Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

ยังไม่จบ 'ประจิน' ลุยต่อ จ่อชง สนช.ถก ร่างพ.ร.บ.ไซเบอร์ ต้นปีหน้า

$
0
0

19 ธ.ค. 2559 หลังจากเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ...  ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 168 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 4 มี สนช. เข้าร่วมโหวต 172 คน โดยจะมีผลบังคับใช้ใน 120 วันหลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แม้ก่อนหน้านั้นจะมีผู้ร่วมลงชื่อคัดค้านกว่า 3 แสนคนก็ตาม

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง

ต่อมาวานนี้ (18 ธ.ค.59)  สำนักข่าว INNรายงานว่า พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า  ร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับล่าสุด ได้ผ่านการพิจารณาจาก สนช. แล้ว เชื่อว่าการทำงานของทางภาครัฐจะสามารถควบคุมการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์เรื่องต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ทางกระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงทางไซเบอร์ให้กับ สนช. พิจารณา ในช่วงต้นปี 2560 ทั้งนี้ ก่อนที่จะเสนอที่ประชุม สนช. พิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น จะเปิดเวทีเพื่อทำประชาพิจารณ์ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.อ.อ.ประจิน ยืนยันว่า ทั้ง พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.ความมั่นคงทางไซเบอร์ ไม่มีเรื่องของซิงเกิลเกตเวย์เข้ามาเกี่ยงข้องอย่างที่ประชาชน หรือหลายฝ่ายกังวลอย่างแน่นอน

Blognoneได้นำเสนอข้อมูลของ ร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์อีกครั้ง ในเรื่องหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์  คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ อำนาจของคณะกรรมการดังกล่าวที่สั่งการได้ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ประเด็นเข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล 

หลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์

Blognone ระบุว่า ในหน้าหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ระบุว่า "เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปกป้อง ป้องกัน หรือรับมือกับสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ส่งผลกระทบหรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการให้บริการหรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โครงข่ายโทรคมนาคม หรือการให้บริการโดยปกติของดาวเทียม ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของชาติในมิติต่างๆ อันครอบคลุมถึงความมั่นคงทางการทหาร ความสงบเรียบร้อยในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ"

คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

มาตรา (6) ของกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้ตั้ง "คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ" (กปช.) หรือชื่อภาษาอังกฤษ National Cybersecurity Committee (NCSC) ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนดลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 7 คน คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นิติศาสตร์ และด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง
 
นอกจากคณะกรรมการ กปช. แล้ว จะยังมีการจัดตั้ง "สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ" เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยจะโอนพนักงานและทรัพย์สินของ "สำนักความมั่นคงปลอดภัย" ที่อยู่ภายใต้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) มาเป็นสำนักงานใหม่แห่งนี้
 

อำนาจของกปช. สั่งการได้ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน

อำนาจของกรรมการมีดังนี้ (มาตรา 7) กำหนดแนวทางและมาตรการตอบสนองและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น กำหนดมาตรการยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ จัดทำ "แผนปฏิบัติการเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ" จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงาน รายงานให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีทราบ เสนอแนะและให้ความเห็นต่อ คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือคณะรัฐมนตรี ในประเด็นการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
 
กปช. ยังมีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานรัฐดำเนินการเพื่อป้องกัน แก้ปัญหา หรือบรรเทาผลกระทบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ และถ้าหน่วยงานใดไม่ทำตามมติ กปช. ก็ถือว่าหัวหน้าหน่วยงานนั้นมีความผิดทางวินัย (มาตรา 31-33) และในกรณีที่ภัยคุกคามไซเบอร์กระทบต่อ "ความมั่นคงทางการเงินและการพาณิชย์" กปช. สามารถสั่งงานหน่วยงานภาคเอกชนได้ด้วย (มาตรา 34)

อำนาจจนท. เข้าถึงข้อมูลติดต่อสื่อสารได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล

Blognone ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการสำนักงาน กปช. มีอำนาจ "เข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" (มาตรา 35 (3))
 
ในร่างกฎหมายฉบับล่าสุด ไม่ระบุเงื่อนไขของอำนาจตามมาตรา 35 (3) บอกเพียงแค่ว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง 
 
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสามารถ เรียกให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำ หรือนำส่งเอกสารต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษาการตามพ.ร.บ. ฉบับนี้ (มาตรา 35 (1)) ส่งหนังสือ”ขอความร่วมมือ” ให้หน่วยงานราชการหรือหน่วยงานเอกชน ดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ (มาตรา 35 (2))

สามารถดาวน์โหลด ร่างกฎหมายฉบับเต็ม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประธานสนช. ขอบคุณ 3 แสนเสียงค้าน พ.ร.บ.คอมฯ ยันไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน

$
0
0

พรเพชร วิชิตชลชัย ระบุ สนช. พิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ด้วยความรอบคอบ พร้อมขอบคุณ 3 แสนเสียงค้าน ยันกฎหมายใหม่ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน ยินดีชี้แจงผู้เห็นต่างทุกมาตรา

ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย

19 ธ.ค. 2559 ที่รัฐสภา พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การพิจารณร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำปิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ของ สนช. ที่ผ่านความเห็นชอบจากสนช.ในวาระ 3 เมื่อวันที่16 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น เป็นไปด้วยความรอบคอบ เพื่อให้เป็นกฎหมายที่ดีมีดุลยภาพระหว่างความมั่นคงของรัฐและสิทธิเสรีภาพของประชาชน และทัดเทียมสากล ซึ่งไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่จะเป็นการควบคุมการทำงานของรัฐ ซึ่งรัฐไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือล้วงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน พร้อมเสนอให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาบังคับใช้ควบคู่กับร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันการล้วงข้อมูลส่วนบุคคล

“ยืนยันว่าการปิดหรือระงับใช้ข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศอ่อนแอกว่าไทย ไม่มีการไปศาล แต่ของไทยมีการพัฒนา และกฎหมายดังกล่าวมีมาแล้วตั้งแต่ปี 2550 ดังนั้นองค์กรภาคประชาชนที่ออกมาคัดค้าน ส่วนตัวอยากให้มาพูดคุยกันด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน อะไรที่ขัดกับสิทธิเสรีภาพ โดยสนช.พร้อมเปิดเวทีให้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ไม่อยากให้การกล่าวหานั้นไปโยงกับเรื่องซิงเกิ้ลเกตเวย์ เพราะกฎหมายนี้เป็นการควบคุมการทำงานของเจ้าพนักงานไม่ให้แทรกแซงข้อมูลของประชาชน หากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดจะถูกลงโทษหนักเป็น 3 เท่า” พรเพชร กล่าว

ทั้งนี้ พรเพชร ยังกล่าวขอบคุณเสียงที่คัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว กว่า 3 แสนคน แต่ขอให้ไปดูวัตถุประสงค์ของกฎหมายนี้ให้ดีว่าเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของกฎหมายเดิมที่ใช้บังคับเมื่อปี 2550 มีการปรับปรุงประเด็นใหญ่ ทั้งการใช้อำนาจสั่งห้ามเผยแพร่ข้อมูล จากเดิมให้เป็นอำนาจศาล แต่แก้ให้มีกรรมการกลั่นกรองก่อน ทั้งนี้ขออย่าโจมตีเว็บไซต์ของทางราชการ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าจำเป็นต้องมีกฎหมายฉบับนี้ และยืนยันว่า สนช. ไม่ได้ละเลยที่จะฟังความเห็นของเสียงคัดค้าน ย้ำกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ลิดรอนสิทธิประชาชน และไม่เกี่ยวข้องกับซิงเกิ้ลเก็ตเวย์ โดยยินดีเปิดเวทีชี้แจงรายละเอียดให้ผู้เห็นต่าง แต่ไม่สามารถที่จะชะลอการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้ เพราะทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน

“สนช.ไม่ได้ละเลยความเห็นค้าน แต่ขอให้พูดให้ตรงประเด็น มีจุดอ่อนตรงไหน ไม่ใช่พูดว่าไม่ดี แล้วจะใช้ของปี 50 ที่ถูกวิจารณ์ยับ เราต้องทำกฎหมายให้ดีขึ้น ต้องหยุดกระแสนี้ ทุกมาตราที่พิจารณาสามารถอธิบายได้ มานั่งคุยกันได้เลย เรามีผู้เชี่ยวชาญที่จะชี้แจงรายละเอียดและข้อสงสัยได้ทุกมาตรา ที่กล่าวหาเรื่องซิงเกิ้ลเก็ตเวย์ รัฐบาลไม่มีทางนำไปสู่เรื่องนั้น เพราะถ้าเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพประชาชน ผมก็เป็นห่วง ดังนั้นรัฐบาลต้องออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถ้ามีกฎหมายนี้อีกฉบับ รับรองจะทำให้การใช้คอมพิวเตอร์คลีน สะอาด ไม่สามารถเอาข้อมูลส่วนบุคคลไปได้ ไม่สามารถส่งสแปม ข้อมูลไร้สาระได้” พรเพชร กล่าว

ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้ชะลอการประกาศใช้กฎหมายออกไปก่อนนั้น พรเพชร กล่าวว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะกฎหมายได้ผ่านการพิจารณาของสนช.ไปแล้ว หากสนช. ไม่ให้ผ่าน แล้วจะกลับไปใช้กฎหมายเก่าเมื่อปี 2550 หรืออย่างไร ส่วนที่มีการเตรียมโจมตีเว็บส่วนราชการนั้น ในส่วนของรัฐสภาก็ป้องกันเท่าที่ทำได้

ที่มาจาก: สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

WWF เผยพบสิ่งมีชีวิต 163 ชนิดพันธุ์ใหม่ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง

$
0
0

รายงานสิ่งมหัศจรรย์ใหม่แห่งลุ่มน้ำโขง (Species Oddity) ของ WWF เผยสิ่งมีชีวิตที่ค้นพบใหม่ออกได้เป็น สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 9 ชนิดพันธุ์ ปลา 11 ชนิดพันธุ์ สัตว์เลื้อยคลาน 14 ชนิดพันธุ์ พืช 126 ชนิดพันธุ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 3 ชนิดพันธุ์ โดยพื้นที่ที่ค้นพบได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และไทย

19 ธ.ค. 2559 รายงานสิ่งมหัศจรรย์ใหม่แห่งลุ่มน้ำโขง (Species Oddity) ฉบับล่าสุดขององค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เผยการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำงานวิจัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง โดยสามารถแบ่งสิ่งมีชีวิตที่ค้นพบใหม่ออกได้เป็น สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 9 ชนิดพันธุ์ ปลา 11 ชนิดพันธุ์ สัตว์เลื้อยคลาน 14 ชนิดพันธุ์ พืช 126 ชนิดพันธุ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 3 ชนิดพันธุ์ โดยพื้นที่ที่ค้นพบได้แก่ ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม และประเทศไทย

การสำรวจซึ่งดำเนินการโดย WWF เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน รวมจำนวนสัตว์และพืชสายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบทั้งหมดในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง มีจำนวนมากถึง 2,409 ชนิดพันธุ์

Jimmy Borah ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์สัตว์ป่าของ WWF ประจำภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า “พื้นที่ลุ่มน้ำโขง เปรียบเสมือนสนามแม่เหล็กที่ดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์จากทั่วโลก ให้เข้ามาสำรวจและศึกษาถึงความหลากหลายทางชีวภาพอันน่ามหัศจรรย์ในพื้นที่ นักวิทยาศาสตร์เองก็เป็นเหมือนวีรบุรุษผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแข่งขันกับเวลาที่เหลือน้อยลง และเพื่อช่วยอนุรักษ์สัตว์หายากเหล่านี้”

จุดเด่นที่น่าสนใจของรายงาน สิ่งมหัศจรรย์ใหม่แห่งลุ่มน้ำโขง (Species Oddity) มีดังนี้

  • งูหัวสีสายรุ้งเหลือบเงิน หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Parafimbrios สามารถพบได้ตามพื้นที่หน้าผาที่สูงชันทางตอนเหนือของประเทศลาว โดยมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า สามารถพบงูชนิดดังกล่าวได้เพียงพื้นที่เดียว แต่จากการค้นพบล่าสุด พบว่ามีงูหัวสีสายรุ้งเหลือบเงินอยู่ในพื้นที่อื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งสร้างความหวังให้กับนักวิทยาศาสตร์ถึงโอกาสการอยู่รอดที่มากขึ้น
     

 

  • กิ้งก่าเขาหนามภูเก็ต หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Acanthosaura phuketensis มีจุดเด่นคือแผงหนามยาวจากหัวถึงกลางสันหลัง สามารถพบได้ในป่าของจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันมีจำนวนลดลง โดยมีสาเหตุจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยและตกเป็นเหยื่อของการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย

     

  • กล้วยศรีน่าน หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Musa nanensis เป็นกล้วยพันธุ์หายาก สามารถพบได้ทางภาคเหนือของประเทศไทย แต่จากปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าที่มากขึ้นส่งผลให้กล้วยศรีน่านอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
     

  • อึ่งขนาดเล็กซึ่งมีขนาดลำตัวยาวเพียง 3 เซนติเมตร หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Leptolalax isos สามารถพบได้ในประเทศกัมพูชาและประเทศเวียดนาม แต่จากสถานการณ์การทำป่าไม้ การขยายพื้นที่เกษตรกรรม และการก่อสร้างโครงการพลังงานน้ำขนาดใหญ่ ทำให้จำนวนของอึ่งชนิดพันธุ์ดังกล่าวมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
     

  • กะท่าง หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Tylototriton anguliceps มีลักษณะเด่นคือ ผิวหนังสีส้มสลับดำที่นูนขึ้นมาเป็นทางยาว โดยสามารถพบได้ในจังหวัดเชียงราย ผิวหนังส่วนที่นูนขึ้นมานี้มีความอ่อนไหวอย่างมากต่อสารกำจัดศัตรูพืช และปัจจุบันกะท่างกำลังอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากแหล่งที่อยู่อาศัยที่ถูกทำลายลง
     

  • ตุ๊กแก หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gekko bonkowskii มีลักษณะเด่นคือ ส่วนหางจะเป็นปล้องสีฟ้าอ่อนสลับปล้องสีดำ สามารถพบได้ตามเทือกเขาที่ห่างไกลในประเทศลาว นักวิทยาศาสตร์ซึ่งศึกษาและสำรวจหินย้อยภายในถ้ำเป็นผู้ค้นพบตุ๊กแกชนิดพันธุ์ดังกล่าว การค้นพบครั้งนี้ เชื่อกันว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นถึงวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานในบริเวณเทือกเขาอันนัม

 

  • ดอกไม้ ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่มีวงกลีบเลี้ยง 2 ด้านยื่นขึ้นมาด้านข้างคล้ายกับหูของตัวการ์ตูนมิกกี้ เม้าส์หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า kingdon-wardii โดยสามารถพบได้บริเวณยอดเขาวิกตอเรีย ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาชิน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า การค้นพบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศพม่า ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการปกป้อง

     

  • ค้างคาว ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือมีขนาดเล็กและมีขนหนาปกคลุมหัวและช่วงแขนด้านหน้า หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Murina kontumensis สามารถพบได้บนที่ราบสูงตอนกลางของประเทศเวียดนาม

WWF ระบุว่า ปัจจุบัน ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากกระแสการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมือง การสร้างถนน ไปจนถึงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ รวมไปถึงปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ซึ่งกำลังคุกคามความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่หลายหมื่นหลายพันให้อาจต้องสูญหายไปก่อนจะได้รับการค้นพบ

“นักสะสมสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ที่หายาก ยินยอมจ่ายเงินจำนวนหลายล้านบาท เพื่อให้ได้ครอบครองสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ที่มีคุณค่าเหล่านี้ ตลาดใหญ่ที่สำคัญคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศไทย และประเทศพม่า เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาและปรับการทำงานเพื่อปิดตลาดการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ให้หมดไป รวมไปถึงปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงเสือและหมี ที่คอยป้อนสัตว์ให้กับตลาดค้าสัตว์ป่า” Jimmy Borah ระบุ

อนึ่ง ในทางปฏิบัติ มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ใหม่มาตั้งแต่ปี 2558 แต่วิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องมีการยืนยันชนิดพันธุ์ของพืชและสัตว์อย่างเป็นทางการและการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ระยะเวลาระหว่างการค้นพบในขั้นต้นกับการประกาศอย่างเป็นทางการในรายงานจึงมีช่วงเวลาที่ห่างกันค่อนข้างมาก


ข้อมูลเพิ่มเติม
·    รายงานภาษาอังกฤษฉบับเต็ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.panda.org/species_oddity
·    สำหรับภาพ คำบรรยายประกอบภาพ และเครดิตภาพ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://bit.ly/2hrMsOt 
·    รายงาน สิ่งมหัศจรรย์ใหม่แห่งลุ่มน้ำโขง  (Species Oddity) ฉบับนี้ นับเป็นฉบับที่ 8 โดยเน้นที่การค้นพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับรายก่อนฉบับก่อนหน้า ไปที่ http://bit.ly/2hwTMF5
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จี้ ป.ป.ช.สอบ 'ศานิตย์' รับเงินเดือนบ.ไทยเบฟฯ ชี้คล้ายคดี 'สมัคร' ทำกับข้าวออกทีวี

$
0
0

ศรีสุวรรณ จรรยา ร้อง ป.ป.ช. สอบ พล.ต.ท.ศานิตย์ ผบช.น. กรณีรับเงินเดือนค่าที่ปรึกษา บ.ไทยเบฟฯ ยกเทียบเคียงได้กับกรณีของ สมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลวินิจฉัยว่าเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนไม่ได้ จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง เหตุจัดรายการทำอาหารและรับเงินตอบแทน

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก Srisuwan Janya 

19 ธ.ค. 2559 จากเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางไปที่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน อาคาร B ศูนย์ราชการฯ เพื่อร้องเรียนกล่าวโทษต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อไต่สวน ตรวจสอบกรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ สนช. รับเงินเดือนที่ปรึกษาจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เดือนละ 50,000 บาท มีความผิดต่อจริยธรรมและกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 (4) และมาตรา 103 ด้วยหรือไม่อย่างไร โดยระบุว่า อาจเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อประมวลจริยธรรมของข้าราชการตำรวจและประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2550 เพราะอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอีกด้วย

ล่าสุดวันนี้ (19 ธ.ค.59)  มติชนออนไลน์รายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศรีสุวรรณ พร้อมด้วย สิระ เจนจาคะ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวน โดยเห็นว่าอาจเข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 103 ประกอบมาตรา 122 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ มาตรา 78 (16) (18) พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานและเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2544 ข้อ 7

ศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรณีนี้สาธารณชนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันโดยทั่วไปว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อประมวลจริยธรรมโดยชัดแจ้ง แต่ สตช.กลับพยายามช่วยเหลือ กลบเกลื่อนการกระทำดังกล่าว ทั้งๆ ที่เป็นหน่วยงานที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสาธารณชนในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้น เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการกับกรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงยื่นเรื่องเพื่อให้ไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษตามกฎหมาย ป.ป.ช.ต่อไป

ศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า เรื่องดังกล่าวอาจเทียบเคียงได้กับกรณีของ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลวินิจฉัยว่าเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนไม่ได้ จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะไปจัดรายการทำอาหารและรับเงินตอบแทนมาเหมือนกัน อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ย้าย พล.ต.ท.ศานิตย์พ้นจากตำแหน่ง เหมือนกรณีที่ดำเนินการกับข้าราชการคนอื่นๆ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดำเนินการเรื่องนี้ จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป เพราะหากไม่มีข้อยุติจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อาจกลายเป็นการรับส่วย โดยอ้างว่าเป็นค่าที่ปรึกษาได้

โดยก่อนหน้านี้ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงกรณีดังกล่าวว่าไม่เข้าข่ายต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547 มาตรา 78 (17) 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ป.ป.ช. เปิดเผยการยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 จำนวน 31 ตำแหน่ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2559 จำนวน 2 ตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา อีกจำนวน 1 ตำแหน่ง โดยจำนวนนี้ มีกรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ ซึ่ง ระบุว่ามีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2558 ได้เงินเดือนเดือนละ 50,000 บาท จนส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

7 แม่หญิงกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ถูกเรียกรายงานตัวหลังร่วมติดตามการประชุมสภา อบต.เขาหลวง

$
0
0

เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียก 7 แม่หญิงกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย รายงานตัว ฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ หลังรวมตัวหน้าสำนักงาน อบต.เขาหลวง เพื่อติดตามการประชุม และถูกแจ้งข้อหาขมขื่นใจสมาชิก อบต.เขาหลวง โซนบน

ที่มาภาพจาก: เฟซบุ๊กแฟนเพจเหมืองแร่เมืองเลย V.2

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2559 เวลา 13.00 น. ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย 7 คน ซึ่งถูกออกหมายเรียกรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ  จากกรณีการรวมตัวกว่า 150 คน เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2559 ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงาน อบต. เขาหลวง เพื่อติดตามการประชุมสภาในวาระการพิจารณาเรื่องการขอต่ออายุใบอนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และ ส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำ ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด และเรียกร้องให้ยกเลิกการประชุมในวาระดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดได้เดินทางมาเพื่อติดตามการประชุมเป็นประจำตั้งแต่วันที่ 2 , 4 , 9 พ.ย. 2559 แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไมได้แจ้งกับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดว่า การกระทำดังกล่าว มีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ สำหรับการเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียกในวันดังกล่าว ได้มีชาวบ้านราว 50 คน ร่วมเดินทางไปให้กำลังใจกับกลุ่มผู้ที่ถูกหมายเรียกด้วย

โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2559 ร.ต.อ.วสันต์ แสงโทโพ ได้นำหมายเรียกตัวมามอบให้กับ พรทิพย์ หงชัย หรือแม่ป๊อบ ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ซึ่งเป็น 1 ใน 7 คนที่ถูกออกหมายเรียกรายงานตัว เพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 11 ธ.ค. 2559 แต่ผู้ถูกออกหมายเรียกทั้ง 7 ราย ไม่สามารถเดินทางไปรายตัวได้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร จึงได้ขอเลื่อนมารายงานตัวในวันที่ 18 ธ.ค. แทน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สุจินต์ นาวาเรือน ผกก.สภ.วังสะพุง เป็นผู้สั่งการแจ้งความเอาผิดในข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุม กับพรทิพย์ ใน 2 ข้อหา อ้างว่าเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอีกข้อหาคือร่วมกันข่มขืนใจสมาชิก อบต.เขาหลวง เขตโซนบน 16 คน ให้กระทำหรือยอมจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน พร้อมด้วยชาวบ้านอีก 6 คน ในข้อหาเดียวกัน ได้แก่ 1.นางระนอง กองแสน 2.นางวิรอน รุจิไชยวัฒน์ 3.นางสุพัฒน์ คุณนา 4.นางบุญแรง ศรีทอง 5.นางมล คุณนา 6.นางลำเพลิน เรืองฤทธิ์ ตามที่ สมาชิก อบต.เขาหลวง ในเขตโซนบน ทั้ง 16 คน ได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2559 ให้ดำเนินคดีกับชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถประชุมสภา ในวันที่ 16 พ.ย. 2559 เรื่องการขอต่ออายุใบอนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และ ส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำได้

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาชุมนุมเกิน 5 คน และไม่ได้แจ้งความประสงค์การชุมนุมไว้ล่วงหน้า โดยมีโทษปรับคนละ 500 บาท พร้อมกล่าวอีกว่า 'ถ้าเรื่องถึงชั้นอัยการจะเสียคนละ 10,000 บาท' ซึ่งทางชาวบ้านทั้ง 7 คน ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะเสียค่าปรับ เนื่องจากเห็นว่าพวกตนไม่ได้ไปชุมนุม เพียงแต่ไปติดตามการประชุมสภา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยได้รับหนังสือเชิญจากประธานสภา อบต. ให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมสาธารณะตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

'ใครจะยอมแลกศักดิ์ศรีความเป็นคนกับค่าปรับแค่ 500 บาท' ชาวบ้านคนหนึ่งได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจ สมาชิก อบต.เขาหลวง เขตโซนบน ทั้ง 16 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งเรื่องไปยังอัยการให้พิจารณารับฟ้องต่อไป

ขณะที่วันนี้ (19 ธ.ค. 2559) เวลา 09.30 น. ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ประมาณ 50 คน เดินทางไปที่สภา อบต.เขาหลวง เพื่อเข้าร่วมฟังการประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ สมัยที่1 ประจำปี 2559 พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแผนพัฒนา 4 ปี (พ.ศ.2561-2564)

กลุ่มชาวบ้านระบุว่า ถึงแม้การประชุมสภาฯ ในวันนี้จะไม่มีวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบการต่ออายุใบอนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ และส.ป.ก.แก่ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ แต่ชาวบ้านก็ยังคงหวั่นเกรงว่าสมาชิกสภา อบต.โซนบน 16 คน จะเอาวาระดังกล่าวเข้าที่ประชุม 

ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ จึงเดินทางมาร่วมรับฟังการประชุมและขอยื่นหนังสือคัดค้านการอนุญาตต่ออายุใบอนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และส.ป.ก. อีกทั้งเรียกร้องให้ปิดเหมืองฟื้นฟู แก้ไขผลกระทบและปัญหาความขัดแย้ง และให้ประธานสภา อบต.เขาหลวง ปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล หยุดสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ การสำรวจแร่ และหยุดโรงประกอบโลหะกรรม ก่อนปี 2560 ตามมติ ครม.

ต่อมาเวลา 10.30 น. สมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง ได้มาสรุปการประชุมสภาในวันนี้ให้ชาวบ้านฟังว่า การประชุมในวันนี้ก็มีวาระแผน 4 ปีและการพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดตั้งวัดป่าภูหลวง หมู่ 9 และการพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดตั้งวัดพุทธปารมี (วัดป่าผาแดง) หมู่12 

ประธานสภาฯ ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ไม่มีวาระเรื่องการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าและส.ป.ก.ให้ชาวบ้านสบายใจได้ อีกทั้งยังได้อ่านคำหัวหน้าคสช.ที่ 72/2559 เรื่องให้ปิดเหมืองทั่วประเทศ ให้สมาชิกสภา อบต.เขาหลวงทุกคนรับทราบโดยทั่วกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า กลุ่มผู้หญิงปกป้องสิทธิชุมชนจากการทำเหมืองแร่ทองคำ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด เพิ่งได้รับรางวัลเกียรติยศสตรีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2559 ซึ่งมอบให้โดย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2559 (อ่านข่าวที่เกี่ยว)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งจำคุก 2 เดือน รอการลงโทษ 1 ปี คดีอภิชาตชูป้ายต้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์

$
0
0


ภาพวันเกิดเหตุ ขณะควบคุมตัวอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ 23 พ.ค.2557 

19 ธ.ค.2559 ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลชั้นต้นอ่านพิพากษาคดีที่ อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ เจ้าหน้าที่กฎหมายประจำสำนักงานปฏิรูปกฎหมาย หรือ คปก. ตกเป็นจำเลยคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ชุมนุมทางการเมืองจากกรณีที่เขาไปชูป้ายต้านรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2557 หรือหลังการรัฐประหาร 1 วัน ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับเป็นเงิน 6,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เขาเป็นจำเลยหนึ่งในไม่กี่คนที่ต่อสู้ในคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ซึ่งเกิดขึ้นมากมายหลังการรัฐประหาร 2557 ไม่ว่าจะเป็นเหตุจากการไม่รายงานตัวตามประกาศ คสช. หรือการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน สำหรับข้อหาชุมนุมเกิน 5 คนส่วนใหญ่จำเลยมักจะรับสารภาพและศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้ ปัจจุบันผู้ต่อสู้คดีลักษณะนี้จะขึ้นศาลทหาร แต่เนื่องจากเหตุในคดีนี้เกิดก่อนจะมีคำสั่งของ คสช.ให้ต้องขึ้นศาลทหาร คดีของอภิชาตจึงยังคงพิจารณาในศาลพลเรือน นอกจากนี้การชุมนุมในวันที่ 23 พ.ค.2557 ดังกล่าว ยังถือเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารครั้งแรกโดยประชาชนรวมกลุ่มกันเองโดยไม่มีผู้นำด้วย

อภิชาตถูกฟ้องในหลายข้อหา คือ ความผิดตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 8 และ 11 , ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาตรา 215 วรรคแรก มาตรา 216 และ มาตรา 368 วรรคแรก ภายหลังฟังคำพิพากษา อภิชาตและทนายความของเขาระบุว่า จะเตรียมยื่นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายและหลักการเรื่องความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของผู้ยึดอำนาจ (อ่านบันทึกคดีที่ iLaw)


อภิชาต และทีมทนายความ ในวันฟังคำพิพากษา

สำหรับคำพิพากษาในวันนี้ ศาลอ่านแล้วสรุปความได้ว่า เมื่อพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีแล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยมีพล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าและมีการออกประกาศที่ 7/2557 ห้ามชุมนุมทางการเมือง ต่อมาวันที่ 23 พ.ค.2557 จำเลยได้ทราบข่าวจากเฟซบุ๊กว่าจะมีการรวมตัวกันคัดค้านคณะทหารและการทำรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์ฯ และสกายวอล์กจึงได้มาร่วมการชุมนุมจนถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมส่งพนักงานสอบสวนจนกระทั่งมีการฟ้องเป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ จากการเบิกความของพยานซึ่งเป็นนายทหารยศร้อยตรีที่เข้าควบคุมตัวจำเลยในคดีนี้ ระบุว่า เขาได้รับแจ้งว่ามีประชาชนชุมนุมในบริเวณดังกล่าวจึงนำกำลังนั่งรถไฟฟ้า BTS ไปยังบริเวณหน้าหอศิลป์ และเจอกลุ่มผู้ชุมนุมราว 500 คนบริเวณสกายวอล์กและใกล้เคียง ผู้ชุมนุมที่อยู่บนสกายวอล์กได้ประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหาร โห่ร้อง ขับไล่ และชูป้ายต่อต้านการทำรัฐประหาร ซึ่งในจำนวนนั้นมีจำเลยถือป้ายข้อความว่า “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน” รวมอยู่ด้วย และจำเลยยังได้ปลุกเร้าด้วยคำพูดต่อผู้ชุมนุมคนอื่นในลักษณะต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ควบคุมตัวไปไว้ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ 1 คืนตามอำนาจกฎอัยการศึก ก่อนนำตัวส่งกองบังคับการปราบปรามในวันที่ 24 พ.ค.2557 ตำรวจควบคุมตัวจนวันที่ 29 พ.ค. นายทหารคนดังกล่าวจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจพร้อมส่งมอบภาพนิ่งและภาพวิดีโอวันเกิดเหตุให้พนักงานสอบสวน

ศาลระบุว่า พยานทั้งตำรวจและทหารที่ขึ้นเบิกความเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและทหารยศร้อยตรีดังกล่าวยังเป็นพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ด้วย มีการเบิกความเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีข้อพิรุธ จึงไม่เชื่อว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ได้รับโทษ คำเบิกความของพยานทั้งสองรับฟังได้ และจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศแล้วนั้น อำนาจในการปกครองประเทศย่อมตกอยู่กับ คสช. ดังนั้น คสช.จึงมีสภาพเป็นรัฏฐาธิปัตย์เองโดยตรง เมื่อออกประกาศที่ 7/2557 ประกาศดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก เป็นฐานอำนาจในการออกประกาศ โดยก่อนหน้านั้นได้มีการออกประกาศ คสช.ที่ 2/2557 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร พล.อ.ประยุทธ์ย่อมสามรถออกประกาศที่ 7/2557 ได้โดยใช้กฎอัยการศึกเป็นฐาน เพื่อเป็นกฎหมายที่จะรักษาสถานการณ์ของบ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย หากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมต้องได้รับโทษ เมื่อการออกประกาศ คสช.ที่ 7/2557 โดยชอบและพยานที่เป็นทหารได้เบิกความว่ามีประชาชนราว 500 ที่มาประจันหน้าและขัดขวางไม่ให้ทหารเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยและจำเลยก็ยังพยายามปลุกเร้าให้คนอื่นฮึกเหิมประกอบกับมีวัตถุพยานคือคลิปวิดีโอและภาพถ่ายส่งมอบให้ตำรวจด้วย เมื่อดูคลิปแล้วเห็นว่ามีผู้อยู่ในการชุมนุมจำนวนมาก เจือสมคำเบิกความของนายทหารคนดังกล่าว การที่จำเลยมาที่สกายวอล์กมีเจตนามาต่อต้านอำนาจทหารถือเป็นการชุมนุมทางการเมือง จำเลยต่อสู้คดีโดยเบิกความว่า ทราบว่ามีการยึดอำนาจแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ค.และพบข่าวสารในเฟซบุ๊กที่ระบุว่าจะมีการรวมตัวกันที่หอศิลป์เพื่อต่อต้านรัฐประหาร จำเลยมีสิทธิที่จะร่วมแสดงออกว่าการทำรัฐประหารไม่ชอบธรรม จำเลยยังตอบคำถามค้านด้วยว่า จำเลยทราบว่ามีการประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนโดยมีประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ก่อนจะไปร่วมชุมนุมด้วย คำให้การดังกล่าวเจือสมกับที่นายทหารเบิกความ

ศาลระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ส่วนข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้นแม้จำเลยจะบอกว่าเห็นกิจกรรมนี้จากเฟซบุ๊ก แต่จากปากคำของพยานนายทหารจะเห็นว่าจำเลยมาร่วมชุมนุม มีการประจันหน้าระหว่างประชาชนกับทหาร มีการชูป้ายต่อต้านซึ่งรวมถึงจำเลยด้วย และจำเลยยังปลุกเร้าผู้ชุมนุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการต่อต้านไม่ให้ คสช.ปกครองบ้านเมืองโดยกระทำการให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 215 และข้อหาตาม 216 ผู้ใดทราบคำสั่งเจ้าหน้าพนักงานและไม่ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรนั้น แม้ทหารซึ่งเป็นพยานจะเบิกความว่า ผู้กำกับ สน.ปทุมวันได้ประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบแล้วว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายและอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวมาก่อเหตุร้าย แต่ผู้ชุมนุมก็ไม่เชื่อฟังและส่งเสียงโห่ร้อง อย่างไรก็ตาม โจทก์ไม่ได้นำผู้กำกับสน.ปทุมวันคนดังกล่าวมานำสืบเพื่อยืนยัน จึงไม่พอจะรับฟังว่ามีการกระทำผิดในข้อหานี้ตามฟ้องโจทก์

ศาลยังระบุอีกว่า  อย่างไรก็ตาม ต่อมา คสช.มีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558มาบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ในข้อ 12 เรื่องการมั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คนนั้นให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ การกระทำความผิดตามข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 มีองค์ประกอบความผิดเช่นเดียวกับประกาศ คสช.ที่ 7/2557 แต่ในข้อ 12 มีการยกเว้นความผิดไว้และอัตราโทษตามประกาศ คสช.ที่ 7/2557 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษที่สูงกว่า ข้อ 12  ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 กรณีนี้เป็นกรณีที่มีกฎหมายแตกต่างกันระหว่างเวลาที่จำเลยทำผิดและหลังจากนั้น ต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย จึงใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ซึ่งโทษเบากว่า ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎมายอาญามาตรา 3 วรรคแรก

ศาลระบุว่า พิพากษาให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ปรับ 6,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นควรให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี ให้รอการกำหนดโทษจำคุกไว้ 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกเสีย แจ้งคำพิพากษาให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 ทราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อต่อสู้ของจำเลยนั้น อภิชาตยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำการปลุกเร้าปลุกระดมประชาชนในบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ไปร่วมชุมนุมเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารโดยการพิมพ์ข้อความลงในกระดาษ A4 เพื่อไปชูเท่านั้น และเห็นว่าขณะนั้นการรัฐประหารยังไม่สำเร็จ จึงเป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังฝ่ายจำเลยยังมี รศ.จรัญ โฆษณานันท์ นักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เบิกความว่าการประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นการประกาศโดยพล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าจากพระมหากษัตริย์ตามหลักของกฎหมาย  และประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ก็ขัดกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ICCPR ข้อ 19 ซึ่งได้รับรองคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นไว้ โดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้ มาตรา 4 ก็ได้บัญญัติรับรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ มีผลผูกพันตามพันธกรณีระหว่างประเทศเช่นกัน (อ่านรายละเอียดที่ เพจสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน หรือ สนส. และ เว็บศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน)  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่คดีของอภิชาตใช้เวลาพิจารณายาวนานกว่า 2 ปี เนื่องจากในชั้นแรกนั้น ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องเมื่อ 11 ก.พ.2559 โดยให้เหตุผลว่ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องเนื่องจากเหตุเกิดในท้องที่สน.ปทุมวัน แต่ตำรวจกองปราบเป็นผู้สอบสวนและโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นถึงเขตอำนาจสอบสวน ต่อมาอัยการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อ 11 ต.ค.2559 ว่า พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้และมีคำพิพากษาใหม่ ซึ่งปรากฏในวันนี้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งจำคุก 2 เดือน รอการลงโทษ 1 ปี คดีอภิชาตชูป้ายต้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์

$
0
0


ภาพวันเกิดเหตุ ขณะควบคุมตัวอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ 23 พ.ค.2557 

19 ธ.ค.2559 ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลชั้นต้นอ่านพิพากษาคดีที่ อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ เจ้าหน้าที่กฎหมายประจำสำนักงานปฏิรูปกฎหมาย หรือ คปก. ตกเป็นจำเลยคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ชุมนุมทางการเมืองจากกรณีที่เขาไปชูป้ายต้านรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2557 หรือหลังการรัฐประหาร 1 วัน ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับเป็นเงิน 6,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เขาเป็นจำเลยหนึ่งในไม่กี่คนที่ต่อสู้ในคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ซึ่งเกิดขึ้นมากมายหลังการรัฐประหาร 2557 ไม่ว่าจะเป็นเหตุจากการไม่รายงานตัวตามประกาศ คสช. หรือการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน สำหรับข้อหาชุมนุมเกิน 5 คนส่วนใหญ่จำเลยมักจะรับสารภาพและศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้ ปัจจุบันผู้ต่อสู้คดีลักษณะนี้จะขึ้นศาลทหาร แต่เนื่องจากเหตุในคดีนี้เกิดก่อนจะมีคำสั่งของ คสช.ให้ต้องขึ้นศาลทหาร คดีของอภิชาตจึงยังคงพิจารณาในศาลพลเรือน นอกจากนี้การชุมนุมในวันที่ 23 พ.ค.2557 ดังกล่าว ยังถือเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารครั้งแรกโดยประชาชนรวมกลุ่มกันเองโดยไม่มีผู้นำด้วย

อภิชาตถูกฟ้องในหลายข้อหา คือ ความผิดตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 8 และ 11 , ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาตรา 215 วรรคแรก มาตรา 216 และ มาตรา 368 วรรคแรก ภายหลังฟังคำพิพากษา อภิชาตและทนายความของเขาระบุว่า จะเตรียมยื่นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายและหลักการเรื่องความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของผู้ยึดอำนาจ (อ่านบันทึกคดีที่ iLaw)


อภิชาต และทีมทนายความ ในวันฟังคำพิพากษา

สำหรับคำพิพากษาในวันนี้ ศาลอ่านแล้วสรุปความได้ว่า เมื่อพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีแล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยมีพล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าและมีการออกประกาศที่ 7/2557 ห้ามชุมนุมทางการเมือง ต่อมาวันที่ 23 พ.ค.2557 จำเลยได้ทราบข่าวจากเฟซบุ๊กว่าจะมีการรวมตัวกันคัดค้านคณะทหารและการทำรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์ฯ และสกายวอล์กจึงได้มาร่วมการชุมนุมจนถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมส่งพนักงานสอบสวนจนกระทั่งมีการฟ้องเป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ จากการเบิกความของพยานซึ่งเป็นนายทหารยศร้อยตรีที่เข้าควบคุมตัวจำเลยในคดีนี้ ระบุว่า เขาได้รับแจ้งว่ามีประชาชนชุมนุมในบริเวณดังกล่าวจึงนำกำลังนั่งรถไฟฟ้า BTS ไปยังบริเวณหน้าหอศิลป์ และเจอกลุ่มผู้ชุมนุมราว 500 คนบริเวณสกายวอล์กและใกล้เคียง ผู้ชุมนุมที่อยู่บนสกายวอล์กได้ประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหาร โห่ร้อง ขับไล่ และชูป้ายต่อต้านการทำรัฐประหาร ซึ่งในจำนวนนั้นมีจำเลยถือป้ายข้อความว่า “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน” รวมอยู่ด้วย และจำเลยยังได้ปลุกเร้าด้วยคำพูดต่อผู้ชุมนุมคนอื่นในลักษณะต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ควบคุมตัวไปไว้ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ 1 คืนตามอำนาจกฎอัยการศึก ก่อนนำตัวส่งกองบังคับการปราบปรามในวันที่ 24 พ.ค.2557 ตำรวจควบคุมตัวจนวันที่ 29 พ.ค. นายทหารคนดังกล่าวจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจพร้อมส่งมอบภาพนิ่งและภาพวิดีโอวันเกิดเหตุให้พนักงานสอบสวน

ศาลระบุว่า พยานทั้งตำรวจและทหารที่ขึ้นเบิกความเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและทหารยศร้อยตรีดังกล่าวยังเป็นพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ด้วย มีการเบิกความเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีข้อพิรุธ จึงไม่เชื่อว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ได้รับโทษ คำเบิกความของพยานทั้งสองรับฟังได้ และจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศแล้วนั้น อำนาจในการปกครองประเทศย่อมตกอยู่กับ คสช. ดังนั้น คสช.จึงมีสภาพเป็นรัฏฐาธิปัตย์เองโดยตรง เมื่อออกประกาศที่ 7/2557 ประกาศดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก เป็นฐานอำนาจในการออกประกาศ โดยก่อนหน้านั้นได้มีการออกประกาศ คสช.ที่ 2/2557 ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร พล.อ.ประยุทธ์ย่อมสามรถออกประกาศที่ 7/2557 ได้โดยใช้กฎอัยการศึกเป็นฐาน เพื่อเป็นกฎหมายที่จะรักษาสถานการณ์ของบ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย หากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมต้องได้รับโทษ เมื่อการออกประกาศ คสช.ที่ 7/2557 โดยชอบและพยานที่เป็นทหารได้เบิกความว่ามีประชาชนราว 500 ที่มาประจันหน้าและขัดขวางไม่ให้ทหารเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยและจำเลยก็ยังพยายามปลุกเร้าให้คนอื่นฮึกเหิมประกอบกับมีวัตถุพยานคือคลิปวิดีโอและภาพถ่ายส่งมอบให้ตำรวจด้วย เมื่อดูคลิปแล้วเห็นว่ามีผู้อยู่ในการชุมนุมจำนวนมาก เจือสมคำเบิกความของนายทหารคนดังกล่าว การที่จำเลยมาที่สกายวอล์กมีเจตนามาต่อต้านอำนาจทหารถือเป็นการชุมนุมทางการเมือง จำเลยต่อสู้คดีโดยเบิกความว่า ทราบว่ามีการยึดอำนาจแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ค.และพบข่าวสารในเฟซบุ๊กที่ระบุว่าจะมีการรวมตัวกันที่หอศิลป์เพื่อต่อต้านรัฐประหาร จำเลยมีสิทธิที่จะร่วมแสดงออกว่าการทำรัฐประหารไม่ชอบธรรม จำเลยยังตอบคำถามค้านด้วยว่า จำเลยทราบว่ามีการประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนโดยมีประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ก่อนจะไปร่วมชุมนุมด้วย คำให้การดังกล่าวเจือสมกับที่นายทหารเบิกความ

ศาลระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ส่วนข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้นแม้จำเลยจะบอกว่าเห็นกิจกรรมนี้จากเฟซบุ๊ก แต่จากปากคำของพยานนายทหารจะเห็นว่าจำเลยมาร่วมชุมนุม มีการประจันหน้าระหว่างประชาชนกับทหาร มีการชูป้ายต่อต้านซึ่งรวมถึงจำเลยด้วย และจำเลยยังปลุกเร้าผู้ชุมนุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการต่อต้านไม่ให้ คสช.ปกครองบ้านเมืองโดยกระทำการให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 215 และข้อหาตาม 216 ผู้ใดทราบคำสั่งเจ้าหน้าพนักงานและไม่ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรนั้น แม้ทหารซึ่งเป็นพยานจะเบิกความว่า ผู้กำกับ สน.ปทุมวันได้ประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบแล้วว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายและอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวมาก่อเหตุร้าย แต่ผู้ชุมนุมก็ไม่เชื่อฟังและส่งเสียงโห่ร้อง อย่างไรก็ตาม โจทก์ไม่ได้นำผู้กำกับสน.ปทุมวันคนดังกล่าวมานำสืบเพื่อยืนยัน จึงไม่พอจะรับฟังว่ามีการกระทำผิดในข้อหานี้ตามฟ้องโจทก์

ศาลยังระบุอีกว่า  อย่างไรก็ตาม ต่อมา คสช.มีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558มาบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ในข้อ 12 เรื่องการมั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คนนั้นให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ การกระทำความผิดตามข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 มีองค์ประกอบความผิดเช่นเดียวกับประกาศ คสช.ที่ 7/2557 แต่ในข้อ 12 มีการยกเว้นความผิดไว้และอัตราโทษตามประกาศ คสช.ที่ 7/2557 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษที่สูงกว่า ข้อ 12  ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 กรณีนี้เป็นกรณีที่มีกฎหมายแตกต่างกันระหว่างเวลาที่จำเลยทำผิดและหลังจากนั้น ต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย จึงใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ซึ่งโทษเบากว่า ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎมายอาญามาตรา 3 วรรคแรก

ศาลระบุว่า พิพากษาให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ปรับ 6,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นควรให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี ให้รอการกำหนดโทษจำคุกไว้ 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกเสีย แจ้งคำพิพากษาให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 ทราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อต่อสู้ของจำเลยนั้น อภิชาตยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำการปลุกเร้าปลุกระดมประชาชนในบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ไปร่วมชุมนุมเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารโดยการพิมพ์ข้อความลงในกระดาษ A4 เพื่อไปชูเท่านั้น และเห็นว่าขณะนั้นการรัฐประหารยังไม่สำเร็จ จึงเป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังฝ่ายจำเลยยังมี รศ.จรัญ โฆษณานันท์ นักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เบิกความว่าการประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นการประกาศโดยพล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าจากพระมหากษัตริย์ตามหลักของกฎหมาย  และประกาศ คสช.ที่ 7/2557 ก็ขัดกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ICCPR ข้อ 19 ซึ่งได้รับรองคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นไว้ โดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้ มาตรา 4 ก็ได้บัญญัติรับรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ มีผลผูกพันตามพันธกรณีระหว่างประเทศเช่นกัน (อ่านรายละเอียดที่ เพจสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน หรือ สนส. และ เว็บศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน)  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่คดีของอภิชาตใช้เวลาพิจารณายาวนานกว่า 2 ปี เนื่องจากในชั้นแรกนั้น ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องเมื่อ 11 ก.พ.2559 โดยให้เหตุผลว่ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องเนื่องจากเหตุเกิดในท้องที่สน.ปทุมวัน แต่ตำรวจกองปราบเป็นผู้สอบสวนและโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นถึงเขตอำนาจสอบสวน ต่อมาอัยการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อ 11 ต.ค.2559 ว่า พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้และมีคำพิพากษาใหม่ ซึ่งปรากฏในวันนี้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'6 วิชาชีพสื่อ' ค้าน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน

$
0
0

19 ธ.ค. 2559 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 6 องค์กร ประกอบด้วยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ร่วม เรื่อง คัดค้านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ......

โดยแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกต่อประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชนสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เพื่อขอให้ทบทวนเนื้อหาในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ ต่อประเด็นการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีบทบัญญัติขัดต่อเจตนารมณ์ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ที่ให้การรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระ ปราศจากการแทรกแซงเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมา และต่อมาประธานคณะกรรมาธิการได้ขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อจัดทำข้อเสนอเพื่อแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวส่งให้คณะกรรมาธิการพิจารณา ซึ่งมีกำหนดจะยื่นร่างแก้ไขขององค์กรวิชาชีพสื่อในวันพฤหัสบดีที่ 22 ธ.ค. 2559 นี้นั้น

ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีความพยายามเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างเดิมของคณะกรรมาธิการให้มีเนื้อหาอันเป็นการสนับสนุนให้ภาคการเมืองและภาครัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนมากขึ้น อาทิ การกำหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติประกอบด้วยผู้แทนระดับปลัดกระทรวงจากหน่วยงานของรัฐและการเพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการดังกล่าว รับขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน อันเป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง ดังนั้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรข้างต้น จึงขอเรียกร้องมายังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชนสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ดังต่อไปนี้

1.   ให้คณะกรรมาธิการฯ ทบทวนความพยายามในการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพที่มีเนื้อหาสนับสนุนให้ภาครัฐและฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน รวมทั้งการให้อำนาจคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนดังกล่าวข้างต้น

2.  ให้คณะกรรมาธิการนำข้อเสนอขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปพิจารณา ก่อนที่จะนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เสนอต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อพิจารณาต่อไป

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข้าหลวงใหญ่สิทธิยูเอ็นทำหนังสือถึง สนช. ห่วงพ.ร.บ.คอมฯ คุกคามเสรีภาพออนไลน์

$
0
0

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำหนังสือถึง สนช. แสดงความกังวลกรณีแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ห่วงคุกคามเสรีภาพทางออนไลน์

19 ธ.ค. 2559 สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก รวมถึงทำหนังสือถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แสดงความกังวลต่อการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยระบุว่ากฎหมายดังกล่าวอาจคุกคามเสรีภาพทางออนไลน์ พร้อมเรียกร้องต่อรัฐบาลให้หลักประกันว่ากฎหมายคอมพิวเตอร์ของไทยจะสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สนช.ได้เห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งอาจจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การแสดงความเห็น การชุมนุม และความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง โดยกฎหมายฉบับแก้ไขนี้ จะทำให้รัฐบาลสามารถขอข้อมูลของผู้ใช้และข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล ขณะที่ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์จะต้องรับผิดทางอาญาเช่นเดียวกับผู้ใช้

นอกจากนี้ ยังกำหนดโทษจำคุกสูงสุดห้าปีและโทษปรับ สำหรับการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ การบริการสาธารณะ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน การกำหนดเช่นนี้จะทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจมากขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถกปม กยศ. จากลดแรงเสียดทานหลังนำม.ออกนอกระบบ สู่โจทย์เบี้ยวหนี้-เปลืองงบฯ

$
0
0

คุยกับ ‘ษัษฐรัมย์’ หลัง ร่างพ.ร.บ.กยศ. ฉบับที่กำลังจะออกใหม่ จากลดแรงเสียดทาน หลังนำม.ออกนอกระบบและผลักภาระด้านสวัสดิการการศึกษามาที่ผู้เรียน สู่โจทย์เบี้ยวหนี้-เปลืองงบประมาณ? พร้อมข้อเสนอเก็บภาษี-ระดมทุนจากภาคธุรกิจ

จากการณีโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) รายงานว่า ร่างพ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ฉบับที่กำลังจะออกใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีส่งให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา และสนช. ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาในวาระที่สองเสร็จเรียบร้อย เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 59 ตามบัญชีร่างกฎหมายเร่งด่วนชุดที่ 2 ในวาระที่สอง อาจจะได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายจริงเร็วๆ นี้

โดยที่ iLaw ได้เปรียบเทียบ ร่างพ.ร.บ.กยศ. ฉบับที่กำลังจะออกใหม่ กับกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นการการปรับโครงสร้าง กยศ. ครั้งใหญ่ เพื่อหวังจะแก้ปัญหาหนี้เสียทวงคืนไม่ได้ โครงสร้างการบริหารงานก็ชุดใหม่ ให้กรรมการเอาเงินกองทุนไปหารายได้ เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่ไม่ต้องให้กรรมการเปิดเผยรายงานต่อสาธารณะ ขณะที่ผู้กู้เงินจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะกฎหมายบังคับให้ผู้กู้ ต้องยินยอมให้เข้าถึงและเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ต้องยินยอมให้นายจ้างหักค่าจ้างเพื่อชำระหนี้ให้ กยศ. ก่อนหักค่าสวัสดิการและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สำคัญ คือ เพดานดอกเบี้ยที่กยศ.เรียกเก็บได้ อาจเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 7.5 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์ iLaw )

ในโอกาสนี้ ประชาไท ได้สัมภาษณ์ ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาระบบสวัสดิการสังคมและการศึกษา ถึง ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกี่ยวกับ กยศ. เช่น ประเด็นความสิ้นเปลืองงบประมาณ อัตราการว่างงานเพิ่มเพราะเรียนไม่ตรงกับความต้องการของตลาด  เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับต้องการองค์ความรู้ในระดับสูงที่บูรณาการ มากกว่าความชำนาญเฉพาะเรื่อง ข้อเท็จจริงสำคัญทั้งของไทยและของโลก ยิ่งมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีมากขึ้นก็ผลักดันให้ เศรษฐกิจพัฒนา เท่าเทียมและสร้างสรรค์ และการณีคนรุ่นใหม่จะเผชิญปัญหา พ่อแม่จะแก่ก่อนรวย พร้อมทั้งตัวแบบสวัสดีการด้านการศึกษา จากประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และเวเนซุเอลา

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

สิ้นเปลือง? จากจุดเริ่มต้นจากลดแรงเสียดทานนำ ม.ออกนอกระบบ

ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของ กยศ. มันเกิดขึ้นมาเพื่อลดแรงเสียดทานที่นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบหรือการที่ประเทศปรับตัวเข้ากับกระแสเสีนิยมใหม่ รัฐบาลจะลดการอุดหนุนของค่าใช้จ่ายที่มีต่อสถานบันอุดมศึกษา จึงทำให้ค่าเทอมค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้น แต่ตอนนั้นรัฐบาลก็บอกว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกทดแทนด้วยตัว กยศ. หรือกองทุนกู้ยืมตามรูปแบบต่างๆ ถ้าเราไปดูการเปรียบเทียบก็จะเห็นว่าอัตราส่วนของการสนับสนุนของมหาวิทยาลัยต่างๆ มันก็ถูกแปลงออกไปเป็น กยศ. เพราะฉะนั้นหากถามว่ามันสิ้นเปลืองกว่าในอดีตไหม ตนคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่

"แต่ปัญหาคือ พอมาเป็น กยศ. โดยตรรกะมันก็แย่ ผมว่ามันเป็นการโยนภาระค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็นรัฐบาลสนับสนุน กลายเป็นปัจเจกชนต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง" ษัษฐรัมย์ กล่าว

จากสถิติย้อนหลังมาตั้งแต่ปี 40 งบของ กยศ. อยู่ที่ประมา 2 หมื่นล้านโดยเฉลี่ยต่อปี แต่อัตราที่ใช้คืน 75% คือเมื่อถึงกำหนดแล้วมาใช้คืนได้ ทำให้โดยเฉลี่ยมีหนี้สะสมที่ไม่ได้รับการใช้คืนเพิ่มขึ้นปีละ 5 พันล้านบาท พอเป็นหลายปีเข้าจึงดูเยอะ แต่ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลให้เปล่าแก่สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศนั้น เมื่อเทียบกับ 5 พันล้านบาทต่อปีตนถือว่าน้อยมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้ตนจึงมองว่าตรงนี้ไม่ใช่โจทย์ของการสิ้นเปลือง คุณสูญเงิน 5 พันล้านบาทต่อปี และมีคนยื่นมาเป็นผู้กู้รายใหม่ปีละ 2 แสนคน ถ้าเราคิดเฉลี่ยหลักสูตร 4 ปี ก็เฉลี่ยนแล้วรัฐบาลให้ประมาณคนละ 6,000 บาทต่อปีเท่านั้นเอง จึงถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องสิ้นเปลือง

แล้วงบทหารเกณฑ์?

ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า มันมีค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลหรือรัฐบอกว่ามันเป็นเรื่องของความมั่นคงนั่นคือเรื่องของการเกณฑ์ทหาร แต่ค่าใช้จ่ายของ กยศ. ไม่ถึงครึ่งของงบประมาณในส่วนของเงินเดือนทหารเกณฑ์ ดังนั้นหากเราเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความั่นคงของประเทศ มันควรจะมาจากการลงทุนให้การศึกษาและการพัฒนามนุษย์มากกว่าให้คนไปอยู่ในระบบทหารเกณฑ์ ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการทำให้เขาเหล่านั้นสูญเสียรายได้และโอกาสทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในช่วงเวลาปีถึง 2 ปีจากการไปเกณฑ์ทหารอีก

ว่างงานกับการเรียนไม่ตรงกับตลาด

สำหรับประเด็นการว่างงานกับการเรียนไม่ตรงกับตลาดนั้น ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า ปัจจุบันการว่างงานของคนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25% ซึ่งถามว่าตัวเลขตรงนี้มันสามารถเป็นตัวชี้วัดว่ามันมีปัญหาไหม ผมคิดว่ามันไม่มีปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ จริงๆ แล้วมันมีแนวโน้มคนที่จบการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นจะทำงานอยู่นอกระบบมากขึ้น อย่างที่รัฐบาลพยายามพูดถึงเรื่องสตาร์ทอัพ ที่ด้านหนึ่งไม่อยู่ในระบบราชการ และอีกด้านคือไม่อยู่ในระบบงานประจำ ซึ่งประเทศไทยคนที่จบปริญญาตรีไม่ได้มากขนาดจบมาแล้วไม่มีงานทำ และการจ้างงานระดับปริญญาตรีของไทยก็ยังถือว่าต่ำมาก คือประมาณ 16% ของกำลังแรงงานเท่านั้นเอง และกว่า 40 % ของกำลังแรงงานจบการศึกษาระดับประถมคึกษา หรือระดับต่ำกว่า ซึ่งอันนี้ตนคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ถ้าเราจะบอกว่าเราต้องการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คนที่มีทักษะความสามารถอะไรต่างๆ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นมันก็เป็นการเพิ่มจินตนาการของคนในการสร้างมูลค่าในการทำงาน และหากเราเปิดโอกาสให้คนสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายก็จะเป้นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ษัษฐรัมย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาการมองวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ผูกขาดในประเทศ ที่ต้องการแรงงานที่มีอำนาจในการต่อรองต่ำ และจ้างด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ ยังไม่ต้องพูดถึงการไม่มีสหภาพแรงงาน กฎหมายแรงงานที่ไม่ครอบคลุม ดังนั้นจึงคิดว่าตัวนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์

การผลักดันสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและความเท่าเทียม

ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า หากพูดในมิติของ กยศ. มันก็มีงานวิจัยออกมาว่าคนที่จะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ดีก็คือมีภาระที่จะเข้าสู่ระบบการจ้างงานแบบประจำน้อยที่สุด พูดอีกด้านหนึ่งก็คือ สมติว่าไม่สามารถจ่ายสวัสดิการในระดับสูงได้ทั้งหมด สิ่งที่ต้องคิดก็คือการทำให้เขามีภาระหลังจากสำเร็จการศึกษาให้น้อยที่สุด แต่ถ้ามีการปรับเพดานให้สูงขึ้นเป็นดอกเบี้ย 7.5% นั้น ก็จะทำให้คนไม่สามารถออกมาสู่การสร้างมูลค่าแบบใหม่ได้ สิ่งที่คนทำก็คือเมื่อจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีก็ต้องมุ่งเข้าหางานประจำ มุ่งเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งการเข้าไปสู่ระบบพวกนั้นที่ไวเกินไปสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาใหม่ๆ มันก็ทำให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์มันไม่ได้รับการพัฒนา

อีกด้านหนึ่งตนก็มองว่าการส่งเสริมสาขาอาชีพที่หลากหลายมันก็มีข้อดี แต่สิ่งที่รัฐบาลพยายามเสนอเพิ่มเติมมาตลอดก็คือคนที่มีความชำนาญในวิชาชีพหรือช่างเทคนิค จริงๆแล้วช่างเทคนิคก็มีความจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ก็มีความจำเป็นเฉพาะในช่วงเริ่มแรก ถ้าเราต้องการให้เศรษฐกิจของเรามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น นอกจากที่เราต้องการคนที่จะมาทำตามความชำนาญที่มีคนทำมาก่อนหน้านี้แล้ว เรายังต้องสามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งการศึกษาระดับปริญญาจึงมีความสำคัญ ที่จะเป็นการเปิดพรมแดนทางจินนาการมากกว่าเรื่องการสร้างความชำนาญ ซึ่งมหาวิทยาลัยไทยเคยถูกวางพันธกิจไว้เพียงแค่การสร้างความชำนาญ โดยเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาวางไว้ตั้งแต่ยุค 60 - 70 แต่มาถึงตอนนนี้เราต้องมองว่ามหาวิทยาลัยควรเป็นสถานที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เกาหลีใต้เอามาทำและสามารถผลักดันให้เศรษกิจเขาสามารถเติบโตได้ในศตวรรษที่ 21 และก้าวกระโดน

คนรุ่นใหม่กับปัญหาพ่อแม่แก่ก่อนรวย

สำหรับประเด็นที่คนรุ่นใหม่จะประสบปัญหาพ่อแม่แก่ก่อนรวยนั้น ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า โครงสร้างสังคมไทยในปัจจุบันมันมีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น คือด้านหนึ่งค่าจ้างที่แท้จริงของเราต่ำเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย เพราะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราสูงเทียบเท่ากับประเทศ OECD (ประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ขณะที่รายได้ของประชาชนอยู่ในระดับของประเทศกำลังพัฒนา มีงานวิจัยระบุว่าคนที่จะมีชีวิตที่ปลอดภัยหลังเกษียณมันต้องเป็นคนที่มีเงินเดือน 30,000 บาทขึ้นไป และได้เงินเดือนขึ้นปีละ 10% ซึ่งก็พบว่าคนที่จะอยู่ในเงื่อนไขนี้อยู่ในระบบตลาดแรงงานของไทยมีไม่ถึง 20% เพราะฉะนั้นแนวโน้มคือคนที่ทำงานอยู่ในตลาดแรงงานหรือพ่อแม่ของคนรุ่นใหม่นั้น ก็มีแนวโน้มที่จะแก้แล้วยังจนอยู่ ชีวิตไม่ปลอดภัยหลังจากไม่สามารถทำงานได้แล้ว ดังนั้นภาระการดูแลมันจึงตกไปสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งนอกจากที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองมากขึ้นแล้ว พวกเขายังต้องรับผิดชอบชีวิตของพ่อแม่ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ และแนวโน้มปัจจุบันพ่อแม่ก็จะมีลูกน้อยลงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 คน ต่อครัวเรือน และจะยิ่งมารวมกับเงื่อนไขที่ว่าภาระในการรับผิดชอบในชีวิตการศึกษาของพวกเขา มันถูกถ่ายโอนมาที่ตัวของพวกเขาเอง ลำพังการใช้หนี้ 2 แสนคืนด้วยฐานเงินเดือนของไทยก็ถือว่าเป็นภาระที่หนักมากของแรงงานรุ่นใหม่อยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มเพดานดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มภาระ

"พอภาระมากขึ้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์มันก็จะไม่เกิด คนก็จะอยู่ในวังวลของการใช้หนี้ การต้องพยายามอยู่ในระบบงานประจำ การคิดนวัตกรรมหารการสร้างเทคโนโลยีที่มันมีการเพิ่มมูลค่าใหม่ๆ ในระบบ ก็จะไม่เกิดขึ้น มันก็จะขัดกับแนวคิดเรื่องการสตาร์ทอัพ 4.0 ต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามพูดถึง" ษัษฐรัมย์ กล่าว

เก็บภาษี-ระดมทุนจากภาคธุรกิจ

ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยไทย 90% ออกนอกระบบไปแล้ว และตัว กยศ. ถูกออกแบบมาอุดค่าใช้จ่ายของประชาชนที่สูงมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้แย่ลงไปนั้น เข้าใจว่ารัฐบาลควรจะมาควบคุมเพดานการแสวงหากำไร โดยการเพิ่มงบประมาณให้มากขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากรในมหาวิทยาลัยต่าง ไม่ใช่การผลักภาระให้มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐดำเนินการเอง รวมทั้งรัฐควรเพิ่มการอุดหนุนค่าใช้จ่ายด้านงานวิจัย และมีการมาควบคุมสผลกำไรที่เกิดขึ้นต่างๆ ในระบบการศึกษาถูกย้อนกลับมาเป็นทุนการศึกษาหรือเงื่อนไขที่จะทำให้สวัสดิการด้านการศึกษามันดีขึ้น เพราะทุกวันนี้กลายเป็นว่ารัฐบาลผลักให้การค้ากำไรของการศึกษาเป็นความพันธ์กับลูกค้า ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็พยายามที่จะแสวงหากำไรจากผู้เรียน ซึ่งมันง่ายที่สุด ทั้งที่จริงๆ ล้วมันมีช่องทางอื่นในการที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่มหาวิทยาลัย เช่น ตัวแบบที่ใช้ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ทางมหาวิทยาลัยเองพยายามที่จะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้น และแสวงหากำไรเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักศึกษามากขึ้น

ษัษฐรัมย์ กล่าวด้วยว่า กรณีเวเนซุเอลา ที่ให้ภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ประโยชน์จากภาคการศึกษานั้น จ่าภาษีด้านการศึกษาที่เก็บกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ต้องจ่ายเงินเข้ากับกองทุนหนึ่งเพื่อให้มาสนับสนุนสวัสดิการด้านการศึกษา หรือเป็นกองทุนกู้ยืมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจไทยไม่ได้ระดมทุนในส่วนนี้เลย หากจะมีก็เป็นการไปตั้งมหาวิทยาลัยเอกชนของตัวเองและควบคุมการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการขอภาคธุรกิจของตัวเอง จึงไม่เป็นการสร้างนวัตกรรมในภาพรวม และอีกช่องทางหนึ่งคือการดึงให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของการระดมทุนเข้า กยศ. แต่ไม่ได้หมายถึงเป็นการไปร้องขอและควรเป็นกฎหมายที่บังคับออกมา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตำรวจร้องศาลถอนประกัน ไผ่ ดาวดิน คดีแชร์ข่าว BBC ระบุโพสต์เยาะเย้ยเจ้าพนักงาน

$
0
0

ตำรวจขอนแก่นร้องศาลถอนประกัน จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เหตุโพสต์ "เศรษฐกิจแย่แม่งเอาแต่เงินประกัน" หลังได้ใช้เงินสด จำนวนสี่แสนบาทประกันตัวในคดีแชร์รายงานข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai บนเฟซบุ๊ก โดยศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 22 ธันวาคม 2559 เวลา 09.00 น.

วันนี้ (19 ธันวาคม 2559) นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ได้โพสต์ภาพคำร้องขอเพิกถอนสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาเนื่องในคดีที่ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายตาม กฎหมายอาญา ม.112 จากการแชร์ข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 พร้อมกับข้อความจากเว็บไซต์ BBC Thai บนเฟซบุ๊ก Pai Jatupat 

ในคำร้องได้ระบุว่าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่นเป็นผู้ร้องขอให้ถอนประกัน โดยให้เหตุผลว่า หลังจากที่ผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวที่ศาลจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.59 แล้ว ผู้ต้องหายังมีการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ เยาะเย้ยเจ้าพนักงาน กรณีที่ตนได้รับประกันตัวเป็นจำนวน 400,000 บาท ว่า “เศรษฐกิจมันแย่แม่งเอาแต่เงินประกัน”  

เหตุผลนอกจากข้างต้นแล้วก็ยังมีเนื่องจากผู้ต้องหาเคยมีประวัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคงมาหลายคดี และคดีนี้เป็นคดีร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พร้อมยังได้อ้างเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนว่า ผู้ต้องหายังมีการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์เรื่อยมา และอาจจะเป็นการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน หากรอถึงวันที่ 23 ม.ค.60 อาจก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น

ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลถอนประกันของพนักงานสอบสวน ไม่ได้พิมพ์ชื่อผู้ร้องไว้ มีเพียงแต่ลายเซ็น โดยระบุว่ามียศเป็นร้อยตำรวจโทหญิง แต่มีชื่อของ พ.ต.ท.จิรัฐเกียรติ์ ศรวิเศษ สารวัตรสอบสวนเป็นผู้เรียง/พิมพ์ ซึ่งจตุภัทร์ตั้งข้อสังเกตว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงในชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสอบสวนตนในคดีนี้ 

จตุภัทร์ กล่าวว่า ได้ทราบข่าวว่ามีหมายเรียกจากศาลมายังนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาผู้เป็นนายประกันเมื่อวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2559  จึงได้มอบหมายให้ทนายความได้เดินทางมาคัดคำร้องที่ศาลจังหวัดในวันนี้จึงได้ทราบเรื่อง 

ต่อกรณีที่ ตร.ให้เหตุผลว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จตุภัทร์กล่าวว่า แม้แต่โพสต์ต้นเรื่องที่เป็นที่มาของการถูกดำเนินคดีก็ยังไม่ได้เข้าไปลบหรือแก้ไขแต่อย่างใด จตุภัทร์ยืนยันว่าทั้งหมดที่ได้กระทำไปเป็นไปโดยเจตนาสุจริตและพร้อมที่จะต่อสู้แก้ข้อกล่าวหาในชั้นศาลจึงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานแต่อย่างใด 

สำหรับสเตตัสที่ถูกนำมาเป็นเหตุผลในการร้องขอให้ถอนประกันนั้น จตุภัทร์ ยืนยันว่าการโพสต์แสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กเป็นเรื่องปกติ สำหรับสเตตัสนี้จตุภัทร์กล่าวว่าได้โพสต์หลังจากทราบข่าวว่าศาลจังหวัดพระโขนงไม่อนุญาตให้นักวิชาการใช้ตำแหน่งประกันตัวเพื่อนนักกิจกรรมที่ถูกฟ้องในคดีฉีกบัตรลงคะแนนประชามติ เป็นเหตุให้ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ และเพื่อนๆ ต้องลำบากหาหยิบยืมเงินสดมาเป็นหลักทรัพย์ประกันทั้งสามคนเป็นจำนวนถึง 600,000 บาท

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า จตุภัทร์ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ฯ โดยการโฆษณา อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีแชร์และคัดลอกข้อความจากข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai มาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่ง พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี รองหัวหน้ากองยุทธการ มณฑลทหารบกที่ 23 เป็นผู้ตรวจพบข้อความและเข้าแจ้งความ โดยจตุภัทร์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หลังพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ขออำนาจศาลจังหวัดขอนแก่นฝากขัง เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา และศาลนัดให้เข้ารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 23 ม.ค.60 

ทั้งนี้ในการเข้าจับกุมตัว โทรศัพท์ของจตุภัทร์ที่ได้ถูกยึดไปขณะถูกจับกุมโดยที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในบันทึกการจับกุม และจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับคืน และยังไม่มีการชี้แจงใดๆ จากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี

ปัจจุบัน ข่าวชิ้นดังกล่าวของบีบีซีไทย ซึ่งเคยมีผู้แชร์ในเฟซบุ๊กทั้งสิ้นมากกว่า 2,800 ครั้ง และได้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงโดยกระทรวงไอซีทีซึ่งปัจจุบัน  ยังไม่พบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแชร์ข่าวนี้เพิ่มเติม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โรดริโก ดูแตร์เต แห่งฟิลิปปินส์

$
0
0

ถ้าจะกล่าวถึงผู้นำในกลุ่มภาคีอาเซียนที่มีชื่อเสียงขณะนี้ โรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์จะต้องเป็นคนหนึ่ง บทบาทของเขาถือว่าผิดจารีตของผู้นำ ตั้งแต่เรื่องนิสัยส่วนตัวที่ชอบสบถและพูดคำหยาบ เรื่องการใช้มาตรการโหดในการกวาดล้างยาเสพติดและอาชญากรรม และเรื่องท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ แล้วแสดงแนวโน้มผูกมิตรกับจีน

โรดริโก ดูแตร์เต หรือเรียกว่า “ดีกง” เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2488 ที่เมืองมาอาซินในเกาะเลย์เต ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะวิสายัน ตอนกลางของประเทศ บิดาของของชื่อวิเซนเตเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และมารดาของเขาเป็นครู ในวัยเด็ก เขาได้ชื่อว่าเป็นเด็กเกเร จนถึงขนาดถูกไล่ออกจากโรงเรียนถึง 2 ครั้ง แต่ต่อมาเขาปรับตัว และตั้งใจศึกษาจนจบวิชานิติศาสตร์จากวิทยาลัยซานเบดาเมื่อ พ.ศ.2515

เมื่อจบการศึกษา เขามาทำงานที่สำนักงานอัยการเมืองดาเวา ในเกาะมินดาเนา ต่อมาได้ลงสมัครเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองและได้รับเลือกเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2531 ในขณะนั้น เมืองดาเวาได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาชญากรรมมาก ดูแตร์เตเริ่มใช้นโยบายปราบอาชญากรรม โดยการประกาศมาตรการห้ามออกนอกบ้านและออกกฎหมายควบคุมเวลาการขายสุรา ให้ร้านค้าและร้านอาหารต้องมีกล้องวงจรปิดตามทางเข้าออก เพิ่มรถและอุปกรณ์ให้ฝ่ายตำรวจ และที่มากกว่านั้น เขาสนับสนุนทางอ้อมให้มีการตั้ง “หน่วยล่าสังหาร” โดยใช้รูปแบบนอกกฎหมายหรือ”ศาลเตี้ย”ในการปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติด เพราะเห็นว่านี่เป็นวิธีการอันได้ผล

นโยบายลักษณะนี้ ทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างมาก แต่ก็ทำให้เขาสามารถสร้างฐานความนิยมได้อย่างมั่นคง ทำให้เขาชนะเลือกตั้งนายกเทศมนตรีอีก 6 ครั้งและมีบทบาทครอบครองการบริหารเมืองดาเวาตลอดมา เพราะในวาระที่เขาติดเงื่อนไขทางกฎหมายลงสมัครต่อเนื่องไม่ได้ เขาก็ให้ซารา ดูแตร์เต ลูกสาวลงสมัครแทน และเขาก็ไปสมัครเป็น ส.ส. องค์การสิทธิมนุษยชนประมาณว่าตลอดเวลา 22 ปีที่ดาเวา เขาสนับสนุนวิธีนอกกฎหมายในการสังหารผู้ต้องสงสัยไปอย่างน้อย 1400 คน และทำให้เขาได้ฉายาว่า “มือเพชฌฆาต” แต่ผู้ที่ถูกสังหารจำนวนมากเป็นเพียงผู้ต้องหาที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน หรือบ้างก็เป็นเพียงพวกลักเล็กขโมยน้อย คนเสพยา หรือ แม้กระทั่งเด็กจรจัด

อย่างไรก็ตาม ดูแตร์เตอ้างว่า วิธีการของเขาถือว่าได้ผล ทำให้ดาวาหลายเป็นเมืองปลอดอาชญากรรม และกลายเป็นเมืองสะอาด และชื่อเสียงของเขา ทำให้เขาเคยได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลก่อนหน้านี้ถึง 4 ครั้ง แต่เขาปฏิเสธ ในที่สุด เมื่อ พ.ศ.2558 ที่ผ่านมา เขาก็ตัดสินใจลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยตนเอง

ตั้งแต่แรกของการรณรงค์ ดูแตร์เตก็เริ่มถูกโจมตีในเรื่องการพูดจาที่สะท้อนทัศนะแบบดิบเถื่อน เช่น การหาเสียงว่าจะฆ่าพวกอาชญากรให้หมด เรียกร้องให้รื้อฟื้นโทษประหารชีวิตจนถึงขั้น”แขวนคอ”ในฟิลิปปินส์ และยังไปกล่าว”โจ๊กหยาบ”ในเรื่องแจคการีน ฮามิล มิสชันนารีออสเตรเลียที่ถูกรุมข่มขืนแล้วสังหารตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2532 อย่างไรก็ตาม เขากลับได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปอย่างมาก ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2558 ดูแตร์เตได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่หนึ่งด้วยคะแนน 39.01 % ขณะที่มาร์ โรฮัส ที่มีคะแนนอันดับที่สองได้เพียง 23.5 % ทำให้เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 16 ของฟิลิปปินส์อย่างเต็มภาคภูมิ และกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากเกาะมินดาเนาอีกด้วย

หลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดี ดูแตร์เตก็ยังใช้มาตรการเด็ดขาดกับอาชญากรและยาเสพติดด้วยวิธีการนอกกฎหมายต่อไปในระดับชาติ โดยอธิบายว่า ต้องลงมือทำ “สงครามขจัดยาเสพติด” มิฉะนั้น ฟิลิปปินส์จะกลายเป็น “รัฐยาเสพติด” วิธีการคือ การอนุโลมให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องหายาเสพติดและอาชญากรรมได้ มีรายงานว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีผู้ต้องสงสัยถูกสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3,000 คน กรณีนี้ ทำให้เขาถูกโจมตีอย่างหนักในเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาก็ตอบโต้องค์กรสิทธิมนุษยชนว่า ทำไมถึงเรียกพวกอาชญากรว่า “มนุษยชน” คำนี้มีการนิยามอย่างไร

สิ่งที่ดูแตร์เตกล้าทำ ทั้งที่ถูกต่อต้านคัดค้านอย่างมาก คือ การอนุญาตให้นำศพของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส มาฝังที่สุสานวีรบุรุษแห่งชาติได้ โดยอธิบายว่า มาร์กอสก็เป็นอดีตประธานาธิบดีและเคยเป็นทหารรบเพื่อชาติ โดยมองข้ามเรื่องการปราบปรามประชาชน การประกาศภาวะฉุกเฉิน และการทุจริตสมัยมาร์กอส และต่อกรณีที่มีนักข่าวถูกสังหารเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์ ดูแตร์เตกลับกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็คงไม่มีใครมาฆ่า” และว่า การเป็นสื่อมวลชนไม่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะไม่ถูกฆ่า ถ้าคุณเป็น”พวกเวรตะไล” เขาจึงถูกสื่อมวลชนโจมตีอย่างหนัก

ดูแตร์เตประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะใช้นโยบายต่างประเทศแบบอิสระ จะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ซึ่งแสดงนัยยะในการต่อต้านอเมริกาโดยตรง เขากล่าวว่า “เขาไม่ใช่แฟนอเมริกา” และเรียกร้องให้สหรัฐถอนทหารจากมินดาเนา และเมื่อประธานาธิบดีบารัก โอบามาวิจารณ์นโยบายสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์ ดูแตร์เตตอบโต้ว่า ฟิลิปปินส์ไม่ใช้อาณานิคม และเขาจะรับฟังเฉพาะประชาชนฟิลิปปินส์ จากนั้นก็ด่าโอบามาด้วยคำหยาบ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดมารยาททางการทูตอย่างมาก

วันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ดูแตร์แสดงท่าทีขัดแย้งกับสหรัฐฯชัดเจน โดยแถลงว่า อเมริกากำลังจะหยุดขายอาวุธให้ฟิลิปปินส์ และถ้าเป็นเช่นนี้ เขาจะซื้ออาวุธจากจีนและรัสเซียแทน กรณีนี้ทำให้ เดลฟิน ลอเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์เอง ต้องรีบออกมากล่าวแก้ว่า ประธานาธิบดีได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อนและฟิลิปปินส์ก็จะรักษาความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯต่อไป แต่ดูแตร์เตก็ไม่หยุด เพราะในการเดินทางไปเยือนจีนในวันที่ 20 ตุลาคม เขาได้กล่าวว่า ฟิลิปปินส์จะ”แยกทาง”กับอเมริกา และกระชับความสัมพันธ์กับจีนให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

วาระประธานาธิบดีของดูแตร์เตยังอยู่อีก 5 ปี คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ผู้นำ”แหกคอก”ของฟิลิปปินส์จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

 

 


เผยแพร่ครั้งแรกใน: โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 591 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาธิปัตย์ถาม โทษประหารใน พ.ร.บ.พรรคฯ ทำไมไม่ครอบคลุมนายกฯ คนนอก-รมต.ไร้สังกัด

$
0
0

นักการเมืองสะท้อนความคิดเห็นหลัง กรธ. ปรับแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง ชาติไทยพัฒนาเห็นด้วยและขอบคุณ เพื่อไทยซัด โทษประหาร กรณีซื้อขายตำแหน่ง ง่ายต่อการป่ายสี ประชาธิปัตย์ถาม ทำไมโทษประหารไม่ครอบคลุมนายกฯ คนนอก-รมต.ไร้พรรค

จากกรณีที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ว่าถึงความคืบหน้าของการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (พ.ร.บ.พรรคการเมือง) ว่าได้มีการปรับเรื่องการจ่ายเงินทุนประเดิมพรรคจากเดิมที่ผู้ก่อตั้งพรรคที่รวมตัวกันอย่างน้อย 500 คน จะต้องจ่ายเงินทุนประเดิมพรรคการเมืองอย่างน้อยคนละ 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาทต่อหนึ่งคน โดยเมื่อรวมกันแล้วจะต้องมีเงินทุนประเดิมพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับลดเงื่อนไขจำนวนสมาชิกพรรค ซึ่งต้องจ่ายเงินบำรุงพรรคเป็นรายปี จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าภายใน 4 ปี พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 20,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน

สำหรับอีกประเด็นที่มีการพูดถึงในวงกว้างคือ เรื่องการกำหนดโทษประหารชีวิต หากเกิดกรณีชื้อขายตำแหน่งรัฐมนตรี ทางด้าน กรธ. ยังคงยืนยันหลักการเดิม เนื่องจากเห็นว่าสมเหมาะในบางกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

นิกร พรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วย กรธ. ลดเงือนไขตั้งพรรคการเมือง + ยืนยันโทษประหารชีวิต

แฟ้มภาพ: iLaw

ล่าสุดวันนี้ (21 ธ.ค. 2559) นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้กล่าวถึงกรณีที่ กรธ. ปรับแก้ร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองว่า ต้องขอบคุณ กรธ. ที่รับฟังเสียงท้วงติงต่างๆ ถือเป็นท่าทีที่ดี เท่ากับถอยให้พรรคการเมืองนิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเงินทุนประเดิมพรรคการเมืองที่มีการปรับลดขั้นต่ำของการจ่ายลง

เรื่องการปรับลดเกณฑ์การหาสมาชิก 4 ปีจาก 20,000 คน ให้เหลือ 10,000 คน เรื่องการขยายกรอบเวลาที่พรรคการเมืองต้องดำเนินก่อนการเลือกตั้งจาก 150 วันเป็น 180 วัน รวมทั้ง การปรับบทลงโทษหากพรรคไม่ดำเนินการใน 4 กิจกรรมตามมาตรา 23 ส่วนการคงโทษประหารไว้ในกรณีซื้อขายตำแหน่งนั้น คิดว่าไม่ปรับไม่เป็นไร กรธ. คงอยากแสดงให้เห็นว่าวางยาแรงที่สุดไว้ แต่จะใช้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ศาลต้องใช้ดุลยพินิจ

นิกร กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อกฏหมายพรรคการเมืองบังคับใช้ จะต้องบวกระยะเวลาไปอีก 180 วันที่พรรคการเมืองต้องกลับไปปรับปรุงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร จึงอาจจะเกิดปัญหาใหม่ โดยเฉพาะเรื่องเวลารออยู่ จึงอยากให้ กรธ. ขยับระยะเวลาในการร่าง กฏหมายลูกอีก 2 ฉบับที่เหลือให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับระยะเวลาตามโรดแมปเลือกตั้งเดิมที่วางไว้

เพื่อไทย ไม่เห็นด้วยบังคับจ่ายเงินบำรุงพรรค พร้อมซัดกรณีโทษประหาร ขัดหลักนิติธรรม

ด้าน สามารถ แก้วมีชัย ในฐานะคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่กรธ. ยอมปรับร่างกฏหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองโดยการยกเลิกโทษยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ตลอดจนถึงยอมลดการจ่ายเงินทุนประเดิมพรรคว่า ก็ดีใจ และถือว่า กรธ. ยังรับฟังความเห็นและเสียงสะท้อนจากพรรคการเมือง แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่ควรจะปรับเปลี่ยนแก้ไข เช่น เรื่องค่าบำรุงพรรคของสมาชิก ถ้าไปตั้งหลักว่าใครเป็นสมาชิกต้องจ่ายค่าบำรุงแบบนี้ไม่น่าจะใช่ เพราะบางคนไม่จ่ายเงินแต่ออกแรงกาย และกำลังสมองช่วยงานในพรรค ตรงนี้ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้และถือว่ามีค่ามากกว่าค่าบำรุงพรรคเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ควรบังคับให้ต้องมีการจ่ายค่าบำรุงเว้นแต่ว่าใครสะดวกและสมัครใจที่จะบริจาคก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เอาเงินเป็นตัวตั้งเพราะจะทำให้เป็นปัญหา และหากบังคับให้ต้องเรียกเก็บซึ่งหากใครไม่จ่ายจะต้องพ้นสภาพสมาชิกพรรค ตรงนี้จะกลายเป็นการบั่นทอนความเข้มแข็งของพรรคการเมืองแทนที่จะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็ง

ด้านคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.ปี 40 ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า กรณีที่ กรธ.ยังยืนยันที่จะคงโทษประหารชีวิต ในความผิดฐานซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง และตำแหน่งราชการว่า อาจเป็นเพราะคงไม่มี กรธ.คนไหน คิดจะเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ตั้งพรรคการเมือง เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. เพราะนำกฎหมายนี้ไปใช้บังคับกับบุคคลอื่นที่ทำการซื้อขายตำแหน่งเช่นเดียวกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. ปลัดกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดี รัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. จึงเป็นการตรากฎหมายขึ้นเพื่อใช้บังคับแก่คดีใดคดีหนึ่ง กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถือว่าขัดหลักนิติธรรมอย่างร้ายแรง

คณิน กล่าวว่า โทษฐานซื้อขายตำแหน่งเป็นข้อหาที่ครอบจักรวาล และค่อนข้างเป็นนามธรรมซึ่งจับต้องได้ยาก ดังนั้นจึงง่ายแก่การกล่าวหา และสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งทำลาย หรือใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือดิสเครดิตคู่แข่ง ขึ้นอยู่กับผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้ตัดสินคดีความซึ่งถึงแม้จะวินิจฉัยอย่างเที่ยงธรรมปราศจากอคติ ก็ยากที่จะอำนวยความยุติธรรมได้เต็มร้อย เพราะทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการใช้ดุลพินิจอย่างเดียว ที่ร้ายกว่านั้น จะมีหลักประกันอะไรหรือไม่ ที่จะบอกว่าผู้ใช้บังคับกฎหมายและผู้ตัดสิน จะไม่ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ นอกจากนี้ เป็นการไม่ให้เกียรติ ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้ง ไม่ให้เกียรติประชาชนที่ไปลงคะแนนเลือกตั้ง และที่สำคัญไม่ให้เกียรติบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เป็นการรอนสิทธิ หรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุเพียงแค่ว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเท่านั้น

คณิน กล่าวว่า การตรากฎหมายเช่นนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 คือ นอกจากจะขัดต่อหลักนิติธรรมแล้ว ยังเป็นการจำกัดเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ เพราะเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ และประชาชนรับรู้ถึงสาระสำคัญและบทกำหนดโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุแล้ว คงไม่มีใครอยากเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแน่ ดังนั้น การที่ กรธ.ระบุไว้ในมาตรา 32 ว่าภายในหนึ่งปี พรรคการเมืองต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าพันคน สาขาพรรคแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกในพื้นที่ไม่น้อยกว่าห้าร้อยคน และต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนภายในสี่ปี จึงอยากจะถาม กรธ.ว่า ฝันไปหรือเปล่า

ประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตโทษประหารทำไมไม่ครอบคลุมนายกฯคนนอก-รมต.ไร้พรรค พร้อมแนะ กรธ.หามาตรการจัดการผู้แทนนอมินี

สำหรับ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการปรับแก้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองครั้งล่าสุดว่า เรื่องทุนประเดิมพรรคการเมือง 1 ล้านบาทไม่มีปัญหา แต่ควรที่จะป้องกันนายทุนเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง เพราะการเข้ามาครอบงำพรรคการเมืองของนายทุนไม่ได้มีการแสดงตัวตนอย่างเปิดเผย อาจจะส่งลูก หลานมาเป็นนอมินีแทน หรือเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี กรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น จึงขอให้ กรธ.คำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ด้วย ว่าควรจะมีการตรวจสอบ ซึ่งความจริงเวลาเลือกตั้งพรรคการเมืองต้องใช้เงินจำนวนมาก และต้องยอมรับความจริงว่านายทุนต้องเข้ามาสนับสนุน การที่บอกว่าพรรคการเมืองมีทุนประเดิม 1 ล้าน ผมเชื่อว่าไม่เพียงพอที่จะใช้ในการเลือกตั้ง หากพิจารณาโดยรวมแล้วการปรับแก้ดังกล่าวยังไม่ตรงประเด็น เพราะประเด็นใหญ่ๆเชื่อว่า กรธ. ไม่มีการปรับแก้แน่นอน

ด้าน องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประเด็นการปรับแก้ไขอย่างกรณีที่ลดโทษให้เป็นตัดเงินสนับสนุนพรรคนั้น เรื่องนี้ปรับไปก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมือง ก็ทำตามอยู่แล้ว หรือการลดเงินขั้นต่ำในการจ่ายค่าประเดิมตั้งพรรคเป็นไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท แต่ต้องรวบรวมให้ได้ 1 ล้านบาทเหมือนเดิม รวมถึงลดจำนวนการให้สรรหาสมาชิกให้ได้ 10,000 ภายใน 4 ปีนั้นก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายลงส่วนหนึ่ง และทำให้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กให้มีมากขึ้น แต่ในส่วนมาตรา 44 ของ ร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ทาง กรธ.ระบุไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนั้น ที่ผ่านมาไม่ได้ทักท้วงเรื่องที่มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต หรือบังคับใช้กับนักการเมือง แต่ตนเห็นถ้าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างนายกรัฐมนตรีคนนอก หรือรัฐมนตรีที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง ที่อาจทำความผิดแบบเดียวกันได้ ซึ่งตนสงสัยว่าทำไมโทษเหล่านี้ถึงเอาผิดแค่คนที่อยู่ในพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ทำไมกฎหมายนี้ถึงไม่ครอบคลุมคนกลุ่มอื่นด้วย

ที่มาจาก: มติชนออนไลน์ 1, 2, 3,  ไทยรัฐออนไลน์ , ผู้จัดการออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15-21 ธ.ค. 2559

$
0
0
 
จังหวัดลำพูนเปิดโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
 
ที่หอประชมองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสำพูน ได้จัดโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อส่งเสริมให้ความรู้ด้านแรงงาน และสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ โดยมีนายมนัส อ่ำทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธาน
 
นางวันทนา จันทร์เกตุ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลำปาง ผู้แทนคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการแรงงานสัมพันธ์ภาคเหนือ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ความรู้ ความเข้าใจด้านแรงงานที่ถูกต้อง และเสริมสร้างแรงงานสัมพันธ์ โดยมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกในการเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ลดความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ สร้างความรักความสามัคคี ให้กับนายจ้างกับลูกจ้าง ในการร่วมสร้างสรรค์เศรษฐกิจของประเทศใน ป้องกันปัญหาด้านแรงงาน รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนของประเทศให้มากขึ้น โดยกิจกรรมในงานประกอบด้วย การร่วมสานดวงใจเป็นหนึ่งเดียวของนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ร่วมงาน กล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายความอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ การรับบริจาคโลหิต การจัดนิทรรศการของสถานประกอบการกิจการ การให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน การจำหน่ายสินค้าราคาถูกและการบรรยายพิเศษเรื่อง “แรงงานสัมพันธ์ 4.0 การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นายจ้างลงทุน ลูกจ้างลงแรง “ โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่จากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จำนวน 500 คน
 
 
พาณิชย์เผยยอดจดทะเบียนเลิกประกอบธุรกิจ เดือน พ.ย.59 เพิ่ม 51%
 
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2559 มีผู้ประกอบธุรกิจ ยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ 5,799 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 5,092 ราย โดยเพิ่มขึ้น 707 ราย คิดเป็น 14% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 4,520 ราย เพิ่มขึ้น 1,279 ราย คิดเป็น 28%
 
ขณะที่มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่เดือนพฤศจิกายน 2559 มีจำนวนรวม 16,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,284 ล้านบาท คิดเป็น 9% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งมีจำนวน 14,720 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 280 ล้านบาท คิดเป็น 2% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีจำนวน 15,724 ล้านบาท
 
ส่วนจดทะเบียนเลิกในเดือนพฤศจิกายน 2559 มีจำนวน 2,397 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 1,588 ราย โดยเพิ่มขึ้น 809 ราย คิดเป็น 51% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 2,722 ราย ลดลง 325 ราย คิดเป็น 12% และมูลค่าทุนจดเลิก เดือนพฤศจิกายน 2559 มีจำนวนรวม 8,229 ล้านบาท ลดลง จำนวน 5,758 ล้านบาท คิดเป็น 41% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งมีจำนวน 13,987 ล้านบาท และมีมูลค่าลดลง 79,164 ล้านบาท คิดเป็น 91% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีจำนวน 87,393 ล้านบาท ผลจากผู้ค้าฉลากยกเลิก
 
อย่างไรก็ดี ภาพรวมของการจดทะเบียนการจัดตั้งนิติบุคคลช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน 2559) จำนวน 59,878 ราย เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2558 (มกราคม-พฤศิกายน 2559) คิดเป็น 5% โดยเป็นผลมาจากการจดทะเบียนธุรกิจร้านขายทองที่รัฐ มีนโยบายส่งเสริมให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีจำนวนสูงถึง 1,341 ราย ในปีนี้ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านอัตราภาษีมากกว่าผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา ส่วนจดเลิก ช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2559) จำนวน 15,820 ราย ลดลง จากช่วงเดียวกันของปี 2558 (มกราคม-พฤศิกายน 2559) คิดเป็น 6%
 
สำหรับประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ จำนวน 803 ราย ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 649 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 351 ราย ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร จำนวน 120 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ จำนวน 115 ราย
 
ส่วนห้างหุ้นส่วนบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งทั้งสิ้น จำนวน 1,355,900 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 20.42 ล้านล้านบาท โดยมีห้างหุ้นส่วนบริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 646,460 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 15.77 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 466,230 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,152 ราย และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 179,078 ราย
 
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ให้มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ และคาดว่าภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้งทั้งปีจะสูงประมาณ 63,000-65,000 รายได้
 
ส่วนแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจในปี 2560 ยังคงตั้งเป้าหมายการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เฉลี่ยได้สูง 65,000 รายใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้ผลักดันให้เข้ามาสู่ระบบนิติบุคคลคนเดียว นโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐ และคาดว่าร้านขายทอง ร้านขายยาที่จะเข้าระบบก็จะทำให้การจดทะเบียนเพิ่มขึ้นด้วย
 
 
เครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติแถลงรายงานสถานการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานสากล พร้อมจัดเสวนาแนวทางจัดการต่อผู้โยกย้ายถิ่นฐานในไทย
 
เครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติแถลงรายงานสถานการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานสากล ปี 2559 และเสวนาในหัวข้อแนวทางการจัดการคนย้ายถิ่น แรงงานข้ามชาติ และผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทย “ไปไม่สุด หยุดไม่ได้ ไกลเกินถอย” เนื่องในวันผู้โยกย้ายถิ่นฐานสากล ประจำปี 2559 ที่ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
 
นายอดิศร เกิดมงคล จากเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ เผยถึง 5 สถานการณ์หลักการโยกย้ายถิ่นฐานตลอดปี 2559 ที่เกิดขึ้นในไทย ประกอบด้วย นโยบายการจัดระบบแรงงานข้ามชาติ ปี 2559 การเลื่อนขั้นจากรายงานด้านการค้ามนุษย์ของสหรัฐไปเป็นบัญชีประเภท 2 ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ การจัดการประเด็นโรฮิงญา และผู้ย้ายถิ่นเพื่อแสวงหาที่ลี้ภัยของไทย การเดินทางเยือนไทยของนางออง ซาน ซู จี และการลงนามใน MoU 3 ฉบับ และ การคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ
 
การเสวนาครั้งนี้ พูดคุยถึงประเด็นที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง เช่น การปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงานบนเรือประมง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน การปกป้องคุ้มครองแรงงานที่ทำงานในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิและสวัสดิการพื้นฐานที่แรงงานพึงได้รับ นโยบายทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจากการกักขังผู้ลี้ภัย ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งในจังหวัดชายแดนไทย-เมียนมาร์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง และผู้ที่ถูกกักขังเพื่อรอการส่งตัวไปยังประเทศที่สาม และทางเลือกในการจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติของชาวโรฮิงญา โดยเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่ ซึ่งอาจส่งผลให้ชาวโรฮิงญาลี้ภัยเข้าไทยอีกครั้งในปีหน้า
 
 
กรมการจัดหางาน คาดปีหน้าเตรียมส่งแรงงานไทยไปทำงานเกาหลีช่วง ก.พ. 2560 หลังผ่านการทดสอบทักษะและภาษาเผย 2 ปี ส่งคนไทยไปทำงานกว่า 6.1 หมื่นคน
 
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากที่กรมฯได้เปิดทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 1 เพื่อหาผู้ที่สนใจสมัครไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลีตามระบบ EPS ขณะนี้มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวน 1,200 คน ในประเภทกิจการเกษตรและปศุสัตว์ 900 คน กิจการก่อสร้าง 300 คน และวานนี้ (15 ธ.ค.59) มีผู้มารายงานตัวพร้อมยื่นเอกสารเพื่อจัดทำรายชื่อให้นายจ้างเกาหลีคัดเลือกจำนวน 1,191 คน โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถจัดส่งแรงงานไทยให้ไปทำงานได้ช่วงเดือน ก.พ.60
 
อย่างไรก็ตามการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี เดิมใช้วิธีการสอบผ่านความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-TOPIK) เพียงอย่างเดียว แต่ในปี 59 เกาหลีได้ปรับระบบการคัดเลือกแรงงานต่างชาติด้วยระบบ (Point System) ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และใช้การคัดเลือกจากคะแนนรวมในภาคทฤษฎี ทดสอบภาษาเกาหลี และภาคปฏิบัติคือ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ทดสอบทักษะพื้นฐาน และสัมภาษณ์
 
รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยอีกว่า ตั้งแต่ปี 47 จนถึงเมื่อวันที่ (30 พ.ย.59) ขณะนี้กรมฯได้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่เกาหลีตามระบบ EPS แล้วจำนวนทั้งสิ้น 61,504 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเภทกิจการอุตสาหกรรม รองลงมาเกษตร ปศุสัตว์ และก่อสร้างตามลำดับ
 
 
ก.แรงงาน ดูแลลูกจ้าง ‘เหมืองอัครา’ หาตำแหน่งงาน-ฝึกอาชีพ-คุมจ่ายเงินชดเชย
 
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งที่ 72/2559 ให้ระงับการประกอบกิจการของเหมืองแร่ทองคำตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2559 นั้น ทำให้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำได้ทยอยลดจำนวนพนักงานลงตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา โดยจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงแรงงานได้เข้าไปดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบ และได้ติดตามมาตลอดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการช่วยเหลือพนักงานทั้งหมด ซึ่งพบว่า บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานถูกต้องทุกประการจึงไม่พบว่ามีข้อร้องเรียนใดๆ จากพนักงานกรณีไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สำหรับบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด มีพนักงานทั้งสิ้น 355 คน ขณะนี้มีการเลิกจ้างพนักงานไปแล้ว 58 คน ได้รับเงินชดเชยไปแล้วเกือบ 12 ล้านบาท ในจำนวนนี้ผู้ถูกเลิกจ้าง 56 คน ได้เข้ารับบริการจากสำนักงานจัดหางานจังหวัด และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดที่เข้าไปสำรวจความต้องการ ซึ่งมี 4 คน ที่ได้งานใหม่ทำแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาตำแหน่งงานเพื่อให้ตรงกับความสามารถและคุณวุฒิ โดยในพื้นที่ดังกล่าวมีตำแหน่งงานว่างกว่า 400 อัตรา กรณีการเลิกจ้างลูกจ้างจะได้รับสิทธิค่าชดเชยประกันการว่างงานเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้มีอายุ 55 ปี ได้ใช้สิทธิบำนาญชราภาพจากประกันสังคม ส่วนบริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด ซึ่งมีพนักงานอีก 442 คน ที่จะต้องได้รับเงินชดเชยราว 46 ล้านบาท โดยทั้งหมดจะถูกยุติการจ้างงานในสิ้นปีนี้ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีแผนการช่วยเหลือรองรับพนักงานเหล่านี้ทั้งหมด
 
นายวรานนท์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีพนักงานทั้ง 2 บริษัท ที่ยังคงมีสภาพการจ้างอยู่อีก 747 คน คิดเป็นเงินชดเชยกว่า 395 ล้านบาท ส่วนประชาชนที่อยู่ในชุมชนรอบข้างในพื้นที่ จ.พิจิตร และ จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้รับผลกระทบตามมานั้น กระทรวงแรงงานจะดำเนินการเข้าไปช่วยเหลือในด้านการพัฒนาฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ โดยปกติในแต่ละปีจะจัดสรรงบประมาณให้จังหวัดละ 3-5 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้อยู่ระหว่างการประสานเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดมาสมทบช่วยเหลือประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง
 
 
กรมการจัดหางาน ปล่อยกู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านแล้วกว่า 25 ล้านบาท ช่วยสร้างรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านมากกว่าปีละ 87 ล้านบาท
 
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับงบประมาณเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ในลักษณะทุนหมุนเวียน เพื่อให้กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิตหรือขยายการผลิต เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้และโอกาสมีงานทำแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวอย่างยั่งยืน ซึ่งตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีการปล่อยกู้แล้ว จำนวน 291 กลุ่ม เป็นเงิน 25,881,000 บาท ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่ต่ำกว่าปีละ 87,300,000 บาท สำหรับในปีงบประมาณ 2560 มีแผนการปล่อยกู้เงินกองทุนฯ จำนวน 5 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน 50 กลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงแรงงานและรัฐบาลในการสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน
 
คุณสมบัติของผู้กู้ จะต้องเป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5 คน มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน ทำงานร่วมกันมาแล้วไม่น้อยว่า 3 เดือน มีทรัพย์สินหรือทุนรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท และมีสถานประกอบการที่ชัดเจน สามารถติดต่อได้ ซึ่งจะให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดเงินต้น 4 เดือน ชำระคืนภายใน 5 ปี โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร
 
 
เจ้าหน้าที่คงเดินหน้าค้นหา 2 คนงานที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารที่ถล่มลงมาในซอยสุขุมวิท 87 อย่างระมัดระวัง
 
หลังเจ้าหน้าที่ใช้เวลาทั้งคืนในการระดมหาผู้สูญหายอีก 2 ราย คือนายไพร คะนุนรัมย์ อายุ 38 ปี และนายบุญแจ้ง เลศละออง อายุ 46 ปี ที่คาดว่ายังคงติดอยู่ในอาคารไทยยานยนต์ มิตซู ซอยสุขุมวิท 87 ความสูง 8 ชั้น ที่พังถล่มลงมาขณะรื้อถอน แม้จะใช้รถเครนยกแผ่นปูนขนาดใหญ่ออกเพื่อค้นหาผู้สูญหายตามจุดที่สุนัขตำรวจเข้าดมกลิ่น แต่ด้วยแผ่นปูนมีขนาดใหญ่ และการใช้เครื่องมือหนักอาจส่งผลต่อตึกด้านข้าง ซึ่งอาจพังถล่มลงมา จึงได้ยุติการค้นหาในเวลา 3 นาฬิกาที่ผ่านมา
 
ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้(17 ธ.ค.) สภาวิศวกร, สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อหาแนวทางค้นหาผู้สูญหายอีก 2 คน ที่ยังติดค้างอยู่ภายใน เบื้องต้นจะดูโครงสร้างอาคารเพื่อหาแนวทางในการเคลื่อนย้ายแผ่นปูนออก เนื่องจากคาดว่า 2 คนงาน ติดอยู่ใต้ซากชั้นล่างสุด การจะรื้อแผ่นปูนออกทั้งหมดต้องใช้เวลา และต้องระวังผลกระทบตึกข้างเคียงที่อาจพังซ้ำ
 
พันตำรวจโทบัณฑิต ประดับสุข ผู้แทนสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้านงานปลอดภัยในงานสถาปัตยกรรม เปิดเผยว่า เบื้องต้นพบ อาคารดังกล่าวไม่มีคานรับน้ำหนักแต่ใช้เป็นลวดสลิงในการต่อเพิ่มแต่ละชั้นแทน หากจะรื้อถอนจะต้องหาอุปกรณ์ค้ำยันเพื่อรับน้ำหนักด้านล่าง แต่เท่าที่เห็น ขณะที่รื้ออาคารไม่มีคานค้ำยัน จึงอาจเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดอาคารถล่ม
 
ด้านภรรยาและครอบครัวนายบุญแจ้ง พนักงานขับรถแบคโฮ ที่ติดอยู่ในอาคารมานอนเฝ้าที่ด้านหน้าอาคารอย่างมีความหวังว่าสามีจะรอดชีวิต วอนขอให้ค้นหาสามี ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม
 
ส่วนเรื่องคดี พนักงานสอบสวนได้สอบพยานไปแล้ว 14 ปาก ทั้งญาติผู้เสียชีวิต, ผู้บาดเจ็บ, พยานใกล้เกิดเหตุ, เจ้าหน้าที่โยธาเขตพระโขนง โดยแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 คือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กับนายสุทธิศักดิ์ ศรีวรรณา กรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ แมกกะทู และนายกฤตัชญ ศรีวรรณา ผู้รับเหมา
 
นายภัทรุฒิ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนคือต้องค้นหาผู้สูญหายอีก 2 คน แต่ต้องใช้ความระมัดระวังต่อผู้ปฏิบัติงานด้วย เพราะยังมีอาคารด้านข้างที่อาจได้รับผลกระทบและพังลงมาได้อีก จึงใช้ลวดสลิงขึงเพื่อยึดอาคารให้เกิดความปลอดภัยขณะปฏิบัติงาน อุปสรรคของการค้นหาคือ ซากวัสดุอาคารที่กองทับถมกันอยู่หลายชั้น รวมถึงเศษวัสดุแผ่นพื้นที่ห้อยค้างอยู่บนตัวอาคารอาจจะหลุดร่วงลงมาทำให้เกิดอันตรายได้ เบื้องต้น เปลี่ยนจากการใช้รถเครนยกแผ่นปูนออก มาเป็นการเจาะแผ่นปูนทีละแผ่นไปถึงพื้นด้านล่างเพื่อสอดกล้องเพื่อดูว่าจุดนั้นๆมีผู้สูญหายตรงกับตำแหน่งที่สุนัขตำรวจได้ทำสัญญาณไว้หรือไม่ ก่อนจะรื้อแผ่นปูนขึ้นอีกครั้ง จากนี้กรุงเทพมหานคร จะเข้าไปดูแลในสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับบริษัทรื้อถอนอาคารมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา มักจะเกิดเหตุสลดขึ้นจากความไม่ชำนาญ หรือความไม่เข้าใจของผู้ประกอบวิชาชีพ
 
ด้านศาสตราจารย์อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศกร กล่าวว่า ในการรื้อถอนอาคารที่สูงเกิน 3 ชั้นขึ้นไป จะต้องมีวิศวกรควบคุมการออกแบบและการรื้อถอน เนื่องจากขั้นตอนของการรื้อถอนมีความสำคัญ รวมถึงเครื่องมือและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ อาคารหลังนี้ เป็นโครงสร้างไร้คานที่เสริมสลิงเข้าไป ซึ่งมีความอ่อนแอกว่าอาคารที่มีเสาคานรับน้ำหนัก หากไม่มีความชำนาญในการรื้อถอน เมื่อพื้นอาคารถูกทำลายไปโดยไม่มีอุปกรณ์รองรับน้ำหนัก จะทำให้พังถล่ม ลงมาเหมือน หลังจากนี้จะต้องเรียกวิศวกรผู้ออกแบบควบคุมการรื้อถอนมาสอบสวนถึงสาเหตุ ที่กรุงเทพมหานคร มีหนังสือให้ยุติการรื้อถอน แต่ยังดำเนินการอยู่ หากมีวิศกรเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการขั้นสูงสุดคือเพิกถอนใบอนุญาต
 
ขณะที่นายธเนศ วีระศิริ ว่าที่นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. กล่าวว่า จากนี้จะจัดตั้งหน่วยวิศวกรอาสาขึ้นมาเพื่อเข้าไปสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความรู้เจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือผู้ที่ติดอยู่ในอาคารที่ถล่ม เพื่อจะได้ชี้จุด ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงกับผู้ปฏิบัติงาน
 
เนื่องจากทุกขั้นตอนจะต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคาดหวัวว่าจะมีผู้รอดชีวิต
 
 
ผอ.รพ.แม่ระมาด เสนอแยกกลุ่มนักเรียนไร้สถานะให้ชัด ชี้กลุ่มรอพิสูจน์สถานะควรได้รับสิทธิเข้ากองทุนคืนสิทธิ ส่วนกลุ่มลูกหลานแรงงานไม่เข้าเกณฑ์รักษาฟรี ให้ซื้อบัตรสุขภาพราคาถูกปีละ 365 บาท
 
จากกรณีเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ออกมาทวงถามกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงการจัดทำตัวเลขที่ชัดเจนของกลุ่มคนจีนโพ้นทะเลและเด็กไร้สถานะ หรือนักเรียนตามชายแดนที่ได้รับสิทธิการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หรือนักเรียนกลุ่ม G รวมกว่า 1 แสนคน ที่ตกค้างจากการผลักดันให้เข้าสู่กองทุนคืนสิทธิสุขภาพนั้น
 
วันนี้ (17 ธ.ค.) นพ.จิรพงศ์ อุทัยศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่ระมาด จ.ตาก กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการรักษาพยาบาลของนักเรียนกลุ่มจี คือ พวกเขาไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานฟรี ตามสิทธิบัตรทองเหมือนคนไทย เพราะไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีการปะปนระหว่างลูกหลานของบุคคลที่กำลังรอพิสูจน์สถานะ ลูกหลานของแรงงานต่างด้าวที่เกิดในไทย และเด็กที่เดินข้ามฝั่งชายแดนมาเรียน จากปัญหาตรงนี้ ทำให้การรวบรวมตัวเลขให้ชัดเจนค่อนข้างลำบาก ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยและมารักษาที่โรงพยาบาล ทำให้ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลกันเอง หากเป็นครูพามา ภาระก็จะตกที่ครู หากเป็นพ่อแม่พามาก็จะตกที่พ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าโรงพยาบาลจะรักษาโดยเก็บเงินอย่างเดียว เพราะตามขั้นตอนแล้ว เมื่อมาถึงก็จะรักษาพยาบาลก่อน และจะถามสิทธิ หากไม่มีสิทธิบัตรทอง ก็ต้องแจ้งค่ารักษาพยาบาล ส่วนใหญ่พวกเขาไม่สามารถจ่ายได้ ก็จะสอบถามว่าจ่ายได้เท่าไร และหากไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแต่ละแห่งว่าจะอนุเคราะห์อย่างไร ในส่วนของ รพ.แม่ระมาด มีการรักษาเด็กกลุ่มนี้ด้วย ปีละประมาณหลักแสนไปจนถึงล้านคน
 
นพ.จิรพงศ์ กล่าวว่า ปัญหาคือจะทำอย่างไรเพื่อลดภาระของแต่ละฝ่าย ซึ่งหากรัฐบาลช่วยก็ถือว่าใช้งบเพิ่มไม่มาก เพราะเด็กกลุ่มนี้ที่ยังมีปัญหาตัวเลขไม่มากมายนัก จากการสอบถามทราบว่า กลุ่มประกันสุขภาพ สธ. เป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งเข้าใจว่าผู้บริหาร สธ. ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะตัวเลขต่างๆ ไม่ได้อยู่ใน สธ. แต่อยู่ทั้งกระทรวงมหาดไทย และ ศธ. จึงขอเสนอทางออกกรณีที่หากแยกตัวเลขได้แล้วว่า นักเรียนกลุ่มจีมีกลุ่มไหนเข้าตามสิทธิรอพิสูจน์สถานะ และกลุ่มไหนเป็นลูกหลานแรงงานต่างด้าว ซึ่งกลุ่มที่ไม่เข้าเงื่อนไขคืนสิทธิสุขภาพ ก็ควรซื้อบัตรสุขภาพ ซึ่งปัจจุบัน สธ. มีบัตรราคาถูกเฉลี่ยวันละ 1 บาท จ่ายปีละ 365 บาท รักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน แต่บัตรดังกล่าวจะดูแลเด็กถึงอายุ 7 ปี เป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายมายังเด็กโต เด็กนักเรียนที่ศึกษาอยู่ด้วย ซึ่งจะครอบคลุมเด็กนักเรียนกลุ่มจีได้
 
 
กกจ.เปิดคัดคนไปทำงานที่เกาหลี 17-19 ธ.ค.
 
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้กรมการจัดหางาน(กกจ.) เปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 2 เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) โดยผู้สมัครต้องยื่นใบสมัครด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 17 – 19 ธ.ค.59 เวลา 09.00–16.00 น. ที่ศูนย์การรับสมัคร จำนวน 4 แห่ง คือ
 
1.ศูนย์การรับสมัครกรุงเทพมหานคร ที่อาคาร The Hub @ ZEER Rangsit ชั้น 3 บริเวณศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จ.ปทุมธานี
2.ศูนย์การรับสมัคร จ.ลำปาง ที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครลำปาง ต.สวนดอก อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง
3.ศูนย์การรับสมัคร จ.อุดรธานี ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีบ้านจั่น อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
4. ศูนย์รับสมัคร จ.นครราชสีมา ที่สำนักงานจัดหางานจ.นครราชสีมา
 
นายวิวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปี 2547–30 พ.ย.59 กรมการจัดหางานจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลีตามระบบ EPS จำนวนทั้งสิ้น 61,504 คน โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทกิจการอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และการเกษตรกร และล่าสุดการเปิดทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 1 เพื่อการสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบ EPS มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวน 1,200 คน แยกเป็นประเภทกิจการเกษตร ปศุสัตว์ 900 คน กิจการก่อสร้าง 300 คน ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้มารายงานตัว ยื่นเอกสารเพื่อจัดทำรายชื่อให้นายจ้างเกาหลีคัดเลือกจำนวน 1,191 คน
 
ทั้งนี้การจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานเกาหลีใช้วิธีการสอบผ่านความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-TOPIK) เพียงอย่างเดียว แต่ในปี 59 เกาหลีได้ปรับระบบการคัดเลือกแรงงานต่างชาติ เป็นการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลีด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คาดว่าจะสามารถจัดส่งให้ไปทำงานได้ในเดือน ก.พ. 2560
 
 
ชาวโคราชแห่สมัครทำงานเกาหลีหลังหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว
 
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.59 เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานที่รับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 2 เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ได้มีประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียง จำนวนมาก ให้ความสนใจเดินทางมาเขียนใบสมัครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบวัดความสามารถภาษาเกาหลี ที่ทางกระทรวงแรงงานไทยและสาธารณรัฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงานและการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงในการจัดส่งแรงงานไปทำงานตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ ที่เปิดจุดรับสมัครที่จังหวัดนครราชสีมาและอุดรธานี
 
นายพงษ์ นะโส อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งในผู้ที่เดินทางมาสมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า ตัดสินใจมาสมัครเพื่อเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ เนื่องจากมีค่าจ้างสูงกว่าประเทศไทย อีกทั้งที่บ้านได้ทำการเก็บผลผลิตหมดแล้วจึงตัดสินที่จะมาสมัครไปทำงานที่เกาหลี ส่วนสาเหตุที่ไม่หางานอื่นๆ ในประเทศ เพราะว่าค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ค่าแรงน้อย ซึ่งคาดหวังว่าค่าตอบแทนที่ได้จากประเทศเกาหลีนั้นจะทำให้สามารถส่งเงินกลับมาบ้านได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท อย่างแน่นอน อีกทั้งการเดินทางไปทำงานในครั้งตนเองก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกหลอกเหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นข่าวกัน เพราะการเดินทางไปทำงานได้ผ่านกรมแรงงานจึงเป็นการเดินทางไปอย่างถูกต้อง
 
เช่นเดียวกับนายบัณฑิต แก้วดี อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หนึ่งในผู้ที่มาสมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า ยังไม่เคยเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลี แต่เมื่อทราบข่าวว่ามีการเปิดรับสมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี จึงไม่ลังเลเดินทางมาสมัครทันที เนื่องจากทราบว่าไปทำงานที่ประเทศเกาหลีนั้นมีรายได้สูง ซึ่งค่าจ้างค่าแรงที่จังหวัดบุรีรัมย์ ค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยเดือนละ 7,000-8,000 บาท ประกอบกับที่บ้านก็ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรหมดแล้ว อีกทั้งพี่ชายของตนเองก็เคยเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลีมาแล้ว 2 คน ก็สามารถที่จะกลับมาสร้างเนื้อสร้างตัวได้ จึงคิดว่าหากผ่านการทดสอบแล้วมีสิทธิที่จะเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ส่งเงินกลับมาให้กับที่บ้านเป็นประจำเพื่อนำเงินก้อนนั้นไปสร้างตัวและสร้างอนาคตต่อไป
 
นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การเปิดรับสมัครแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ เป็นการดำเนินการตามกระทรวงแรงงานไทยและสาธารณรัฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงานและการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงในการจัดส่งแรงงานไปทำงานตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ โดยในครั้งนี้โดยเปิดรับแรงงานไปทำงานใน ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบด้วย การชั่งตวงวัด , การเชื่อม และการประกอบชิ้นงาน การเปิดรับสมัครครั้งนี้ก็ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั้งในจังหวีดนครราชสีมาและจังหวัดต่างๆ เข้ามาร่วมกรอกใบสมัครแล้วกว่า 1,500 คน คาดว่า 3 วันที่มีการเปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันที่ 17-19 ธันวาคม 2559 จะมีผู้ที่ร่วมมาสมัครไปทำงานที่ประเทศเกหาหลี ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน อย่างแน่นอน ซึ่งผู้สมัครจะต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี และจะมีการประกาศหมายเลขผู้มีสิทธิ์สอบ ในวันที่ 30 มกราคม 2560 และจะทำการทดสอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
 
 
คปภ.ออกประกันผู้ใช้บริการหอพักเบี้ยต่ำ 24 บาทต่อปีคุ้มครอง 1 แสน
 
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นิสิต-นักศึกษา ซึ่งมีการเช่าหอพักเป็นที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นหอพักของสถานศึกษา หรือของเอกชน
 
"คปภ. จึงร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครอง ผู้พักในหอพัก เพื่อใช้ระบบประกันภัยในการบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ผู้ใช้บริการหอพัก กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว ให้ความคุ้มครองสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก เรื่อง การประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พัก ตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 ซึ่งได้กำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการหอพักไว้ตามมาตรา 57 ต้องจัดให้มีการประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พักอาศัย"
 
ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้พักในหอพัก มุ่งเน้นให้ความคุ้มครองผู้พัก ซึ่งขณะเริ่มเข้าพักครั้งแรกมีอายุไม่เกิน 25 ปี และอยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษา ระดับไม่สูงกว่าปริญญาตรี ไม่ว่าจะพักอยู่ในหอพักสถานศึกษา หรือหอพักเอกชน ด้วยเบี้ยประกันภัยเพียง 24 บาทต่อคนต่อปี ให้ความคุ้มครองใน กรณีผู้พักเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงอันเป็นผลจากหอพักเกิดไฟไหม้ ระเบิด หรือผู้พักถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายร่างกาย โดยอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นในขณะพักในหอพัก จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 100,000 บาทต่อคน
 
กรณีผู้พักได้รับบาดเจ็บ มาจากภัยที่ได้รับความคุ้มครอง จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน และกรณีทรัพย์สินของผู้พักเกิดความเสียหาย มาจากไฟไหม้ หรือระเบิด ซึ่งเกิดขึ้นที่หอพัก จะได้รับเงินชดเชยตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน
 
"ผมในฐานะนายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบแบบกรมธรรม์ และอัตราเบี้ยประกันภัยกรมธรรม์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันวินาศภัย แจ้งความจำนงขอร่วมจำหน่ายกรมธรรม์ดังกล่าวแล้ว 42 บริษัท ดังนั้นจึงฝากถึงผู้ประกอบการหอพักให้ยึดถือสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พักเป็นสำคัญ และควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้พักอาศัย นอกจากจะถือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว จะทำให้ผู้พักมีความอุ่นใจ และเกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการหอพักในระยะยาว"
 
 
สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยห่วงเด็กจบใหม่ปี 2560 มีแนวโน้มตกงานสูงถึง 2.1แสนคน
 
ข้อมูลจากสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุว่าในปี 2560 นักศึกษาจบใหม่จะมีเข้าในระบบเพิ่มขึ้นมากถึง 2.1 แสนคน และมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในภาวะตกงาน โดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีที่ไม่ใช่สายเฉพาะทางหรือวิชาชีพเช่น สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์
 
ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้ตลาดแรงงานเริ่มเปลี่ยนไป ที่มุ่งเน้นไปทางด้านไอที คอมพิวเตอร์ ภาษา และทักษะวิชาชีพเฉพาะด้าน แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่จบสายอาชีวะหรือสายวิชาชีพ ยังเป็นที่ต้องการตลาดและยังขาดแคลนอยู่มาก
 
ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า แนวโน้มการจ้างงานในปี 2560 ยังคงมีเพิ่มขึ้นจากปีนี้ตามทิศทางการลงทุนที่คาดว่าจะมีทิศทางดีขึ้นจากการลงทุนภาครัฐและรัฐวิสหกิจและการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือเด็กจบใหม่ระดับปริญญาตรีที่ไม่ใช่สายวิชาชีพจะตกงานเพิ่มขึ้น และอยากให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิรูปการศึกษาอย่างเร่งด่วนและวางเป้าพัฒนาคนที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรม 4.0
 
 
ผู้ตรวจฯ เผยเกาหลีใต้แฉคนไทยหนีเข้าเมืองถึง 5 หมื่นราย ทำเสี่ยงถูกตัดโควตาแรงงาน
 
(18 ธ.ค.) พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงผลการพบปะแรงงานไทย และผู้ประกอบการในสาธารณรัฐเกาหลีใต้ กว่า 200 คน ที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยร่วมกับคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมือง ACRC กระทรวงแรงงานเกาหลี สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี จัดขึ้น ณ วัดป่าพุทธรังษีโซล ว่า จากการพบปะทำให้ได้รับทราบถึงปัญหาการดำรงชีวิตของแรงงานไทย ความไม่เป็นธรรมในการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐในเกาหลี ซึ่งพบว่าบางกรณีอาจต้องเร่งประสานให้ความช่วยเหลือทันที เช่น กรณีแรงงานไทยไม่สามารถต่อวีซ่าได้ เพราะอายุเกิน 40 ปี แต่นายจ้างไม่ยอมให้กลับประเทศ เพราะไว้วางใจในการทำงาน และขอให้อยู่ช่วยงานเนื่องจากทำงานมานานกว่า 17 ปี กรณีนี้เลยทำให้บุคคลดังกล่าวเลยกลายเป็นโรบินฮูดโดยปริยาย ซึ่งตัวผู้ใช้แรงงานเองก็บอกว่าต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากต้องหลบซ่อน ซึ่งหน่วยงาน ACRC รวมถึงผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีก็ได้รับทราบปัญหาดังกล่าว และจะมีการประสานกันในระดับนโยบายต่อไป หากมีการเสนอแนะแก้ไขระเบียบอาจทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขในเชิงระบบได้
 
ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนเรื่องปัญหาการถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง โดยเฉพาะแรงงานด้านเกษตร และปศุสัตว์ เช่น นายจ้างให้ทำงานวันหยุดโดยไม่มีค่าล่วงเวลาทางด้านผู้ใช้แรงงาน จึงอยากให้เข้าไปดูในรายละเอียดของสัญญาการจ้าง ซึ่งทางหน่วยงาน ACRC และกระทรวงแรงงานของเกาหลี ก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยขอให้มีการแจ้งเหตุจะได้รีบตรวจสอบและสอบสวนหากนายจ้างมีความผิดจะมีโทษตามกฎหมาย รวมถึงยังมีปัญหาขอให้เข้าไปดูเรื่องการประกอบกิจการของโรงาน เช่น โรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่มีระบบควบคุมการผลิตที่ดีพอเกิดฝุ่นละอองจำนวนมาก และแพ้สารเคมี ร่างกายมีตุ่มผื่นขึ้นเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ ปัญหาแรงงานโดนโกงค่าจ้าง แรงงานหญิงท้องใกล้คลอดแต่ตั้งแต่เริ่มท้องยังไม่เคยมีโอกาสไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล บางคนมีลูกเล็กเกิดเจ็บป่วยไม่สามารถซื้อยาตามร้านได้ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น ตลอดจนปัญหาของผู้ใช้แรงงานเองที่เกิดจากความไม่เข้าใจในการใช้สิทธิของการประกันอุบัติเหตุ จนทำให้กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้แรงงานกับนายจ้าง เช่น มีแรงงานประสบอุบัติเหตุจากการทำงานไม่ถึงกับพิการ แต่มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น คือ เป็นความดัน และต้องพบหมอทุก 3 เดือน แต่ประกันมองว่าการรักษาเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุนั้นหายดีแล้ว จึงตัดสิทธิในการเบิกเงินประกัน ถึงแม้ว่าจะยังต้องพบหมอเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจกัน
 
พล.อ.วิทวัส กล่าวด้วยว่า ได้ขอให้ผู้ใช้แรงงานรักษากฎกติกาหากเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายจะทำให้การช่วยเหลือราบรื่นสะดวก รวดเร็ว เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่หลบหนีเข้ามาใช้แรงงาน ซึ่งจากตัวเลขที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีรายงานมีแรงงานไทยมี่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายราว 4 หมื่นคน และมีแรงงานไทยที่เข้ามาอย่างไม่ถูกกฎหมายสูงถึงราว 5 หมื่นคน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสี่ยงถูกตัดโควตาของผู้ที่จะเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย และต้องมีการปรับตัวฝึกฝนการใช้ภาษาเกาหลีซึ่งได้เสนอให้ทางทูตแรงงานจัดหาครูมาสอนภาษาโดยใช้เวลาหลังเลิกงาน จะได้พึ่งพาตนเองได้ รวมถึงอย่าให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากจะทำลายภาพพจน์ของประเทศไทยมาก ซึ่งทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะเร่งสรุปปัญหาและจัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล เพราะหลายเรื่องเป็นเรื่องระดับนโยบายระหว่างประเทศ ดังนั้น ต้องมีการหารือกันในระดับประเทศด้วย
 
ด้าน นาย คิน อิน ซู (Kin In-Soo) รองประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมือง (ACRC) แห่งสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า จากปัญหาที่ได้รับฟังหลาย เรื่องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ทางหน่วยงาน ACRC ก็จะเร่งให้ความช่วยเหลือตามพันธกรณีที่มีแก่กัน หากแรงงานประสบปัญหาแจ้งก็สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนทางระบบ E-People ทาง www.epeople.go.kr หรือผ่านทาง www.acrc.go.kr รวมทั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานตางชาติที่เป็นทางการ 8 แห่ง และศูนย์ช่วยเหลือแรงงานต่างชาติที่ไม่เป็นทางการอีก 88 แห่งได้
 
 
แรงงานอีสานแห่ไปเกาหลีหลังหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว
 
นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่าขณะนี้มีผู้ใช้แรงงานจากภาคอีสานสนใจเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ โดยพบว่ามีประชาชนจำนวนมากทั้งชาวจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจเดินทางมาเขียนใบสมัครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบวัดความสามารถภาษาเกาหลี มีจุดเปิดรับสมัครเพียง 2 จุด ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 17-19 ธันวาคมนี้ โดยเปิดรับแรงงานไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตประกอบด้วยการชั่งตวงวัด การเชื่อมและการประกอบชิ้นงาน
 
การเปิดรับสมัครครั้งนี้มีประชาชนกรอกใบสมัครแล้วกว่า 1,500 คน โดยคาดว่า 3 วันนี้จะมีผู้สมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลีไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ซึ่งผู้สมัครจะต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี และจะมีการประกาศหมายเลขผู้มีสิทธิ์สอบในวันที่ 30 มกราคม 2560 และเปิดทดสอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
 
นายพงษ์ นะโส อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งในผู้ที่เดินทางมาสมัครไปทำงานที่ประเทศเกาหลี บอกว่า ต้องการไปทำงานที่ประเทศเกาหลีเพราะได้รับค่าจ้างสูงกว่าเมืองไทย อีกทั้งที่บ้านของตนก็ได้ทำการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรหมดแล้ว จึงตัดสินไปทำงานอย่างอื่น ซึ่งคาดหวังว่าค่าจ้างที่ได้รับจากประเทศเกาหลีนั้นจะทำให้ตนสามารถส่งเงินกลับมาบ้านได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท และมั่นใจว่าจะไม่ถูกหลอกไปทำงานเพราะเป็นการจัดส่งโดยภาครัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
 
เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ยืนข้อเรียกร้องเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล 2016
 
(19 ธ.ค. 59) เวลา 14.30 น. ที่ห้องโถงอาคารอำนวยการ ชั้น 1 หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รับข้อเรียกร้องเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล 2016 เนื่องด้วยในวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็น "วันแรงงานข้ามชาติสากล" (International Migrants Day) เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ.1999 เพื่อให้แรงงานข้ามชาติในประเทศต่างๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิทั้งสิทธิมนุษย์ชนและสิทธิเป็นแรงงาน ด้วยหลักการที่จะให้ทุกประเทศและทุกฝ่ายตระหนักถึงสิทธิของแรงงานข้ามชาติที่ต้องอพยพจากประเทศต้นทางไปทำงานยังประเทศปลายทางให้ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมจากรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว และเพศสภาพใด ๆ ทั้งนี้ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือประกอบด้วย องค์กรที่ทำงานส่งเสริมสิทธิด้านแรงงานกว่า 15 องค์กร นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ และตัวแทนคนงานในพื้นที่ ได้จัดการประชุมร่วมในวันที่ 18 - 19 ธันวาคม 2559 ณ สำนักบริการวิชาการ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประเมินและพิจารณาถึงสถานการณ์ด้านแรงงานข้ามชาติภายในพื้นที่ภาคเหนือและพบว่ายังมีปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานและการเข้าถึงสิทธิตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด เช่น แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับค่าจ้าง ตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันทำงาน วันหยุด วันลา ต่างๆ การทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด และมีปัญหาด้านสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน การเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคมเนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำลูกจ้างขึ้นทะเบียนประกันสังคม และบางส่วนมีปัญหาการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ เช่น กรณีรับเงินชราภาพที่ยังไม่มีมาตรการชัดเจนในการรับสิทธิ นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานข้ามชาติถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเดินทางและถูกเรียกรับผลประโยชน์ สำหรับการยืนข้อเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีดังนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้ศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจังหวัดเชียงใหม่ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของแรงงานข้ามชาติอย่างมีส่วนร่วมและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิต่างๆที่ควรจะได้รับตามกฏหมายแรงงานกำหนด เช่น การไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันทำงาน วันหยุด วันลาต่างๆ การทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด พร้อมทั้ง ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ทุกสามเดือน และการดำเนินคดีการละเมิดสิทธิแรงงาน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยมุ่งคุ้มครองสิทธิแรงงาน โดยไม่คำนึงถึงสถานะการเข้าเมืองของแรงงาน
 
 
แมนพาวเวอร์เผยทิศทางตลาดแรงงานที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะต้องปรับตัวในปี 2560
 
แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เผยรายงานระดับโลก Human Age 2.0 แรงงานแห่งอนาคต แนะเทรนด์ตลาดแรงงานปี2560 ที่เทคโนโลยีมีบทบาทในการทำงานมากขึ้น
 
นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยุคที่กำลังจะเกิดยุคใหม่ที่เรียกว่า Human Age โดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน แรงงานจะพัฒนาตนเอง มุ่งสู่ผู้นำแต่ไม่ยึดติดตำแหน่ง พร้อมเลือกสร้างสมดุลการงาน-ชีวิต จนกลายเป็นพื้นฐานของการปรับโครงสร้างแรงงานในอนาคต ซึ่งในยุค Human Age จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Human Age 1.0 การปรับตัวของโลกในสู่ศตวรรษที่ 20 โดยมีใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวขับเคลื่อน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และการก้าวกระโดดของการพัฒนาทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้มีทักษะความสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านพรมแดนและระยะทางเพราะเทคโนโลยีช่วยให้ทำงานที่ใดก็ได้ในโลก กำหนดวิธี เวลา และสถานที่ที่จะทำงานได้ในรูปแบบ “การทำงานเสมือนจริง” ผ่านการเชื่อมต่อของ อินเตอร์เน็ตและเครือข่ายสังคม
 
Human Age 2.0 คือ ยุคของการเกิดแรงงานแห่งอนาคต ทำให้เกิดมิติใหม่ในการทำงาน และเกิดคนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า มิลเลนเนียล ด้านของแรงงาน การขับเคลื่อนธุรกิจจะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเงินทุนอีกต่อไป แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยทุนมนุษย์แทน คือ ความรู้ความสามารถ ด้านนายจ้างจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้สร้างกำลังคนไปเป็นผู้บริโภคผลงานแทน ลูกจ้างมีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรมากขึ้น มีทางเลือกเป็นของตัวเอง แรงงานเองยังมีการพัฒนาฝีมือตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเทรนด์การพัฒนาตนเองที่เรียกว่า “ การเรียนรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ” เพราะฉะนั้นย่อมส่งผลให้รูปแบบการจ้างงานของนายจ้างเปลี่ยนไป การขึ้นค่าแรงจะถูกกำหนดด้วยทักษะ ไม่ใช่ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
 
นางสาวสุธิดา กล่าวอีกว่าสำหรับตลาดแรงงานในปีหน้าจะมีการมุ่งเน้นในด้านของการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีการปฏิรูปทิศทางการศึกษาที่จะเป็นไปตามความต้องการของแรงงาน สหภาพแรงงานอาจจะมีบทบาทน้อยลงในนอนาคต เพราะว่ารูปแบบการทำงานเปลี่ยน พร้อมกับนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ อาจจะทำให้แต่ละองค์กรอาจจะต้องปรับกลยุทธ์หาพนักงานแบบ outsource มาทำงานเพิ่มมากขึ้น
 
ทิศทางตลาดแรงงานที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะต้องปรับตัวในปี 2560 มีดังนี้
 
1. เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในโลกของการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว จนกลายเป็นชีวิตเดียว
2. การทำงานจะถูกเชื่องโยงด้วยอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นนำจนถึงปลายน้ำ
3. โลกของการทำงานจะเปลี่ยนไป ทำงานที่ไหน เวลาใดก็ได้
4. โลกของการทำงานและการผลิตจะถูกพัฒนาจาก กึ่งอัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติ และกลายเป็นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
5. การปฏิรูปทุนมนุษย์ ในภาคแรงงาน ภาคการศึกษา และองค์กร จะก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
6. แรงงานจะแข่งขันด้วยความคิด มากกว่ากำลังแรงงาน
7. ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการแบ่งปันและการร่วมมือกันจากกับปรับอัตราค่าจ้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำเพื่อเป็นการกระจายรายได้
8. ตลาดแรงงานจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของการศึกษา ทั้งในเรื่องของหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน
9. แรงงานที่ยังไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดแรงงาน อาทิ คนสูงอายุ แรงงานผู้หญิง คนพิการ
10. โครงสร้างแรงงานจะถูกปรับให้เป็นแรงงานทักษะสูงมากขึ้น
11. แรงงานจะเกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา เพื่อสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
12. ภาษาที่จำเป็นของโลกการทำงาน นอกจากภาษาที่2 อาจจะยังไม่พอต้องภาษาที่ 3 และภาษาเทคโนโลยี
13. ทิศทาง10 อุตสาหกรรมเป้าหมายมีแนวโน้มสดใส ทั้งปริมาณและคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต
14. อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นแต่ยังไม่ถึงภาวะขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม จากการที่ผู้ประกอบการอยู่ในช่วงรอดูทิศทางทั้งเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก
15. อำนาจการต่อรองของสหภาพแรงงานจะลดลงจากภาวะการจ้างงานที่เปลี่ยนไป
 
อีกทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ ไทยแลนด์ 4.0จะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ แต่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวช้าและประเทศไทยเองยังมีรูปแบบประชากรเป็นแบบลูกผสมตั้งแต่ 1.0, 2.0 และ 3.0
 
ประกอบกับอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยยังเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก นั่นคือ ในปัจจุบันเรามีประชากร 68 ล้านคน มีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 56% เท่ากับว่า ยังคงมีประชากรเกือบครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้อินเตอร์น็ต และยังต้องพัฒนาอีกในหลายๆด้าน อาทิ การศึกษา แรงงาน เทคโนโลยี แต่ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ก็อาจจะทำบางอาชีพหายไป
 
แต่ถึงกระนั้น ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ต่างก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ความยืดหยุ่นของการทำงาน เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าความทัดเทียมระหว่างนายจ้างและลูกจ้างจะเป็นกลไกลในการขับเคลื่อนองค์กร การหมั่นเพิ่มความรู้อยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่คนยุคมิลเลนเนียล ให้ความสนใจ อาทิ สมัยก่อนคนหนึ่งคนสามารถทำงานได้งานเดียว แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นตัวช่วยจนทำให้คนหนึ่งคนสามารถที่จะทำงานในหลายตำแหน่ง หลายสถานที่ และในเวลาเดียวกันได้ อาจจะกล่าวได้ว่า วิธีการใหม่ๆในการทำงานจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
 
"กทม." เร่งออกโบนัสให้ "ข้าราชการระดับต่ำกว่าอำนวยการต้น-ลูกจ้างประจำ-ชั่วคราว" ให้เป็นของขวัญปีใหม่ ส่วนข้าราชการระดับสูงจ่ายหลังปีใหม่
 
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้ลงนามเห็นชอบแนวทางการจ่ายเงินรางวัล หรือโบนัสประจำปี 2559 แก่ข้าราชการและบุคลากรของ กทม. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 90,000 คน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (กก.) เสนอ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่และเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของ กทม. ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีได้เห็นชอบอัตราการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี 2558 ในอัตรา 1 เท่า ซึ่งหน่วยงานสังกัด กทม. มีทั้งสิ้น 77 หน่วยงาน และส่วนราชการในสังกัดสำนักปลัดกทม. ที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับดีถึงระดับดีมาก คะแนน 4.473 - 4.908 คะแนน จะได้รับอัตราการจัดสรรเงินรางวัลระดับหน่วยงาน 1 เท่าของเงินเดือน ซึ่งพบว่าทุกหน่วยงานมีผลการประเมินอยู่ในระดับดีถึงระดับดีมาก
 
ส่วนการได้รับเงินรางวัลระดับบุคคลทั้งข้าราชการสามัญและลูกจ้างประจำนั้น จะมีการจ่ายตามผลประเมิน ดังนี้ ผลการประเมินดีเด่น ระดับคะแนน 90-100 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 1 เท่าของเงินเดือน ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับได้ ระดับคะแนน 81-89 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.95 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 71-80 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.90 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 60-70 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.85 เท่าของเงินเดือน ส่วนผลการประเมินต้องปรับปรุง ระดับคะแนน ต่ำกว่า 60 คะแนน จะไม่ได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล ขณะที่ลูกจ้างชั่วคราว จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.75 เท่าของเงินเดือน เนื่องจากลูกจ้างชั่วคราวมีภาระงานและความรับผิดชอบไม่เท่ากับข้าราชการและลูกจ้างประจำ
 
สำหรับผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานสังกัดกทม. ประจำปีงบประมาณ 2559 พบว่า คะแนนสูงสุดในระดับสำนัก 3 อันดับ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) 4.886 คะแนน สำนักงานเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 4.858 คะแนน และสำนักปกครองและทะเบียน 4.843 คะแนน ในส่วนของสำนักงานเขต พบว่า คะแนนสูงสูด 3 อันดับ 1.สำนักงานเขตภาษีเจริญ 4.908 คะแนน 2.สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ 4.903 คะแนน และ3.สำนักงานเขตบางบอน 4.900 คะแนน
 
ด้านนางวรรณวิไล พรหมลักขโณ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดทุกหน่วยงานให้เบิกจ่ายเงินโบนัส ประจำปี 2559 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ โดยเบื้องต้นจะจ่ายเงินโบนัสให้กับข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ประเภทอำนวยการต้นลงไป รวมทั้งลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว ก่อน ส่วนข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญประเภทอำนวยการสูง บริหารต้นและบริหารสูง จะจ่ายเงินโบนัสในเดือนม.ค.60 อย่างไรก็ตามคาดว่าจะใช้งบประมาณในการจ่ายโบนัส ประจำปี 2559 จำนวน 1,600 ล้านบาท
 
 
กพร.ปช. วางแผนพัฒนากำลังคน 5 ปี ทั้ง 76 จังหวัด ใน 19 อุตสาหกรรมหลัก มีความต้องการแรงงาน 5,021,040 คน 
 
วันที่ 21 ธ.ค. 59 นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แถลงหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 2/2559 โดยมี พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน และทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมประชุม ว่า มีการพิจารณาแผนพัฒนากำลังคนระดับจังหวัด 76 จังหวัด พ.ศ. 2560-2564 และแผนแม่บทระบบสมรรถนะด้านแรงงานตามความต้องการของประเทศ ทั้งสองแผนจะเป็นแบบแผนในการพัฒนากำลังคนในด้านเชิงปริมาณและคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล แผนพัฒนากำลังคน 5 ปี (2560-2564) ทั้ง 76 จังหวัด ใน 19 อุตสาหกรรมหลัก มีความต้องการแรงงาน 5,021,040 คน แยกเป็นภาคการศึกษา ดำเนินการ 1,017,656 และหน่วยงานด้านการพัฒนากำลังคนดำเนินการอีก 4,003,384 คน ซึ่งในปี 2560 วางแผนพัฒนา 969,741 คน โดยประเภทอุตสาหกรรมและบริการ ที่ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 เกษตรกรรม ประมงและปศุสัตว์ อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการผลิต อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อันดับที่ 4 ท่องเที่ยวและบริการ และอันดับที่ 5 ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
 
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาแผนแม่บทระบบสมรรถนะแรงงาน ตามความต้องการของประเทศ พ.ศ. 2560-2564 เพื่อให้ระบบสมรรถะของประเทศมีประสิทธิภาพ ตามความต้องการที่แท้จริงของตลาดแรงงาน ผ่านกระบวนการทำงานแบบบูรณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน สามารถเชื่อมโยงมาตรฐานฝืมือแรงงาน มาตรฐานอาชีพ และกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงแรงงานสามารถเทียบโอนประสบการณ์เพื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ด้วย
 
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ในการพัฒนาทักษะแรงงาน ก.แรงงาน ได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีชั้นสูง 12 แห่งนำร่อง เพื่อแสดงให้เห็นจุดเน้นของการพัฒนาทักษะในแต่ละพื้นที่ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เน้นการพัฒนาทักษะด้านการท่องเที่ยวและบริการ ส่วนจังหวัดสมุทรปราการและระยอง มีจุดเน้นในเรื่องยานยนต์และสิ้นส่วน ซึ่งจะมีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA: Manufacturing Automation and Robotic Academy) โดยมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน ทั้งที่อยู่ในสถานประกอบกิจการหรือแรงงานทั่วไป ให้สามารถพัฒนาแรงงานทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
 
ทั้งนี้ ในปี 2560 กพร.ตั้งเป้าหมายดำเนินการด้านเทคโนโลยีชั้นสูง จำนวน 19,864 คน และตั้งแต่ 1 ตุลาคม–7 ธันวาคม 2559 ดำเนินการแล้วกว่า 4,000 คน ทั้งการฝึกยกระดับฝืมือแรงงานและฝึกเตรียมเข้าทำงาน ผลสำรวจการมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากเข้าฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน จากผู้ตอบแบบสำรวจ 486 คน พบว่า มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนเพิ่มขึ้น 228 บาท รวมรายได้เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นต่อปี 1,332,564 บาท นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ กพร. ดำเนินการพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับแรงงาน ซึ่งได้ตั้งเป้าที่จะดำเนินการในปี 2560 นี้ ไม่น้อยกว่า 20,000 คน
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยก 'สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ' รูปธรรมความสำเร็จ 'ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม'

$
0
0

เปิดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 9 ประธานยกเป็นรูปธรรมความสำเร็จของแนวทางประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เหตุเป็นพื้นที่กลางให้ทุกฝ่ายเข้ามาปรึกษาหารือในประเด็นต่างๆ ร่วมกันรับผิดชอบ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

21 ธ.ค. 2559 รายงานขาวจาก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) แจ้งว่า วันนี้ ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 9 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ประธานกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2559 เป็นประธานเปิดการประชุม กล่าวถึงความสำคัญของกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติว่า คือ หนึ่งในรูปธรรมความสำเร็จของแนวทางประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งหมายถึงการเป็นพื้นที่กลางให้ทุกฝ่ายเข้ามาปรึกษาหารือในประเด็นต่างๆ ร่วมกันรับผิดชอบ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 9 พ.ศ. 2559 กำหนดแนวคิดหลักว่า “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่ธรรมนูญระบบสุขภาพ และสุขภาวะที่ยั่งยืน” โดยได้นำหลักคิดของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมดลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 มาใช้เป็นแนวทางร่วมกับธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่  2 พ.ศ.2559   โดยมีเป้าหมายร่วมไปสู่การสร้างสุขภาวะที่ดีและยั่งยืน

“สมัชชาสุขภาพในครั้งที่ 9 เป็นผลของความสำเร็จที่สืบเนื่องมาจากการมี พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอย่างเป็นระบบ โดยมีกฎหมายรองรับ เปิดเป็นพื้นที่กลางให้เกิดการปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” นพ.ศุภกิจกล่าว

สอดคล้องกับ ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์  ประธานสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม องค์ปาฐกกล่าวปาฐกถาเน้นถึงความสำคัญของสมัชชาสุขภาพในฐานะเครื่องมือเพื่อแก้ไขความป่วยไข้ของสังคมตามแนวทางของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งการถือกำเนิดของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเป็นเสมือนทางออก เป็นยารักษาโรคให้กับประชาชนในประเทศ สามารถฉวยใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ด้วยตนเอง อย่างเป็นประชาธิปไตย

“สมัชชาสุขภาพแห่งชาติถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ ดังนั้นให้ถือโอกาสนี้สร้างประชาธิปไตยที่กินได้เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืน” ชัยวัฒน์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปลัดแรงงาน ชู 'โมเดลแรงงานสัมพันธ์ 4.0' นายจ้าง ลูกจ้าง สัมพันธ์แบบหุ้นส่วน สานดวงใจเป็นหนึ่งเดียว

$
0
0

21 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงานแจ้งว่า ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการ "นายจ้าง ลูกจ้าง ร่วมสานดวงใจเป็นหนึ่งเดียว" พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบกิจการในจังหวัดปทุมธานี ณ ห้องประชุม บริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานีวันนี้ (21 ธ.ค.59) โดยกล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ผ่านมานั้น ภาพที่พวกเราเห็นอยู่เป็นประจำ คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ทุ่มเททรงงานหนักเพื่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ฝากความห่วงใยพี่น้องผู้ประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้างแรงงานทุกคน ขอให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ช่วยกันอดทน อดกลั้น แล้วแปลงเอาความโศกเศร้าเสียใจมาเป็นพลังในการทำความดีทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด และร่วมมือร่วมใจกันในการเดินตามรอยพระยุคลบาท เพื่อสืบสานพระราชปณิธานที่มุ่งหวังให้ชาติ บ้านเมืองมีความมั่นคง สามัคคี และมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

ม.ล.ปุณฑริก ปล่าวด้วยว่า กระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับคนทำงานและสถานประกอบกิจการ ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยห้วงปีที่ผ่านมาเราได้ดำเนินโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีแรงงานผ่านการทดสอบทักษะฝีมือแล้วกว่าห้าหมื่นคน มีการประกาศบังคับใช้ค่าจ้างแรงงานตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้วใน 55 สาขาวิชาชีพ และกำลังจะประกาศเพิ่มอีก 42 สาขาวิชาชีพในเร็ววันนี้ ในส่วนของการลดการประสบอันตรายของผู้ใช้แรงงานตามโครงการ Safety Thailand จากความร่วมมือของพวกเรา ทำให้สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุจาก 8.78 เหลือ 7.96 คนในหนึ่งพันคน นอกจากนี้ยังได้ปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงาน โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งมีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์มากกว่า 13 ล้านคน คิดเป็นเงินมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท

สำหรับในเรื่องของแรงงานสัมพันธ์นั้น ม.ล.ปุณฑริก กล่าวว่า ขอให้พวกเรามีความสมานฉันท์ สามัคคีกัน ตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานไว้ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2530 มีใจความว่า “ความสามัคคีนี้เป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ชนอยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมี ต้องถนอมรักษา และต้องนำมาใช้อยู่สม่ำเสมอ หากแต่ละฝ่ายเข้ามาร่วมกันทำงานด้วยความตั้งใจดี ด้วยความสามัคคี ความรู้ความสามารถ และด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ งานก็สำเร็จสมบูรณ์ งดงามตามประสงค์ทุกอย่าง”ฝากทุกคนได้ตระหนักและน้อมนำมาใช้ในการทำงานร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อลดข้อขัดแย้งภายในสถานประกอบกิจการ ตามโมเดลแรงงานสัมพันธ์ 4.0 นายจ้าง ลูกจ้าง สร้างสรรค์แรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อธุรกิจและคุณภาพชีวิตของลูกจ้างแรงงานแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อการลงทุนโดยรวมของประเทศในระยะยาวอีกด้วย 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักการเมืองคือใคร จะควบคุมได้อย่างไร

$
0
0

 


ในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์คนหนึ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กๆเมื่อได้ยินบรรดาผู้ทรงอำนาจในปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติที่มักจะย้ำอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่"นักการเมือง"ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ก่อนที่จะอธิบายว่าทำไมผมจึงกล่าวว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมขอเริ่มจากความหมายของคำว่า "การเมือง" ก่อนว่าแท้จริงแล้วมันมีความหมายว่าอย่างไร

คำว่า “การเมือง”นั้นมีผู้ให้ความหมายไว้หลายต่อหลายคน ทั้งนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ แต่ที่เป็นที่ยอมรับว่าสามารถสื่อความหมายได้ใกล้เคียงที่สุดก็คือแนวคิดของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ นักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันที่ได้กล่าวไว้ว่า “การเมือง คือการได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร” ฉะนั้น การเมืองจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่มีการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมเล็กๆหรือในหมู่เพื่อนฝูงญาติมิตร

เมื่อหันมาพิจารณาความหมายของ “นักการเมือง”ที่มีความหมายแคบลงแล้วจะเห็นได้ว่ามีการให้ความหมายไว้หลายๆความเห็นเช่นกัน โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ได้ให้ความหมายไว้ว่า"นักการเมือง น.ผู้ฝักไฝ่ในทางการเมือง,ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรี  สมาชิกรัฐสภา" ส่วน Cambridge Dictionary อธิบายว่า Politician – a member of a government or law-making organization(นักการเมือง – สมาชิกของคณะรัฐบาลหรือขององค์การที่ตรากฎหมาย(ซึ่งก็คือสภานิติบัญญัติหรือรัฐสภานั่นเอง)

ยิ่งชัดขึ้นเมื่อเรามาดูเนื้อความที่มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ.2535 ได้กำหนดตำแหน่งเหล่านี้ว่าเป็นข้าราชการการเมือง คือ

1.นายกรัฐมนตรี 2.รองนายกรัฐมนตรี 3.รัฐมนตรีว่าการกระทรวง 4.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 5.รัฐมนตรีว่าการทบวง 6.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง 7.รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง 8.ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 9.ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี 10. ที่ปรึกษารัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  11.เลขาธิการนายกรัฐมนตรี 12.รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง 13.โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 14. รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 15.เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 16.ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 17.เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 18.ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 19.เลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวง 20.ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวง  

จากคำนิยามเบื้องต้นสามารถขยายความให้เข้าใจได้โดยง่ายว่า “นักการเมืองคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะและการวินิจฉัยสั่งการซึ่งหมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งวินิจฉัยสั่งการในรัฐบาลไม่ว่าจะด้วยวิธีการเลือกตั้ง การสืบทอด การรัฐประหาร การแต่งตั้ง หรือวิธีการอื่นใดและรวมถึงผู้ที่มีหน้าที่ในการตรากฎหมายนั่นเอง”

ฉะนั้น การที่ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติ ฯลฯ ในปัจจุบันที่มักจะพูดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่นักการเมืองนั้นจึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติก็คือนักการเมืองตามความหมายทางวิชาการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเช่นกัน เพียงแต่แตกต่างกันในวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของนักการเมืองที่เข้าใจว่าตนเองไม่ได้เป็นเท่านั้นเอง

การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในโลกนี้นั้นมีได้หลายวิธี ที่เป็นที่นิยมและได้รับการเชื่อถือมากก็คือการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นการเลือกตั้งทางตรงหรือการเลือกตั้งทางอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆจะบัญญัติไว้ การเลือกตั้งทางอ้อมก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน เช่น การไปเลือกคณะ ผู้เลือกตั้ง(electoral college)เพื่อไปเลือกประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือการเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้ไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาจำนวนกึงหนึ่งของฝรั่งเศส ฯลฯ

นอกจากการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการเลือกตั้งแล้วก็ยังมีอีกหลายวิธี เช่น ในประเทศสังคมนิยมก็ใช้วิธีการคัดเลือกผ่านสภาประชาชนหรือแบบบ้านเราในปัจจุบันก็คือการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการรัฐประหาร ซึ่งเมื่อทำรัฐประหารสำเร็จก็มีการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อมาบริหารประเทศและแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติมาเพื่อออกกฎหมาย หรือไม่เช่นนั้นก็ตั้งโดยตรงเลยเช่นในประเทศที่ยังใช้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในบางประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น

โดยทั่วไปแล้วคนเรามันจะติดภาพว่านักการเมืองนั้นจะเป็นผู้ที่สังกัดพรรคการเมืองในระดับชาติหรือกลุ่มการเมืองในระดับท้องถิ่น และมีแนวความคิดเหมือนกันทั่วโลกว่า “นักการเมืองนั้นต้องเป็นคนเลว พูดปดเชื่อถือไม่ได้ ทุจริตคอร์รัปชัน” แต่ในความเห็นของผมนั้นนักการเมืองก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ข้าราชการ พระสงฆ์องค์เจ้า พ่อค้านักธุรกิจ ฯลฯ ที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีขาวมีดำ มีสีเทาๆ เพียงแต่ว่าอาชีพนักการเมืองนั้นดูเหมือนหาคนดีได้ยากหน่อยเท่านั้นเองเหตุก็เนื่องเพราะนักการเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจและอำนาจนั้นเป็นสิ่งเสพติดและมักจะทำให้เสียคนในที่สุด แต่ถึงแม้ว่าจะหาคนดีได้ยากแต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีเลย เพราะในแต่ละรัฐหรือในแต่ละประเทศก็มีวีรบุรุษวีรสตรีหรือรัฐบุรุษที่เคยเป็นนักการเมืองตามความหมายที่ให้ไว้ข้างต้นเช่นกัน

ขึ้นชื่อว่า “นักการเมือง”นั้นไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองไทยหรือของต่างประเทศก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก เพราะ “นักการเมือง”ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยชั้นแนวหน้าทั้งหลายก็ถูกลงโทษมีให้เห็นอยู่เสมอๆ เหตุเนื่องเพราะนักการเมืองก็คือ “คน”ย่อมมีกิเลสตัณหา แต่ระบบการตรวจสอบที่ดีและระบบยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพต่างหากที่จะคอยควบดูแลและลงโทษผู้ที่ประพฤติไม่อยู่ในร่องในรอย แต่หากประเทศใดก็ตามไม่มีระบบการตรวจสอบที่ดี มีการเลือกปฏิบัติ ลูบหน้าปะจมูก แม้ว่าจะออกกฎกติกามาดีขนาดไหนก็ตามก็ยากที่ควบคุมลงโทษนักการเมืองที่ไม่อยู่ในร่องในรอยนั้นได้ครับ

 


หมายเหตุ:เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลาโหม วางแนวพัฒนาอุตฯป้องกันประเทศเป็นรูปธรรมในปี 60 เล็งตั้งโรงงานผลิตอาวุธ

$
0
0

<--break- />21 ธ.ค. 2559 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ที่ห้องแซฟโฟร์ 119 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เป็นรูปธรรมในปี 2560 โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้แทนผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเหล่าทัพ ร่วมถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดย พล.อ.อุดมเดช กล่าวเปิดสัมมนาในตอนหนึ่งว่า การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เป็นรูปธรรมในปี 2560 เป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อสนองตอบนโยบายผู้บังคับบัญชาชั้นสูงที่ต้องการผลักดันการดำเนินอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นรูปธรรมชัดเจน ทั้งนี้ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เกี่ยวข้องจะได้นำข้อมูลจากการสัมมนาในครั้งนี้ไปศึกษา และกลับมาระดมความคิดที่เป็นประโยชน์ตรงตามวัตถุประสงค์และการมุ่งหวังในการสัมมนา

พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า สำหรับงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้มีนโยบาย สั่งการ เน้นย้ำให้เกิดรูปธรรมปี 2560 นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้สามารถวิจัยพัฒนา มุ่งไปสู่การผลิตในการใช้ในราชการและขายในเขิงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนงานด้านความมั่นคงและลดภาระงบประมาณในการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในปี 2560 นี้ มี 3 ประเด็นหลักคือ 1.การบูรณาการการผลิต และการรวมการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ผลิตในกระทรวงกลาโหม และกำหนดรายการยุทโธปกรณ์ที่จะให้ภาคเอกชนภายในประเทศเป็นผู้ผลิต 2.การเสนอรายการยุทโธปกรณ์ที่กองทัพได้รับต้นแบบไปวิจัยและทดลองใช้งานและสำเร็จตามวัตถุประสงค์และกำหนดเป็นรายการที่จะจัดหาจากในประเทศ ในโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพหรือในแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ 3.การร่วมกำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรกลางที่เป็นผู้กำหนดและรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ

“นอกจากนี้ มีอีกเรื่องสำคัญ การสัมมนาเพื่อแสวงหาแนวทางครั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต้องการได้ข้อเสนอแนะแนวทางดำเนินการต่อการตั้งโรงงานประกอบหรือผลิตชิ้นส่วนอไหล่ยุทโธปกรณ์ที่สำคัญร่วมกับมิตรประเทศที่เรามีแผนจัดซื้อยุทโธปกรณ์นั้นมาประจำการในกองทัพของเรา โดยอาจศึกษาจากวิธีการที่คู่มิตรประเทศได้ทำมาแล้วเป็นต้น” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า ผลการสัมมนาในครั้งนี้และครั้งต่อไปในวันที่ 25 มกราคม 2560 ต้องเห็นผลรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารนำผลการสัมมนาเรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อขออนุมัติให้ทุกหน่วยของกระทรวงกลาโหมได้ปฏิบัติตามเคร่งครัด เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศประสบความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม

หลังจากนั้น พล.อ.อุดมเดช ให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ต้องการให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีความก้าวหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในหลายๆเรื่องเข้าสู่การผลิตยุทโธปกรณ์ใช้เองในกองทัพสำเร็จ เช่น ยูเอวี อุปกรณ์ด้านการสื่อสาร เครื่องตัดสัญญาณ การทำให้ปืนใหญ่ขนาด 105 มิลลิเมตร สามารถเคลื่อนที่ได้ เป็นต้น แต่ยังขาดความชัดเจนเรื่องอื่นๆต้องปรับปรุงสอดคล้องกับการพัฒนามีความก้าวหน้ามากขึ้น เช่น ระบบต่างๆ ต้องเชื่อมต่อเพื่อผลิตใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ หรือเป็นประโยชน์ส่งออกขาย นำงบประมาณเข้าประเทศของเรา

ต่อกรณีการตั้งโรงงานประกอบชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์ในไทยนั้น พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า มีแนวโน้มจะจัดตั้งโรงงาน เนื่องจากเรามีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต่างๆ หลายอย่าง และจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วน หากเราสามารถร่วมกับมิตรประเทศและผลิตเองได้ ค่าใช้จ่ายลดลงและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และหากผลิตได้มากก็ส่งออกจำหน่ายเพื่อได้งบประมาณกลับมา และยังส่งเสริมการวิจัยพัฒนาในส่วนของกองทัพเองรวมถึงเอกชน

สำหรับคำถามถึงปัจจุบันยุทโธปกรณ์ของประเทศจีนที่ใช้ในกองทัพมีจำนวนเท่าไหร่และมีแนวโน้มจัดซื้อเพิ่มอีกหรือไม่ ถึงต้องตั้งโรงงานงานผลิตชิ้นส่วนนั้น รมช.กลาโหม กล่าวว่า มีทั้งที่เราซื้อมาแล้ว แต่การจัดซื้อเพิ่มเติมนั้นเป็นเรื่องแผนพัฒนาของแต่ละเหล่าทัพ ว่าต้องการอะไร ต้องพิจารณาดูความเหมาะสม ส่วนจะซื้อจากประเทศไหนนั้น ต้องมาดูประเทศไหนที่ผลิตมาแล้วมีขีดความสามารถสูง คุ้มค่างบประมาณที่ต้องเสีย และมีการคัดเลือก จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นประเทศไหน เพราะเหล่าทัพพิจารณาเอง ในส่วนกระทรวงกลาโหมก็จะดูความเหมาะสม

"มีความเป็นไปได้ว่ายุทโธปกร์ของประเทศใดที่เราซื้อมาเป็นจำนวนมาก และจำเป็นต้องมีชั้นส่วนอะหลั่ยเอง ก็ควรจะทำได้เอง และการดำเนินการต้องร่วมกับมิตรประเทศที่เรานำยุทโธปกรณ์เข้ามา ว่าจะสนับสนุนเกื้อกูลอย่างไรที่ทำให้เราสามารถผลิตได้เอง ส่วนพื้นที่ตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนนั้น อยู่ในรายละเอียดการสัมนาครั้งนี้ ต้องหารือกัน เนื่องจากกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพมีความพร้อม มีพื้นที่ทั้งในกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศตั้งโรงงาน ไม่ว่าจะเป็น นครสวรรค์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี  ต้องดูความชัดเจนอีกครั้ง" พล.อ.อุดมเดช กล่าว  

พล.อ.อุดมเดช กล่าวอีกว่า ต้องพิจารณาพื้นที่อื่นๆ ด้วยกรณีต้องร่วมกับภาคเอกชน ต้องดูความเหมาะสมว่าเป็นพื้นที่ใด ต้องพูดคุยกันเพื่อให้ได้ข้อสรุป และในปี 2560 นี้ต้องการให้ผลิตบางอย่างใช้เองอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาดำเนินการไปแล้ว แต่อยู่ระหว่างการตอบรับจากเหล่าทัพถึงประสิทธิภาพการใช้งาน จะได้เข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบต่อไป
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดร่าง พ.ร.บ.คอมฯฉบับผ่าน สนช.-เครือข่ายพลเมืองเน็ตชี้ยังมีกม.ด้านสิทธิข้อมูลข่าวสารให้จับตาอีก

$
0
0

มาแล้ว ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับผ่าน สนช. เครือข่ายพลเมืองเน็ตชี้ยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในข้อมูลข่าวสารที่ต้องจับตาต่อ ด้านกลุ่มพลเมืองต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ฯ ยันโจมตีเว็บรัฐบาลต่อ ขี้ใช้ม.44 คว่ำพ.ร.บ.คอมฯ

21 ธ.ค. 2559 เว็บไซต์สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เผยแพร่ ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นสมควรประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนน 168 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับนี้ มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอต่อ สนช. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2559 ในระหว่างการอภิปรายวาระ 2 ของ สนช.เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ดังนี้

- ตัดคำว่า "การบริการสาธารณะ" ออกจากมาตรา 12 และ 14 (2) ด้วยเหตุผลว่ามีคำอื่นที่ครอบคลุมความหมายอยู่แล้ว
- ยุบรวมมาตรา 20 กับมาตรา 20/1 เข้าด้วยกัน
- เปลี่ยนสัดส่วน "คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลกลาง" ในมาตรา 20/1 [เดิม] จาก 5 คน (รัฐ 3 เอกชน 2) เป็น 9 คน (รัฐ 6 เอกชน 3)

ด้านเครือข่ายพลเมืองเน็ต ขอบคุณผู้ร่วมแคมเปญคัดค้านการผ่านร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ผ่าน change.org ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 370,000 ชื่อและว่า การรณรงค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการติดตามตรวจสอบกฎหมายและมาตรการการควบคุมข้อมูลข่าวสาร อันเนื่องมาจากการเสนอร่างกฎหมาย “เศรษฐกิจ/ความมั่นคงดิจิทัล” 10 ฉบับ เมื่อปลายปี 2557/ต้นปี 2558 หลังจากร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ผ่านไปแล้ว เรายังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในข้อมูลข่าวสารของพวกเราเองต้องติดตามต่อไป

- ระยะสั้น 1: ติดตามตรวจสอบ “กฎหมายลูก” หรือประกาศกระทรวงดิจิทัล ที่จะใช้กับมาตรา 11, 15, 17/1, และ 20 โดยเฉพาะประกาศตามมาตรา 15 และ 20 ที่จะเกี่ยวกับการตรวจสอบ ระงับ และลบข้อมูลโดยตรง

- ระยะสั้น 2: ติดตามตรวจสอบ ร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ คือ ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งใกล้จะเข้าสู่ สนช.ในเดือนมกราคม และอีกฉบับคือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ที่ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการพ.ร.บ.คอม ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรา 20 (3) ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ใหม่

- ระยะกลาง 1: หลังรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้และประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ติดตามว่าในระหว่างให้มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประชาชนจะมีเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเรื่องนโยบายของพรรคการเมืองมากน้อยเพียงใด จะมีการใช้กฎหมายเช่นมาตรา 14 (1) ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือกฎหมายอื่นๆ มากดดันหรือปิดกั้นข้อมูลจนทำให้ประชาชนไม่สามารถมีข้อมูลที่รอบด้านในการตัดสินใจลงคะแนนหรือไม่

- ระยะกลาง 2: หลังรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้และมีรัฐบาลใหม่แล้ว หากต้องการจะเสนอแก้ไขกฎหมาย เราสามารถทำได้ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องมีการขอเอกสารแสดงตัวตนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2559 ฉบับลงประชามติ มาตรา 133 บัญญัติไว้ว่า "มาตรา 133 ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ ก็แต่โดย
(1) คณะรัฐมนตรี
(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจ านวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคน
(3) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (2) หรือ (3) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี"

- ระยะยาว ร่วมปฏิรูปกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสารของประชาชน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโทรศัพท์และโทรคมนาคม กฎหมายเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ กฎหมายคุ้มครองนักข่าวและผู้เปิดเผยความไม่ชอบมาพากล (whistleblower)

ขณะเดียวกัน กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า จะยกระดับการโจมตีเว็บไซต์ของรัฐบาลยิ่งกว่าเดิม เพราะข้อเสนอไม่ได้รับการตอบสนอง พร้อมชี้ว่า ทุกอย่างจะหยุดลง หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 ยกเลิกมติการประชุม สนช.วันที่ 16 ธ.ค. และยุติกระบวนการยกร่างกฎหมายนี้เท่านั้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟีเจอร์ใหม่ Google Maps เอื้อผู้ใช้วีลแชร์ค้นข้อมูลการเข้าถึงสถานที่

$
0
0

Google Maps เปิดเผยว่าจะปล่อยฟีเจอร์ข้อมูลการเข้าถึงสำหรับคนใช้วีลแชร์ หลังแอปฯ สามารถบอกแผนที่ วิธีเดินทางและสถิติข้อมูลต่างๆ เชื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ทั้งคนพิการ-คนแก่-ครอบครัว

22 ธ.ค.2559 เว็บไซต์ theverge เปิดเผยฟีเจอร์ใหม่ของ Google Mapsโดยหลังจากที่กูเกิลใช้เวลาเก็บข้อมูลสถานที่ต่างๆ กว่าหนึ่งปี ข้อมูลที่มีก็เพียงพอที่จะอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนที่มีความต้องการพิเศษ อย่างผู้ใช้วีลแชร์ ครอบครัวของผู้สูงอายุหรือแม้แต่คนที่ใช้ไม้เท้า เพื่อหาข้อมูลการเข้าถึงด้วยวีลแชร์ในสถานที่ต่างๆ

Google Maps เป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานไอโฟนกว่าร้อยละ 70 ฟังก์ชันของแอปพลิเคชันจะแสดงข้อมูลจราจร จับเวลาการเดินทาง บันทึกการเดินทาง รวมทั้งแสดงสถิติต่างๆ ฯลฯ ให้กับผู้ใช้งาน และอีกไม่นานนี้ Google Mapsจะเริ่มต้นการแสดงข้อมูลพื้นที่ที่เข้าถึงได้เมื่อใช้วีลแชร์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ ครอบครัวหรือคนดูแลคนแก่ที่ต้องใช้วีลแชร์ โดยฟีเจอร์นี้ จะแสดงพื้นที่ที่คนใช้วีลแชร์สามารถเข้าถึงได้ โดยการคลิกที่ประเภท ตามด้วยการกดปุ่ม ‘สิ่งอำนวยความสะดวก’ ทั้งนี้ ฟีเจอร์นี้ยังไม่เปิดให้บริการสำหรับพื้นที่ใดๆ

ภาพจาก Google Maps now shows if a location is wheelchair accessible

ริโอ อากาซากะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Google Drive นำเอาเวลาจากกฎ 20% ซึ่งคิดขึ้นโดยลารี่ เพจและเซอจี เบรน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล ในปี 2004 ซึ่งเป็นแคมเปญที่ให้พนักงานใช้เวลาร้อยละ 20 ของเวลางานเพื่อคิดงาน ทำงานหรือสร้างโปรเจคใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อกูเกิล แคมเปญนี้ทำให้พนักงานหลายคนมีความคิดสร้างสรรค์และตื่นตัวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ เห็นได้จากผลงาน เช่น Google News และ Gmail

อากาซากะ ใช้เวลาตลอดช่วงปีที่ผ่านมากับทีมงานเพื่อสร้างและพัฒนาไกด์ไลน์ในแอปพลิเคชัน เขาสะสมและเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงจากผู้ใช้งานฟังก์ชัน โลคัล ไกด์ (Local Guides)ซึ่งเป็นชุมชนที่ให้ผู้ใช้งานที่มีบัญชีกูเกิลเข้ามาแชร์การใช้งานในพื้นที่ต่างๆ ที่ตัวเองไป โดยมีข้อแม้ว่า หากใครเข้าร่วมฟังก์ชันนี้กูเกิลก็จะเพิ่มพื้นที่ใน  Google Drive ให้ฟรี และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ฟังก์ชันการเข้าถึงนี้ก็เต็มไปด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของผู้ใช้งาน หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมกูเกิลซึ่งเป็นองค์กรที่มีจุดมุ่งหมายให้คนทุกคนเข้าถึงได้ ทำไมข้อมูลจึงยังไม่เอื้อให้กับผู้ใช้วีลแชร์ อากาซากะกล่าวว่า แม้การเข้าถึงเป็นกุญแจหลักของกูเกิล แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การเข้าถึงก็ยังมักถูกทำขึ้นเมื่อโดนบังคับด้วยกฎหมาย

โดยปกติแล้ว อากาซากะทำงานเป็นผู้จัดการในแผนก Google Drive และการสำรองไฟล์ แต่ในอีกฝากหนึ่ง  เขาก็มีภาระที่หนักอึ้งในการทำให้  Google Mapsมีคุณลักษณะเรื่องการเข้าถึง

เขาและทีมจำนวน 5-10 คน ได้เสนอการทำไกด์ไลน์การเข้าถึงสำหรับคนที่ต้องการข้อมูลพิเศษแก่ทีมงานกูเกิล และได้รับความเห็นชอบที่จะทำ โดยใช้ฐานข้อมูลจากโลคัล ไกด์ที่ผู้ใช้งานร่วมตอบคำถามในที่ที่พวกเขาไป ซึ่งมีข้อมูลตั้งแต่ราคาถึงเสียงรบกวน ตลอดปีที่ผ่านมา  คำถามเกี่ยวกับการเข้าถึงถูกเพิ่มเข้าไปในแบบสอบถาม และมีผู้ตอบมันกว่าล้านคำตอบ จนกลายเป็นฐานข้อมูลอันมหาศาล แม้ดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย แต่สำหรับผู้ใช้งานวีลแชร์แล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

 

แปลและเรียบเรียงจาก

http://www.theverge.com/2016/12/15/13968054/google-maps-twenty-percent-wheelchair-accessible

http://www.businessinsider.com/google-maps-is-now-wheelchair-friendly-accessible-20-percent-time-employee-project-2016-12

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>