Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนฝนตกหนักภาคใต้ตอนล่าง-คลื่นลมอ่าวไทยกำลังแรง

$
0
0

กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนฝนตกหนักถึงหนักมากภาคใต้ตอนล่าง และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย หย่อมความกดอากาศสูงปกคลุมทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศเย็น ส่วนภาคเหนือระวังฝนฟ้าคะนองเพราะลมฝ่ายตะวันตก - ด้านกองทัพภาค 4 สำรวจความเสียหายและช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยพื้นที่ชายแดนใต้

ส่วนลักษณะอากาศในอีก 7 วันข้างหน้า วันที่ 2- 4 ม.ค. ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังมีอากาศเย็นโดยทั่วไป ภาคเหนือจะมีฝนตกหนักบางแห่งและลมกระโชกแรง สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ช่วงวันที่ 5-8 ม.ค. จะมีฝนลดลง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง

แผนที่อากาศผิวพื้นเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 2 มกราคม 2560 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศมาเลเซีย (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

 

2 ม.ค. 2560 เมื่อเวลา 17.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศฉบับที่ 19 "ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฝนตกหนักถึงหนักมากภาคใต้ตอนล่าง และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 02 มกราคม 2560" มีรายละเอียดดังนี้

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศมาเลเซียและภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากบริเวณจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง และสตูล ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ปริมาณฝนที่ตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นได้ และติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 มกราคม 2560 ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศพม่าเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ และน่าน ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นโดยทั่วไป ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.00 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.00 น.

(ลงชื่อ) วันชัย ศักดิ์อุดมไชย
(นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย)
อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา

 

สำหรับการคาดหมายลักษณะอากาศ 7 วันข้างหน้าในช่วงวันที่ 2- 4 ม.ค. 60 บริเวณประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยกับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังมีอากาศเย็นโดยทั่วไป โดยบริเวณภาคเหนือจะมีฝนตกหนักบางแห่ง และลมกระโชกแรง สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 5-8 ม.ค. 60 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง

ข้อควรระวังในช่วงวันที่ 2 - 4 ม.ค. 60 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย และประชาชนในภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งให้ระมัดระวังอันตรายจากคลื่นซัดฝั่งด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในช่วงวันที่ 2-4 ม.ค. 60 อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 5 - 8 ม.ค. 60 อากาศเย็น อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

 

กองทัพภาค 4 สำรวจความเสียหายและช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยพื้นที่ชายแดนใต้

ที่มา: กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า

อนึ่ง พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่าเกิดสภาวะฝนหนักในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้บางพื้นที่น้ำระบายไม่ทันจนส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมขึ้น โดย พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารทุกหน่วย เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และถุงยังชีพ โดยประสานกับสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิ และภาคประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งหน่วยที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ทั้งพลเรือน, ตำรวจ ,ทหาร เข้าช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน ตลอดจนเตรียมอพยพประชาชนหากพบว่ามีน้ำท่วมสูง พร้อมทั้งให้เปิดศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเพื่อทำการช่วยเหลือประชาชน

พื้นที่ จ.ยะลา ออกสำรวจความเสียหาย จำนวน 15 หมู่บ้าน 7 ตำบล 4 อำเภอ พื้นที่ จ.นราธิวาสออกสำรวจความเสียหาย จำนวน 25 หมู่บ้าน 16 ตำบล 9 อำเภอ และได้อพยพประชาชน จำนวน 13 ครัวเรือน ส่วนในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลาและ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่เฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมตลิ่ง เนื่องจากยังคงมีฝนตกในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ย้อนปี 59 กับ 10 แพ็กเกจ ก.แรงงาน 'สร้างความทุกข์ สกัดความสุข ไม่หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ'

$
0
0

พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (คนกลาง ที่มาภาพ เว็บไซต์กระทรวงแรงงาน)

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559 พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยปลัดกระทรวงแรงงานและอธิบดีทุกกรม ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีมอบของขวัญปีใหม่ 2560 ให้แก่ลูกจ้าง นายจ้าง และสถานประกอบการ รวม 10 เรื่อง ได้แก่

(1) การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2560 จำนวน 5-10 บาท  

(2) การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาให้บริการจัดหางานต่างประเทศ

(3) บริการตรวจสภาพรถฟรี สอบถามเส้นทาง และนวดระหว่างเดินทางช่วงปีใหม่ ประจำจุดบริการบนถนนสายหลัก

(4) ส่งเสริมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานจำนวน 10,000 บาท เมื่อมีผู้ผ่านการทดสอบทุกๆ 100 คน

(5) สนับสนุนผู้ประกอบกิจการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงงานของตนเองสาขาระดับละ 10,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานของสถานประกอบกิจการ

(6) ส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ

(7) จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องประกันสังคม พร้อมมอบของที่ระลึกในการส่งแรงงานกลับบ้านช่วงปีใหม่ระหว่างวันที่ 29-30 ธันวาคม 2559 ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ และบริษัทสมบัติทัวร์ (วิภาวดี)

(8) เพิ่มสิทธิตรวจสุขภาพฟรีแก่ผู้ประกันตนในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ เริ่ม 1 มกราคม 2560

(9) เพิ่มค่าทันตกรรมจาก 600 บาท/ปี เพิ่มเป็น 900 บาท/ปี โดยไม่ต้องสำรองจ่ายทั่วประเทศ

(10) การคืนสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 โดยยกร่าง พ.ร.บ. การกลับมาเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 เนื่องจากไม่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม สามารถขอกลับมาเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้

อย่างไรก็ตามจากการติดตามการทำงานของกระทรวงแรงงานมาตลอดปี 2559 พบว่า มี 10 ประเด็นที่ถูกหลงลืมในการแก้ไขปัญหา จนก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ การกลบทับปัญหาด้วยของขวัญปี 2560 จึงยิ่งทำให้ปัญหาถูกหมักหมมและซุกไว้ใต้พรมมากยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่

(1) กระทรวงแรงงานไม่ปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำปี 2560 ใน 8 จังหวัด

(2) การนำ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาใช้ควบคุมการชุมนุมของสหภาพแรงงานซันโคโกเซ ประเทศไทย

(3) ช่องว่างของ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กรณีถูกนายจ้างปิดงานของสหภาพแรงงานไมย์เออร์อลูมิเนียม, สหภาพแรงงานอ๊อฟโรดประเทศไทย และสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมโลหะแห่งประเทศไทย

(4) กระทรวงแรงงานไม่มีการเสนอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 และ 98 ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิสหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง

(5) สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดไม่มีมาตรการจัดการบริษัทแอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด กรณีไม่เปลี่ยนสถานที่ทำงานให้พนักงานที่ตั้งครรภ์จนเกิดการแท้งบุตร  

(6) ผู้ประกันตนมาตรา 39 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่สามารถชำระเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ณ ที่ทำการสำนักงานประกันสังคมต่างๆ ได้

(7) ผู้ประกันตนที่เป็นคนพิการเนื่องจากบาดเจ็บในงานตามมาตรา 33 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผลจากคำสั่ง คสช.ที่ 58 /2559

(8) ระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2558 ขาดการมีส่วนร่วมจากแรงงานทุกกลุ่ม

(9) ประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ถูกละเลยจากกรรมการประกันสังคมในการพิจารณาปรับเพิ่มขึ้น

(10) สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน แม้มีสถานะเป็น “ลูกจ้าง” ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2558

มีรายละเอียดแต่ละเรื่อง ดังนี้

(1) กระทรวงแรงงานไม่ปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำปี 2560 ใน 8 จังหวัด

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2560 โดยไม่ปรับขึ้นค่าจ้างใน 8 จังหวัด และปรับขึ้นจำนวน 5-10 บาท ในเพียง 69 จังหวัดเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2559 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยจังหวัดที่ไม่ปรับค่าจ้างรวม 8 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง ระนอง นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ในเรื่องนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้เคยตั้งข้อสังเกตมาแล้วว่า มติเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดแต่ละจังหวัด ไม่ได้นำข้อมูลที่แท้จริงเรื่องดัชนีราคาผู้บริโภคระดับจังหวัดมาพิจารณา ที่ดัชนีราคาผู้บริโภคระดับจังหวัดในกลุ่มจังหวัด 8 จังหวัดบางจังหวัดที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ สูงกว่ากลุ่มที่มีการปรับอัตราค่าจ้าง

อีกทั้งมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างไม่ได้นำปัจจัยเรื่องมาตรฐานค่าเฉลี่ยการครองชีพ และสภาพเศรษฐกิจและสังคม มาพิจารณาอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น จังหวัดที่อยู่ติดกัน เช่น อ่างทอง (ปรับ 5 บาท) พระนครศรีอยุธยา (ปรับ 8 บาท) กับสิงห์บุรี (ไม่ปรับ) แม้จะคนละจังหวัดแต่ก็อยู่ในเขตเศรษฐกิจแบบเดียวกัน ซึ่งเมื่อเป็นเขตเศรษฐกิจแบบเดียวกันแล้วค่าครองชีพของแรงงานก็ย่อมไม่ต่างกัน

(2) การนำ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาใช้ควบคุมการชุมนุมของสหภาพแรงงานซันโคโกเซ ประเทศไทย

นับตั้งแต่ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ได้บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2558 เป็นต้นมา ได้สร้างความสับสนให้กับกลุ่มแรงงานในระบบภาคอุตสาหกรรมต่างๆจำนวนไม่น้อยว่า การชุมนุมที่เป็นผลมาจากความขัดแย้งด้านแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่ไม่สามารถยุติได้ หรือที่เรียกว่าการพิพาทแรงงาน ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 นั้น อยู่ในการบังคับใช้ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯหรือไม่

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 สมาชิกสหภาพแรงงานซันโคโกเซ ประเทศไทย ประมาณ 500 คน ได้ไปชุมนุมที่ใต้ถุนกระทรวงแรงงาน เนื่องจากบริษัทซันโคโกเซ เทคโนโลยีประเทศไทย จำกัด สัญชาติญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ ส่งงานให้ลูกค้าที่ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศไทย เช่น โตโยต้า, ฮอนด้า, มิตซูบิชิ , ฟอร์ด, มาสด้า ฯลฯ ได้มีคำสั่งปิดงานสมาชิกสหภาพแรงงาน ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 จำนวน 663 คน และนำไปสู่การสั่งห้ามเข้าทำงานในโรงงานชั่วคราวและงดจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2558

ขณะเดียวกันนายจ้างก็มีมาตรการกดดันลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำแรงงานเหมาค่าแรงและแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงาน, การสั่งให้ลูกจ้างล้างห้องน้ำ, การเปิดโครงการสมัครใจลาออกด้วยข้ออ้างเรื่องการขาดทุนแต่ก็มีการให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา (OT) ควบคู่กันไป, การทำงานท่ามกลางความไม่ปลอดภัยในสภาพแวดล้อมในโรงงาน เป็นต้น

จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความวิตกกังวลใจต่อลูกจ้างว่าอาจนำไปสู่การเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงานทั้งหมด จึงทำให้เดินทางมาที่กระทรวงแรงงาน เพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นสุดเวลาราชการ กระทรวงแรงงานไม่อนุญาตให้สหภาพแรงงานฯค้างคืนภายในกระทรวง เนื่องจากถือว่ากระทำผิด พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จึงแจ้งให้ออกไปชุมนุมที่บริเวณภายนอกกระทรวงแทน แต่สหภาพแรงงานยังคงมีการชุมนุมต่อไป เพราะเกรงจะประสบเหตุการณ์อันตรายไม่คาดฝันถ้าออกไปชุมนุมภายนอกในยามวิกาล

ในที่สุดกระทรวงแรงงานจึงได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จนทำให้มีตำรวจกว่า 200 นาย พร้อมรถตำรวจที่เปิดไฟด้านบนตลอดเวลา และรถที่มีกรงกักขัง เข้ามาประจำการในกระทรวงแรงงาน และได้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กดดันผ่านตัวแทนผู้นำแรงงานที่ถูกควบคุมตัวไปที่ชั้น 6 บนกระทรวงแรงงาน เพื่อให้มีการสลายการชุมนุมสมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 500 คน ที่มีทั้งกลุ่มแรงงานหญิง แรงงานตั้งครรภ์ และแรงงานที่ป่วย รวมอยู่ด้วย จนในที่สุดการกดดันดังกล่าว นำมาสู่การส่งกลับสมาชิกสหภาพแรงงานทุกคนในเวลาตี 1 ของค่ำคืนดังกล่าว โดยที่ไม่มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปิดงานของนายจ้างแต่อย่างใด

(3) ช่องว่างของ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กรณีถูกนายจ้างปิดงานของสหภาพแรงงานไมย์เออร์อลูมิเนียม, สหภาพแรงงานอ๊อฟโรดประเทศไทย และสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมโลหะแห่งประเทศไทย         

การปิดงานตามความหมาย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 หมายถึง การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ให้ลูกจ้างเข้าทำงานในสถานประกอบการชั่วคราว เนื่องจากมีปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่ยังตกลงกันไม่ได้ เป็นมาตรการที่นายจ้างกดดันให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนในระหว่างปิดงาน เนื่องจากไม่มีรายได้ เพราะลูกจ้างไม่สามารถเข้าทำงานได้ ก็จะไม่ได้รับค่าจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างยอมทำตามข้อเรียกร้องที่นายจ้างกำหนด อีกทั้งยังไม่ได้รับสิทธิแรงงานตามกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องในระหว่างปิดงานนี้ด้วย เช่น ประกันสังคม, คุ้มครองแรงงาน , กองทุนเงินทดแทน

การปิดงานในทั้ง 3 กรณี เกิดขึ้นภายหลังจากที่สหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง และมีการเจรจาตามขั้นตอนของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์มาเป็นระยะๆแต่ไม่สามารถตกลงได้ กลายเป็นข้อพิพาทแรงงาน และนำมาสู่การที่บริษัทได้ใช้สิทธิปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานเพียงเท่านั้น นี้ไม่นับว่านายจ้างไม่มาเจรจาตามที่พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้กำหนดไว้ก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ ยิ่งทำให้ความขัดแย้งขยายเวลาไปโดยไม่มีจุดสิ้นสุดที่แน่นอน

ปัญหาสำคัญในเรื่องนี้ ฝ่ายวิชาการคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ได้วิเคราะห์ไว้อย่างชัดเจนว่า

“แม้สิทธิในการปิดงานเป็นมาตรการทางแรงงานสัมพันธ์ ที่รับรองให้ฝ่ายนายจ้างใช้ในการกดดันหรือบีบบังคับลูกจ้างให้ตกลงตามที่นายจ้างเรียกร้อง หรือยินยอมถอนข้อเรียกร้องของตน แต่กฎหมายในหมวด 3 การปิดงาน มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของการปิดงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดงานบางส่วน คือ เฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้อง

การไม่บัญญัติถึงความหมาย ขอบเขต และความชอบด้วยกฎหมายของการปิดงานบางส่วน การไม่บังคับให้นายจ้างและลูกจ้างต้องเจรจากันเสมอเมื่อมีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อกัน การเร่งรัดระยะเวลาในการดำเนินกระบวนการระงับข้อพิพาทแรงงานในแต่ละขั้นตอน ที่ปรากฎในหมวด 3 ทำให้การปิดงานสามารถกระทำได้ง่ายดายและรวดเร็วเกินไป

เมื่อนายจ้างได้ใช้สิทธิปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงาน ซึ่งนำมาสู่การงดจ่ายค่าจ้าง เป็นการกดดันให้ลูกจ้างต้องออกจากงานทางอ้อม โดยที่บริษัทแทบจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย และลูกจ้างที่ถูกปิดงานก็ไม่มีหลักประกันว่าจะได้กลับเข้าทำงานหรือไม่ เมื่อใด อีกทั้งยังทำให้ลูกจ้างคนอื่นๆที่มิได้ถูกปิดงานไม่กล้าที่จะดำเนินการใดๆต่อลูกจ้างที่ถูกปิดงานไป เนื่องจากเกรงว่านายจ้างจะใช้การปิดงานบางส่วนกับตนบ้าง

สำหรับในเรื่องของการมิได้กำหนดระยะเวลาในการปิดงานว่านายจ้างจะสามารถปิดงานได้นานเพียงใด ทำให้ลูกจ้างที่ถูกปิดงานได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้นานเกินสมควร การไม่เรียกกลับเข้าทำงานจะทำให้ลูกจ้างเหล่านั้นต้องขาดรายได้และผลประโยชน์อันควรได้รับจากการทำงานเป็นเวลานานเกินสมควร เมื่อไม่มีรายได้สำหรับเลี้ยงชีพ ในที่สุดลูกจ้างเหล่านั้นก็จะต้องออกไปหางานทำใหม่และเป็นฝ่ายลาออกไปเอง โดยนายจ้างไม่มีหน้าที่จ่ายค่าชดเชยให้อย่างกรณีการเลิกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน”

(4) กระทรวงแรงงานไม่มีการเสนอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 และ 98 ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิสหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 องค์กร American Federation of Labor-Congress of Industrial Organizations (AFL-CIO) และอีกกว่า  26 องค์กร เช่น Greenpeace , Human Rights Watch , International Labor Rights Forum ได้ส่งจดหมายถึง Karmenu Vella คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปว่าด้วยการประมง กิจการในทะเลและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการยุโรป รวมถึง Jesús Miguel Sanz ผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปฯยังคงให้ใบเหลืองกับประเทศไทยต่อไปอีก 6 เดือน เพื่อให้รัฐบาลไทยมีแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมประมงทะเลและประมงทะเลต่อเนื่อง หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ 27 องค์กรดังกล่าวนี้เรียกร้อง คือ การที่รัฐบาลไทยต้องให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อให้เกิดการคุ้มครองการจ้างงานในอุตสาหกรรมดังกล่าวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง

ผลที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยไม่รับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง โดยกระทรวงแรงงานอ้างเรื่องการแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กับพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับให้เรียบร้อย

นี้จึงพบปัญหาสำคัญ คือ มีแรงงานจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง ให้ออกจากงานหรือถูกกระทำโดยไม่เป็นธรรมเพียงเพราะเหตุจากการก่อตั้งสหภาพแรงงาน หรือการถูกเลือกปฏิบัติเพราะการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของสหภาพแรงงาน

สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อแรงงาน ไม่ว่าจะเป็น

(1) บริษัทสแตนเล่ย์ เวิร์คส์ จำกัด ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จังหวัดฉะเชิงเทรา กดดันให้สมาชิกสหภาพแรงงานสแตนเล่ย์ประเทศไทยต้องลาออกจากงาน รวมทั้งยังมีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับผู้นำแรงงานที่เกี่ยวข้องในสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย (สยท.) และฟ้องร้องทางคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายกับสมาชิกสหภาพแรงงาน

(2) บริษัทโตไก รับเบอร์ อิสเทิร์น จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง เลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นแกนนำทั้งหมดขณะอยู่ในระหว่างการยื่นข้อเรียกร้องและจัดตั้งสหภาพแรงงานโตไก รับเบอร์ อิสเทิร์น

(3) บริษัทโคบาเทค ประเทศไทย จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ภายหลังจากที่เกิดข้อพิพาทแรงงานนำไปสู่การปิดงานของนายจ้าง ต่อมาข้อพิพาทแรงงานสิ้นสุด และนายจ้างตกลงรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน แต่นายจ้างกลับไม่มอบหมายงานในหน้าที่เดิมให้สมาชิกสหภาพแรงงานทำ แต่กลับจัดให้ลูกจ้างไปนั่งอยู่ในเต็นท์หลังโรงงานโดยไม่มีกำหนด

นอกจากนั้นแล้วยังพบกรณีที่สถานประกอบการบางแห่งให้ผู้นำสหภาพแรงงานระงับการเข้าปฏิบัติหน้าที่ในโรงงาน เพื่อไม่ให้มีการพบปะกับสมาชิกสหภาพแรงงาน อีกทั้งยังมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกรรมการสหภาพแรงงาน ทั้งๆที่มีข้อตกลงว่าจะไม่เอาความผิดก็ตาม แต่กลับมีการยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานในเวลาต่อมา ซึ่งพบในกรณีของสหภาพแรงงานซัมมิทแหลมฉบังโอโตบอดี้ เป็นต้น

ตลอดจนกรณีที่อดีตข้าราชการกระทรวงแรงงาน หรือปัจจุบันยังคงทำงานเป็นข้าราชการในกระทรวงแต่อยู่ในช่วงระยะเวลาใกล้เกษียณอายุราชการ รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายจ้างเพื่อมาสกัดไม่ให้มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานหรือสกัดไม่ให้สหภาพแรงงานได้มีโอกาสเติบโต เป็นต้น

(5) สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดไม่มีมาตรการจัดการบริษัทแอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด กรณีไม่เปลี่ยนสถานที่ทำงานให้พนักงานที่ตั้งครรภ์จนเกิดการแท้งบุตร

บริษัทแอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทสัญชาติจีน ประกอบธุรกิจผลิตยางรถยนต์เพื่อส่งออกให้บริษัทหลินหลงที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน สำนักงานประเทศไทยตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

ย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคม 2559 สหภาพแรงงานแอลแอลไอที ประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงสถานประกอบการให้จัดสถานที่ทำงานใหม่ให้กับพนักงานที่ตั้งครรภ์โดยย้ายจากแผนกการผลิตเดิม แต่บริษัทฯก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด จนทำให้เดือนต่อมาพนักงานคนดังกล่าวได้เกิดการแท้งบุตรขึ้น สหภาพแรงงานฯจึงได้ยื่นจดหมายถึงหัวหน้าสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ในเดือนเดียวกันสหภาพแรงงานฯ ก็ได้รับหนังสือร้องเรียนจากพนักงานอีกคนหนึ่งกรณีแท้งบุตรเช่นเดียวกัน เนื่องจากทางหัวหน้างานไม่เปลี่ยนจุดที่ทำงาน จนทำให้ในเดือนพฤษภาคม 2559  สหภาพแรงงานฯ ต้องทำจดหมายทวงถามถึงสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ที่ยังไม่มีการเข้ามาตรวจสอบสถานประกอบการแต่อย่างใด

ล่วงเลยมาถึงเดือนกรกฎาคม 2559 สหภาพแรงงานฯได้ทำจดหมายทวงถามถึงสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีเป็นครั้งที่ 2 จนในที่สุดได้เข้ามาตรวจสอบบริษัทฯตามที่ทางสหภาพแรงงานฯได้ทำหนังสือร้องเรื่องกรณีพนักงานตั้งครรภ์ได้แท้งบุตรจากการทำงาน แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วได้แต่อย่างใด นี้จึงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานของสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่ทำได้เพียงแนะนำและตักเตือนเท่านั้น แต่ไม่มีมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังแต่อย่างใด

(6) ผู้ประกันตนมาตรา 39 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่สามารถชำระเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ณ ที่ทำการสำนักงานประกันสังคมต่างๆ ได้

นับจากที่สำนักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือที่ รง 0603 / ว 1595 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2559 เรื่อง ขอความร่วมมือชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนผ่านระบบธนาคารหรือหน่วยบริการ มีผลทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถชำระเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ณ ที่ทำการสำนักงานประกันสังคมสาขาต่างๆ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ยกเว้นเฉพาะกรณีที่ผู้ประกันตนขาดส่งเงินสมทบย้อนหลังไป 2 เดือน จึงจะสามารถชำระที่สำนักงานประกันสังคมสาขาต่างๆได้

ในกรณีนี้นายชาลี ลอยสูง รักษาการประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้นำประเด็นดังกล่าวฟ้องสำนักงานประกันสังคมต่อศาลปกครองกลาง ตามคดีหมายเลขดำที่ 1224 / 2559 เมื่อสิงหาคม 2559 โดยเห็นว่าเป็นการทำให้ผู้ประกันตนเกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จากการที่ธนาคารพาณิชย์ , เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือที่ทำการไปรษณีย์ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกันตนที่นำเงินไปชำระผ่านช่องทางดังกล่าวในอัตรา 10 บาทต่อรายการ (ต่อครั้ง) ตามแต่ละช่องทาง ถือเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น

(7) ผู้ประกันตนที่เป็นคนพิการเนื่องจากบาดเจ็บในงานตามมาตรา 33 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผลจากคำสั่ง คสช.ที่ 58 /2559

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 58/2559 ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เรื่องการรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 กำหนดให้คนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่เป็นผู้ประกันตน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม มีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โดยคำสั่งนี้เป็นผลมาจากกรณีที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ตามมาตรา 33 ได้กำหนดให้สถานประกอบการต้องรับผู้พิการเข้าทำงานตามสัดส่วนพนักงาน 100 คนต้องมีการจ้างผู้พิการทำงาน 1 คน ทำให้ผู้พิการที่อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง เมื่อมีงานทำสิทธิการรักษาจะถูกเปลี่ยนไปอยู่สิทธิประกันสังคม ซึ่งประสบปัญหาด้านการใช้บริการ เนื่องจากระบบบัตรทองให้สิทธิคนพิการรักษาฟรีในสถานพยาบาลใดก็ได้ ขณะที่ระบบประกันสังคมคนพิการจะต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อให้เกิดสิทธิ และสามารถเข้ารับการรักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลต้นสังกัดที่ลงทะเบียนประกันตนเอาไว้เท่านั้น

อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้นจากคำสั่งดังกล่าวได้ส่งผลต่อผู้พิการที่เป็นผู้ประกันตนเนื่องจากบาดเจ็บในงานตามมาตรา 33 ใน พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตั้งแต่ต้น และก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาก่อน คนพิการกลุ่มนี้ต้องถูกย้ายสิทธิโดยอัตโนมัติไปใช้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแทน ส่งผลต่อความไม่คุ้นเคยและความไม่สะดวกต่อการได้รับบริการเดิมอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยรับบริการในโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้สถานประกอบการมาก่อน แต่สำนักงานประกันสังคมก็ไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากยกเลิกบัตรประกันสังคมของผู้ประกันตนกลุ่มนี้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา

(8) ระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2558 ขาดการมีส่วนร่วมจากแรงงานทุกกลุ่ม

สืบเนื่องจากที่กระทรวงแรงงานได้มีการประกาศใช้ระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2558 ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2559

สาระสำคัญของระเบียบฯฉบับนี้มีความแตกต่างจากระเบียบฉบับเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ ระเบียบกระทรวงแรงงาน ว่าด้วยแนวทางและวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคี พ.ศ. 2551 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2551

โดยในข้อ 5 ของระเบียบฯฉบับใหม่ปี 2558 ได้ระบุไว้ว่า “การได้มาซึ่งกรรมการฝ่ายนายจ้างและกรรมการฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ให้อธิบดีแจ้งให้สภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์เสนอชื่อผู้สมัครสภาละสองคนเพื่อคัดเลือกเป็นกรรมการฝ่ายนายจ้างและกรรมการฝ่ายลูกจ้างเพื่อให้ คณะกรรมการคัดเลือกตามข้อ 7 พิจารณาเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพิจารณาแต่งตั้งต่อไป”

อีกทั้งในข้อ 6 ยังได้ระบุเรื่องคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของผู้ที่จะสมัครได้ในส่วนของผู้ใช้แรงงาน คือ ต้องเป็นหรือเคยเป็นกรรมการสภาองค์การลูกจ้างมาก่อน

กระบวนการคัดเลือกได้ถูกระบุไว้ในข้อ 7 ว่า “ให้อธิบดีนัดประชุมผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ เพื่อเลือกกันเองให้ได้จำนวนสองเท่าของจำนวนกรรมการฝ่ายนายจ้างและกรรมการฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ครบวาระ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาตามจำนวนคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ครบวาระต่อไป”

สำหรับคณะกรรมการคัดเลือก ถูกระบุไว้ในข้อ 29 ให้ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ ได้แก่ “รองปลัดกระทรวงแรงงาน หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านประกันความมั่นคงในการทำงาน เป็นประธานกรรมการ , อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นรองประธานกรรมการ , ผู้อำนวยการกองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, ผู้อำนวยการกลุ่มงานทะเบียนกลาง สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, ผู้อำนวยการกลุ่มงานกฎหมาย สำนักบริหารกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นกรรมการ ,ผู้อำนวยการสำนักแรงงานสัมพันธ์ สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการกลุ่มงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ”

ที่ผ่านมาโดยตลอดนั้น กระบวนการได้มาซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นั้น ถูกระบุไว้ในข้อ 6 ในระเบียบฯฉบับปี 2551 ว่า “ให้อธิบดีแจ้งให้สมาคมนายจ้างและสหภาพแรงงานในเขตภาคต่าง ๆ เสนอชื่อผู้แทนฝ่ายตนที่จะสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีแล้วแต่กรณีได้ไม่เกินองค์กรละหนึ่งคน สมาคมนายจ้าง และสหภาพแรงงานจะเสนอชื่อผู้แทนตามวรรคหนึ่งได้คนละไม่เกินสองคณะ”

ข้อ 7 “ในเขตภาคใดหากไม่มีสมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานซึ่งจดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานไว้ แต่มีสถานประกอบกิจการ ให้อธิบดีแจ้งให้นายจ้างและคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการส่งผู้แทนฝ่ายตนแห่งละหนึ่งคนเพื่อเสนอชื่อผู้แทนสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการไตรภาคี แล้วแต่กรณี”

ข้อ 10 “ให้สมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน แจ้งชื่อผู้ลงคะแนนเลือกตั้งแห่งละหนึ่งคน ซึ่งต้องเป็นกรรมการสมาคมนายจ้าง หรือกรรมการสหภาพแรงงานนั้น แล้วแต่กรณี ต่ออธิบดีภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ให้อธิบดีประกาศรายชื่อผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง ณ สถานที่ทำการเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน”

จากที่กล่าวมาจึงทำให้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้ยื่นจดหมายคัดค้านระเบียบฯดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า “เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มาจากเพียงการสรรหาจากตัวแทนสภาองค์การลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์จำนวน 15 สภาองค์การลูกจ้างเท่านั้น นี้จึงสะท้อนถึงขาดการมีส่วนร่วมขององค์กรแรงงานทั้งหมด โดยเฉพาะสหภาพแรงงานจำนวนมากไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้าง

อีกทั้งสภาองค์กรลูกจ้างก็ไม่ใช่ตัวแทนขององค์กรแรงงานทั้งหมด จึงไม่มีหลักประกันใดๆว่าผู้แทนของฝ่ายแรงงานที่มาจากสรรหาจากสภาองค์การลูกจ้าง ที่ได้เข้าไปเป็นกรรมการในสัดส่วนตัวแทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จะสามารถสนับสนุนข้อเรียกร้องของแรงงานกลุ่มต่างๆ เนื่องจากกระบวนการสรรหาไม่โปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียมตั้งแต่เริ่มต้น

ทั้งยังมีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า สภาองค์การลูกจ้างบางแห่งมีแนวความคิดที่ขัดแย้งและคัดค้านข้อเรียกร้องของแรงงานกลุ่มอื่นๆมาโดยตลอด”

(9) ประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ถูกละเลยจากกรรมการประกันสังคมในการพิจารณาปรับเพิ่มขึ้น

สำนักเสริมสร้างความมั่นคงแรงงานนอกระบบ สำนักงานประกันสังคม ระบุว่าเดือนพฤศจิกายน 2559 มีผู้ประกันตนมาตรา 40  ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 จำนวนสูงถึง 2,236,612 คน ซึ่งผู้ประกันตนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มแรงงานนอกระบบ ถ้าคิดการส่งเงินสมทบจำนวนต่ำสุดต่อคน คือ 70 บาท นี้จึงกล่าวได้ว่า เดือนหนึ่งๆจะมีเงินจากผู้ประกันตนถูกส่งเข้าสู่กองทุนประกันสังคมสูงถึง 156,562,840 บาท หรือประมาณ 156 ล้านต่อเดือน

แต่เมื่อมาพิจารณาที่ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้รับ คือ

  • เมื่อนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 30 วันต่อปี
  • กรณีทุพพลภาพ รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500-1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลานานถึง 15 ปี ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ทุพพลภาพตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการแพทย์
  • กรณีตาย  รับเงินค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย
  • กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) รับเงินก้อนเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

ประโยชน์ทดแทนดังกล่าวมีความแตกต่างจากประโยชน์ทดแทนในผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 อย่างมาก และส่งผลต่อการออกจากการเป็นผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง โดยที่คณะกรรมการประกันสังคมมีแต่แผนการเพิ่มจำนวนผู้ประกันตน แต่ไม่มีแนวนโยบายการปรับปรุงประโยชน์ทดแทนแต่อย่างใด

(10) สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน แม้มีสถานะเป็น “ลูกจ้าง” ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2558

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ศาลแรงงานภาค 5 ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2558 กรณีแรงงานข้ามชาติชาวไทยใหญ่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน กรณีที่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนปฎิเสธคำขอรับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน โดยให้ไปรับเงินทดแทนจากนายจ้างแทน ซึ่งลูกจ้างคนนี้ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานก่อสร้างในเชียงใหม่ ขณะเป็นลูกจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จนขาพิการทั้งสองข้างและต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่าแรงงานข้ามชาติมีสถานะป็น “ลูกจ้าง” ตามนิยามของ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 แม้จะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยไม่ชอบ แต่ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร มีใบอนุญาตทำงาน จึงเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ. และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนโดยตรง และการที่นายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน จึงไม่อาจนำมาใช้เป็นเหตุเพื่อปฏิเสธสิทธิของลูกจ้างที่จะได้รับค่าทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนได้

ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนฯ และสั่งให้กองทุนจ่ายเงินทดแทนที่ลูกจ้างยังไม่ได้รับจากนายจ้างครบถ้วน

อย่างไรก็ตามโดยข้อเท็จจริงยังคงพบว่า ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมบางจังหวัด เช่น นครปฐม ยังคงมีการปฏิเสธที่จะจ่ายเงินจากกองทุนเงินทดแทนให้กับลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติอยู่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผวจ.จันทบุรีให้ขนส่ง-ปภ.-ทหารเรือ-ตำรวจ กำชับท่ารถตู้ให้ขับขี่ปลอดภัย

$
0
0

หลังอุบัติเหตุรถตู้จันทบุรีชนรถกระบะเสียชีวิต 25 ราย ล่าสุดผู้ว่าราชการ จ.จันทบุรี สั่งการให้ขนส่งจังหวัด-ปภ.-ทหารเรือ-ตำรวจ ออกตรวจแจ้งเตือนคนขับรถตู้ในจันทบุรีในเรื่องความพร้อมการเดินทาง สภาพรถ และแนะนำให้ผู้โดยสารมีความรู้

3 ม.ค. 2560 หลังเกิดเหตุรถตู้โดยสาร สาย กทม.-จันทบุรี หมายเลขทะเบียน 15-1352 กทม. ชนอัดก็อปปี้กับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 1 ฒณ 2483 กทม. ขณะเดินทางเข้า กทม. โดยจุดเกิดเหตุอยู่ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 25 ราย รอดชีวิต 2 รายนั้น

ที่มา: สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

วันนี้ (3 ม.ค. 2560) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า วิทูรัช ศรีนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจกำชับ อำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยผู้โดยสารรถสาธารณะในช่วงเดินทางกลับโดยเฉพาะรถตู้ร่วมบริการ หลังเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุหมู่ที่จังหวัดชลบุรีทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดจันทบุรี ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทหารจากกองร้อยรักษาความสงบ กองทัพเรือที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกตรวจแจ้งเตือนผู้ขับรถตู้ร่วมบริการทั้ง 4 แห่งของจังหวัดจันทบุรี ในเรื่องของความพร้อมในการเดินทาง สภาพรถ ความพร้อมของคนขับที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสาร แนะนำให้ผู้โดยสารมีความรู้ความปลอดภัย ในการเดินทางหากพบคนขับหวาดเสียวหรือเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุให้โทรแจ้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ หมายเลข 1584 ผู้โดยสารต้องรัดเข็มขัดทุกที่นั่ง คนขับรถต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินไว้พร้อมให้บริการแก่ผู้โดยสาร

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุหมู่ที่เกิดขึ้นซึ่งส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ทางจังหวัดได้อำนวยความสะดวกญาติในการเดินทางไปรับศพกลับมาบำเพ็ญกุศลตามหลักศาสนา โดยสมาคมกู้ภัยสว่างกตัญญูจังหวัดจันทบุรีนำรถบริการและเจ้าหน้าที่เพื่อรับศพของผู้เสียชีวิตกลับมาบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดจันทบุรี

ขณะที่บรรยากาศที่ท่ารถตู้ร่วมบริการ วันนี้เป็นวันที่ประชาชนที่เดินทางกลับมาเที่ยวบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ และจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครก่อนทำงานในวันพรุ่งนี้ ส่วนใหญ่ที่คิวรถตู้ผู้โดยสารค่อนข้างบางตาลง ประชาชนที่พอมีเวลาไม่เร่งรีบจะเปลี่ยนไปขึ้นรถทัวร์โดยสาร

ที่มา: สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

โดยก่อนหน้านี้ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานอุบัติเหตุเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ม.ค. 2560 เหตุเกิดเมื่อเวลา 14.00น. บนถนนสาย 344 หมู่ 1 ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ฝั่งขาเข้าระยอง เกิดเหตุรถตู้โดยสาร สาย กทม.-จันทบุรี หมายเลขทะเบียน 15-1352 กทม. ชนอัดก็อปปี้กับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ฒณ 2483 กทม. สภาพรถทั้งสองคันพังยับเยิน และเกิดไฟไหม้ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งดับไฟและนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เบื้องต้นพบผู้โดยสารที่มากับรถตู้ จำนวน 15 คน ตาย 14 คน รอด 1 คน พร้อมคนขับรถตู้ถูกไฟไหม้เสียชีวิต ส่วนผู้ที่มีมากับรถกระบะ จำนวน 12 คน ตาย 11 คน รอด 1 คน รวมมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทั้งหมด 25 ราย รอดชีวิต 2 ราย

บรรชา ปานนัม ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า เห็นรถตู้ขับมาจากแยกแกลง มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ พุ่งข้ามเลนไปชนประสานงากับรถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคัน ก่อนที่ไฟจะลุกทั้งคัน เบื้องต้นจากการตรวจสอบคาดว่าคนขับรถตู้คงหลับใน ก่อนจะพุ่งข้ามเลนไปชนรถกระบะจนเกิดอุบัติเหตุ สำหรับท่านใดที่คิดว่าอาจจะเป็นญาติ ให้ติดต่อขอดูศพได้ที่โรงพยาบาลบ้านบึง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

รายชื่อผู้โดยสารรถตู้ที่เสียชีวิต 1. นายสุมณ เอี่ยมสมบัติ อายุ 64 ปี เขตประเวศ กทม.  2. น.ส.ศิริพร หนุนเกื้อกูล อายุ 39 ปี อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี  3. นายกันตินันท์ ไทยตรง อายุ 23 ปี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี  4. น.ส.หนึ่งฤทัย ปันขัด อายุ 21 ปี อ.เมือง จังหวัดจันทบุรี 5. น.ส.หทัยรัตย์ บุณฤทธิ์ อายุ 29 ปี อ.เมือง จ.จันทบุรี 6. น.ส.หทัยทิพย์ หมดภัย อายุ 26 ปี อ.เมือง จ.จันทบุรี 7. น.ส.ภัทรวรรธน์ ทรัพย์จันทร์ อายุ 29 ปี อ.เมือง จ.จันทบุรี 8. นายพรหมพต กอศิริวลานนท์ อายุ 20 ปี อ.เมือง จังหวัดจันทบุรี 9. นายประกายศิต รัตนตันหยง อายุ 36 ปี อ.เมือง จ.จันทบุรี  10. น.ส.ดวงชีวัน พันธุ์เพ็ชร์ อายุ 34 ปี อ.นายายอาม จ.จันทบุรี 11. น.ส.ภัทราวรรณ รื่นเริง อายุ 42 ปี อ.เมือง จ.จันทบุรี

ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1.นายธงชัย ตั้งวงษ์พุทธิกุล อายุ 20 ปี อ.สอยดาว จ.จันทบุรี

รายชื่อผู้โดยสารรถกระบะที่เสียชีวิต 1. นายน้อย หาญเสมอ (คนขับ) 2. นางน้อง หาญเสมอ 3. ด.ช.วีรศักดิ์ หาญเสมอ 4. ด.ญ.การ์ตูน หาญเสมอ 5. นายสุพิณ หาญเสมอ 6. น.ส. โสรยา หาญเสมอ 7. นางพัน เจือจาง 8. ด.ช.กระทง เจือจาง 9. น.ส.สุดาภรณ์ เจือจาง 10. นายบุญเกิด ต้นทอง 11. พระสุพิน หาญเสมอ

ผู้ได้รับบาดเจ็บคือ 1. ปราณี บุญทูล ที่นั่งอยู่ท้ายกระบะรถ ก่อนจะกระเด็นตกลงมารอดชีวิต

 

คนขับรถตู้วิ่ง 5 เที่ยวในรอบ 31 ชั่วโมง

ในรายงานของมติชนนายพรศักดิ์ ไทยเจียมอารีย์ ขนส่งจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า รถตู้ได้เริ่มขับรถตู้ในวันที่ 1 มกราคม เที่ยวแรกออกจากจ.จันทบุรี เวลา 04.00 น. เที่ยวสอง ออกจากกรุงเทพ เวลา 11.30 น. และเที่ยวสาม ออกจากจันทบุรี เวลา 18.00 น.( ถึงกรุงเทพ เวลา 22.30 น.) และวันที่ 2 มกราคม 2560 เที่ยวแรกออกจากกรุงเทพ เวลา 05.00 น. และเที่ยวที่สอง ออกจากจันทบุรี เวลา 11.30 น.และมาประสบอุบัติเหตุ โดยขนส่งจันทบุรี ระบุว่าคนขับต้องทำหน้าที่ขับรถตู้ 5 เที่ยว ในช่วงเวลา 31 ชม. เป็นอย่างน้อย ซึ่งน่าจะมีการพักผ่อนมากกว่านี้

ในรายงานของ TNNธงชัย ตั้งวงษ์กุทธิกุล อายุ 20 ปี ผู้รอดชีวิตคนเดียว บอกว่าช่วงเกิดเหตุรู้สึกเหมือนรถจะเสียหลักปีนเกาะกลางถนนได้แต่คิดถึงแต่หน้าพ่อแม่ โชคดีที่กระจกด้านหลังแตกจึงได้ออกมาทางนั้น ผู้สื่อข่าวยังสัมภาษณ์เจ้าตัวซึ่งระบุว่าแขวนเหรียญหลวงพ่อโตพรหมรังษี

 

จุฬาฯ ร่วมไว้อาลัยกับการเสียชีวิตของนิสิตและนักวิจัยจุฬาฯ

ขณะเดียวกัน ในเว็บไซต์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอร่วมไว้อาลัยกับการเสียชีวิตของ พรหมพต กอศิริวลานนท์ นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ ประกาศิต รัตนตันหยง เจ้าหน้าที่บริการวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนรถกระบะ ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2560 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายราย นับเป็นการสูญเสียนิสิตและบุคลากรจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญทางด้านการแพทย์ของประเทศชาติ โดยขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตมา ณ ที่นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปท.สายทหาร หนุนรัฐบาลเลื่อนเลือกตั้ง-ไม่ควรสนใจเสียงวิจารณ์

$
0
0

พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร หนุนรัฐบาลเลื่อนเลือกตั้งตามข้อเสนอ สนช. หากเวลาไม่พอพิจารณากฎหมายก็ยื้อเวลาได้ แนะก่อนเลือกตั้งรัฐบาลควรทำโครงการสำคัญเพื่อให้ประชาชนเห็นว่าได้ทำงานเพื่อบ้านเมือง ขณะที่ สุชน ชาลีเครือ ระบุจะส่งข้อเสนอปรองดองให้รัฐบาลเดือนกุมภาพันธ์ เล็งนิรโทษคดีชุมนุมการเมืองยกเว้นแกนนำ หรือใช้ 66/2523 แบบยุค พล.อ.เปรม ส่วน ม.112 คดีทุจริต จะไม่เข้าเกณฑ์

พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ที่มาของภาพ: สภาปฏิรูปแห่งชาติ)

3 ม.ค. 2560 กรณีที่สมาชิก สนช. เสนอว่าอาจจะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปนั้น พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้สัมภาษณ์ในคมชัดลึก ให้ความเห็นว่า การเลือกตั้งหากจะช้าออกไป ต้องมีเหตุผลที่ยอมรับได้ ก่อนจัดเลือกตั้งรัฐบาลควรทำโครงการสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ให้สำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้ทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ดังนั้นการเลือกตั้งจะช้าออกไป แต่เป็นการทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ควรสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หากเวลาในการพิจารณากฎหมายไม่เพียงพอจริง สามารถยื้อเวลาออกไปได้

ขณะที่เมื่อวันที่ 2 ม.ค.60 ในไทยรัฐออนไลน์สุชน ชาลีเครือ กรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวถึงความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองว่า ขณะนี้ กมธ.ได้ข้อสรุปเรื่องหลักเกณฑ์การสร้างความปรองดองในระดับหนึ่ง โดยเห็นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 คดีความผิดอาญาร้ายแรงหรือคดีทุจริต ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการนิรโทษกรรม ต้องว่าไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองทั่วไปของประชาชนที่ไม่เกี่ยวกับแกนนำ กมธ.จะเสนอแนวทางต่อรัฐบาลให้ช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ อาทิ การใช้นโยบาย 66/23 เหมือนในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ช่วยคนเห็นต่างจากรัฐบาลในขณะน้ันไม่ต้องรับผิด หรือการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของหัวหน้า คสช.นิรโทษกรรมให้ประชาชน โดยจะเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการพิเศษชุดหนึ่ง ทำหน้าที่แยกแยะประเภทความผิด เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย

นายสุชน กล่าวต่อว่า คาดว่าภายในไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์กรรมาธิการของ สปท. จะได้ข้อสรุปเรื่องแนวทางการสร้างความปรองดอง และการเยียวยาอย่างเป็นทางการ เพื่อเสนอต่อที่ประชุม สปท.ชุดใหญ่ให้ความเห็นชอบ และส่งต่อให้รัฐบาลนำไปดำเนินการต่อไป ส่วนตัวเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น รัฐบาลจะต้องทำอย่างจริงจังในปี 2560 ทันที ไม่ต้องรอให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกประกาศใช้ เพื่อให้ประเทศไม่จำเป็นต้องรอให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ไม่ใช่พูดแค่เป็นวาทกรรม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์ โวย ถูกตร.ตามประกบ ขณะเที่ยวปีใหม่ แนะไปดูแลประชาชนดีกว่า

$
0
0

ยิ่งลักษณ์ โพสต์เฟซบุ๊กโวยถูกติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดจากตำรวจนอกเครื่องแบบ ขณะมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ พักผ่อนและชมธรรมชาติกับครอบครัว แนะรัฐควรใช้ทรัพยากรในการดูแลพี่น้องประชาชนมากกว่าที่จะมาเฝ้าตน

3 ม.ค. 2560 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Yingluck Shinawatra' ระบุว่า การเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อมาพักผ่อนและชมธรรมชาติกับครอบครัว ไม่คิดเลยว่าจะถูกติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบและฝ่ายปกครอง รวมถึงการไปตรวจสอบร้านค้าและสถานที่ต่างๆ ที่ตนไป ซึ่งไม่ใช่การมาดูแลรักษาความปลอดภัยตามปกติ ทั้งๆ ที่ตนเป็นเพียงผู้หญิงและประชาชนคนหนึ่ง ที่พาลูกชายมาชมแหล่งท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยมาตามปกติเท่านั้น 

"ในช่วงเวลาเช่นนี้หน่วยงานของรัฐควรใช้ทรัพยากรบุคคลในการดูแลพี่น้องประชาชนมากกว่าที่จะมาเฝ้าติดความเคลื่อนไหวของดิฉันเช่นนี้  หากทุกฝ่ายทำงาน อย่างไม่เลือกปฏิบัติและไม่มีอคติต่อกัน ก็คงจะเกิดความปรองดองอย่างที่ทุกคนชอบพูดกันได้ไม่ยาก" ยิ่งลักษณ์ โพสต์
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่าสำหรับการติดตามการเคลื่อนไหวของ ยิ่งลักษณ์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เช่น เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ปีที่แล้ว ระหว่างที่ยิ่งลักษณ์ ออกจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เดินทางไปงานสวดพระอภิธรรมศพพี่ชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ ที่บางบอน ปรากฏว่าระหว่างที่พระสวดอยู่นั้น ได้มีทหารบุกเข้าไปในศาลา ถ่ายรูป ยิ่งลักษณ์ ที่นั่งเป็นประธานอยู่ ซึ่ง วรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.)  กล่าวด้วยว่า ยิ่งลักษณ์ได้หันมาหาตนและพูดว่า “โอ้โห อย่างนี้กันเชียวหรือ ขนาดมาสวดศพยังตามราวีไม่รู้จักจบสิ้นซักที” ซึ่งคนที่มาร่วมงานต่างก็ตกใจคิดว่าบุกเข้ามาจับยิ่งลักษณ์ โดย ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่ดี ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพอาจเป็นเพราะอดีตนายกฯ เป็นคนสวยก็เป็นได้ แต่ถ้าหากไม่ชอบ ตนก็จะเปลี่ยนให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อดีตทูตเกาหลีเหนือเผย ชาวเกาหลีเหนือเริ่มรับวัฒนธรรมเกาหลีใต้มากขึ้นแม้ถูกห้าม

$
0
0

อดีตทูตเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ไปอยู่เกาหลีใต้เผยผู้คนชาวเกาหลีเหนือได้รับชมสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้มากขึ้นแม้จะถูกห้ามจากรัฐบาล ด้วยเทคโนโลยีและตลาดมืดที่เติบโต ทำให้แม้แต่เกาหลีเหนือก็รู้จักคำว่า "โอปป้า" และเข้าถึงกระแสนิยมวัฒนธรรมเกาหลีใต้

3 ม.ค. 2560 สื่อโคเรียเฮรัลด์รายงานการแถลงข่าวของเทยองโฮ อดีตรองเอคอัครราชทูตชาวเกาหลีเหนือประจำสหราชอาณาจักรผู้ที่แปรพักตร์ไปอยู่เกาหลีใต้เมื่อช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา เขาเปิดเผยว่าชาวเกาหลีเหนือได้รับวัฒนธรรมจากเกาหลีใต้มากขึ้น โดยมีชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากได้รับชมละครและภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา ทำให้รัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือไม่สามารถตัดขาดกระแสนิยมวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่เรียกว่า 'ฮัลลิว' (Hallyu) ออกไปได้โดยง่าย

กระแสนิยมเกาหลีใต้แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชียไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ เพลงแนวเคป๊อป หรือรายการโทรทัศน์อย่าง 'รันนิงแมน' ซึ่งเป็นรายการแนวแอ็กชั่นวาไรตี้เคยถ่ายทำในไทยและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สื่อโคเรียนเฮรัลด์ระบุว่าเกาหลีเหนือเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกที่มีการควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารจากภายนอกประเทศเพื่อพยายามรักษาการโฆษณาชวนเชื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้นำคิมจองอึนเอาไว้และอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่ง "เสื่อมเสีย" หรือ "เลวร้าย" จากนอกประเทศเข้าสู่เกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ตามเทยองโฮเปิดเผยว่าถึงแม้เกาหลีเหนือจะสั่งห้ามการลักลอบนำเข้า แต่เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันและการเติบโตของตลาดมืดก็ทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือห้ามประชาชนเข้าถึงสื่อจากภายนอกประเทศได้ยากขึ้น ซึ่งกระทรวงการรวมชาติของเกาหลีใต้เชื่อว่าระบบการจำหน่ายจากส่วนกลางของเกาหลีเหนือล่มสลายลงในช่วงกลางยุค 2533-2543

โคเรียนเฮรัลด์ระบุว่า โน้ตเทล (Notetel) หรือเครื่องเล่นแผ่นดีวีดีแบพกพาเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชาวเกาหลีเหนือนิยมใช้รับชมสื่อเกาหลีใต้ เครื่องเล่นชนิดนี้ได้รับอนุญาตให้ถูกกฎหมายในปี 2557 แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยรัฐบาลบางส่วน เทยองโฮยังบอกอีกว่าชาวเกาหลีเหนือที่ทำงานนอกประเทศยังสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนได้โดยง่ายถึงแม้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะเรียกร้องไม่ให้พวกเขาทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลที่รับรู้มาให้กับคนอื่น เพราะทางการจะคอยสอดแนมพวกเขาหลังจากกลับเข้าประเทศ

"ความพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ตของเกาหลีเหนือกำลังพังทลายลง เรื่องนี้คิม(จองอึน)ก็รู้" เทยองโฮกล่าว

เทยองโฮเปิดเผยอีกว่าการรับวัฒนธรรมป๊อปเกาหลีใต้ทำให้ชาวเกาหลีเหนือบางคนใช้คำพูดคำจาหรือสำเนียงแบบเกาหลีใต้ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะใข้ภาษาเดียวกันแต่การที่ผู้คนทั้งสองฝ่ายแยกจากกันทำให้การใช้คำบางอย่างมีอยู่แต่ในเฉพาะวัฒนธรรมนั้นๆ เช่นคำว่า "โอปป้า" (แปลว่าพี่ชาย มักจะใช้เรียกคนรักหรือดาราที่ชื่นชอบด้วย) หรือตัวอักษร 'kkk' แทนเสียงหัวเราะผ่านการสื่อสารทางโซเชียลมีเดียคล้าย '555' ของบ้านเรา ซึ่งคำเหล่านี้ไม่เคยมีคนใช้มาก่อนในเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตามมีการปราบปรามการใช้คำเหล่านี้โดยทางการเกาหลีเหนือแต่ก็แก้ได้ด้วยการจ่าย "ค่าธรรมเนียม" ให้รัฐ

"เกาหลีเหนือพยายามจะควบคุมประชาชนของตัวเอง แต่ก็มีอยู่สองอย่างที่คุณยับยั้งยังไงก็ไม่ได้ คือยาเสพติดกับฮัลลิว" เทยองโฮกล่าว

เทยองโฮบอกว่ารัฐบาลคิมจองอึนอาจจะดูมั่นคงจากภายนอกแต่ก็เน่ามาจากข้างใน การที่ชาวเกาหลีเหนือเข้าถึงวัฒนธรรมเกาหลีใต้ได้ทำให้ผู้คน "เชิดชูคิมจองอึนในตอนกลางวันแต่ก็ซุกตัวดูภาพยนตร์เกาหลีใต้อยู่ใต้ผ้าห่มในตอนกลางคืน" เทยองโฮบอกว่าคิมจองอึนรู้เรื่องนี้จึงพยายามจับตาชนชั้นนำในประเทศอย่างใกล้ชิดและกำจัดคนที่ออกนอกลู่ที่เขาวางไว้ นั่นทำให้เทยองโฮยังมองในแง่ร้ายว่า "ชีวิตแบบทาส" ในเกาหลีเหนือจะยังคงอยู่ต่อไปจนถึงรุ่นเหลน ทำให้เขาและครอบครัวตัดขาดตัวเองจากประเทศหลังจากที่ออกจากการเป็นทูตเกาหลีเหนือ

รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศยืนยันว่าเทยองโฮและครอบครัวอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาเมื่อเดือน ส.ค. 2559 หลังจากที่เทยองโฮแปรพักตร์รัฐบาลเกาหลีเหนือก็ประจานเขาเรียกเขาว่าเป็น "มนุษย์สวะ"

 

เรียบเรียงจาก

S. Korean culture seeping into N.Korea, Korea Herald, 29-12-2016
http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20161229000745

ข็อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Thae_Yong-ho
https://en.wikipedia.org/wiki/Running_Man_(TV_series)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สกอตแลนด์นำร่อง 'รายได้ขั้นพื้นฐาน' หวังแก้ปัญหาความยากจน

$
0
0

สกอตแลนด์เป็นอีกแห่งหนึ่งที่กำลังจะนำแนวคิด 'รายได้ขั้นพื้นฐาน' ที่เปลี่ยนจากสวัสดิการแบบเดิมมาเป็นสวัสดิการการให้เงินระดับพื้นฐานกับประชาชนทุกคน โดยจะมีการนำร่องทดลองใช้ในเมืองไฟฟ์และกลาสโกว์ที่มีปัญหาความยากจน ตามประเทศอื่นๆ ในยุโรปอย่างเนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์ แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดนี้ยังอุดมคติมากเกินไปในยุคปัจจุบัน

รัฐสภาสก็อตแลนด์ (ที่มาของภาพประกอบ: Colin/ Wikimedia Commons/CC BY-SA 4.0)

3 ม.ค. 2560 พรรคชาติสกอต หรือเอสเอ็นพี (SNP) แห่งสกอตแลนด์เปิดเผยว่าพวกเขาจะทดลองยกเลิกสวัสดิการแบบเดิมแล้วนำแนวคิด 'รายได้ขั้นพื้นฐาน' (Basic Income) มาใช้แทนกับเมืองกลาสโกว์และเมืองไฟฟ์ โดยที่แนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานจะเป็นการเสนอรายได้ขั้นต่ำที่แน่นอนให้กับประชาชนทุกคน โดยบอกว่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความยากจน

พรรคเอสเอ็นพีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของสกอตแลนด์ประกาศจะใช้ "รายได้ขั้นพื้นฐานถ้วนหน้า" (universal basic income) ที่จะทำให้ประชาชนทุกคนมีรายได้พื้นฐานไม่ว่าจะมีงานทำหรือไม่ โดยจะมีการทดลองกับเมืองที่ปกครองโดยสมาชิกสภาพรรคแรงงานคือกลาสโกว์และไฟฟ์ หลังจากที่ในปี 2559 ที่ผ่านมามีการประชุมหารือกันในเรื่องนี้ แต่ในตอนนี้ยังไม่มีการประกาศชัดเจนว่าระดับรายได้พื้นฐานที่ว่าอยู่ที่จำนวนเท่าใด

รายได้ขั้นพื้นฐานดังกล่าวนี้จะถูกนำมาใช้แทนสวัสดิการอื่นๆ อย่างเงินสงเคราะห์ของคนที่กำลังหางาน สวัสดิการครัวเรือนที่มีคนทำงานและมีรายได้ต่ำ (working tax credits) และเงินบำนาญรัฐ โดยจะแทนที่ด้วยการจ่ายเงินให้เท่ากันในอัตราเดียวทั้งกับผู้ที่ว่างงานและผู้ที่มีงานทำ เงินที่ได้รับมากกว่านี้จะถูกหักภาษี

แมตต์ เคอร์ ส.ส.พรรคแรงงานบอกว่าเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ จำนวนมากที่สนใจแนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานแต่ไม่ได้มั่นใจในระบบนี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามปัญหาความยากจนทำให้เขาต้องหันมาหาแนวคิดนี้ โดยที่เมืองกลาสโกว์เป็นเมืองที่เด็ก 1 ใน 3 มีชีวิตอยู่ภายใต้ความยากจน เมืองไฟฟ์เองก็มีปัญหาความยากจนที่แอบซ่อนอยู่ภายในจากการสำรวจของหน่วยงานสภาองค์การลูกจ้าง

กาย สแตนดิง ศาตราจารย์นักเศรษฐศาสตร์ผู้สนับสนุนรายได้ขั้นพื้นฐานถ้วนหน้าและผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร "เครือข่ายรายได้พื้นฐานโลก" (Basic Income Earth Network หรือ BIEN) พูดถึงสาเหตุที่ต้องมีรายได้ขั้นพื้นฐานว่าเพราะต้องการปลดแอกผู้คนจากความเชื่อที่ว่าคนเราต้องทำงานเพื่อให้มีชีวิตรอด อีกทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะทำให้งานในหลายอาชีพกลายเป็นเรื่องซ้ำซ้อน นอกจากนี้เขายังเคยทำนายว่ามาตรฐานการครองชีพที่ไม่มีความเจริญก้าวหน้าและความไม่มั่นคงในการงานจะทำให้เกิดกระแสประชานิยมแบบขวาจัดเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตามมีฝ่ายต่อต้านแนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานแปะป้ายว่าแนวคิดนี้เป็น "นิยายโลกอุดมคติ" และ "เงินได้เปล่า" พวกเขากล่าวหาว่าแนวคิดนี้จะทำให้ผู้คนขี้เกียจ และเป็นการให้เงินของสาธารณะกับคนที่มั่งมีอยู่แล้ว

ดิอินดิเพนเดนต์ระบุว่าการใช้แนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานเคยประสบความสำเร็จในโครงการนำร่องที่แอฟริกาและอินเดีย แนวคิดนี้เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในยุโรป เมื่อไม่นานมานี้มีการนำการทดลองใช้แนวคิดนี้เป็นโครงการนำร่องที่เนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์ อย่างไรก็ตามการทดลองในฟินแลนด์ไม่ใช่รายได้ขั้นพื้นฐานแบบถ้วนหน้าเพราะเป็นการให้แต่กับคนที่ตกงาน

กลุ่มผู้สนับสนุนบอกว่าแนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานจะทำให้เกิดระบบสวัสดิการที่ซับซ้อนน้อยลง มีความเป็นธรรมมากขึ้น ลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องสิทธิ์ในการใช้สวัสดิการแบบเดิม เหมาะสมกับครอบครัวเพราะเป็นการยอมรับว่างานดูแลจัดการภายในบ้านก็เป็นงานอย่างหนึ่งที่ควรได้รับผลตอบแทน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะทำให้คนมีความสุขและมีสุขภาพดีเพราะสามารถเรียนรู้หรือเข้ารับการฝึกอบรมต่างๆ ได้อย่างอิสระ และยังเป็นการลดรายจ่ายภาครัฐด้วย

อย่างไรก็ตามจอห์น เรนโตล นักข่าวและนักวิจารณ์การเมืองจากดิอินดิเพนเดนต์เขียนบทความวิจารณ์แนวคิดรายได้ขั้นพื้นฐานว่าถึงแม้จะเป็นแนวคิดที่มีความปรารถนาดีจากการเล็งเห็นสิทธิและสวัสดิการของประชาชนและมองอนาคตของเรื่องการงานในอนาคตว่าจะเต็มไปด้วยงานพาร์ทไทม์ งานที่ไม่สม่ำเสมอ งานที่ไม่มั่นคงแน่นอน แบบในยุคปัจจุบัน ทำให้ต้องมีตาข่ายความปลอดภัยทางสังคมรองรับผู้คนที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่เรนโดลก็กังวลว่าการดำเนินการจะทมีรายจ่ายแพงมากและอาจจะทำให้คนที่มีรายได้ในค่าเฉลี่ยต่อปีถูกขึ้นภาษีหนักขึ้นมาก เรนโดลจึงเรียกร้องให้นักนโยบายทั้งหลายมองสภาพความเป็นจริงกันมากขึ้นแทนที่จะมองสิ่งที่เพ้อฝันอย่างเดียว

 

เรียบเรียงจาก

Scotland set to pilot universal basic income scheme in Fife and Glasgow, The Independent, 03-01-2017

Basic income is the latest bad political idea that refuses to die, John Rentoul, The Independent, 03-01-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทอม ดันดี: Happy New Year 2017 ☘

$
0
0



โพ้นผ่านมา  ผองอุษา  สู้สาหัส
อุปสรรค  สารพัด  เพื่อนหาญกล้า
หม่นมัวหมอง  กิเลสมาร  ประจานตา
จิตกำพร้า  มิพ้นโศก  วิโยคภัย

ถึงบัดนี้  ไร้วี่แวว  แก้วบัญญัติ
ปฏิบัติ  ปริญัติ  ยังขานไว้
ตาลปัตร ไร้สมปอง  ผ่องอำไพ
ชัชวาลย์  กระจ่างใจ  ให้ผองชน

กราบขอพร  พุทธคุณ  ดุลย์พินิจ
ประกาศิต  ลึกโอฬาร  ถึงมรรคผล
สว่างใน  ห้วงฤทัย  สุขวิมล
ปุถุชน  ขอโอนอ่อน  อุตมางค์

สิ้นปีเก่า  เข้าปีใหม่  วิไลฝัน
เนื้อนาบุญ  อำไพหวาน  สมประสงค์
จิตเอิบอิ่ม  ดั่งวารี  ที่จำนงค์
บุษบง  ผ่องใส  สิ้นภัยพาล
                    

ขอให้ประชาชนจงเจริญ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: แด่ไผ่...ไม่ลู่ลม

$
0
0

แม้พายุ โหมกระหน่ำ สักเพียงใด
ยังต้านทาน ทนไหว หัวใจสู้
อุดมการณ์ สานด้วยจิต ศิษย์ตราชู
รับเรียนรู้ ธรรมะ ชนะอธรรม

ไม่ลู่ลม สมดั่งชื่อ แต่ถือหลัก
เป็นไผ่หนัก แน่นครา พายุกระหน่ำ
ไม่ไหวติง อิงศรัทธา กล้าชี้นำ
ดาวดินต่ำ แต่เลิศล้ำ ค้ำความดี

ไม่เหมือนดาว พราวฟ้า คราสูงเด่น
อาจเพลินเล่น เป็นดารา ฟ้าเปลี่ยนสี
ระยิบระยับ กลับแสง แต่งร้ายดี
บางวันดับ บางวันมี ไม่แน่นอน

แม้พายุ โหมกระหน่ำ สักเพียงใด
ในหัวจิต หัวใจ ไม่ไหวอ่อน
แม้ต่อสู้ หมู่มาร มากหมื่นกร
ไม่ถอดถอน ยอมแพ้ แก่อธรรม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แผนส่งตัวผู้อพยพ 3 ล้านออกนอกประเทศของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' เจอต้าน-ต้องใช้งบบาน

$
0
0

จากแรงต้านทางการเมืองและการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการส่งตัวผู้อพยพ 3 ล้านคนออกนอกประเทศ ทำให้สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดเคยสัญญาไว้มีโอกาสน้อยมากที่จะทำได้จริง มีข้อมูลเปิดเผยว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งตัวคนออกนอกประเทศต้องใช้งบประมาณมากกว่า 24,400 ล้านดอลลาร์

4 ม.ค. 2560 ในขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยหาเสียงด้วยการให้สัญญาว่าจะสร้างกำแพงและส่งตัวผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาต 3 ล้านคนในสหรัฐฯ ออกนอกประเทศ แต่ทว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะทำตามสัญญาได้จริงมีน้อยมากส่วนหนึ่งมาจากแรงต้านจากเหล่าผู้นำชุมชนและนักการเมือง

ผู้สื่อข่าวเท็ด เฮสสัน รายงานผ่านสื่อ Politico เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2559 ว่าทรัมป์จะต้องใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในการดำเนินนโยบายนี้ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติงบประมาณจากสภาคองเกรส นอกจากนี้ทรัมป์ยังจะต้องจ้างและฝึกอบรมเจ้าพนักงานบังคับกฎหมายและผู้พิพากษาในการนี้เพิ่มเติมจำนวนมาก เฮสสันยังระบุว่าต้องมีข้ออ้างทางอาชญากรรมในการหาเรื่องส่งตัวผู้คนนับล้านออกนอกประเทศแทนการกวาดต้อนผู้คนอย่างไม่มีความผิดใดๆ ด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทรัมป์ต้องเผชิญถ้าหากต้องการทำตามที่หาเสียงไว้

สำนักงานบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (Immigration and Customs Enforcement หรือ ICE) ระบุว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งตัวคนออกนอกประเทศโดยเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 12,213 ดอลลาร์ ซึ่งยังไม่คิดรวมเงินเดือนของผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้นการจะส่งตัวคน 3 ล้านคนออกนอกประเทศต้องใช้เงินมากกว่า 24,400 ล้านดอลลาร์ตลอดช่วงเวลาสี่ปี

นอกจากนี้แล้วทรัมป์ยังเคยให้สัญญาว่าจะยกเลิกนโยบาย "การยื่นขอผ่อนผันเพื่ออยู่ในประเทศชั่วคราวสำหรับการเข้าเมือง ตั้งแต่ในวัยเด็ก" (Deferred Action for Childhood Arrivals หรือ DACA) ซึ่งออกมาในรัฐบาลโอบามา แต่ก็มีงานวิจัยโดยศูนย์ทรัพยากรทางกฎหมายเพื่อผู้อพยพซึ่งมีสำนักงานอยู่ในซานฟรานซิสโกออกมาเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาระบุว่าการยกเลิกนโยบายจะทำให้ธุรกิจสูญเสียราว 3,400 ล้านดอลลาร์ และทำให้งบประมาณด้านสวัสดิการสังคมกับประกันสุขภาพลดลง 24,600 ล้านดอลลาร์ภายในอีก 10 ปีหลังจากนี้

เฮสสันกล่าวอีกว่า ทรัมป์ไม่สามารถหาข้ออ้างทางกฎหมายจัดการส่งตัวผู้อพยพที่อยู่ในสหรัฐฯ ออกนอกประเทศได้ถึง 3 ล้านคนหรือแม้แต่ใกล้เคียง ดังนั้นแล้วจึงเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจจะหันมาตั้งเป้ากับคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมายรวมถึงผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตที่ทำผิดลหุโทษ

เป็นไปไม่ได้
ไม่มีที่ไหน ที่ผู้อพยพ 3 ล้านคน ไม่ว่าจะอยู่อย่างถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ที่จะถูกส่งกลับเพราะประวัติอาชญากรรมก่อนหน้า?

นอกจากนี้ทรัมป์ยังต้องเผชิญอุปสรรคจากผู้ต่อต้านทางการเมืองอย่างวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนที่ร่วมมือกับพรรคเดโมแครตในการต่อต้านไม่ให้ทรัมป์ยกเลิก DACA ทั้งนี้เรื่องที่ทรัมป์พูดไว้ว่าจะสร้างกำแพงความยาว 1,933 ไมล์กั้นพรมแดนเม็กซิโกนั้นก็ต้องพับไป เหล่าวุฒิสมาชิกและสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันหันมาใช้วิธีเพิ่มการตรวจเข้มตามชายแดนเม็กซิโกเพื่อสกัดกั้นการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายแทน

กลุ่มที่ต่อต้านนโยบายผู้อพยพของทรัมป์ยังมีกลุ่มแนวร่วมนายกเทศมนตรีสายก้าวหน้านำโดย บิล เดอ บลาสิโอ นายกเทศมนตรีนิวยอร์กซิตี้ ร่วมกันเรียกร้องให้ออกมาตรการเพื่อสกัดกั้นความพยายามเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้อพยพของทรัมป์รวมถึงนโยบายลงทะเบียนชาวมุสลิมและเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการลงทะเบียนพิเศษของทำเนียบขาวที่ใข้กับผู้เยือนสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่ผู้อพยพซึ่งเป็นนโยบายที่มีมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์การโจมตีสหรัฐฯ วันที่ 11 ก.ย. 2544 เพราะนโยบายนี้เป็นใบเบิกทางให้นโยบายลงทะเบียนชาวมุสลิมของทรัมป์ได้

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการเคลื่อนไหวของเมืองที่เปิดรับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาต (sanctuary city) รวม 47 เมือง โจเซฟ เอ คูร์ตาโตเน นายกเทศมนตรีแห่งเมืองซอมเมอร์วิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เป็นเมืองเปิดรับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารรับรองมาตั้งแต่ปี 2530 ระบุในจดหมายเปิดผนึกว่าพวกเขาเห็นว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้มีฐานมาจากความกลัวและความต้องการขับไล่คนที่ถูกจัดประเภทให้แตกต่างจากคนอื่น

ทั้งนี้ยังมีการสำรวจพบว่าแม้แต่คนที่สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างหนักแน่นก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแผนการส่งตัวผู้อพยพออกนอกประเทศแต่อย่างใด จากการสำรวจของศูนย์วิจัยพิวเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้วระบุว่าร้อยละ 60 ของคนที่โหวตให้ทรัมป์บอกว่าผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารอนุญาตควรจะอยู่ในสหรัฐฯ ต่อไปได้ถ้าหากเขาเข้าข่ายข้อกำหนดบางอย่าง เทียบกับร้อยละ 37 ที่บอกว่าผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตไม่ควรอยู่ในสหรัฐฯ และมีผู้สนับสนุนทรัมป์เพียงร้อยละ 32 ที่บอกว่าควรมีการบังคับใช้กฎหมายจากทางการให้ส่งตัวผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตทั้งหมดออกนอกประเทศ


เรียบเรียงจาก

As Resistance Grows, Trump's Deportation Plans Unravel, Common Dreams, 30-12-2016
http://www.commondreams.org/news/2016/12/30/resistance-grows-trumps-deportation-plans-unravel

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คสช.แจง ดื่มไม่ขับ จับยึดรถแล้วกว่า 4 พันคัน สรุปอุบัติเหตุช่วงปีใหม่สูงกว่าปีที่ผ่านมา

$
0
0

ภาพจากคลิป โฆษณารณรงค์เมาไม่ขับของ สสส. (โทรหาแอ๊ด)

4 ม.ค. 2560 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์​ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เข้าสู่วันสุดท้ายของมาตรการลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือระมัดระวังในการเดินทาง แต่ก็ยังคงมีการเกิดอุบัติเหตุในบางพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกส่วนจะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการความปลอดภัยของการใช้เส้นทางให้มากขึ้น โดยเฉพาะรถบริการสาธารณะ ด้วยการตั้งจุดตรวจตามเส้นทางและบริเวณสถานีขนส่ง หรือจุดเชื่อมต่อคมนาคม เพื่อให้มาตรการดูแลความปลอดภัยมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น

รองโฆษก คสช. กล่าวด้วยว่า สำหรับมาตรการลดอุบัติเหตุที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องคือ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” โดยในวันที่ 3 ม.ค. 2560 ตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับดังนี้ รถจักรยานยนต์ พบการกระทำความผิด 14,143 ครั้ง เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยึดรถจักรยานยนต์ไว้ 458 คัน และส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 7,370 คน สำหรับรถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 10,536 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบขับขี่ไว้ 562 คน ยึดรถยนต์ 132 คัน ส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 3,924 คน โดยตลอด 6 วัน ที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2559 – 3 ม.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการดื่มไม่ขับไว้แล้ว จำนวน 4,208 คัน แยกเป็น รถจักรยานยนต์ 2,965 คัน รถยนต์ 1,243 คัน และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 38,168 คน รถโดยสารสาธารณะ/รถยนต์ส่วนบุคล 20,889 คน
 

สรุปอุบัติเหตุ 7 วันอันตรายปีใหม่สูงกว่าปีที่ผ่านมา

พล.ท.ธีรวัฒน์ บุญยะวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ส่วนงานการรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักเลขาธิการ คสช.  เป็นประธานแถลงข่าว สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 3 ม.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” พบอุบัติเหตุ 422 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 59 ราย บาดเจ็บ 419 คน รวมทั้ง 6 วัน( ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 2559- 3 ม.ค. 2560) เกิดอุบัติเหตุสะสม 3,579 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 426 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,761 คน โดยจังหวัดชลบุรี มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุด 33 ราย จังหวัดอุดรธานีเกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด 146 ครั้ง และเป็นจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด 156 คน  โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือการขับรถเร็วเกินกำหนด  ร้อยละ 27.73 รองลงมา คือเมาสุรา ร้อยละ 26.30 ส่วนจังหวัดที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิตหรือตายเป็นศูนย์มี 5 จังหวัด ได้แก่ พังงา แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และสตูล

“ตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ สูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปกติ 1,565,268 คัน คิดเป็นร้อยละ 33.24 จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น” พล.ท.ธีรวัฒน์ กล่าว

พล.ท.ธีรวัฒน์ กล่าวถึงมาตรการลดอุบัติเหตุของคสช.ว่า ได้พยายามตั้งจุดตรวจเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตลอด 6วัน พบผู้กระทำความผิด 98,000 คน เป็นรถจักรยานยนต์ 2,500 คัน และรถยนต์ 944 คัน

 

ที่มา สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กัมพูชาประกาศจับมือตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์กษัตริย์นโรดม สีหมุนี

$
0
0

ในกัมพูชาไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างไรก็ตามทางการกัมพูชาเปิดเผยว่าพวกเขากำลังวางแผนจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 รายที่ถูกกล่าวหาตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กับภาพยนตร์โป๊เกย์ โดยที่ รมต. กัมพูชาตอบไม่ได้ว่าจะอ้างใช้กฎหมายใดจับกุมพวกเขา ขณะที่มีการดำเนินคดีลักษณะนี้ในกัมพูชาน้อยครั้ง

3 ม.ค. 2560 ตำรวจกัมพูชาวางแผนจับกุม 3 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกกล่าวหาว่าตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์ของกัมพูชากับฉากภาพยนตร์โป๊เกย์พร้อมข้อความและโพสต์รูปดังกล่าวในวันคริสต์มาส ซึ่งถูกมองว่าเป็นการหมิ่นกษัตริย์นโรดม สีหมุนี โดยที่คดีแบบนี้มีอยู่น้อยครั้งในกัมพูชา

พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2547 เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวกัมพูชาและถูกมองว่าทรงอยู่เหนือการเมือง อย่างไรก็ตามบีบีซีระบุว่าเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เอาไว้ใช้ห้ามวิจารณ์กษัตริย์แล้วกัมพูชาไม่มีกฎหมายในลักษณะเดียวกัน แต่ในรัฐธรรมนูญของกัมพูชาก็ยังคงมีข้อความระบุว่ากษัตริย์ "ไม่สามารถถูกละเมิดได้" หรือมีความสำคัญมากจนไม่ควรปฏิบัติอย่างไม่เคารพ

นายพล เขียว โสภาค รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในของกัมพูชาเปิดเผยว่าพวกเขาสั่งการให้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนจริง โดยบอกว่าที่ต้องจับเพราะไม่อยากให้มีคนอื่นทำตาม แต่เมื่อสื่อถามว่าผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนทำผิดกฎหมายอะไรเขาก็ไม่ตอบโดยบอกแค่ว่า "พระมหากษัตริย์เป็นตัวแทนของคนทั้งชาติ และพวกเขาก็หมิ่นกษัตริย์ ซึ่งเปรียบเสมือนการหมิ่นคนทั้งชาติ"

บีบีซีระบุอีกว่าถึงแม้พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี จะอยู่ในสถานะกึ่งสมมติเทพแต่บทบาทของพระองค์ส่วนใหญ่เป็นไปในทางประเพณีเท่านั้น โดยทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายทางการเมืองในกัมพูชา พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ทรงมีความสามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เช็ก โดยพระองค์เคยใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงวัยผู้ใหญ่ในต่างประเทศเพื่อวิชาชีพเกี่ยวกับการเต้นรำแบบคลาสสิก แต่ต่อมาพระองค์ก็ทรงต้องกลับมาสืบราชสมบัติหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงสละราชสมบัติในปี 2547

บีบีซีระบุว่าก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ไม่ทรงเป็นที่รู้จักมาก่อน พระองค์เคยเป็นอดีตนักเต้นบัลเลย์ ไม่เคยอภิเษกสมรส ทรงเป็นผู้ที่รักในดนตรีและถ่อมตน โดยทรงแสดงความลังเลพระทัยที่จะสืบราชสมบัติ แต่ก็ทรงมีพระราชดำรัสว่าจะทรงสืบราชสมบัติถ้าหากกรมปรึกษาราชบัลลังก์ร้องขอ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ยังทรงเป็นเอกอัครราชทูตของกัมพูชาประจำองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ 'ยูเนสโก' ด้วย

 

เรียบเรียงจาก

Cambodia hunting suspects over doctored porn image of king, BBC, 02-01-2017
http://www.bbc.com/news/world-asia-38487986

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิภพโพสต์ถามถลุงเงินเป็นอย่างเดียวหรือ ปมทบ.เคาะช็อปรถถังเพิ่ม

$
0
0

'ผบ.ทบ.' เผย เคาะซื้อ 'รถถังจีน' ระยะ 2 ครบ 49 คัน ยันไม่ได้ถือหางจีน ชี้รถถังยูเครนสอบตกเหตุส่งมอบล่าช้า 'พิภพ' โพสต์ถามถลุงเงินเป็นอย่างเดียวหรือ ส่วนรถไฟไม่ต้องสร้าง ปล่อยให้ประชาชนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ซื้อรถถังทำไม

ที่มาเฟซบุ๊ก  Pipob Udomittipong

4 ม.ค. 2560 เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์และคมชัดลึกออนไลน์รายงานตรงกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ว่า การพิจารณายึดลำดับความสำคัญเพื่อทดแทนของเก่าที่ซื้อมา เช่น รถถัง เอ็ม-41 คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ กองทัพบก (กมย.ทบ.) พิจารณาบริษัทที่เสนอเข้ามาว่า เหมาะสมและผ่านมาตรฐานหรือไม่ จากนั้นจะมีคณะกรรมการการจัดซื้อเดินทางไปดูรายละเอียดที่โรงงานการผลิต แล้วรวบรวมข้อมูลมาประชุมว่า บริษัทใดเข้าตามกรอบ เงื่อนไข ที่กำหนด เปรียบเทียบราคาและเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่เพื่อดำเนินการเสนอซื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่จะเปลี่ยนไปซื้ออาวุธจากจีนอย่างที่ตั้งข้อสังเกตกัน เพียงแต่ไทยต้องการสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ คิดว่าซื้อเขามาแล้วต้องทำให้เป็นรูปธรรม

“พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยากให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธในประเทศ เราค่อยๆ สร้างคนของเรา ถ้าจีนเข้ามาลงทุนสร้าง มีการร่วมทุน จีนก็เหมือนเป็นพี่เลี้ยงเรา” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว และว่า ที่ผ่านมากองทัพบกได้ลงนามซื้อรถถัง วีที-4 จากประเทศจีน ไปแล้ว 28 คัน และจะจัดหาต่อในระยะ 2 จนครบ 1 กองพัน กองพันละ 49 คัน ในปีงบประมาณ 2560 โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี ทั้งนี้ เป็นไปตามที่คณะกรรมการพิจารณาซึ่งดูเรื่องความน่าเชื่อถือในเรื่องระยะเวลาการส่งมอบและความเหมาะสมในทุกด้านเนื่องจากรถถัง โอพลอต จากประเทศยูเครน ที่ได้จัดหามา 49 คัน มีปัญหาเรื่องการส่งมอบการส่งกำลังบำรุงและสายการผลิต จากปัญหาสถานการณ์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตโอพลอต ประเทศยูเครน จะสามารถส่งมอบรถถังทั้งหมด 49 คันให้กองทัพบกไทยได้ครบตามจำนวนได้ในเดือนตุลาคม 2560
 
มติชนออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า การจัดซื้อรถถัง วีที-4 ระยะ 2 จำนวน 20 คัน วงเงินกว่า 2 พันล้านบาท โดยจะมีทั้งรถถัง รถกู้ซ่อม พร้อมเครื่องกระสุน โดยก่อนหน้านี้ช่วงต้นปี 2559 ทบ.ได้เซ็นสัญญาจัดซื้อรถถัง วีที-4 จำนวน 28 คัน วงเงิน 4.9 พันล้านบาท ระยะเวลา 2559-2561 เพื่อนำไปประจำการที่กองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3) จ.ขอนแก่น เนื่องจากรถถังที่มีอยู่ประจำการนั้นเก่าและล้าสมัย
 

พิภพโพสต์ถามถลุงเงินเป็นอย่างเดียวหรือ 

ต่อมาวานนี้ (3 ม.ค.60) พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ หรือ Pipob Udomittipongนักแปล ได้โพสต์ข้อความวิจารณ์การจัดซื้อรถถังดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีนี้ด้วยว่า อันนี้ตลกมากเลย “ทบ.เคาะซื้อรถถังจีน VT-4 วงเงินกว่า 2 พันล้านบาท” (อ้างถึงข่าวจากมติชนออนไลนข้างต้น) ถลุงเงินเป็นอย่างเดียวหรือ ไทยลงนามสัญญาสั่งซื้อรถถัง T-84 Oplot-M จากยูเครนไปตั้งแต่ปี 2554 จำนวน 49 คัน วงเงิน 7,200 ล้านบาท (240 ล้านเหรียญ) ผ่านไปหกปี ยูเครนส่งมอบรถถังรุ่นนี้มาได้แค่ 10 คัน เมื่อกลางปี 2559 ทูตยูเครนประจำไทยบอกจะส่งมอบอีก 39 คันที่เหลือให้ภายในเดือน มี.ค. 60 แต่ในข่าวดังกล่าวข้างต้นบอกว่ายูเครนจะส่งมอบอีก 39 คันในเดือนต.ค.60 ช้าไปอีกครึ่งปี 
 
พิภพ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน กองทัพยูเครนที่รบแพ้เสียดินแดนให้รัสเซีย มีรถถัง Oplot-M ประจำการเพียง 10 คันเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้ายูเครนผลิตรถถังรุ่นนี้ได้จริงปีนี้ ทั้งหมดจะถูกส่งมาขายให้ไทยประเทศเดียว ไม่เหลือไว้ใช้เอง ทำไม? Sergei Pinkas ผู้บริหาร Ukroboronprom รัฐวิสาหกิจที่ผลิตรถถังรุ่นนี้บอกว่า มันคุ้มกว่าที่จะขาย แล้วเอาเงินมาปรับปรุงรถถังรุ่นเดิม (T-64s) ที่มีอยู่ 10 คันมาใช้เอง ความจริงยอดสั่งซื้อ 240 ล้านเหรียญ เท่ากับ 67% ของยอดขายอาวุธทั้งหมดของยูเครนในหนึ่งปี (323 ล้านเหรียญ) เรียกว่ายูเครนไม่ต้องขายอาวุธให้ใคร ขายให้ไทยประเทศเดียวก็เกือบจะปิดจ๊อบแล้ว เพราะยอดขายอาวุธยูเครนตกลงถึงครึ่งหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา นอกจากผลิตไม่ทันตามออเดอร์ ยังเป็นเพราะอาวุธไม่มีคุณภาพ เสียชื่อเสียง ไม่มีประเทศไหนอยากสั่งซื้อ (www.kyivpost.com)
 
พิภพ โพสต์ด้วยว่า ปัจจุบันกองทัพบกไทย จึงเป็นลูกค้าต่างประเทศเพียงรายเดียวของยูเครนที่สั่งซื้อรถถังรุ่นนี้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ปี 1999 ในโลกนี้นอกจากไทย มีแค่สี่ประเทศที่ใช้รถถังรุ่นนี้คือ ยูเครนประเทศผู้ผลิต จอร์เจีย บังกลาเทศ และอาเซอร์ไบจานเท่านั้น และเดิมกองทัพบกเคยมีปัญหาการจัดซื้อรถเกราะล้อยาง BTR – 2E1จากประเทศยูเครนมาแล้ว แบบเดียวกันคือจัดส่งล่าช้า เพราะบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินในการผลิต (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ news.mthai.com
 
"ได้ทหารปกครองประเทศก็ดีนะ เขาอยากซื้ออะไรโง่ ๆ ก็ซื้อ ไม่เห็นมีใครว่าอะไร? ส่วนรถไฟไม่ต้องสร้าง ปล่อยให้ประชาชนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ซื้อรถถังทำไม" พิภพ โพสต์ทิ้งท้าย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มวลชนนับร้อยแห่เยี่ยมจตุพร อาการดีขึ้นเตรียมย้ายกลับคุก ‘ธิดา’ อยากรู้ผลนิ่ว-ชื่อเชื้อโรค

$
0
0

จตุพรอาการดีขึ้น ตรวจนิ่วแล้วยังไม่ทราบผล ราชทัณฑ์เตรียมย้ายกลับเรือนจำ เหตุมวลชนแห่เยี่ยมแน่น รพ. ธิดาเรียกร้องอยากทราบผลนิ่วและชื่อเชื้อโรค เตรียมเยี่ยมพรุ่งนี้ 10.00 น.อีก


ภาพจาก Banrasdr Photo

4 ม.ค.2560 ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงสายวันนี้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลายคนพร้อมประชาชนราว 200 คน เดินทางเข้าเยี่ยมนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่ถูกถอนประกันและถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2559 และล้มป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2559 โดยกรมราชทัณฑ์แถลงว่า เขามีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

อ่านเหตุที่จตุพรถูกถอนประกัน

ธิดา ถาวรเศรษฐ์ แกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเยี่ยมจตุพรว่า จตุพรมีอาการดีขึ้นมาก อาการหนาวสั่นและไข้สูงหายแล้ว แต่ยังมีการต่อท่อสายน้ำเกลือที่มือ และเมื่อเช้าได้รับการตรวจหานิ่วแล้วแต่ขณะนี้ยังไม่ทราบผล อย่างไรก็ตาม คาดว่าทาง รพ.จะส่งตัวจตุพรกลับเรือนจำ อาจเพราะทางโรงพยาบาลเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว และอีกประการน่าจะเพราะมีมวลชนไปเยี่ยมเป็นจำนวนเยอะมากทำให้โรงพยาบาลไม่สบายใจ เมื่อจตุพรทราบเรื่องนี้ก็ยินดีที่จะย้ายกลับไปเรือนจำ แต่โดยส่วนตัวอยากให้ได้รักษาในโรงพยาบาลอย่างเต็มที่ แต่ก็คงต้องเคารพการตัดสินใจของทาง รพ.

“เราก็เข้าใจทางโรงพยาบาล เขาก็พยายามบอกให้อาจารย์สั่งมวลชนอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะไปสั่งได้อย่างไร มวลชนเขาอยากมาเขาก็มา เขาไม่อยากมาเขาก็ไม่มา อาจารย์ก็ได้แต่พยายามต่อรองให้เป็นที่พอรับกันได้ ตัวอาจารย์เองตั้งแต่จตุพรอยู่ในเรือนจำก็มาเยี่ยมทุกวันไม่ได้ขาด ขาดเฉพาะวันที่จะต้องไปขึ้นศาล ที่มาเพราะอยากให้มวลชนได้เจอได้คุยกับคนอื่นๆ ด้วย กับจตุพรนั้นไม่เท่าไร เราไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้ว” ธิดากล่าวและว่า ในวันพรุ่งนี้ (5 ม.ค.) จะเข้าเยี่ยมจตุพรที่เรือนจำเวลา 10.00 น.

ธิดากล่าวด้วยว่า เบื้องต้นขอเรียกร้องให้หาสมุฐานโรคให้ได้ว่าเป็นนิ่วหรือไม่ และอยากทราบชื่อเชื้อโรค เพราะตนเองเป็นนักชีววิทยาจะรู้ว่าเชื้อประเภทไหนเป็นอย่างไร จะดื้อยารึเปล่า ส่วนสาเหตุของความเจ็บป่วยนั้นไม่แน่ใจ ยังไม่มีโอกาสคุยแพทย์ผู้รักษา หรือคุยกับจตุพรโดยละเอียด เพียงทราบคร่าวๆ ว่า จตุพรอั้นปัสสาวะ ตรงนี้ก็อาจมีส่วนให้เกิดโรคแต่ไม่น่าจะเป็นหนักขนาดนี้ นอกจากนี้จตุพรแจ้งว่าเมื่อแรกเข้าโรงพยาบาลนั้นค่าเม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 40,000 ซึ่งแปลว่าป่วยหนักมาก คนปกติจะอยู่ที่ใกล้ๆ 10,000 เมื่อป่วยเยอะร่างกายก็ต้องผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาจำนวนมากเหมือนยกทัพหลวงมาสู้ แต่ตอนนี้เขาบอกว่าเม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 4,900 ซึ่งก็น่าแปลกใจ ส่วนค่าโพแทสเซียมยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งมีผลต่อการเต้นของหัวใจ คาดว่าการควบคุมเกลือแร่ในร่างกายยังไม่ปกตินัก

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานธันวาคม 2016

$
0
0

ญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงานในหลายภาคอุตสาหกรรม

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากการเป็นประเทศสังคมสูงวัย จำนวนคนวัยทำงานลดต่ำ โดยธุรกิจโรงแรม ภาคบริการขนส่งโดยสาร งานดูแลคนชรา ธุรกิจร้านอาหาร และอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้รับผลกระทบมากที่สุด ที่มาภาพประกอบ tpsdave (CC0 Public Domain)

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากการเป็นประเทศสังคมสูงวัย จำนวนคนวัยทำงานลดต่ำ โดยธุรกิจโรงแรม ภาคบริการขนส่งโดยสาร งานดูแลคนชรา ธุรกิจร้านอาหาร และอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้รับผลกระทบมากที่สุดนอกจากการเป็นประเทศสังคมสูงวัยแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งของปัญหา เกิดจากคนวัยหนุ่มสาวเลือกอาชีพ โดยส่วนใหญ่จะเลือกงานออฟฟิศ และงานที่เหนื่อยน้อยแต่ค่าตอบแทนดี ด้วยปัญหานี้ ผู้ประกอบการธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารขนาดใหญ่ มีสาขาหลายแห่งทั่วประเทศต่างปรับกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้

หลายบริษัทที่ขาดแคลนบุคลากร ใช้วิธีปรับขึ้นค่าจ้าง เพื่อจูงใจผู้หางาน และมัดใจลูกจ้างที่อยู่ปัจจุบันไม่ให้ลาออก ขณะบางบริษัทใช้วิธีลดเวลาทำงานลง เช่น กลุ่มภัตตาคาร Royal Host ลดเวลาทำงานจาก 24 ชั่วโมงลง 2 สาขา ที่โตเกียวและโอซาก้า มาตรการอีกส่วนหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหา คือทำสัญญาระยะยาวกับลูกจ้าง และจ้างนักศึกษาต่างชาติมาทำงานพาร์ตไทม์ แต่การจ้างนักศึกษาต่างชาติมีข้อจำกัดเนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้ทำงานได้เพียงสัปดาห์ละไม่เกิน 28 ชั่วโมง

ส่วนภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง อัตราการเปิดรับคนงานในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 6 ต่อ 1 หมายถึงผู้หางาน 1 คน มี 6 บริษัทเสนอรับเข้าทำงาน ขณะงานดูแลคนชรา และธุรกิจร้านอาหาร อัตราการเปิดรับบุคลากร 3 ต่อ 1 ตรงกันข้ามกับงานออฟฟิศที่ผู้หางานต้องแย่งตำแหน่งงานกัน จากอัตราการเปิดรับบุคลากรเพียง 0.3 ต่อ 1 ภาคการเกษตรในชนบท ก็ประสบปัญหาเช่นกัน แต่รัฐบาลแก้ด้วยการอนุมัติให้จ้างบุคลากรต่างชาติที่จบปริญญาสาขาเกษตรศาสตร์ได้ โดยให้เข้าไปทำงานในเขตที่กำหนดไว้เป็นพิเศษเท่านั้น

ที่มา: the-japan-news.com, 13/12/2016

ทรัมป์ขู่บริษัทที่จะย้ายโรงงานไปต่างประเทศ อาจเจอกำแพงภาษี 35%

ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เตือนบรรดาบริษัทอเมริกันอีกครั้งว่า หากพวกเขาย้ายโรงงานไปต่างประเทศอาจต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า 35% เมื่อส่งสินค้าหลับมาขายในสหรัฐฯ ทรัมป์ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่าเขามีนโยบายลดภาษีและยกเลิกกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับบริษัทในอเมริกา แต่บริษัทใดที่มีแผนจะปลดพนักงานแล้วย้ายโรงงานไปต่างประเทศ เพื่อผลิตสินค้าในต้นทุนต่ำกว่าแล้วส่งสินค้ากลับมาขายในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงกว่าเดิมมาก ตั้งแต่ปี 2000 สหรัฐฯ สูญเสียตำแหน่งงานไปแล้ว 5 ล้านตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะการย้ายโรงงานไปประเทศอื่นที่ค่าแรงถูกกว่า

ที่มา: voathai.com, 5/12/2016

หมอ-พยาบาลเคนยาหยุดงานประท้วง

แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์และพยาบาลเคนยา ราว 5,000 คน ผละงานประท้วงในวันที่ 5 ธ.ค.หลังการเจรจาระหว่างสหภาพและรัฐบาลเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างล้มเหลวทางสหภาพเรียกร้องขึ้นค่าจ้างสำหรับแพทย์ 300% และ 25 ถึง 40% สำหรับพยาบาล ตามข้อตกลงในการเจรจาระหว่างฝ่ายลูกจ้างกับฝ่ายนายจ้างเมื่อปี 2013 แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการบังคับใช้ เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลที่ผละงานประท้วงหลายร้อยคนเดินขบวนไปยังกระทรวงการคลัง สวมชุดห้องปฏิบัติการสีขาว หน้ากากและหมวกอนามัย ก่อนถูกตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม

ที่มา: voanews.com, 5/12/2016    

พม่าระงับส่งแรงงานไปมาเลเซีย หลังมีชุมนุมประท้วง

ทางการพม่าระงับส่งแรงงานไปมาเลเซียอย่างไม่มีกำหนด ตามคำแถลงของกรมแรงงาน หลังเกิดการชุมนุมประท้วงต่อต้านพม่าในมาเลเซีย โดยพรรคการเมืองและกลุ่มองค์กรทางศาสนาของมาเลเซีย ที่ด้านหน้าสถานทูตพม่า ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกดดันกิจการภายในของพม่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ซึ่งการระงับส่งแรงงานนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของแรงงานชาวพม่า

ที่มา: elevenmyanmar.com, 7/12/2016

โซเชียลมีเดีย Yik Yak เลิกจ้างพนักงาน 60%

Yik Yak เป็นชื่อของโซเชียลมีเดียที่โด่งดังในหมู่วัยรุ่นวันเรียนของสหรัฐอเมริกาประกาศเลิกจ้างพนักงานแล้วทั้งสิ้น 30 คน จากทั้งหมด 50 คน ซึ่งคิดเป็น 60% ทั้งนี้ในปี 2014 มีนักลงทุนตีมูลค่าของบริษัทเอาไว้ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว

ที่มา: fortune.com, 10/12/2016

กาตาร์เลิกใช้กฎหมายระบบอุปถัมป์แรงงาน

รัฐบาลกาตาร์ยกเลิกระบบอุปถัมภ์ ‘คาฟาลา’ (kafala) ที่ให้สิทธิ์นายจ้างขัดขวางไม่ให้แรงงานลาออกอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปกฎหมายแรงงานครั้งใหญ่ที่สุด เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2022 ทั้งนี้ภายใต้ระบบคาฟาลานี้แรงงานต่างชาติทุกคนจะต้องมีผู้อุปถัมภ์ท้องถิ่น โดยอาจเป็นบุคคลหรือบริษัทก็ได้ และต้องได้รับอนุญาตจากนายจ้างก่อนจะเปลี่ยนงาน หรือเดินทางออกจากกาตาร์ระบบนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่ต่างจากทาสสมัยใหม่ และทำให้แรงงานเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

ที่มา: BBC, 12/12/2016

IBM ประกาศจ้างพนักงาน 25,000 คนในสหรัฐฯ

ผู้บริหาร IBM ประกาศว่าทางบริษัทฯ จะทำการว่าจ้างพนักงาน 25,000 คนในสหรัฐฯ โดยจะมีการจ้างงาน 6,000 ตำแหน่งในปี 2017 นอกจากนี้บริษัทจะลงทุนเป็นจำนวนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับการฝึกอบรมในช่วง 4 ปีข้างหน้า

ที่มา: cnbc.com, 13/12/2016

เผยนโยบายลูก 2 คนของจีนเริ่มมีผล

 

สมาคมโครงการวางแผนครอบครัวจีนระบุว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา นโยบายลูก 2 คนเริ่มมีผลตามที่คาดไว้ ทั้งนี้ระหว่างปี 2016-2020 จีนมีแรงงานจำนวนเพียงพอ สังคมมีภาระค่อนข้างเบา จำนวนสตรีที่อยู่ในวัยตั้งครรภ์ลดลง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเหมาะสมที่จะดำเนินนโยบายให้มีลูก 2 คน โดยการดำเนินนโยบายลูก 2 คนต้องควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพ การให้คำแนะนำการเลี้ยงลูกที่ดี การช่วยเหลือครอบครัวยากจน การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน และให้ความสนใจกับประชาชนที่ใช้ชีวิตในต่างถิ่นด้วย

ที่มา: cri.cn, 15/12/2017

พนักงานหอไอเฟลของฝรั่งเศสประท้วง

พนักงานหอไอเฟลในกรุงปารีสประท้วงของคนงานเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยสหภาพแรงงานนำการประท้วงของคนงาน 300 คนครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการให้เพิ่มค่าจ้าง แต่ต้องการประท้วงสิ่งที่พวกเขาบอกว่าเป็นข้อตกลงกับฝ่ายบริหารที่ไม่เกิดประโยชน์และไม่โปร่งใส

ที่มา: cbsnews.com, 18/12/2016

เผยมีผู้อพยพ 350,000 คนเข้า EU ในปีนี้

สำนักงานควบคุมชายแดนสหภาพยุโรป (Frontex) ระบุว่าจนถึงขณะนี้มีผู้อพยพจำนวน 350,000 คนเดินทางเข้ากลุ่มประเทศ EU ในปีนี้ โดยประชาชนราว 180,000 คนเดินทางผ่านตุรกีเข้ามาทางตะวันออกของเมดิเตอร์เรเนียน ขณะที่อีก 170,000 คนเดินทางจากลิเบียและอียิปต์มายังภูมิภาคทางตอนกลางของเมดิเตอร์เรเนียน

ที่มา: dw.com, 17/12/2016

บ.ญี่ปุ่นให้ลูกจ้างทำ OT เยอะแต่เบิกค่าล่วงเวลาน้อย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ

ภายใต้แรงกดดันจากบริษัทที่มุ่งประหยัดต้นทุน บรรดาลูกจ้างพนักงานในญี่ปุ่นต่างต้องยอมทนทำงานมากกว่าชั่วโมงทำการตามปกติแต่ไม่ได้รับเงินค่าทำงานล่วงเวลา (OT) ถึงแม้รัฐบาลบอกว่าต้องการแก้ไขสภาพเช่นนี้ เพื่อให้ภาคแรงงานมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตขยายตัวได้อีก

 แม้รัฐบาลพยายามที่จะออกระเบียบกฎหมายต่างๆ เพื่อดำเนินการปฏิรูปด้านแรงงาน โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาที่จะยุติภาวะอัตราเติบโตชะงักงันและเกิดภาวะเงินฝืดอย่างที่แดนอาทิตย์อุทัยประสบเรื่อยมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้ของเขามีดังเช่น มาตรการในการลดชั่วโมงทำงานลงและจำกัดการทำงานล่วงเวลา, การปรับขึ้นค่าจ้างให้แก่พวกแรงงานชั่วคราว, และการอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้นให้แก่การใช้ชีวิตของลูกจ้างพนักงานที่มีบุตร

ข้อมูลตัวเลขของรัฐบาลระบุว่าในรอบระยะเวลา 1 เดือนชาวญี่ปุ่นทำงานล่วงเวลาโดยเฉลี่ยคนละ 14.2 ชั่วโมง ทว่าผู้ตอบคำถามจำนวน 2,000 คนในการสำรวจของสมาพันธ์แรงงานญี่ปุ่น (Japanese Trade Union Confederation) เมื่อเร็วๆ นี้กลับบอกว่า พวกเขาต้องทำ OT โดยเฉลี่ยคนละ 40.3 ชั่วโมงต่อเดือนต่างหาก และได้รับเงินค่าล่วงเวลาเพียง 22.7 ชั่วโมง

ที่มา: japantimes.co.jp, 18/12/2016

แม่บ้านโรงแรมสเปนประท้วงค่าแรงต่ำ

กลุ่มแม่บ้านโรงแรมรวมตัวกันประท้วงการปฏิรูปกฎหมายแรงงานสเปนเมื่อปี 2012 เนื่องจากความพยายามดังกล่าวทำให้ได้รับเงินเดือนต่ำ ถูกไล่ออกจากงานได้ง่าย ทั้งยังเอื้อให้การว่าจ้างแม่บ้านจากบริษัทภายนอกแบบจ้างเหมาช่วงง่ายขึ้นด้วย ทั้งนี้แม่บ้านได้เงินค่าจ้างสำหรับการทำงาน ราว 4-6 ชั่วโมง แต่ต้องทำงานจริงๆ ราว 8-10 ชั่วโมง เพราะนายจ้างบอกว่า ถ้าทำไม่เสร็จก็กลับไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบแม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องพัก 400 ห้อง เท่ากับว่าได้เงินไม่ถึง 2 ยูโรต่อการทำความสะอาด 1 ห้อง โดยข้อมูลจากสหภาพแรงงานเผยว่าสเปนมีชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 68 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทุบสถิติเดิมติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แต่ค่าแรงกลับไม่สะท้อนงานที่เพิ่มขึ้น

ที่มา: thelocal.es, 18/12/2016

คนงานเกาหลีเหนือกว่า 400 คนในโปแลนด์ อยู่ในสภาพเสี่ยงต่ออันตรายจากการทำงาน

หน่วยงานสอดส่องการเอาเปรียบแรงงานของโปแลนด์ รายงานว่าคนงานเกาหลีเหนือกว่า 400 คนในโปแลนด์อยู่ในสภาพเสี่ยงต่ออันตรายจากการทำงาน เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Legality of Employment Department ของโปแลนด์ กล่าวว่า จากการเข้าสำรวจ 15 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่โรงงานที่จ้างแรงงานเกาหลีเหนือพบว่ามีการละเมิดกฎหมายแรงงานบ่อยครั้ง

การกระทำผิดรวมถึงสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย เช่นการขาดเครื่องมือป้องกันอันตรายจากการทำงานและขาดป้ายเตือนภัยในเขตก่อสร้าง นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังพบว่า แรงงานจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับค่าจ้างพิเศษนอกเวลางานปกติ และนายจ้างไม่จดทะเบียนประกันสังคมสำหรับแรงงานตรงตามเวลาที่ควรจะเป็น

ที่มา: voathai.com, 26/12/2016

ประธาน Dentsu บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ลาออกรับผิดชอบต่อกรณีพนักงานฆ่าตัวตายเนื่องมาจากการทำงานหนักจนเกินไป

นายทาดาชิ อิชิอิ (Tadashi Ishii) ประธานบริษัทโฆษณาขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น 'Dentsu' ประกาศลาออก หลังจากมัตสุริ ทาคาฮาชิ (Matsuri Takahashi) พนักงานหญิงวัย 24 ปีของบริษัทฯ ได้ฆ่าตัวตายเพราะทำงานหนักเกินไปในเดือน ธ.ค. 2015 โดยเธอต้องทำงานล่วงเวลามากถึง 105 ชั่วโมงในเดือน ต.ค. 2015 จนทำให้เธอตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ขณะที่ทางการเตรียมไต่สวนและควบคุมวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาของญี่ปุ่น รวมถึงเตรียมตรวจค้นสำนักงานต่าง ๆ ของบริษัท Dentsu

ที่มา: BBC, 28/12/2016

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ย้อนถามพวกจะเลือกตั้งอย่างเดียว เคยพูดไหม "จะปฏิรูปประเทศอย่างไร"

$
0
0

ประยุทธ์ ระบุรัฐบาลทำตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายลูกก่อน ถึงจะนำไปสู่ขั้นตอนการเลือกตั้งตามกรอบระยะเวลา ขอโทษยิ่งลักษณ์ที่ จนท.ตามถ่าย ระบุดูแลความปลดภัย ย้ำต้องดูเพราะ "เกิดอะไรขึ้นมาก็โทษรัฐบาลว่าไม่ดูแลอีก" มอบเพลงสะพาน ให้ทุกคนเป็นเพื่อมีทางเลือกในการเดิน

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

4 ม.ค. 2560 เมื่อเวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการดำเนินการตามโรดแมปของรัฐบาลที่วางไว้โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง ระบุรัฐบาลทำตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายลูกก่อน ถึงจะนำไปสู่ขั้นตอนการเลือกตั้งตามกรอบระยะเวลา ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ดำเนินการ พร้อมกับขอให้ทุกคนทำความเข้าใจยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดแผนเดินหน้าประเทศ 20 ปีด้วย

"จริงๆ แล้วการปฏิรูปนี่มันต้องเริ่มมาจาก กระบวนการในเรื่องการเตรียมการปฏิรูปมาก่อน ซึ่งก็ต้องเอาประเด็นแห่งปัญหาทั้งหมดมาจับ ปัญหาที่เป็นปัญหาฟังก์ชั่นปัญหาซ้ำซาก ที่มีการซับซ้อนกันและก็ต้องแก้ปัญหาเชิงบูรณาการทั้งหมดทำมาหมดแล้วล่ะ เพียงแต่ว่ายังมันไปไม่สู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการ สุดท้ายก็ต้องมีระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน อยากให้ทุกคนเข้าใจ ประชาชนเข้าใจ สังคมเข้าใจว่าการปฏิรูปคือการทำใหม่ ในสิ่งที่ผมกล่าวมาแล้ววาเป็นปัญหาทั้งหมดนั่นล่ะ ถ้าพูดภาษาทางพระก็อริยสัจ 4 ไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไง  ขั้นตอน 2 ปีแรกก็หาปัญหามาคือทุกข์ สมุทัย สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์กับประชาชน กับธุรกิจ กับเศรษฐกิจอะไรต่างๆ กับเกษตรกร ปัญหาของคนเหล่านี้มาจับต้อง ปัญหาประเทศภาษีรายได้มาจากที่ไหน จากนั้นก็นำมาสู่ นิโรธ คือหนทางแห่งการดับทุกข์ก็คือสร้างกลไกต่างๆ ขึ้นมา เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันเดินตามขั้นตอนของมันทั้งหมดนั่นล่ะ ไปสู่การแก้ปัญหา มรรค ก็คือหนทางไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

"ในช่วงเวลาปี 60 ผมบอกว่าเป็นปีแห่งการเตรียมการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทีนี้ถ้ามาแล้วมันไม่ร่วมเลย มาแล้วตีรันฟันแทงทะเราะเบาะแว้ง ขัดแย้งกันทุกเรื่อง มันก็ปฏิรูปไม่ได้ ใช่ไหม การปรองดองมันก็ปรองดองไม่ได้อีก ในเมื่อทุกไม่พยายามในการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปรองดอง ทุกคนก็ยื่นนำหน้ามาเลยนิรโทษ ยกโทษ อะไรก็แล้วแต่ ใช้มาตรา 44 บ้าง ผมถามว่าสังคมเขาว่าอย่างไร ถ้าสังคมทั้งประเทศเขารับได้ ก็มาว่ากัน มาคุยกัน ถ้าเขายังรับไม่ได้หรอมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วมันจะไปสู่จุดมุ่งหมายที่คุณต้องการได้อย่างไร ในเรื่องการเดินหน้าประเทศไปสู่ช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มันจะไปได้อย่างไงถ้าทุกคนยังไม่ร่วมมือ วันนี้ก็จะเห็นได้ว่าหลายคนหลายฝ่ายก็ออกมาพูดว่าจะไปสู่การเลือกตั้ง โดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนใจ จะเลือกตั้งอย่างเดียว ผมถามว่าท่านเคยพูดไหมว่าท่านจะปฏิรูปประเทศอย่างไร คุณลองถามเขาดูบ้างสิ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 

ขอโทษยิ่งลักษณ์ที่ จนท.ตามถ่าย ระบุดูแลความปลดภัย

สำหรับกรณีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊กวานนี้ (3 ม.ค.60) ไม่พอใจเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามขณะที่ท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงปีใหม่กับครอบครัวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "เขาไปดูแลความปลดภัยไม่ต้องไปถ่ายรูปอะไรเขามากนะ เดี๋ยวก็หาว่าไม่เป็นส่วนตัวอีก แต่ต้องไป ต้องไปดูเขา ไม่งั้น มันเกิดอะไรขึ้นมาก็โทษรัฐบาลว่าไม่ดูแลอีก พร้อมกันคืออย่าไปถ่ายรูปเขามากนักนะ เพราะฉะนั้นก็ขออภัยไว้ด้วยแล้วกัน อะไรที่ผมรับได้ผมก็รับได้"
 

มอบเพลงสะพาน ให้ทุกคนเป็นเพื่อมีทางเลือกในการเดิน

พล.อ.ประยุทธ์  ได้มอบคำขวัญวันเด็กประจำปี 2560 ว่า “เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง” พร้อมกันนี้ยังได้แต่งเพลงชื่อว่า “สะพาน” ซึ่งเป็นเพลงประจำคณะรัฐมนตรี เปรียบเสมือนคณะรัฐมนตรีทุกคนจะต้องทำหน้าที่เป็นสะพานพาพี่น้องประชาชนผ่านภาวะที่ลำบากไปสู่ทางที่ดีกว่า และพบเจอสิ่งใหม่ที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป รวมถึงเพื่อสร้างความเข้าใจต่อประชาชน และข้าราชการ
 
"ทุกคนเป็นสะพานให้ผมด้วย คุณสะพานเชื่อมผม ผมสะพานใหญ่ คุณมีสะพานน้อยสะพานเล็กเข้าไป ให้คนเขามีทางเลือกในการเดิน ไม่ใช่ทุกคนมาแออัดอยู่บนสะพานผมสะพานเดียว และสะพานก็ตกน้ำตายอีก เพราะสะพานมันรับไม่ไหว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว กรณีแต่งเพลงใหม่ชื่อ 'สะพาน' 
 
ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และถอดความจากยูทูบบัญชี 'ทำเนียบ รัฐบาล'
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ลั่นเข้มงวด 3 เดือน รถตู้ใครวิ่งไม่ได้ไม่ต้องวิ่ง เดี๋ยวหารถมาวิ่งเอง

$
0
0

ประยุทธ์โวยที่ผ่านมาทุกรัฐบาลทำไมให้มีรถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่  ลั่นจากนี้ภายใน 3 เดือน จะดำเนินคดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับรถ พลขับ นั่งเกิน ต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อการขับทุกเส้นทาง ขับเวลาเท่าไหร่  ตรวจทุกด่านตรวจ ถ้าขับเกินเวลาก็ยึดรถ

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

4 ม.ค. 2560 เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ได้เน้นย้ำกับเจ้าหน้า จากนี้ไปภายในระยะเวลา 3 เดือนจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะต้องแก้ไขปัญหา และดำเนินคดีอย่างเข้มงวดกับรถโดยสารประจำทาง รถตู้โดยสาร โดยจะต้องมีสมุดประจำรถ ระบุชื่อ นามสกุล บอกรายละเอียดตารางการขับรถ และเส้นทางอย่างชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่แต่ละด่านตรวจเช็คอย่างละเอียด ถ้าพบพลขับคนไหนขับรถเกินจำนวนชั่วโมงที่ระบุไว้ หรือพบความผิดปกติ เช่น การดัดแปลงสภาพรถ การติดตั้งแก๊สที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้รถผิดประเภท จำนวนที่นั่งเกิน เป็นต้น เจ้าหน้าที่จะต้องยึดรถ และดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

"วันนี้ก็พูดคุยยาวพอสมควรใน ครม. ผมมีวิธีทางเดียว จากนี้เป็นต้นไปภายใน 3 เดือน จะดำเนินคดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับรถ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพลขับ เรื่องรถที่ไม่ได้มาตรฐาน รถตู้ที่นั่งเกินการบรรทุกเบียดเสียดยัดเยียด สอง ก็คือรถโดยสารประจำทางทั้งหมด รถที่บริการทั้งหมดจะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อการขับทุกเส้นทาง พลขับชื่ออะไร ขับเวลาเท่าไหร่ แล้วด่านตรวจทุกด่านตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาก็ยึดรถ เอาคนลงหารถใหม่ หาคนขับใหม่ ผมจะใช้มาตรการนี้เข้มงวดในช่วง 3 เดือนนี้ก่อนที่จะถึงวันหยุดสงกรานต์ครั้งต่อไป อย่าโวยวายนะ ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัยก็ต้องร่วมมือกับผม"  พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
"วันนี้ไปดูสิรถตู้บรรทุกเท่าไหร่ เขาให้ 7 คน ไม่เกิน 10 คน บรรทุกไป 13 14 เขาเขียนไว้แล้วต้องมีอะไร สายรัดนิรภัย ไม่ไหม มีครบไหม คาดกันไหม ก็ไม่คาดอีก เพราะมันนั่งเกินจะคาดยังไง อันที่ 2 รถปิ๊กอัพเขาใช้ทำอะไร บรรทุกคนหรือบรรทุกของ ก็ไปนั่งท้ายปิ๊กอัพ 10 กว่าคน แล้วผมจะแก้ได้อย่างไร มันก็แก้ได้อย่างเดียวก็คือต้องมีมาตรการในเชิงป้องกัน เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องทนนะ ถ้าทุกคนไม่อยากตายมาก ไม่อยากอะไรมาก เพราะวันนี้ทำเต็มที่แล้ว ด่านมากกว่าปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่มากกว่าปีที่แล้ว แล้วเขาเหนื่อยไม่เล่า เหนื่อย ยึดรถเท่าไหร่ เป็นหมื่นคัน ต้องมาดูแลรักษารถอีกแล้วก็ยังบาดเจ็บสูญเสียด้วยอะไร ดื่มสุราขับรถ สอง ก็คือ พลขับขับรถที่ไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะต้องการอยากได้สตางค์ไง นี่ล่ะคือสิ่งที่มันต้องแก้ปัญหาระยะยาว แต่วันนี้ผมจะเอามาแก้ระยะสั้นบอกไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แก้ปัญหามาตรา 44 ก็ไม่ได้ มันมีอะไรอีกล่ะ นอกจากบังคับใช้กฎหมายก่อนที่มันจะมากไปกว่านี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมกล่าวด้วยว่า ตนก็รับไม่ได้ เสียชีวิตเพียงคนเดียวก็รับไม่ได้ คนบาดเจ็บสูญเสียมันคือพ่อแม่ครอบครัว ลูกเมีย อนาคตหายไปทั้งหมด ความหวังของครอบครัวหมดไปทั้งสิ้น"
 
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า บริษัทผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถโดยสาร รวมถึงสภาพร่างกายของพลขับอย่างสม่ำเสมอ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นบริษัทผู้ประกอบต้องเป็นผู้รับผิดชอบด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตของประชาชน
 
"รถตู้ต้องอยู่ในกรอบกติกา ไอ้รถตู้ป้ายเหลืองไม่ใช่เขาปล่อยปะละเลย ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลทำไมให้มีรถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่เล่า" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมระบุด้วยว่า ต้องเอามาขึ้นทะเบียนให้เรียกร้อย ซึ่งเรื่องของการขนส่ง ที่ทุกคนไม่อยู่ตามระเบียบมาตั้งแต่แรก รัฐบาลปฏิรูปมาโดยตลอด แต่ทำไม่ได้เนื่องจากขาดการร่วมมือ แม้กฎหมายจะมีทุกตัวก็ตาม
 
"ต่อไปนี้พลขับโดนหมดทุกวัน บริษัทขนส่งผู้ประกอบการก็ต้องไปดูแล เรื่องประกันรถ ต่อไปนี้ถ้ารถไหนไม่พร้อมออก ไม่ให้ออกจากท่า เอาอย่างนี้ จะมีอะไรอีกไหมล่ะ นอกจากนั้นก็ต้องออกกฎหมายห้ามตายมั้ง ห้ามอยู่แล้ว พยายามอยู่แล้ว แต่ทุกคนไม่ช่วยกันมันก็ลำบาก ผมว่ามันก็เป็นอยู่อย่างงี้ แล้วก็อับอายเขาเพราะว่ามันสูญเสียเยอะ ทั้งคนทั้งงบประมาณทั้งอะไรต่างๆ มากมาย แล้วก็เสื่อมเสียชื่อเสียง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
"เดี๋ยวผมจะให้เขาถอดตัวอย่างของกฎหมายต่างประเทศเขามาให้ดูเขาห้ามอะไรบ้าง ใบขับขี่ทำยังไง ไอ้นี่แตะไม่ได้สักอัน ละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วคุณจะเอาอะไรกับผมล่ะ กฎหมายทุกอันบอกละเมิดสิทธิมนุษยชนหมด แล้วไง ปล่อยให้ตายหรอ ไม่ได้แล้ว จากนี้เป็นต้นไปผมจะเข้มงวด 3 เดือน ใครวิ่งไม่ได้ไม่ต้องวิ่ง เดี๋ยวผมหารถมาวิ่ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
 
ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลและถอดความจากยูทูบบัญชี 'ทำเนียบ รัฐบาล'
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ส.ส.รีพับลิกันลงมติแทรกแซงหน่วยงานตรวจสอบของสภาคองเกรส

$
0
0

บ็อบ กูดแลตต์ จากพรรครีพับลิกัน เสนอลงมติเพื่อลดความเป็นอิสระของสำนักงานจริยธรรมสภาคองเกรส ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบการทำงานของสมาชิกรัฐสภา โดยผลลงมติได้รับเสียงสนับสนุน 119 ต่อ 74 เสียง สวนทางกับเมื่อคราวที่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' เคยเสนอตอนหาเสียงว่าจะล้างทุจริตคอร์รัปชั่น

4 ม.ค. 2560 ยังไม่ทันที่สภาคองเกรสชุดใหม่จะให้สัตย์ปฏิญาณตนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (3 ม.ค.) ก็มีรายงานเปิดเผยว่า ส.ส.พรรครีพับลิกันไม่ได้ต้องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแท้จริง จากการที่พวกเขาแอบลงมติกันอย่างลับๆ เมื่อวันจันทร์ (2 ม.ค.) ให้มีการทำลายความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบสภาคองเกรส

คอมมอนดรีมส์นำเสนอว่าเรื่องนี้ขัดกับสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ เคยพูดไว้ว่าจะมีการ "ระบายสิ่งเน่าเสีย" ซึ่งหมายถึงการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง จากการที่ ส.ส. พรรครีพับลิกันจัดประชุมลงมติด้วยเสียง 119 ต่อ 74 ให้มีการแก้ไขภายในสำนักงานจริยธรรมสภาคองเกรส (Office of Congressional Ethics หรือ OCE) ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของสภา โดยผลของการลงมติ มีการขับเจ้าหน้าที่อิสระออก เปลี่ยนชื่อสำนักงานเป็นสำนักงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียนสภาคองเกรส (Office of Congressional Complaint Review) และทำให้สำนักงานใหม่ดังกล่าวมีฐานะเป็นคณะกรรมการประจำ และต้องรับใช้สมาชิกสภาคองเกรส (อ่านญัตติที่เสนอให้แก้ไข)

คอมมอนดรีมส์ระบุว่าก่อนหน้านี้ทรัมป์เองเคยประกาศว่าจะชำระล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น แต่ก็กลายเป็นแค่โวหารที่ใช้ในการหาเสียง การที่รีพับลิกันกำจัดระบบตรวจสอบที่เป็นอิสระ ก็ดูจะเป็นลางร้ายในการเริ่มต้นสภาคองเกรสชุดใหม่ที่ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่าเป็น "ยุคสมัยของการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร"

บ็อบ กูดแลตต์ (Bob Goodlatte) ในที่ประชุม Conservative Political Action Conference 2015 (ที่มาของภาพ: Gage Skidmore/Wikipedia)

ผู้ที่เป็นคนนำการลงมติรื้อฝ่ายตรวจสอบสภาคองเกรสในครั้งนี้คือ บ็อบ กูดแลตต์ ผู้แทนพรรครีพับลิกันจากรัฐเวอร์จิเนีย โดยบทบรรณาธิการของนิวยอร์กไทม์ระบุว่ามติการแทรกแซงสำนักงาน OCE ในครั้งนี้จะทำให้ ส.ส. สหรัฐอเมริกา สามารถปิดกั้นการสืบสวนสอบสวนหรือใช้มาตรการควบคุมการพูดออกสื่อของเจ้าหน้าที่ OCE

นิวยอร์กไทม์ระบุอีกว่าทรัมป์เองก็ไม่ได้ออกมาประณามการที่เหล่า ส.ส.รีพับลิกันขัดขวางการ "ระบายสิ่งเน่าเสีย" แต่อย่างใด โดยบอกแค่ให้เหล่า ส.ส. หันไปจัดการประเด็นที่เร่งด่วนกว่าอย่างการปฏิรูปเรื่องภาษี และนโยบายด้านสวัสดิการสุขภาพ

 

 

 

 

เรื่องนี้ทำให้ทั้งพรรคเดโมแครตและกลุ่มสนับสนุนฝ่ายตรวจสอบสภาคองเกรสแสดงความไม่พอใจทันที แนนซี เปโลซี จากพรรคเดโมแครตวิจารณ์ว่ารีพับลิกันเคยอ้างว่าจะปราบคอร์รัปชั่นแต่ก็กำลังจัดการตรวจสอบอย่างอิสระเสียเอง

นอร์แมน ไอเซน และ ริชาร์ด เพนต์เตอร์ ประธานและรองประธานของกลุ่มพลเมืองเพื่อความรับผิดชอบและจริยธรรมในวอชิงตัน (Citizens for Responsibility and Ethics in Washington หรือ CREW) ซึ่งเป็นกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดบอกว่าการทำลายความอิสระของหน่วยงานตรวจสอบสภาคองเกรสจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อ ส.ส. ที่ต้องพึ่งพา OCE ในการสืบสวนสอบสวนอย่างไม่ลำเอียง รวมถึงส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ต้องการให้ ส.ส. มีคุณสมบัติตากหลักกฎหมายและหลักจรรยาบรรณ

บทบรรณาธิการของนิวยอร์กไทม์ระบุว่าการที่ผู้คนประท้วงต่อต้านการกระทำของ ส.ส. รีพับลิกันในครั้งนี้เป็นเรื่องชวนให้มีกำลังใจ แม้กระทั่งกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างกลุ่มจูดิเชียลวอทช์ (Judcial Watch) ยังเลิกไล่ล่าฮิลลารี คลินตัน ชั่วคราวเพื่อหันมาประณามกูดแลตต์

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ข้อเสนอเรื่องการปรับ OCE จะย้อนกลับไปสู่สภาผู้แทนให้มีการประชุม "ศึกษาทำความเข้าใจ" ท่ามกลางการจับตามองชาวอเมริกันว่าทรัมป และเหล่า ส.ส.รีพับลิกัน จะดำเนินแนวคิดที่บทบรรณาธิการนิวยอร์กไทม์ระบุว่าเป็น "แนวคิดเน่าๆ" นี้ต่อหรือไม่

OCE เป็นสำนักงานที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 หลังเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องการทุจริตจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยถือเป็นองค์กรของสภาคองเกรสองค์กรเดียวที่ทำหน้าที่สืบสวนจากเรื่องร้องเรียนของประชาชนอเมริกัน

 

เรียบเรียงจาก

House Fires at Ethics and Shoots Self, New York Times, 03-01-2017

Behind Closed Doors, House GOP Vote Overwhelmingly to Eviscerate Ethics Watchdog, Common Dreams, 03-01-2017

House Republicans, Under Fire, Back Down on Gutting Ethics Office By ERIC LIPTON and MATT FLEGENHEIMER, New York Times, 03-01-2016

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทิศทางการรุกคืบครอบงำของวัฒนธรรมข้ามชาติในยุคโลกาภิวัตน์

$
0
0




ถึงทุกวันนี้ เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากมองเห็นจนเกิดความเข้าใจแล้วว่าวัฒนธรรมชาติมีความสำคัญอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมด้านใดก็ตาม  จนถึงยุคนี้ซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ที่วัฒนธรรมข้ามชาติกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เห็นในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ วัน

ในเมืองไทยนั้น ผมเชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้ามชาติอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอเมริกัน ญี่ปุ่น และยิ่งในตอนหลังสุด คือ วัฒนธรรมเกาหลี ผ่านซีรีส์ หรือผ่านอุปกรณ์โสตทัศน์ต่างๆ  เช่น หนัง(ภาพยนตร์)  ทีวี เป็นต้น รวมถึงระบบอินเตอร์เน็ตที่กลายเป็นเครื่องมือประจำวันไปแล้ว

จากยุคก่อนหน้านี้ที่คนไทยบางกลุ่มเคยหวาดระแวงภัยจากการครอบงำทางวัฒนธรรม เช่น ในยุค “อเมริกันอันตราย” จนเดี๋ยวนี้ เมื่อการส่งผ่านวัฒนธรรมเป็นไปตามธรรมชาติของการสื่อสารมวลชนที่พัฒนาจนก้าวหน้าไปไกลในยุคโลกาภิวัตน์ การตระหนักถึงภัยจากครอบงำทางด้านวัฒนธรรมข้ามชาติก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย

สังเกตได้จาก หลังจากยุคอเมริกันอันตรายแล้ว แม้มีญี่ปุ่น มีเกาหลีเข้ามาบุกรุกไทยก็ไม่ถือว่าอันตรายแล้ว โลกาภิวัตน์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามชาติกลายเป็นเรื่องธรรมดา

โดยที่ต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกานั้น หน่วยงานของรัฐในประเทศเหล่านี้หรือคือรัฐบาลของพวกเขา ต่างยังมีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมของชาติของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญตลอดมา โดยผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ต รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรรมข้ามชาติ

น่าที่นักประวัติศาสตร์ นักวัฒนธรรมวิทยาหรือนักมานุษยวิทยา ควรค้นหาคำตอบหรือหาเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แม้ในยุคโลกาภิวัตน์ที่อาจกล่าวได้ว่า คนทั่วไปทั้งหลายทั่วโลกกำลังมีทิศทางหรือแนวโน้มค่อนไปทางการสลายความเป็นอัตลักษณ์แห่งตัวในเชิงวัฒนธรรมลง อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดของกระแสโลกาภิวัตน์

พิจารณาได้จากบรรษัทสื่อข้ามชาติ ของหลายชาติที่รัฐชาติของประเทศนั้นๆ ให้การสนับ ทั้งการสนับสนุนที่เห็นได้ชัดอย่างเป็นทางการและการสนับสนุนแบบทางอ้อม เห็นได้ไม่ชัดแบบไม่เป็นทางการ

การสนับสนับสนุนแบบเป็นทางการ หมายถึง การให้การสนับสนุน ผ่านงบประมาณของรัฐ เพราะเหตุที่รัฐเห็นความสำคัญของการเผยแพร่วัฒนธรรมชาติ ให้โลกรู้จัก เช่นที่ โทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซามูไร  BBC ได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ หรือแม้แต่ VOA เสียงอเมริกาหรือโทรทัศน์ PBS ต่างได้รับการสนับจากวอชิงตันดีซี ทั้งในส่วนของรัฐบาลกลางและส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติหรือคองเกรส แม้ผ่านยุคสงครามเย็นมานานหลายปี

ถามว่าทำไมรัฐบาลหรือกลไกทางการเมืองของประเทศเหล่านี้จึงยังให้การสนับสนุนการผลิตสื่อข้ามชาติอยู่ แบบไม่เสื่อมคลายลงไปจากเดิมเลย ทั้งบางรัฐบาลยังกลับให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

คำถามดังกล่าว นำมาซึ่งการชี้ให้เห็นว่า แม้ท่ามกลางโลกาภิวัตน์ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าการรุกล้ำข้ามแดนเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมจะลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด

ผมไม่ทราบว่าการเผยแพร่วัฒนธรรมข้ามชาติด้วยความจงใจจะเรียกว่า เป็น “การพยายามครอบงำทางวัฒนธรรม” ได้หรือไม่? หรือเป็นการพยายามช่วงชิงพื้นที่ทางวัฒนธรรมได้หรือไม่

ไม่รวมถึงการให้การสนับสนุนทางอ้อมโดยรัฐบาล เช่น ผ่านระบบภาษีหรือการให้สิทธิพิเศษกับเอกชนของชาตินั้นๆ ผู้ผลิตงานด้านวัฒนธรรมเพื่อการส่งออก เช่น ภาพยนตร์ สารคดีทางโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งดูเหมือนในอเมริกามีฮอลลีวูดเป็นแบบอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในส่วนของการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยภาครัฐซึ่งกระทำกันมาหลายปีอย่างต่อเนื่อง  ผมไม่ทราบว่าโลกตะวันออกอย่างเกาหลีหรือญี่ปุ่น เป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ ซึ่งหากดูจากพฤติกรรมเลียนแบบก็พออนุมานได้ว่า ไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก

โดยที่ในช่วงที่ผ่านมาหลายปี รัฐบาลซามูไรได้ประกาศความสำเร็จในการเผยแพร่วัฒนธรรมแดนปลาดิบลงบนประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศในโลก ทั้งดูเหมือนในช่วง10 ปีมานี้ แดนกิมจิเองก็มีวัตรปฏิบัติที่ไม่แตกต่างจากแดนปลาดิบมากนัก นั่นเป็นช่วงก่อนที่ซีรีส์ เกาหลีจะบูมในเมืองไทยจนแทบกลายเป็นลมหายใจของคนไทยจำนวนมากในเวลาต่อมา

ไม่รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมทุกช่องทางของโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น เช่น ล่าสุดพวกเขาบุกเมืองโฮจิมินห์ของเวียดนาม ร่วมกิจกรรมที่น่าจะเรียกได้ว่า “งานญี่ปุ่นแฟร์” (Japanese Fair) ที่มีสีสันน่าสนใจ เป็นงานหนึ่งที่คนเวียดนามทุกวัยเข้าร่วมจำนวนมาก แน่นอนว่า NHK ไปถ่ายทำกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างเต็มอิ่ม งานที่มีสีสันความสนใจส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ความเป็นมิตร ความอบอุ่นของคนญี่ปุ่นถูกถ่ายทอดลงไปอย่างถึงแก่นในงานดังกล่าว และผ่านสื่อกลางอย่าง NHK ออกไปทั่วโลก ทั้งๆ สถานที่ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ไม่ได้ดีเด่แบบจัดในห้องประชุมติดแอร์อย่างใดเลย หากจัดกันแบบ Outdoor คือจัดกลางแจ้งเสียด้วยซ้ำ

ดูเหมือนทางสถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นช่องเดียวกันนี้ตั้งเป้ารุกคืบทางวัฒนธรรมไม่เฉพาะแต่เพียงคนเวียดนามเท่านั้น หากยังมีเป้าหมายไปยังประเทศเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจกลุ่มอาเซียนอื่นๆ อีกด้วย รวมถึง ลาว พม่า หรือแม้แต่กัมพูชาอีกด้วย ควบคู่ไปกับการรุกเข้าไปทำธุรกิจหรือการเป็นพาร์ทเนอร์ชิพในทางธุรกิจกับประเทศดังกล่าวนี้อีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า เป็นการดำเนินการแบบคู่ขนานกันไปสองทาง คือทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจ

พูดแบบหยาบๆ ก็คือการกินรวบทั้งสองด้าน

ต้องไม่ลืมว่างานด้านวัฒนธรรมเหมือนซอฟท์แวร์ ขณะที่งานด้านธุรกิจหรืองานค้าขายนั้นเหมือนฮาร์ดแวร์ ทั้งสองฝ่ายต่างสามารถเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี งานทางด้านวัฒนธรรมนั้น ส่วนหนึ่งคือการส่งเสริมหรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศหรือคนของประเทศนั้นๆ เป็นน้ำจิ้มขนานเอกให้กับงานด้านธุรกิจ

เมื่อกลับมาดูในส่วนของประเทศไทยก็จะพบว่า เราขาดสำนึกและด้อยประสิทธิภาพในเรื่องการสนับสนุนส่งเสริมงานด้านวัฒนธรรมมากขนาดไหน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ทั้งที่คุยกันมาตลอดว่า เรามีของดีทางวัฒนธรรมอย่างประมาณค่าไม่ได้

คำถามคือ เราได้นำวัฒนธรรมที่มีคุณค่าแบบประมาณค่ามิได้นี้ไปนำเสนอต่อผู้คนในต่างวัฒนธรรมอย่างดีที่สุดแบบเป็นระบบหรือยัง มีการจัดกระบวนทัพแล้วหรือยัง กระบวนทัพก็ต้องเป็นกระบวนทัพที่ดีมีประสิทธิภาพด้วย

เพราะถ้าหน่วยงานของรัฐ อย่างเช่น กระทรวงวัฒนธรรมฯ ทำได้ก็คงทำไปนานแล้ว

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมเด็จพระสังฆราช:พระสงฆ์อยู่เหนือการเมือง นำการเมือง?

$
0
0

 

ปราชญ์ทางพุทธศาสนาไทย อย่างเช่นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พยายามอธิบายว่า พระสงฆ์ไทย “อยู่นอก” และ “อยู่เหนือ” การเมือง เพราะพระสงฆ์ไทยไม่ได้มีตำแหน่งและบทบาทในการบริหารบ้านเมือง และไม่มีสิทธิเลือกตั้ง บทบาทที่ควรจะเป็นของพระสงฆ์ที่อยู่นอกและเหนือการเมืองก็คือ บทบาทในการ “นำการเมือง” นั่นคือ นำการเมืองโดยธรรม หมายถึงสอนให้นักการเมืองใช้คุณธรรมในการปกครอง และสอนให้ประชาชนเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างมีศีลธรรม

การอยู่นอกและเหนือการเมืองในความหมายดังกล่าว ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ เงื่อนไขหลักธรรมวินัยเถรวาท ที่ไม่อนุญาตให้พระสงฆ์มีตำแหน่งบริหารบ้านเมือง และเงื่อนไขอำนาจรัฐที่จำกัดสิทธิทางการเมืองของพระสงฆ์ไว้ไม่ให้สามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้เหมือนฆราวาสทั่วไป (เช่น ไม่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นต้น)

แต่คำถามคือ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจและบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองหรือไม่

คำตอบต้องดูจากโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาที่เป็นมาและเป็นอยู่จริง นั่นคือโครงสร้างที่มีศาสนจักร (มหาเถรสมาคม) ของรัฐ ซึ่งเป็นศาสนจักรที่มีสถานะ อำนาจทางกฎหมาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขของศาสนจักร ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร-ศาสนจักรเช่นนี้ รัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์ คุ้มครอง ส่งเสริมการเผยแผ่ศาสนา และศาสนจักรก็มีหน้าที่ตอบสนองนโยบาย อุดมการณ์รัฐ พูดง่ายๆ คือ ศาสนจักรเป็นกลไกหนึ่งของรัฐ

เมื่อศาสนจักรเป็นกลไกของรัฐ ที่มีบทบาทตอบสนองนโยบายและอุดมการณ์รัฐ ตำแหน่งประมุขศาสนจักร จึงไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่นอกหรืออยู่เหนือการเมือง แม้ตามกฎหมายตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไม่ใช่ “ข้าราชการการเมือง” แบบนักการเมือง แต่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ไม่อาจเป็นอิสระจาก “ความเป็นการเมือง” ทั้งในเรื่องการแต่งตั้งและบทบาทหน้าที่

ดังเราได้เห็นมาตลอดว่า ในช่วงที่จะมีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ก็มักจะมี “แรงกระเพื่อม” ทางการเมืองภายในวงการสงฆ์ว่า วาระตำรงตำแหน่งควรจะเป็นของฝ่ายธรรมยุตหรือมหานิกาย หรือมีหลักเกณฑ์อะไรที่แสดงถึง “ความยุติธรรม” ในการเข้าสู่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชระหว่างสองนิกาย เป็นต้น และแน่นอนว่า เมื่อใครได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช การแสดงบทบาทในฐานะประมุขสงฆ์ก็ต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตอบสนองต่อนโยบายของรัฐในยุคนั้นๆ

ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชที่คาราคาซังมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 เช่น ปรากฏการณ์ต่อต้านสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) จนมาถึงการแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 7 ให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็น “พระราชอำนาจ” ที่ตัดขั้นตอนการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยมติมหาเถรสมาคมออกไป ก็คือตัวอย่างของ “ความเป็นการเมือง” หรือปัญหาการเมืองในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง

ในสถานการณ์ปัญหาการเมืองในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เราได้เห็นปรากฏการณ์และปฏิกิริยาแตกต่างกันไป มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านพระบางรูปขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีทั้งการใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าไปดำเนินการทางกฎหมายกับบางฝ่ายที่มีความเป็นการเมือง จนกระทั่งทำให้ข้อกล่าวหาเรื่องทำผิดกฎหมายปกติ กรณีครอบครองรถหลีกเลี่ยงภาษีของสมเด็จช่วง และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องทุจริตของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่สามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ เป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็นได้ เพราะภายใต้สภาวะ “ไม่มีมาตรฐาน” ในปัจจุบัน ทำให้แต่ละฝ่ายต่างใช้ “ความเป็นการเมือง” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง มากกว่าที่จะบังคับใช้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะมองปัญหาเรื่องแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่สำคัญ หรือจะไม่สนใจเลยก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยในสังคมไทย ที่เกี่ยวพันทับซ้อนระหว่างการเมืองทางโลก-การเมืองสงฆ์ ซึ่งดำเนินไปภายใต้กรอบคิดในการแก้ปัญหาแบบเดียวกัน กล่าวคือ การเมืองทางโลกถูกทำให้เชื่อว่า ปัญหาเกิดจากนักการเมือง พรรคการเมืองคอร์รัปชัน ไม่ได้เกิดจากตัวโครงสร้างหรือตัวระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องใช้วิธีรัฐประหารขจัดนักการเมืองโกง มากกว่าที่จะพัฒนาตัวระบบให้เป็นประชาธิปไตยชัดเจนขึ้น ทำนองเดียวกับการเมืองสงฆ์ แทนที่จะแก้ที่ตัวระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนา กลับแก้ปัญหาเรื่องตัวบุคคลมาเรื่อยๆ และก็เกิดปัญหาเดิมๆ เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

พูดอีกอย่างคือ คนกลุ่มน้อยที่ผูกขาดอำนาจรัฐ กำหนดโจทย์ผิดๆ ในเรื่องประชาธิปไตยและศาสนาให้สังคมจำต้องเดินตามตลอดมา พวกเขาพยายามกลบเกลื่อนโจทย์ที่แท้จริง คือการสร้างประชาธิปไตย (democratization) หรือการสร้าง/พัฒนาตัวระบบโครงสร้างอำนาจการปกครองและสถานะ อำนาจของสถาบันต่างๆ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างโจทย์หลอกๆ ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากนักการเมืองโกง หรือเป็นปัญหาความมั่นคง จึงต้องล้มระบบด้วยการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมๆ กับกระชับอำนาจของฝ่ายตนให้เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ

เช่นเดียวกัน ปัญหาทางศาสนาแทนที่จะแก้จากปัญหาระดับรากฐานที่สุด คือปัญหาโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนา โดยทำให้รัฐไทยเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) แยกศาสนจักรจากการเมือง ให้องค์กรทุกศาสนาเป็นเอกชน ไม่มีการใช้ศาสนาใดๆ เป็นเครื่องมือตอบสนองอุดมการณ์ทางการเมือง แต่โจทย์ปัญหาระดับรากฐานเช่นนี้ก็ไม่ถูกพูดถึง เพราะรัฐและคณะสงฆ์ไทยนำโจทย์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพุทธศาสนาแบบยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มากำหนดให้สังคมถกเถียงและหาทางแก้ไม่จบตลอดมา

พูดอย่างถึงที่สุด การที่สังคมถูกทำให้ยึดติดอยู่กับโจทย์ผิดๆ เดิมๆ ก็คือการที่สังคมถูกทำให้ไม่มีเสรีภาพที่จะตั้งโจทย์ หรือตั้งคำถาม ถกเถียงด้วยเหตุผลอย่างเต็มที่ต่อปัญหาระดับรากฐานที่สุดในการสร้างประชาธิปไตย และการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐ

ที่น่าเศร้าก็คือ สังคมเราถูกทำให้ยึดติดหรือ “ติดกับดัก” โจทย์ปัญหาปลอมๆ เดิมๆ บนการผลิตสร้างมายาคติในเรื่อง “อยู่เหนือการเมือง” เช่น พระสงฆ์และพุทธศาสนาอยู่เหนือการเมือง และควรนำการเมือง (เป็นต้น)

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง พระสงฆ์และพุทธศาสนาถูกกำหนดโดยอำนาจรัฐให้อยู่ในการเมือง เป็นกลไกและเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมตลอดมา และไม่มีศักยภาพและความชอบธรรมที่จะ “นำ” การเมืองในบริบทโลกสมัยใหม่ได้อีกแล้ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>