เจรจา 'พนง.-บ.ฟูจิคูระ' ได้ข้อตกลง สหภาพฯ ชี้แจง 18 ธ.ค. ไม่ขอมตินัดหยุดงานแล้ว
ยื่น 6 ข้อเสนอ 'วันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล' มุ่งลดนายหน้า-ขจัดค้ามนุษย์-คุ้มครองสิทธิ์
เครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติแถลงข่าว "ไปไม่สุด หยุดไม่ได้ ไกลเกินถอย" นำเสนอสถานการณ์การเคลื่อนย้ายถิ่นสากลปี 2559 พร้อมเสวนาแนวทางจัดการคนย้ายถิ่น แรงงานข้ามชาติ และผู้อพยพลี้ภัย ยื่น 6 ข้อเรียกร้องต่อรัฐไทย ให้ลดขั้นตอนการดำเนินการในการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อลดปัญหานายหน้า และการค้ามนุษย์ พร้อมเร่งแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานทำงานในบ้านให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ขณะเดียวกัน เสนอแก้ไขนิยามคำว่า “แรงงานบังคับ” ให้รวมการยึดพาสปอร์ตของแรงงานไว้ด้วย ชง วิธีคัดแยกผู้ลี้ภัยตั้งแต่ต้นทาง อย่ากักขังรวมกับความผิดประเภทอื่นเพื่อประโยชน์ในการจัดการของรัฐ แนะ ออกวีซ่ามนุษยธรรมแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยและโรฮิงญา
16 ธ.ค. 2559 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายองค์กรทื่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติได้จัดแถลงข่าวการนำเสนอรายงานสถานการณ์การเคลื่อนย้ายถิ่นสากล ปี 2559 และเสวนาในหัวข้อ แนวทางการจัดการคนย้ายถิ่น แรงงานข้ามชาติ และผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทย “ไปไม่สุด หยุดไม่ได้ ไกลเกินถอย” เนื่องในวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากลประจำปี พ.ศ. 2559 โดยมีตัวแทนองค์กรที่ทำงานด้านคนย้ายถิ่น แรงงานข้ามชาติ และผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทยเข้าร่วมเป็นวิทยากร
5 สถานการณ์เด่นย้ายถิ่นข้ามชาติประจำปี 2559
นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ สรุป 5 สถานการณ์เด่นการย้ายถิ่นข้ามชาติประจำปี 2559 ดังนี้
1. นโยบายการจัดระบบแรงงานข้ามชาติ ด้วยการผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติ และมีบัตรอนุญาตทำงานชั่วคราว (บัตรชมพู) มารายงานตัวเพื่อขัดทำทะเบียนประวัติขออนุญาตทำงานได้
2. ไทยได้เลื่อนขั้นจากรายงานด้านการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาไปเป็นบัญชีประเภท 2 ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ แต่การดำเนินการในปัจจุบันยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วน
3.การจัดการผู้อพยพชาวโรงฮิงญา และผู้ย้ายถิ่นเพื่อแสวงหาที่ลี้ภัยของประเทศไทย ที่ไทยยังไม่มีมาตรการอื่นใด นอกจากการกักตัวในห้องขัง ทั้งที่บางรายได้รับการรับรองสถานะจาก UNHCR แล้ว
4. การเดินทางมาเยือนไทยของออง ซาน ซูจี และการแก้ไข MOU ด้านการจ้างแรงงานข้ามชาติ จำนวน 3 ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างงาน และความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง
และ 5. กรณีกลุ่มทุนตอบโต้การลุกขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานข้ามชาติโดยการฟ้องกลับแรงงาน และนักสิทธิมนุษยชนในข้อหาหมิ่นประมาท และข้อหาอื่นๆ เช่น กรณี ของแรงงานข้ามชาติในฟาร์มไก่ที่ออกมายื่นคำร้องและฟ้องต่อศาลแรงงานว่าได้ถูกละเมิดสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
ยังพบ "แรงงานขัดหนี้" บนเรือประมง ทำงาน 10 ปี ยังใช้หนี้ไม่หมด
ด้านนายปภพ เสียมหาญ ผู้ประสานงานโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์ด้านแรงงานมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชน และการพัฒนา กล่าวในหัวข้อการปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงานบนเรือประมงว่า แรงงานประมงในประเทศไทยมีข้อจำกัดมากกว่าแรงงานประเภทอื่น เนื่องจากแรงงานประมงไม่สามารถเปลี่ยนประเภทการทำงานไปเป็นแบบอื่นได้เพราะบัตรอนุญาตทำงานชั่วคราว (บัตรสีชมพู) กำหนดให้เป็นแรงงานประมงตามที่ใบอนุญาตได้กำหนดเท่านั้น และเมื่อไม่สามารถย้ายงานได้ตามความต้องการ ในที่สุดก็ต้องย้ายประเภทงานและกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังพบแรงงาน “ขัดหนี้” โดยแรงงานกลุ่มนี้เมื่อเข้ามาในประเทศไทย จะถูกสร้างหนี้ร่วมกับนายจ้าง โดยจะถูกเรียกเก็บทั้งค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย และค่าอาหาร เมื่อมีหนี้สิ้นก็จะถูกผูกมัดให้ทำงานในเรือประมง โดยกรณีที่พบแรงงานประมง ใน อ.กันตัง จ. ตรัง บางคนทำงานมาเป็น 10 ปี ก็ยังชดใช้หนี้ไม่หมด
นายปภพ ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ควรยึดเจตรมย์ของตัวบทกฎหมาย ที่มีขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองแรงงานจึงควรมุ่งคุ้มครองแรงงานมากกว่า อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับแรงงาน มากกว่าเอกสารตามกฎหมายของนายจ้าง รวมทั้งแก้ไขนิยามคำว่า “แรงงานบังคับ” ให้ครอบคลุมการถูกบังคับจากวิธีการอื่น เช่น การยึดพาสปอร์ต หรือ บัตรสีชมพู ด้วย เพราะหากตีความว่าเป็นการค้ามนุษย์ เรื่องก็จะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องใช้ระยะเวลานาน และจบที่ศาล ซึ่งหากศาลพิจารณาว่าไม่ได้เป็นการค้ามนุษย์ เรื่องก็จะตก และแรงงานก็จะไม่มีทางเลือก และลงใต้ดินเป็นแรงงานผิดกฎหมายในที่สุด
เจอนายจ้างใช้ระบบนายหน้าขอใบอนุญาตทำงานชั่วคราว
ลูกจ้างไม่สามารถร้องเรียนตามกฎหมายได้
ด้านนางจันทนา เอกเอื้อมณี ผู้ประสานงานคณะทำงานเพื่องานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวในหัวข้อ การปกป้องคุ้มครองแรงงานที่ทำงานในบ้าน ว่า ปัญหาของแรงงานในบ้าน คือ ทำงานไม่ตรงกับประเภทที่ระบุในใบสีชมพู เพราะนายจ้างมักใช้ระบบนายหน้าในการขอใบอนุญาตทำงานชั่วคราว ทำเวลาเกิดปัญหาขึ้นแรงงานไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการร้องเรียนตามกฎหมายได้ รวมไปถึงการที่แรงงานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสิทธิที่ตัวเองควรจะได้ว่ามีอะไรบ้าง เช่น วันหยุด หรือ สิทธิในการลาคลอด สิทธิการเข้าถึงประกันสังคมที่กำหนดให้แรงงานในบ้านถูกกำหนดว่าเป็นผู้ประกันตนนอกระบบ ตามมาตรา 40 ทั้งที่ แรงงานในบ้านควรถูกกำหนดอยู่ในมาตรา 33
มีทางเลือกอื่นนอกจากกักขังผู้ลี้ภัยหรือไม่
ขณะที่นายวันรบ วราราษฏร์ ตัวแทนจาก Acylum access Thailand กล่าว ในหัวข้อนโยบายทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจากการกักขังผู้ลี้ภัย ว่า ปัจจุบันมีผู้ได้รับการรับรองสถานภาพจาก UNHCR และอยู่ในกระบวนการพิจารณาประมาณ 8,000 คน ส่วนใหญ่ เป็น เด็ก ผู้หญิง และ ผู้สูงอายุ โดยเกือบครึ่งหนึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้เดินทางมาจากประเทศปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่แม้ว่าจะถือเอกสารรับรองสถานะผู้ลี้ภัยที่ออกโดย UNHCR แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่ในประเทศไทยได้ถูกกฎหมาย
“ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาการลี้ภัยที่ถูกจับกุม และอาศัยอยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวมากกว่า 200 คน มีทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และคนป่วย ซึ่งสถานกักตัวคนต่างด้าวเป็นสถานที่ๆ รวบรวมคนหลายกลุ่มที่ถูกจับกุม และรอผลักดันออกนอกประเทศ ปะปนกัน ทั้ง แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย นักโทษต่างชาติที่พ้นคดี ทำให้มีความเป็นอยู่ที่แออัด สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทำให้มีผู้ถูกกักขังจำนวนไม่น้อยกลายเป็นผู้ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพกาย และใจ ” นายวันรบกล่าว
นอกจากนี้ยังเสนอว่า ดังนั้นการจับกุมคุมขังจึงไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมที่สุด เท่ากับนโยบายทางเลือกอื่น ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายมากกว่า เช่น ในประเทศฮ่องกง มีนโยบายคัดกรองผู้เข้าเมืองตั้งแต่ต้นทาง ว่า เป็นผู้ลี้ภัยที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาหรือไม่ ซึ่งก็จะให้การดูแลกลุ่มคนที่เข้าเมืองมาแตกต่าง
เรียกร้องทางการไทยกดดันรัฐบาลพม่าหยุดใช้ความรุนแรงในรัฐยะไข่
ด้านนายศิววงศ์ สุขทวี ตัวแทนจากเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐกล่าวในหัวข้อทางเลือกในการจัดการการย้ายถิ่นไม่ปกติของผู้อพยพลี้ภัยชาวโรฮิงญา ว่า ความสำเร็จของไทยในการหยุดยั้งการหลบหนีเข้ามาของชาวโรฮิงญาหลังเหตุการณ์ในปี 2559 คือการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มุ่งปกป้องและคุ้มครองกลุ่มผู้อพยพที่มีความเสี่ยงแม้ว่าจะไม่ได้มีสัญชาติไทยก็ตาม โดยความร่วมมือหลายหน่วยงาน รวมถึงองค์กรประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศ มากกว่าการใช้แนวนโยบายและหน่วยงานความมั่นคง อีกทั้งยังมีการออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์มากที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นมาถึง 150 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานมั่นคงด้วย รวมไปถึงทีมสหวิชาชีพที่ทำให้การคัดแยกกลุ่มที่มีความเสี่ยง มีความจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ออกจากกลุ่มที่หลบหนีเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และนำไปสู่การประสานงานกับองค์กรประชาสังคม องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือในแต่ละกลุ่ม
นายศิววงศ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดการอพยพหนีออกมาจากรัฐยะไข่อีกครั้งในปี 2560 รัฐบาลไทยจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายกดดันต่อรัฐบาลพม่าให้หยุดใช้ความรุนแรงไม่ว่ากับใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า เพื่อที่จะหยุดการผลักดันกลุ่มชาวโรฮิงญาให้ต้องหลบหนีออกจากรัฐยะไข่ พร้อมขอเสนอต่อรัฐบาลไทยดังนี้ 1. รัฐไทยต้องผลักดันให้กลไกในอาเซียนบีบบังคับให้รัฐบาลพม่าหยุดการใช้ความรุนแรงกับคนที่อาศัยในประเทศของตน ไม่ว่าเขาจะเป็นพลเมืองของตนหรือไม่ 2. รัฐไทยต้องสนับสนุนท่าทีและจุดยืนของอาเซียนในการแก้ไขมากกว่าการปกป้องท่าที จุดยืนที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในปัญหาในพม่า 3. รัฐไทยต้องผลักดันให้มีกลไกและแผนการตอบสนองต่อวิกฤติการณ์การอพยพที่ชัดเจน และความรับผิดชอบของแต่ละชาติสมาชิก เช่น การสนับสนุนงบประมาณ การกำหนดจุดขึ้นฝั่ง การกระจายผู้อพยพให้แต่ละชาติดูแล เป็นต้น
ส่วนข้อเสนอต่อรัฐบาลทางกฎหมายและนโยบายในการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญานั้น ที่มาตรการเฉพาะหน้า รัฐต้องหยุดการกักขังอย่างไม่มีกำหนด โดยให้พิจารณากำหนดแนวทางการวางเงินประกัน (Release on bail/bond) สำหรับผู้อพยพชาวโรฮิงยาที่ยังอยู่ในการควบคุมในปัจจุบัน โดยอาจใช้ร่วมกับการจัดหาผู้รับรอง/ผู้ค้ำประกัน หรือกำหนดให้องค์กรที่ไม่หวังผลกำไรสามารถเป็นผู้ค้ำประกัน พร้อมกับเงื่อนไขระหว่างการรอส่งตัวต่อไปให้ประเทศที่สาม หรือส่งกลับประเทศบ้านเกิดเมื่อสามารถกลับได้ เช่น กำหนดให้ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยไปรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือองค์กรอื่นๆ กำหนดให้ผู้ขอลี้ภัยพักอาศัยในสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ หรืออยู่ภายในพื้นที่เฉพาะ การกำหนดให้มีผู้รับรอง/ผู้ค้ำประกัน เพื่อรับรองว่าผู้ขอลี้ภัยจะปฏิบัติ ตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ การกำหนดให้มีผู้อุปถัมภ์/สนับสนุน (sponsorship) ผู้อุปถัมภ์หรือผู้สนับสนุนอาจเป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคล หรือองค์กรการกุศล/องค์กรพัฒนาเอกชน/องค์กรศาสนา เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งการเป็นผู้ค้ำประกัน การวางเงินประกัน การจัดหาที่พักและค่ายังชีพ
สำหรับมาตรการระยะยาว กรณีที่ชาวโรฮิงญาเดินทางเข้ามาถูกต้องตามกฎหมาย รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการให้วีซ่ามนุษยธรรมสำหรับผู้ที่แสวงหาที่ลี้ภัยที่สามารถยื่นขอก่อนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ และในส่วนของกรณีที่เร่งด่วนและไม่สามารถยื่นขอได้ก่อนการเดินทางเข้ามาในประเทศ รัฐบาลควรจะพิจารณาเปิดให้สามารถขอวีซ่ามนุษยธรรมชั่วคราวเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย
อ่าน 6 ข้อเสนอเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล
ทั้งนี้ในท้ายการเสวนาเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติได้ร่วมกันอ่านข้อเสนอเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากลวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ดังนี้ ทางเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ มีข้อเสนอเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล เพื่อยกระดับการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ และครอบครัว รวมถึงผู้อพยพย้ายถิ่นอื่น ๆ ในประเทศไทยดังนี้
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลประเทศต้นทางจะต้องเร่งดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว รวมทั้งลดขั้นตอนในการดำเนินการต่าง ๆ ให้มีความสะดวกและเอื้อต่อการเข้าถึงของแรงงานข้ามชาติเพื่อลดการแสวงหาประโยชน์จากนายหน้าหรือผู้แสวงหาประโยชน์อื่น ๆ ทั้งนี้รัฐบาลไทยและประเทศต้นทางจะต้องตระหนักถึงการเปิดโอกาสให้เด็กข้ามชาติในฐานะผู้ติดตามได้เข้าถึงการมีสถานะทางกฎหมายและการได้รับการคุ้มครองตามหลักการประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก
2. รัฐบาลไทยจะต้องพัฒนากลไกการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่เน้นการเข้าถึงของแรงงานข้ามชาติ โดยเร่งแก้ไขพรบ.แรงงานสัมพันธ์ที่เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานอันเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาด้านสิทธิแรงงานร่วมกัน การเร่งแก้ไขในเรื่องการยึดเอกสารแสดงตนและการแก้ไขปัญหาแรงงานขัดหนี้ เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติได้เปลี่ยนย้ายงานและนายจ้างตามเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการทำงานและการได้รับการคุ้มครองสิทธิ และเร่งแก้ไขข้อจำกัดเชิงนโยบายที่กีดกันไม่ให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน
3. รัฐบาลไทยจะต้องเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานทำงานในบ้านให้ได้รับการปฎิบัติอย่างเท่าเทียมภายใต้ พรบ. คุ้มครองแรงงาน เช่น ระยะเวลาทำงาน ค่าจ้าง สิทธิในการลาคลอด และการเป็นผู้ประกันตนตาม พรบ. ประกันสังคม และพรบ.กองทุนเงินทดแทน
4. รัฐบาลไทยและกระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินการ แก้ไขนิยามคำว่า “แรงงานบังคับ”ให้ครอบคลุมการถูกบังคับจากวิธีการอื่น นอกจากการถูกข่มขู่ การใช้ความรุนแรง โดยขยายความรวมถึง การยึดหนังสือเดินทางหรือเอกสารแสดงตน การไม่ได้รับเงินค่าจ้างด้วย เนื่องจากการใช้แรงงานบังคับในบางกรณีอาจยังไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ การแยกระหว่างแรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ออกจากกัน จะทำให้แรงงานได้รับความคุ้มครองสิทธิได้มากขึ้นและสามารถเข้าถึงสิทธิได้สะดวกยิ่งขึ้น
กวีประชาไท: สิ่งที่อยู่ในใจ
บทกวีโดย อีผีบ้า อ่านและแสดงในงาน “พูดเพื่อเสรีภาพ” วันที่ 31 กรกฎาคม 2559
(อารัมภบท: เจ้าหน้าที่รัฐบอกเราว่า ความคิดเห็นของเราที่จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฯ เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในใจ หากจะบอกใครก็ทำได้แต่เพียงแบบปากต่อปากเท่านั้น)
[เนื้อเพลง ปลิว - พลอยชมพู]
อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ
และอยากให้เธอได้ยิน...
อยากให้เธอได้ยิน
แต่เธออยู่ไกลเหลือเกิน
เธอรายล้อมด้วยผู้คนมากมาย
ฉันทำได้เพียงฟังเสียงเธอที่ส่งผ่านมาตามคลื่นความถี่เร็วกว่าหัวใจของฉัน
สิ่งที่อยู่ในใจของฉัน ไม่เคยเอ่ย
ไปถึงเธอสักคำ
เปล่งได้แค่เสียงเบาๆ ในยามลำพังว่า ฉัน...
แต่ถึงแม้สิ่งที่อยู่ในใจดังไปไม่ถึงเธอ
ฉันก็เคยปลอบใจตัวเองด้วยการเล่นเฟซบุ๊ก
อย่างน้อยฉันยังพอได้แสดงความรู้สึก
รัก-ไลก์-โกรธ-เศร้า-ว้าว-ฮ่าๆ ที่ฉันมีให้เธอ
ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่ “รักเธอ” ได้อย่างเกรียวกราว
แต่ไปๆ มาๆ เสียงหัวเราะก็กลายเป็นร้องไห้
ความรักกลายเป็นความเศร้า ความว้าวกลายเป็นความโกรธ
จังแมนคักโพด ได้รู้ซึ้งใจเธอช่างเปราะบาง
ใจของเธอคือยานหุ้มเกราะ
ฉันเคยวาดฝันว่า ในการร่วมรักของเรา
เธอจะถอดเกราะนั้นออกเสีย
เพื่อให้ฉันได้เห็นเรือนร่างที่แท้จริงของเธอ
และเราจะได้สื่อสารปากต่อปาก ลิ้นต่อลิ้น
ส่งผ่านความจริงจากใจสู่ใจ
แต่เปล่าเลย เปล่าเลย
นอกจากเธอจะไม่ปลดเปลื้องเครื่องเคราแล้ว
เธอยังเอามือปิดปากของฉันตลอดเวลา
ฉันแทบสำลักสิ่งที่อยู่ในใจ
ขณะเธอ บุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของฉัน!
ก่อนนั้นฉันแค่อยากตะโกน เยส! อย่างสุขสม
หรือแค่ตะโกน อย่า! อย่างตระหนก
แต่วันนี้ ฉันกลับมีคำอีกมากมายเป็นหมื่นล้านคำอยากจะบอก
ความรู้สึกซับซ้อนเกินกว่าจะทดแทนได้ด้วย รัก-ไลค์-โกรธ-เศร้า-ว้าว-ฮ่าๆ
ฉันหวังจนเลิกหวัง คอยจนเลิกคอย
ส่งเสียงไปแต่ไม่เคยถึง
ฉันรู้ซึ้งแล้วว่า มันเกินความสามารถของฉันที่จะจูงมือเธอไป
สู่ความเข้าอกเข้าใจ ในความรักของฉัน ความศรัทธาของฉัน
ฉันรู้แล้ว เธอไม่มีหัวใจ
ป่วยการที่จะขุดคำทั้งหมดที่มีขึ้นมา
คำใดๆ คงปลิวไปตามแรงลม
ก่อนถึงใจเธอ แล้วก็คงสลายไป
คงมีเหลือคำว่า ไม่! คำเดียวที่คู่ควรกับเธอ
สิ่งที่อยู่ในใจฉัน ฟังสิ:
อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ
บอกให้เธอฟังไม่ได้ซักคำ
เปล่งได้แค่เสียงเบาๆ ในยามลำพัง
ว่าฉันกาโน—ฉันกาโน
ฉัน-กา-โน.
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ประวัติศาสตร์จำนำข้าว
ในภาวะที่สินค้าข้าวกำลังเป็นปัญหาสำคัญในขณะนี้ โครงการจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกเอ่ยถึงอยู่เสมอ ในที่จะขอลองกลับไปทบทวนประวัติศาสตร์กรณีนี้
ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2554 พรรคเพื่อไทยได้ใช้นโยบายหาเสียงที่จะยกระดับราคาข้าวเปลือกให้ขึ้นไปถึงตันละ 15,000 บาท ดังนั้น เมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 23 สิงหาคม ที่จะใช้นโยบายที่เรียกว่า “จำนำข้าว” โดยอธิบายว่า โครงการนี้เป้าหมายที่จะแก้ปัญหาความยากจนซ้ำซาก เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมของชาวนา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และสร้างคุณค่าให้กับข้าวไทย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นว่า นโยบายลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันคือลักษณะหนึ่งนโยบายอุดหนุนการเกษตร ที่เป็นที่ใช้กันทั่วโลก เช่นในญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล สหรัฐอเมริกา จีน ฯลฯ ก็มีนโยบายในลักษณะนี้ แม้กระทั่งประเทศไทยในอดีต รัฐบาลหลายชุดก็ต้องมีนโยบายช่วยเหลือชาวนาโดยใช้การอุดหนุนภาคเกษตรในลักษณะใดลักษณะหนึ่งมาแล้วทั้งสิ้น เช่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สมัยที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีนโยบายที่เรียกว่า “ประกันราคาข้าว” เพื่อช่วยเหลือชาวนาเช่นกัน
แต่ความแตกต่างอยู่ที่ว่า พรรคเพื่อไทยได้วิเคราะห์ว่า นโยบายรับซื้อข้าวชาวนาในอดีต รับซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และมักจะรับโดยจำกัดจำนวนเช่น 10 % ของผลผลิต ทำให้ไม่เกิดแรงผลักดันที่จะให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเกิดจากปัญหาที่ว่า ชาวนาที่เป็นผู้ผลิตไม่มีอำนาจต่อรอง ทำให้ราคาข้าวถูกกำหนดโดย “กลไกตลาด” ซึ่งที่แท้จริงแล้วก็คือฝ่ายพ่อค้า พรรคเพื่อไทยเห็นว่า นโยบายในลักษณะประกันราคาเช่นนั้นช่วยเหลือชาวนาได้น้อย และเปิดทางแก่การทุจริตได้ง่าย เพราะรัฐไม่ได้เห็นเมล็ดข้าว แต่จ่ายเงินตามเอกสารที่อ้าง หรือถ้าใช้นโยบายจ่ายเงินให้เปล่ากับชาวนาหรือชดเชยปัจจัยการผลิต ก็เป็นแบบเดียวกันเพราะไม่ได้แก้เรื่องราคาข้าวเปลือกตกต่ำ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงใช้วิธีให้ชาวนาเอาข้าวมาจำนำกับรัฐในราคาที่สูงกว่าตลาด และรับจำนำข้าวทุกเม็ดเพื่อให้การรับจำนำมีปริมาณมากและทั่วถึงทั่วประเทศ
สำหรับโครงการขั้นแรก รัฐบาลยิ่งลักษณ์เสนอช่วงเวลา 3 ปี เพื่อให้ชาวนาพ้นจากหนี้สิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประเมินว่า ใน พ.ศ.2534 ชาวนาไทยมีทั้งหมด 3.7 ล้านครัวเรือน เป็นประชากร 15.3 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของประเทศ ถ้าคนกลุ่มนี้มีรายได้สูงขึ้น จะเป็นการผลักดันตลาดสินค้าภายในประเทศให้เติบโต ซึ่งจะมีส่วนช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก
ในการดำเนินงาน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กบช.)เป็นผู้รับผิดชอบ กรรมการชุดนี้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรัฐมนตรีหลายกระทรวง และให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการและเลขานุการ วันที่ 7 ตุลาคม ก็เปิดโครงการอย่างเป็นทางการ และต่อมาภายใน 2 ปี ถือได้ว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เช่นใน พ.ศ.2555 รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกได้ 21.7 ล้านตัน ทำให้เงินถึงชาวนา 3.3 แสนล้านบาท ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เท่ากับ 1.23 แสนล้านบาท ต่อมา ใน พ.ศ.2556 รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือก 22.5 ล้านตัน เงินถึงมือชาวนา 3.5 แสนล้านบาท ชาวนามีรายได้เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 1.28 แสนล้านบาท ทำให้ชาวนามียอกเงินฝากในธนาคารเพิ่มอย่างมาก และการใช้จ่ายในด้านการศึกษาของชาวนาก็สูงขึ้น และเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็เพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี.)สูงขึ้นถึง 8.87 % ใน พ.ศ.2555 ปีแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ซึ่งเป็นตัวเลขเกินฝันสำหรับสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
แต่กระนั้น นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักตั้งแต่แรก ปัญหาสำคัญของเรื่องคือการที่รัฐรับจำนำเมล็ดข้าวจากชาวนา ทำให้รัฐต้องจัดหายุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวเปลือก และจะนำมาซึ่งกรณีข้าวเสีย ข้าวเนา ข้าวเสื่อมคุณภาพ และการรับซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาด หมายถึงว่า รัฐมีแนวโน้มต้องขายข้าวในราคาขาดทุน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อธิบายว่า ชาวนาก็ไม่มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกจึงทำให้ต้องขายข้าวในราคาที่เสียเปรียบ แต่พ่อค้าข้าวมียุ้งฉางจึงรอเวลาขายที่ตนเองได้เปรียบ โครงการนี้จึงเท่ากับรัฐช่วยสร้างยุ้งฉางให้ชาวนา และรัฐก็มีโครงการระบายข้าวโดยการเจรจาขายกับรัฐบาลต่างประเทศในลักษณะรัฐต่อรัฐ การนำเข้าตลาดซื้อขายล่วงหน้า หรือขายให้องค์การสาธารณประโยชน์และองค์การบรรเทาทุกข์ เป็นต้น กรณีข้าวเน่าข้าวเสื่อมคุณภาพ รัฐบาลก็ได้มีการทำสัญญาสร้างหลักประกันให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ที่จะให้ข้าวที่เก็บสามารถรักษาคุณภาพเช่นยุ้งฉางเอกชน และยังมีการประกันภัยรองรับไว้กรณีเกิดความเสียหาย ส่วนในแง่ของการขายข้าวขาดทุน ต้องถือว่าโครงการนี้เป็นการลงทุนของรัฐเพื่อช่วยเหลือชาวนา จึงไม่อาจพิจารณาว่าจะต้องมีกำไร เพราะโครงการช่วยเหลือประชาชนของรัฐจำนวนมากในระยะก่อนหน้านี้ โครงการสร้างสาธารณูปโภค รวมทั้งการประกันราคาข้าว ก็เป็นโครงการขาดทุนทั้งนั้น
ปรากฏว่าตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2554 ก่อนหน้าที่จะมีการดำเนินนโยบายเสียด้วยซ้ำ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)ได้ส่งข้อเสนอการแก้ปัญหาทุจริตและยุติโครงการจำนำข้าว โดยอ้างว่าโครงการจะนำมาซึ่งการทุจริต แต่รัฐบาลไม่สามารถจะดำเนินการเช่นนั้นได้ เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาและสัญญาต่อประชาชน ไม่ใช่หน้าที่จะต้องให้ ปปช.มารับรองนโยบาย และรัฐบาลก็ได้มีมาตรการเป็นขั้นตอนที่จะป้องกันการทุจริตอยู่แล้ว และต่อมา เมื่อมีการดำเนินการทุจริต รัฐบาลยิ่งลักษณ์เองก็จัดการฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้ว มีตัวเลขราว 276 คดี
นี่เป็นเรื่องเล่าอย่างย่อสำหรับโครงการจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งขณะนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ยังเป็นข้อโจมตีตกค้างของ "สลิ่ม" ความจริงแล้วต่อให้นโยบายนี้ผิดก็ต่อสู้คัดค้านกันตามระบบ ไม่ต้องเป็นเหตุให้นำเอากองทัพมาทำรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตย แต่หลังรัฐประหาร ฝ่ายเผด็จการทหารยกเลิกนโยบาย และกำลังใช้คำสั่งในทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดเลยที่จะโยงให้เห็นเรื่องการทุจริต หรือการดำเนินงานที่ผิดไปจากแบบแผนที่กำหนด
นี่เป็นการย้อนทวนประวัติศาสตร์ร่วมสมัย!
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 590 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2559
พบปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อคนตาบอดสี
เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้มีอาการตาบอดสีแห่งประเทศไทยระบุคนตาบอดสีถูกเลือกปฏิบัติ เช่น ไม่มีใบขับขี่จึงทำให้หางานยากขึ้น โดยเฉพาะงานในสายช่างเทคนิค เสนอให้ไทยปรับประยุกต์ใช้แนวทางการออกใบอนุญาตขับรถตามแนวทางและมาตรฐานของอเมริกาและยุโรป
17 ธ.ค. 2559 เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้มีอาการตาบอดสีแห่งประเทศไทย (Thailand Alliance for People with Color Deficiency’s Rights) ได้สำรวจผู้มีอากาตาบอดสีทั่วประเทศในประเด็นปัญหาการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากอาการตาบอดสี ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 121 คน พบผู้มีอาการตาบอดสี ร้อยละ 53.7ถูกเลือกปฏิบัติ ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การห้ามขับรถทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่คนตาบอดสีทั้งในอเมริกา ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลกได้รับอนุญาตให้สามารถขับรถส่วนบุคคลได้แล้วร้อยละ 36.4 ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานเนื่องจากเป็นผู้มีอาการตาบอดสี และร้อยละ 9.9 ถูกห้ามไม่ให้เข้าศึกษาต่อในบางสาขาวิชา
โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนหนึ่งกล่าวว่าพบปัญหาทั้ง 3 ด้าน เช่น เมื่อไม่มีใบขับขี่จึงทำให้หางานยากขึ้น โดยเฉพาะงานในสายช่างเทคนิค อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามได้เน้นประเด็นปัญหาสำคัญใน 3 ด้าน ดังนี้
1. ปัญหาการห้ามขับรถทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลถือเป็นปัญหาหลักร่วมกันของกลุ่มผู้มีอาการตาบอดสี เนื่องจากตามข้อบังคับใบรับรองมาตรฐานสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ที่จัดทำร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางบกและแพทยสภากำหนดให้ตาบอดสีถือเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ต้องห้ามไม่ให้ขับรถ แม้ตามแนวทางปฏิบัติของกรมการขนส่งทางบกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2555อนุญาตให้คนตาบอดสีสามารถสอบใบขับขี่ได้แล้วแต่ต้องผ่านตามมาตรฐานที่กำหนดไว้โดยกรมการขนส่งทางบกซึ่งมีปัญหาสำคัญสำหรับคนตาบอดสีอยู่ 2 ขั้นตอน คือ
(1) การทดสอบสีไฟของกรมการขนส่งทางบกไม่เหมือนไฟสัญญาณจริงบนท้องถนน สำหรับคนตาบอดสี ไฟสัญญาณบนท้องถนนจะสามารถมองเข้าใจได้ง่ายกว่าจากแบบสอบถาม พบคนตาบอดสีที่ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ แต่สามารถเข้าใจสีไฟจราจรและสัญญาณไฟได้และไม่เคยเกิดอบุบัติเหตุ แม้จะไม่สามารถเข้าใจสีจากไฟทดสอบได้อย่างถูกต้องทั้งหมด
(2) การทดสอบสายตาทางกว้างโดยใช้สีเป็นเกณฑ์ เนื่องจากคนตาบอดสีมีแนวโน้มที่จอรับสีทำงานได้ไม่ดีอยู่แล้ว การวัดสายตาทางกว้างโดยใช้สีเป็นเกณฑ์วัด คนตาบอดสีจึงมักทดสอบไม่ผ่าน ในความเป็นจริงในขั้นตอนนี้เป็นการวัดลานสายตาหรือความกว้างของการมองเห็นซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สีเป็นเกณฑ์ในการวัด
เกี่ยวกับประเด็นข้างต้น เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้มีอาการตาบอดสีแห่งประเทศไทยมีข้อเสนอดังนี้
ประการแรกเสนอให้การทดสอบวัดความเข้าใจสัญญาณแทนการวัดตาบอดสี โดยให้ใช้สัญญาณไฟที่มีสีโทนตรงกับสัญญาณไฟจราจรจริงและไม่ควรสลับตำแหน่ง ไม่ใช่ตรงเฉพาะสี เพื่อวัดว่าคนตาบอดสีมองเห็นและเข้าใจสัญญาณไฟหรือไม่ เพราะคนตาบอดสีเพียงจำเป็นต้องเข้าใจสัญญาณไฟจราจรเท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจสี เช่น เมื่อดวงล่างสุดสว่างคือให้ไปได้ ส่วนดวงบนสุดสว่างคือต้องหยุด ทั้งนี้ ในต่างประเทศมีการปรับสัญญาณไฟอย่างหลากหลายเพื่อให้คนตาบอดสีหรือแม้แต่คนทั่วไปเข้าใจสัญญาณไฟได้ง่ายขึ้น เช่น ในยุโรปไฟเมื่อแสดงไฟเหลืองหรือไฟเหลืองสว่างจะสว่างพร้อมกับสีที่แสดงก่อนหน้านั้นและกระพริบ 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ระวังและการที่มีไฟแสดง 2 สี ก็ช่วยเพิ่มการมองเห็นอีกด้วย นอกจากนี้ ให้วัดลานความกว้างของสายตาโดยใช้วิธีทางการแพทย์ที่ต้องไม่ใช้สีเป็นเกณฑ์ เพราะขั้นตอนนี้เพียงต้องการวัดความกว้างของการมองเห็นซึ่งไม่เกี่ยวกับสี
ประการที่สอง เสนอให้ประเทศไทยซึ่งปรับประยุกต์ใช้แนวทางการออกใบอนุญาตขับรถตามแนวทางและมาตรฐานของอเมริกาและยุโรปอยู่แล้วยกเลิกการห้ามการขับขี่รถส่วนบุคคลสำหรับผู้มีอาการตาบอดสีเช่นเดียวกับมาตรฐานของอเมริกาและยุโรปด้วย เพราะทั้งอเมริกาและยุโรปรวมทั้งอีกหลายประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกการห้ามบุคคลผู้มีอาการตาบอดสีขับรถแล้ว เพราะทางการแพทย์สมัยใหม่และด้วยเทคโนโลยีการปรับแสงไฟในปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าผู้มีอาการตาบอดสีสามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ ด้วยความจำเป็นของครัวเรือนสมัยใหม่และทางเศรษฐกิจผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าส่วนใหญ่ยังขับรถอยู่เป็นปกติ บางคนขับมากกว่า 20 ปี แม้ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดกล่าวว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่เลยบางคนบอกว่าสามารถเข้าใจสัญญาณไฟได้อย่างชัดเจน เพราะในโลกของคนตาบอดสีไม่ใช่สีขาวดำทั้งหมด แต่สีที่เห็นผิดเพี้ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอยากให้กรมการขนส่งทางบกปรับเกณฑ์การทดสอบที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้แล้วว่าคนตาบอดสีขับรถได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม นอกจากการปรับการสดสอบแล้ว ประเทศไทยควรต้องปรับสีและตำแหน่งของสัญญาณไฟทั้งหมดภายในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานของอเมริกาและยุโรปด้วย พร้อมทั้งควรปรับสีของไฟให้คนตาบอดสีเข้าใจได้ง่าย และควรต้องแก้ไขความเข้าใจผิดในสังคมไทยที่ว่าคนตาบอดสีไม่สามารถขับรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย เพราะแม้ประเทศไทยยังคงห้ามผู้มีอาการตาบอดสีขับรถอยู่ แต่หลายประเทศที่มาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่สูงกว่าประเทศไทยได้อนุญาตให้คนตาบอดสีขับขี่ได้แล้ว
2. ในหลายสาขาอาชีพไม่รับผู้มีอาการตาบอดสีเข้าทำงาน แม้ในงานที่ไม่เกี่ยวกับการแยกสี เช่น ทหารและตำรวจในทุกตำแหน่งงานแม้แต่สายอำนวยการหรือสายสำนักงานนอกจากนี้ กาทำงานในภาคเอกชน เช่น สายเจ้าหน้าที่เทคนิค ก็จะไม่รับคนตาบอดสีเข้าทำงาน แม้บางตำแหน่งงานจะไม่เกี่ยวกับการแยกสีโดยละเอียด
3. ผู้มีอาการตาบอดสีพบปัญหาทั่วไปในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การถูกล้อเลียนจากคนตาปกติการสื่อสารโดยใช้สีเป็นตัวแยกแยะหรือการนำเสนอข้อมูลด้วยกราฟสีที่ใกล้เคียงกันทำให้ผู้มีอาการตาบอดสีไม่เข้าใจหรือทำให้ต้องใช้เวลามากกว่าคนสายตาปกติในการดูผลวิเคราะห์ข้อมูลรวมทั้ง ระบบบริการของภาครัฐหรือบางเอกชนบางแห่งที่ใช้สีเป็นเกณฑ์ในการดำเนินการตามขั้นตอน เช่น บัตรคิวสีทำให้ผู้ใช้บริการที่แยกสีได้ลำบากผู้มีอาการตาบอดสีอยากให้คนในสังคมเข้าใจว่าคนตาบอดสีมีอาการเป็นตาบอดสีไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่ใช่ความผิด หากไม่เห็นใจก็จำเป็นต้องเข้าใจและให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
อาการตาบอดสีมิใช่ความพิการแต่เป็นการบกพร่องทางการมองเห็นสี ซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีจอตาที่รับสีได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แม้จะมีบางคนที่มีอาการคนตาบอดสีจนจอตาไม่สามารถรับสีได้ แต่ไม่ใช่คนตาบอดสีทุกคนมองเห็นทุกอย่างในโลกเป็นสีขาวดำทั้งหมด ด้วยการศึกษาและวิจัยที่เกี่ยวกับตาบอดสีในปัจจุบันพบแล้วว่าคนตาบอดสีสามารถทำอาชีพหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป เช่น คนตาบอดสีในยุโรปสามารถเรียนสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และพยาบาลศาสตร์ที่เป็นสาขาต้องห้ามมานานสำหรับคนตาบอดสี รวมทั้ง สามารถเป็นนักบิน และแน่นอนสามารถขับรถยนต์ส่วนบุคคลได้ ดังนั้น เพื่อไม่ใหเป็นการเลือกปฏิบัติที่สร้างผลกระทบที่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการใช้ชีวิตประจำวันต่อผู้มีอาการตาบอดสีเกินความจำเป็น หน่วยงานภาครัฐจึงต้องทบทวนกฎเกณฑ์และมาตรการทางการบริหารต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนตาบอดสีและองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปแล้วด้วย
งานวิจัย ILO ชี้ภาคก่อสร้างไทยใช้แรงงานต่างชาติหญิงจ่ายค่าแรงต่ำ
เปิดรายงานวิจัยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยใช้แรงงานต่างชาติ 557,724 คน ส่วนใหญ่จากพม่าและกัมพูชาและเป็นแรงงานหญิงถึงเกือบ 40% ทำงานหนัก เสี่ยงอันตรายในหลายด้าน ไม่มีโอกาสเพิ่มทักษะ และยังได้ค่าแรงต่ำ
จากรายงานวิจัยของ ILO ระบุแรงงานหญิงในอุตสาหกรรมก่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ ได้รับค่าแรงต่ำและมีความเสี่ยงในหลาย ๆ ประเด็น (ที่มาภาพ: UN Women/P.Visitoran)
จากรายงาน High rise, low pay: Experiences of migrant women in the Thai construction sectorขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา รายงานชิ้นนี้ได้ทำการสัมภาษณ์แรงงานไทยและต่างชาติในอุตสาหกรรมก่อสร้าง 125 คน ในกรุงเทพฯ และ จ.เชียงใหม่ ระหว่างเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2558 โดยระบุว่าข้อมูลจากรัฐบาลไทยพบว่ามีแรงงานต่างชาติถูกกฎหมายในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างประมาณ 557,724 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากพม่าและกัมพูชา ในจำนวนนี้ร้อยละ 38 เป็นแรงงานหญิง และจากงานศึกษาเมื่อช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่าไทยเป็นประเทศเดียวในประเทศกำลังพัฒนา 49 ประเทศ ที่มีสัดส่วนผู้หญิงในภาคแรงงานก่อสร้างเกินกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาแล้ว ตัวอย่างเช่นสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนแรงงานหญิงในอุตสาหกรรมก่อสร้างไม่ถึงร้อย 9 เท่านั้น ส่วนในสหราชอาณาจักรแรงงานในภาคการก่อสร้างเป็นผู้ชายถึงร้อยละ 99 เลยทีเดียว โดยในรายงานชิ้นนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ประเด็นทางเพศ
แรงงานหญิงที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานชิ้นนี้ 39 คนจาก 44 คน ต่างสมรสแล้ว เนื่องจากสภาพการทำงานที่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย รวมทั้งที่พักอาศัยที่ต้องอยู่รวมกันในแคมป์นั้น ทำให้แรงงานหญิงในภาคการก่อสร้างต้องหา ‘สามี’ ไว้เป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัย แต่พวกเธอก็ต้องระวังตนเองไม่ให้ตั้งครรภ์ เพราะเมื่อใดที่ตั้งครรภ์ก็หมายความว่าพวกเธอจะต้องสูญเสียงาน ทั้งที่กฎหมายไทยอนุญาตให้แรงงานหญิงลาคลอดได้ 90 วัน นอกจากนี้ทั้งตัวแรงงานหญิงเองหรือลูกสาวก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกล่วงละเมิดทางเพศในแคมป์แรงงาน
สำหรับมุมมองของนายจ้างแรงงานหญิงในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมักจะถูกมองเป็น ‘แรงงานผู้ช่วยของสามี’ (ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเธอได้รับค่าแรงต่ำกว่าแรงงานชาย) เพราะถึงแม้ว่าแรงงานหญิงจะเปรียบเสมือนแรงงานราคาถูกสำหรับอุตสาหกรรมนี้ แต่สำหรับมุมมองของนายจ้างเองก็ไม่ค่อยอยากจะรับแรงงานหญิงเข้ามาทำงานมากนัก แต่ถ้าพวกเธอมาสมัครงานพร้อมกับสามี นายจ้างก็มักจะไม่ปฏิเสธด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการรายหนึ่งใน กทม. ระบุกับผู้วิจัยว่าถ้าหากแรงงานคู่สามีภรรยาเดินทางมาสมัครงานด้วยกันเขาก็ต้องหางานให้ภรรยาด้วย มิเช่นนั้นเขาก็จะต้องสูญเสียแรงงานไปทั้งคู่ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วแรงงานชายทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านและแรงงานจากภาคอีสานมักจะมาสมัครงานเป็นคู่พร้อมภรรยา ด้านผู้จัดการบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งระบุว่าถ้าหากเขาสามารถเลือกแรงงานได้ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เขาจะเลือกแรงงานชายเป็นอันดับแรกเพราะผู้ชายสามารถทำงานได้มากกว่า
อคติด้านชาติพันธุ์
อคติด้านชาติพันธุ์ส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานต่างชาติ แรงงานต่างชาติมักจะถูกล้อเลียนและดูถูกจากคนไทย โดยแรงงานหญิงจากรัฐฉานคนหนึ่งที่ทำงานใน จ.เชียงใหม่ ระบุกับผู้วิจัยว่าว่าแรงงานต่างชาติมักจะถูกแรงงานไทยล้อเลียนว่าพูดไทยไม่ชัด และแรงงานหญิงมักจะถูกดูถูกว่าทำงานได้ช้า ส่วนแรงงานหญิงชาวพม่าคนหนึ่งที่ทำงานในกรุงเทพฯ ระบุว่าเธอเลือกที่จะเงียบและไม่โต้ตอบเมื่อได้รับคำพูดที่ไม่ดีจากคนไทย
ผู้ประกอบการรายหนึ่งที่ไม่ใช่คนไทย ให้สัมภาษณ์แก่ผู้วิจัยว่าแรงงานชาวไทยจะคิดว่าพวกเขาดีกว่าคนอื่นเพราะว่าที่นี่คือประเทศของเขา แต่พวกเขาจะไม่คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในสถานะเดียวกันกับแรงงานจากพม่าและกัมพูชาที่ทำงานร่วมกันกับพวกเขา โดยแคมป์ที่พักคนงานของผู้ประกอบการรายนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนของคนไทยและส่วนของแรงงานต่างชาติจากพม่าและกัมพูชา
สภาพการทำงาน ค่าจ้าง และการทำงานล่วงเวลา
แม้แรงงานหญิงบางส่วนจะทำงานฝีมือเช่นก่ออิฐ ฉาบปูน และงานเชื่อมบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วลักษณะการทำงานของแรงงานหญิงมักจะเป็นการ ‘แบก-หาม-ลาก’ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้พวกเธอได้รับค่าแรงน้อยกว่าแรงงานชาย และมีโอกาสพัฒนาฝีมือได้น้อยกว่าเช่นกัน (ที่มาภาพ: UN Women/P.Visitoran และ ILO/M. Crozet)
ลักษณะการทำงานของแรงงานหญิงเหล่านี้มักจะเป็นการ ‘แบก-หาม-ลาก’ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ส่วนงานที่ใช้ทักษะมากกว่าเช่นงานก่ออิฐ ฉาบปูน และงานเชื่อมนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานของแรงงานชาย แม้แรงงานหญิงบางคนจะได้ทำงานก่ออิฐ ฉาบปูน หรืองานเชื่อมบ้างก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งทำให้พวกเธอได้รับค่าแรงน้อยกว่าแรงงานชายและขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงาน
แรงงานหญิงส่วนใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์ในงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าพวกเธอไม่ชอบงานในภาคก่อสร้าง และต่อมาแรงงานบางคนก็ได้ไปทำงานในโรงงานและแรงงานรับจ้างอื่น ๆ แรงงานหญิงชาวกัมพูชาคนหนึ่งระบุว่า "ฉันไม่ชอบงานก่อสร้าง แต่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันต้องการนั่งทำงานและใช้สมองของฉัน ฉันเสียใจที่ฉันได้รับการศึกษามาไม่เพียงพอ" ส่วนแรงงานหญิงชาวพม่าคนหนึ่งที่ทำงานในกรุงเทพฯ ระบุกับผู้วิจัยว่าไม่มีอะไรที่เธอชอบในงานก่อสร้างที่เธอทำเลย เธอเพียงมายังประเทศไทยเพื่อหารายได้ส่งกลับไปให้ครอบครัวเกษตรกรที่พม่า และเธอจะกลับไปที่พม่าไปอยู่กับครอบครัวหากที่พม่ามีงานที่ดีสำหรับเธอ
โดยแรงงานหญิง 44 คน ที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานชิ้นนี้ ทำงานเป็นแรงงานทั่วไป 37 คน ลักษณะงานก็คือการแบกหามและเป็นลูกมือให้กับแรงงานฝีมือ มีเพียง 5 คนที่ได้ทำงานเป็นแรงงานฝีมือ (ก่ออิฐ ฉาบปูน และงานเชื่อมโลหะ) ส่วนอีก 2 คน ทำงานทำความสะอาด ทั้งนี้หากผู้หญิงได้ทำงานฝีมือบ่อยครั้งขึ้น ทักษะและค่าแรงของพวกเธอก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ทัศนะคติของผู้ประกอบการเป็นส่วนสำคัญเพราะผู้ประกอบการมักจะมองว่าผู้ชายทำงานหนักกว่าและทำงานฝีมือได้ดีกว่าผู้หญิง โดยผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุว่างานเชื่อมต้องให้ผู้ชายทำเท่านั้น
ในด้านลักษณะการจ้างงานนั้น ส่วนใหญ่แรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยเป็นแรงงานจ้างเหมารายวัน ไม่มีสวัสดิการอื่น ๆ นอกจากค่าจ้างรายวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะจ่ายค่างจ้าง 15 วันครั้ง แรงงานที่ให้สัมภาษณ์ผู้วิจัยในรายงานชิ้นนี้ได้รับค่าจ้างระหว่าง 190-400 บาทต่อวัน ส่วนใหญ่ไม่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายคือ 300 บาท โดยมีเพียง 21 จาก 51 คน (ทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติ) เท่านั้นที่ได้รับค่าแรง 300 บาทต่อวัน แรงงานต่างชาติที่ให้สัมภาษณ์ผู้วิจัยในรายงานชิ้นนี้ได้รับค่าแรงเฉลี่ย 282 บาท แต่แรงงานต่างชาติหญิงได้รับค่าแรงเฉลี่ยน้อยกว่านั้นเพียง 274 บาท นอกจากนี้แรงงานต่างชาติหญิง 42 คนจากการสัมภาษณ์มีถึง 30 คนได้รับค่าจ้างน้อยกว่า 300 บาท ทั้งนี้หากแรงงานที่ต้องการได้ค่าแรงเพิ่ม ก็ต้องยอมทำงานล่วงเวลาทุกวัน โดยเฉลี่ยแล้วทำงานรวม 13.5 ชั่วโมงในแต่ละวัน และเกือบหนึ่งในสี่ของแรงงานที่ให้สัมภาษณ์รายงานไม่มีวันหยุด แม้จะมีกฎหมายไทยจะบังคับให้นายจ้างต้องจัดวันหยุดให้แรงงานอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ความปลอดภัยในการทำงาน และที่อยู่อาศัย
ในรายงานระบุว่าพบบริษัทก่อสร้างหลายแห่งของไทยละเลยเรื่องมาตรการความปลอดภัย พบโครงสร้างของเครนก่อสร้างและนั่งร้านต่าง ๆ ทำขึ้นแบบใช้งานชั่วคราว ไม่แข็งแรงและขาดความปลอดภัยสำหรับแรงงานหญิงที่ต้องขึ้นไปทำงานในที่สูง แม้ไม่มีรายงานแน่ชัดเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากการทำงานก่อสร้าง แต่ในรายงานระบุว่าคาดว่าการทำงานก่อสร้างในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีความเสี่ยงมากกว่าประเทศตะวันตกราว 3-6 เท่า ส่วนใหญ่แล้วจากงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่านายจ้างจำนวนไม่จัดให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยหรือมีเครื่องมือที่เพียงพอสำหรับคนงานทุกคน
นอกจากนี้ในด้านอยู่พักอาศัยซึ่งนายจ้างจัดไว้ให้ก็ไม่มีความปลอดภัย ส่งผลให้พวกเธอต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าจะถูกเพื่อนร่วมงานชายล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้การหาสามีไว้เป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัยกลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนงานหญิงเหล่านี้
แรงงานหญิงคนหนึ่งจากรัฐฉานที่ทำงานใน จ.เชียงใหม่ ระบุกับผู้วิจัยว่างานก่อสร้างนั้นเป็นงานของผู้ชาย ผู้หญิงโสดไม่สามารถอยู่ในแคมป์ก่อสร้างตามลำพังได้ เพราะวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของแรงงานชายในภาคก่อสร้างนี้ก็คือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเลิกงาน ซึ่งมันทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ส่วนแรงงานหญิงชาวกัมพูชาที่ทำงานในกรุงเทพฯ คนหนึ่งระบุว่าที่ผู้หญิงจำเป็นต้องถือเงินไว้นั้น เพราะหากให้สามีถือเงินพวกเขาก็จะเอาไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนหมด.
พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: นโยบายทรัมป์กับเมืองไทย
เพื่อนๆ ถามผมว่า นโยบายของ“ประธานาธิบดีทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศไทยในด้านต่างๆ บ้าง เพราะสื่อมวลชนไทยส่วนหนึ่งมองและวิเคราะห์ว่า ทรัมป์เป็นตัวเลวร้ายในสังคมการเมืองอเมริกันและนานาชาติ ซึ่งความเข้าใจทั้งหมดก็น่าจะมาจากพฤติกรรมทางปากของทรัมป์เมื่อสมัยเขาหาเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ล่าสุด
สื่อมวลชนและผู้คนจำนวนไม่น้อย ไม่จำเพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้นพากันมองว่า ทรัมป์เป็นนักอนุรักษ์นิยมเอียงขวาสุดโต่ง ซึ่งจะเป็นอันตรายกับประชาคมโลก แม้แต่ประเทศไทยก็ไม่สามารถเลี่ยงอันตรายหรือผลกระทบเชิงบวกจากนโยบายของทรัมป์ได้
ผมบอกเพื่อนผู้ถามไปว่า ก็แล้วแต่จะคิดเห็นอย่างไร แต่สำหรับผม (ผู้เขียน) มองว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ น่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยโดยภาพรวม ใน 2 ส่วนตามเหตุตามปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
ส่วนแรก คือ ส่วนของการเมือง เพราะทรัมป์มีนโยบายชัดเจนว่าเขายังให้การสนับสนุนประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงประเทศไทย ตามปรัชญาเดิมของพรรครีพับลิกัน ที่เน้นเสรีนิยม หรือการเปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมเพื่อสะท้อนเจตจำนงของประชาชนเจ้าของประเทศ ซึ่งในขณะนี้นโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ส่งผ่านไปยังสถานทูตอเมริกันทั่วโลก รวมถึงสถานทูตอเมริกันในกรุงเทพ
ส่วนที่สอง คือ ส่วนเศรษฐกิจ ที่ดูเหมือนทรัมป์จะนำเอานโยบายกีดกันทางด้านเศรษฐกิจในรูปแบบเดิมๆ กลับมาใช้ เช่น การตั้งกำแพงภาษี การยกเลิกกลุ่มภาคีเสรีทางการค้า (นาฟต้า) เป็นต้น หากแท้ที่จริงแล้ว นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่อย่างใด ตามจุดยืนที่ถือเป็นปรัชญาของพรรครีพับลิกันที่ต้องการลดขนาดของรัฐบาลลง (ต่างจากพรรคเดโมแครตที่ต้องการเพิ่มขนาดของรัฐบาล)
โดยที่การลดขนาดของรัฐบาลทรัมป์ หมายถึง การลดการแทรกแซงจากภาครัฐลงให้เหลือน้อยเท่าที่จะสามารถทำได้ เช่น การไม่แทรกแซงด้านภาษี เป็นต้น ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกการตลาดแบบทุน (เสรี) นิยมมากที่สุด ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้น่าจะกลับเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและนานาประเทศ ที่ต้องการค้าขายกับอเมริกัน
เหตุปัจจัยที่ทางฝ่ายไทยต้องทำให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์กับฝ่ายไทยเองก็คือ การเร่งทำความเข้าใจด้านกลไกการเมือง ด้านเศรษฐกิจและด้านวัฒนธรรมของอเมริกันให้ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่จะกำหนดเป็นกรอบนโยบายการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ เช่น ในส่วนของการล็อบบี้ทางการเมือง หรือทางการค้า ที่ต้องดำเนินการแบบคู่ขนานกันไปกับการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลอเมริกัน คองเกรสและกับบรรดาพ่อค้าอเมริกัน เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดอเมริกันได้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยตั้งแต่ข้าวยันสินค้าอุตสาหกรรมประมงที่ในระยะไม่กี่ปีมานี้ พากันหายหน้าหายตาไปจากตลาดอเมริกันจำนวนมาก เพราะถูกกดดันจากกฎหมาย และจากผู้บริโภคอเมริกัน จนสู้คู่แข่งขัน เช่น คู่แข่งอย่างเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านของไทยอีกหลายประเทศไม่ได้
ทรัมป์นั้นเป็นนักธุรกิจที่ฉลาด สื่อมวลชนในอเมริกาจำนวนหนึ่งเชื่อว่า อย่างไรเสียทรัมป์คงไม่พยายามที่กีดกันอเมริกาออกจากตลาดโลก (เสรีนิยม) เพราะอเมริกาได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์จากระบบตลาดเสรี ซึ่งรวมถึงนาฟต้า และภาคีการค้าอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ไม่รวมถึงการฟื้นฟูอุตสาหกรรมแนวโครงสร้างเดิมที่เป็นรายได้อันมั่นคงของคนและรัฐบาลอเมริกัน ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านยุทโธปกรณ์หรืออาวุธ (รวมถึงอากาศยาน) อุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในเม็กซิโก (ทำให้การล้มเลิกนาฟต้ายิ่งเป็นเรื่องยากมากขึ้น) รวมถึงอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่เดิมมีฐานอยู่ที่ซิลิคอนวัลเล่ย์ ซานโฮเซ่เค้าน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย และฐานที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ทั้งหมดล้วนกำลังถูกพิจารณาจากรัฐบาลใหม่เพื่อฟื้นฟูในทิศทางที่สอดคล้องกับกลไกการตลาด โดยทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นต่างกำลังพยายามหามาตรการช่วยให้อุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ได้ เช่น การออกมาตรการผ่อนปรนด้านภาษี (ลดหรืออาจยกเว้นภาษี/ส่วนหนึ่งขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่นด้วย)
แม้กระทั่งอุตสาหกรรมเชิงบริการ อย่างเช่น อุตสาหกรรมด้านการศึกษาที่มีท่าว่ารัฐบาลทรัมป์จะส่งเสริมสนับสนุนเป็นพิเศษ ผ่านมาตรการสร้างแรงจูงใจด้านภาษี ซึ่งในเรื่องการส่งเสริมด้านการศึกษานี้เชื่อว่า น่าจะเป็นผลดีต่อจีดีพีของอเมริกันโดยรวม และแน่นอนว่ามันจะส่งผลดีต่อการเข้ามาศึกษาของนักเรียนจากนานาชาติทั่วโลก รวมทั้งนักเรียนจากประเทศไทยด้วย
ในส่วนของการเมือง สมาชิกคองเกรสรีพับลิกันได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนภายหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า ยังคงให้การสนับสนุนด้านประชาธิปไตยแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่สนับสนุนอำนาจ(รัฐบาล)เผด็จการ ทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการทั่วโลกเร่งคืนอำนาจให้กับประชาชนเจ้าของประเทศ
สมาชิกคองเกรสยังเสนอให้รัฐสภาออกกฎหมายกดดันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศเช่นเดิม เหมือนที่เคยกดดันบางประเทศ เช่น ประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น จนกว่าประเทศเหล่านั้นจะเป็นประชาธิปไตย ซึ่งหากมองในกรณีของประเทศไทยก็น่าจะเป็นผลดีต่อกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศมากว่าสมัยรัฐบาลโอบามาซึ่งไม่มีการประกาศจุดยืนเป็นทางการเสียเอาเลยด้วยซ้ำ
การบ้านที่คนไทยและรัฐบาลไทยต้องทำคือการทำความเข้าใจวัฒนธรรมการเมืองอเมริกัน เช่น วัฒนธรรมการล็อบบี้ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับฝ่ายรัฐสภาหรือฝ่ายคองเกรสอเมริกัน (เพราะคองเกรสเป็นฝ่ายเสนอและออกกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เหมือนที่บางประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น ลาว พม่าหรือแม้กระทั่งเวียดนาม ได้ทำอย่างได้ผลมาแล้วในย่านดี.ซีแอเรีย จนเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป หากเหลือแต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของไทยที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น ทูตพาณิชย์ ตามเมืองต่างๆ ที่ยังคงขาดความพร้อมอยู่มาก)
ปัญหาสำคัญประการหนึ่ง คือ ระบบการทำงานของฝ่ายไทยเองยังมีการขับเคลื่อนน้อยมากกว่าที่คิด ทั้งด้านการเมืองและวัฒนธรรม หากเทียบกับจำนวนคนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกา รวมถึงจำนวนของวัดไทยนับร้อยวัด บทบาทของกงสุลไทยตามสถานกงสุลต่างๆ ทั่วอเมริกาน่าจะถูกปรับให้มีมากขึ้นมากกว่าแค่การรับผิดชอบเรื่องวีซ่าและความเป็นอยู่โดยทั่วไปของคนไทยในอเมริกา ควรให้มีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนไทยกับคนในชุมชนอเมริกันโดยทั่วไปอีกด้วย
เช่นเดียวกับสถานทูตไทยซึ่งรับผิดชอบในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเชิงการทูต ก็ควรถูกปรับให้มีส่วนในการติดตามประเด็นทางด้านธุรกิจหรือทางการค้าเพิ่มขึ้นด้วย จะนับเป็นบทบาทเชิงรุกที่สอดคล้องกับสถานการณ์ร่วมสมัย เหมือนสถานทูตหลายประเทศที่ตั้งอยู่ในอเมริกาเวลานี้ที่ดำเนินการในลักษณะเช่นว่านี้ด้วย
ต.ค.-ธ.ค. พบผู้ป่วยฉุกเฉินที่บริเวณท้องสนามหลวงกว่า 321 คน ส่วนใหญ่เป็นลม หมดสติหายใจติดขัด

กสทช. คาดปี 2559 ส่งรายได้คืนแผ่นดินมากกว่า 4,300 ล้านบาท
แนะสนามบินอังกฤษจัด ‘วันเยี่ยมชม’ ช่วยขจัดความกลัวของผู้ป่วยโรคทางสมอง
ผู้ใช้งานสนามบินอังกฤษกว่า 7,400 คนต่อวันมีความพิการหลบซ่อนอยู่ อย่างอัลไซเมอร์ ฯลฯ ด้วยภาวะหลบซ่อนนี้เอง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่รู้และไม่ได้ดูแลอย่างเหมาะสม-ผู้โดยสารหลายคนกลัว วิตกกังวลเมื่อต้องขึ้นเครื่องบิน ซีเอเอแนะจัดวันเยี่ยมชม เพื่อทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น
17 ธ.ค.2559 เว็บไซต์ดิอินดิเพนเดนท์ของอังกฤษ รายงานว่า สำนักงานการบินพลเรือน หรือซีเอเอ (Civil Aviation Authority: CAA) ของประเทศอังกฤษ แนะให้สนามบินจัด ‘วันเยี่ยมชม’ เพื่อให้คนพิการที่มีความพิการหลบซ่อนได้เปิดเผยตัวเอง และรู้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรเมื่อต้องโดยสารเครื่องบินและใช้งานสนามบิน โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดความกังวลใจของผู้โดยสารที่เป็นโรคดีเมนเทีย ออทิสติกและอาการทางจิตอื่นๆ
เจเรมี ฮิวช์ ผู้บริหารระดับสูงของชมรมผู้ป่วยอัลไซเมอร์ กล่าวว่า บางครั้งสนามบินอาจเป็นที่ที่สร้างประสบการณ์น่าหวาดหวั่นและน่ากลัว สำหรับหลายคนที่เป็นโรคดีเมนเทีย จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่ออกไปท่องเที่ยว และเกิดความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกออกจากสังคม
ดีเมนเทีย (Dementia) จัดอยู่ในโรคกลุ่มอาการสมองเสื่อม ประเภทเดียวกับโรคอัลไซเมอร์ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอาการได้หลายอย่าง เช่น สูญเสียความทรงจำ สูญเสียความสามารถในการจดจำและการใช้เหตุผล อารมณ์แปรปรวน และมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป สาเหตุของดีเมนเทียเกิดจากภาวะความผิดปกติทางระบบประสาท
แดเนียล คาดี จากองค์กรโรคออทิสติกสากลกล่าวว่า เช่นเดียวกับทุกคน คนที่เป็นโรคกลุ่มออทิสติกและครอบครัวต้องการโอกาสได้ออกไปท่องเที่ยวในวันหยุด แม้หลายครอบครัวจะติดพันกับภารกิจประจำวันที่ค่อนข้างยุ่งยาก นอกจากนี้ ยังมีความกลัวว่า คนพิการจะทำเสียงดังและต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่คาดการณ์ไม่ได้ในสนามบิน
นอกจากข้อเสนอดังกล่าว ซีเอเอได้ปล่อยไกด์ไลน์ใหม่สำหรับสนามบิน เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางของผู้โดยสาร และยังช่วยให้ลูกเรือสามารถปฏิบัติต่อผู้โดยสารที่มีความพิการ เช่น หูหนวกหรือพิการทางสายตาได้อย่างไม่เคอะเขิน
นโยบายของไกด์ไลน์นี้ มีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านความปลอดภัยได้รู้จักประสบการณ์และเพิ่มความเข้าใจจากการได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีภาวะดังกล่าว เช่น คนที่มีภาวะพิการหลบซ่อน จะต้องไม่ถูกแยกออกจากผู้ปกครอง เพื่อนหรือคนดูแลระหว่างการตรวจสัมภาระ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะต้องอธิบายถึงขั้นตอนและทำทุกอย่างตามความเหมาะสม
นอกจากนั้น สนามบินถูกคาดหวังให้มี “โซนเงียบ” ที่แยกออกจากส่วนของดิวตี้ฟรีที่เสียงดังและวุ่นวาย เจ้าหน้าที่สนามบินหลายคนเสนอให้คนพิการที่มีภาวะหลบซ่อนสวมใส่เชือกหรือกำไลข้อมือ เพื่อให้ง่ายต่อการระบุตัวตนด้วย
ข้อมูลระบุว่า สนามบินในอังกฤษมีผู้ใช้บริการโดยสารกว่า 700,000 คนต่อวัน และมีคนประมาณ 7,400 คน พิการหรือมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว ภายใต้กฎหมายของยุโรป ผู้โดยสารที่เป็นคนพิการ มีสิทธิที่จะได้รับการดูแลเพิ่มเติมและการช่วยเหลือที่จำเป็น
ริชาร์ด โมเรียลตี ผู้อำนวยการด้านการตลาดและผู้บริโภคของซีเอเอกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่พวกเขารับรู้จากการทำงานกับคนที่มีภาวะพิการหลบซ่อนคือพวกเขาต้องการการช่วยเหลือที่จำเป็น แต่สิ่งที่พบคือ พวกเขามักไม่ได้ข้อมูลที่เพียงพอว่าการช่วยเหลือนั้นมีอะไรบ้างเมื่อต้องการจะท่องเที่ยว เขาคาดหวังว่า ในอีกหกเดือนข้างหน้า สนามบินต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงระบบให้บริการที่เหมาะกับคนพิการมากขึ้น
คริส เกรลิ่ง เลขานุการกรมการขนส่งกล่าวว่า พวกเราสนับสนุนให้สนามบินเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกัน โดยมีที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญและเป็นผู้ให้คำแนะนำ เพื่อให้คนที่มีภาวะพิการหลบซ่อนได้รับประสบการณ์การใช้งานและโดยสารเครื่องบินที่ดีที่สุด
แปลและเรียบเรียงจาก
ศาลปราจีนบุรีรับฟ้องชี้มูลความผิดตำรวจ 4 นาย คดีซ้อมทรมานแล้ว
ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับฟ้อง ชี้มูลความผิดตำรวจ 4 นาย ทำการซ้อมทรมานคดี ‘ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร’ ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจปราจีนบุรีหลังจากเรียกร้องความเป็นธรรมมาตลอดเกือบ 7 ปี
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2559 เวลา 09.30 นาฬิกา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปราจีนบุรีออกนั่งพิจารณา นัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.925/2558 คดีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 คน ได้แก่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี 2 คน และตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน ในข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ความผิดต่อร่างกาย และความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งนายฤทธิรงค์กล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม สอบสวนโดยมิชอบ และนำตนไปทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพ
ศาลได้มีคำสั่งว่าคดีมีมูลและประทับฟ้อง/รับฟ้องเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คน จากทั้งหมด 7 คน โดยศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 4 คน มีพฤติการณ์กระทำผิดกฎหมายตามคำฟ้องโจทก์ สรุปได้ความว่า ศาลพิจารณาพยานหลักฐานที่ได้นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ทั้งรายงานความเห็นแพทย์ที่ตรวจสภาพร่างกายและผลกระทบทางจิตใจโจทก์ ภาพถ่ายบาดแผลตามร่างกาย ประกอบกับคำยืนยันหนักแน่นของนายฤทธิรงค์ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 4 คนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี ได้สมรู้และร่วมกันนำตัวนายฤทธิรงค์เข้าไปในห้องภายในอาคารกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรปราจีนบุรี
แล้วร่วมกันทำร้ายโดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้ายภายในห้องดังกล่าวเพื่อให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยนายฤทธิรงค์ ได้ปฏิเสธว่ามิได้กระทำความผิดดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้ง 4 คน ดังกล่าวจึงมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200, 295, 296, 309, 310 ประกอบมาตรา 83 แล้วศาลได้กำหนดให้วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นวันนัดพร้อม เพื่อสอบคำให้การจำเลยทั้ง 4 คนและกำหนดนัดสืบพยานต่อไป
ส่วนตำรวจอีก 3 นาย ที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีไม่มีมูลและยกฟ้อง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี 2 คน เป็นผู้ควบคุมนายฤทธิรงค์ไป สภ.เมืองปราจีนบุรีและส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนแล้วพนักงานสวนสวนคนดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหายมาชี้ตัวนายฤทธิรงค์ว่าเป็นผู้วิ่งราวทรัพย์โดยการชี้ตัวไม่ถูกต้องตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ฯทั้ง 2 คน ไม่ถึงขั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและอีกคนหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดปราจีนบุรีศาลเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะตอนที่นายฤทธิรงค์ถูกนำตัวออกจากห้องสืบสวนแล้ว เพื่อไปค้นหาสร้อยทองที่บ้านบุคคลอื่นตามที่นายฤทธิรงค์ออกอุบายเพื่อให้รอดชีวิตจากการถูกทรมาน การที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ตบบริเวณศรีษะของนายฤทธิรงค์ เป็นการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ความผิดฐานดังกล่าวมีอายุความเพียงหนึ่งปี เมื่อนายฤทธิรงค์นำคดีมาฟ้องภายหลังจากหมดอายุความจึงเป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ศาลจึงมีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากคดีหมดอายุความ
คดีนี้ถือเป็นคดีที่ประชาชนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ถูกทำร้ายโดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้ายเข้าข่ายความผิดต่ออนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญานี้ด้วย อันมีผลผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการเพื่อป้องกันและต่อต้านการทรมาน แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องและรองรับกับอนุสัญญาดังกล่าวในความผิดอาญาว่าด้วยการกระทำทรมานโดยเฉพาะคดีนี้จึงฟ้องโดยอาศัยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา
หลังทราบคำสั่งศาลดังกล่าวแล้ว นายสมศักดิ์ ชื่นจิตร บิดานายฤทธิรงค์กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่พาลูกร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานภาครัฐหลายสิบหน่วยงานแต่ไม่เป็นผล อีกทั้ง ป.ป.ท. ก็มีมติว่าคดีไม่มีมูลนั้น ตนกับลูกชายแทบสิ้นหวังในกระบวนการยุติธรรม จนกระทั่งได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิฯได้มีการมอบหมายให้ทีมทนายความช่วยเหลือโดยลูกชายนำคดีมาฟ้องเอง แล้วศาลได้มีคำสั่งชี้มูลรับฟ้องดำเนินคดีกับตำรวจ 4 คนดังกล่าวตนกับลูกชายรู้สึกมีความหวังในกระบวนการยุติธรรมบ้างแล้ว แม้จะเป็นก้าวแรกคือศาลรับฟ้องก็ตามซึ่งตนกับลูกชายก็จะต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้คนผิดโดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งรู้และใช้กฎหมายเองเป็นผู้กระทำผิดต้องลอยนวล ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 คน ตนกับลูกชายจะยังคาใจในการปฏิบัติหน้าที่ว่าได้กระทำผิดกฎหมาย แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงเท่ากับอีก 4 คนที่ซ้อมทรมานลูกก็ตาม แต่ก็ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐานในการกระทำที่ขัดต่อหลักความเป็นธรรมกับประชาชนเช่นกรณีลูกชาย จึงจะได้พิจารณาและตัดสินใจอีกทีว่าจะอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกฟ้องหรือไม่
ยูนิเซฟวอนทุกฝ่ายเปิดทางให้ไปช่วยเด็กออกจากเมืองอเลปโป

เครือข่ายพลเมืองเน็ตแจงไม่ได้จัดชุมนุมต้าน พ.ร.บ.คอมฯ สองจุดวันนี้ ชี้การข่าว ตร.พลาดหลายจุด
18 ธ.ค. 2559 เครือข่ายพลเมืองเน็ตชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เครือข่ายพลเมืองเน็ตไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมการแสดงออกต้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งสองงานในวันนี้ พร้อมตั้งคำถามกับงานข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าหากผิดพลาดหลายจุดเช่นนี้ประชาชนจะมั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร รวมถึงแม้แต่ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยในที่สาธารณะยังผิดพลาด จะมีผู้บริสุทธิ์ที่จะตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคง บนข้อมูลที่ผิดพลาดเหล่านี้อีกเท่าใด
อนึ่ง เครือข่ายพลเมืองเน็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ติดตามการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด โดยได้ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำ 300,000 ชื่อของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ร่วมลงชื่อใน change.org ไปยื่นต่อ สนช. เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมายในมาตราที่จะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก่อนที่ที่ประชุม สนช.จะมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 168 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 4 จาก สนช. ที่เข้าร่วมโหวต 172 คน เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
รายละเอียดมีดังนี้
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
วันนี้ 18 ธ.ค. 2559 เวลา 10:15 น. มีผู้อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจของกลุ่มงานจราจร สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ (หมายเลขโทรศัพท์ 0-2226-2099) โทรศัพท์หาผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต เพื่อขอประสานการจัดที่จอดรถ เครื่องขยายเสียง และจุดอำนวยความสะดวก บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมถึงสอบถามว่าจะมีผู้ไปร่วมกี่คน
ทางผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต จึงได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปว่า ทางเครือข่ายพลเมืองเน็ต ไม่ได้เป็นผู้จัดการงานดังกล่าวดังที่ทางตำรวจเข้าใจ
การนัดหมายแสดงออกเรื่อง #พรบคอม วันนี้จะมี 2 นัดหมาย
นัดหนึ่ง นัดโดยเพจ รวมพลเกมเมอร์บุกยึด CAT TOWER คืนจากม๊อบ
บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 14:00 น.
https://www.facebook.com/events/147533619063772/
-- ** อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบเช้านี้ พบว่าอีเวนต์เฟซบุ๊กถูบลบไปแล้ว **
อีกนัดหนึ่ง นัดโดยกลุ่มอิสระ (ในอีเวนต์ไม่ได้มีชื่อกลุ่ม)
บริเวณหน้าลาน Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร / BTS สนามกีฬา เวลา 15:00 น.
https://www.facebook.com/events/410350092630314/
ซึ่งทางเครือข่ายพลเมืองเน็ต ไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมทั้งสองจุด
เท่าที่พูดคุย ผู้ที่อ้างว่าเป็นตำรวจในสายเข้าใจว่า เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) คือกลุ่มเดียวกับ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway และเป็นผู้นัดหมายทั้งสองจุดในวันนี้
ซึ่งความเข้าใจดังกล่าว ผิดพลาดในหลายเรื่อง
1) "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" https://thainetizen.org/about กับกลุ่ม "พลเมืองต่อต้าน Single Gateway" https://www.facebook.com/pg/OpSingleGateway/ เป็นคนละกลุ่มกัน (กรณีเครือข่ายพลเมืองเน็ต สามารถดูชื่อคณะทำงานได้ในเพจ)
2) การนัดหมายในวันนี้ ทั้ง 2 จุด เครือข่ายพลเมืองเน็ตไม่ได้นัด และพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ก็ชี้แจงว่าทางเขาไม่ได้นัดเช่นกันhttps://www.facebook.com/OpSingleGateway/photos/a.424554611087545.1073741828.424552194421120/589302967946041/
3) การนัดหมายทั้ง 2 จุด เป็นคนละกลุ่มกันที่นัด (ดังรายละเอียดด้านบน)
จากกรณีนี้ หากผู้ที่โทรเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.สำราญราษฎร์จริงดังที่อ้าง ก็ทำให้เราสงสัยในงานข่าวของทางการ ว่ากรองมาแค่ไหน และประชาชนจะมั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร
ถ้าข้อมูลพื้นฐาน อย่างกลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน ใครเป็นคนนัดหมาย (ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เปิดเผยกับสาธารณะ เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนเปิดดูได้) ยังพลาดได้ขนาดนี้ ก็ห่วงว่าจะมีผู้บริสุทธิ์อีกเท่าไร ที่จะตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคง บนข้อมูลที่ผิดพลาดเหล่านี้
เพจต้าน Single Gateway ประกาศไม่มีเอี่ยวชุมนุม และไม่รับผิดชอบ
ขณะที่กลางเดึกคืนที่ผ่านมา เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegatewayโพสต์ชี้แจงการชุมนุมในวันนี้ (18 ธ.ค.59) ด้วยว่า พวกเราไม่ได้เป็นผู้จัดการให้มีการชุมนุมในทั้งสองจุดแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ผู้สนับสนุนให้มีการชุมนุมด้วย พวกเราเป็นเพียงตัวกลางในการส่งข่าวให้เพื่อนๆที่ขอร้องให้พวกเรา ช่วยส่งข่าวนี้ให้เพื่อนๆ ในเพจได้ทราบเท่านั้น ดังนั้น หากมีสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เกิดขึ้นจากกลุ่มใด หรือใครก็ตาม นั้นจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเราทั้งสิ้้น
ที่มา เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway
เตือนกลุ่มต้าน พ.ร.บ.คอมเสี่ยงผิดกฎหมาย เตรียมบันทึกภาพผู้ชุมนุม
เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบ 'ผบช.น.' เป็นที่ปรึกษาไทยเบฟฯ
'เพื่อไทย' ชี้ 'กกต.จว.-ผู้ตรวจการเลือกตั้ง' แก้ซื้อเสียงไม่ได้
TCIJ: 10 ปีเทศกาลนับศพปีใหม่ คนไทยตายรวม 3,710 ศพ
รายงานพิเศษจาก TCIJ เปิดสถิติระหว่างปี 2550-2559 พบอุบัติเหตุในช่วงรณรงค์ 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ รวม 35,605 ครั้ง บาดเจ็บ 38,201 คน เสียชีวิต 3,710 ราย สาเหตุหลัก ‘เมาสุรา-ขับเร็ว’ ด้าน ‘มอเตอร์ไซค์’ และ ‘คนในพื้นที่’ เสี่ยงอุบัติเหตุและเสียชีวิตสูงสุด งานศึกษาของตำรวจฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ ชี้อุปสรรคสำคัญคือปัญหาด้าน ‘งบประมาณ-โครงสร้างอัตรากำลังพล’ แนะจัดตั้งกองทุนจราจรโดยนำเงินรายได้ของรัฐ มาสนับสนุนเข้ากองทุนแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สร้างหลักสูตรตระหนักรู้ สอนตั้งแต่เด็กแต่มัธยม
10 ปี 7 วันอันตราย ตัวเลขขึ้นลง ยอดตายรวม 3,710 ราย
ข้อมูลจากการแถลงของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ TCIJ ได้รวบรวมมาจากสื่อต่าง ๆ ระหว่างปี 2550-2559 พบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานั้น อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ในช่วง 7 วันระวังอันตรายมีรวมกัน 35,605 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 38,201 คน และมีผู้เสียชีวิตรวม 3,710 ราย โดยในปีที่มีอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 7 วันระวังอันตรายมากที่สุดคือปี 2551 มีอุบัติเหตุรวม 4,475 ครั้ง ส่วนปีที่มีผู้บาดเจ็บมากที่สุดคือปี 2550 มีผู้บาดเจ็บรวมถึง 4,943 คน และปีที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือปี 2550 ด้วยเช่นกันโดยมีผู้เสียชีวิต 449 ราย
โดยรายละเอียดในแต่ละปีมีดังต่อไปนี้ 1) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2550 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (28 ธันวาคม 2549-3 มกราคม 2550) มีอุบัติเหตุรวม 4,456 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 4,943 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 449 ราย 2) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2551 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (28 ธันวาคม 2550-3 มกราคม 2551) มีอุบัติเหตุรวม 4,475 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 4,903 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 401 ราย 3) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (30 ธันวาคม 2551-5 มกราคม 2552) มีอุบัติเหตุรวม 3,824 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 4,107 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 367 ราย 4) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (29 ธันวาคม 2552-4 มกราคม 2553) มีอุบัติเหตุรวม 3,534 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,827 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 347 ราย 5) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (29 ธันวาคม 2553-4 มกราคม 2554) มีอุบัติเหตุรวม 3,497 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,750 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 358 ราย 6) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (29 ธันวาคม 2554-4 มกราคม 2555) มีอุบัติเหตุรวม 3,093 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,375 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 335 ราย 7) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (27 ธันวาคม 2555-2 มกราคม 2556) มีอุบัติเหตุรวม 3,176 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,329 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 366 ราย 8) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2557 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (27 ธันวาคม 2556-2 มกราคม 2557) มีอุบัติเหตุรวม 3,174 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,345 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 366 ราย 9) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (30 ธันวาคม 2557-5 มกราคม 2558) มีอุบัติเหตุรวม 2,997 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,117 คน ผู้เสียชีวิตรวม 341 ราย และ 10) อุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ในช่วง 7 วันระวังอันตราย (29 ธันวาคม 2558-4 มกราคม 2559) มีอุบัติเหตุรวม 3,379 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,505 คน ผู้เสียชีวิตรวม 380 ราย
‘เมา-ขับเร็ว’ สาเหตุหลัก ‘มอเตอร์ไซค์’อุบัติเหตุสูงสุด คนในพื้นที่เสี่ยงเสียชีวิตสูงสุด
จากสถิติระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2558-4 มกราคม 2559 พบอุบัติเหตุเกิดในเส้นทางตรงร้อยละ 63.89, ถนนทางหลวงแผ่นดินร้อยละ 36.02 ถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 34.42 (ที่มาภาพ : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)
ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ที่รวบรวมสถิติอุบัติเหตุระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2558-4 มกราคม 2559 ระบุว่าแม้จะมีการเข้มงวด ตั้งจุดตรวจหลัก 2,102 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,506 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 550,167 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 89,473 รายแล้วนั้น แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุรวมถึง 3,379 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 3,505 คน ผู้เสียชีวิตรวม 380 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 24.03 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 17.28 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.51 รถปิคอัพ 7.43 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 63.89 ถนนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 36.02 ถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 34.42 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 16.01– 20.00 น. ร้อยละ 28.09 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 52.23 จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 4 จังหวัด ได้แก่ ตรัง แพร่ ระนอง และสุโขทัย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (139 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา (15 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (140 คน) ทั้งนี้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง ร้อยละ 68.82 และส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่กว่าร้อยละ 57
ผู้ปฏิบัติงานชี้ปัญหา คืองบประมาณและโครงสร้างอัตรากำลังพล
จุดตรวจตั้งด่านป้องปรามอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลนั้น ต้องใช้กำลังพลปฏิบัติงานจำนวนมาก ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ มีการขอกำลังเสริมจากหน่วยงานที่มาบูรณาการ เช่น อาสาสมัครเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) มาร่วมทำงานประจำในหน่วยที่ตั้งจุดตรวจต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน และการประสานงานร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านโรงพยาบาลประจำอำเภอ อาสาสมัครสาธารณสุข เป็นต้น (ที่มาภาพ : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)
จากการศึกษาของ พ.ต.ท.วินิจฉัย พินิจศักดิ์ รอง ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ เรื่อง 'ปัญหาและอุปสรรคของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติตามนโยบายการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2556' รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้ทำการศึกษาปัญหาจากตำรวจที่ปฏิบัติการและผู้บริหารสถานีตำรวจ 282 นาย พบว่าอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติตามนโยบายการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ไว้ว่า แต่ละพื้นที่มีนโยบายการป้องกันไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนโยบายกลางซึ่งถูกกำหนดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะมีการกำหนดนโยบายป้องกัน ปราบปราม และเฝ้าระวัง 7 วันอันตรายในช่วงทุกเทศกาลสำคัญ ปัญหาและอุปสรรคในการป้องกันอุบัติเหตุประกอบด้วยปัจจัย 2 ด้าน ปัจจัยภายใน ได้แก่ ด้านงบประมาณมีปัญหามากที่สุด รองลงมาด้านโครงสร้างอัตรากำลังพล และด้านวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้มีปัญหาในระดับมาก รองลงมาด้านบุคลากรมีปัญหาในระดับปานกลาง และด้านผู้บังคับบัญชามีปัญหาในระดับน้อย ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ด้านผู้ขับขี่มีปัญหามากที่สุด รองลงมาด้านสภาพพื้นที่มีปัญหาอยู่ในระดับมาก รองลงมาด้านยานพาหนะ และด้านประชาชนมีปัญหาในระดับปานกลาง และด้านการประสานงานมีปัญหาในระดับน้อย
เมื่อลงลึกในรายละเอียดของปัญหาแต่ละเรื่อง พบว่า ในด้านกระบวนการบริหารจัดการ เนื่องจากเป็นการทำงานตามสายบังคับบัญชา ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องรอคำสั่งตามสายงานบังคับบัญชา ซึ่งมีลำดับยาวมาก ทำให้การตัดสินใจล่าช้า และยังต้องประสบปัญหาที่ฝ่ายบริหารไม่เข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเป้าหมายการปฏิบัติงานในช่วงเทศกาล ต้องการกำหนดตัวเลขสถิติข้อหาการจับกุม เพื่อเสนอผู้บังคับบัญหาโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักในการปฏิบัติและวิธีการที่จะนำไปสู่การป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ การปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ซึ่งบางครั้งก็ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานนั้น ๆ บางครั้งก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มกำลัง
ด้านงบประมาณในการสนับสนุนการทำงานของสถานีตำรวจนั้น พบว่ามีการใช้งบประมาณตามปกติ ในช่วงเทศกาลจะได้รับงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อจ่ายเป็นค่าสวัสดิการและเบี้ยเลี้ยงแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามจุดตรวจตั้งด่าน ซึ่งงบ ประมาณได้รับการสนับสนุนจากแหล่งต่าง ๆ จาก สถานีภูธรจังหวัด งบประมาณจากท้องถิ่น และงบประมาณจากภาค เอกชน ถึงแม้จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานภายนอก แต่งบประมาณก็ยังไม่เพียงพอ ทั้งนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์กำหนดงบประมาณที่จะได้รับให้เพียงพอกับรายจ่ายจริงได้ โดยปัญหาด้านงบประมาณเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานต้องเผชิญ ทั้งนี้ปัญหาด้านอื่น ๆ สามารถขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ แต่ปัญหาด้านงบประมาณนั้น บางครั้งการขอรับความช่วยเหลือจากภาคเอกชน อาจจะได้รับเป็นสิ่งของรางวัลแทนการให้เป็นตัวเงิน ดังนั้น จึงทำให้ไม่มีเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในช่วงเทศกาล แต่ต้องทำงานหนักกว่าเดิม และสถานีตำรวจบางแห่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรองบประมาณตกเบิก ซึ่งใช้เวลานานหลายเดือน ปัญหาเหล่านี้จึงทาให้เจ้าหน้าที่ขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
ส่วนด้านการจัดสรรกำลังพลนั้น ในแต่ละสถานีตำรวจมีการจัดสรรกำลังพลกันเองภายในหน่วยงานตามจำนวนเจ้าหน้าที่ในระบบหมุนเวียน ซึ่งมีฝ่ายธุรการกำลังพลจัดเวรตั้งจุดตรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปอยู่ประจาที่ที่ถูกกำหนด เนื่องจากในช่วงเทศกาล ต้องใช้กำลังพลปฏิบัติงานจำนวนมาก จึงได้มีการขอกำลังเสริมจากหน่วยงานที่มาบูรณาการร่วมในพื้นที่ เช่น อาสาสมัครเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) มาร่วมทำงานประจำในหน่วยที่ตั้งจุดตรวจต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ซึ่งการทำงานได้มีการประสานงาน ร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โรงพยาบาลประจำอำเภอ อาสาสมัครสาธารณสุข เป็นต้น โดยปัญหาที่พบคือในช่วงเทศกาลซึ่งมีการตั้งด่านตรวจหลายจุดมากกว่าในช่วงเวลาปกติ จึงประสบปัญหากำลังพลไม่เพียงพอต่อการตั้งจุดตรวจในแต่ละพื้นที่ และไม่สามารถจัดกำลังเจ้าหน้าที่ให้ครบทุกจุดได้ ในบางครั้งต้องมอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็จะไม่มีชุดตรวจคือ เสื้อสะท้อนแสง และกระบอกไฟฉาย แต่ต้องปฏิบัติงานในด่านกลางคืน ทำให้เสี่ยงอันตรายต่อเจ้าหน้าที่เหล่านี้มาก และการปฏิบัติงานหนักส่งผลให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเครียดขึ้นได้
ในด้านวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้สาหรับการตั้งด่านตรวจเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุจราจรช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2556 นั้นเป็นวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้สาหรับการตั้งจุดด่านตรวจ ปกติใช้อุปกรณ์ชุดเดิมที่มีอยู่ แต่ในช่วง 7 วันอันตรายจะนำอุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้มากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น จึงต้องจัดเตรียมพร้อมอุปกรณ์อยู่ตลอด วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้สาหรับการตั้งด่านตรวจเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ได้แก่ ไฟตั้งด่านอุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว, หลอดไฟราว, เสื้อสะท้อนแสง, กรวย, กระบอกไฟฉายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยปัญหาด้านวัสดุอุปกรณ์นี้สืบเนื่องมาจากปัญหาเรื่องงบประมาณการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการทำงาน และบางครั้งวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ชำรุด ต้องใช้เวลานานในการจัดซื้อ
สำหรับปัจจัยภายนอก เป็นปัญหาที่เกิดนอกหน่วยงาน จากการสอบถามผู้บริหารสถานีตำรวจด้วยคำถามปลายเปิดพบว่าปัจจัยภายนอก ได้แก่ ประชาชนทั่วไป ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากประชาชนขาดวินัยด้านจราจร ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการกวดขันอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด นอกจากนี้ บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่แต่ประชาชนเกิดความไม่พอใจ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการต่อต้าน และมีทัศนคติด้านลบจากประชาชน เนื่องจากการจับกุมผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรนั้น บุคคลเหล่านี้มักจะคิดว่าตนเองไม่ผิด หรือต้องการหลีกเลี่ยงความผิดที่ได้กระทำ บางครั้งจึงมีการตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยคำพูดส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี และขาดขวัญกำลังใจในการบริการประชาชนในที่สุด
ทั้งนี้ ในงานศึกษาของ พ.ต.ท.วินิจฉัย มีข้อเสนอแนะว่า การป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล ควรมีการพิจารณาการจัดตั้งกองทุนจราจรโดยนำเงินรายได้ของรัฐมาสนับสนุนเข้ากองทุน ควรศึกษาการจัดทำรูปแบบหลักสูตรในการฝึกวินัย และให้ความรู้เรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับจราจร การป้องกันอุบัติเหตุ โดยนำหลักสูตรไปใช้ฝึกสอนแก่เด็กมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา มีโครงการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการรณรงค์ในการใช้รถโดยสารสาธารณะในการเดินทางช่วงเทศกาล รวมทั้งมีการควบคุมการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มงวดจริงจัง รวมไปถึงจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก จุดบริการประชาชนเพิ่มขึ้น โดยจุดบริการประชาชนมีการให้บริการแบบ One Stop Service นอกจากนี้รัฐควรเพิ่มการจัดสรรงบประมาณให้ครอบคลุมการทำงานในช่วงเทศกาล และจัดตั้งทีมงานปฏิบัติการเฉพาะกิจช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่แบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานขนส่งทางบก ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน รวมไปถึงกรมทางหลวง เป็นต้น
กลุ่มค้าน พ.ร.บ.คอม ขอ สนช. 'ทบทวน-ยกเลิก' หวั่นกระทบความเป็นส่วนตัวทั้งประชาชนและธุรกิจ
ประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยและกลุ่ม Free Internet Society of Thailand ประท้วง พ.ร.บ.คอม หน้าหอศิลป์ฯ ชี้ให้อำนาจรัฐปิดกั้นการสื่อสาร เปิดโอกาสเจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล การแสดงออกและการทำธุรกรรมทางการเงินไม่ปลอดภัย เรียกร้องให้ สนช. ทบทวนและยกเลิกการประกาศใช้










สมาคมนักเขียน-สื่อเทศแถลงหลังไทยผ่าน พ.ร.บ.คอมฯ ห่วงนักเขียน-สื่อถูกละเมิดหนักข้อ
สมาคมนักเขียนอเมริกา (PEN America) และคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (CPJ) ออกแถลงการณ์กรณีไทยผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หวั่นสิทธินักเขียน-สื่อถูกละเมิดเพิ่มขึ้น
18 ธ.ค. 2559 ความเคลื่อนไหวหลังที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา วันเดียวกัน สมาคมนักเขียนอเมริกา (PEN America) ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขนี้จะยังคงทำให้เกิดการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องและเลวร้ายยิ่งขึ้น
สมาคมนักเขียนอเมริกา ระบุว่า สนช. ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลทหารได้ผ่านร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดย พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับเดิม ถูกวิจารณ์อย่างมากจากกลุ่มที่ทำงานเรื่องสิทธิในความเป็นส่วนตัว ข้อมูลจากองค์กรฟอร์ติฟายไรท์ ระบุว่า เฉพาะปีนี้ มีข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ที่เข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล 399 ข้อกล่าวหา และระหว่างที่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ ก็มีประชาชนกว่า 300,000 คนร่วมลงชื่อคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว
สมาคมนักเขียน อเมริกา ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในร่างใหม่นี้ ประกอบด้วย 1.การกำหนดโทษจำคุกไม่เกินห้าปี สำหรับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ การบริการสาธารณะ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
2.การให้อำนาจคณะกรรมการของรัฐ (คณะกรรมการกลั่นกรอง) ในการร้องขอต่อศาลให้สั่งนำเนื้อหาออนไลน์ซึ่งเข้าข่ายขัดศีลธรรมอันดีของประชาชนออก แม้ว่าเนื้อหาดังกล่าวจะไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดเลยก็ตาม
3.ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการขอข้อมูลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องมีหมายค้น
คาริน ดอยช์ คาเลคาร์ ผู้อำนวยการ โครงการเสรีภาพที่ตกอยู่ในความเสี่ยง ของสมาคมนักเขียนอเมริกา แสดงความเห็นว่า กฎหมายใดที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ควรต้องยึดหลักการสำคัญเรื่องการปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออกของปัจเจก ซึ่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ พ.ศ. 2550 นั้นล้มเหลวในจุดนี้และแทนที่ร่างแก้ไขฉบับที่ผ่าน สนช. จะแก้ปัญหาดังกล่าวก็กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดอย่างเห็นได้ชัด
"เราเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยให้สัญญากับสาธารณะว่าจะไม่มีการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล"
ที่ผ่านมา สมาคมนักเขียน อเมริกา เคยออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อเสรีภาพในการแสดงออกที่ถดถอยของประเทศไทยตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เป็นต้นมา ทั้งนี้ สมาคมนักเขียน อเมริกา พบว่า ในจำนวนเคสที่เก็บข้อมูลมาได้จากทั่วโลกนั้น เกือบ 50% ของนักเขียนที่ถูกลงโทษจำคุก มาจากการเขียนหรือแสดงความเห็นทางออนไลน์
ด้านคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (CPJ) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านเสรีภาพสื่อที่มีสำนักงานในสหรัฐฯ ก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะให้อำนาจรัฐให้การเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตโดยใช้เกณฑ์ที่คลุมเครือและกว้างขวางเกินไป
เช่นเดียวกับสมาคมนักเขียน อเมริกา คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวได้แสดงความกังวลต่อการกำหนดโทษจำคุกห้าปี สำหรับการนำเข้าข้อมูลเท็จที่อาจกระทบต่อความมั่นคง การมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาปิดเว็บที่ไม่ผิดกฎหมายแต่ขัดศีลธรรมและการให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐขอข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล
ชอว์น คริสปิน ตัวแทนอาวุโสจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ที่ผ่านมา กฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ของไทยเป็นภัยคุกคามต่อผู้สื่อข่าวที่ทำงานออนไลน์ การแก้ไขที่คลุมเครือและกว้างเกินไปมีแต่จะอันตรายยิ่งขึ้น
"รัฐบาลทหารไทยมักเอาความเห็นกับกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมมาผสมรวมกัน และการแก้ไขกฎหมายนี้จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่กว้างขวางกว่าเดิมในการจัดการกับผู้เห็นต่าง การแก้กฎหมายนี้ควรต้องถูกยกเลิกและหากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้อีกในอนาคต ควรจัดให้การประกันเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงออกมาเป็นอันดับหนึ่ง" ชอว์น คริสปิน ระบุ
CPJ ระบุว่า ที่ผ่านมา กฎหมายมักถูกใช้คู่กับประมวลกฎหมายอาญา เพื่อจัดการกับผู้สื่อข่าวออนไลน์ และขณะที่บอกว่าจะใช้ป้องกันการก่อการร้ายหรือเพื่อความมั่นคง กฎหมายก็มักถูกใช้เพื่อจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
แปลและเรียบเรียงจาก
https://cpj.org/2016/12/thai-legislation-threatens-online-freedoms.php
หมายเหตุประเพทไทย #136 ผู้นำหญิงในพื้นที่การเมืองของสุนทรพจน์
ในพื้นที่ทางการเมืองที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงที่เข้าสู่พื้นที่การเมืองเช่นนี้จะต้องใช้คำพูดคำจาอย่างไร “หมายเหตุประเพทไทย” สัปดาห์นี้ เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี และปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ สนทนากับ ภาวิน มาลัยวงศ์ อาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมวิเคราะห์สุนทรพจน์ของผู้นำหญิงอย่างฮิลลารี คลินตัน ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา โดยตลอดการโต้อภิปราย3 ครั้ง กับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ‘คลินตัน’ ต้องปรับปรุงถ้อยคำที่ใช้ โดยเลี่ยงคำศัพท์ที่แสดงความเป็นผู้หญิง เลือกใช้ประโยคความซ้อน ประโยคความรวม เพื่อสื่อว่ามีมุมมองกว้างไกล มีความคิดลึกซึ้ง แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ ในขณะที่ทรัมป์เลือกใช้คำพูดแรงๆ เพื่อตอบโต้ในการอภิปราย
ภาวินเสนอด้วยว่า จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2016 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าบรรดานักการเมืองชายที่กล่าวปราศรัยตั้งแต่ เบอร์นี แซนเดอร์ส, บารัก โอบามา หรือโดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้ภาษาแบบไหนก็ได้ ทั้งเหตุผลหรืออารมณ์ ก็ไม่ถูกโจมตี ในขณะที่หากเป็นนักการเมืองหญิงไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็จะต้องถูกตั้งแง่ หรือโจมตีทางการเมือง
ในช่วงท้ายของรายการภาวิน และปองขวัญ ยังสนทนาถึงการกล่าวสุนทรพจน์ของฮิลลารี คลินตัน เทียบกับนักการเมืองหญิงทั้งมิเชล โอบามา หรือนักการเมืองหญิงฝั่งเอเชียอย่างออง ซาน ซูจี ที่มักจะแสดง “ความแม่” อยู่ในสุนทรพจน์ด้วย
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ