5 ม.ค.2560 ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ประจำปี 2560 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน 7 วันปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.59 – 4 ม.ค.60 เกิดอุบัติเหตุ 3,919 ครั้ง บาดเจ็บ 4,128 คน เสียชีวิต 478 ราย สาเหตุการอุบัติเหตุสูงสุดคือ เมาแล้วขับ จ.ชลบุรี มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 33 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในช่วงปี 59 พบยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในพื้นที่ กทม. ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 (ที่มา : ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร)
 
ขณะที่วานนี้ (4 ม.ค.60) รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

โดยมีสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดั้งกล่าวดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมน้ำหนักของรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจาก 1,600 กก. เป็น 2,200 กก. ที่ไม่ต้องขับรถในช่องเดินรถด้านซ้ายสุดหรือใกล้เคียงกับช่องเดินรถประจำทางแล้วแต่กรณีให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2557

2. กำหนดให้ผู้ขับขี่มีหน้าที่ต้องจัดให้คนโดยสารซึ่งนั่งในรถทุกคนต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์  3. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรการบังคับสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งโดยกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร) มีหน้าที่ออกหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งมาชำระค่าปรับภายใน 15 วัน โดยหากบุคคลดังกล่าวยังไม่ปฏิบัติตามหนังสือแจ้งเตือนข้างต้น ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งไปยังนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกให้ชะลอการรับชำระภาษีประจำปีไว้ก่อน พร้อมทั้งให้นายทะเบียนดังกล่าวมีอำนาจสั่งยึดหรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของบุคคลนั้นด้วย

4. กำหนดให้เจ้าหน้าที่พนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่ด้วยวิธีการตรวจทดสอบลมหายใจ ปัสสาวะ เลือด หรือวิธีการอื่นอย่างชัดแจ้ง 5. กำหนดให้ค่าใช้จ่ายในการตรวจทดสอบว่าผู้ขับขี่เมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่สั่งจ่ายจากงบประมาณที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และ 6. แก้ไขอัตราโทษสำหรับความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษให้สอดคล้องกับการแก้ไขอัตราโทษสำหรับความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญาแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558

 

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และ สำนักข่าวไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพ ธ.กรุงเทพเผยผลเจรจาครั้งที่ 15-19 คาดสัปดาห์หน้าทราบผลโบนัส

$
0
0
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมาสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพแจ้งต่อสมาชิกสหภาพแรงงานว่าในการเจรจาเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างประจำปี 2559 ครั้งที่ 15-19 ซึ่งมีการเจรจากันในช่วงเดือน ธ.ค. 2559 - ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าในข้อเรียกร้องข้อที่ 1 ธนาคารจะพิจารณาเงินช่วยเหลือพิเศษ (โบนัส) และระยะเวลาการจ่ายไม่น้อยกว่าที่ผ่านมา (อาจจะทราบผลในอาทิตย์หน้า) 
 
ส่วนข้อเรียกร้องข้อที่ 7 ธนาคารตกลงปรับปรุงอัตราเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านของพนักงานในอัตราใหม่โดยสังเขป ดังนี้
 
 
และเพิ่มเติมบางจังหวัด บางสาขา ให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น เช่น สาขาเกาะเต่า ชั้นพิเศษลงมาจาก 4,500 บาท เป็น 7,000 บาท
 
ทั้งนี้สรุปผลการเจรจาที่คาดว่าจะทำข้อตกลงร่วมปี 2559 ที่ได้แล้ว คือ ข้อเรียกร้องข้อที่ 5 ธนาคารจ่ายเงินช่วยเหลือแก่พนักงานที่ทำงานกับธนาคารจนเกษียณอายุสำหรับพนักงานที่เข้าทำงานก่อนปี 2532 เป็นเงิน 200,000 บาท, ข้อเรียกร้องข้อที่ 6 ธนาคารตกลงปรับวงเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สวัสดิการเพื่อที่อยู่อาศัยของพนักงาน, ข้อเรียกร้องข้อที่ 8 ธนาคารปรับค่าอาหารกลางวันพนักงานเคลียริ่ง รปภ. พนักงานขับรถ และผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน จากเดิม 70 บาท เป็น 100 บาท และข้อเรียกร้องข้อที่ 9 ธนาคารปรับเพิ่มค่าบริการทันตกรรมสูงขึ้น
 
 
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

สหถาพแรงงานฯ ชี้ ธ.กรุงเทพ ปรับตารางการทำงานใหม่ขัดต่อคำสั่งศาล
สหภาพขอ ธ.กรุงเทพพิจารณาข้อเรียกร้องตัวเงิน เยียวยาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
เจรจานัด 13 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' บรรลุข้อตกลง 4 ข้อแล้ว
เจรจานัด 11-12 สหภาพ-ธ.กรุงเทพ เปลี่ยน 'ยอดขายผลิตภัณฑ์' เป็น 'เงินรางวัลสาขา' แทน
เจรจานัด 10 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' ชี้ไตรมาส 3 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 8 พันล้าน
เจราจานัด 9 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' คาดเงินเกษียณ 2 แสนได้คำตอบ พ.ย. นี้
เจรจานัด 8 'สหภาพฯ-ธ.กรุงเทพ' ขอ พนง.มีโอกาสเท่าเทียมเลือกตั้ง กก.ลูกจ้าง
เจรจานัด 6-7 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพระบุปัญหา OT ยังไม่ได้แก้
เจรจานัด 5 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ' ไม่อยากให้ พนง. ซื้อผลิตภัณฑ์เองหากไม่เข้าเป้า
'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' เจรจานัด 4 สหภาพชี้ควรเพิ่มค่าตอบแทนให้ 'พนง.ตัวแทนซื้อขายกองทุน' ด้วย
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ เผยธนาคารจะเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานหญิงใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สาระ+ภาพ: 61 ปี มี 'อะไร' ในคำขวัญวันเด็ก พบ 'วินัย-ชาติ-คุณธรรม' นำโด่ง

$
0
0

จากเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่าในปีนี้ ได้มอบคำขวัญวันเด็กประจำปี 2560 ว่า “เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง”  ประชาไท จึงนำคำขวัญวันเด็กตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2499 เป็นต้นมาเพื่อสำรวจเนื้อหาของคำขวัญดังนี้

ดูภาพขนาดใหญ่

ที่มา:
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.เห็นชอบแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้กก.กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับกลุ่มลูกจ้างต่างๆ

$
0
0

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

โดยมีสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว คือ 1. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้อำนาจคณะกรรมการในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับกลุ่มลูกจ้างต่าง ๆ  2. ยกเลิกบทบัญญัติให้นายจ้างส่งสำเนาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้แก่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย

3. เพิ่มมาตรา 118/1 ให้กรณีการเกษียณอายุเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างในกรณีที่มิได้ตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุลูกจ้างไว้ให้ลูกจ้างเกษียณอายุ เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์และนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย และ4. เพิ่มเติมบทบัญญัติ มาตรา 144 กำหนดโทษสำหรับนายจ้างที่ฝ่าฝืนไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะเหตุเกษียณอายุ

กำหนดเปิดทำการ 9 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 เม.ย.นี้

นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิด ทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้

ซึ่งสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค จำนวน 9 แห่ง ซึ่งมีกำหนดวันเปิดทำการศาลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2560 เป็นต้นไป  ดังนี้ 1. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีเขตศาลในจังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดสระบุรี  2. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 มีเขตศาลในจังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดสระแก้ว มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดระยอง

3. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีเขตศาลในจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดสุรินทร์ 4. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีเขตศาลในจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครพนม จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำพู และจังหวัดอุดรธานี  มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดขอนแก่น 5. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีเขตศาลในจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ 

6. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 มีเขตศาลในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอุตรดิตถ์ และ จังหวัดอุทัยธานี มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดพิษณุโลก 7. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีเขตศาลในจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสุพรรณบุรี มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม 

 8. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 มีเขตศาลในจังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร  จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช และ  9. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 มีเขตศาลในจังหวัดตรัง จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดพัทลุง จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล มีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดสงขลา 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มูลนิธิกระจกเงา เผยรายงานสถานการณ์ปัญหาเด็กขอทานรอบปี 59

$
0
0

ระบุตลอดปี 59 ตัวเลขการรับแจ้งเบาะแสยังคงไม่ลด คาดจากหลายปัจจัย การรณรงค์ลดค่านิยมการให้เงินกับเด็กขอทาน ไม่ถึงระดับให้แทบทุกคนเลิกพฤติกรรมให้เงินได้ หวังปี 60 นโยบายจัดระเบียบทั่วประเทศของ พม. จะยังเดินหน้าต่อและมีความชัดเจนในการปฏิบัติ ป้องกันกลุ่มขอทานข้ามชาติเป็นรูปธรรม

5 ม.ค. 2560 โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา ได้เผยแพร่ "รายงานสถานการณ์ปัญหาเด็กขอทานรอบปี 2559" ระบุว่า รอบปี 2559 นั้น สถานการณ์ปัญหาการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทาน ยังคงเป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ คล้ายปี 2558 ที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงต้นปี 2559 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยังคงเดินหน้านโยบายการจัดระเบียบคนขอทานทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีกิจกรรมการรณรงค์สร้างความตระหนักให้คนในสังคมและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เข้าใจต่อปัญหาเด็กขอทานมากยิ่งขึ้น ภายใต้สโลแกน “ให้ทานอย่างถูกวิธี ลดวิธีการขอทาน” โดยเน้นไปในจังหวัดที่เป็นเมืองเศรษฐกิจ อาทิ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ภูเก็ต เป็นต้น

ซึ่งนอกจากการรณรงค์สร้างความตระหนักต่อปัญหาเด็กขอทานแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง พม. ก็มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ “พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559” ก่อนการบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ก.ค. 2559 อีกด้วย  จากผลงานการจัดระเบียบคนขอทานและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในด้านต่างๆ รวมถึงความพยายามในการผลักดันกฎหมาย ทำให้ท้ายที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดอันดับรายงานสถานการณ์ปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.5 (Tier 2 watch list) แทนที่อันดับ 3 (Tier 3) ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับนี้มา 2 ปี ติดต่อกัน
 
รายงานระบุด้วยว่า หากมองไปที่สถิติการรับแจ้งเบาะแสการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทานหรือแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ของโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา ตลอดปี 2559 ก็พบว่าตัวเลขการรับแจ้งเบาะแส ยังคงอยู่ในระดับ 300 ราย ใกล้เคียงกับปี 2558 ที่ผ่านมา โดยเหตุที่ตัวเลขการรับแจ้งเบาะแสเด็กขอทานยังคงไม่ลดลงนั้น โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา วิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น การรณรงค์เพื่อลดค่านิยมต่อการให้เงินกับเด็กขอทาน ยังไม่สามารถแตะถึงระดับ “มวลวิกฤต” (Critical Mass) ที่จะทำให้แทบทุกคนในสังคมไทยเลิกพฤติกรรมการให้เงินกับเด็กขอทานได้ จึงทำให้รายได้จากการขอทานในแต่ละวันไม่ลดลงเท่าที่ควร
 
ปัจจัยต่อมาก็คือมาตรการในการป้องกันกลุ่มขอทานข้ามชาติที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยยังคงทำได้ไม่ดีพอนัก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเด็กขอทานในหลายๆ พื้นที่ แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่ามีกลุ่มขอทานข้ามชาติในลักษณะ “หน้าซ้ำ” “หน้าเดิม” อยู่หลายราย ที่ได้รับการช่วยเหลือและส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้ว แต่คล้อยหลังได้ไม่นานก็กลับมาขอทานดังเดิม อย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็มีหลายจุดที่มักพบขอทาน “หน้าซ้ำ” “หน้าเดิม” อาทิ เพลินจิต, นานา, อโศกมนตรี, สีลม, สยาม เป็นต้น 
 
แม้ว่า พม. จะมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ องค์กรเฟรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในการพัฒนารูปแบบการส่งกลับกลุ่มขอทานจากประเทศกัมพูชา โดยอาศัยเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศต้นทางให้ช่วยดูแลกลุ่มขอทานภายหลังการส่งกลับไปแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากรูปแบบดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองระบบ จึงอาจยังไม่มีกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากนัก ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า พม. จะมีการยกระดับการป้องกันไม่ให้กลุ่มขอทานข้ามชาติกลับเข้าสู่ประเทศไทยซ้ำได้อย่างไรบ้าง 
 
ปัจจัยที่ 3 ถือเป็นเรื่องที่สำคัญพอสมควรนั่นคือกลไกการช่วยเหลือเด็กขอทานภายหลังการรับแจ้งเหตุจากพลเมืองดีนั้นยังคงมีความล่าช้าอยู่มาก พลเมืองดีบางรายสะท้อนปัญหาว่าเมื่อโทรแจ้งเบาะแสไปยังศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 แล้ว กลับปรากฏผลลัพธ์ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่มาดำเนินการช่วยเหลือเด็กแต่อย่างใด ซึ่งกลไกการช่วยเหลือเด็กขอทานที่ยังขาดการบูรณาการและประสิทธิภาพนั้น จะมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเด็กขอทานในระยะยาวอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้คนในสังคมบางส่วนเริ่มตระหนักต่อปัญหาเด็กขอทานโดยการหยุดการให้เงินและเปลี่ยนเป็นการแจ้งเบาะแสไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดพลเมืองดีกลับยังเห็นเด็กขอทานที่ตนเองแจ้งเบาะแส นั่งขอทานอยู่ข้างถนนตามเดิม จึงทำให้เกิดลักษณะของการขาดความเชื่อมั่นกับหน่วยงานภาครัฐ และทำให้ในที่สุดการรณรงค์ให้คนในสังคมหยุดการให้เงินกับเด็กขอทานไม่ได้ผลบรรลุตามเป้าหมาย เพราะพลเมืองดีมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพชีวิตเด็ก ภายหลังการแจ้งเบาะแสไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วนั่นเอง
 
ทั้ง 3 ปัจจัยนี้ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของ พม. ด้วยเพราะเป็นปัญหาที่ติดขัดและถูกกล่าวถึงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมนัก นอกจากนี้ในปี 2559 ประเทศไทยได้เริ่มมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 (ซึ่งเป็นกฎหมายที่ได้รับการแก้ไขมาจากพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2484) โดยมีบทบัญญัติที่สำคัญ คือ พฤติกรรมการขอทานถือว่ามีความผิดและมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และผู้แสดงดนตรีหรือความสามารถอื่นใดไม่ถือเป็นการขอทาน แต่ต้องมีการขึ้นทะเบียนรวมถึงการขออนุญาตจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นก่อนทำการแสดง 
 
ซึ่งถือเป็นเรื่องดีของกฎหมายฉบับดังกล่าวที่แยกกลุ่มผู้แสดงดนตรีหรือความสามารถออกจากกลุ่มขอทาน เพราะที่ผ่านมาผู้แสดงดนตรีหรือความสามารถมักได้รับผลกระทบจากการกวาดล้างหรือจัดระเบียบคนขอทานมาโดยตลอด อีกทั้งการขึ้นทะเบียนผู้แสดงความสามารถนั้น ก็จะช่วยลดปัญหาการนำเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์หรือกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงมาทำการแสดง เพื่อนำรายได้ไปใช้ในทางมิชอบได้อีกด้วย และกฎหมายฉบับนี้ก็จะช่วยอุดช่องว่างของกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่บัญญัติถึงปัญหาการนำเด็กมาขอทาน เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546, พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 เป็นต้น ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 
แต่อย่างไรก็ตามการมีกฎหมายหลายฉบับนั้น โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา ก็พบปัญหาว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เริ่มสับสนว่าจะใช้กฎหมายฉบับใดเป็นหลักในการดำเนินคดีกับผู้ที่พาเด็กมาขอทาน เพราะปัญหาเด็กขอทานมีทั้งกรณีค้ามนุษย์, บุพการีกระทำกับผู้สืบสันดาน (ที่มีทั้งการบังคับและเด็กสมัครใจมาทำการขอทาน), เด็กถูกทอดทิ้ง หรือบางรายก็เป็นเด็กที่มาขอทานเพื่อประทังชีพ ฯลฯ ด้วยเหตุจากความหลากหลายนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางแห่ง ใช้กฎหมายที่มีอัตราโทษที่รุนแรงเกินความจำเป็นมาบังคับใช้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการดำเนินคดีกับมารดาที่พาบุตรมาทำการขอทานฐานค้ามนุษย์ (ซึ่งตามข้อเท็จจริงมารดาไม่ได้มีการบังคับหรือทำร้ายร่างกายบุตรแต่อย่างใด ในทางปฏิบัติอาจตีความเป็นเรื่องการเลี้ยงดูบุตรอย่างไม่เหมาะสมและใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เพื่อขอแยกเด็กจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมแทนก็ได้) หรือกรณีหนึ่งที่โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา พบเป็นกรณีลุงนำหลานชาย อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นเด็กดาวน์ซินโดรมมาทำการขอทาน ซึ่งกรณีนี้เด็กไม่อยู่ในสภาพของการรับรู้หรือแสดงความคิดเห็นได้ว่าตนเองจะสมัครใจมาทำการขอทาน เพราะสภาพจิตที่ไม่ปกติสมบูรณ์ จึงอาจกล่าวได้ว่าเด็กมีลักษณะของการถูกบังคับโดยสภาพ แต่ท้ายที่สุดกรณีนี้เจ้าหน้าที่ที่ทำการช่วยเหลือเด็กกลับใช้การส่งลุงและหลานไปทำการตรวจ DNA ซึ่งเมื่อผลการตรวจออกมาว่าตรงกันก็ส่งกลับประเทศต้นทางโดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆ
 
รายงานของมูลนิธิกระจกเงาระบุด้วยว่า จากกรณีศึกษาเหล่านี้จึงพอสะท้อนได้ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีการนำเด็กมาขอทานนั้น อาศัยเพียงดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่ทำการช่วยเหลือเด็กเป็นหลักเท่านั้น หาใช่จากการนำกรณีศึกษาที่ผ่านมา มาทำการวิเคราะห์และกำหนดวิธีการหรือขั้นตอนการปฏิบัติให้ทุกหน่วยงานดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันไม่ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเด็กขอทานทั้งภาครัฐและเอกชน ควรมีการหารือแนวทางการปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อมิให้เกิดการลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมายและมีความเป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้กลุ่มหนึ่งที่ต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 เช่นกัน คือ กลุ่มผู้แสดงดนตรีหรือความสามารถ เนื่องจาก ณ ขณะนี้ กลุ่มผู้แสดงความสามารถบางส่วนมีความเข้าใจในเรื่องของการต้องขึ้นทะเบียนผู้แสดงความสามารถ แต่ยังไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างตนเองจึงจะได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตลอดปี 2560 พม. รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น คงต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มีความต้องการแสดงดนตรีหรือความสามารถต่างๆ มาขึ้นทะเบียนให้ได้อย่างเป็นลำดับและครบถ้วนต่อไป
 
นอกจากปัญหาเรื่องการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทานแล้ว ปัญหาการนำเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ อย่างการขายพวงมาลัยหรือสินค้าต้นทุนต่ำอื่นๆ ก็เป็นปัญหาที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะด้วยนโยบายการจัดระเบียบคนขอทานนั้น มุ่งเน้นเอาผิดกับผู้ที่มาขอทานโดยประจักษ์เท่านั้น จึงทำให้คนขอทานบางรายใช้การขายสินค้าต้นทุนต่ำ เพื่ออำพรางพฤติกรรมเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วก็มีลักษณะของการแฝงขอทานควบคู่กันไปด้วย หรือบางรายที่เป็นเด็กก็ถูกพามาขายสินค้าในช่วงเวลาหรือสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น ต้องมาขายในช่วงกลางดึก, ในร้านหรือสถานบันเทิงยามค่ำคืน หรือ บนพื้นผิวการจราจร เป็นต้น อีกทั้งเด็กบางรายยังมีอายุที่น้อยมากด้วย จึงถือเป็นปัญหาหนึ่งที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกับปัญหาเด็กขอทาน
 
นอกจากนี้ในปี 2559 โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา ยังพบกรณีเด็กที่มาทำการขอทานในช่วงเวลากลางคืนและมีความเสี่ยงที่จะถูกชาวต่างชาติซื้อบริการหรือละเมิดทางเพศอีกด้วย โดยในกรณีนี้เด็กให้ข้อมูลว่าช่วงที่ตนเองมาทำการขอทานจะมีชาวต่างชาติมาให้เงินกับตน บางครั้งให้มากถึง 1,000 บาท เลยทีเดียว ในวันต่อๆ มา ชาวต่างชาติคนเดิมก็จะเริ่มพาตนและเพื่อนๆ ไปซื้อสินค้าต่างๆ อาทิ ขนม, เสื้อผ้า หรือ สมาร์ทโฟน เป็นต้น และสุดท้ายก็มีการชักชวนกลุ่มตนไปเที่ยวเล่นในพื้นที่ต่างจังหวัดหรือชักชวนไปยังที่พักของชาวต่างชาติคนนั้นๆ  ซึ่งมีเด็กขอทานหลายรายที่ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน จึงถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเด็กขอทานซึ่งวิถีชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ที่ต้องวนเวียนอยู่ข้างถนนนั้น มีความเสี่ยงที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในรูปแบบอื่นๆ ด้วยเช่นกัน 
 
ดังนั้นปัญหาเด็กขอทานตามข้างถนนหน่วยงานภาครัฐจะละเลยหรือมองข้ามว่าเป็นปัญหาที่เล็กน้อยมิได้เลย เพราะเด็กเหล่านี้ล้วนขาดโอกาสทางการศึกษาและใช้ชีวิตแบบปกติ จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกชักจูงหรือก้าวเข้าสู่ปัญหาการค้ามนุษย์อื่นๆ ได้ เมื่อเติบโตขึ้นมา
 
สำหรับในรอบปี 2560 นั้น โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา คาดว่า นโยบายการจัดระเบียบคนขอทานทั่วประเทศของ พม. น่าจะยังคงเดินหน้าต่อไป และน่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินคดีกับผู้ที่พาเด็กมาขอทานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้มากยิ่งขึ้น  ในส่วนเรื่องที่ต้องจับตามองนั้น มีเรื่องของการขึ้นทะเบียนกลุ่มผู้แสดงดนตรีหรือแสดงความสามารถต่างๆ ว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่อย่างไร  และท้ายสุดแนวทางการป้องกันกลุ่มขอทานข้ามชาติที่มักลักลอบกลับเข้าสู่ประเทศไทยซ้ำหลายๆ ครั้งนั้น จะมีแนวทางใดๆ ให้พอเห็นเป็นรูปธรรมได้บ้างในปี 2560 นี้
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์สวนปมถูกตร.ตามประกบขณะเที่ยวปีใหม่ ชี้จะดูแลความปลอดภัยก็ควรแสดงตัว

$
0
0

ยิ่งลักษณ์สวน 'ประยุทธ์-ประวิตร' ปมให้ จนท. ดูแลความปลอดภัย ขณะเที่ยวปีใหม่ ชี้ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจมากกว่าที่บอกว่าเป็นเรื่องเนียนหรือไม่เนียน จนท.ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบควรเข้ามาแสดงตัวหรือแนะนำตัว

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Yingluck Shinawatra

5 ม.ค. 2560 กรณีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ไม่พอใจเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามขณะที่ท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงปีใหม่กับครอบครัวนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) วันต่อมา (4 ม.ค.60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า "เขาไปดูแลความปลดภัยไม่ต้องไปถ่ายรูปอะไรเขามากนะ เดี๋ยวก็หาว่าไม่เป็นส่วนตัวอีก แต่ต้องไป ต้องไปดูเขา ไม่งั้น มันเกิดอะไรขึ้นมาก็โทษรัฐบาลว่าไม่ดูแลอีก พร้อมกันคืออย่าไปถ่ายรูปเขามากนักนะ เพราะฉะนั้นก็ขออภัยไว้ด้วยแล้วกัน อะไรที่ผมรับได้ผมก็รับได้"

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งผู้จัดการออนไลน์รายงานวานนี้ โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีดังล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปติดตามนั้นมีทั้งในและนอกเครื่องแบบ และได้ติดตามไปทุกที่ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อไปสอดส่องว่า ยิ่งลักษณ์จะไปทำอะไร แต่ว่าเขาตามไปเพื่อป้องกันตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ต้องไปดูว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น จะได้มีพยานหลักฐานต่างๆ หรือสามารถป้องกันไม่ให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะว่าถ้าเกิดอะไรกับอดีตนายกฯ คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือรัฐบาล เพราะขณะนี้ก็ไม่รู้ว่ามีมือที่ 3 ที่มีเจตนาไม่ดีหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ด้าน ยิ่งลักษณ์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Yingluck Shinawatra' วานนี้ตอบโต้ด้วยว่า ที่วันนี้ตนตัดสินใจโพสต์ข้อความอีกครั้งนั้น ไม่ใช่เป็นการตอบโต้หรือสร้างประเด็นความขัดแย้ง แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่า การดูแลความปลอดภัยตามที่รัฐบาล คสช. กล่าวนั้น ต่างจากสิ่งที่ตนได้รับอย่างไร

"เท่าที่ดิฉันเข้าใจ การดูแลความปลอดภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบควรเข้ามาแสดงตัวหรือแนะนำตัว อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ มากกว่าที่จะบอกว่าเป็นเรื่องเนียนหรือไม่เนียน ที่สำคัญไม่ควรมาสะกดรอยตามทุกฝีก้าว หรือแอบถ่ายรูปมากเสียจนขาดความเป็นส่วนตัว หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล" ยิ่งลักษณ์ โพสต์พร้อมระบุด้วยว่าการไปติดตามสอบถามตามร้านค้า หรือทุกสถานที่ ทั้งก่อนที่ตนจะไปและหลังจากกลับแล้ว ดูจะเป็นการสร้างความตระหนกตกใจแก่ผู้ประกอบการและประชาชนเสียมากกว่า
 
"ดิฉันจึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะใช้เวลาและกำลังพลเพื่อทำประโยชน์แก่ประชาชนก็จะเป็นการดีกว่านะคะ" ยิ่งลักษณ์ โพสต์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ย้ำกับทูตแคนาดา เดินตามโรดแมป เลือกตั้งต้นปีหน้า พร้อมรับฟังความเห็นที่แตกต่าง

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ย้ำกับเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ดำเนินการตาม โรดแมป และแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งในต้นปีหน้า และย้ำท่าทีไทยที่พร้อมรับฟังความเห็นที่แตกต่างและคำแนะนำจากทุกฝ่าย 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

5 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า วันนี้ (5 ม.ค. 60) เมื่อเวลา 13.30 น. โดนิกา พอตตี (H.E. Ms. Donica Pottie) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณที่ เดวิด จอห์นสตัน ผู้สำเร็จราชการแห่งแคนาดา มีสาส์นแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสาส์นแสดงความยินดีต่อการขึ้นทรงราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในนามรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เอกอัครราชทูตฯมาประจำประเทศไทย เชื่อมั่นว่าประสบการณ์ที่เอกอัครราชทูตฯจะส่งผลต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและแคนาดาให้มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในสาขาที่มีความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
 
เอกอัครราชทูตฯกล่าวแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมชื่นชมการทำงานของรัฐบาลไทยในเรื่องการแก้ไขปัญหาผู้อพยพและผู้ลี้ภัย รวมถึงนโยบายที่จะยกระดับเทคโนโลยีและการสื่อสารของไทย ซึ่งแคนาดาแสดงความสนใจที่จะให้นักธุรกิจไทยและแคนาดาร่วมกันลงทุนในด้านนี้ เอกอัครราชทูตฯกล่าวว่า แม้แคนาดาและไทยจะมีมุมมองในบางเรื่องแตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างเป็นมิตรประเทศที่มีความร่วมมือในด้านต่างๆในระดับภูมิภาคและความท้าทายระหว่างประเทศ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ แคนาดายังแสดงความสนใจที่จะเพิ่มบทบาทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาเซียน และไทย โดยเฉพาะการเพิ่มบทบาทผ่านกิจกรรมความร่วมมืออาเซียน-แคนาดา และประสงค์ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit)
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมแคนาดาภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ซึ่งบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้ใช้แคนาดาเป็นตัวอย่างในการบริหารไทยเช่นกัน พร้อมแสดงความยินดีที่แคนาดาประสงค์จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit) โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำความพร้อมของไทยที่จะสนับสนุนรัฐบาลแคนาดาสร้างเสริมความสัมพันธ์กับประเทศอาเซียนและมีบทบาทในเวทีโลก รวมถึงหวังที่จะจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีไทย-แคนาดา เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน
 
นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฯหารือถึงสถานการณ์การเมืองไทย โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการดำเนินการตาม โรดแมป และแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งในต้นปีหน้า และย้ำท่าทีไทยที่พร้อมรับฟังความเห็นที่แตกต่างและคำแนะนำจากทุกฝ่าย รวมถึงสนับสนุนให้แคนาดาส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อเสนอแนะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อการปฏิรูปประเทศที่ยั่งยืน
 
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฯ หารือถึงความร่วมมือในด้านพหุภาคี โดยนายกรัฐมนตรียินดีสนับสนุนแคนาดาที่ลงสมัครสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ปี ค.ศ. 2021-2022
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

งานวิจัยแคนาดาเผยการอาศัยอยู่ใกล้ย่านจราจรคับคั่งเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

$
0
0

การจราจรบนท้องถนนที่คับคั่งนอกจากความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุแล้วยังอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นด้วยสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับถนนที่มีการจราจรคับคั่ง จากรายงานผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แคนาดาที่ทำการศึกษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมในแคนาดา 243,611 กรณีรายเป็นเวลา 11 ปี แต่งานวิจัยนี้แค่เปรยถึงความเป็นไปได้ยังต้องพิสูจน์เพิ่มเติม

ที่มาของภาพประกอบ: Faris knight/Wikipedia/CC BY-SA 4.0

5 ม.ค. 2560 รายงานผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารแลนเซ็ตระบุว่าจากกรณีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม 243,611 กรณีมีอยู่ร้อยละ 11 ที่อาศัยอยู่ 50 เมตร ใกล้กับถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่ง ทำให้มีการประเมินแนวโน้มแนวมลภาวะทางอากาศและมลภาวะทางเสียงที่มาจากการจราจรอาจจะมีส่วนทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคสมองเสื่อมในอังกฤษบอกว่าผลการวิจัยในครั้งนี้ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมลึกไปกว่านี้แต่ก็ถือเป็นการเปิดทางเรื่องความเป็นไปได้

บีบีซีระบุว่ามีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเกือบ 50 ล้านคนทั่วโลก แต่ก็ยังหาสาเหตุของโรคไม่ได้อย่างชัดเจน

การวิจัยในครั้งนี้มีการศึกษากับชาวแคนาดาในรัฐออนแทรีโอที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมระหว่างปี 2544-2555 พบว่ายิ่งคนที่อยู่ใกล้กับถนนใหญ่มากเท่าใดก็ยิ่งมีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น โดยเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 300 เมตร แล้ว ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 50 เมตรมีโอกาสเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ที่จะเกิดโรคสมองเสื่อม ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ระหว่าง 50-100 เมตร มีโอกาสมากขึ้นร้อยละ 4 ในการที่จะเกิดโรคสมองเสื่อม ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 101-200 เมตร มีโอกาสมากขึ้นร้อยละ 2 ในการที่จะเกิดโรคสมองเสื่อม

โดยการพิจารณาในครั้งนี้มีการเทียบข้อมูลกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ แล้วอย่างเช่นเรื่องความยากจน โรคอ้วน ระดับการศึกษา และการสูบบุหรี่ แล้วทำให้ปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้ถูกพิจารณาต่างหากและไม่ส่งผลถึงการสำรวจความเกี่ยวข้องกับการอาศัยใกล้ถนนใหญ่

หงเฉิน หนึ่งในผู้รายงานการวิจัยจากสาธารณสุขออนแทริโอกล่าวว่า "การเพิ่มขึ้นของประชากรและการทำให้กลายเป็นเมืองเป็นเหตุให้ผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีการจราจรหนาแน่น และการที่ผู้คนอาศัยอยู่ใกล้การจราจรหนาแน่นอย่างแพร่หลายรวมถึงอัตราโรคสมองเสื่อมที่เพิ่มมากขึ้น แม้กระทั่งการอาศัยอยู่ใกล้ถนนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะกลายเป็นภาระใหญ่ของการสาธารณสุขได้"

หงเฉินกล่าวต่อไปว่าจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจว่าปัจจัยด้านการจราจรมีความเกี่ยวข้องอย่างไรบ้างเช่นเรื่องมลภาะทางอากาศหรือมลภาวะทางเสียง โดยนักวิจัยคาดว่าสิ่งทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมน่าจะเป็นเพราะเสียง อนุภาคฝุ่นผงขนาดเล็ก ก๊าซไนโตรเจนอ็อกไซด์ และอนุภาคจากยางรถยนต์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรค

ในทางสุขภาวะคนเราควรหลีกเลี่ยงมลภาวะทางอากาศในเมืองอยู่แล้ว จากที่องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าในทุกๆ ปี จะมีผู้คนเสียชีวิตด้วยสาเหตุเกี่ยวข้องกับมลภาวะทางอากาศ 3 ล้านคน เนื่องจากมลภาวะทางอากาศจะเพิ่มความเสี่ยงโรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคปอด และโรคทางเดินหายใจ โดยการวิจัยล่าสุดนี้ชวนให้เกิดความลังเลว่าควรจะเพิ่มโรคความจำเสื่อมเข้าไปเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่เกิดจากอากาศเป็นพิษหรือไม่ จากที่การวิจัยนี้เป็นการเปรยให้เห็นแนวทางความเป็นไปได้เท่านั้นแต่ยังไม่ถึงขั้นพิสูจน์ได้จึงอาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นย้ายที่อยู่อาศัยกันเพราะงานวิจัยนี้

ผู้ศึกษาด้านสุขภาวะต่างก็พูดว่างานวิจัยนี้มีความสำคัญ เช่น มาร์ติน รอสเซอร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสุขภาวะแห่งชาติอังกฤษกล่าวว่าถึงแม้ตัวเลขร้อยละจะดูน้อยแต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่เป็นโรคนี้มีอยู่จำนวนมากทำให้ถือว่ามีนัยยะสำคัญ

ทางด้านทอม เด็นนิง ผู้อำนวยการศูนย์โรคสมองเสื่อมแห่งมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมกล่าวว่าการที่มลภาวะทางอากาศจากเครื่องยนต์ไอเสียอาจจะทำให้เกิดพยาธิสภาพทางสมองเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และการเผชิญมลภาวะทางอากาศไปนานๆ อาจจะเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ซึ่งแน่นอนว่าการต้องอาศัยอยู่กับมลภาวะทางอากาศหนักๆ เป็นเรื่องที่สุดแสนจะไม่น่าอภิรมย์อยู่แล้ว

 

เรียบเรียงจาก

Dementia rates 'higher near busy roads', BBC, 05-01-2017 http://www.bbc.com/news/health-38506735

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อนุมัติใช้ยารักษากล้ามเนื้ออ่อนแรง ‘SMA’ หลังผลักดันกว่า 30 ปี

$
0
0

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อนุมัติใช้ยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA ซึ่งนับเป็นโรคหายากที่คร่าชีวิตเด็กเล็กเป็นอันดับต้นๆ หลังผลักดันกว่า 30 ปี เชื่อยานี้ช่วยเรียกคืนกำลังกล้ามเนื้อ-ชะลอการแย่ลงของโรค คาดค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ระหว่าง $225,000-$250,000/ปี


ภาพจากCure SMA

6 ม.ค.2560 เอฟดีเอหรือองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration: FDA) ประกาศอนุมัติการขายและให้ยา Spinraza หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Nusinersen เป็นครั้งแรก เพื่อรักษาโรคเส้นประสาทไขสันหลังเสื่อม หรือ SMA: Spinal Muscular Atrophy ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายอ่อนแรง รวมถึงกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในต่างๆ ด้วย แม้จะหายาก แต่โรคนี้นับได้ว่า เป็นโรคที่คร่าชีวิตเด็กทารกติดอันดับต้นๆ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย

SMA โรคหายากแต่พบเจอง่าย
โรค SMA เกิดขึ้นในเด็กแรกเกิด 1 ต่อ 10,000 คน ส่งผลทำให้เกิดการส่งนำประสาทที่ไม่สมบูรณ์ จนร่างกายอ่อนแรง และขยับไม่ได้ โรคนี้มี 4 ขั้น วัดจากความรุนแรงของโรค เช่น เด็กที่เป็นขั้นที่ 1 จะไม่สามารถนั่งหรือแม้แต่หายใจได้ ในขณะที่เด็กที่เป็นขั้นที่ 4 อาจแทบไม่ได้รับผลกระทบใดเลย อย่างไรก็ดี คนที่เป็นโรคนี้ แม้จะเป็นในขั้นที่อาการไม่หนัก แต่ก็มีแนวโน้มว่า อาการจะแย่ลงอย่างช้าๆ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น

หากอธิบายอย่างง่าย ร่างกายของคนทั่วไปจะมียีนส์ 2 ตัว ที่ผลิตโปรตีนเพื่อควบคุมระบบประสาทสั่งการกล้ามเนื้อ ได้แก่ SMN1 ตัวหลัก และ SMN2 ตัวสำรอง (SMN: Survivor Motor Neuron Genes) โรค SMA เกิดจากการไม่มียีนส์ SMN1ที่ผลิตโปรตีนเรียกว่า เซอไวเวอร์ มอเตอร์ นิวรอน โปรตีน (Survivor Motor Neuron Proteins) เพื่อควบคุมระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ เมื่อไม่มีจึงทำให้ไม่สามารถสั่งการกล้ามเนื้อได้ ร่างกายจึงอ่อนแรงและสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ดี คนที่เป็นโรค SMA จะมี SMN2 ซึ่งเป็นตัวสำรองอย่างน้อย 1 ก๊อปปี้ จึงอาจเรียกได้ว่า ยีนส์นี้เป็น  ‘ยีนส์สำรอง’ เพราะยีนส์ SMN2 ในคนที่เป็นโรค SMA ทำหน้าที่แทน SMN1 แทบทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงการสร้างโปรตีนในร่างกายทั้งหมดด้วย

ยาความหวังของครอบครัว SMA
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อแม่อาจรู้จักโรค SMA ว่า เป็นโรคแห่งการรอความตาย หรือโรคที่รักษาไม่หาย เพราะอาการที่เกิดขึ้นมักรุนแรง และเด็กที่เป็นมักเสียชีวิตก่อนเป็นวัยรุ่น ยาที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้รักษาตัวโรคให้หายขาด แต่ก็นับว่าเป็นความหวังที่เริ่มต้นได้สวยสำหรับครอบครัว SMA

ยานี้ถูกปล่อยออกมาในชื่อ Spinraza ภายใต้การทดลองและควบคุมของบริษัท ไอโอนิส ฟาร์มาซูติคอล (Ionis Pharmaceuticals) ร่วมกับบริษัท ไบโอเจน (Biogen) โดย Spinraza เป็นที่รู้จักครั้งแรกในชื่อ IONIS-SMNRx และ nusinersen และชื่อปัจจุบันตามลำดับ

หลังการประกาศของเอฟดีเอ นอกจากจะสร้างความยินดีแก่ครอบครัว นักวิจัย บริษัทยาและองค์การอาหารและยาแล้ว ยังเหมือนเป็นความสำเร็จแรก หลังจากมีความพยายามในการรักษาโรคนี้อย่างยาวนาน จากผลการทดลองในเด็กเล็ก 82 คน ได้รับยาจริงและยาหลอกอย่างละครึ่ง พบว่าร้อยละ 40 มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น สามารถนั่งได้ คลานได้หรือเดินได้ นอกจากนี้ ยายังสามารถใช้ได้กับผู้ป่วย SMA ทุกคนในทุกช่วงวัย โดยไม่มีข้อบ่งชี้เพิ่มเติม

“เป็นเรื่องน่ายินดีมาก เป็นเวลานานแล้วที่เราเฝ้ารอการรักษาของโรค SMA ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่คร่าชีวิตทารกแรกเกิดมากที่สุด นอกจากนี้มันยังเกิดกับคนได้ทุกช่วงวัย ซึ่งก่อนหน้านี้มีความพยายามอย่างมากเพื่อให้นักวิจัยศึกษาหาทางรักษาโรคดังกล่าว” บิลลี ดัน ผู้อำนวยการศูนย์โรคระบบประสาทเพื่อการพัฒนาและวิจัยยาของเอฟดีเอกล่าว

การต่อสู้ที่ยาวนานของชุมชนผู้ป่วย SMA
จิล จาเรคคี ผู้บริหารระดับสูงของเว็บไซต์ Cure SMA กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นแลนมาร์คที่สำคัญของความทรงจำเกี่ยวกับ SMA ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เว็บไซต์และครอบครัวผู้ป่วยพยายามอย่างมากเพื่อผลักดันให้เกิดยารักษา และต้องการที่จะแชร์ความสำเร็จนี้ออกไปให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

เว็บไซต์สนับสนุนทุนในการวิจัยโรค ตั้งแต่ปี 2003 เพื่อให้โรคนี้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักวิจัย โดยมีนักวิจัยจากหลายที่ร่วมกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ ราวินดรา สิงห์ และเอลเลียต แอนโดรฟี จากมหาวิทยาลัยแมซซาชูเซส ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ พวกเขาหาสาเหตุและระบุชนิดของยีนส์ที่เป็นปัญหา ได้แก้ยีนส์ ISSN1 ซึ่งผลการวิจัยนี้ เป็นต้นกำเนิดของยาสปินราซา ภายใต้ชื่อของบริษัท ไอโอนิส ฟาร์มาซูติคอล

นอกจากนี้ ผู้ร่วมพัฒนาคนสำคัญอย่างไบโอเจน ก็เป็นส่วนสำคัญทั้งในด้านการพัฒนาและควบคุมการทดลองซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและทำให้การวิจัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ไบโอเจนยังมีฐานข้อมูลที่แน่นหนาซึ่งช่วยซัพพอร์ทงานวิจัยได้  รวมทั้งการพัฒนานี้จะสำเร็จไปไม่ได้ หากขาดอาสาสมัครและครอบครัวที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการทดลองยา ทั้งกลุ่มที่ใช้ยาจริง และยาปลอม

ตั้งแต่ปี 2003 Cure SMA ได้รับเงินกว่า  500,000 ดอลล่าสหรัฐฯ จากคนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการวิจัยยาสำหรับผู้ป่วย SMA กระทั่ง ก.ค.2010 บริษัท Ionis หรือที่ในตอนนั้นชื่อว่า Isis Pharmaceuticals ก็ได้รับอนุญาตให้เริ่มคิดค้นและทดสอบยาดังกล่าว และมีการทดลองในขั้นที่ 1 ในอีกปีต่อมา ไบโอเจนได้เข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการทดลองเมื่อปี 2012 และยาได้ก้าวเข้าสู่การทดลองขั้นที่ 2 ในอีกหนึ่งปีถัดมา ตลอดช่วงปี 2013- 2016 บริษัทได้ทำการทดลองอย่างหนัก และมีการทดลองจริงกับเด็กที่ป่วยด้วยโรค SMA ทั้งชนิดที่ 1 และ 2 และในเดือน ก.ย. 2016 ยาตัวนี้ก็ถูกส่งรอการพิจารณาใช้จากเอฟดีเอและได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา

Spinraza พัฒนาโดยบริษัท Ionis Pharmaceuticals ภายใต้ใบอนุญาตของบริษัทไบโอเจน แม้ราคาของยาจะไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า จะอยู่ระหว่าง $225,000 ถึง $250,000 ต่อปี อ้างอิงจากบทความของ ไมเคิล ยี นักวิเคราะห์ของอาร์บีซี ที่วิเคราะห์ว่า ยาตัวนี้จะเป็นยาที่เจาะตลาดและน่าจะทำตลาดได้ดีในกลุ่มยาโรคหายาก ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตเองก็ให้คำมั่นด้วยว่า นอกเหนือจากผลิตยาแล้ว ยังจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาเรื่องโรค เรื่องยา การทำประกันและที่ปรึกษาทางการเงิน

แม้จะน่ายินดี แต่ Spinraza มียังมีผลข้างเคียง อ้างอิงจากข้อมูลรายงานของเอฟดีเอที่ระบุว่า ให้ใช้ยาอย่างระมัดระวังหากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เพราะยานี้อาจเพิ่มภาวะการไหลของเลือด และเกิดภาวะไตเป็นพิษ จึงต้องได้รับการตรวจค่าโปรตีนก่อนที่จะได้รับยาในแต่ละโดส  นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาด้วยยามีแนวโน้มที่จะมีภาวะปอดติดเชื้อมากขึ้น เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับยา ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้อาจทำให้หลายคนกังวลใจ

อย่างไรก็ดี ไอโอนิส ผู้ผลิตกล่าวว่า ในการทดลอง ยาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดมากพอจนทำให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะ เช่น ไต หรือระบบเลือด และไม่มีผลทำให้เกิดภาวะไตเป็นพิษ นอกจากนี้บริษัทได้อธิบายถึงการพบโปรตีนในปัสสาวะและภาวะปอดติดเชื้อว่า โปรตีนของผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยานั้นจะมีอายุยืนยาวกว่า จนทำให้ดูเหมือนว่า พวกเขาประสบปัญหาปอดติดเชื้ออยู่เรื่อยๆ

 

 

แปลและเรียบเรียงจาก

www.curesma.org/news/spinraza-approved.html

http://www.forbes.com/sites/matthewherper/2016/12/23/the-fdas-christmas-breakthrough/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เล็งใช้ ม.44 หยุดออกใบอนุญาตรถตู้ใหม่ คาดหมดภายในปี 62 - เปลี่ยนใช้ไมโครบัสภายใน 6 เดือน

$
0
0

'วิษณุ' เผยเล็งใช้ ม.44 แก้ปัญหารถตู้ ชงเข้า ครม. พร้อมงดออกใบอนุญาตรถตู้เป็นรถขนส่งสาธารณะปี 62 ขณะที่ 'คมนาคม' ชี้ 6 เดือนโละรถตู้ 'กทม.-ตจว.' 5 พันคัน เปลี่ยนใช้ไมโครบัสแทน

6 ม.ค. 2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระทรวงคมนาคมเสนอให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ปัญหารถตู้สาธารณะที่มักเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกรณีล่าสุดเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาว่า การแก้ปัญหานี้เป็นข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เกิดจากกรณีอุบัติเหตุรถกระบะชนกับรถตู้จนมีผู้เสียชีวิต 25 คนเพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ได้เสนอร่างพ.ร.บ.การจราจรทางบก ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาแล้ว อีกทั้งมีคณะกรรมการชุดหนึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการจราจรทางบกที่มี 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหมเป็นประธาน ได้เสนอมาตรการต่างๆเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือน ต.ค. 2559 หลายอย่างต้องออกกฎหมายอาจล่าช้า เมื่อเกิดเหตุรถตู้ชนรถกระบะขึ้น นายกฯจึงสั่งการว่ามาตรการต่างๆต้องใช้เวลาอาจมีอุบัติเหตุขึ้นได้อีกในช่วงวันหยุดยาว จึงให้ดึงเอาบางเรื่องออกมาใช้ไปพรางก่อนด้วยมาตรา 44 ส่วนที่เหลือก็แก้กันไป เสร็จเมื่อไหร่ มาตรา 44 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็หมดไป

"เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ผมได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก สตช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยยกกรณีอุบัติเหตุดังกล่าวเป็นตัวอย่าง ทำให้เห็นข้อบกพร่องซึ่งเคยพิจารณากันมาแล้ว เช่นการใช้รถ สภาพรถความเร็ว คุณภาพผู้ขับขี่ ผมจึงให้แต่ละหน่วยงานไปพิจารณาข้อเร่งด่วนแล้วให้เสนอมาที่ผมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนอะไรที่ต้องเสนอต่อสภาฯก็ให้ดำเนินการไป สำหรับรถตู้ที่เกิดเหตุนั้นถือเป็นรถที่มีสภาพไม่เหมาะเป็นรถโดยสารสาธารณะซึ่งมีใช้อยู่ในประเทศไทยจำนวนมากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำข้อมูลมาแสดงให้ดูในที่ประชุม ซึ่งเห็นว่า มีปัญหาที่ตัวรถ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปดูว่าอะไรที่ใช้กฎหมายปกติได้ก็ทำไป อะไรที่เร่งด่วนก็จะใช้มาตรา 44 ไปพลางก่อน" วิษณุ กล่าว 

วิษณุ กล่าวด้วยว่า การออกมาตรา 44 เพื่อควบคุมการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะรถตู้โดยสารสาธารณะนั้น มีเหตุผลสำคัญมาจากสภาพการใช้รถ สภาพของรถยนต์ที่ไม่เหมาะสม อาทิ ประตูขึ้นลงมีเพียงประตูเดียว มีการติดตั้งถังแก๊สจำนวนมาก รวมถึงจำนวนเก้าอี้โดยสารที่มีจำนวนมากถึง 14 หรือ 15 ที่นั่ง ซึ่งในอนาคตจะไม่อนุญาตให้นำรถตู้มาเป็นรถยนต์สาธารณะ
 
“โดยนับจากนี้เป็นต้นไป กรมขนส่งทางบกจะไม่ออกใบอนุญาตให้รถตู้ใหม่มาจดทะเบียนเป็นรถบริการสาธารณะ ส่วนรถเก่าที่เคยจดทะเบียนจะหมดอายุภายในปี 2562 แต่รถเก่าที่ยังใช้บริการ รถทุกคันจะต้องมีการติดกล้องซีซีทีวี และ GPS เพื่อความปลอดภัยด้วย” วิษณุ กล่าว
 
เมื่อถามว่าในอนาคตจะไม่มีการใช้รถตู้เพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะใช่หรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า แต่ละหน่วยงานมีมาตรการของเขาอยู่แล้ว โดยไม่เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้น เรื่องนีได้เสนอเข้าคณะรัฐมนตรีไปแล้วด้วยซ้ำว่ารถตู้ขนส่งสาธารณะจะหมดไปในปี 2562 เพราะสภาพไม่เหมาะกับการขนส่งสาธารณะ

6 เดือนโละรถตู้ 'กทม.-ตจว.' 5 พันคัน เปลี่ยนใช้ไมโครบัสแทน

ขณะที่วานนี้ (5 ม.ค.60) เชิดชัย สนั่นศรีสาคร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ) เปิดเผยว่า พิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เชิญ ขบ.ไปหารือเกี่ยวกับแผนการพัฒนาความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ โดย พิชิต  ต้องการให้ ขบ.เร่งรัดระยะเวลาการปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารเป็นรถไมโครบัสขนาด 20 ที่นั่ง ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้ หรือเริ่มตั้งแต่กลางปี 2560 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมของ ขบ.ที่ตั้งเป้าให้ทยอยเริ่มปรับเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2562-2564 โดยระยะแรกจะเร่งรัดให้ปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารหมวด 2 ที่วิ่งระหว่าง กทม.- ต่างจังหวัดก่อน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 5 พันคัน จากนั้นในระยะที่ 2 จึงจะปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารหมวด 3 ที่วิ่งระหว่างจังหวัด – จังหวัด

“พิชิต ต้องการเร่งรัดให้เปลี่ยนเป็นไมโครบัสให้เร็วขึ้น เพราะเห็นว่ารถตู้ไม่เหมาะสมและไม่ปลอดภัยในการนำมาเป็นรถโดยสาร แต่ขณะนี้มีข้อจำกัดว่าไทยยังไม่สามารถผลิตรถชนิดนี้ได้ หากต้องการก็ต้องนำเข้า และยังมีราคาแพง ซึ่งนายพิชิต จะนำเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และแนวทางที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร” เชิดชัย กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นครศรีธรรมราช ขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ เรือเร็ว เพื่อช่วยน้ำท่วม

$
0
0

ผวจ.นครศรีธรรมราช ขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากทหาร ตำรวจ รวมทั้งเรือเร็ว จากจังหวัดใกล้เคียง เพื่อนำอาหารถุงยังชีพไปช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย หลังหลายพื้นที่น้ำท่วมหนัก ไม่สามารถใช้เรือท้องแบนเข้าช่วยเหลือได้ สิ่งของช่วยเหลือบริจาคได้ที่ศาลากลางนครศรีธรรมราช ด้าน อบจ.สงขลา ส่งเรือสปีดโบ๊ต เรือท้องแบน พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยน้ำท่วมนครศรีธรรมราช

เรือช่วยเหลือและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของ อบจ.สงขลา ลงพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช (ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)

6 ม.ค. 2559 ในรายงานของเว็บไซต์นครศรีธรรมราชจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ทั้ง 23 อำเภอ 96 ตำบล บางพื้นที่ไม่สามารถนำเรือท้องแบน เข้าไปช่วยเหลือได้ ขณะนี้ได้ประสานขอเฮลิคอปเตอร์ จากกองทัพภาคที่ 4 เพื่อนำอาหารไปแจกจ่ายประชาชนที่ไม่ส่ามารถออกมาภายนอกได้ พร้อมทั้งขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำถุงยังชีพไปแจกจ่ายในพื้นที่อำเภอนบพิตำ และขอรับการสนับสนุนเรือเร็ว จากจังหวัดสงขลา สตูล ภูเก็ต เพื่อนำอาหารกล่องไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอชะอวด เฉลิมพระเกียรติ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีน้ำไหนเชี่ยว เรือท้องแบนไม่สามารถใช้งานได้

ผู้ว่าราชการจังหวัดจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวอีกว่า สำหรับพื้นที่อื่น ๆ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่และเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำหรับประชาชนที่จะบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ อุปโภค บริโภค สามารถบริจาคได้ที่ศูนย์รับบริจาค สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ด้านเว็บไซต์นครศรีธรรมราชรายงานด้วยว่า สุวิทย์ ยอดสุรางค์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ถนนทางหลวงชนบทที่อยู่ในความรับผิดชอบของแขวงทางหลวงชนบทนครศรีธรรมราช ได้รับผลกระทบทางอุทกภัยในขณะนี้ จำนวน 20 เส้น แต่ที่รถไม่สามารถผ่านได้ 7 เส้นทาง ได้แก่ ถนนสายบ้านเขาโร อ.ทุ่งสง บ้านขาม อ.ชะอวด ถนนเรียบทางรถไฟ อ.เมืองนครฯ บ้านควนชิง อ.ชะอวด บ้านทานพอ อ.ฉวาง บ้านห้วยแก้ว อ.สิชล และบ้านควนชิง อ.เชียรใหญ่

อบจ.สงขลา ส่งเรือสปีดโบ๊ต เรือท้องแบน พร้อมเจ้าหน้าที่ อพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช ขณะที่มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์เปิดเผยว่า นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) เปิดเผยว่า ทาง ขณะนี้ อบจ.สงขลา ได้ส่งเรือสปีดโบ๊ต เรือท้องแบน พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ขณะที่มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเน้นรับบริจาคสิ่งของจำเป็น น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารกึ่งสำเร็จรูปต่างๆ ณ สำนักงานมูลนิธิฯ ถนนศุภสารรังสรรค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1163 หรือ โทร.0-7435-0955 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในขณะนี้มูลนิธิฯ จัดกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพื้นที่ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และเตรียมจัดกำลังเข้าสนับสนุนเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผ่านมา 5 ปี มีคำสั่งพักราชการ "ร้อยเอก" สั่งซ้อมพลทหารวิเชียร

$
0
0

อิศรารายงาน แหล่งข่าวระดับสูงจากค่ายกัลยาณิวัฒนา ระบุได้มีคำสั่งพักราชการ ร้อยเอกภูริ เพิกโสภณ ผู้สั่งทำโทษพลทหารวิเชียรจนเสียชีวิต ย้ำจะพักราชการจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด หากผิดจริงจะปลดออกจากราชการ แต่ถ้ายกฟ้องก็ต้องคืนความเป็นธรรม

ภาพจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2560 สำนักข่าวอิศราได้รายงานถึงกรณีการสั่งพักราชการ  ร้อยเอกภูริ เพิกโสภณ นายทหารที่สั่งทำโทษพลทหารวิเชียร เผือกสม ด้วยการซ้อมทรมานจนเสียชีวิตในค่ายทหาร เมื่อปี 2554 สืบเนื่องมาจาก นริศวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวพลทหารวิเชียรได้โพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2560 ซึ่งระบุว่า ได้มีคำสั่งพักราชการ ร้อยเอกภูริ เพิกโสภณ เรียบร้อยแล้ว โดยให้งดจ่ายเงินรายเดือนและค่าเช่าบ้าน ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้ สั่ง ณ วันที่ 29 ธ.ค.2559 และระบุด้วยว่า รู้สึกได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง เหมือนเป็นของขวัญปีใหม่ที่ได้รับจากกองทัพบก และกระทรวงกลาโหม

สำนักข่าวอิศราได้สอบถามกรณีคำสั่งพักราชการดังกล่าว ไปยังนายทหารระดับสูง จากค่ายกัลยาณิวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นต้นสังกัดของร้อยเอกภูริ โดยแหล่งข่าวคนดังกล่าวระบุว่า กองทัพบกได้สั่งพักราชการ ร้อยเอกภูริ แล้วจริงตามที่เป็นข่าว และจะพักราชการไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุด หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง ก็ต้องออกราชการ แต่ถ้าพิพากษายกฟ้อง ก็ต้องคืนความยุติธรรมให้

ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติ่มว่า พลทหารวิเชียร จบการศึกษาในระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยในขณะที่ศึกษาได้บวชเป็นพระ และหลังจากจบการศึกษาเมื่ออายุ 25 ปี ได้ลาสิกขาแล้วเข้าสมัครเป็นทหารเกณฑ์  แต่หลังจากเข้าเป็นทหารเกณฑ์ที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง ได้ไม่นานเขาก็ถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2554

สำหรับการไต่สวนชี้มูลผู้กระทำความผิด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ได้เผยผลการไต่สวนเมื่อปี 2558 ว่า พลทหารวิเชียร เสียชีวิตจากการสั่งทำโทษของร้อยเอกภูริ (ยศขณะนั้นคือร้อยโท) กับพวกรวม 10 คน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และประมวลกฎหมายอาญาทหาร พร้อมส่งสำนวนคดีให้อัยการทหารพิจารณา ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ส่งเรื่องให้กองทัพบกสั่งพักราชการ  

โดยก่อนหน้านี้ได้มีการสั่งพักราชการนายทหารคนอื่นๆ ไปทั้งหมดแล้ว แต่สำหรับร้อยเอกภูริ กลับยังไม่ถูกสั่งพักราชการพร้อมกับนายทหารคนอื่นๆ จนทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามว่า ประเด็นดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการที่ร้อยเอกภูริ มีบิดาเป็นอดีตนายพลหรือไม่

สำหรับ นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ เพิ่งได้การยกย่องเป็นบุคคลแห่ง 2016 โดยประชาไท เธอเริ่มต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับการเสียชีวิตของน้าชายตั้งแต่ปี 2554 จนถูกแจ้งความดำเนินคดีโดยร้อยเอกภูริ เมื่อปีที่ผ่านมา ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมขณะปฎิบัติหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับหมายเรียกตัวเพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในกรณีใกล้เคียงกันคือ การเสียชีวิตของพลทหารทรงธรรม หมุดหมัด ซึ่งถูกสั่งทำโทษจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2559 ที่ค่ายพยัคฆ์ อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยการสั่งทำโทษของ ร.ต.ภัฏณัท เลิศชัยกุล รวมกับพวก 6 คน ซึ่งต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2559 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหาร  โดยระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอด ร.ต.ภัฏณัท เลิศชัยกุล สังกัดกองทัพบก ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคําสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากกระทําความผิดวินัยทหารฐานขัดคําสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและการขัดคําสั่งนั้นเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช 2479 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2501 ประกอบระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2

ประกาศ ณ วันที่ 7 ต.ค. พ.ศ.2559 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิษณุยันเดินโรดแมป นับหนึ่งเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญลงมาและประกาศใช้

$
0
0

วิษณุหวัง สนช.ไม่พูดเลื่อนเลือกตั้งอีก เหตุสร้างความเข้าใจผิด ยันเดินโรดแมป ระบุบัดนี้เกิดกรณีที่ในหลวงรัฐกาลที่ 9 สวรรคต ทุกอย่างเลื่อนไป เราจึงนับไม่ถูก ตอบไม่ถูก ชี้นับ 1 เมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญลงมาและประกาศใช้

6 ม.ค. 2560 จากกรณี สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาระบุว่า อาจจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเป็นกลางปี 2561 นั้น วันนี้  สำนักข่าวไทยและผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโรดแมปของรัฐบาลว่า หาก สนช. เป็นคนพูดก็คงต้องไปถาม สนช. เพราะตนจะตอบอะไรในส่วนนี้ไม่ได้ แต่คิดว่า สนช. คงไม่พูดอีกแล้ว เพราะเมื่อพูดก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

วิษณุ กล่าวว่า สำหรับรัฐบาล ทุกคนเห็นตรงกันว่า ต้องเดินไปตามโรดแมปที่มีความชัดเจน ทั้งลำดับขั้นตอน การทำงาน และช่วงเวลาของแต่ละขั้นตอน

“โรดแมปคืออย่างนี้ และก็ยังเป็นเช่นนี้ เพียงแต่เมื่อหลายเดือนก่อนรัฐบาล บอกว่า การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นได้ในปี 2560 เพราะมองด้วยสมมติฐานที่ว่าได้ทูลเกล้าฯร่างรัฐธรรมนูญไปเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2559 คิดว่าน่าจะได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯลงมาในเดือน พ.ย. 2559 แล้วประกาศใช้ต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นได้ในปี 2560 แต่บัดนี้เกิดกรณีที่ในหลวงรัฐกาลที่ 9 สวรรคต ทุกอย่างเลื่อนไป และจนถึงวันนี้ยังไม่มีพระราชทานรัฐธรรมนูญลงมา เราจึงนับไม่ถูก ตอบไม่ถูก” วิษณุ กล่าว
 
วิษณุ กล่าวว่า หากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่เมื่อใด ตามขั้นตอนต่อไป จะเป็นการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับ ซึ่งจะใช้เวลา 240 วัน จากนั้น จะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาของ สนช. ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 2 เดือน  หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็จะมีการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการร่วมกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) อีกประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลฯ ฉบับที่มีการจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนนี้จะมีระยะเวลา 90 วัน
 
“เมื่อมีการประกาศใช้ กระบวนการเลือกตั้งจึงเริ่มต้นกันได้ ภายใน 1 – 5 เดือน ดังนั้น ยังไม่สามารถนับ 1 ได้เพราะ ยังไม่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญลงมา” วิษณุ กล่าว
       
ต่อกรณีคำถามที่ว่าที่ สนช. ระบุว่า ต้องเลื่อนเลือกตั้งไปปี 61 นั้น เพราะมีกฎหมายต้องพิจารณาอยู่อีกมากกว่า 100 ฉบับ  วิษณุ กล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศจะพิจารณากฎหมายให้มากขึ้น และกฎหมายในเชิงปฏิรูปก็ถึงเวลาที่จะนำมาพิจารณาในช่วงนี้ แต่การพิจารณากฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ สนช. จะต้องไปพิจารณาเวลาเอาเอง เพราะรัฐบาลได้เพิ่มจำนวน สนช. ให้แล้วจากมีลาออกไปบ้าง แต่ในโอกาสต่อไปก็คงจะแต่งตั้งเพิ่มเติม
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรือเฟอร์รี่พัทยา-หัวหินเปิดแล้ว 'สรรเสริญ' ชี้ประหยัดเวลาเดินทางกว่าครึ่ง

$
0
0

โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ เรือเฟอร์รี่พัทยา-หัวหินเปิดบริการแล้ว ชี้ช่วยประหยัดเวลาเดินทางกว่าครึ่ง และเป็นทางเลือกใหม่ด้านการท่องเที่ยวทางทะเล ด้านนายกฯ สั่งเร่งประชาสัมพันธ์ พร้อมเตรียมขยายเส้นทางเพิ่ม 

ที่มาภาพ ข่าวกรมเจ้าท่าฉบับที่ 117.2559

6 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเดินเรือเฟอร์รี่เชื่อมอ่าวไทยตอนบน พัทยา-หัวหิน หรือเรือเฟอร์รี่ รอยัล 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการตามแผนปฏิบัติการลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง พ.ศ. 2560 ได้เดินทางจากท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา ไปถึงยังท่าเทียบเรือสะพานปลา หัวหิน ได้สำเร็จเป็นเที่ยวแรกวานนี้ (5 ม.ค.) หลังจากที่ผ่านมายังไม่สามารถออกเดินทางได้เนื่องจากทะเลมีคลื่นลมแรง

“เรือออกเดินทางจากพัทยา เวลา 08.30 น. มีผู้โดยสารทั้งสิ้น 198 คน และถึงยังหัวหิน 11.05 น. รวมใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. ซึ่งเร็วกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์เป็นเท่าตัว โดยประชาชนผู้สนใจและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้สัมผัสกับทัศนียภาพของทะเลอ่าวไทย และรู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยของการเดินทาง” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.ระยอง และตรวจเยี่ยมสนามบินอู่ตะเภานั้น ได้เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการเรือเฟอร์รี่เชื่อมอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก (East-West Ferry) จนขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้รับไปปฏิบัติและดำเนินการสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งการปรับปรุงท่าเรือและออกเดินเรือ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และยังเป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวทางทะเลที่เชื่อมโยงระหว่างสองฝั่ง รวมทั้งจะช่วยสร้างความเจริญให้พื้นที่โดยรอบท่าเรือกลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจได้ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท

“ท่านนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับทราบ และพัฒนาคุณภาพการบริการให้ดีขึ้น รวมทั้งเร่งรัดให้ศึกษาความเป็นไปได้และเพิ่มเติมเส้นทางเดินเรืออื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในแผน ทั้งบางปู-หัวหิน บางปู-พัทยา ให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ เรือเฟอร์รี่ รอยัล 1 จะเปิดทดลองรับนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารจากหัวหินไปพัทยาครั้งต่อไปในวันที่ 7 ม.ค.60 โดยผู้ที่สนใจต้องไปลงทะเบียนที่ท่าเรือสะพานปลา เขาตะเกียบ หัวหินในช่วงเช้า หลังจากนั้น กระทรวงคมนาคมจะเปิดเดินเรือพัทยา-หัวหิน และหัวหิน-พัทยา อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 ม.ค.60 เป็นต้นไป ในราคาเที่ยวละ 1,250 บาท” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผ่านลูกกรง 'จตุพร' ปล่อยคำไว้อาลัย 'ธีรวัฒน์ บุญอยู่' ผู้ปราศรัยหน้ารามปี 35 คนแรก

$
0
0

จตุพร ปล่อยคำไว้อาลัยผ่านลูกกรง ถึง 'ธีรวัฒน์ บุญอยู่' พิธีกรพีซทีวีที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยอาการป่วย ระบุเขาเป็นผู้ปราศรัยในวันที่ 19 พ.ค.35 ที่หน้ารามเป็นคนแรก เข้ามาร่วมรับผิดชอบหลักศูนย์ปราบโกงฯ มีจุดยืนเคียงข้างประชาชนผู้ทุกข์ยาก

6 ม.ค. 2560 จากกรณีที่ ธิดา โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ธีรวัฒน์ บุญอยู่ พิธีกรรายการ "ฟังความรอบด้าน" ทางสถานีโทรทัศน์พีซทีวี ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมีแผลในช่องท้อง โดยอาการเริ่มแสดงออกชัดเจน เมื่อ 2 - 3 วันที่ผ่านมา มีเลือดไหลออกตามร่างกาย และมีอาการหนักมาตลอด จนต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสิรินธร ย่านอ่อนนุช 90 และเสียชีวิตอย่างสงบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

วันนี้ (6 ม.ค.60) จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งถูกถอนประกันตัวและถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งระบุว่าพูดและบันทึกผ่านลูกกรง เผยแพร่ "คำไว้อาลัย จากพี่ตู่ ถึง ธีรวัฒน์ บุญอยู่" ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์'  โดย มีรายละเอียดดังนี้

คำไว้อาลัย จากพี่ตู่ ถึง ธีรวัฒน์ บุญอยู่
 
กว่า 25 ปีที่วัฒน์มาเป็นน้องร่วมอุดมการณ์ที่รามคำแหง ซึ่งขณะนั้นพี่ทุกคนต่างเห็นแววความสามารถวัฒน์ ว่าเป็นคนครบเครื่องคนหนึ่ง ที่คิดเป็น ทำเป็นแก้ปัญหาเป็น เป็นนักปราศรัยที่ดีมากคนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีความสามารถทางกีฬา ดนตรี ที่สำคัญมีจุดยืนเคียงข้างประชาชนผู้ทุกข์ยาก
 
ในเหตุการพฤษภาทมิฬ วัฒน์เป็นผู้ปราศรัยในวันที่ 19 พฤษภาคม 2535 ที่หน้ารามเป็นคนแรก ผมเป็นคนที่สองหลังจากที่ตัดสินใจกับเพื่อนๆใช้รามคำแหงเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายฝ่ายประชาชน จึงมอบหมายให้วัฒน์ไปทำหน้าที่ และได้ทำเป็นอย่างดีจนจบในสมรภูมินั้น นอกจากนี้ยังมีการต่อสู้ในเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก หลายปีที่ผ่านมาวัฒน์กลับบ้านที่โคราชไปทำงานตามวิถีชีวิตและยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลง
 
หลายเดือนที่ผ่านมาวัฒน์โทรมาหาบอกว่าจะขอมาทำงานด้วย ผมบอกว่าพร้อมวันไหนให้มาได้ทันที ซึ่งเขาเข้ามาจัดรายการข่าว ฟังความรอบด้าน รับผิดชอบหลักศูนย์ปราบโกงฯเป็นต้น
 
ผมดีใจที่วัฒน์เริ่มต้นกับผมที่รามฯและวาระสุดท้ายได้มาทำงานกับผมที่ PEACE TV 
 
ก่อนตาย..วัฒน์ได้มาเยี่ยมที่เรือนจำและจัดรายการพูดเกี่ยวกับผมหลายครั้ง
 
ผมเป็นพี่ที่ไม่มีโอกาส ไปงานศพน้องทำได้เพียงสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ทุกคืนวัน 
 
48 ปีเหนื่อยมากพอแล้ว หลับให้สบายเถิดวัฒน์ ล่วงหน้าไปก่อน อีกไม่นานพี่และทุกคนจะตามไปเพราะไม่มีใครหลีกพ้น 
 
พี่รักเอ็งนะ
 
พี่ตู่
 
หมายเหตุ :: พูดและบันทึกผ่านลูกกรง
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการทหารสั่งฟ้องคดี ม.112 ช่างตัดแว่นเชียงราย ต่อศาลทหารแล้ว

$
0
0

6 ม.ค. 2560  ความคืบหน้ากรณี สราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาใน จ.เชียงราย ถูกพนักงานสอบสวนสภ.เมืองเชียงราย เรียกตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 และถูกนำตัวไปขออำนาจศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ฝากขัง เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2559 โดยศาลทหารมีความเห็นไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น

ล่าสุดวานนี้ (5 ม.ค.60) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า 29 ธ.ค.59 อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งฟ้องคดีของ สราวุทธิ์ ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ภายหลังจากครบฝากขังผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน จำนวน 7 ผัด และพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการทหารก่อนหน้านี้แล้ว โดยคดีนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์เอาไว้

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ ยังรายงานด้วยว่า คำฟ้องของอัยการทหารระบุว่าเมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 เวลากลางวัน จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ราชวงศ์จักรี โดยจำเลยได้นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์พระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งมีจำนวน 2 ภาพ เรียงต่อกันซ้ายและขวาในลักษณะเปรียบเทียบให้เห็นว่าภาพด้านซ้ายซึ่งเป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์ ลักษณะทรงยืนรับการถวายความเคารพจากเจ้าหน้าที่ คู่กับสุภาพสตรีไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด กับภาพด้านขวาที่ทับซ้อนกับภาพด้านซ้าย บางส่วนเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ทรงพระเท่มากพะยะค่ะ” ในบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว
 
คำฟ้องยังระบุว่าจำเลยได้โพสต์โดยตั้งค่าเป็นการแชร์ต่อสาธารณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเห็นภาพและข้อความดังกล่าวได้ และได้มีเพื่อนสมาชิกเข้ามาแสดงความเห็นถูกใจ (Like) จำนวนมาก เป็นการกระทำที่ไม่บังควรต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งพระองค์ทรงเป็นรัชทายาท อันเป็นที่เคารพสักการะ อยู่เหนือการติชมทั้งปวง และจะละเมิดมิได้ เป็นการใส่ความต่อบุคคลที่สาม โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและโดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติคุณ ทรงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ รายงานอีกว่า เบื้องต้น สราวุทธิ์ระบุว่าตนไม่ได้โพสต์ในลักษณะเดียวกับที่คำฟ้องคดีระบุ และยืนยันจะต่อสู้คดีต่อไป โดยศาลทหารได้นัดหมายสอบถามคำให้การในคดี ในวันที่ 7 ก.พ.60 นี้
 
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.59 สราวุทธิ์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากปอท. เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแฟลชไดรฟ์ไป  หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงได้มีการเรียกตัวนายสราวุทธิ์ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดยนายสราวุทธิ์ไม่ได้รับการประกันตัว หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง
 
จนภายหลังจากครบฝากขังในผัดที่ 4 ญาติของนายสราวุทธิ์ได้ยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 และศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัวในระหว่างต่อสู้คดี หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา 38 วัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.เคาะงบบริการผู้ป่วยกองทุนบัตรทอง ปี 61 เฉลี่ย 3,374 บาท/ประชากร

$
0
0
6 ม.ค. 2559 รายงานข่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แจ้งว่า วันนี้ (6 ม.ค.60) ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ กล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบ “ข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2561 และกรอบงบประมาณปี 2562” โดยการจัดทำข้อเสนอนี้เป็นไปตามมติ บอร์ด สปสช.เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2559 ที่ให้นโยบายจัดทำงบประมาณกองทุนฯ ปี 2561-62 เชื่อมโยงกับทิศทางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป้าประสงค์การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ผลการรับฟังความเห็นผู้ให้บริการและผู้รับบริการตาม พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แผนยุทธศาสตร์การสาธารณสุข 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2560-2564 ซึ่งหลังจากนี้บอร์ด สปสช.จะนำเสนอต่อ ครม.เพื่อพิจารณาต่อไป
 
ปิยะสกล กล่าวว่า งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561 ได้เสนองบประมาณจำนวน 164,675.24 ล้านบาท หรือ 3,374.70 บาทต่อประชากร คำนวณประชากรผู้มีสิทธิ์ 48.797 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 12,904.56 ล้านบาท หรือ 224.47 บาทต่อประชากร คิดเป็นร้อยละ 8.5 ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มงบกองทุนฯ ในปี 2561 นี้ เป็นผลจากต้นทุนบริการ ปริมาณการใช้บริการ และขอบเขตการบริการรวมถึงนโยบายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งงบประมาณดังกล่าวเมื่อหักเงินเดือนบุคลากรจำนวน 43,828.28 ล้านบาท คงเหลือเป็นงบประมาณที่เข้าสู่กองทุนฯ จำนวน 120,846.96 ล้านบาท          
 
ส่วนงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัว นำเสนอรายละเอียดดังนี้ 1.งบบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,418.20 ล้านบาท 2.งบบริการสาธารณสุขไตวายเรื้อรัง จำนวน 8,332.32 ล้านบาท 3.งบบริการสาธาณสุขเพื่อควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง 1,356.46 ล้านบาท 4.ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,490.29 ล้านบาท 5.ค่าบริการสาธาณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 1,159.20 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัวทั้งสิ้น 15,756.47 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 1,754.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.5 จากปัจจัยต้นทุนการบริการ ปริมาณการใช้บริการ และขอบเขตบริการและนโยบายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีค่าบริการกรณีผลงานปี 2556-2559 เกินเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณอีกจำนวน 4,312.50 ล้านบาท
 
ทั้งนี้หากรวมงบประมาณกองทุนฯ ทั้งหมดในปี 2561 ทั้งงบเหมาจ่ายรายหัว งบนอกเหมาจ่ายรายหัว และงบค่าบริการกรณีผลงานปี 2556-2559 รวมเป็นจำนวนงบประมาณที่เสนอทั้งสิ้น 184,744.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากปี 2560
 
ปิยะสกล กล่าวว่า สำหรับการจัดทำงบประมาณกองทุนฯ ในปี 2561 ได้มีการจัดทำที่เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2560 อาทิ ปรับงบประมาณสำหรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน (EMCO) สีแดง จากการจ่ายด้วยดีอาร์จี เป็นการจ่ายตามราคากลาง (Fee schedule) จำนวน 4.48 บาท/ประชากร, รายการวัณโรคเน้นขยายการค้นหาไปยังกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้ต้องขัง, ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย เพิ่มอัตราการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลเป็น 2 เท่าจากผลบริการเดิม วงเงิน 0.35 บาท/ประชากร, เพิ่มรายการค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว สอดคล้องกับมาตรา 258 ในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 เน้นบริการในเขตเมืองใหญ่ จำนวน 240 ล้านบาท, ปรับประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการ 3 รายการ ได้แก่ บริการไตวายเรื้อรัง, บริการหัตถการขยายหลอดเลือดหัวใจ และบริการเปลี่ยนข้อเข่า เป็นต้น
 
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนการบริหารงบประมาณตามประกาศ กสธ.ที่ออกตามคำสั่ง คสช.ที่ 37/2559 อาทิ เพิ่มงบสนับสนุนและส้งเสริมการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จำนวน 10 บาท/ประชากร และเพิ่มเงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ให้บริการ จำนวน 0.02 บาท/ประชากร
 
ปิยะสกล กล่าวว่า ในการจัดทำงบประมาณครั้งนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ สปสช.ได้นำเสนอกรอบงบประมาณปี 2562 ควบคู่พร้อมกับงบปี 2561 โดยนำเสนอกรอบงบประมาณจำนวน 170,680 ล้านบาท หรือ 3,480.99 บาทต่อประชากร คำนวณประชากรผู้มีสิทธิ์ 49.032 ล้านคน เพิ่มจากปี 2561 จำนวน 106.29 หรือร้อยละ 3.1 หลังหักเงินเดือนบุคลากรจำนวณ 45,425.95 ล้านบาท เหลืองบเข้าสู่กองทุนฯ 125,254.05 ล้านบาท ขณะที่งบนอกเหมาจ่ายรายหัว ทั้งงบบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ งบบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และงบบริการสาธารณสุขเพื่อควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง เป็นต้น ได้มีการนำเสนอกรอบงบประมาณอยู่ที่ 16,878.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จำนวน 1,121.73 บาท รวมข้อเสนองบประมาณกองทุนฯ ทั้งหมดในปี 2561 ทั้งสิ้น 187,558.19 ล้านบาท  ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องและเตรียมงบประมาณบริการสุขภาพประชาชนในปีถัดไป
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แอปเปิล' ยอมตามรัฐบาลจีนร้องขอ ถอดแอพฯ นิวยอร์กไทมส์

$
0
0

นิวยอร์กไทมส์รายงานแอปเปิลยอมทำตามรัฐบาลจีน ถอดแอพพลิเคชันนิวยอร์กไทมส์ออก คาดเพราะนิวยอร์กไทมส์เคยลงบทความความร่ำรวยผิดปกติของอดีตนายกฯ จีน ชวนตั้งคำถามทำไมแอปเปิลถึงยอมทำตามคำสั่งเซนเซอร์สื่อโดยไม่มีหมายศาล

<--break- />6 ม.ค. 2560 นิวยอร์กไทมส์รายงานว่าบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลยอมทำตามข้อเรียกร้องของทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนในการนำโปรแกรมแอพพลิเคชันของสื่อนิวยอร์กไทมส์ออกจากแอพสโตร์ในจีนในช่วงเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการจำกัดช่องทางเข้าถึงสื่อเดอะไทมส์ของผู้อ่านภายในจีนแผ่นดินใหญ่

นิวยอร์กไทมส์ระบุว่าทางการจีนเริ่มมีการบล็อกเว็บไซต์ไทมส์มาตั้งแต่ช่วงปี 2555 หลังจากที่มีการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับความร่ำรวยของครอบครัว เวิ่นเจียเป่า ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น แต่ล่าสุดแอปเปิลก็นำแอพพลิเคชันนิวยอร์กไทมส์ภาษาอังกฤษและภาษาจีนออกจากแอพสโตร์ในจีนเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่แอพพลิเคชันของสื่ออื่นๆ อย่าง เดอะไฟแนนเชียลไทมส์ และ เดอะวอลล์สตรีทเจอนัลยังคงมีอยู่

เฟรด ไซนซ์ โฆษกของแอปเปิลกล่าวว่า แอพฯ นิวยอร์กไทมส์ถูกห้ามไม่ให้เผยแพร่ในจีนมาระยะหนึ่งแล้วและพวกเขาก็ได้รับรายงานว่าแอพนี้ "ละเมิดกฎข้อบังคับของจีน" ทำให้ต้องมีการนำแอพฯ นี้ออกจนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง แต่โฆษกของแอปเปิลไม่ยอมตอบคำถามว่าแอพฯ นิวยอร์กไทมส์ละเมิดกฎข้อบังคับข้อใดและมีคำสั่งศาลหรือเอกสารทางกฎหมายในการดำเนินคดีครั้งนี้หรือไม่ ซึ่งทางหน่วยงานควบคุมอินเทอร์เน็ต สำนักงานบริหารไซเบอร์ของจีน (Cyberspace Administration of China หรือ CAC) ก็ไม่ได้ให้คำตอบต่อนิวยอร์กไทมส์เช่นกัน

นอกจากนี้สำนักงานของไทมส์ในกรุงปักกิ่งก็ไม่ได้รับการติดต่อจากรัฐบาลจีนในเรื่องนี้ ไอลีน เมอร์ฟี โฆษกไทมส์ในนิวยอร์กเรียกร้องให้บริษัทแอปเปิลพิจารณาการตัดสินใจในเรื่องนี้อีกครั้ง โดยเมอร์ฟีกล่าวว่าการเรียกร้องจากรัฐบาลจีนให้นำแอพสื่อพวกเขาออกเป็นความพยายามกีดกันไม่ให้ชาวจีนได้รับสื่อที่เป็นอิสระของพวกเขาภายในประเทศ ซึ่งการทำสื่อของพวกเขาภายในจีนก็ไม่ได้ต่างจากการทำสื่อในประเทศอื่นๆ

การเรียกร้องของรัฐบาลจีนมีการอ้างถึงกฎข้อบังคับที่เผยแพร่เมื่อเดือน มิ.ย. 2559 ที่ชื่อว่า "ข้อกำหนดด้านการบริหารจัดการบริการข้อมูลแอพพลิเคชันอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ" ข้อกำหนดนี้ระบุห้ามไม่ให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่ถูกห้ามตามกฎหมายและข้อบังคับ เช่น "เป็นภัยต่อความมั่นคงในชาติ" "สร้างความวุ่นวายในสังคม" และ "ละเมิดสิทธิ์หรือผลประโยชน์ตามกฎหมายของคนอื่น" โดยแอพพลิเคชันไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลที่ "ต้องห้าม" เหล่านี้

ประเทศจีนภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์มีการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตโดยที่บางครั้งก็ไม่ผ่านกระบวนการตามกฎหมายหรือมีหมายศาล ทางด้านแอปเปิลเองก็มีท่าทีในเชิงเอื้อต่อการทำตามข้อบังคับของแต่ละประเทศ แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐฯ ที่แอปเปิลเคยปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในการปลดล็อกไอโฟนเพื่อการสืบสวนอาชญากรรม แต่ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ก็สามารถปลดล็อคเครื่องมือไอโฟนได้เองและคดีดังกล่าวก็มีการยกฟ้องข้อกล่าวหาดังกล่าว

ฟาร์ซานา อัสลาม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายมหาชนจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงกล่าวว่า การที่แอปเปิลดำเนินการโดยไม่มีขั้นตอนตามกฎหมายทำให้น่าเป็นห่วงทั้งสำหรับเสรีภาพสื่อและสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน แต่ก็เป็นไปได้ที่แอปเปิลจะคำนึงถึงผลกำไรทางการค้ากับจีนมากกว่า ทางด้านนิวยอร์กไทมส์ระบุว่าพวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับรัฐบาลจีนหลายบทความรวมถึงการเปิดเผยว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแอปเปิลไอโฟนและมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการที่รัฐบาลจีนใช้เกื้อหนุนและให้ประโยชน์อย่างลับๆ กับโรงงานผลิตไอโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้นิวยอร์กไทมส์ยังเปิดเผยอีกว่าหลังจากที่เว็บของพวกเขาถูกทางการจีนบล็อกในปี 2555 พวกเขาถูกแฮกโดยแฮกเกอร์ผู้ที่อาจจะมีส่วนพัวพันกับกองทัพจีนโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของนิวยอร์กไทมส์ในช่วงเวลาที่มีการเผยแพร่รายงานเชิงสืบสวนสอบสวนรัฐบาลจีนในยุคนั้นพอดี

ทั้งนี้ เหล่าบริษัทไอทีทั้งหลายต่างก็ต้องเผชิญการกดดันของรัฐบาลจีนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่โปรแกรมไอบุ๊คสโตร์และไอจูนมูวีของแอปเปิลเองก็ถูกสั่งปิดหลังจากที่นำเสนอโปรแกรมนี้ในจีนมาได้ 6 เดือน มาร์ค แนตคิน กรรมการผู้จัดการของมาร์บริดจ์คอนเซาติงที่ให้คำปรึกษาต่อบริษัทไอทีอเมริกันในจีนกล่าวว่า บริษัทที่เข้าไปทำตลาดในจีนต่างก็ไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหามากเพียงใด แนตคินกล่าวอีกว่า แอปเปิลเคยมีความสามารถในการคัดง้างกับรัฐบาลจีนอยู่บ้างในแง่ของการสร้างงานโดยรวมแต่ในปัจจุบันช่องว่างด้านเทคโนโลยีเริ่มลดลงแล้ว

 

เรียบเรียงจาก

Apple Removes New York Times Apps From Its Store in China, New York Times, 04-01-2017
http://www.nytimes.com/2017/01/04/business/media/new-york-times-apps-apple-china.html

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถิติอุบัติเหตุรถตู้สูงกว่ารถบัส 5 เท่า ‘ชัชชาติ’ แนะใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา

$
0
0

ถกปัญหารถตู้ นักวิชาการเผยสถิติรถตู้มีอัตรการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตมากกว่ารถบัส 5 เท่า ชี้รัฐไม่สนับสนุนและช่วยอุดหนุนระบบขนส่งมวลชน การขาดการสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนจากรัฐ แนะเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสช่วยลดอุบัติเหตุ ด้าน ‘ชัชชาติ’ เสนอใช้เทคโนโลยีจีพีเอสควบคุมพฤติกรรมคนขับ

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ห้องประชุมสารนิเทศ ชั้น 2 หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนา ‘แนวทางปฏิรูปหลังโศกนาฏกรรมรถตู้’ สืบเนื่องจากกรณีอุบัติเหตุรถตู้โดนสารชนรถกระบะที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2560 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 25 ราย โดยศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รถตู้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตมากกว่ารถบัสทั่วไปถึง 5 เท่า เพราะรถตู้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อขนส่งระยะทางไกล ทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนจาก 12 ที่นั่งเป็น 15 ที่นั่งทำให้มีปัญหาเรื่องความแออัด มีขนาดหน้าต่างที่เล็กและมีประตูทางออกเพียงทางเดียว ทำให้เวลาเกิดอุบัติเหตุผู้โดยสารออกจากตัวรถได้ยาก ต่างกับรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างความเข็งแรงกว่า หน้าต่างมีขนาดใหญ่ อุปกรณ์ช่วยชีวิตมีมากกว่า

นอกจากนี้ ศักดิ์สิทธิ์ยังชี้ให้เห็นปัญหาเชิงระบบว่า ที่ผ่านมารัฐไม่ได้ให้การสนับสนุนรถโดยสารขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะมีความปลอดภัยกว่า แต่ก็ช้าและไม่ตรงเวลา  อีกทั้งสถานีขนส่งยังมักตั้งอยู่นอกตัวเมือง ทำให้ไม่สะดวกในการเดินทาง ส่งผลให้ผู้ใช้บริการที่ต้องการความสะดวกหันไปใช้บริการรถตู้มากขึ้น เบื้องต้น ศักดิ์สิทธิ์เสนอให้เปลี่ยนจากรถตู้เป็นรถมินิบัสแทน ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่า

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ด้านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ทำให้รถตู้มีผู้ใช้บริการมากกว่ารถทั่วไป เพราะมีความสะดวกสบายกว่า ไปได้หลายเส้นทาง ประหยัดเวลากว่ารถขนาดใหญ่ ส่วนปัญหาที่สำคัญจากอุบัติเหตุรถตู้ที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการสกรีนคนขับรถหรือเช็คสภาพร่างกายผู้ขับขี่ยานพาหนะ ทั้งยังมีการบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน

ภาครัฐต้องยึดหลักว่าการขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน ดังนั้น ความปลอดภัยและความสะดวกต้องมาก่อนปัจจัยอื่นๆ ถึงจะมีต้นทุนที่สูง แต่ต้องให้การสนับสนุน

ชัชชาติ ให้ความเห็นเพิ่มว่า แนวทางแก้ไขปฏิรูปควรมองที่ต้นเหตุและทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น พฤติกรรมการขับรถที่ไม่สุภาพของคนขับ การนำเทคโนโลยีจีพีเอสมาใช้จะช่วยให้ทราบ ความเร็ว ทิศทาง พฤติกรรมการขับของรถแต่ละคัน สามารถเก็บสถิติตลอดระยะทางที่ขับขี่ซึ่งช่วยให้ลดอุบัติเหตุลงได้ถึงร้อยละ 20 และยังควบคุมพฤติกรรมของคนขับให้ได้คนขับที่มีคุณภาพจริงๆ

ชัชชาติได้เสนอสามแนวทางแก้ไขปัญหาคือนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ กำกับดูแลเพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และปรับโครงสร้างต้นทุนในการจัดการปัญหาดูแลผู้ประกอบการให้ทั่วถึง อีกทั้งต้องหาช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องและรายงานพฤติกรรมของคนขับ

“แต่จีพีเอสไม่ใช่ยาวิเศษ แต่อยู่ที่การบังคับใช้เพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อคนขับ” ชัชชาติย้ำ

ด้านอภิวัฒน์ รัตนวราหะ จากภาควิชาการวางแผนภาคผังเมือง คณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ จุฬาฯกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุรถตู้ต้องพึ่งการควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานรถโดยสารและพฤติกรรมของคนขับ รวมถึงระบบลงโทษผู้ประกอบการและวินที่ทำความผิดบ่อยครั้ง แต่จากประสบการณ์จากหลายประเทศทั่วโลก บริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพและปลอดภัยควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นในประเทศที่พัฒนาแล้วรัฐบาลจะให้งบประมาณลงทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและยานพาหนะ แต่ในประเทศไทยรัฐบาลลงทุนเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเน้นไปที่รถไฟฟ้าแต่ที่ต่างจังหวัดยังไม่มีการลงทุน ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะไม่มีคุณภาพ

อภิวัฒน์ ยังเน้นอีกว่า ภาครัฐต้องยึดหลักว่าการขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน ดังนั้น ความปลอดภัยและความสะดวกต้องมาก่อนปัจจัยอื่นๆ ถึงจะมีต้นทุนที่สูง แต่ต้องให้การสนับสนุน เช่น การพัฒนาระบบรถบัสโดยสารให้มีความสะดวกและแข่งขันได้ หากค่าบริการมีราคาแพง  รัฐต้องช่วยหาวิธีลดต้นทุนการจัดการให้ได้มาตรฐานในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การลดภาษีนำเข้าหรือส่งเสริมการประกอบรถบัสภายในประเทศ ให้เงินอุดหนุนในการพัฒนาและจัดซื้ออุปกรณ์ที่เพิ่มความปลอดภัย และการพัฒนาขนส่งสาธารณะควรเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดการคุ้มค่าสูงสุด

“ในปัจจุบันแม้เป็นเรื่องดีที่ภาครัฐมุ่งเน้นการสร้างรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูง แต่ระบบรถโดยสารที่เชื่อต่อไปยังระบบรางยังไม่ได้รับการพัฒนา จะนำไปสู่ปัญหาความไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและเปิดช่องว่างให้ผู้ใช้บริการรถตู้ที่สะดวกและถูกกว่าสามารถเข้ามาทำธุรกิจบนความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ บอก อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่ต้องการให้ลงไปดูน้ำท่วมแล้วเป็นภาระ จนท.

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหลังเยี่ยม จ.นราธิวาส ระบุที่ผ่านมาไม่ได้ลงไป ก็ทำงานช่วยเหลือตลอด อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่ต้องการให้ลงไปแล้วเป็นภาระเจ้าหน้าที่ ข้อร้องอย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย สวนพวกบอกเศรษฐกิจไม่ดี ชี้เงินทุนสำรองอันดับ 12 ของโลก

 

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ เยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย พร้อมมอบถุงยังชืพ ณ ที่ว่าการ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส (ที่มาภาพเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

6 ม.ค. 2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วันนี้ เวลา 17.50 น. ที่ท่าอากาศยาน บน. 6 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวหลังลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ว่า ดีใจที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชน แม้ที่ผ่านมาไม่ได้ลงไป ก็ทำงานช่วยเหลือตลอด อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่ต้องการให้ลงไปแล้วเป็นภาระเจ้าหน้าที่ ตนเป็นรัฐบาล ประชาชนภาคไหนเดือดร้อนก็ต้องไป อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่เฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช ได้ยกระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 3 แล้ว โดยให้ รมว.มหาดไทย ดูแลบูรณาการทั้งหมด ส่วนภาคเอกชน หากต้องการช่วยเหลือบริจาคสิ่งของ ทางมหาดไทยจะเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เร็วที่สุด เพื่อระบายน้ำสู่ทะเล ซึ่งยอมรับว่าการทำงานไม่ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้ให้มีการขุดลอกคูคลองเพิ่มเติม และก่อนหน้านี้ได้ทำพนังกั้นน้ำที่สุไหงโก-ลก ประมาณ 7 กม.

สำหรับการลงพื้นที่จ.นครศรีธรรมราชนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงต้องดูก่อนเพราะไม่อย่างสร้างภาระให้เจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาระยะยาวเราต้องมีมาตรการรับมือไม่ให้น้ำท่วมซ้ำซาก ไม่ว่าถนนที่กั้นน้ำ หรือมาตรการอื่นๆ รวมทั้งท่อระบายน้ำที่จะต้องทำรอดถนนเพชรเกษมด้วย

อย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลทำงานทุกอย่าง โดยเฉพาะการปฏิรูป เราทำทุกด้าน ฉะนั้นอย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย ทุกอย่างมีการคิดใหม่ ไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นอีก อย่ามานั่งถามว่าปฏิรูปคืออะไร ถึงวันนี้ยังไม่รู้กันอีกหรือ ปฏิรูปกฎหมายมา 2 - 3 ร้อยฉบับ ที่ผ่านมาไม่เคยทำแบบนี้ แต่ต้องยอมรับว่าบางเรื่องต้องใช้เวลา ขอร้องว่าอย่าใจร้อน อย่าไปฟังมากมายกับใครบางคนนักที่ออกมาพูดเรื่องของการปฏิรูปหรือไม่ปฏิรูป
 
"เดี๋ยวก็คงต้องมีการเดือดร้อนกันบ้าง เพราะมีคนได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจราจร รถตู้ ไม่เช่นนั้นก็กลับมาที่เก่า แล้วก็มาบอกว่า ผมไม่ได้ปฏิรูป แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร สื่อจะไปฟังใครหรือไม่ ผมก็ทำงานของผม ซึ่งผมเป็นรัฐบาลแบบนี้ ห่วงประชาชนทุกคน พร้อมทำงานให้คนทุกภาค แต่ต้องจัดลำดับความเร่งด่วนให้ทั่วถึงเป็นธรรม ใช้งบประมาณอย่างทั่วถึง ไม่ใช่เลือกให้ วันนี้รัฐบาลทำงานแต่ไม่รู้ทำไมมีคนบางประเภทไปพูดว่ามันแย่ลง ถามว่าแย่ลงตรงไหน รอบบ้านบางที่แย่กว่าเราเยอะแยะ ขอร้องว่าอย่าไปฟังพวกที่ออกมาพูดเรื่อยเปื่อย แล้วไปขยายความกัน แล้วกลับมาดูถูกรัฐบาลว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ จะไม่ให้กำลังใจกันเลยหรืออย่างไร หรืออยากจะอยู่กันแบบเดิม ดักดานกันแบบเก่าที่ทำกันมา วันนี้ขอพูดบ้าง เพราะผมโดนว่าตลอด เหนื่อย แต่ต้องทำ เพราะชาวบ้านยังลำบาก คนอื่นพยายามใช้ประโยชน์จากชาวบ้าน แต่ผมไม่ต้องการ วันนี้ต้องหัดคิดใหม่ทำใหม่ อย่ามาดิสเครดิตผม ไม่สนใจ ใครจะเขียนว่าก็ให้เป็นเต่าต่อไป เป็นพวกเต่าแก่ๆ เขียนแบบเดิมทุกวัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สวนพวกบอกเศรษฐกิจไม่ดี ชี้เงินทุนสำรองอันดับ 12 ของโลก

“ผมโดนมาเยอะ ผมก็ต้องพูดบ้าง ใครบอกงานปฏิรูปไม่ก้าวหน้าไม่จริง ผมทำทุกอย่าง ทำมาตลอด หลายเรื่องดีกว่าในอดีต อย่างใครที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี ตอนนี้ เงินทุนสำรองของประเทศ ก็อยู่อันดับ 12 ของโลก และอยากให้ดูภาวะเศรษฐกิจของประเทศอื่นประกอบด้วย ไม่ใช่มาเขียนโจมตีกันโดยเฉพาะพวกคอลัมนิสต์หากอยากเป็นเต่าแก่ๆ ก็เป็นไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>