Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

'พลเมืองเน็ต' แจงไม่เคยเรียกร้องให้ใช้ ม.44 ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0


22 ธ.ค. 2559 เมื่อเวลา 11.39 น. สำนักข่าวไทยรายงานว่า สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองเน็ตเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเลิกมติการประชุมสนช. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับกระบวนการยกร่าง กฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ว่า เป็นดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรีที่จะพิจารณา เนื่องจากตามกระบวนการได้ผ่านการพิจารณาของสนช.แล้ว

“ผู้ที่ไม่เห็นด้วยควรแสดงความชัดเจนว่ามีประเด็นใดที่ไม่เห็นด้วย  และสามารถเสนอเป็นความเห็นมายังสนช.ได้ ผมพร้อมเป็นตัวกลางประสานกับรัฐบาล ยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายเดิม เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงอยากให้สังคมศึกษาอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ มองว่าควรบังคับใช้ไปก่อน แต่หากจะเสนอเป็นร่างกฎหมายใหม่ที่เป็นฉบับของประชาชน ต้องรอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ได้เปิดทางเอาไว้” รองประธานสนช. กล่าว

'พลเมืองเน็ต' แจงไม่เคยเรียกร้องให้ใช้ ม.44 ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.คอมฯ

ขณะที่เวลาต่อมา 13.45 น. วันเดียวกัน เครือข่ายพลเมืองเน็ต โพสต์แย้งผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Thai Netizen Network' โดยระบุว่า เครือข่ายพลเมืองเน็ตไม่เคยเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดังกล่าว และไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 ชะลอการคืนคลื่นวิทยุออกไปอีก 5 ปี

ที่มา เพจ 'Thai Netizen Network

เครือข่ายพลเมืองเน็ต ระบุว่า การกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้อำนาจกับหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งกระทำการใดๆ ตามที่หัวหน้าคสช.เห็นเป็นการจำเป็น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เครือข่ายพลเมืองเน็ตไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 และจะไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ลัดขั้นตอน

เครือข่ายพลเมืองเน็ต ยังกล่าวถึงกรณีล่าสุดที่การใช้มาตรา 44 กระทบกับสิทธิเสรีภาพในด้านการสื่อสารของประชาชน ด้วยว่า คือ การที่หัวหน้าคสช.ออกคำสั่ง 2 คำสั่งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2559 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจการจัดสรรคลื่นความถี่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีเนื้อหาบางส่วนโดยสรุปดังนี้

- คำสั่ง หัวหน้าคสช. ที่ 75/2559 ระงับการสรรหากรรมการกสทช. ให้กรรมการกสทช. 9 คนที่เหลืออยู่ปฏิบัติงานต่อไป โดยไม่ต้องสรรหากรรมการอีก 2 คนที่ตำแหน่งว่างลงเนื่องจากเกษียณอายุ http://library2.parliament.go.th/giventake/content_ncpo/ncpo-head-order75-2559.pdf 

- คำสั่ง หัวหน้าคสช. ที่ 76/2559 การส่งเสริมการประกอบกิจการ เกือบทั้งฉบับพูดถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลในการชำระค่าใบอนุญาต แต่ในข้อ 7 พูดถึงอีกประเด็นคือให้ชะลอแผนการคืนคลื่นความถี่ โดยระบุว่า "ให้ กสทช. หรือสำนักงาน กสทช. ดำเนินการเรียกคืนคลื่นความถี่เพื่อนำไป จัดสรรใหม่หรือปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ตามแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ (พ.ศ. 2555) เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้าปี นับแต่วันครบกำหนดแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ดังกล่าว ทั้งนี้ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ประกอบกิจการกระจายเสียงตามพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และได้รับความเห็นชอบให้ถือครอง คลื่นความถี่ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ยังคงมีสิทธิในการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและการถือครองคลื่นความถี่ดังกล่าวได้ตามขอบเขตและสิทธิเดิม"http://library2.parliament.go.th/giventake/content_ncpo/ncpo-head-order76-2559.pdf

- คำสั่ง หัวหน้าคสช. ที่ 76/2559 ดังกล่าวจะมีผลทำให้สถานีวิทยุของรัฐ เช่น ของกรมประชาสัมพันธ์ และของกองทัพมากกว่า 500 สถานี ไม่ต้องคืนคลื่นตามแผนแม่บทเดิมที่กำหนดให้คืนในเดือนเมษายน 2560 และได้ต่อสัมปทานใช้คลื่นไปอีก 5 ปี http://www.komchadluek.net/news/scoop/253218
 

"สุดท้ายนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต ขอทำความเข้าใจกับสื่อและหน่วยงานต่างๆ อีกครั้งหนึ่งว่า เครือข่ายพลเมืองเน็ต กับเพจ "พลเมืองต่อต้าน single gateway" นั้นเป็นคนละกลุ่มกัน" เครือข่ายพลเมืองเน็ต ระบุ
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'รองปลัดดิจิทัล' เผยคุมตัวเยาวชนร่วมกด F5 ปรับทัศนคติแล้ว รมว.ย้ำไม่มี 'ซิงเกิลเกตเวย์' ใน กม.

$
0
0

รมว.ดิจิทัลฯ ย้ำ พ.ร.บ.คอมฯ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ 'ซิงเกิลเกตเวย์' หรือลิดรอนสิทธิประชาชน ออกเพื่อรับการเปลี่ยนไปของสังคมโลก-เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก ด้าน 'iLaw' ชี้แม้ไม่มี แต่หลักคิดเดินหน้าไปทางนั้น ระบุยังมีกฎหมายคุมใช้เน็ตอีกหลายฉบับที่ต้องจับตา ขณะที่รองปลัดฯ เผย ตร.คุมตัวเยาวชนที่ร่วมกด F5 มาปรับทัศนคติแล้ว

 

ภาพ พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าสักการะท้าวมหาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมวันแรก (21 ธ.ค. 2559) : ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา ไทยพีบีเอสรายงานว่า พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ชี้แจงกรณีการผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ซึ่งมีกลุ่มผู้คัดค้านในขณะนี้ว่า พร้อมจะชี้แจงให้ฝ่ายคัดค้านเข้าใจว่า ขณะนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก ซึ่งการผ่านกฎหมายดังกล่าว เพื่อรองรับการเปลี่ยนไปของสังคมโลก และสังคมประเทศ ต้องปรับตัวให้ไล่ทันเทคโนโลยีอย่างมีสติ เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีที่โลกกำลังเป็นระบบดิจิทัล หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนต้องปรับให้ทัน สิ่งปที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ คือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในระบบดิจิทัล พัฒนาประเทศให้เป็นแสงสว่าง

“มีเรื่องที่สังคมเข้าผิดใจ และผมอยากขอชี้แจง ว่าเรากำลังเดินหน้าประเทศไทยเพื่อการพัฒนา แต่ระหว่างทางของการพัฒนาประเทศ มันอาจจะมีติ่งอยู่ 5% หรือ 10% ที่เป็นติ่งแบบเงาสลัวๆ ทำให้ประเทศมืดมิดลง เกิดความไม่แน่นอน ไม่ชัดเจน แต่เราอยู่กันในสังคม ก็ต้องดูแลสังคมด้วย เราต้องทำให้สังคมมีความปลอดภัย ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าเรากำลังเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง อะไรที่เป็นความแน่นอน ส่วนอะไรที่เป็นความคลุมเคลือ เราจะทำให้ถูกต้อง หลายอย่างที่ยังไม่แน่ใจนัก เราจะทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ผู้ที่กังวล เพื่อทำให้มีการปรับเปลี่ยนประกาศกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจน และยอมรับมากที่สุด” รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

พิเชฐ กล่าวย้ำว่า พ.ร.บ.คอมพพิวเตอร์ฉบับดังกล่าวไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเด็นซิงเกิลเกตเวย์ การลิดรอนสิทธิประชาชน ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมกลั่นกรอง เพื่อมาพิจารณาความผิดจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะปรับเพิ่มจำนวนคณะกรรมการจาก 5 คน เป็น 9 คน และจะให้มีตัวแทนประชาสังคมร่วมด้วย

ส่วนข้อกังวลว่า รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะมีอำนาจมากไปนั้น พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ระบุชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไร ต้องขอให้ศาลพิจารณาทำให้เกิดความรัดกุมในการกลั่นกรองมากขึ้น แต่ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่ช่วยดูแลให้ทุกเรื่องเดินไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เชื่อว่าจะทำให้ผู้กังวลใจยอมรับได้ และขอให้เปิดใจดูการทำงานของรัฐบาลกับกฎหมาย พ.รบ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้

เผย ตร.คุมตัวเยาวชนที่ร่วมกด F5 มาปรับทัศนคติแล้ว

น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า ขณะนี้ตำรวจดำเนินการควบคุมตัวเยาวชน ที่มีส่วนร่วมต่อการกด F5 หรือเข้ามาสร้างผลกระทบให้กับเว็บไซด์ราชการใช้งานไม่ได้ ตามคำชักชวนของกลุ่มที่ต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ และ ต่อต้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพื่อนำตัวมาปรับทัศนคติและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเนื่องจากเห็นว่า การกระทำของกลุ่มเยาวชนในขณะนี้ที่ร่วมกด F5 เพื่อทำให้เว็บล่มนั้น เมื่อได้รับการชี้แจงก็จะเกิดความเข้าใจ ซึ่งภาครัฐไม่ต้องการเอาผิดกับกลุ่มเยาวชนเหล่านี้แต่เมื่อพบว่าผิดก็ต้องชี้แจงเป็นรายบุคคลให้เข้าใจและปล่อยตัวกลับ

iLaw ชี้แม้ไม่มีซิงเกิลเกตเวย์ แต่หลักคิดเดินหน้าไปทางนั้น

สำหรับประเด็น ซิงเกิลเกตเวย์ กับ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ นั้น เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา iLaw หรือ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ได้เขียนอธิบายไว้ว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ ไม่มีมาตราไหนเขียนให้รัฐมีอำนาจทำ ซิงเกิลเกตเวย์ หรือระบบการเดินทางของข้อมูลในโลกออนไลน์แบบประตูเข้าออกทางเดียวที่รัฐเป็นผู้ควบคุม ได้โดยตรง เพราะ Single Gateway นั้น ต้องทำใน "ทางกายภาพ" คือต้องสร้างระบบทางเดินของข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้นมา แต่ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ ให้อำนาจรัฐมากขึ้นในการควบคุมเนื้อหาบนโลกออนไลน์และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนใน "ทางกฎหมาย" เท่านั้น ไม่ใช่ทางกายภาพ

iLaw อธิบานด้วยว่า โดยหลักคิดแล้ว ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับ Single Gateway คือ ทิศทางที่มองว่า "โลกอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นภัย ต้องให้อำนาจรัฐเข้ามาควบคุมอย่างเต็มที่" สำหรับคนที่คัดค้านซิงเกิลเกตเวย์ เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเช่นนี้ ก็ย่อมต้องคัดค้าน ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด "รัฐเป็นใหญ่" ต้องบอกว่ายังมีกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตอีกหลายฉบับที่ต้องจับตาหลังจากนี้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งเพิกถอนประกันตัว ไผ่ ดาวดิน คดีแชร์บทความ BBC เหตุโพสต์เยาะเย้ยอำนาจรัฐ

$
0
0

ศาลจังหวัดขอนแก่น สั่งเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว ไผ่ ดาวดิน คดี 112 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นคำร้อง ปมเชื่อว่าโพสต์เยาะเย้ยพนักงานสอบสวน ทนายยื่นประกันตัวอีกครั้ง ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

22 ธ.ค. 2559 14.00 น. ศาลจังหวัดขอนแก่น ได้นัดพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ที่ขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" หนึ่งในสมาชิกของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ในคดีแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC thai โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จตุภัทร์ ได้ทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว ทั้งยังเห็นว่านายประกัน ซึ่งเป็นบิดา ไม่ได้ทำการห้ามปราบการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด

โดยศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกัน ผู้ต้องหามาตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ และห้ามยุ่งเหยิงหลักฐานในคดี หรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หลังปล่อยตัวชั่วคราว หากพบการกระทำผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวอีก และหลังจากปล่อยตัวชั่วคราว ได้พบว่าผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดี ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กออก ทั้งผู้ต้องหายังได้แสดงความคิดเห็น และมีพฤติกรรมในสังสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์ เยาะเย้ย อำนาจรัฐ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ อีกทั้งผู้ต้องหามีแนวโน้มจะกระทำการลักษณะเดิมต่อไปอีก ผุ้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ อายุ 25 ปี ย่อมรู้ว่าการกระทำของผุ้ต้องหาดังกล่าวข้างต้น เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล จึงฟังได้ตามคำสั่งว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหาย ภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว ประกอบกับนายประกันของผู้ต้องหา ไม่ได้กำกับดูแลให้ผู้ต้องหา ให้ปฎิบัติตามเงื่อนไขของศาล จนก่อให้เกิความเสียหายดังกล่าว จึงให้เพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา

ด้าน อธิพงษ์ ภูผิว ทนายความได้ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า ศาลใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ในการพิจารณาไต่สวนคำร้องเพิกถอนสัญญาปล่อยตัวชั่วคราว โดยทนายความได้ยื่นคัดค้านคำร้องของพนักงานสอบสวน โดยระบุว่า ศาลไม่ได้สั่งเน้นย้ำเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว จึงทำให้ผู้ต้องหาไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร จึงดำเนินชีวิต และแสดงความความคิดเห็นในเฟซบุ๊กตามปกติ เพราะเชื่อว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการการแสดงออก

ทนายความกล่าวด้วยว่า ประเด็นที่พนักงานสอบสวนยกมาให้ศาลพิจารณาประกอบด้วยการโพสต์สเตัสในเฟซบุ๊ก 3 สเตตัสคือ การถ่ายรูปกับเพื่อนที่มีลักษณะเยาะเย้ยหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยเป็นรูปซึ่งมีการทำลักษณะท่าทางคล้ายกับตัวละครที่ชื่อว่า "หน้ากากแอคขั่น" ในการ์ตูนเรื่อง "ชินจัง" ประเด็นต่อมาเกี่ยวข้องกับการโพสต์เรื่องที่ ผู้ต้องหา เดินทางไปแจ้งความกับสถานนีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น เนื่องจากวันที่ถูกควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือไป แต่ไม่ได้เขียนบันทึกไว้ในรายการของกลางที่ถูกยึด และได้ถ่ายรูปทำท่าทางในลักษณะเดิม และประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กของผู้ต้องหา ซึ่งกำลังรับประทานข้าวราดผัดกระเพรา และระบุว่า ติดคุก กินข้าวฟรี ราคา 112 บาท ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ปรากฎอยู่ในคำร้องขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ของพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของพนักงานสอบสวน ระบุว่า หลังจาก ที่จตุภัทร์ได้รับการประกันตัว ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะที่เชื่อได้ว่าเป็นการเยาะเย้ยพนักงานสอบสวน โดยข้อความดังกล่าวระบุว่า "เศรษฐกิจมันแย่แม่งจะเอาแต่เงินประกัน"

ทั้งนี้ในการพิจารณาคำร้อง ศาลได้สั่งให้เป็นการพิจารณาลับ โดยกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าฟังการพิจารณา โดยให้เหตุผลว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ทั้งยังเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอาจจะกระทบจิตใจของคนในสังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากฟังคำพิจารณาของศาลแล้ว จตุภัทร์ ยังมีท่าทีปกติ ไม่ได่แสดงความวิตกกังวล และล่าสุดทนายความกำลังทำเรื่องประกันตัวจตุภัทร์อีกครั้ง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำตัว จตุภัทร์ ไปฝากขังยังเรือนจำจังหวัดขอนแก่นแล้ว

สำหรับการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง อธิพงษ์ ระบุว่า เหตุผลในการยื่นขอปล่อยตัวมี 3 เหตุผลคือ ผู้ต้องหากำลังศึกษาอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นปีสุดท้าย และกำลังจะมีการสอบในวิชาคอมพิวเตอร์ในวันที่ 16 ม.ค. 2560 หากไม่ได้การปล่อยตัวชั่วคราวจะทำให้ศึกษาไม่จบตามหลักสูตร และผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนี หรือเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด

ทนายความความกล่าวด้วยว่า หากวันนี้ไม่ได้รับการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะดำเนินการทำเรื่องขอประกันตัวไปจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว โดยอำนาจในการฝากขังผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนสามารถขอให้ศาลฝากขังได้ทั้งหมด 7 ผัด ผัดละ 12 วัน สำหรับคดีนี้ นับว่าอยู่ในช่วงของการฝากขังในผัดที่ 2

ในรายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุด้วยว่า สเตตัสที่ถูกนำมาเป็นเหตุผลในการร้องขอให้ถอนประกันนั้น จตุภัทร์ ยืนยันว่าการโพสต์แสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กเป็นเรื่องปกติ สำหรับสเตตัสนี้จตุภัทร์กล่าวว่าได้โพสต์หลังจากทราบข่าวว่าศาลจังหวัดพระโขนงไม่อนุญาตให้นักวิชาการใช้ตำแหน่งประกันตัวเพื่อนนักกิจกรรมที่ถูกฟ้องในคดีฉีกบัตรลงคะแนนประชามติ เป็นเหตุให้ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ และเพื่อนๆ ต้องลำบากหาหยิบยืมเงินสดมาเป็นหลักทรัพย์ประกันทั้งสามคนเป็นจำนวนถึง 600,000 บาท

00000

สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนืองจากการเข้าแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี รองหัวหน้าหน่วยยุทธการมณฑลทหารบกที่ 23 ขอนแก่น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เนื่องจากพบว่า จตุภัทร์ ได้แชร์บทความจากเว็บไซต์ BBC Thai ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. จุตภัทร์ ถูกควบคุมตัวที่จังหวัดชัยภูมิ ขณะกำลังร่วมขบวนธรรมยาตรา กับพระไพศาล วิสาโล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาความผิดตาม มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14

ต่อมาในวันที่ 4 ธ.ค. 2559 ศาลได้พิจารณาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ โดยทนาย พร้อมนายประกันได้ยื่นหลักทรัพย์ 4 แสนบาท และให้เหตุผลไว้ในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า จตุภัทร์ เป็นผู้ต่องหาคดีการเมืองอยู่ 4 คดี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธ.ค. ผู้ต้องหามีสอบเป็นวิชาสุดท้าย หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร ศาลจึงพิจารณาให้ประกันตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ประเด็นเรื่องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.56  ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์  มีการจัดเสวนาเรื่อง “การแก้ปัญหาสิทธิผู้ต้องหาในการได้รับการประกันตัว” โดย ศ.ดร.คณิต ณ นคร ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า การปล่อยชั่วคราวเป็นมาตรการหนึ่งในการดำเนินคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีคุณลักษณะ 2 ประการคือ เป็นกฎหมายที่มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล แต่ในการเรียนการสอนวิชากฎหมายเรามักเน้นแนวคิดอำนาจนิยม ไม่ค่อยเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานแนวคิดเสรีนิยม มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (อ่านต่อที่นี่)

ขณะที่ ศราวุฒิ ประทุมราช ผู้อำนวยการสถาบันหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน ได้เคยเขียนบทความลงในเว็บไซต์ประชาไท เรื่อง สิทธิได้รับการประกันตัวคือ สิทธิมนุษยชนโดยมีใจความสำคัญว่า

สิทธิในการได้รับการประกันตัวนั้นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้อง หาที่ต้องได้รับในฐานะเป็นหลักประกันความก้าวหน้าของกระบวนการยุติธรรม และเป็นสากล หมายถึงว่าการได้รับการประกันตัวเป็นสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาทุกคน ทุกคดี ทุกข้อกล่าวหา

การไม่ให้ประกันตัวในกรณีของคดีดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือกรณีคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงอื่นๆนั้น เหตุผลที่ศาลมักไม่ให้ประกันตัว มักให้เหตุผลว่า เช่น ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย สู่สถาบันกษัติริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ หรือว่าพนักงานสอบสวนได้คัดค้าน จึงเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว เป็นต้น

คำถามคือว่า การมิให้ประกันตัวตามหลักสิทธิมนุษยชนนั้นสามารถกระทำได้เพียงใด และข้อคำนึงถึงการใช้ดุลพินิจ ในการไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process of Law) หรือไม่

หลักสิทธิมนุษยชน ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการได้รับการประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราว คือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งมีหลักการว่า สิทธิประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องเป็นหลักที่ได้รับความคุ้มครอง การมิให้ประกันตัวถือเป็นข้อยกเว้นหรือจะกระทำได้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการที่ เบากว่านี้

โดยปกติบุคคลผู้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญามีสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่ว คราวระหว่างการพิจารณาคดี โดยการวางหลักประกันหรือมีบุคคลค้ำประกัน การปฏิเสธคำขอประกันตัวควรจะเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่น มีความเป็นไปได้ว่าบุคคลนั้นจะหลบหนีและไม่มาปรากฏตัวในศาลในช่วงการพิจารณา คดี หรือบุคคลนั้นอาจจะทำลายหลักฐาน หรือบุคคลนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น การปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณา ถือว่าเป็นการละเมิดข้อ 9(3) ของ ICCPR ซึ่งกำหนดว่า “ การควบคุม คุมขังบุคคลระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ควรเป็นกฎที่ใช้ทั่วไป”

การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีนานเกินระยะเวลาที่สามารถยกเหตุผลอันเหมาะ สมมากล่าวอ้างได้ เป็นการกระทำโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเมิดข้อ 9(1) ของ ICCPR ที่ว่า “ บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้”

ขณะที่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2559 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยใจความตอนหนึ่งระบุว่า

"เราอาจจะต้องใช้มาตรา 44 ในการควบคุมตัวเข้าจับกุม เพราะว่ามันหลายอย่างด้วยกันนะครับท่านก็รู้ดีอยู่ กฎหมายปรกติไม่ค่อยเชื่อ แต่เข้าไปจับกุมดำเนินคดีก็ใช้วิธีการอันละมุนละม่อมไม่เคยต้องไปทำร้าย ไปทุบตีอะไรต่างๆ ไปทรมาน ไม่เคยทำซักอย่าง  ถ้าทำผมก็ลงโทษนะ  ฉะนั้นก็เพียงนำพามา และสอบสวน ให้สู้คดี ต่างคนต่างก็พยายามที่จะบิดเบือน  หลายคนก็เคยให้ความเมตตาแล้ว ให้ออกมา ให้ประกัน  บอกไม่ประกันอีก จะขออยู่ในคุกก็แล้วแต่ตามใจ ก็ต้องเข้าใจนะครับ ไม่ใช่ผมไปบังคับให้เขาอยู่ ต้องการให้เขาติดคุกไม่ใช่  ผมเมตตาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนิสิต นักศึกษา  แต่เขาบอกเขาไม่อยากออกจากคุก จนกว่าจะมีประชาธิปไตย ก็แล้วแต่นะ ผมบังคับท่านไม่ได้อยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับประเทศไทย คนไทย จะคิดยังไงนะ ว่าผมรังแกเขาหรือเปล่า พ่อแม่ก็เดือดร้อน ร้องไห้ แล้วก็กลายเป็นว่าพ่อแม่ก็มาเกลียดชังผม จริงๆ มันไม่น่าใช่นะไปคิดเอา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Retro 'ม.ล.ปนัดดา' จ่อชงฟื้นตำแหน่ง 'ครูใหญ่' ชี้มีความลึกซึ้งกว่า 'ผู้อำนวยการ'

$
0
0
<--break- />
 
22 ธ.ค. 2559  ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศึกษาธิการ) เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับมอบหมายจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ให้รับผิดชอบและดูแลงานของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงพื้นที่ดูงาน กศจ.สงขลา พบว่า ที่ผ่านมาการทำงานยังไม่มีความเป็นเอกภาพ ดังนั้น จะให้ กศจ.ทุกจังหวัดตั้งคณะอนุกรรมการ กศจ. ด้านต่างๆขึ้น ตามความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งให้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เพื่อให้การพัฒนายุทธศาสตร์การศึกษาในด้านต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
 
"การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัดถือเป็นคีย์แมนสำคัญ ดังนั้นผมอยากเห็นผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคน กระตือรือร้น และติดตามการแข่งขันตลอดจนระบบการศึกษาในต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ดูแค่การศึกษาภายในประเทศเท่านั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด ควรนั่งเป็นประธานที่ประชุม กศจ. ทุกนัดด้วยตนเอง ยกเว้นมีความจำเป็นค่อยส่งรองผู้ว่าฯไปแทน อีกทั้ง การบริหารงานการศึกษาไม่อยากให้ดูเฉพาะการกำหนดอัตรากำลัง ตำแหน่ง หรือการแต่งตั้งโยกย้ายเท่านั้น แต่อยากให้มองและยุทธศาสตร์การศึกษาของจังหวัด ติดตามและประเมินผลการทำงานของครูและผู้บริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพด้วย” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
 
"เร็วๆ นี้ ผมจะหารือกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กำหนดมาตรฐานตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ โดยปัจจุบันใช้มาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเท่ากันหมด โดยจะขอให้กลับไปใช้มาตรฐานตำแหน่งครูใหญ่ และอาจารย์ใหญ่ ตามระดับโรงเรียนเหมือนสมัยก่อน ส่วนตัวมองว่าคำว่าครูใหญ่มีความลึกซึ้ง และสื่อความหมายความรับผิดชอบได้ชัดเจนกว่าผู้อำนวยการโรงเรียน” ม.ล.ปนัดดา กล่าว
 

ที่มา : มติชนออนไลน์และคมชัดลึกออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พ.ย. 2559 ผู้ประกันตนว่างงาน 146,168 คน ถูกเลิกจ้าง 30,594 คน

$
0
0
พบเดือน พ.ย. 2559 ผู้ประกันตน ม.33 ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน 146,168 คน ถูกเลิกจ้าง 30,594 คน

 
22 ธ.ค. 2559 สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน เปิดเผยตัวเลข เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน พฤศจิกายน 2559พบว่าภาวะการจ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนพฤศจิกายน 2559 การจ้างแรงงานในระบบประกันสังคม มีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จำนวน 10,477,172 คน มีอัตราการขยายตัว 1.10% (YoY) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีผู้ประกันตน จำนวน 10,363,495 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทำงานเพิ่มขึ้นถึง 113,677 คน สำหรับการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคม มีจำนวน 146,168 คน มีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 18.61 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีอัตราการชะลอตัวอยู่ที่ -0.93% (MoM) เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ที่มีจำนวน 147,542 คน อัตราการว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 1.40 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 30,594 คน คิดเป็นร้อยละ 0.29 ลดลงจากเดือนตุลาคม 2559 ที่ร้อยละ 0.30
 
ในด้านสถานการณ์การจ้างงานจากข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2559 มีลูกจ้างที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม (ม.33)จำนวน 10,477,172 คน มีอัตราการขยายตัว 1.10% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนพฤศจิกายน 2558) ซึ่งมีจำนวน 10,363,495 คน หากพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลง (YoY) ของเดือนพฤศจิกายน 2559 เทียบกับเดือนตุลาคม 2559 พบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2559 มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 1.10% ชะลอตัวจากเดือนตุลาคม 2559 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 1.69% สถานการณ์การจ้างงานขยายตัวมากกว่า 1% จึงถือว่าสถานการณ์การจ้างงานอยู่ในภาวะปกติ
 
 
ในด้านสถานการณ์การว่างงาน จากข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2559 มีผู้ว่างงานจำนวน 146,168 คน มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 18.61% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือนพฤศจิกายน 2558) มีจานวน 123,238 คน ซึ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2559 เทียบกับเดือนตุลาคม 2558 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 16.27% และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2559) พบว่า มีอัตราการชะลอตัวอยู่ที่ -0.93% (MoM) และหากคิดเป็นอัตราการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเดือนพฤศจิกายน 2559 อยู่ที่ 1.40% โดยอัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ที่ 1.0 (พฤศจิกายน 2559)
 
 
ในด้านสถานการณ์การเลิกจ้าง อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 เดือนพฤศจิกายน 2559 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 30,594 คน คิดเป็นร้อยละ 0.29 ลดลงจากเดือนตุลาคม 2559 ที่ร้อยละ 0.30 และขยายตัวจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.25
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เริ่มสิทธิเข้ารับบริการตรวจสุขภาพผู้ประกันตน 1 ม.ค.60

$
0
0
22 ธ.ค.2559 สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงเรื่องมาตรา 63(2) เรื่องการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตน ของพ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับแก้ไขว่า สปส.เล็งเห็นความสำคัญของการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตน เนื่องจากเป็นสิทธิที่ควรได้รับ และจากมาตรา 63(2) เรื่องการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตนของ พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับแก้ไขนั้น ล่าสุด สปส.ได้จัดทำข้อกำหนดในการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตนกว่า 12 ล้านคนเสร็จแล้ว ซึ่งทางคณะกรรมการแพทย์ได้ลงนามแล้ว โดยอยู่ระหว่างประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งกำหนดไว้ว่ามีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560
 
สุรเดช กล่าวต่อว่า สิทธิประโยชน์การให้บริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ได้กำหนดให้ผู้ประกันตนทุกคนเข้ารับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยการตรวจสุขภาพได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ต้องรับบริการในโรงพยาบาลตามสิทธิที่ผู้ประกันตนได้เลือกเอาไว้ ซึ่งเบื้องต้นในปีแรกคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,500 - 1,800 ล้านบาท
 
เลขอธิการ สปส.กล่าวต่อว่า ผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการตรวจสุขภาพนั้น จะสามารถตรวจสุขภาพพื้นฐานได้ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจการทำงานของไตเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง ภาวะผิดปกติหรือโรค ซึ่งนำไปสู่การป้องกันการส่งเสริมสุขภาพของผู้ประกันตน หรือหากพบความผิดปกติจะได้รับการบำบัดรักษาตั้งแต่ระยะแรกตามรายการ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการแพทย์กำหนด ซึ่งจะดูตามอายุและความจำเป็น เช่น การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข ผู้ประกันตนอายุ 30 - 39 ปี ตรวจได้ทุก 3 ปี แต่หากอายุ 40 - 54 ปีตรวจได้ทุกปี หรือการตรวจน้ำตาลในเลือดอายุ 35 - 54 ปี ตรวจทุก 3 ปี แต่หากอายุ 55 ปีขึ้นไปตรวจได้ 1 ครั้งต่อปี หรือการเอ็กซเรย์ทรวงอก Chest x–ray ได้ปีละ 1 ครั้งอายุ 15 ปีขึ้นไป
 
ทั้งนี้ เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เตรียมหารือสำนักงานประกันสังคม(สปส.) ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ ประเด็นข้อเรียกร้องมาตรา 63(2) เรื่องการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตน ของ พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับแก้ไข ฉบับที่ 4/2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2558 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในการออกระเบียบหรือกฎกระทรวงเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บก.จร.รับโดนเจาะระบบจริง เพจต้าน Single Gatewayฯ เริ่มปล่อยข้อมูลเงินเดือน ตร.

$
0
0

เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gatewayฯ เริ่มปล่อยฐานข้อมูลเงินเดืนตำรวจ ยันไม่ได้ลบข้อมุลใดๆ แค่เตือนแรงๆ ค้าน พ.ร.บ.คอมฯ ให้ จนท.ตระหนักถึงข้อมูลส่วนบุคคลว่าประชาชนห่วงแหน ด้านกระทรวงต่างประเทศ ปัดแฮกเกอร์โจมตีเว็บ

 

22 ธ.ค. 2559 ภายหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่าน ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปแล้ว ยังคงมีกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือเพจ 'พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway' ที่มีปฏิบัติการต่อต้านผ่านโลกอินเตอร์เน็ต เช่นนัดชุมนุมออนไลน์หรือเข้าไปกด F5 ทางเว็บไซต์ราชการต่างๆ หรือเมื่อเวลา 17.20 น. วันนี้ (22 ธ.ค.59) เพจดังกล่าวประกาศว่าได้เจาะเข้าฐานบัญชีเงินเดือน ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพันนาย  และเวลาต่อมาคือ 20.30 น. เพจดังกล่าวได้นำข้อมูลบางส่วนมานำเสนอ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของตำรวจทางหลวง โดยระบุว่า ไม่ได้ลบข้อมุลใดๆ ในฐานข้อมุลทางการเงินเลย นี่คือการเตือนแรงๆ อีกครั้ง

"เจตนาจะแสดงให้เห็นเท่านั้นว่า ข้อมุลส่วนบุคคลของประชาชน ทุกคนย่อมหวงแหน และอยากมีพื้นที่ส่วนตัว แล้วในเมื่อกฎหมายเหล่านี้ที่มาละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้คน ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายว่าด้วยคอมฯ (ที่ผ่านแล้ว) หรือ กฎหมายไซเบอร์ ที่กำลังจะดันกันต่อไป เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ?" เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gatewayฯ ระบุ
 

บก.จร.ยอมรับ โดนเจาะระบบจริง

ขณะที่ก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 18.57 น. สปริงนิวส์รายงานว่า พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร กล่าวยอมรับว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (21 ธ.ค.) เว็บไซต์ trafficpolice ของกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ถูกผู้ไม่หวังดีแฮกระบบเข้าไปแก้ไขข้อมูล ส่วนที่เป็นกระดานข่าวของเว็บไซต์ ที่มีไว้สำหรับให้เจ้าหน้าที่แอดมินล็อกอินเข้าไปโพสต์แจ้งข่าวสารในแต่ละวัน โดยภายหลังจากที่ทราบว่าถูกแฮกเว็บไซต์ ได้ประสานให้ผู้ที่ดูแลเว็บเข้ามาแก้ไขแล้ว เบื้องต้นได้ระงับการเข้าถึงเว็บไซต์ไว้ก่อน เพื่อเร่งแก้ไขในส่วนที่ถูกแฮก ทำให้ขณะนี้ประชาชนยังไม่สามารถเข้าเว็บ บก.จร.ได้ชั่วคราว 
 
ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single gatewayฯ โพสต์ข้อมูลอ้างว่า สามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนข้อมูลกล้องวงจรปิดตามแยกต่างๆ ได้ ยืนยันไม่กระทบกับระบบกล้อง เนื่องจากเว็บไซต์ของ บก.จร.ไม่ได้เชื่อมกับระบบกล้องจราจร หรือระบบควบคุมภายนอกใดๆ อย่างไรก็ตาม บก.จร.อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อเตรียมแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
 

กระทรวงต่างประเทศ ปัดแฮกเกอร์โจมตีเว็บ

สำนักข่าวไทยรายงานด้วยว่า เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข่าวว่าแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศนั้น กระทรวงได้ตรวจสอบแล้วและขอยืนยันว่าเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศยังใช้งานได้ตามปกติ และไม่มีการแฮกข้อมูลของหน่วยงานแต่ประการใด
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.จ่อเสนอแก้ระบบอุปถัมภ์ในราชการ ห้ามตีกอล์ฟกับผู้มีส่วนได้ประโยชน์ เกษียณห้ามนั่งปรึกษาธุรกิจ

$
0
0

22 ธ.ค. 2559 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันจากรัฐสภาว่า ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 23 ธ.ค.นี้ จะมีวาระการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง “การแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรม” ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรม ที่มีพล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ เชิดบุญเมือง เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยได้สรุปปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบราชการไทยไม่สามารถพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะระบบราชการในสังคมไทยยังมีการใช้ระบบอุปถัมภ์ที่ยึดความพึงพอใจของบุคคลเป็นสำคัญ มิได้คำนึงถึงหลักคุณธรรม ความเสมอภาค ความรู้ความสามารถ ทำให้ข้าราชการขาดขวัญกำลังใจ คนเก่งคนดีไม่สามารถอยู่ในระบบได้ กลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต ซึ่งระบบอุปถัมภ์ได้สร้างความเสียหายหลายมิติ และความเสียหายที่ประเทศชาติต้องสูญเสียไปนั้น กลับไปสร้างประโยชน์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ของบ้านเมือง

คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยได้แก่ 1.การดำเนินการด้านนิติบัญญัติ รัฐสภาควรทบทวนปรับปรุงกฎหมายที่มีช่องว่างให้เกิดระบบอุปถัมภ์ ให้มีความทันสมัย 2.การดำเนินการด้านบริหาร ได้แก่การยกระดับการแก้ปัญหาอุปถัมภ์เป็นวาระแห่งชาติ การมีประมวลจริยธรรมที่ต้องมีจิตสำนึกและปฏิบัติอย่างจริงจังดังเช่นกฎเกณฑ์บางประเทศที่มีมาตรการป้องกันทุจริตคอร์รัปชั่น เช่น การห้ามรับของขวัญ รับเลี้ยง รับสินบน หรือเล่นกอล์ฟกับผู้มีส่วนได้ประโยชน์ การห้ามข้าราชการที่เกษียณอายุเป็นที่ปรึกษาให้ภาคธุรกิจที่ข้าราชการผู้นั้นเคยมีอำนาจในหน่วยราชการนั้นๆ อย่างน้อย 2 ปี ตลอดจนการกำหนดระเบียบปฏิบัติราชการให้ผู้บริหารระดับสูงพึงระวังในการลดการมีผู้ติดตามหรือช่วยงานในกรณีพิเศษ เช่น การช่วยงานหน้าห้องให้เหลือน้อยลงเท่าที่จำเป็น เพื่อลดโอกาสการใช้ความใกล้ชิด ประจบสอพลอให้เกิดการอุปถัมภ์ที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่ทำงานในระบบปกติ
 
3. ข้อเสนอการดำเนินการด้านตุลาการและกระบวนการให้ความเป็นธรรม ควรลดขั้นตอนกระบวนการเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้รวดเร็ว เป็นธรรม และเร่งเยียวยาผู้เสียหายทันที เมื่อรับทราบความเสียหายที่เกิดขึ้น และกรณีที่ป.ป.ช.ตรวจสอบพบในเบื้องต้นว่า ข้าราชการระดับสูงมีมูลความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกร้องเรียน ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะวินิจฉัยเสร็จ และ 4. ข้อเสนอแนะการดำเนินการด้านสังคมและการรับรู้ ได้แก่ การจัดอบรมหลักสูตรปลูกฝังนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ควรวางกรอบของหลักสูตรเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองอย่างแท้จริง มิใช่ประเภทที่หวังเข้ามาอบรมเพราะต้องการมีคนรู้จัก สนิทสนมในแวดวงต่างๆ โดยเฉพาะหลักสูตรของหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรม ต้องระวังให้มาก ไม่ให้ใช้โอกาสของความใกล้ชิดสนิทสนมการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของหลักสูตรต่างๆมาแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดการอุปถัมภ์กันในลักษณะต่างๆ
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทุกคนบริสุทธิ์จนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด 'โฆษกศาล' แจงเหตุให้ประกัน 'หมอนิ่ม'

$
0
0

โฆษกศาลยุติธรรม อธิบายข้อกฎหมายการปล่อยชั่วคราว 'หมอนิ่ม-ทนายอี๊ด'  ฐานจ้างวานฆ่า 'เอ็กซ์ จักรกฤษณ์' ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีที่อยู่-ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งแน่นอน จึงไม่สงสัยว่าจะหลบหนี และต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด

23 ธ.ค. 2559 จากกรณีศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาประหารชีวิต พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม ฐานจ้างวานฆ่า จักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม สามีและอดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย เหตุเกิดเมื่อปี 2556 รวมทั้งสั่งประหาร สันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด ทำหน้าที่จัดหาทีมฆ่าเช่นกัน ขณะที่มือปืนและคนขี่รถจักรยานยนต์ให้จำคุกตลอดชีวิต พร้อมให้ชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาท ส่วนแม่ของหมอนิ่มให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานเบิกความขัดแย้งกันและเชื่อว่ารับผิดแทนลูก โดยศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลเห็นว่าจำเลยมีหน้าที่การงานและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีในชั้นพิจารณาคดี ในชั้นนี้จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขจำเลยห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล 

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.59 ข่าวสดออนไลน์สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม อธิบายข้อกฎหมายการปล่อยชั่วคราว จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พญ.นิธิวดี และสันติ  จำเลยที่ 3-4 คดีจ้างวานฆ่าจักรกฤษณ์ ว่าการที่ศาลจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จะต้องปรากฏเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 กล่าวคือ 1.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี 2.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน 3.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น 4. ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ 5.การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

สืบพงษ์ กล่าวอีกว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาลตาม (2) (3) และ (5) คงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเพียงว่าจำเลยจะหลบหนีหรือไม่ โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีภูมิลำเนาที่อยู่และประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งแน่นอน จึงไม่มีพฤติการณ์ที่สงสัยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 น่าจะหลบหนี ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่างๆ ในสำนวนคดีเป็นเรื่องๆ ไป เพราะข้อเท็จจริงในแต่ละสำนวนไม่เหมือนกัน

เมื่อหลักประกันที่ผู้ร้องขอประกันน่าเชื่อถือ ศาลอุทธรณ์จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 และที่ 4 อันเป็นการพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยกำหนดมาตรการป้องกันการหลบหนีด้วยการห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เดินทางออกนอกราชอาณาจักรสอดคล้องกับหลักการอันเป็นสากลว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นประชาธิปไตย

$
0
0

 

 

ท่ามกลางความพยายามปฏิรูปการศึกษาด้วยวิธีต่าง ๆ ที่มักมาจากคนกลุ่มเดิม ๆ ราวกับว่า ผู้มีส่วนได้เสียกับการศึกษาเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เสมือนคุณพ่อ/คุณแม่รู้ดี ที่สมานสามัคคีปฏิรูปการศึกษาบนความดีและความห่วงใย มากไปกว่าความต้องการของเด็กและความเป็นจริงของโลก โดยเฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงการศึกษาถูกพูดผ่านรัฐหรือนักการศึกษาที่ยังคงยึดโยงกับโลกในอดีตอยู่ ไม่ว่าจะปฏิรูปกันอีกสักกี่ร้อยครั้ง สิ่งที่ยังคงเดิมตลอดกาล ไม่ถูกทำให้เปลี่ยนผ่านเสียที คือ สุดท้ายแล้วเราไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นประชาธิปไตย

การศึกษาอย่างเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่การศึกษาเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งควรต้องศึกษาอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่คือการศึกษาบนวัฒนธรรมประชาธิปไตย ตราบใดที่เรายังเชื่อว่า เด็กมันโกง (เราจึงบังคับให้เรียนหลักสูตรโตไปไม่โกง) เด็กมันเลว (เราจึงบังคับให้ทำสมุดความดี) เด็กมันบาป (เราเลยต้องแก้กรรม ทำพิธีล้างบาป) การศึกษาที่เรากำลังสร้าง ก็ไม่ใช่การศึกษาอย่างเป็นประชาธิปไตย เพราะมันคือ การศึกษาของเด็ก เพื่อเด็ก แต่โดยผู้ใหญ่ เมื่อเราสร้างการเปลี่ยนแปลงบนฐานคิดเช่นนี้แล้ว เราจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า เรานั้นฉลาดกว่า เพียบพร้อมกว่า เก่งกว่า เข้าใจอะไรมากกว่าพวกเด็ก ๆ ทำให้เรารู้สึกว่า กำลังถูกท้าทายและกระทบกระแทกอย่างหนัก เมื่อเห็นสิ่งที่เราโง่กว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ กำลังมาแทนที่การศึกษาที่เราปรารถนาอย่างเพ้อฝันว่าจะเห็นมัน เช่น เกม อินเทอร์เน็ต โลกดิจิทัล การวิพากษ์วิจารณ์ การตั้งคำถามต่อความเป็นชาติ ศาสนา ประวัติศาสตร์ในกระแสนิยม ไม่ทันที่เราจะใช้สติที่อุตส่าห์ไปฝึกภาวนามาหลายสิบปี เราก็ตีตราเด็กพวกนี้ไปแล้วว่า ก้าวร้าว หรือเสพติด

แม้เราจะหยั่งเสียงเด็ก ๆ ดูบ้าง เพราะหลัง ๆ มานี้ พื้นที่ในเฟซบุ๊กของนักปฏิรูปการศึกษาก็ถูกรบกวนจากความคิดเห็นของคนที่อยู่ในการศึกษาจริง ๆ อย่างคนรุ่นใหม่ ซึ่งตั้งคำถามจี้ใจดำ ทำนองว่า ที่นั่ง ๆ รับตังค์ค่าประชุมกันอยู่ ไม่เห็นมีพวกกูเลยสักคน ปฏิรูปการศึกษาแต่ละครั้ง ก็มีแต่นักอุดมคติการศึกษา ที่มักเทไปในทิศทางที่ฉุดรั้งอนาคตของประเทศ และปฏิเสธโลกสมัยใหม่ อาทิ อินเทอร์เน็ต หรือ เทคโนโลยีอย่างหนักแน่น ด้วยการหาผู้เชี่ยวชาญมาป้ายความป่วยใส่เด็กพวกนี้ เมื่อยอมรับในความจริงได้ระดับนึง วงปฏิรูปการศึกษาจึงคัดเลือกแล้วคัดเลือกอีก และเชิญเด็กที่ดูแล้วช่างถกเถียงในระดับที่ยังควบคุมได้ มานั่งโปะ ๆ เป็นตัวประกอบฉาก เพื่อจะได้อ้างอย่างเต็มอาญาสิทธิว่า นี่ไงเห็นมั้ย เรามีข้อเสนอจากเสียงเด็กด้วยนะ โดยลืมไปว่า เด็กที่คัดมานั้น ก็ล้วนแล้วมีแต่หน้าเดิม ๆ เป็นเด็กแห่งความประนีประนอม และจงใจลืมไปว่า เด็กเหล่านี้มาจาก ‘คอนเนคชั่น’ ล้วน ๆ คือรู้จักลูกเต้าเหล่าใครก็ลาก ๆ กันมา เหมือนเวลาไปก่อม๊อบ ไม่ใช่เด็กที่รู้สึกและเผชิญหน้ากับปัญหาจริง ๆ ยังไม่นับรวมวิธีการเลี่ยงไม่ให้มีความคิดเห็นเด็ก เช่นการจัดเวที จัดวงประชุม ช่วงกลางวันวันธรรมดาซึ่งตรงกับเวลาเรียน เป็นต้น

เมื่อเราปฏิรูปการศึกษา โดยไม่มีเด็กอยู่ในสมการจริง ๆ เพราะเราเชื่อว่า เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ ทั้งที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงแทบจะทั่วทุกพื้นที่ เพราะถ้าเด็กเรียนรู้ด้วยตนเองเมื่อไร มันจะรู้จักวิธีการขายตัว มั่วสุมยาเสพติด ท้องก่อนแต่ง และอีกมากมายปัญหาเท่าที่พจนานุกรมจะบัญญัติไว้ นั่นทำให้เรามีมูลนิธิหรือนักการศึกษาหรือหน่วยงานที่เชื่อว่าตนเองกำลังปฏิรูปการศึกษา บนคำพูดสวยหรู ที่พูดอย่างไรก็ถูก เช่น การกระจายอำนาจ การจัดสรรงบประมาณ การประเมินผล ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันกลับบอกว่า การรณรงค์เรื่องบังคับตัดผมนั้นเป็นกระพี้ (จนกระทั่ง แม้แต่คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิถือไมค์ในระยะหลังมานี้ ก็ล้วนแล้วแต่พูดเรื่อง การประเมิน งบประมาณทั้งสิ้น อ้อ การศึกษามันล้างสมองเราอย่างนี้นี่เอง)

โครงการที่สนับสนุนให้เด็กทำเอง จึงมีแต่โครงการลักษณะจิตอาสา พัฒนาท้องถิ่น ฯลฯ เพราะประเด็นเหล่านี้ช่วยขัดเกลาให้เด็กเจียมเนื้อเจียมตน ไม่เอาเวลาไปเรียกร้องอะไรที่ฟังแล้วบาดหูผู้ใหญ่ และเราก็มีแต่งานวิจัยที่มุ่งเป้าทำลายคุณค่าร่วมสมัยของคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น เราจึงไม่เคยมีการสนับสนุนให้เด็กพูดเรื่อง คุณค่าของอินเทอร์เน็ตและเกม ,ความเป็นธรรมในโรงเรียน ,การละเมิดสิทธิโดยครู ,ความหลากหลายทางเพศ ,ความสำคัญของการคิดเชิงวิพากษ์ ,สิทธิทางเนื้อตัวร่างกาย ,การ Bully

โรงเรียนที่ไม่ว่าจะปฏิรูปจนช้ำเลือดช้ำหนองกันขนาดไหน จึงมีแต่การไปแตะ ๆ เขี่ย ๆ กันแค่เรื่องงบประมาณ การประเมิน เพราะเรื่องพวกนี้ปลอดภัยดี ในขณะที่ครูซึ่งใช้ความรุนแรงกับเด็กทั้งที่เป็นและไม่เป็นข่าวก็ยังคงสบายดี บางรายยังได้รับดอกไม้ให้กำลังใจอีกด้วย นักเรียนจึงถูกบอกผ่านกฎระเบียบเสมอว่า ถ้าทำผิดจะโดนอะไร แต่ไม่เคยมีกฎที่ชัดเจนข้อไหนบอกว่า ถ้าครูทำผิด ถ้าโรงเรียนทำผิด ถ้ากฎที่ใช้อยู่นั้นผิด เราจะทำอย่างไรได้บ้าง

ดังนั้น เราก็อย่าหลอกตัวเองอีกเลยว่า เรากำลังปฏิรูปการศึกษา เรามายอมรับกันตรง ๆ ดีกว่า ว่าเรากำลังทำธุรกิจบนปัญหาของเด็ก ๆ เว้นแต่ถ้าเรายังมีความจริงใจกันอยู่บ้าง ก็อาจเริ่มจากความเชื่อในการทำงานพื้นฐานในโลกสมัยใหม่คือ เชื่อว่าการศึกษาต้องดำเนินไปอย่างเป็นประชาธิปไตย เป็นการศึกษาของผู้เรียน โดยผู้เรียน และเพื่อผู้เรียน

ถ้าอ่านมาถึงจุดนี้แล้วยังเกิดอคติบังตาอยู่ว่า แหม บทความโลกสวย ถ้าผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตัวเองจริง ๆ มันจะเข้าสังคมกันได้อย่างไร ขอให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น


 

หมายเหตุ:บทความเผยแพร่ครั้งแรกในโครงการ Relearn ห้องเรียนเดินได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักปรัชญาชายขอบ: ศีลธรรมอันดีหรือศีลธรรมอำนาจนิยม?

$
0
0


 


"ในเมื่อเราเป็นประเทศที่เป็นพุทธเป็นส่วนใหญ่นะ
เขาเขียนคำว่าศีลธรรมอันดี ไม่รู้จักคำว่าศีลธรรมอันดีหรอ ..
ถ้าทำอะไรผิดศีลธรรมอันดีมันก็คืออะไรล่ะ
ศีลธรรมคือความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศชาติ
ถ้าไม่เข้าใจคำนี้ไม่ต้องทำอย่างอื่นหรอก"

พลเอกประยุทธ์ จันทร์ โอชา
(ที่มา http://prachatai.org/journal/2016/12/69333)


ข้อความข้างบนเป็นคำถามของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต่อประชาชนกว่า 3 แสนคน ที่ลงชื่อต่อต้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีประเด็นสำคัญที่เราควรช่วยกันคิดคือ

- หนึ่ง -

นิยาม “ศีลธรรมอันดี” แบบพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเป็นนิยามศีลธรรมอันดีของชนชั้นนำสยามไทยที่มีมานาน ที่แปลกมากคือชนชั้นกลางไทยที่มีการศึกษาสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนที่มีบทบาทเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์ นักวิชาการ เป็นสื่อ เป็นเจ้าของสื่อ เป็นนักการเมือง หรือพูดรวมๆ บรรดาคนที่มีบทบาทนำในทางความคิด และ “เสียงดังกว่า” ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนั้น ส่วนหนึ่งหรือส่วนมากเรียนจบมาจากประเทศเสรีประชาธิปไตยแทบทั้งนั้น แต่ทำไมถึงยอมรับ ไม่ตั้งคำถามต่อนิยามศีลธรรมอันดีแบบชนชั้นนำที่ทั้งให้ความชอบธรรม (legitimation) แก่ระบบอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเป็นอำนาจครอบงำ (domination) ความคิดทางศีลธรรมของสังคมไทยมายาวนาน


- สอง –

ทำไมเมื่อพูดถึง “ศีลธรรม” เราจึงนึกถึงศาสนา โดยเฉพาะ “พุทธศาสนา” และยังนึกถึงศีลธรรมแบบพุทธศาสนาในความหมายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ คำตอบก็คือ การรับรู้ ความเข้าใจ หรือ “ความทรงจำร่วม” ดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นและปลูกฝังโดยชนชั้นนำช่วงเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นสมัยใหม่ยุคอาณานิคมเป็นต้นมา และถูกผลิตซ้ำ เน้นความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านสถาบันศาสนา สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง หรือมีความต่อเนื่องมากกว่าเมื่อเทียบกับ “การสร้างประชาธิปไตย” (democratization) ที่กระท่อนกระแท่น ไม่มีความต่อเนื่อง


- สาม –

ชนชั้นนำสร้างศีลธรรมพุทธศาสนาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติอย่างไร คำตอบก็คือ ชนชั้นนำสร้างศีลธรรมแบบพุทธศาสนาให้มี “ความเป็นสมัยใหม่แบบไทย” ด้วยการแยกศีลธรรมพุทธศาสนาออกเป็น “ศีลธรรมทางโลก” (โลกียธรรม) กับ “ศีลธรรมเหนือโลก” (โลกุตตรธรรม) ที่มักจะพูดสั้นๆ ว่า “ทางโลก” กับ “ทางธรรม”

ศีลธรรมทางโลก ก็คือข้อปฏิบัติสำหรับฆราวาส เช่นทศพิธราชธรรม ฆราวาสธรรม ทิศ 6 การละเว้นอบายมุข ความขยันมั่นเพียร และอื่นๆ เพื่อการมีชีวิตที่ดีทางโลกของฆราวาส ส่วนศีลธรรมเหนือโลกหรือทางธรรมก็เป็นแนวปฏิบัติของพระที่ละทางโลก มุ่งละกิเลสหรือความหลุดพ้น แต่ศีลธรรมทางโลกที่ว่านี้ก็ยังเป็น “ศีลธรรมแบบศาสนา” (religious morality) ที่ใช้ปลูกฝังภายใต้โครงสร้างสังคมศักดินา ฉะนั้นโลกียธรรมหรือศีลธรรมทางโลกแบบพุทธไทยก็คือ ศีลธรรมที่สอนให้คนเป็น “คนดี” หรือ “พลเมืองดี” ในความหมายแบบเป็นพลเมืองผู้รู้  “หน้าที่” ตามสถานภาพพ่อ แม่ ลูก ครูอาจารย์ ศิษย์ เจ้านาย ลูกน้อง พระ ฆราวาส ผู้ปกครอง ผู้ใต้ปกครอง ที่ถูกกำหนดไว้ภายใต้ลำดับชั้นสูง-ต่ำในโครงสร้างสังคมศักดินา

ศีลธรรมทางโลกแบบพุทธไทยดังกล่าว ได้ถูกปลูกฝังผ่านสถาบันศาสนา ที่มี “ศาสนจักรของรัฐ” (มหาเถรสมาคม) เป็นกลไกสำคัญ และผ่านสถาบันการศึกษาของรัฐ ภายใต้นโยบายที่ต้องการให้  “ผู้ใต้ปกครอง” มีความรู้วิชาชีพควบคู่กับศีลธรรมจรรยา ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาไทยถูกผนึกรวมเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติ ภายใต้อุดมการณ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ศีลธรรมแบบพุทธก็กลายเป็นเนื้อเดียวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ

ฉะนั้น การปลูกฝังศีลธรรมแบบพุทธไทย ผ่านสถาบันศาสนา สถาบันการศึกษาของรัฐ จึงไม่ใช่เพียงแต่การสร้างพลเมืองให้มี “ความรู้วิชาชีพควบคู่กับศีลธรรมจรรยา” หรือให้มี “ความรู้คู่คุณธรรม” อย่างที่ท่องจำกันในปัจจุบันเท่านั้น แต่เป้าหมายสำคัญสูงสุดคือ การสร้างพลเมืองให้มีจิตสำนึกจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความหมายของ “ศีลธรรมอันดี” ตามที่พลเอกประยุทธ์พูด จึงถูกต้องตามกรอบคิดศีลธรรมอันดีที่ผลิตสร้างโดยชนชั้นนำสยามไทย ตั้งแต่ยุคอาณานิคมหรือยุคปรับตัวสู่ความเป็นสมัยใหม่ดังที่กล่าวมา


- สี่ –

อย่างไรก็ตาม การทำให้ศีลธรรมพุทธศาสนามี “ความเป็นสมัยใหม่แบบไทย” ก็ไม่ใช่ความเป็นสมัยใหม่ หรือ modernity ในแบบสากล เพราะศีลธรรมที่เป็น modernity ในแบบสากล ไม่ใช่ religious morality แต่เป็น secular morality ที่วางอยู่บนหลักการเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรมอะไร

เวลาเราพูดถึง “รัฐชาติ” หรือ “รัฐประชาชาติ” สมัยใหม่นั้น ประชาชนที่รวมเป็นชาติย่อมมีหลายศาสนา หลากความเชื่อ ฉะนั้น ศาสนาจึงไม่ใช่ศูนย์รวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน แต่ประชาชนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ย่อมถูกเชื่อมโยงเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้ “รัฐธรรมนูญ” และกฎหมายอื่นๆ ที่บัญญัติขึ้นบนหลักการแห่งสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เพื่อสร้างพื้นที่ต่อรอง การมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมืองภายใต้ระบบ หรือกติกาที่ free และ fair สำหรับทุกคนในฐานะเป็นคนเสมอกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกสมัยใหม่จึงแยกศีลธรรมแบบศาสนาให้เป็น “ศีลธรรมส่วนบุคคล” (individual morality) คือให้การเรียนรู้และปฏิบัติในเรื่องศีลธรรมแบบศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว ที่แต่ละคนจะรับผิดชอบดูแลกาย วาจา ใจ หรือมิติด้านจิตวิญญาณของตนเองตามความเชื่อทางศาสนาที่แต่ละคนมีเสรีภาพจะเลือกนับถือ หรือจะเลือกไม่นับถือศาสนาใดๆ จะสร้างทางเลือกการมีชีวิตที่ดีส่วนตัวในรูปแบบใดๆ ก็ได้ ตราบที่ไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ส่วน “ศีลธรรมทางสังคม” (social morality) คือศีลธรรมโลกวิสัย หรือ secular morality ส่วนที่เป็นหลักการสากล คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค หรือพูดกว้างๆ คือหลักสิทธิมนุษยชน


- ห้า -

จะเห็นว่าศีลธรรมทางสังคมในโลกสมัยใหม่เป็นเรื่องของ “ความถูกต้อง” (rightness) ของหลักการที่เป็นสากล คือหลักการที่ใช้กับทุกคนเสมอกัน หรือในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่พูดถึงความดีของบุคคล หรือตัวบุคคล ซึ่งในที่สุดแล้วมักโยงกับความภักดีต่อตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพระศาสดาของศาสนานั้นๆ หรือบุคคลที่ถูกยกย่องว่าเป็น “ปูชนียะ” ในลักษณะต่างๆ 

ที่หลักการสากล (เช่นหลักสิทธิมนุษยชน) เป็น “ศีลธรรม” ก็เพราะว่าหลักการดังกล่าวเป็น “คุณค่า” (values) ที่พึงปรารถนา หรือควรแสวงหา หรือควรสร้างขึ้น เพื่อความยุติธรรมในการอยู่ร่วมกันของเราทุกคน

ในรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ หลักการสากลเช่นหลักประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน จึงต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก่อน (priority) ศีลธรรมแบบศาสนา เพราะหลักการสากลเป็นเรื่องของ “ความดีสาธารณะ” ที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของทุกคนเสมอกัน แต่ศีลธรรมศาสนาเป็นเรื่องของ “ความดีเฉพาะ” ส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่นับถือศาสนานั้นๆ

เมื่อหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสำคัญกว่าศีลธรรมแบบศาสนา “ศีลธรรมอันดี” ที่เป็นหลักการทางสังคมจึงไม่ใช่ศีลธรรมแบบศาสนา เพราะศีลธรรมแบบศาสนาเป็นศีลธรรมอันดีส่วนบุคคล ไม่ใช่ศีลธรรมอันดีทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น คนทำผิดศีล 5 ดื่มเหล้าเมานอนอยู่ที่บ้าน ไม่ไปขับรถหรือละเมิดคนอื่น รัฐจะไปเอาผิดเพราะข้ออ้างเรื่อง “ละเมิดศีลธรรมอันดี” ไม่ได้ แต่การละเมิดศีลธรรมที่เป็นหลักการสากล เช่นหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของมนุษย์ ย่อมเป็นการละเมิด “ศีลธรรมอันดี” ของสังคมที่รัฐเอาผิดได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า การล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตย หรือการฉีกรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเป็น “ความผิดฐานเป็นกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิต” เพราะเป็นการทำลายหลักการสากลอันเป็น “ศีลธรรมอันดี” ที่ทุกคนในสังคมยึดถือร่วมกัน


- Big Question -

คำถามสำคัญสำหรับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 คือ สังคมเราพร้อมที่จะยกระดับเป็นสังคมที่สามารถจะมี “ศีลธรรมอันดี” ที่เป็นหลักการสากล คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของมนุษย์ หรือพูดรวมๆ คือหลักสิทธิมนุษยชนที่กินความครอบคลุมถึงหลักสิทธิพลเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยกันหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อม เราก็ยังคงเป็นสังคมที่ไม่สามรถจะมีศีลธรรมอันดีได้จริง จะมีก็เพียง “ศีลธรรมอำนาจนิยม” ที่ลดทอน ปิดกั้นไม่ให้ศีลธรรมอันดีตามหลักสากลสมัยใหม่เกิดขึ้นและงอกงามได้เท่านั้นเอง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: ธุรกิจล็อบบี้ยุคทรัมป์

$
0
0



   

งานล็อบบี้ที่ดำเนินการโดยล็อบบี้ยิสต์ หรือโดยบริษัทล็อบบี้ยิสต์นั้น เป็นเรื่อง/ธุรกิจปกติในกฎหมายและสังคมอเมริกัน

หมายความว่า งานล็อบบี้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายอย่างหนึ่งในอเมริกา ที่ในปัจจุบันมีบริษัทล็อบบี้จดทะเบียนร่วมร้อยบริษัท พื้นเพของบริษัทดังกล่าว มิได้มาจาก ดี.ซี.แอเรีย อย่างเดียว หากมาจากเกือบทุกพื้นที่หรือเกือบทุกมลรัฐในอเมริกา

เรียกได้ว่างาน/ธุรกิจล็อบบี้ในอเมริกาทำกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างยิ่ง แม้ในจนทุกวันนี้

และสิ่งที่ผมเห็นด้วยตาทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน ก็คือหลายประเทศพันธมิตรของอเมริกาจับจุดเรื่องธุรกิจล็อบบี้นี้มาใช้กับการดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศและด้านเศรษฐกิจของตน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ประเทศเหล่านั้นวางแผนใช้งานล็อบบี้ยิสต์อย่างเป็นระบบ สามารถเข้าถึง “บุคคลของฝ่ายอเมริกัน” ที่มีบทบาทในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการต่างประเทศ ความมั่นคง หรือทางด้านเศรษฐกิจ

เรียกว่า หากสามารถเข้าถึงตัวบุคคลเหล่านั้นก็มีชัยไปกว่าครึ่ง

“บุคคลฝ่ายอเมริกัน”ที่ผมพูดถึงนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายการเมือง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับคณะผู้บริหารหรือฝ่ายบริหารของรัฐบาลอเมริกันไล่ลงมาตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี เลขานุการฯ และที่สำคัญคือ นักการเมืองในสภาทั้งสอง คือสภาบนและสภาล่างผู้มีส่วนสำคัญในการออกกฎหมายต่างๆ

เมื่องานล็อบบี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายอเมริกัน ที่สำคัญคือมันซ้อนอยู่ในรูปแบบของความเป็นวัฒนธรรมอเมริกันด้วยอีกส่วนหนึ่ง ทำให้รัฐบาลของบางประเทศ หันมาใช้วิธีการผลักดันสิ่งที่รัฐบาลต้องการผ่านระบบล็อบบี้ทางการเมือง/ธุรกิจของบริษัทอเมริกัน ด้วยความเข้าใจว่างานล็อบบี้นั้นมิใช่จะใช้เงินซื้อเอาได้เพียงอย่างเดียว หากยังต้องอาศัยการสร้างความสัมพันธ์ หรือมิตรภาพกับบุคคลฝ่ายอเมริกันอีกด้วย ดังนั้นเรื่องดังกล่าวนี้จึงถูกยกระดับขึ้นเป็นหน้าที่ของเอกอัคราชทูต กงสุลหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ที่ไปมีสถานทูต เจ้าหน้าที่ทูตอยู่ในอเมริกา

เท่าที่เห็นมา และมีการทำงานอย่างได้ผลคือ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อย่างเช่น สถานทูตเมียนมาร์ ที่วอชิงตัน ดี.ซี. พวกเขาทำงานร่วมกับล็อบบี้ยิสต์อเมริกันมาเป็นเวลายาวนานก่อนหน้าที่รัฐบาลโอบามาจะปลดล็อกความสัมพันธ์ทั้งสองปะเทศที่ปิดตายมานานหลายปี เริ่มตั้งแต่การจัดปาร์ตี้ ณ สถานทูต เชิญนักการเมืองอเมริกันทั้งสองสภามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ก่อนที่จะนำไปสู่การเยือนเมียนมาร์ของสว.อเมริกันบางคน เช่น สว. Jim Webb แห่งเวอร์จิเนีย เป็นต้น นับเป็นการเปิดฉากสร้างความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ จนบารัก โอบามา ได้ไปเยือนเมียนมาร์ เจอ เต็งเส่ง/อองซานซูจี และเปิดความสัมพันธ์ตามปกติในที่สุดในทุกด้าน แน่นอนกฎหมายตัดสิทธิ์ต่างๆ ที่เคยมีต่อเมียนมาร์ก็ได้รับการยกเลิกไปด้วย

ขณะที่ในส่วนของฝ่ายไทย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนทัศนคติเกี่ยวกับการล็อบบี้ส่วนใหญ่ทั้งจากฟากรัฐบาลหรือแม้กระทั่งเอกชน เป็นไปในทางลบยิ่งกว่าบวก ทำให้หน่วยงานที่รับช่วงอำนาจหน้าที่ คือมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติสนองนโยบายของรัฐ ซึ่งก็คือหน่วยงานของรัฐบาลไทยในอเมริกานั่นเอง อย่างเช่น หน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศทั้งหลายต่างก็อยู่กันแบบ “ใส่เกียร์ว่าง” แทบไม่ได้มีความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลในวงการเมืองและวงการอื่นๆ ในภาคส่วนของอเมริกันเลย หากเทียบกับเจ้าหน้าที่ทางการทูตของเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว หรือเวียดนาม (ชาติเหล่านี้ มักมีกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลฝ่ายอเมริกัน เช่นนักการเมืองอเมริกันอยู่เนืองๆ) โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงตัวแทนของรัฐบาลจีนในอเมริกาที่ก้าวหน้าไปมากกว่าชาติอื่นๆ โดยมีเอกชนจีนร่วมลงเรือในขบวนด้วย ทั้งนี้ จุดเด่นของฝ่ายจีนอยู่ทีความพยายามในเรื่องเศรษฐกิจ เช่น การหาทางขยายตลาดสินค้าจากจีนมายังอเมริกา สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทจีนในบริษัทอเมริกัน เป็นต้น แม้ภาพภายนอกจะดูเสมือนว่า จีนกับอเมริกา ไม่ค่อยกินเส้นกันมากนักก็ตาม

น่าสังเกตว่า การทำหน้าที่ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับงานล็อบบี้ในอเมริกาของเจ้าหน้าของรัฐบาลไทย ยังอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมเหมือนเมื่อ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา กล่าวคือทำงานโดยแยกงานด้านการทูตออกจากงานด้านอื่น เป็นการทำงานแบบแยกส่วน ไม่ได้เป็นองค์รวม แบบแนวทางการทูตสมัยใหม่ที่ผนวกรวมงานด้านล็อบบี้ หรือแม้กระทั่งงานด้านพาณิชย์รวมเข้าไปด้วย เพราะถือว่าเป็นงานด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่มีสถานทูตตั้งอยู่เช่นกัน นับเป็นมิติทางการทูตแบบใหม่ที่หลายประเทศนิยมใช้ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่งานล็อบบี้เป็นธุรกิจถูกกฎหมายยอย่างหนึ่ง

โดยต้องไม่ลืมว่าในขณะเดียวกันงานล็อบบี้ในอเมริกานั้น หากบุคลากรทางการทูตเก่งพอ อาจไม่ต้องลงทุนมากก็ได้ การสร้างคอนเนกชั่นที่ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินหว่านหรือจ้างฝ่ายอเมริกันเสมอไป การว่าจ้างหรือให้ผลตอบแทนนั้น ดีไม่ดีหากไม่ระวังถึงข้อกฎหมายที่มีอยู่ก็อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายอเมริกัน เช่น กฎหมายการรับเงินของพรรคการเมือง ก็เป็นได้ ดังที่เคยเกิดกรณีนี้กับล็อบบี้ยิสต์หญิงของไทยคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน

ไม่นับรวมการโบ้ย ไปยังสำนักงานพาณิชย์ที่มีอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ ในอเมริกาของเจ้าหน้าที่การทูตทำนองเรื่องเศรษฐกิจหรือการค้า ไม่ใช่หน้าที่ของตนหรือมีบุคคลที่ทำหน้าที่ (ด้านพาณิชย์) ประจำอยู่แล้ว การคาดหวังการทำงานการทูตแบบองค์รวมตามรูปแบบสมัยใหม่ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ออกจะเพ้อฝันเอามากๆ สำหรับเจ้าหน้าที่การทูตของไทยที่นี่

นอกจากนี้เป็นที่น่าสนใจว่าในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ เขามีความคิดแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่ส่วนหนึ่งมาจากนักการเมือง คือ เป็น สส.หรือ สว.มาก่อน เมื่อการณ์เป็นอย่างนี้ ก็ย่อมส่งผลดีต่องาน (ธุรกิจ) ล็อบบี้ในอเมริกา ขณะที่ทรัมป์เองก็เป็นนักธุรกิจมาก่อน ย่อมเข้าใจถึงวิธีการทางธุรกิจ (การเมือง) ระหว่างประเทศเป็นอย่างดี

ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่า ทรัมป์กำลังเล็งเพื่อดึง Dana Rohrabacher สส.รีพับลิกันเขตออเรนจ์เค้าน์ตี้หลายสมัยมาเข้าร่วม“ครม.ทรัมป์1”  ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถ้าจริงถือว่า Rohrabacher เป็นผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศอย่างมาก เขาเคยมาเมืองไทยหลายครั้ง ทั้ง Rohrabacherเองเป็นผู้ที่เข้าใจงานล็อบบี้ และการเจรจาด้านต่างๆ กับต่างประเทศเป็นอย่างดี เขามีทีมงานเฉพาะในการดำเนินการเรื่องนี้

ก็ไม่ทราบว่า ฝ่ายไทยจะพลิกกลยุทธ์ทางการทูตเป็นแนวทางการทูตสมัยใหม่ได้หรือไม่ เมื่อไหร่และอย่างไร?

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพจต้าน Single Gateway' ผุดปฏิบัติการ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' จ่อเปิดงบกองทัพบก

$
0
0
เพจพลเมืองต่อต้าน Single Gatewayฯ เดินหน้าต้าน พ.ร.บ.คอมฯ ผุดปฏิบัติการ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' จ่อเปิดงบกองทัพบกบางหน่วย ตร.แจง แฮ็กได้เพียงส่วนที่ ปชช.สามารถเข้ามาดูได้เท่านั้น ยันมีวิธีแกะรอย ผิด ม.116-พ.ร.บ.คอมฯ 'วิษณุ' ยันจัดซื้อจัดจ้างไม่กระทบ
 
23 ธ.ค. 2559 ภายหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่าน ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปแล้ว ยังคงมีกระแสต่อต้านกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือเพจ 'พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway' ที่มีปฏิบัติการต่อต้านผ่านโลกอินเตอร์เน็ต เช่นนัดชุมนุมออนไลน์หรือเข้าไปกด F5 ทางเว็บไซต์ราชการต่างๆ โดยวานนี้ เพจดังกล่าวเผยแพร่ข้อมูลฐานบัญชีเงินเดือน ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วน พร้อมระบุว่า นี่คือการเตือนแรงๆ อีกครั้ง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
 
ล่าสุดเวลา 0.02 น.ของวันที่ 23 ธ.ค. เพจดังกล่าวโพสต์ประกาศยกระดับความเข้มข้นขึ้นอีก โดยประกาศ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' ด้วยการจะเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณบางหน่วยงานในกองทัพบก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการไปเยี่ยมบ้าน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 23, 26 และ 27 ธ.ค.นี้
 
ต่อมา เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway ได้ออกแถลงการณ์กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway เรื่อง หลักการและจุดยืนทางการเมือง ของพื้นที่นี้ โดยระบุว่า หลายคนอาจเป็นแฟนคลับที่เพิ่งเข้ามาใหม่ อาจไม่ทราบและไม่เข้าใจในจุดยืนนและหลักการของ "กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway" ที่ได้ยึดถือและดำเนินมาตลอดกว่า 1 ปี ซึ่งมีดังต่อไปนี้
 
1. ) พวกเราขอปฏิเสธที่จะลงไปสนับสนุนหรือขัดแย้งทางการเมืองเรื่องสีเสื้อ กับทุกๆ สี เรื่องการเมืองของสีเสื้อ พวกเราไม่เกี่ยว พวกเราทีมาร่วมกันในพื้นที่นี้มีทุกสี ขอได้โปรดอย่าใช้พื้นที่นี้เพื่อการนี้โดยเด็ดขาด
 
2. ) พวกเรามีจุดยืนในการดำเนินกิจกรรมบนโลกออนไลน์เท่านั้น เรื่องราวของกิจกรรมนอกโลกออนไลน์ พวกเราขอสนับสนุนและเผยแพร่ข่าวสารให้เท่านั้น กิจกรรมนอกโลกออนไลน์ หากจะมีขึ้น ก็จะมีเพื่อสังสรรค์ สนุกสนาน เท่านั้น จะไม่มีวัตถุประสงค์ ที่จะไปเคลื่อนไหวนอกออนไลน์ เพื่อไปกดดันในประเด็นต่างๆ
 
3. ) พวกเรามีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ในการดำเนินกิจกรรมบนโลกออนไลน์ เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม เพื่อให้เกิดเสรีภาพในการสื่อสารอย่างแท้จริง เท่านั้้น
 
4, ) พวกเราขอต่อต้าน การคอรัปชั่นในทุกรูปแบบ และจากทุกแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ และนักธุรกิจฉ้อฉล โดยถือว่า มีเลวร้ายไม่ต่างกัน
 
5.) การกระทำใดๆ ที่เป็นความผิดของผู้กุมอำนาจรัฐ(ไม่ว่าสมัยใดก็ตาม)ในทุกกรณี ที่มีผลต่อชีวิตของประชาชน ย่อมไม่สามารถที่จะได้รับการให้อภัยโดยเด็ดขาด
 
6.) ในการปฏิบัติการทุกกรณีของเรา ต้องพยายามจำกัดความเสียหายให้น้อยทีสุดและ หลีกเลี่ยงได้ ให้พิจารณาเป็นลำดับแรก
 
7.) พวกเราคือผู้ไร้ตัวตน(Anonymous) ไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง ห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาดว่า ท่านเป็น นักรบไซเบอร์ ของกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway นักรบไซเบอร์ ชองพวกเราล้วนไร้ตัวตน และไม่มีใครทราบว่า พวกเราคือใคร เหมือนอากาศ มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ว่ามีตัวตน
 
"การเคลื่อนไหวต่อต้าน (แนวคิด) Single Gateway ซึ่งหมายถึง การต่อต้านแนวคิดการจำกัดเสรีภาพของประชาชน ในทุกๆ วิธีการ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เครื่องมือ การใช้กฎหมาย การใช้อำนาจเข้าข่มขุ่ คุกคาม ล้วนอยุ่ใน คำจำกัดนี้ของพวกเรา ทั้งสิ้น" แถลงการณ์กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ระบุ
 

ตร.แจง แฮ็กได้เพียงส่วนที่ ปชช.สามารถเข้ามาดูได้เท่านั้น

ไทยโพสต์รายงานด้วยว่า พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษก ตร.เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นระบบของทำงานอินเทอร์เน็ตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังใช้ได้ปกติ การประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไม่มีปัญหา ที่กลุ่มพลเมืองต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์อ้างสามารถแฮ็กเข้ามาได้ เป็นเพียงส่วนที่ประชาชนสามารถเข้ามาดูได้เท่านั้น ส่วนข้อมูลความมั่นคงไม่สามารถเข้ามาได้แต่อย่างไร

ยันมีวิธีแกะรอย ผิด ม.116-พ.ร.บ.คอมฯ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตำรวจได้เฝ้าระวังหลังพบว่า มีการเชิญชวนให้ร่วมกันเจาะข้อมูลเพื่อทำลายระบบเว็บไซต์ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. โดยยืนยันว่าตำรวจมีวิธีการสืบสวนแกะรอยจากไอพีแอดเดรสหาตัวผู้กระทำผิด และหากพบว่าผู้ใดเป็นผู้เชิญชวนให้กลุ่มบุคคลเข้าเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของทางราชการ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ชักชวนให้บุคคลร่วมกระทำผิด ส่วนผู้ที่หลงเชื่อกระทำผิด จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ

แนะฟ้องแพ่ง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังยืนยันด้วยว่า ตำรวจพร้อมรับแจ้งความร้องทุกข์ โดยมอบหมายให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. กรณีที่มีหน่วยงานใดได้รับความเสียหายจากการถูกเจาะข้อมูล ซึ่งในกรณีนี้ ต้องดูพฤติกรรมว่าการกระทำผิดเป็นลักษณะของการเข้าถึงข้อมูลของเว็บไซต์หรือเป็นการเจาะเข้าไปทำลายข้อมูลสำคัญของเว็บไซต์ ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญา โดยหน่วยงานที่เป็นผู้เสียหายสามารถฟ้องเอาผิดทางแพ่ง ฐานละเมิดทำให้เสียหาย กับผู้ที่กระทำผิดได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ จากข้อมูลที่ได้รับรายงาน รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า เว็บไซต์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มีกลุ่มบุคคลพยายามที่จะเจาะข้อมูล แต่ทางตำรวจสามารถดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที จึงทำให้ไม่ได้รับความเสียหาย

ยันจัดซื้อจัดจ้างไม่กระทบ

ไทยโพสต์รายงานด้วยว่า กรณีโจมตีเว็บไซต์จัดซื้อจัดจ้างนั้น วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐยังไม่ได้ประกาศใช้ รัฐบาลยังใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่กระทบแต่อย่างใด เพราะมีวิธีการทำงานอยู่
 
สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยงานในกระทรวงการคลัง ทั้งกรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร ถูกโจมตี ว่า สถานการณ์ในขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว โดยทั้งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.การคลัง กำชับให้ดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าเงินเดือนข้าราชการจะไม่จ่าย เพราะไม่มีปัญหา ไม่กระทบกับระบบ และจะจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการได้อย่าง 100%
 
“ได้รับรายงานว่ามีสองจุดที่ถูกโจมตี จุดแรกคือหน้าเว็บไซต์กระทรวงการคลัง แต่ไม่ได้เข้ามาแฮ็กข้อมูล เป็นเพียงการเข้ามาก่อกวน ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขให้เป็นปกติแล้ว” สมชัย กล่าว
 
สมชัยกล่าวว่า ส่วนที่สอง ที่ถูกโจมตีคือเว็บไซต์การจัดซื้อจัดจ้างกรมบัญชีกลาง โดยกระทรวงการคลังได้ประสานงานหน่วยงานความมั่นคงด้านการก่ออาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการก่อกวนในครั้งนี้ยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น และไม่ได้มีการถูกล้วงข้อมูลต่างๆ ออกไป ส่วนระบบ GFMIS ของกระทรวงการคลังเป็นระบบปิด ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ จึงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นได้ติดต่อไปยังบริษัทดูแลระบบไอทีของกระทรวงการคลังให้มาติดตั้งเครื่องมือเพื่อมาดูแลในระยะสั้นไม่ให้เข้ามาก่อกวนอีก ส่วนในระยะยาว จะมีการวางระบบความปลอดภัยเพิ่ม เพื่อรักษาความมั่นคงในระบบไอที
 
"เรื่องการโจมตีระบบไอทีนั้น รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการประชุมหารือมาโดยตลอด มีหน่วยงานที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และให้ความช่วยเหลือกระทรวงต่าง ๆ มาตลอด ซึ่งเท่าที่ได้ทราบข่าวจากหน่วยงานความรับผิดชอบในเรื่องนี้ มีการพบต้นตอผู้ที่เข้ามาก่อกวนแล้ว และจะสามารถจับกุมได้ในไม่ช้า" สมชัย กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คสช.คุม 5 ผู้ต้องสงสัยแฮ็คเว็บราชการ เพจต้านฯ ฝากถามใช่ชื่อ "กำแหง" หรือเปล่า

$
0
0

ผบ.ทบ.รับเว็บการเงินทบ.คสช.ถูกโจมตีจริง เผยคุมตัวกลุ่มโจมตีเว็บเป็นเยาวชนทำด้วยความสะใจ เพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ฝากถาม ที่จับไปใช้ชื่อ "กำแหง" หรือเปล่า ด้าน 'กสม. อังคณา' ชี้ แฮกข้อมูล ปชช.ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เข้าร้องเรียนต่อ กสม. ได้

23 ธ.ค. 2559  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์คมชัดลึกและ ข่าวสดออนไลน์  รายงานตรงกันโดยอ้างแหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า แหล่งข่าวดังกล่าว เปิดเผยถึง การเชิญตัวกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการป่วนเว็บไซต์ของทางราชการ เพื่อแสดงสัญญาลักษณะในการต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ ว่า ทางเจ้าหน้าที่ด้านไซเบอร์ได้ติดตามพฤติกรรม กลุ่มต้องสงสัยกลุ่มนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็มีหลักฐานที่ชัดเจนจำนวน 5 คน ที่มีพฤติกรรมในการโจมตี เจาะ เว็บไซต์หน่วยงานราชการ เจ้าหน้าที่คสช. และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ในพื้นที่นั้นๆ จึงเชิญตัวทั้งหมด มาให้ข้อมูล ภายในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา เบื้องต้นจากการพูดคุยทั้งหมด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และคาดว่าจะสามารถขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง ทั้งหมดอีกเกือบ 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่ดูจากพฤติกรรม และการพูดคุยกันนั้น น่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่มีความคึกคะนอง

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เรามีข้อมูลเอาผิดบุคคลต้องสงสัยทั้ง 5 คน และกำลังดำเนินการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม หลังครบ 7 วัน จะนำตัวส่งพนักงานสอบสวน และส่งฟ้องศาลพลเรือน ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้อง คือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ปี 50 หากแจ้งข้อหาเพิ่มเติมทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงเจตนาด้วยว่า เป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ซึ่งเบื้อต้นมีความชัดเจนว่าเข้าข่าย เพราะไปโจมตีกรมบัญชีกลาง เว็บไซต์หน่วยงานราชการ เพื่อต้องการให้เว็บไซต์ล่ม
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ธ.ค.59) เมื่อเวลา 14.06 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ซึ่งเป็นเพจนัดแนะและรายงานผลปฏิบัติการโจมตี เจาะเว็บไซต์หน่วยงานราชการยังมีการโพสต์ข้อความอยู่ และก่อนหน้านี้เพิ่งประกาศปฏิบัติการ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' เตรียมเปิดงบกองทัพบกบางหน่วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
 
"เวลาไปจับนะ ถามก่อนนะว่าชื่อ "กำแหง" หรือเปล่า" เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gatewayฯ โพสต์ เมื่อเวลา 12.03 น.ที่ผ่านมา

ผบ.ทบ.รับเว็บการเงินทบ.คสช.ถูกโจมตีจริง

วันเดียวกัน (23 ธ.ค.59) โพสต์ทูเดย์รายงานด้วยว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีกลุ่มต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ… เข้าโจมตีเว็บไซต์กองทัพบก ว่า ขณะนี้กองทัพบกกำลังทำความเข้าใจกับประชาชนและกลุ่มที่คัดค้านแต่หากทำความเข้าใจแล้วยังไม่เข้าใจ มีความพยายามก่อกวนโจมตีเว็บไซต์อีก ก็ต้องมีการดำเนินการตามกฏหมาย 
 
“ยอมรับว่า มีการโจมตีเว็บไซต์ของ คสช. และเว็บไซต์กรมการเงินของกองทัพบก ส่งผลให้เว็บไซต์ประมวลผลได้ช้าลงแต่ไม่มีผลกระทบต่อข้อมูล เพราะเรามีการป้องกันเต็มที่ เงินเดือนยังสามารถออกตามปกติ” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว 

เผยคุมตัวกลุ่มโจมตีเว็บเป็นเยาวชนทำด้วยความสะใจ

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า คสช. ได้ควบคุมตัวกลุ่มที่โจมตีเว็บไซต์นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้แถลงให้ทราบจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า กลุ่มที่โจมตีเว็บไซต์เป็นเยาวชน ที่ทำด้วยความสะใจ แต่จะคุ้มหรือไม่ หากเสียอนาคต โดยทางผู้รับผิดชอบไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย ซึ่งได้มีการดำเนินการอยู่และจะออกมาแถลงในโอกาสต่อไป

กสม. ชี้ แฮกข้อมูล ปชช.ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล 

ขณะที่ ผู้จัดการออนไลน์รายงานด้วยว่า อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแฮกเกอร์นิรนามที่เรียกตัวเองว่า "Anonymous" ได้ทำการเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการประเทศไทยกว่าหลายหน่วยงานรวมถึงยังเจาะข้อมูลของประชาชน ว่า หากมีการแฮกข้อมูลของประชาชนจริง ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อน ประชาชนที่ถูกเจาะข้อมูลต้องไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรีบดำเนินการหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นอยู่ส่วนบุคล ส่วนกรณีที่หน่วยราชการถูกแฮกเกอร์ข้อมูลหลายหน่วยงานนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องเร่งหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ถูกการแฮกข้อมูลได้ เพราะถือเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งหาคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้
 
“เท่าที่ทราบจากข่าวการกระทำของกลุ่มดังกล่าวเป็นการต่อต้านต่อต้านพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยมีการรณรงค์ให้กด F5 บนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดเรื่อยๆ ในเว็บที่ต้องการให้ล่มหรือเว็บหน่วยงานต้องการแฮกข้อมูล ซึ่งกรณีนี้หากประชาชนคนใดที่ถูกแฮกข้อมูลเข้าร้องเรียนต่อ กสม. กสม.จะทำการสืบสวนสอบสวนโดยเรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่สังคมได้ระบบผลกระทบในการละเมิดสิทธิโดยทั่วกัน กสม. ก็สามารถหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาได้” อังคณา กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลเลื่อนพิพากษา คดีรัฐฟ้องไล่ชาวบ้านรุกที่ดินโคกภูกระแต พื้นที่เขต ศก.พิเศษนครพนม

$
0
0

ศาลจังหวัดนครพนมเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดีรัฐฟ้องไล่ชาวบ้านรุกที่ดินสาธารณะโคกภูกระแต พื้นที่ประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตาม ม.44 นัดใหม่อีกครั้ง 26 ม.ค. 2560

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2559 นักข่าวพลเมือง TPBS รายงานว่าเมื่อเวลา 09.00 น. ชาวบ้าน ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม ราว 60 คน เดินทางมาศาลจังหวัดนครพนม เพื่อติดตามผลคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนครพนมเป็นโจทย์ยื่นฟ้องชาวบ้าน ต.อาจสามารถ จำนวนรวม 29 คน ข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์โคกภูกระแต บ้านไผ่ล้อม 

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีการแยกฟ้องเป็นหลายคดีตั้งแต่ช่วงปี 2557 ต่อมาศาลจังหวัดนครพนมได้สั่งให้ร่วมคดีพิจารณา มีจำเลยจำนวน 29 คน โดยได้มีการนัดสืบพยายโจทย์และพยานจำเลยช่วยเดือน ต.ค.และพ.ย.ที่ผ่านมา และกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 ธ.ค. 2559

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดนครพนมได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีไปเป็นวันที่ 26 ม.ค. 2560 เนื่องจากมีจำเลย 3 คนไม่สามารถเดินทางมารับฟังคำพิพากษาได้

“เป็นการรอต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีหลักประกัน ยิ่งยืดเยื้อยิ่งเป็นปัญหา ทำให้ชาวบ้านดำเนินการต่อไม่ได้ และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการมาศาลเรื่อยๆ” แหล่งข่าวที่ร่วมสังเกตุการณ์คดีให้ความเห็น

แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านต้องดิ้นรนหาหลักทรัพย์เพื่อมาค้ำประกันและใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ชาวบ้านบางรายต้องไปกู้หนี้ยืมสินและต้องเป็นภาระต่อไปอีก เพราะดอกเบี้ยได้เกิดขึ้นแล้วระหว่างที่รอให้ถึงวันนัดหมายอีกครั้ง ตรงนี้เป็นภาระที่ชาวบ้านต้องแบกรับ

คดีดังกล่าวเป็นข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างรัฐกับประชาชน กรณีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ให้ภูกระแตบ้านห้อม เนื้อที่ 2938-2-47 ไร่ เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่ราษฎรใช้ร่วมกัน โดยมีแนวเขตทับที่ดินของชาวบ้านที่อยู่อาศัยมานาน ตั้งแต่เมื่อปี 2521

ถึงปัจจุบัน ที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแตตามที่ราชการออก นสล. เป็นที่ตั้งของ 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านห้อม ม.1 บ้านไผ่ล้อม ม.4 บ้านอาจสามารถ ม.6 และบ้านห้อม ม.11 มีชาวบ้านกว่า 400 หลังคาเรือน โดยที่บางคนมี น.ส.3 บางคนถือเพียงใบสำเนาที่บ่งบอกว่าทางราชการเคยออก น.ส.3 ให้ และบางคนยังถือ น.ส.2 ไว้

ปัญหาเขตเศรษฐกิจพิเศษซ้อนทับปมขัดแย้งที่สาธารณะประโยชน์

จากการผลักดันให้พื้นที่ จ.นครพนมเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ กระทั่งคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ได้มีประกาศฉบับที่ 2/2558 เรื่อง กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะ 2 ลงวันที่ 24 เม.ย. 2558 ในข้อ 4 ของประกาศดังกล่าว ระบุว่า ให้ท้องที่ ต.กุรุคุ ต.ท่าค้อ ต.นาทราย ต.นาราชควาย ต.ในเมือง ต.บ้านผึ่ง ต.โพธิ์ตาก ต.หนองญาติ ต.หนองแสง ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม และต.โนนตาล ต.รามราช ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม”

ต่อมาวันที่ 18 ม.ค. 2559 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) มีมติเห็นชอบให้ใช้ที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแต เนื้อที่ 1,860 ไร่ จากเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 2938 ไร่ เป็นนิคมอุตสาหกรรม ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.นครพนม เพื่อสนับสนุนให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และภาคเอกชนเช่าพื้นที่ระยะยาว

กรณีดังกล่าวยิ่งสร้างความซับซ้อนให้กับปมความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการใช้กฎอัยการศึก ( พ.ศ.2557) และนำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาจัดการปัญหาในพื้นที่

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม หน่วยงานภาครัฐได้พยายามเคลียร์พื้นที่ที่จะใช้รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว โดยในวันที่ 29 ก.ค. 2557 เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ป่าไม้ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังเข้าจับกุมชาวบ้านห้อม ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม จำนวน 14 ราย โดยอ้างว่าชาวบ้านทั้งหมดบุกรุกที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแตบ้านไผ่ล้อม

อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก และคำสั่ง คสช. ที่ 64 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ลงวันที่ 14 มิ.ย. 2557 และคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ 17 มิ.ย. 2557 เข้าดำเนินการจับกุมชาวบ้าน 

ต่อมา ในระหว่างวันที่ 18 – 22 ส.ค. 2557 อ.เมืองนครพนม ร่วมกับ กอ.รมน.จว.นพ. ได้เชิญราษฎรที่ถูกกล่าวอ้างว่า บุกรุกที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแต บ้านไผ่ล้อม ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม จำนวน 284 ราย มาทำพันธสัญญาและทำความเข้าใจในการดำเนินการขอคืนพื้นที่ป่าสาธารณประโยชน์ ตามคำสั่ง คสช. ที่ 64 และคำสั่ง คสช. ที่ 66 ที่หอประชุมอำเภอเมืองนครพนม

การดำเนินการดังกล่าวนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า เป็นการดำเนินการตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กรณีเรียกผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแต บ้านไผ่ล้อม ต.อาจสามารถ มาทำพันธสัญญา โดยมีสรุปข้อมูลว่า มีผู้บุกรุกจำนวน 284 ราย ผู้บุกรุกมาพบเจ้าหน้าที่จำนวน 277 ราย ผู้บุกรุกไม่มาพบเจ้าหน้าที่จำนวน 5 ราย มีผู้ยินยอมออกจากพื้นที่บุกรุกจำนวน 256 ราย และมีผู้บุกรุกอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ครอบครองจำนวน 21 ราย

จากนั้น วันที่ 22 ต.ค. นายอำเภอเมืองนครพนม ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้นายสุภชัย ท้าวกลาง ตำแหน่งปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) อำเภอเมืองนครพนม เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์โคกภูกระแต บ้านไผ่ล้อม ต.อาจสามารถ จำนวน 21 ราย 

คดีดังกล่าวนี้พนักงานอัยการจังหวัดนครพนม เป็นโจทย์ยื่นฟ้องชาวบ้านที่ถูกจับต่อศาลจังหวัดนครพนม ในฐานความผิด ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด อันเป็นการทำลายป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง หรือ เผาป่า กระทำด้วยประการใดอันเป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน โดยคำขอท้ายคำฟ้องของพนักงานอัยการระบุขอให้ศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลสั่งให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเข้าไปยึดถือครอบครอง พร้อมทั้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าว

ต่อมา ศาลจังหวัดนครพนมได้สั่งให้ร่วมคดีพิจารณา มีจำเลยจำนวน 29 คน โดยได้มีการนัดสืบพยายโจทย์และพยานจำเลยช่วยเดือน ต.ค.และพ.ย.ที่ผ่านมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สรรเสริญ เผยนายกฯ ไม่สบายใจสื่อฯเล่นข่าวราคายางปรับตัวสูง หวั่นเกษตรกรค้านรัฐขายยางในสต๊อก

$
0
0

โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีไม่สบายใจ สื่อบางสำนักเขียนข่าวว่า ราคายางพาราปรับตัวสูง ชาวสวนยางจึงคัดค้านรัฐบาลไม่ให้ขายยางในสต๊อกที่เคยรับซื้อจากเกษตรกร หวั่นราคาจะตกลง ชี้เขียนข่าวไม่สร้างสรรค์ ไม่สร้างการเรียนรู้หลักอุปสงค์ และอุปทาน ที่แท้จริง

23 ธ.ค. 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นหนังสือพิมพ์บางฉบับ นำเสนอข่าวว่า ขณะนี้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการมากแต่ผลผลิตมีน้อย ชาวสวนยางจึงประกาศคัดค้านไม่ให้รัฐบาลขายยางในสต๊อกที่เคยได้รับซื้อจากเกษตรกรไปก่อนหน้านี้ เพราะกลัวว่าราคาจะตกลง

“การนำเสนอข่าวลักษณะนี้เท่ากับจะยิ่งส่งเสริมให้ชาวสวนยางออกมาคัดค้านรัฐบาล โดยไม่ได้ให้ความรู้เรื่องหลักอุปสงค์ และอุปทาน ที่แท้จริงแก่เกษตรกรและสังคมทั่วไป ดังนั้น หากสื่อยังนิยมชมชอบการเสนอข่าวเช่นนี้ก็ยากที่จะสร้างการเรียนรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เช่นเดียวกับการเขียนข่าวที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลเป็นคู่ต่อสู้กับขั้วตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา เช่น ต่างฝ่ายต่างยกจุดอ่อนของอีกฝ่ายออกมาโจมตีกัน ทั้งเรื่องปมราคาข้าว การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน การปราบปรามการทุจริต การติดตามคดีโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น จึงอยากให้สื่อมวลชนได้ทบทวนบทบาทตนเอง นำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ ยกระดับความรู้และจิตใจของคนในสังคมบ้าง อยากให้ภาคส่วนอื่น ๆ ช่วยกันกระตุ้นให้สื่อเปลี่ยนแปลงด้วย

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ข้อเสนอของหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ต้องการให้รัฐบาลทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมนั้น  รัฐบาลนี้ประกาศชัดเจนเรื่องนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานและเผยแพร่สู่สังคมโลก ได้ดำเนินการแล้วหลายเรื่อง เช่น การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ การส่งเสริมการรวมกลุ่มสหกรณ์ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ การจัดทำเกษตรแปลงใหญ่ โครงการตลาดประชารัฐ การออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับนานาชาติ ฯลฯ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลหลีกเลี่ยงนโยบายที่จะสร้างภาระแก่ประชาชน เช่น โครงการรับจำนำข้าว รถคันแรก ฯลฯ ซึ่งขัดกับหลักการของความพอเพียง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมประเมินผลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อวางรากฐานต่อไปในอนาคต สำหรับการลดหนี้ภาคครัวเรือนให้สำเร็จนั้น อยู่ที่คนไทยทุกคน ที่จะประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางของความพอเพียงอย่างแท้จริง หรือแก้ไขความเคยชินแบบที่ผ่านมาให้ได้ ซึ่งอาจจะต้องเวลาในการปรับตัวบ้าง

00000

ที่มาภาพจาก MCOT

สำหรับสถานการณ์ราคายางพาราในช่วงนี้ ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผย กับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า ล่าสุดวันที่ 16 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ราคาประมูลซื้อขายยางในตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 80.29 บาท/กก. ทะลุ 80 บาท/กก. เป็นครั้งแรกหลังตกต่ำมานานกว่า 3 ปี มองทิศทางราคายางในตลาดโลกเบื้องต้นขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มราคาเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นทั้งภายในและนอกประเทศ สถานการณ์ราคายางพาราที่พุ่งขึ้นในช่วงนี้ส่งผลดีต่อเกษตรกรในพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ และน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ธีธัช กล่าวด้วยว่า ปัจจัยภายในมาจากนโยบายรัฐบาลที่ดำเนินโครงการลดพื้นที่ปลูกยาง และควบคุมปริมาณผลผลิตควบคู่กับส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพยาง บวกกับปัจจัยธรรมชาติมีฝนตก น้ำท่วมในพื้นที่ปลูกยาง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้ผลผลิตยางมีปริมาณลดลง ขณะเดียวกันในส่วนของดีมานด์ไซด์ เศรษฐกิจโลกฟื้นและมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น จึงส่งผลดีต่อการส่งออก นอกจากนี้ ราคายางยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นจากราคายางสังเคราะห์ที่ผลิตจากน้ำมันจะปรับตัวขึ้น

จากการสำรวจพบว่า สถานการณ์ราคายางพารายังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน พ.ย. 2559 ล่าสุดวันที่ 16 ธ.ค. 2559 ราคาประมูล ณ ตลาดกลางยางพารา จ.สงขลา ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ราคาพุ่งทะลุ 80.29 บาท/กิโลกรัม ยางแผ่นดิบ 77.25 บาท/กก. น้ำยางสด (ณ โรงงาน) 66.50 บาท/กก. ส่วนยางก้อนถ้วยที่ซื้อขายในภาคอีสาน ภาคเหนือ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 33-35 บาท/กก.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์บอกรบ.ไม่แอบฟัง-ไม่ส่องใครดูรูปโป๊ อภิสิทธิ์แนะเปิดพื้นที่รับฟังต้าน พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0

ประยุทธ์ยันรัฐบาลไม่ได้ต้องการแอบฟังใคร ใครอยากคุยกับแฟน ดูรูปโป๊ ไม่มีใครอยากรู้หรอก ทุกวันนี้ คุกล้นแล้ว เว้นแต่ถ้ามันมีปัญหาออกมา ด้านอภิสิทธิ์ ชี้ต้าน พ.ร.บ.คอมฯ คนรุ่นใหม่ รัฐอย่ามองเป็นการเมือง แนะเปิดพื้นที่รับฟัง

23 ธ.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับระหว่างที่ลงพื้นที่ จ.น่าน ว่า ควรเร่งกำจัดข้อมูลขยะบนโซเชียลมีเดียที่สร้างความเสียหายให้ผู้อื่น พร้อมเร่งให้ฝ่ายกฎหมายออกมาตราการควบคุม กำจัดข้อมูลที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้ผู้อื่น และป้องกันไม่ให้สังคมเสื่อมโทรม

"รัฐบาลตรวจสอบค้ายา ค้าเถื่อน การแฮ็กระบบเศรษฐกิจ หรือธุรกิจ ท่านจะยอมให้โซเชียลมีเดียมีสิ่งชั่วร้ายแบบนี้หรอ? ฝ่ายกฎหมายไปหามาตรการมา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวและเสริม "ทั่วโลกเขาระวังกันหมด มีแต่เมืองไทยนี้แหละ ปลดล็อกหมด"
 
พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีเจตนาล้วงข้อมูลส่วนตัวของใคร และไม่ได้ต้องการใช้มาตรการใดๆ เพื่อจับกุมใครทั้งนั้น เพราะทุกวันนี้ คุกล้นแล้ว 
 
"รัฐบาลไม่ได้ต้องการแอบฟังใคร ใครอยากคุยกับแฟน ดูรูปโป๊ ไม่มีใครอยากรู้หรอก เว้นแต่ถ้ามันมีปัญหาออกมา จะจับทุกคนซะเมื่อไหร่ คุกมีอยู่แค่นี้ ล้นแล้วล้นอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปิดท้าย
 

อภิสิทธิ์ชี้ต้าน พ.ร.บ.คอมฯ คนรุ่นใหม่ รัฐอย่ามองเป็นการเมือง แนะเปิดพื้นที่รับฟัง

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ว่า ตนอยากเห็นการรับฟังความเห็นคนที่ไม่เห็นด้วยเรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์โดยไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะคนที่คัดค้านจำนวนมากเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต รัฐจึงควรพิจารณาว่าจะแก้ไขอย่างไรให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิ แต่ไม่กระทบกับการรักษาความมั่นคงและการปกป้องสิทธิของคนที่อาจจะถูกละเมิด

"ผมก็อยากเห็นกฎหมายคอมพิวเตอร์นี่ มีการมารับฟังความคิดเห็นของคนที่ไม่เห็นด้วย อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องการบิดเบือน อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่ให้มองว่าข้อห่วงใยของคนที่คัดค้านจำนวนมากซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่เขามีต่อปัญหาว่าจะมีการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขตหรือไม่ จะแก้ไขกันอย่างไร มีข้อเสนอไหมที่จะปรับปรุงแก้ไขถ้อยคําต่างๆ หรือมาตราต่างๆ ที่จะทำให้เขามั่นใจได้ว่าจะไม่มีการไปละเมิดสิทธิเขา ในขณะเดียวกันไม่กระทบต่อความตั้งใจของรัฐที่จะดูแลรักษาเรื่องความมั่นคงแล้วก็ปกป้องสิทธิของคนที่อาจถูกละเมิดจากคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ มันน่าจะดีกว่าวิธีการที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่มานั่งแต่ละวันก็ขู่หรือว่าบอกว่าจะต้องรับมือกับการแฮ็กเว็บไซต์ต่างๆ หรือข้อมูลต่างๆ ของราชการ อย่างน้อยที่สุดถ้ามีการมาเปิดชองทางให้แลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา แม้จะยังไม่แก้ไขกฎหมายก็ทำให้กฎหมายมีความชัดเจนขึ้น เพราะความกังวลส่วนใหญ่ขณะนี้เกิดขึ้นจากความไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะถูกตีความและนำไปใช้อย่างไร" อภิสิทธิ์ กล่าว
 
ที่มา : Voice TV และยูทูบ matichon tv
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้เดือดร้อน ปม.ที่ดินอุทยานฯไทรทอง ร้อง กสม. เหตุยังถูกคุกคาม-ดำเนินคดีต่อเนื่อง

$
0
0

เมื่อ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตัวแทนชาวบ้านหนองบัวระเหว เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ อังคณา นีละไพจิตร ประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อร้องเรียนการถูกข่มขู่ คุกคาม และขอให้ ประสานงานต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองทำประโยชน์ที่ดิน และยุติการดำเนินคดีต่อชาวบ้านที่เดือดร้อน

ไพโรจน์ วงงาน ตัวแทนชาวบ้าน ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า เมื่อวานนี้ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ อังคณา นีละไพจิตร สืบเนื่องจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองทับที่ดินทำกิน ในพื้นที่ ต.ห้วยแย้ ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ได้รับความเดือดร้อนหนักขึ้นภายหลังที่รัฐบาลมีนโยบายทวงคืนผืนป่า ตามแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ฯ เมื่อปี พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา นั้น ได้สร้างผลกระทบต่อชาวบ้านที่อาศัยทำกินในพื้นที่ โดยมีลักษณะปัญหาที่ได้รับผลกระทบได้แก่ การบังคับให้ชาวบ้านเซ็นต์ยินยอมออกจากพื้นที่ การตัดฟันทำลายผลอาสิน การข่มขู่ คุกคาม ห้ามมิให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ทำกิน

ไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันชาวบ้านถูกดำเนินคดี โดยเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.วังตะเฆ่ มีหมายเรียกเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา รวมแล้วกว่า 15 ราย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นได้นำมาสู่ความเดือดร้อนกับประชาชนจำนวนมาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงในการถือครองทำประโยชน์ที่ดิน จึงเข้าได้ยื่นหนังสือเรียน เพื่อให้คลี่คลายเรื่องการดำเนินคดีความกับราษฎร และประสานงานต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองทำประโยชน์ที่ดินระหว่างชาวบ้านผู้เดือดร้อนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หน่วยงานรัฐเร่งแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เป็นธรรม และในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา อยากให้ยุติการดำเนินคดีความ และยุติการข่มขู่ คุกคาม หรือการดำเนินการใดๆที่ส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนกับชาวบ้านในพื้นที่ การมายื่นหนังสือทั้งนี้ประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองติดภารกิจต่างจังหวัด จึงได้เข้ายื่นหนังสือรับเรื่องร้องเรียนต่อผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รับเรื่องประสานต่อไปยังท่านประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมือง 

ไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า จากที่เคยยื่นหนังสือมาแล้วหลายหน่วยงาน แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งถือว่าเป็นความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ส่งผลให้ชาวบ้านถูกคุกคามและถูกดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าชาวบ้านจะถูกดำเนินคดีตามมาอีกหลายคน จึงอยากให้หลายหน่วยงานเข้าร่วมพิจารณาการแก้ไขให้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมสักที เพื่อชาวบ้านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในที่ดินทำกินต่อไป นายไพโรจน์ บอกอีกว่า ในขณะที่กำลังเดินทางเข้ามายื่นหนังสือเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.นั้น ได้รับข่าวว่าตัวแทนชาวบ้านที่ต่อสู้ในเรื่องที่ดินทำกิน ได้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปหาที่บ้าน พร้อมพูดเชิงข่มขู่ว่า ห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้ในเรื่องที่ดินทำกิน เพราะอย่างไรก็ถูกดำเนินคดีแล้ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประมวลโลกปี 2016: สิทธิ 'ความหลากหลายทางเพศ' มีทั้งสิ่งที่ดีและถดถอย

$
0
0

แม้ว่าเมื่อปี 2015 ในสหรัฐอเมริกาจะมีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ จากคำตัดสินคดีที่ส่งผลให้การแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป แต่ในปี 2016 ที่กำลังจะผ่านไป สถานการณ์เรื่อง LGBTQ+ ทั่วโลกก็มีทั้งในส่วนที่ดีขึ้นและในส่วนที่แย่ลง ทั้งการมีรัฐบาลที่ดูเอียงขวา รวมถึงการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็ทำให้ผู้คนกังวลว่าประเด็นเหล่านี้จะถดถอยลงกว่าเดิม

คำอธิบายภาพประกอบ (1) นิตยสาร Roopbaan ของบังกลาเทศซึ่งบรรณาธิการนิตยสารถูกสังหาร (ที่มา: เฟซบุ๊กเพจ রূপবান - Roopbaan) (2) โฆษณาของ Taiwan McCafé (3) ไอคอนของห้องน้ำ All Gender Restroom (ที่มา: queerty.com) (ภาพประกอบด้านหลัง) (4) ภาพจาก Ryuzhi33 ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบแฟชั่นแนว Genderless Kei (ที่มา: Instagram/Ryuzi33world929/) (5) พิธีรำลึกถึงเหตุสังหารที่ไนท์คลับเมืองออร์แลนโด มลรัฐฟลอริดา จัดที่ มินนีแอโพลิส มลรัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกาเมื่อ 12 มิถุนายน 2016 (ที่มาของภาพประกอบ: Fibonacci Blue/Wikipedia (CC BY 2.0)

ห้องน้ำของคนข้ามเพศ และกฎหมาย HB2 ในสหรัฐอเมริกา

ที่มาของภาพประกอบ: queerty.com

เรื่องที่ถกเถียงกันตั้งแต่ต้นปีคือเรื่องของการมีห้องน้ำสำหรับคนข้ามเพศ (transgender) ในสหรัฐฯ ซึ่งหมายถึงผู้ที่นิยามอัตลักษณ์ตนเองเป็นเพศอื่นนอกเหนือจากเพศกำเนิด พวกมีปัญหาจากการที่ห้องน้ำในชีวิตประจำวันแบ่งแยกเพศออกแค่สองเพศ พวกเขาต้องการห้องน้ำรวมแยกออกมาสำหรับคนข้ามเพศด้วย ซึ่งขณะที่ทางการของนิวยอร์กซิตี้ประกาศให้การคุ้มครองจุดนี้ โดยกำหนดให้มีห้องน้ำที่เป็นกลางทางเพศสภาพหรือเพศสภาวะ (gender neutral) อยู่ด้วย

แต่รัฐเวอร์จิเนียกลับถอยหลังเข้าคลองในเรื่องนี้ด้วยการกำหนดให้ต้องแบ่งแยกเพศชัดเจนกับห้องน้ำทุกห้อง ทำให้เกิดเป็นข้อถกเถียงในกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน การถกเถียงในเรื่องยังเกิดขึ้นในรัฐอื่นๆ อย่างรัฐนอร์ทแคโรไลนาในช่วงกลางปีที่ผ่านมามีการฟ้องร้องรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลกลางต่อต้านการออกกฎหมาย House Bill 2 (HB2) เนื่องจากเห็นว่ากฎหมายนี้กีดกันการใช้ห้องน้ำของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ฟ้องกลับเพราะกฎหมาย HB2 ขัดต่อหลักการกฎหมายของส่วนกลาง

 

พานาโซนิคจัดสวัสดิการให้พนักงาน LGBT

สำนักงานใหญ่ของพานาโซนิคในคาโดมา-ชิ, โอซาก้า, ประเทศญี่ปุ่น (ที่มาภาพ: en.wikipedia.org)

เรื่องที่ดูก้าวหน้าขึ้นมาบ้างเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 บริษัท พานาโซนิค (Panasonic) จะจัดสวัสดิการแก่กลุ่มพนักงานที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในที่ทำงาน ให้เท่าเทียมกับพนักงานทั่วไปในบริษัท อีกเรื่องหนึ่งเป็นการที่บริษัทไนกีแถลงว่าจะถอดสัญญาโฆษณากับ แมนนี ปาเกียว หลังจากที่เขาโพสต์เหยียดคนรักเพศเดียวกันว่า "แย่ยิ่งกว่าสัตว์" ซึ่งต่อมาปาเกียวก็ขอโทษผ่านทางทวิตเตอร์

ปิดโรงเรียนเพื่อคนข้ามเพศในอินโดนีเซีย - สังหารบรรณาธิการนิตยสาร LGBT ที่บังกลาเทศ

นิตยสาร Roopbaan  (ภาพจาก เฟซบุ๊กเพจ রূপবান - Roopbaan)

แต่ก็มีเหตุการณ์น่าเศร้าในอินโดนีเซียเมื่อโรงเรียนศาสนาอิสลามเพื่อ 'คนข้ามเพศ' ชื่ออัลฟาตาห์ถูกสั่งปิดโดยอ้างเรื่อง "ความสงบเรียบร้อย" และมีเรื่องเลวร้ายกว่านั้นเกิดขึ้นในบังกลาเทศเมื่อ ซูฮัซ มานัน ถูกลอบสังหาร โดยเขาเป็นนักกิจกรรมด้านสิทธิเพื่อคนรักเพศเดียวกัน และเป็นบรรณาธิการนิตยสารด้านความหลากหลายทางเพศ (LGBT) เล่มแรกและเล่มเดียวที่มีอยู่ในบังกลาเทศ

 

เหตุสังหารหมู่ที่ออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา

บริเวณใกล้ที่เกิดเหตุสังหารหมู่ออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา เมื่อ 12 มิ.ย. 2016 (ที่มา: everipedia.com)

เหตุการณ์ที่น่าเศร้าและสะเทือนขวัญผู้คนอย่างมากคงหนีไม่พ้นเหตุกราดยิงไนท์คลับ LGBT ในเมืองออร์แลนโด มลรัฐฟอริดา ที่มี ดายยี อับดุลลาห์ อิหม่ามเกย์ในสหรัฐฯ ออกมาประณามและย้ำว่าชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศและชุมชนศาสนาต่างๆ ควรร่วมมือกันต่อสู้กับความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล เขาเชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ห้ามเรื่องเพศสภาพที่แตกต่าง เว้นแต่มีคนเอาไปตีความเพื่อหาข้ออ้างทางการเมือง

สถานีวิทยุ NPR ของสหรัฐฯ ยังนำเสนอเรื่องความกังวลของกลุ่ม LGBTQ+ ช่วงก่อนหน้าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสหรัฐฯ ชาวเกย์ผู้หนึ่งช่อแมตต์ เฮอร์สชี กล่าวว่าถึงแม้ในปีที่แล้วคนรักเพศเดียวกันจะได้รับชัยชนะจากเรื่องสิทธิการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันแต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย ยังมีการกีดกันจากอำนาจกระแสหลักและยังถูกกีดกันไม่ให้พักในที่อยู่อาศัยบางหลังเพียงเพราะพวกเขาเป็นชาว LGBTQ+

 

แฮ็ชแท็ก  #HandeKadereSesVer หลังเหตุสังหารหญิงข้ามเพศในตุรกี 

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสะเทือนใจคือการที่หญิงข้ามเพศผู้เป็นปากเสียงให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศในตุรกี ฮานเด คาเดอร์ ถกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศพากันไว้ทุกข์ให้เธอ และมีการชุมนุมเรียกร้องความเป็นพร้อมกับการรณรงค์ด้วยแฮ็ชแท็ก  #HandeKadereSesVer ที่แปลว่า "เป็นปากเป็นเสียงให้ฮานเด คาเดอร์"

 

การรณรงค์เพื่อกฎหมายคุ้มครองการแต่งงานคนรักเพศเดียวกันที่ไต้หวัน

 

ในประเทศไต้หวันปีนี้นอกจากจะได้ประธานาธิบดีหญิงคนใหม่แล้ว ยังดูมีความก้าวหน้าในประเด็นเรื่อง LGBTQ จากที่แมคคาเฟ่ ไต้หวัน ออกโฆษณาสุดซึ้งที่มีลูกชายเปิดเผยกับพ่อของเขาว่าเป็นคนรักเพศเดียวกัน (รับชมคลิป)และเมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. รัฐบาลไต้หวันก็พิจารณาร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะคุ้มครองการแต่งงานคนรักเพศเดียวกันเท่าเทียมกับคนรักต่างเพศ โดยกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในไต้หวันยังจัดงานคอนเสิร์ตรณรงค์ในเรื่องนี้โดยมีคนมาร่วมนับแสนคน

 

แฟชั่น Genderless Kei ไม่ยึดติดเพศสภาพ

ที่มา: https://www.instagram.com/ryuzi33world929/

ในมุมของแฟชั่นมีสื่อตะวันตกรายงานเรื่องแฟชั่นกระแสเทรนด์การแต่งกายและการแสดงออกแบบไม่ยึดติดเพศสภาพหรือที่เรียกว่า "Genderless Kei" เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในแง่ของการก้าวข้ามเส้นเขตแดนของเพศสภาพและเพศวิถีในประเทศญี่ปุ่นที่มีการพูดคุมันในประเด็นนี้น้อยมาก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความลื่นไหลของเพศสภาวะ (genderfluid) และสะท้อนให้เห็นถึงการที่คนรุ่นปัจจุบันต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองออกจากแบบแผนของคนรุ่นก่อน

 

นักการทูตเลสเบียนชาวอังกฤษในประเทศซึ่งไม่เป็นมิตรกับคนรักเพศเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีสื่อ Buzzfeed ที่สัมภาษณ์ จูดิธ กอฟ  นักการทูตหญิงรักหญิงชาวอังกฤษกับประสบการณ์ของเธอที่ต้องไปประจำอยู่ในประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับคนรักเพศเดียวกันทั้งเกาหลีใต้ จอร์เจีย และล่าสุดคือยูเครน

 

การฟื้นฟูเกียรติยศแด่ 'อลัน ทูริง' นักคณิตศาสตร์ซึ่งเคยถูกตัดสินว่าผิดเพราะเป็นเกย์

กลับมาดูเรื่องในมุมประวัติศาสตร์ที่ในอดีตกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมักจะถูกจำกัดและลงโทษด้วยกฎหมายมาก่อน เช่น กรณีของ อลัน ทูริง นักคณิตศาสตร์และนักถอดรหัสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้เคยถูกตัดสินให้มีความผิดจากการเป็นคนรักเพศเดียว ในที่สุดหอจดหมายเหตุท้องถิ่นในอังกฤษก็เปิดให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดเผยเอกสารการพิพากษาลงโทษ อลัน ทูริง ออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก เรื่องราวของทูริงเคยปรากฏบนจอภาพยนตร์ในชื่อ "ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก" (The Imitation Game) ที่ออกฉายเมื่อปี 2557

 

โรงเรียนในเยอรมนีส่งเสริมการยอมรับเรื่องเพศมากขึ้น: แล้วย้อนกลับมามองเมืองไทย

นอกจากการเรียนประวัติศาสตร์ในอดีตแล้วเรื่องการศึกษาเรียนรู้ความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันก็เป็นเรื่องสำคัญ หนึ่งในตัวอย่างของการศึกษาเรื่องเพศที่เกิดขึ้นในปีนี้คือเยอรมนี ในรัฐเฮสเซนมีการส่งเสริมให้มีการยอมรับอัตลักษณ์ตัวตนและวิถีทางเพศที่หลากหลายขึ้น แม้ว่าจะมีกลุ่มผู้ปกครองบางส่วนประท้วงเพราะเข้าใจผิดว่าจะเป็นการส่งเสริมเรื่องเพศกับเด็กๆ

แต่ในไทยเองการสอนเรื่องสุขศึกษา-เพศศึกษา ยังถกมองว่ามัวแต่ "แอบอิงกับศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลก" จากการประมวลผลการเสวนา 'ความหลากหลายทางเพศในแบบเรียนไทย: บทวิเคราะห์แบบเรียนสุขศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น' โดยวิจิตร ว่องวารีทิพย์ ผู้วิจัยเรื่องนี้บรรยายว่าแบบเรียนสุขศึกษาไทยยังคงมีวิธีคิดแบบเพศแค่สองเพศชายกับหญิงโดยใช้องค์ความรู้แบบเก่าและตีตราผู้มีความหลากหลายทางเพศในเชิงลบ ซึ่งก็สะท้อนที่ทางจุดยืนเรื่องความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มาตามนัด เพจต้าน Single Gateway อ้างแฮกข้อมูล ทภ.2 พบงบฯ ขุดลอกแหล่งน้ำสูง 184 ล้าน

$
0
0

เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway เริ่มปฏิบัติการ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' อ้างแฮกข้อมูลกองทัพภาคที่ 2 โพสต์งบฯขุดลอกแหล่งน้ำสูง 184 ล้าน ด้าน 'ผบ.ทบ.' ไม่ตอบทหารรวบมือแฮกเว็บรัฐ รอข้อมูลก่อน 

23 ธ.ค. 2559  ภายหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่าน ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปแล้ว ยังคงมีกระแสต่อต้านกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือเพจ 'พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway' ที่มีปฏิบัติการต่อต้านผ่านโลกอินเตอร์เน็ต เช่นนัดชุมนุมออนไลน์หรือเข้าไปกด F5 ทางเว็บไซต์ราชการต่างๆ โดยวันนี้ (23 ธ.ค.59) ตั้งแต่เวลา 00.02 น. เพจดังกล่าวโพสต์ประกาศยกระดับความเข้มข้นขึ้นอีก ประกาศ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' ด้วยการจะเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณบางหน่วยงานในกองทัพบก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการไปเยี่ยมบ้าน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 23, 26 และ 27 ธ.ค.นี้


ล่าสุดเมื่อเวลา 20.09 น. ที่ผ่านมา เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gatewayฯ ได้โพสต์ภาพที่ได้จากการบันทึกหน้าเว็บเพจ 3 ภาพ พร้อมอ้างว่า สามารถแฮกระบบของกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)ได้เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังอ้างด้วยว่างบประมาณหลักของทหารหน่วยนี้คือการขุดลอกแหล่งน้ำปี 2559 ซึ่งมีการตั้งงบไว้ราว 184 ล้านบาท จากทั้งหมด 224 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82% พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงค่าปฏิบัติงานล่วงเวลาที่สูงถึงกว่า 4 ล้านบาท พร้อมเชิญชวนให้ติดตามปฏิบัติการ 'เยี่ยมบ้านบิ๊กตู่' วันที่ 2 ในวันจันทร์ที่ 26 ธ.ค. นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันนี้ช่วงกลางวันมีรายงานข่าวจาก  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, คมชัดลึกและ ข่าวสดออนไลน์  รายงานตรงกันโดยอ้างแหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า แหล่งข่าวดังกล่าว เปิดเผยถึง การเชิญตัวกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการป่วนเว็บไซต์ของทางราชการ เพื่อแสดงสัญญาลักษณะในการต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ ว่า ทางเจ้าหน้าที่ด้านไซเบอร์ได้ติดตามพฤติกรรม กลุ่มต้องสงสัยกลุ่มนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็มีหลักฐานที่ชัดเจนจำนวน 5 คน ที่มีพฤติกรรมในการโจมตี เจาะ เว็บไซต์หน่วยงานราชการ เจ้าหน้าที่คสช. และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ในพื้นที่นั้นๆ จึงเชิญตัวทั้งหมด มาให้ข้อมูล ภายในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา เบื้องต้นจากการพูดคุยทั้งหมด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และคาดว่าจะสามารถขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง ทั้งหมดอีกเกือบ 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่ดูจากพฤติกรรม และการพูดคุยกันนั้น น่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่มีความคึกคะนอง
 
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เรามีข้อมูลเอาผิดบุคคลต้องสงสัยทั้ง 5 คน และกำลังดำเนินการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม หลังครบ 7 วัน จะนำตัวส่งพนักงานสอบสวน และส่งฟ้องศาลพลเรือน ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้อง คือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ปี 50 หากแจ้งข้อหาเพิ่มเติมทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงเจตนาด้วยว่า เป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ซึ่งเบื้อต้นมีความชัดเจนว่าเข้าข่าย เพราะไปโจมตีกรมบัญชีกลาง เว็บไซต์หน่วยงานราชการ เพื่อต้องการให้เว็บไซต์ล่ม
 

ผบ.ทบ.ไม่ตอบทหารรวบมือแฮกเว็บรัฐ รอข้อมูลก่อน 

 พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. (ยศขณะนั้นคือ ผช.ผบ.ทบ.) พร้อมคณะเดินทางตรวจการกำจัดผักตบชวา ณ บริเวณเขื่อนเจ้าพระยา อ.เมือง จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 9 ส.ค.59 (ที่มาภาพ มณฑลทหารบกที่ 13)
 
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ช่อง 7กรุงเทพธุรกิจออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์รายงานตรงกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ปฏิเสธตอบคำถามกรณี คสช. ควบคุมตัว กลุ่มพลเมืองต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ 5 คน ที่โจมตีเว็บไซต์หน่วยงานราชการ ที่ มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) โดยระบุเพียงสั้นๆ ว่า รอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล หากตอบไปเกรงว่าจะเกิดความคลาดเคลื่อน ส่วนกรณีที่กลุ่มแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์กองทัพภาคที่ 2 นั้น ตนรับทราบแล้ว และกองทัพมีระบบป้องกันที่ดีอยู่แล้ว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>