Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

ภาพลักษณ์ของชาวนาจากอดีตสู่อนาคต

$
0
0

หากขอยืมการจัดประเภทเกษตรกรและผู้ประกอบการในชนบทของ McElwee ที่ กฤตภัค งามวาสีนนท์[2]นำเสนอไว้พร้อมตัวอย่างการเกิดขึ้นของเกษตรกรผู้ประกอบการ และผู้ประกอบการชนบท ในต่างประเทศหลายๆกรณี[3]ซึ่งล้วนเกิดจากเงื่อนไขเฉพาะของเกษตรกรและบริบทของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ของประเทศนั้นๆมาใช้ทำความเข้าใจการปรับตัวของชาวนาไทยในสถานการณ์ที่ชาวนาไทยกำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวตกต่ำ  รัฐบาลทหารกำลังจะลดการอุดหนุนด้านราคาข้าว  หรือทำอย่างเสียไม่ได้ และไม่ทันเวลา แล้วหันมาปรับโครงสร้างการเกษตร สารพัดโครงการภายใต้แนวนโยบายประชารัฐ และการทำนาแปลงใหญ่โดยดึงภาคเอกชนยักษ์ใหญ่หลายองค์กรเข้ามามีบทบาทแทนรัฐตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ จึงน่าสนใจว่าภายใต้การชูประเด็น “ความมั่นคงทางอาหาร” ของนักส่งเสริมการเกษตรทั้งภาครัฐ และ NGOs จะส่งผลต่อการปรับตัวของชาวนาทั้งในแบบปัจเจกและองค์กรชาวนาอย่างไร

เกษตรกรที่บางเงา[4]ร้อยทั้งร้อยมีพ่อแม่เป็นชาวนา และส่วนใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนอาชีพถึงร้อยละ 63.3 ส่วนผู้ที่เปลี่ยนอาชีพจากชาวนาไปเป็นอาชีพอื่น มีสาเหตุการเปลี่ยนอาชีพ 7 ข้อ ซึ่งมี สาเหตุ 3 อันดับแรก คือ 1.รายได้ไม่พอ ร้อยละ 42, 2.ผลผลิตตกต่ำ ร้อยละ 32.5, 3.ภาระหนี้สิน ร้อยละ 26.7, 4.สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ร้อยละ 20  อย่างไรก็ตามพบด้วยว่า เกษตรกรในบางขุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเสริมร้อยละ 61.7  

สำหรับการประเมินทัศนคติต่ออาชีพของตน 4 ประเด็นคือ มีความชอบและมีความสุข ความภูมิใจและความพอใจ การประสบความสำเร็จ และการได้รับการยอมรับจากสังคม ที่ให้กลุ่มเป้าหมายตอบว่าตนอยู่ในระดับไหน ตั้งแต่ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เกษตรกรบางเงาส่วนใหญ่ ให้คะแนนว่าอยู่ในระดับปานกลาง กล่าวคือ ตนชอบและมีความสุข เท่ากับความภูมิใจและพอใจในอาชีพ ระดับปานกลาง ร้อยละ 43.3, ประสบความสำเร็จ ปานกลาง ร้อยละ 52.5, และได้รับการยอมรับจากสังคม ปานกลาง ร้อยละ 61.7  

ต่อคำถามถึงระดับความต้องการของตนต่อการสืบทอดอาชีพเกษตรกร พบว่าต้องการให้ลูกหลานสืบทอดอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 60.2 และยังต้องการขยายพื้นที่พื้นที่เกษตรกร ร้อยละ 67 ทั้งนี้พวกเขายังประเมินว่าอาชีพเกษตรกรรมมีความมั่นคงในระดับปานกลาง ร้อยละ 55 และ มากร้อยละ 25  ทั้งๆที่รายได้จากครัวเรือนรายปีจากภาคเกษตรน้อยกว่ารายได้นอกภาคการเกษตร  กล่าวคือมีรายได้ที่ไม่ใช่ภาคเกษตรสูงถึงร้อยละ 86.2 และมีรายได้จากภาคเกษตรเพียง 13.5 หรือมีรายได้ที่ไม่ใช่ภาคเกษตรสูงกว่ารายได้ภาคเกษตรถึง 6.39 เท่า  ผลสำรวจจากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกร 120 รายที่กระจายตัวใน 12 ตำบลแบบสุ่มตำบลละ 10 รายนี้ทำให้ผู้วิจัยเกิดคำถามว่า “ความมั่นคงในอาชีพเกษตรกร” ของเกษตรกรแต่ละรายเมื่อนำมาประมวลเข้ากันแล้วเราจะนิยามมันอย่างไร?

 

เปรียบเทียบสัดส่วนรายได้ในและนอกภาคเกษตรที่บางเงา  

เมื่อมาดูในระดับไร่นา เกษตรกรที่นี่ไม่มีลูกหลานช่วยกิจกรรมการเกษตรถึงร้อยละ 76.5 และให้ความสำคัญกับให้ลูกหลานมีการศึกษา ดังจะดูได้จากตัวเลขของบุตรที่กำลังศึกษา มีร้อยละ 45.3 และจบการศึกษาแล้วร้อยละ 50.3 โดยบุตรที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมและมัธยมปลาย ในขณะที่บุตรที่จบการศึกษาแล้วมีการกระจายตัวทุกระดับการศึกษา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย รองลงมาจบมัธยมปลาย และอันดับ3 มี 2 ระดับ คือจบประถมศึกษาและปริญญาตรี และ อันดับสุดท้าย จบอนุปริญญาหรือปวส.หรือเทียบเท่า  ซึ่งเมื่อถามถึงการคาดการณ์ของพ่อแม่ต่อลูกหลานว่าลูกหลานจะเรียนสาขาการเกษตรหรือไม่ โดยให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือก 5 ระดับ คือ ไม่เลย, น้อย, ปานกลาง, มาก, และมากที่สุด ก็พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 31.1 ตอบว่าไม่คาดหวังเลย อันดับ2 ปานกลาง ร้อยละ 31.1, อันดับ3 เล็กน้อย ร้อยละ 18.5, อันดับ4 มาก ร้อยละ 16.8, และอันดับ5 มากที่สุด ร้อยละ 2.5 ซึ่งนั่นหมายความว่า พ่อแม่เกษตรกรบางขุดส่วนใหญ่ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะเรียนสาขาด้านการเกษตร  ส่วนการคาดการณ์ว่าลูกหลานจะพอใจหรือยินดีประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรือไม่นั้นพบว่า  ส่วนใหญ่ร้อยละ 35 คาดหวังระดับปานกลาง รองลงมาร้อยละ 27.5 ไม่คาดหวังเลย และคาดหวังเล็กน้อย ร้อยละ 18.3 ทั้งนี้ยังพบอีกด้วยว่าโอกาสทางการศึกษาเป็นปัญหาอุปสรรคขัดขวางการขยายโอกาสของครัวเรือนในระดับปานกลางถึงร้อยละ 62.5

กล่าวโดยสรุปก็คือเกษตรกรบางเงาเห็นว่าอาชีพการเกษตรดูจะมีความมั่นคงปานกลางและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมระดับปานกลาง ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้อาชีพเกษตรกรและการดำรงชีพของครัวเรือนคงอยู่ได้ของที่นี่คือการรายได้เสริมนอกภาคการเกษตรซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้จากการทำเกษตร และแม้ต้องการจะให้ลูกหลานสืบทอดอาชีพการเกษตรแต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่า ณ ปัจจุบัน จะมีลูกช่วยเหลือกิจกรรมในระดับไร่นา อีกทั้งยังเห็นว่าการให้บุตรได้รับศึกษาเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสในเพิ่มรายได้ครัวเรือนในอนาคต ซึ่งเมื่อสะสมทุนมากพอก็จะสามารถกลับมาสืบทอดการทำเกษตรของครอบครัวได้  อาชีพเกษตรกรรมจึงเป็นอาชีพค้ำยันเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของลูกหลานในอนาคต


การทำนาใช้หนี้ของชาวนาไร้ที่ดิน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งของชาวนาบางเงาก็คือ ปัญหาที่ดิน  การศึกษานี้พบว่าเกษตรกรที่นี่เป็นเกษตรกรรายย่อยมีกลุ่มเกษตรกรที่การถือครองที่ดินไม่เกิน 15 ไร่ ร้อยละ 59.3  และกลุ่มเกษตรกรที่มีการถือครองที่ดินไม่เกิน 25 ไร่ ร้อยละ 77  ถึงจะมีผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเพียงร้อยละ 29.13 แต่ยังพบอีกว่าเกษตรกรที่หนี้มีหนี้สินสูงถึงร้อยละ 90 โดย รวมหนี้ค้างชำระทั้งหมด 34,825,886.88 สูงสุด ได้แก่ ธกส. 19,134,999.99 บาท ร้อยละ 55, อันดับ2 สหกรณ์การเกษตร 8,102,000.25 บาท ร้อยละ 23.3, อันดับ3 กองทุนหมู่บ้าน 3,130,819.04 บาท ร้อยละ 9, อันดับ4 เงินกู้นอกระบบ 1,565,000 บาท ร้อยละ 4.5, อันดับ5 ร้านค้าเคมีภัณฑ์การเกษตร 1,228,965.50 บาท ร้อยละ 3.5, อันดับ6 ธนาคารพาณิชย์ 870,000 บาท ร้อยละ 2.5,  อันดับ7 ญาติ เพื่อนบ้าน 460,666.68 บาท ร้อยละ 1.3, และ อันดับ8 กองทุนฟื้นฟู 153,435.00 บาท ร้อยละ 0.4  

พวกเขายังสะท้อนปัญหาที่ดินด้วยว่า การไม่มีที่ดินทำกินเป็นปัญหามากกว่าการออกเอกสารสิทธิ และให้ระดับความสำคัญว่าปัญหาไม่มีที่ดินทำกินเป็นปัญหามากอันดับ1 ร้อยละ 94.9 สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตข้าว ที่พบว่า ค่าเช่าที่ดิน เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดของการลงทุนการผลิตข้าวร้อยละ 22.43  เมื่อถามถึงสาเหตุการเป็นหนี้  พบว่ามีสาเหตุมากจาก อันดับ1 รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 79.6, อันดับ2 ราคาผลผลิตตกต่ำ ได้น้อย หรือขายไม่ได้ ร้อยละ 64.6,  อันดับ3 ได้รับความเสียหาย 48.7, อันดับ4 มีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน, อันดับ5 ไม่ได้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ ร้อยละ 1.8, อันดับ6 ติดสารเสพติด ร้อยละ 0.9 และ อันดับ7 อื่นๆ (ส่งลูกเรียน) ร้อยละ 0.8 ดังนั้น การทำนาในที่นี้จึงหมายถึงการทำนาเพื่อไม่ให้โดนยึดที่ดิน หรือทำนาใช้หนี้นั่นเอง


ภัยแล้งและวิธีรับมือของชาวนา

เมื่อพิจารณาปัญหารายได้ไม่พอจ่ายและใช้หนี้จากปัจจัยต่างๆที่เป็นปัญหาอุปสรรคที่ขัดขวางแนวทางการเพิ่มรายได้  14 ปัจจัย โดยให้ผู้ตอบแบบสอบถามจัดเรียงลำดับความรุนแรงออกเป็น 5 กลุ่ม มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด พบว่ามีความน่าสนใจ ปัจจัยที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับต้นๆส่วนใหญ่เป็นปัญหาระดับโครงสร้าง ที่เกษตรกรควบคุมไม่ได้หรือสามารถบริหารจัดการได้เพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือปัจจัยที่เป็นปัญหามากที่สุด เรียงลำดับ จากมากไปน้อย ดังนี้ 1.ภัยแล้ง (59.2), 2.ราคาผลผลิตตกต่ำ(57.5), อันดับ3 น้ำไม่เพียงพอ(44.2), อันดับ4 ต้นทุนการผลิตสูง (38.3), อันดับ5 ปริมาณ คุณภาพผลผลิต(28.6), อันดับ6 ขาดการแปรรูป(27.7), อันดับ7 ไม่มีที่ดิน (24.2), อันดับ8 ศัตรูพืช/โรคระบาด(20.8) อันดับ9 ไม่มีอาชีพและขาดแหล่งเงินกู้ (19.3), อันดับ10 น้ำท่วม (18.5), อันดับ11 ขาดแรงงาน(17.6), อันดับ12 ดินไม่อุดมสมบูรณ์(16), และอันดับ13 ข่าวสาร(7.5) 

จึงไม่น่าแปลกใจว่าชาวนาส่วนใหญ่ยังต้องการให้รัฐใช้มาตรการอุดหนุนด้านราคาผลผลิตให้กับชาวนา ส่วนการสำรวจระดับความพึงพอใจในการเข้าร่วมโครงการต่างๆของรัฐ พบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ให้คะแนนทุกโครงการระดับปานกลาง โครงการที่ได้ระดับคะแนนมากที่สุด เรียงจากมากไปน้อย คือ 1.การสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรร้อยละ 11.8, อันดับ2 มี 2 โครงการเท่ากัน คือการพักชำระหนี้และการชดเชยจากภัยพิบัติ ร้อยละ 9.2, อันดับ3ประกันภัยนาข้าวธกส. ร้อยละ 6.7,  อันดับ4 การช่วยเหลือเกษตรกรลดต้นทุน ร้อยละ 5.8, อันดับ5 การแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ร้อยละ 4.2, และ อันดับ6 หนี้นอกระบบ ร้อยละ 1.7 และเมื่อรวมระดับความพึงพอใจมากที่สุดและมากเข้าด้วยกัน พบว่าโครงการที่ได้คะแนน เรียงจากมากไปน้อย คือ 1.การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกร ร้อยละ 33.6,  อันดับ2 การพักชำระหนี้ ร้อยละ 32.5, อันดับ3 การประกันภัยนาข้าว ร้อยละ 27.5, และอันดับ4 การชดเชยจากภัยพิบัติ ร้อยละ 25.9

ปี 2559 ประเทศไทยเผชิญภาวะแห้งแล้งที่สุดในรอบ 20 ปี ปริมาณน้ำที่ขาดแคลนสะสมตั้งแต่ปี 2557 ต่อเนื่องถึงปี 2558 พายุฝนมาเพียงน้อยนิด [5]ในขณะที่ปีหลังจากมหาอุทกภัย’2554 คือตั้งแต่ปี2555-2558 ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาภัยแล้งซึ่งค่อยๆทวีความแล้งรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้รัฐบาลคสช.จะมีนโยบายแก้ปัญหาภัยแล้ง เช่น แจกเงินชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ ที่เคยดำเนินงานไปเมื่อปี2557 และแจกซ้ำในเดือนตุลาคม 2559 โดยลดลงเหลือเพียง 10ไร่ ก็เป็นเพียงมาตรการชั่วเหลือเพียงชั่วคราว หรือแม้การส่งเสริมให้เปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปเป็นพืชไร่ต่างๆที่ใช้น้ำน้อยกว่า ก็ยังคงมีชาวนาเลือกที่จะทำนาสู้ภัยแล้ง

ในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ชาวนาปรังภาคกลางหลายพื้นที่ต้องรวมพลกันเป็นร้อยเพื่อไปขอให้เปิด ประตูน้ำ การจัดหาน้ำให้ในหน้าแล้งเป็นประเด็นหาเสียงของสมาชิกสภาเทศบาล เทศบาลหรืออบต.ต่างๆ มักมีงบขุดลอกคูคลองทุกปี  หากเปรียบเทียบการรับมือภัยแล้งของชาวนาในยุครัฐบาลประชาธิปไตยกับยุคคสช. ในพื้นที่เดียวกันเราจะเห็นความแตกต่างของวิธีการและผลกระทบได้ชัดเจน ปี2556 ชาวนาที่ยังทำนาสู้แล้งใน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ทำนาข้าวกว่า 7,500 ไร่ ที่ต้องการน้ำทำนาใช้วิธีระดมพลชาวนาพร้อมยื่นหนังสือถึงเจ้าหน้าที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบรมธาตุให้ปล่อยน้ำและกำจัดผักตบชวาที่ขัดขวางทางน้ำ โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นผู้ประสานงาน[6]   แต่ในยุค คสช. หากชาวนาต้องการน้ำวิดเข้านาในช่วงแล้ง ก็จะต้องถูกการระงับอย่างเด็ดขาดโดยหน่วยทหารที่เฝ้าคูคลอง ชาวนาต้องยอมปล่อยนาที่ปลูกข้าวนาปรังรอบแรกต้นปี2559 แล้วกว่า 1,000 ไร่ นาน 70 วัน ยืนต้นตาย[7]

หลังจากรัฐประหาร ทหารเข้ามาในหมู่บ้านแล้วคอยสอดส่องดูว่าภายในบางเงามีความเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อชาวบ้านกลุ่มต่างๆมีแนวโน้มจะรวมตัวกันเคลื่อนไหวก็จะเข้ามาพบ ซักถาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวร้องเรียนเพื่อ “รักษาความสงบ” เอาไว้ ในขณะที่ชาวนาในพื้นที่อื่นๆ กลับมีวิธีการรับมือกับภัยแล้งที่แตกต่างกันไป  อาทิ กรกฎาคม 2558 อบต.บ้านเก้าช่าง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี พยายามแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวนาในพื้นที่ของตนและพื้นที่ข้างเคียงขาดน้ำโดยสร้างคลองส่งน้ำเทียมชั่วคราวด้วยกระสอบทรายบนถนนเลียบคลองชลประทานยาว 4 กม. และใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากแม่น้ำส่งเข้าทุ่ง ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสำนักงานชลประทานที่10 สระบุรี และทหารมฑบ.13ลพบุรี[8]และ อบต.ราชสถิต อ.ไชโย จ.อ่างทอง และชาวนาร่วมกันสูบน้ำเข้านา 2,000 ไร่ สู้ภัยแล้ง [9]

ความเข้มแข็งขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นเหล่านี้คงไม่ได้เกิดขึ้นโดยตัวเองเพียงฝ่ายเดียว หากแต่มีปัจจัยเงื่อนไขที่เกี่ยวเนื่องกับฐานเสียงของสมาชิกในท้องถิ่น รวมทั้งคู่แข่งทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ที่ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์กับฐานเสียงซึ่งการเมืองระดับท้องถิ่นนี้มีผลโดยตรงต่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นอปท.และฐานเสียงซึ่งเป็นเครือญาติในชุมชนนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่บ้านกำนันในหมู่บ้านเฉื่อยชาเกิดจากการขาดคู่แข่งทางการเมืองที่จะมาแข่งกันสร้างผลงานให้เข้าตาชาวบ้านที่เป็นผู้ลงคะแนนเสียง ทั้งนี้ตั้งแต่ยุครัฐบาลอภิสิทธิได้แก้ไขให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่มีอายุทำงานจนถึงเกษียนอายุราชการแทนการที่ชาวบ้านต้องเลือกทุก 4 ปี จนเมื่อคสช. มีประกาศไม่ให้มีการเลือกตั้งอปท.ตั้งแต่หลังรัฐประหารปี2557 ไม่นาน บทบาทของชาวบ้านในหมู่บ้านที่จะใช้สิทธิในการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมในระบบแข่งกันทำงานและติดตามตรวจสอบตามวิถีประชาธิปไตยก็ยิ่งขาดหายไปเลย


การอุดหนุนชาวนาโดยรัฐ และภาพสะท้อนจากสังคม

เมื่อราคาข้าวตกต่ำ สังคมไทยจะได้ยินรัฐและบรรดาผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกกับชาวนาผ่านสื่อต่างๆว่า ชาวนาต้องปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพและปรับตัวให้กลายเป็นเกษตรกรผู้ประกอบการ พัฒนาระบบการผลิตและจำหน่ายผลผลิตครบวงจร และสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน หรือไม่ก็ให้กลับไปเป็นชาวนาพอเพียง

สำหรับชาวนาบางเงา อาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันชาวนาที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวนาทำนาใช้หนี้ การมีหนี้ค้ำคอในขณะที่ราคาผลผลิตตกต่ำจนไม่สามารถใช้หนี้ได้ จึงยิ่งกว่าการทำลายโอกาสสะสมทุนเพื่อขยับขยายหรือปรับปรุงกิจกรรมการผลิตของตนเองได้อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญชี้แนะ ลำพังชาวนาไร้ที่ดินที่ส่วนใหญ่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงต้องกู้ยืมจากญาติ คนในชุมชน หรือร้านค้าเคมีภัณฑ์การเกษตร จะซื้อเชื่อปัจจัยการผลิตจากร้านค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่นถึง 2 ต่อ คือ ราคาปัจจัยการผลิตที่ถูกบวกเพิ่มราคาและดอกเบี้ยในอัตรา 2-3 บาท/เดือน หรือ ร้อยละ 24-36 บาท/ปี นอกจากนี้ชาวนาไร้ที่เหล่านี้จะต้องมีใบอนุญาตกู้จากเจ้าของที่ดินให้เช่า โดยเถ้าแก่ร้านค้าจะต้องให้เจ้าของที่ดินยืนยันรับรองกับร้านว่าผู้เช่านารายนั้นๆจะสามารถใช้เงินคืนได้เมื่อมีการเก็บเกี่ยวและขายผลผลิต

“ชาวนาต้องลดต้นทุน” คำที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายบอกเมื่อมีปัญหาราคาข้าว เราจะพบในทางปฏิบัติของพวกเขาก็คือ เมื่อข้าวราคาตก พวกเขาจะหันไปหาปุ๋ยอินทรีย์ที่มีราคาถูกมาผสมกับปุ๋ยเคมี หรือลดปริมาณปุ๋ยเคมีลง เมื่อราคาข้าวเพิ่มขึ้นราคาปุ๋ยก็มักจะเพิ่มด้วย และหลายๆครั้งที่เมื่อราคาข้าวลดลงแล้ว ราคาปุ๋ยไม่ได้ลงตามราคาข้าว  พฤติกรรมของชาวนาในลักษณะนี้ทำให้เกษตรกรแกนนำในพื้นที่ศึกษารายหนึ่งบอกว่า จำนวนชาวนาที่ทำอินทรีย์หรือชาวนาลดต้นทุนมันขึ้นๆลงๆปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่เมื่อมีวิกฤตราคาข้าวรอบล่าสุด ชาวนาที่นี้ลดต้นทุนการผลิตลงจากเดิมไร่ละ 6,500-7,500 บาท เป็น 4,500–5,500 บาท  ล่าสุดเมื่อมีโครงการนาแปลงใหญ่ใกล้ๆบางเงา ชาวนาบางรายก็จะหันไปใช้การลดปริมาณพันธุ์ข้าวที่เคยหว่านด้วยการจ้างรถเครื่องหยอดเมล็ดแทน ซึ่งลดปริมาณพันธุ์ข้าวจากไร่ละ 3.5 ถัง เป็น 20-30 กก. โดยต้องเสียค่าจ้างหยอดไร่ละ 100-150 บาท แต่บางรายยังตั้งข้อสงสัยว่าวิธีการดังกล่าวจะต้องทำการเขตกรรม จัดการหญ้าต้องประณีตขึ้น และอาจจะต้องลดขนาดพื้นที่ทำนาลง ส่วนบางรายที่มีทุนน้อยก็จะใช้วิธีลดต้นทุนด้วยการลงแรงตัวเองมากขึ้นและจ้างน้อยลง ส่วนการหารายได้เพิ่มจากการรับจ้างในและนอกภาคเกษตรในยุคคสช.กลับกลายเป็นความยากลำบากกว่ายุคที่เพิ่งผ่านมา

สอดคล้องกับผลสำรวจเชิงปริมาณเพื่อหาปัจจัยเงื่อนไขที่มีผลต่อการตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตร ที่การวิจัยออกแบบกำหนดไว้ 5 ปัจจัย ราคาผลผลิต ต้นทุน รายได้, กำลังแรงงาน, สุขภาพและการเจ็บป่วย, สภาพดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อม, และ การสนับสนุนและการส่งเสริม โดยให้ผู้ตอบเลือกเพียง 1 ข้อ ซึ่งได้คำตอบว่า ราคาผลผลิต ต้นทุน รายได้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตเป็นอันดับ1 ร้อยละ 61.6, อันดับ2 สภาพดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 22.3, อันดับ3 กำลังแรงงาน ร้อยละ 6.3, อันดับ4 สุขภาพและการเจ็บป่วย ร้อยละ 5.4, และ อันดับ5 การสนับสนุนและการส่งเสริม ร้อยละ 4.5

จากข้างต้น ปัญหาชาวนามีหนี้ และชาวนาไร้ที่ดินทำกินไม่สามารถปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไปสู่ระบบการผลิตที่เน้นคุณภาพการผลิตมากกว่าปริมาณผลผลิตจึงเป็นปัญหางูกินหาง  จนกระทั่งชาวนาบางเงาหลายรายสะท้อนว่า “การทำเกษตรผสมผสานแบบพออยู่พอกิน มันก็ได้แค่กิน เหลือขายนิดหน่อย แต่ไม่พอใช้หนี้” หรือ “จะใช้หนี้(จากการทำนา)ได้ต้องตัดที่นาขายไปแล้วค่อยทำแบบพออยู่พอกินถึงจะอยู่ได้” และตอบสนองท่าทีของรัฐหรือหน่วยงานที่มาส่งเสริมเกษตรกรในตำบลผ่านกิจกรรมการฝึกอบรมต่างๆ ว่า

“มาตรฐาน GAP สินค้ามาตรฐานของหน่วยงานมาอบรมบางครั้งเราก็ไม่ได้ไป ไม่มีเวลาไปมีภาระมาก หรือต้องไปที่อื่น GAP เป็นมาตรฐานที่ส่งออกข้าวได้แต่เราขาดความรู้และบางทีก็ต้องใช้ทุน”

หรือ “บางครั้งมาอบรมแล้วไม่มีงบประมาณมาลงทั้งที่ชาวบ้านบางคนที่ร่วมอบรมอยากจะเรียนรู้ แต่มาแล้วก็ไป” 

บางครั้งถึงกับย้อนแย้งในเวทีประชุมสัมมนาด้วยลีลาเนิบๆ ว่า  “ถึงเราจะอยู่พอเพียงอย่างไรแต่หนี้มันมีมาตั้งนานแล้ว ประชารัฐให้มาก็เอา แต่เป็นแค่การซื้อเวลา เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเมื่อก่อนเราอยู่โลกมายา ปีนี้ฝนไม่ตกด่าผู้นำ ข้าวไม่แพงด่าผู้นำ น้ำท่วมก็ด่าผู้นำ อะไรก็ด่าผู้นำ แต่ที่จริงเขาก็ช่วยมาเป็นระยะๆ แต่การช่วยมันก็ต้องมีขั้นตอน เขาก็ต้องมีกรอบรมนโยบาย คิดเอาเอง เอาเหตุเอาผลมาพิจารณาดูว่าเราสมควรไหมเราอยู่กันอย่างนี้ อย่างไรเราก็ต้องประการแรกลดต้นทุน ปลูกผักกินเหลือกินเอาไว้ขาย อย่างไรก็ต้องลดต้นทุน กินอาหารที่ปลอดภัย เราต้องผลิตสินค้าให้ได้ตาม GAP เพราะถ้าไม่ได้ตามมาตรฐานนี้สินค้าจะขายไม่ได้ เราต้องเตรียมตัวไว้อย่างนี้ อนาคตต้องเจอแน่ รัฐส่งเสริมอะไรมาเราต้องรับไว้ ไม่อยากรับก็ฝืนใจหน่อย นั่งหลับใหลฟังเขาไปเถอะ”


ภาพสะท้อนของภาพลักษณ์ชาวนากับปัญหาการลดทอนอำนาจต่อรองของพวกเขาในวิถีประชาธิปไตย

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วว่ากระบวนการส่งเสริมเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตอาหารเพื่อสุขภาวะยังทำได้จำกัด และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นมิตรต่อเกษตรกรที่ยากจน มีหนี้สิน และไร้ที่ดินทำกิน  อีกทั้งเมินเฉยกระบวนการปรับตัวของเกษตรกรที่เลือกที่จะต่อสู้ในระบบการผลิตแบบก้าวหน้าที่มีความเสี่ยงจากกลไกตลาด โดยละเลยการพิจารณาถึงเงื่อนไขเฉพาะของเกษตรที่ไม่เลือกแนวทางการปรับตัวไปสู่ระบบการผลิตข้าวที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดภาพการสร้างภาพชาวนาที่เป็นเหยื่อของการส่งเสริมระบบการผลิตเพื่อส่งออกที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตและทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นในลักษณาการต่างๆ เช่น การสร้างภาพชาวนาตาโตผู้มีความโลภอันถูกกระตุ้นให้ทำเพื่อขาย ชาวนาเป็นผู้ใช้สารเคมีการเกษตรราวสิ่งเสพติดและขาดไม่ได้ และสุดท้ายก็ผลักให้ชาวนาเหล่านั้นกลายเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับบรรษัทเคมีการเกษตร เมื่อเกษตรกรคัดค้านข้อเสนอของ NGOs ที่ให้ขึ้นภาษีสารเคมีการเกษตรและนำเงินภาษีเหล่านี้มาพัฒนาส่งเสริมการทำเกษตรกรรมที่ปลอดภัยในเวทีเสนอนโยบายควบคุมสารเคมีการเกษตรหลังที่ คมช.ทำรัฐประหารปี2549 ไม่นาน และมีข้อเสนอของคนทำงานบางท่านที่ต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้ผ่านเป็นกฎหมายในช่วงการบริหารประเทศของผู้นำเผด็จการในยุคนั้น

เมื่อบวกกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาเห็นว่าชาวนาที่พึ่งพานโยบายประชานิยมอย่างจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ของพรรคการเมืองเสียงข้างมากที่พวกเขาเห็นว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับบรรษัทอุตสาหกรรมการเกษตร โดยละเลยความจริงไปบางประการว่า ชาวนาอีกจำนวนมากที่เลือกและสนับสนุนนโยบายนี้ผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง   นอกจากนี้ยังพบว่าชาวนาที่เป็นลงคะแนนเสียงพรรคเพื่อไทยเพราะโครงการจำนำข้าวก็ไม่ได้หวังจะพึ่งพิงนโยบายนี้ไปอย่างยาวนานเพราะกระแสสังคมรอบด้านมีเสียงวิจารณ์คัดค้านอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มมีการประกาศนโยบายเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง สิ่งที่พวกเขาหวังก็คือให้พรรครัฐบาลที่พวกเขาเลือกสามารถบริหารประเทศได้ในระยะเวลา 4 ปีตามวิถีประชาธิปไตย

รังสรรค์และวราภรณ์[10]ชาวนาไร้สังกัดและเป็นนักค้าเร่หลังฤดูนาในทุ่งนาที่ราบลุ่มน้ำท่วมขังรายหนึ่งถึงกับประเมินว่า ถ้าเพียงแค่จำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ผ่านไปได้ 4 ปี เธอก็จะสามารถปลดหนี้ที่มีสะสมลงได้ พร้อมกับแสวงหาโอกาสใหม่ๆให้กับตัวเองในการค้าขาย และส่งลูก 3 คนที่กำลังเรียนอยู่ทั้งหมดได้อย่างไม่ลำบากนัก  นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ประเสริฐ [11]ชาวนาปรังเช่าไร้สังกัดในพื้นที่แก้มลิงในจ.อยุธยา ประสบความสำเร็จในการทดลองผลิตข้าวลดต้นทุน โดยใช้โอกาสที่แน่ใจว่าการทำนาข้าวจะขายได้ราคาข้าวสูงขึ้นแน่นอน ทดลองรูปแบบการผลิตใหม่ๆเพื่อลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในแปลงข้าวนาปรังที่เขาเช่าซึ่งมีราคาต้นทุนสูงขึ้นในช่วงนั้น โดยเขาคำนวณ ต้นทุนที่ลดลง หักลบกับจำนวนผลผลิตที่คาดว่าจะลดลง เปรียบเทียบกับราคาข้าวที่จะได้รับมากขึ้นกว่าการขายข้าวในกลไกตลาดปกติ อีกทั้งตัวเขาเองได้รับค่าจ้างฉีดสารกำจัดศัตรูพืชให้กับเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้นจาก ไร่ละ 50 เป็น 60 บาท แล้วมีรายได้เพิ่มมากขึ้น  ความสำเร็จในการลดต้นทุนการปลูกข้าวของเขาในช่วงจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ ยังถูกนำมาพัฒนาต่อจนเขาได้ปรับเปลี่ยนสถานะวิทยากรเผยแพร่ความรู้ให้กับเกษตรอำเภอ และผู้สนใจ ซึ่งต่อมาเขาได้ยกระดับตัวเองเป็นผู้รับจ้างเหมาช่วง ผลิตสารชีวภาพควบคุมศัตรูข้าวขึ้นเอง และบริการฉีดพ่นให้กับลูกค้า ประเสริฐยังสร้างรายได้สำคัญในช่วงที่ชาวนาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงจนเขาต้องหยุดเช่าที่ปลูกข้าวลงด้วยการรับจ้างเหมาฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชซึ่งมีราคาถูกกว่าสารเคมีให้กับเพื่อนชาวนาของเขาที่ยังตัดสินใจทำนาเผชิญภัยแล้งในช่วงปี 2558-2559    

ไม่เพียงแค่การปรับตัวของชาวนาแบบปัจเจกที่อาศัยนโยบายอุดหนุนด้านราคา ในระดับนโยบาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ปรับเปลี่ยนมาตรการต่างๆให้สอดคล้องกับความเดือดร้อนของชาวนาซึ่งเป็นฐานเสียงของตนและกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆที่คัดค้านโครงการหนักขึ้นทุกขณะ  เช่น มีการปรับลดวงเงินจำนำข้าวเหลือ 500,000 บาท/ครัวเรือน แทนการรับจำนำข้าวไม่จำกัดปริมาณที่เริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงเริ่มโครงการในเดือนตุลาคม 2555-กุมภาพันธ์2556   หรือกรณีที่ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) มีให้มีการปรับลดราคาจำนำข้าวลงดันละ 12,000 บาทแล้วมีกระแสคัดค้านจากชาวนาจำนวนมากในช่วงเดือนมิถุนายน 2556 จนในที่สุด มติครม. อนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อ 2 กรกฎาคม 2557 คงให้มีราคาจำนำข้าวตันละ 15,000 บาทเท่าเดิม[12]   อย่างไรก็ดีกระแสสังคมได้บีบให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องทบทวนข้อเสนอจาก กขช.อีกครั้งและมีมติครม.ในวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ให้ปรับราคารับจำนำข้าวนาปรังเหลือตันละ 13,000 บาท ในวงเงิน 350,000 บาท/ครัวเรือน และมีผลทำให้ในวันถัดมาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยเตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายกให้ปรับราคารับจำนำข้าวเหลือตันละ 14,000 บาท ในวงเงิน 400,000 บาท แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง[13]  เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลที่ได้รับเลือกเข้ามานั้นมีกระบวนการต่อรองของชาวนาที่มีข้อได้เปรียบเชิงจำนวนคน และการคานอำนาจกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ

อย่างไรก็ตามข้อวิจารณ์ที่ NGOs มีต่อโครงการจำนำข้าวว่าราคารับจำนำข้าวสูงจนมีผลทำโรงสีชุมชนไม่สามารถรับซื้อข้าวหอมมะลิอินทรีย์จากชาวนาที่อยู่ในโครงการได้เพราะสู้ราคาไม่ไหว เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่า เอาเข้าจริงเราก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าชาวนาอินทรีย์เหล่านี้โลภและเห็นเงินสำคัญกว่าความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจชุมชน หรือขาดจิตสำนึก อย่างที่ NGOs และแกนนำเกษตรกรอินทรีย์มักใช้กับชาวนาที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนไปทำนาอินทรีย์ได้เต็มปาก และอาจจะต้องตั้งคำถามกับชาวนาอินทรีย์เหล่านี้ว่าแท้จริงแล้วความมั่นคงทางอาหารที่พวกเขานิยามนั้นแตกต่างอย่างไรกับความมั่นคงทางอาหารของชาวนาที่ผลิตในกระแสหลักแต่ไร้สังกัดอุดหนุนทุนปรับเปลี่ยนระบบการผลิต  และคำถามต่อนักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ว่าราคาสินค้าอินทรีย์เดิมที่ตั้งขึ้นนั้นตั้งบนฐานอะไรและสร้างความพึ่งพอใจจนจูงใจให้ทำการผลิตได้จริงๆหรือ ทำไมเมื่อมีโอกาสทางราคาพวกเขาจึงได้เปลี่ยนไปขายในราคาที่พึงพอใจกว่า?

เมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขของชาวนากระแสหลักซึ่งอยู่ชายขอบขบวนการส่งเสริมของ NGOs ไม่สามารถเข้าถึงการทำการผลิตที่เน้นคุณภาพได้ด้วยเพียงแค่ดูจากชาวนาต้นแบบแล้วลอกเลียนทางเทคนิควิธีเท่านั้น  การสร้างความมั่นใจที่จะปรับเปลี่ยนของพวกเขามีภาระความเสี่ยงที่ต้องแบกรับเองลำพัง ทั้งนี้เพราะหากพวกเขาตัดใจที่เริ่มกระบวนการทดลองปลูกข้าวอินทรีย์ไปจนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยวและขายข้าวนั้น ไม่มีใครประกันความเสี่ยงหรือผลสำเร็จ ซึ่งต่างไปจากชาวนาอินทรีย์ยุคบุกเบิกที่มีงบจากโครงการและแหล่งทุนต่างๆสนับสนุนและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และตลาดทางเลือกจำนวนมากในระยะเวลานานหลายปี ผ่านการล้มลุกคลุกคลานอยู่นานกว่าจะประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับแต่ยังขยายผลไปยังชาวนารายรอบได้อย่างจำกัด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกลุ่มที่มีทุนและมีความพร้อมกว่า เช่น ชาวนาที่พอมีทุนและที่ดิน ชนชั้นนำ ดารา และหน่วยธุรกิจที่เห็นโอกาสทางธุรกิจสินค้าอินทรีย์เข้ามาร่วมเก็บเกี่ยวและอาจกลายเป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งในทางการตลาดและการร่วมผลักดันนโยบายระบบผลิตและตลาดอินทรีย์

ปัญหาการไร้ที่ดินทำกิน และปัญหาหนี้สิน ซึ่งเป็นปัญหาของชาวนาที่ต่อสู้เชิงปัจเจกในระบบตลาดทุนนิยม และกลุ่มองค์กรชาวนาทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้านโครงการจำนำข้าว ที่รัฐบาลทุกยุคยังไม่แก้ไขให้อย่างจริงๆเหมือนกรณีหนี้ NPL ของหน่วยธุรกิจและธนาคารในยุคฟองสบู่แตก แต่รูปแบบและวิธีการแก้ปัญหาเพื่อแสวงหาทางออกของชาวนาแต่ละฝ่ายมีปัจจัยที่เกื้อหนุนให้หลุดออกมาจากปัญหาได้แตกต่างกัน การเหยียดเย้ยหรือกดทับว่าอีกฝ่ายผิด สิ้นคิด หรือโง่ และเป็นเหยื่อของพรรคการเมือง และโครงการประชานิยมจึงเป็นเรื่องที่เกินเลยความเป็นจริง และลดทอนพลังการต่อสู้ และอำนาจการต่อรองของพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม และยกแนวทางการต่อสู้แบบที่ฝ่าย NGOs ชี้นำอยู่เหนือการต่อสู้แบบอื่นๆ

ปัญหาการรับจำนำข้าวโดยไม่จำกัดโควตามีอยู่จริง พอๆกับการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ตระเตรียมแผนการเพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ประกอบการสีข้าวชุมชน ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาจากกลไกตลาด จนทำให้โรงสีชุมชนหลายแห่งต้องปิดโครงการเพราะขาดข้าวและขาดสภาพคล่องทางการเงิน  หรือกรณีที่ชาวนารายย่อยจำนวนหนึ่งที่ทำนาเพื่อเก็บข้าวไว้สีกินเองในภาคเหนือ อีสานและใต้ [14]ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว[15]  ปัญหาเหล่านี้ของชาวนากลุ่มที่ได้รับผลกระทบอาจจะต้องนำเสนอปัญหาของตนและเคลื่อนไหวต่อรองเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่เหมาะสมกับสภาพเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น ที่สังคมโดยรวมยอมรับได้  เช่นเดียวกับการที่มีแรงบีบจากทุกทิศทางเพื่อล้มโครงการจำนำข้าวจนกระทั่งต้องมีการปรับเปลี่ยนการรับจำนำจากไม่จำกัดปริมาณมาเป็นจำกัดวงเงินต่อครัวเรือน หรือการลดราคารับจำนำข้าวลงเหลือ ตันละ 13,000 บาท จาก 15,000 บาท  หรือการร้องเรียนของกลุ่มชาวนาที่ต้องการให้ปรับเพิ่มราคาที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปรับใหม่เป็นตันละ 13,000 บาท มาเป็นตันละ 14,000 บาทแทน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงสิทธิที่พึงมีในการปกป้องผลประโยชน์ของตนและกลุ่ม ด้วยรูปแบบแตกต่างหลากหลายได้อย่างเสรีในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ทำไม่ได้เลยในรัฐบาลเผด็จการ

แต่การที่ NGOs บางส่วนกระโดดเข้าร่วมกับ กปปส. ล้มโครงการรับจำนำข้าวอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อหวังผลขับไล่รัฐบาลเสียงข้างมาก แล้วยังต่อเรื่องไปถึง “Shut down ประเทศไทย” จนกระทั่งเชิญทหารเข้ามาแก้ไขและเกิดรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557  ได้สร้างความคลางแคลงใจให้กับชาวนาที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวไม่น้อย ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงแค่ผลประโยชน์ที่เป็นเม็ดเงินและโอกาสในการปรับตัวของชาวนาตามทิศทางที่กำหนดเอง แต่ยังรวมถึงการทำลายระบบและกลไกการสร้างอำนาจต่อรองของชาวนา ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดและสนับสนุนนโยบายที่ตอบสนองต่อประโยชน์ของกลุ่มตนผ่านกลไกการเมืองในระบบประชาธิปไตยที่รับฟังเสียงและยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชน 

ชาวนาและฝ่ายสนับสนุนนโยบายการอุดหนุนสินค้าเกษตร เฝ้าสังเกตท่าทีของ NGOs เหล่านี้ที่มีต่อนโยบายข้าวใต้เงื้อมเงา ม.44 ของ คสช. เช่น การเมินเฉยต่อข้อเสนอของสมาคมเครือข่ายชาวนาไทยที่ขอให้ คสช. อุดหนุนราคาข้าวนาปรังในราคาตันละ 10,000 บาท [16]  การเดินตามรอยนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเลือกตั้งที่ คสช. ใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารมาใช้เสียเอง เช่น จำนำยุ้งฉาง นาแปลงใหญ่ประชารัฐ นโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น การส่งเสริมปลูกข้าวโพดทดแทนนาข้าวในพื้นที่ชลประทานภาคกลาง ฯลฯ

นโยบายลอกแบบของคสช. ถูกแกนนำชาวนากลุ่มต่างๆ และประชาชนพลเมืองออนไลน์วิจารณ์อย่างเซ็งแซ่ ถึงวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารประเทศ เช่น  โครงการจำนำยุ้งฉางปีตั้งแต่ปี 2587/58 ถึงปี 2559/60 เป็นนโยบายฝนตกไม่ทั่วฟ้า สร้างปัญหาภาระหนี้ให้กับชาวนาปรังเป็นอย่างยิ่ง เป็นการช่วยธกส.มากกว่าชาวนา  การขาดการมีส่วนร่วมของเกษตรในการประเมินความเป็นไปได้ในการกำหนด Agri-farm ในระดับปฏิบัติการในพื้นที่จริง อีกทั้งการทำนาแปลงใหญ่ประชารัฐก็เป็นเพียงการตอบสนองต่อแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่ลดบทบาทของรัฐในการอุดหนุนด้านราคาข้าวและนำเข้าทุนเอกชนรายใหญ่เข้าไปทำแทนที่รัฐโดยไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหากลไกตลาด ซึ่งส่งผลต่อการแข่งขันของเกษตรกรประกอบการ และผู้ประกอบการในชนบทที่ริเริ่มก่อเกิดและพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้บริหารและจัดจำหน่ายข้าวสารต่อผู้บริโภคในอนาคต  ร่วมทั้งความล่าช้าในการในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำด้วยนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าวที่เพิ่งจะมาประกาศเอาเดือนสิงหาคมหลังจากชาวทั้งหลายเรื่องฤดูนาปี2559/60 รอบใหม่ในช่วง มิถุนายน-กรกฎาคม

ชลิตา[17]นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาได้ชี้ให้เห็นว่า การที่ชาวนาถูกมองว่าเป็น “ปัญหา” ทั้งจากสายตาของ NGOs และ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์  ฝ่ายที่มองว่าการทำนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและระบบการพึ่งตนเองมักประณามการละทิ้งการทำนาว่าเป็นการหลงลืมรากเหง้าวิถีชีวิต ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางอาหาร สร้างผลเสียต่อสังคม ขณะที่การทำนาแบบเข้มข้นและการไม่ยอมเข้าสู่การทำนาอินทรีย์ของเกษตรกร ก็ถูกประณามว่าเป็นความโลภ ความเห็นแก่ตัว ขาดศีลธรรม ความฟุ้งเฟ้อ  ฝ่ายนักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่าการทำนาไม่สมเหตุผล เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ดังนั้นการเอาคนออกจากภาคการเกษตรจึงเป็นเรื่องควรส่งเสริม แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงื่อนไขเฉพาะในชีวิตของชาวนา รวมทั้งข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง จนนำมาสู่การมองชาวนาอย่างไรศักยภาพ ไม่สามารถตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ทั้งที่จริงแล้วมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมจำนวนมากที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร  ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจเงื่อนไขเฉพาะและข้อจำกัดของชาวนา ทั้งในแง่สภาพแวดล้อมของการทำนา และในแง่ “การดำรงชีพ” และอาชีพนอกภาคการเกษตรและการลงทุนในการศึกษาของบุตรมีความสำคัญ เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างแนวทางการสนับสนุนอันจะช่วยให้พวกเขาลดความเสี่ยงในการผลิต นำมาซึ่งการทำนาที่มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ เป็นมิตรกับส่งแวดล้อม และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งนี้เพื่อให้การทำนาสามารถเป็นพื้นฐานที่ดีให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรในการขยับขยายฐานะทางธุรกิจและสังคมนอกภาคเกษตรได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ว่าการผลิตในภาคเกษตรไม่สามารถเป็นแหล่งรายได้หลักของครัวเรือนในชนบทอีกต่อไป

สอดคล้อง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งสนับสนุนว่าโครงการรับจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ว่ารายได้ที่ได้เพิ่มขึ้นจากราคารับจำนำนี้ชาวนาอาจนำไปใช้ในการเลื่อนสถานภาพทางสังคม เป็น “นโยบายเปลี่ยนประเทศไทย” [18]และรายได้ที่เพิ่มนี้จะนำไปพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของตนเองและหรือลูกหลานในตลาดแรงงานในอนาคต  และเห็นว่าการคัดค้านโครงการรับจำนำข้าวของฝ่ายจารีตนิยมนั้นเป็นเพียงเพื่อเก็บชาวนาให้เป็นเพียงปัจเจกบุคลตัวเล็ก ที่เป็นแรงงานราคาถูก และอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของปราชญ์ชาวบ้านที่สยบยอมต่อระบบเท่านั้น[19]

ภาพสะท้อนจากนิธิ กลับฉายชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อนำข้อวิจารณ์ของ เดชา ศิริภัทร หัวขบวนการส่งเสริมทางเลือกเกษตรกรไปสู่ระบบการทำเกษตรเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อโครงการจำนำข้าว มาเทียบเคียงกับคำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำคสช. ที่พูดถึงนโยบายการเกษตร ชาวนา และโครงต่างๆของรัฐ ผ่านวาระต่างๆ

ประยุทธ์ จันทร์โอชา


 

“วันนี้ถ้าเราไม่ผลิตเกษตรกรรุ่นใหม่จะเป็นปัญหาในอนาคต รัฐบาลไม่สามารถดูแลตลอดไป ต้องผลิตเกษตรกรรุ่นใหม่…    รัฐบาลก็จะเดินหน้าวางรากฐานระบบเกษตรกรของไทยให้พัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่มาแก้ปลายเหตุ ไม่มา Subsidize ราคา ไม่มาจำนำหรือประกันอะไรก็แล้วแต่ ทำอย่างไรจะยั่งยืน ทำอย่างไรรัฐบาลต้องไม่ไปช่วย”  (10 ตุลาคม 2557)

 

 “...สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องเงินอุดหนุน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าต่างๆ นั้น เป็นการแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราว ยังไม่ยั่งยืน”  (21 พฤศจิกายน 2557)

 

“ถ้าแก้ปัญหาด้วยการซับสิไดซ์ ไปตลอด มันก็คือความไม่ยั่งยืนนะ คงแก้ได้เพียงปีเดียวแหละ การจ่ายเงินก็จ่ายได้ครั้งเดียว พอครั้งต่อไปก็จ่ายยากแล้วนะ มันจะกลายเป็นการเพาะนิสัย”

 

ที่มา:สามชาย ศรีสันต์, ประชาไท 9 ธันวาคม 2557  “เกษตรกร-ชาวนา ภายใต้การผลิตสร้างความหมายของนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการ ‘คืนความสุขให้คนในชาติ’ ”

http://prachatai.com/journal/2014/12/56894

เดชา ศิริภัทร

 

“ปัญหาดังกล่าวทำให้แทนที่ชาวนาจะเป็นกระดูกสันหลังก็กลับกลายเป็นรากหญ้า แบบนี้เขาเรียกว่า ‘ดูถูก’ และชาวนาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องไปขอให้คนอื่นเขาช่วย เข้าโครงการจำนำข้าวทีก็เอาเงินมาปลดหนี้ที แบบนี้ทั้งตัวเองไม่รอดและเดือดร้อนคนอื่นด้วย”

 

เดชาชี้ว่า ชาวนาที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อลดต้นทุน เป็นชาวนาที่ช่วยตัวเองไม่ได้เพราะทำนาไม่ถูกวิธี ทำต้นทุนสูง และไม่มีเงินเหลือจนต้องไปทำอาชีพอื่น ได้กำไรน้อย มีหนี้มาก เอาตัวไม่รอดต้องขอให้คนอื่นช่วย ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยเพราะนโยบายจำนำข้าวนั้นรัฐบาลต้องเอาเงินภาษีจากคนอื่น 3 แสนล้านบาท/ปี มาซื้อข้าว เมื่อต้องนำข้าวนำไปขาย รัฐบาลต้องขาดทุนอีกปี กว่า 1 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย ชาวนากลายเป็นภาระของสังคมและเบียดเบียนคนอื่น ชาวนาที่ดีต้องทำนาต้นทุนต่ำและอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน

 

ที่มา: ThaiPublica, 27 พฤษภาคม 2555 “เดชา ศิริภัทร” ปราชญ์ชาวนา (2): “ทำนาผิดวิธี” อนาคต “สิ้นนา สิ้นชาติ” http://thaipublica.org/2012/05/deja-siripat-2/

 

และล่าสุด พลเอกประยุทธ ยังออกมากล่าวถึงนโยบายสนับสนุนการปลูกข้าวอินทรีย์ และนโยบายนาแปลงใหญ่ประชารัฐ และประชาสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ในโครงการนาแปลงใหญ่ที่สุพรรณบุรี ไว้ตอนหนึ่งว่า

“...ดูตัวอย่างการรวมกลุ่มทางโครงการข้าวขวัญสุพรรณซึ่งน้อมนำศาสตร์พระราชามาในเรื่องการระเบิดจากข้างใน ของมูลนิธิข้าวขวัญ สมาคมโรงสีข้าวสุพรรณบุรี และหอการค้าสุพรรณบุรี ในการร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือข้าวตาเคลือบ(ขาวตาเคลือบ-ผู้วิจัย) เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัด และผลิตในลักษณะข้าวปลอดปุ๋ยเคมี ปลอดสารเคมีฆ่าแมลง นับว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพชาวนาและผู้บริโภค รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่สำคัญคือ เกษตรกร ชาวนา ที่เข้าร่วมโครงการสามารถจะเข้าร่วมได้ทุกส่วน เพิ่มบทบาทตนเองในห่วงโซ่ผู้ผลิตเป็นผู้จัดจำหน่ายได้อีกด้วย เป็นการปรับตัวเข้าหากันของทุกคนในวงจรข้าว เพื่อจะสามารถพัฒนาตลาดข้าวไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน..”

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คืนความสุขให้คนในชาติ ศุกร์ 11 พฤศจิกายน 2559

ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=0oVnGk4qLUA

 

ในขณะที่ข้อเท็จจริงที่ผู้วิจัยสอบทานกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญเมื่อ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2559 ก็ได้ทราบว่า มูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งมีเดชา ศิริภัทรเป็นผู้อำนวยการ รวมทั้งนักเรียนชาวนาที่มูลนิธิฯ ทำงานอยู่ในพื้นที่ทำงานจังหวัดสุพรรณบุรีก็ไม่ถูกนับรวมเป็นสมาชิกผู้ผลิตข้าว หรือกิจกรรมใดๆกับโครงการดังกล่าว[20]

จากที่กล่าวข้างต้น หากนำภาพเทียบเคียงให้เห็นความละม้ายคล้ายกันของ NGOs กับ นักเศรษฐศาสตร์ ที่วิจารณ์โครงการรับจำนำข้าวโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆต่อนโยบายข้าวของ คสช. ก็สามารถเปลี่ยนถ้อยคำ “เทคโนแครต” เป็น “NGOs” ได้ในถ้อยคำวิจารณ์ของฝ่ายที่ต่อต้านการขบวนการล้มโครงการจำนำข้าวไปพร้อมกับระบอบประชาธิปไตยผ่านกระบวนการชัตดาวน์ประเทศไทยของ ธนพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกันไว้อย่างเผ็ดร้อน

“รูปธรรมก็เป็นอย่างที่เห็นไงครับ เมื่อเทคโนแครตวิจารณ์แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจได้เป็นเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร แล้วเทคโนแครตเงียบ หรือไปรับใช้คณะรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่เห็นชัดเจนว่าคณะรัฐประหารคอรัปชั่นเหมือนกัน ในระยะยาว ความน่าเชื่อถือต่อเทคโนแครตหรือองค์กรที่เทคโนแครตนั้นสังกัดก็จะเสื่อมทรามลง”


สรุป

กระบวนการสร้างภาพเป้าหมายของระบบเกษตรกรรมไทยเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนรูปแบบการผลิตเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาปัจจัยทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ชาวนากลุ่มต่างๆ ได้ปะทะสังสรรค์กันอย่างเท่าเทียม ไม่มองชาวนาอย่างไร้ศักยภาพ และเปิดโอกาสให้ทุกๆกลุ่มวิจารณ์และเรียกร้องข้อเสนอเพื่อให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนได้อย่างเสนอหน้า ซึ่งมีเพียงวิถีประชาธิปไตยเท่านั้นที่เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆพัฒนาการต่อรองและเรียนรู้ไปพร้อมๆกันกับสังคมไทย มิใช่การพึ่งอำนาจนำของฝ่ายของฝ่ายที่ทำลายประชาธิปไตยจนดูเหมือนคล้ายจะฝักใฝ่เผด็จการอำนาจนิยม

 

เชิงอรรถ

[1]นิรมล ยุวนบุณย์ นักสังเกตการณ์อิสระ

[2]ดูเพิ่ม กฤตภัค งามวาสีนนท์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ประชาไท 13 เมษายน 2559 “ชนบทที่เคลื่อนไหว: ความหมายและความหลากหลายของผู้ประกอบการในชนบท http://prachatai.com/journal/2016/04/65226  

[3]กฤตภัค งามวาสีนนท์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ประชาไท 16 มีนาคม 2559 “ทางเลือกบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนามาสู่สังคมของผู้ประกอบการในชนบท” http://prachatai.com/journal/2016/03/64660   

[4]ชื่อพื้นที่ศึกษา เป็นชื่อสมมติ  พื้นที่ศึกษาอยู่ในภาคกลางตอนเหนือ เกษตรกรส่วนใหญ่ทำนาร้อยละ 80 ในปีการผลิต2558/59 ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องมาจากปี2556 ชาวนาที่นี่มีจำนวนรอบในการทำนาเฉลี่ย 1.5 ครั้ง

[5]คม ชัด ลึก, 18 มกราคม 2559 ซูเปอร์เอลนีโญ’สงครามแย่งน้ำ2559 http://www.komchadluek.net/news/edu-health/220729

[6]INN News, 27-05-2556 “ชาวนาบุกร้อง ชลประทานชัยนาท สาเหตุไม่มีน้ำทำนา ลำคลองอุดตัน”

[7]ข่าวช่อง7สี, 20 มกราคม 2559 “ทหารคุมเข้มไม่ให้สูบน้ำปลูกข้าวนาปรัง”

[8]สำนักข่าวไทย 7 กรกฎาคม 2558 "สิงห์บุรีผุดไอเดียสูบน้ำเจ้าพระยาไหลไปตามถนนช่วยชาวนา" http://www.tnamcot.com/content/224578

[9]แนวหน้า 14 กรกฎาคม 2558 “อบต.ราชสถิต อ.ไชโย จ.อ่างทองและชาวนาร่วมกันสูบน้ำเข้านา 2,000 ไร่ สู้ภัยแล้ง”   http://www.naewna.com/local/168510

[10]นิรมล ยุวนบุณย์ “ลดราคาจำนำข้าว “เราคิดผิดหรือเปล่าที่เลือกพรรคเพื่อไทย?”  บางส่วนของ รายงานวิจัย “นัยทางสังคมและการเมืองมหาอุทกภัย2554” ศูนย์ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ครั้งแรกในประชาไท 16 มิถุนายน 2556 http://prachatai.com/journal/2013/06/47237

[11]นิรมล ยุวนบุณย์, ประชาไท 6 มิถุนายน 2556 “โครงการจำนำข้าว: วิกฤตหรือโอกาสของชาวนาเช่า?”  http://prachatai.com/journal/2013/06/47101

[12]ลำดับเหตุการณ์ 13 วันรัฐบาลพลิกนโยบายจำนำข้าว http://thaipublica.org/2013/07/government-rice-pledging-policy-adjustment/

[13]แนวหน้า 27 สิงหาคม 2556 “ชาวนาขอข้าวตันหมื่นสี่ ถ้าไม่ได้ฟ้องศาลปค. ปปช.เงื้อค้างฟัน ‘ปู’” http://www.paisalvision.com/index.php?option=com_content&view=article&id=10275:2013-08-28-01-48-34&catid=104:outstanding-news&Itemid=75

[14]มูลนิธิชีวิถี 23 ตุลาคม 2555 “ซีรีส์จำนำข้าว (4) วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ: ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่(เคย)มีใครแตะ” http://www.biothai.net/node/15111

[15]วิโรจน์ ณ ระนอง ได้ตั้งคำถามกลับกรณีนี้ว่า ในเมื่อรัฐต้องการช่วยให้ราคาข้าวดีขึ้น กรณีชาวนาตั้งใจปลูกข้าวไว้กินเองแล้วทำไมรัฐต้องนำเงินอุดหนุนด้านราคาไปจ่ายให้กับชาวนากลุ่มนี้? ดูเพิ่มที่ Siam Intelligent 23 เมษายน 2013 “ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง: นโยบายจำนำข้าว ประกันราคา ทิศทางที่ไทยควรเลือกเดิน” http://www.siamintelligence.com/interview-dr-viroj-na-ranong-in-case-of-rice-fileds/

[16]ไทยรัฐ 26 กันยายน 2557 "ชาวนาขอข้าวเปลือกตันละ 1 หมื่น ราคานี้พอเหลือกำไรโอด! ต่ำกว่านี้บักโกรกแน่"  http://www.thairath.co.th/content/452833

[17]ชลิตา บัณฑุวงศ์, ประชาไท 11 กันยายน 2556 “ข้าวและชาวนาไทยในกระแสการเปลี่ยนแปลง” http://prachatai.com/sites/default/files/Chalida_Rice_Thaipeasantintransition.pdf

[18]มติชนรายวันรายวัน 5 พฤศจิกายน 2555  “นิธิ เอียวศรีวงศ์ : เปลี่ยนประเทศไทย ด้วยการรับจำนำข้าว”  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352088566&grpid=03&catid=03

[19]มติชนรายวัน  3 ธันวาคม 2555  “เปลี่ยนประเทศไทยด้วยการจำนำข้าว (อีกที) โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์”  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354506138&grpid=03&catid=03

[20]จ.สุพรรณบุรี เป็น 1 ใน 44 จังหวัด ในโครงการตามแนวนโยบายระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เอกสารแสดงผลงานการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ระบุว่ามูลนิธิข้าวขวัญ เป็น 1 ใน 4 ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านในสุพรรณบุรี  โปรดดูเพิ่มที่ ศูนย์ประเมินผล สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 4 เมษายน 2559 “ติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”  http://www2.oae.go.th/EVA/download/success/4april__SC_confer_full.pdf

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.-ตำรวจ-ทหารบุกสถานีวิทยุ 'เทอดศักดิ์ เจียมฯ' ที่เชียงใหม่ ตรวจพบไม่มีใบอนุญาต

$
0
0

15 ธ.ค. 2559 จากกรณี เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา อดีตแนวร่วมพันธมิตรฯ เชียงใหม่ และแกนนำสมาพันธ์วิทยุชุมชนภาคเหนือตอนบน วิหคเรดิโอ ซึ่งปัจจุบันจัดรายการวิทยุผ่านทางยูทูบช่อง 'Vihok News' วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางการเมืองที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับถึงความถูกต้องของข้อมูลที่เทอดศักดิ์นำเสนอ

ล่าสุด วันนี้ (15 ธ.ค.59) ข่าวสดออนไลน์และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงานตรงกันว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วัฒนะ สินทร พนักงานปฏิบัติการระดับสูง กสทช. สำนักงานใหญ่ สนธิกำลังร่วมกับตำรวจสภ.เมืองเชียงใหม่ และทหารจาก ร้อยพัฒนาที่ 1 มณฑลทหารบกที่ 33 เข้าตรวจสอบภายในสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอ 89.15 MHz. ซึ่งเป็นของ เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา หรือโต้ง ที่ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 72/65 หมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ แต่ขณะเข้าตรวจค้น เทอดศักดิ์ ไม่ได้อยู่ที่สถานี มีเพียง เอกชัย วิไลวรรณ อายุ 40 ปี คนสนิทของเทอดศักดิ์ แสดงตัวเป็นผู้ดูแล เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและขอตรวจค้น พบเครื่องส่งสัญญาณวิทยุ พร้อมอุปกรณ์ในการออกอากาศ สายส่งสัญญาณ และการติดตั้งเสาส่งสัญญาณที่สูงกว่า 50 เมตร ขณะที่การตรวจสอบเอกสารพบว่า สถานีวิทยุดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตในการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตรวจยึดเครื่องส่งสัญญาณ สายสัญญาณ เสาเทาเวอร์สูง 50 เมตร สายอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การออกอากาศและอุปกรณ์อื่นๆ รวมกว่า 10 รายการ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้ารื้อถอนสายส่งสัญญาณและเสาอากาศ

พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รรท.รองผบช.ภาค 5 ได้เดินทางมาตรวจสอบสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอ พร้อมสอบถามเจ้าหน้าที่ กสทช. และกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการ เนื่องจากมีการร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ของกสทช.เคยเข้าตรวจสอบสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพบว่ามีการออกอากาศเข้าข่ายปลุกระดม เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน

นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์เคยร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณกลางหมู่บ้าน เนื่องจากเกรงเรื่องของความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมาช่วงเกิดลมพายุพัด เสาส่งสัญญาณเคยหักมาแล้ว

วัฒนะ สินทร พนักงานปฏิบัติการระดับสูง กสทช. สำนักงานใหญ่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบจากข้อมูลของกสทช.พบว่าสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอไม่ได้ขออนุญาต เจ้าหน้าที่จึงตรวจค้นและยึดอุปกรณ์ทั้งหมด เพื่อส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ดำเนินคดีในข้อหา มีซึ่งเครื่องวิทยุโทรคมนาคมและใช้เครื่องวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต

สำหรับกรณีของ เทอดศักดิ์ นั้น ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า เขาต้องดูแล ดูแลหมดแล้ว ต้องเข้าไปดูแล แต่ว่าเดี๋ยวดูให้เกิดความชัดเจนก่อน มีหน่วยงานที่เขาดูอยู่ ซึ่งเขาก็คงมาให้รายละเอียด และจะให้โฆษกแจ้งให้ทราบ

"ถ้าบิดเบือนก็ต้องผิด ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องดำเนินคดีนะ" พล.อ.ประวิตร กล่าว พร้อมระบุด้วยว่ามีเรื่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
 
และ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มอบอำนาจให้ ภาณุวัฒน์ บุญญะกิตติ เดินทางมาพบ พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปอท.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เชียงใหม่ และ กัลยภรณ์ เจียมกิจวัฒนา ภรรยา โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คนกับพวกร่วมกันสร้างและบันทึกวิดีโอเทปกล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ก่อนจะนำคลิปวีดิโอมาอัพโหลดไปยังเว็บไซต์ยูทูบให้สมาชิกฯดูในชื่อ 'เปิดเบื้องลึก !! ใครฆ่า “เสธแดง” “ในเรามีเขา ในเขาก็มีเรา” และนำเอาคลิป โพสต์ในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นเหตุให้ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย คนเข้าใจผิด เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงได้มอบหมายให้ทนายมาแจ้งความประสงค์เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองและคนอื่นที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด
 
เบื้องต้นพล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ปอท. สืบสวนติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความเคลื่อนไหว 1 วันก่อน พ.ร.บ.คอมฯ เข้าสภา

$
0
0

15 ธ.ค. 2559 หนึ่งวันก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระ 2 และ 3 ล่าสุด แคมเปญต้าน พ.ร.บ.คอมฯ ใน change.org มีผู้ร่วมลงชื่อ 342,394 คน (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น. วันที่ 15 ธ.ค.) โดยเครือข่ายพลเมืองเน็ตและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำรายชื่อ 300,000 ชื่อไปยื่นต่อ สนช. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมายในมาตราที่จะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยมี วรารัตน์ อติแพทย์ รองเลขาธิการ สนช. เป็นตัวแทนรับหนังสือที่เรียกร้องให้สมาชิก สนช.

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ทางเรารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่ผลการพิจารณาออกมาเป็นเช่นนี้ พ.ร.บ. ควรออกมาเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน แต่ในหลายจุดของร่างแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนี้กลับเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย ซึ่งไม่ใช่แค่แอมเนสตี้ที่แสดงความเป็นห่วงและเสนอให้มีการปรับแก้มาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนที่ลงชื่ออีกกว่า 300,000 คน ตลอดจนประชาคมโลกเองก็จับตามอง สนช. อย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลังจากนี้เราก็คงต้องติดตามกันต่อไปในเรื่องของการบังคับใช้และการแก้ไขในอนาคต

ขณะที่ #พรบคอมขึ้นเป็นแฮชแท็กที่มีการพูดถึงมากที่สุดในทวิตเตอร์ ประเทศไทย ในวันนี้ โดยมีการพูดถึงกว่า 413,000 ครั้ง 

ไทยรัฐออนไลน์และเว็บข่าวเนชั่นรายงานว่า  พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กล่าวถึงกรณีมีการยื่นรายชื่อค้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่า กมธ.พิจารณาปรับปรุงเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้นกว่าร่างที่ส่งมาในวาระรับหลักการ เนื้อหาที่แก้ไขมีความชัดเจนมากขึ้น แต่สิ่งที่ภาคประชาชนกังวล เพราะเข้าใจผิดว่า จะนำเรื่องซิงเกิลเกตเวย์มารวมอยู่ในกฎหมายนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้นำเรื่องซิงเกิลเกตเวย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเรื่องซิงเกิลเกตเวย์จะเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง แยกออกจากพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
  
ส่วนกรณีระบุว่า ความผิดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประเทศ ในร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เป็นการกำหนดนิยามที่กว้างมากนั้น ผู้ที่จะใช้ดุลยพินิจตีความว่า เรื่องใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ และศีลธรรมอันดีคือศาล ไม่ใช่ดุลยพินิจของคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ 5 คน ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นมา คณะกรรมการกลั่นกรองฯจะทำหน้าที่เพียงส่งเรื่องที่เห็นว่า น่าจะเข้าข่ายขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือศีลธรรมอันดีไปให้รัฐมนตรีพิจารณา เพื่อส่งเรื่องต่อไปให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดในขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตามขอให้ไม่ต้องเป็นห่วงว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะให้อำนาจมากมายแก่เจ้าหน้าที่มากมายเกินเหตุ

สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า กรณีนี้ ไม่ใช่ซิงเกิลเกตเวย์ แต่การออกกฎหมายดังกล่าวเนื่องจากอาจมีข้อมูลด้านลบจากต่างประเทศเข้ามา ที่เราไม่สามารถจะป้องกันได้ ไม่ได้ออกกฎหมายเพื่อละเมิดสิทธิใคร แต่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมืออุดช่องว่างการก่อการร้าย ภัยความมั่นคง เว็บไซต์ผิดกฎหมาย รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องประชาชนและลูกหลานคนทั้งประเทศ  

กรุงเทพธุรกิจและโพสต์ทูเดย์รายงานตรงกันว่า พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก กล่าวถึงกรณีกระแสคัดค้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่า เป็นการบิดเบือนข้อกฎหมาย จนทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ซึ่งไม่ควรนำมาโยงในเรื่อง Single Gateway (ซิงเกิล เกตเวย์) เพราะเป็นไปไม่ได้ทั้งด้านเทคนิคและการปฏิบัติแบบรวมศูนย์ รัฐบาลไม่เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะกระทบความเชื่อมั่นและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิทัล

พล.ต.ฤทธี กล่าวว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ที่ สนช. กำลังพิจารณาอยู่นี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่า เพราะเป็นการปรับปรุง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาจากปี 2550 ให้ทันสมัยขึ้น ทันต่อโลกในปัจจุบัน และมีความเหมาะสมตามสถานการณ์ สภาพแวดล้อมของสังคม โดยเฉพาะพฤติกรรมบุคคลที่ใช้เทคโนโลยี่โซเชียล รวมถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งพ.ร.บ.ฉบับปรับปรุงนี้เป็นการเพิ่มโทษผู้กระทำความผิด ทั้งด้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ กฎหมายอาญาอื่นๆ ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล หรือคุกคามสิทธิส่วนบุคคลในโลกไซเบอร์ตามที่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างกระแสบิดเบือนเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อและคัดค้าน ตรงกันข้าม พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่อย่างใด ในทางกลับกันจะเป็นประโยชน์ด้านการคุ้มครอง และให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วไป และผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเป็นมาตรการทาง กฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิทัลของประเทศเราด้วย

พล.ต.ฤทธี เรียกร้องให้ประชาชนอ่านข้อกฎหมายให้ครบถ้วน และไม่ควรหลงเชื่อกระแสบิดเบือนข้อมูลจนทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาที่คนไทยทั้งชาติอยู่ในความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งต้องการความรัก สามัคคี และกำลังใจในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลับคืนมาโดยเร็ว และขอวิงวอนกลุ่มบุคคลที่สร้างกระแสและสื่อต่างๆ ควรหยุดสร้างกระแสปลุกปั่นยุโยงให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมจากการบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน 

ความเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์

 



ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย' จี้ ป.ป.ช. เร่งสอบคดีทุจริตสร้างโรงพัก หลังร้องมา 3 ปียังไม่มีความคืบหน้า

$
0
0

 

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์โลกวันนี้ และ Voice TV รายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.ท.มณเฑียร ปทีปวณิช สมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้ายื่นหนังสื่อต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านทาง ยงยุทธ มะลิทอง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้เร่งรัดการไต่สวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ซึ่งเป็นโครงการในยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการใช้งบถึง 5,848 ล้านบาท หลังมีการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ แต่ผ่านมากว่า 3 ปียังไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งพยานหลักฐานในคดียังสามารถตรวจสอบได้โดยง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน

ด้าน ยงยุทธ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในการดำเนินการของคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยที่ผ่านมามีการแยกประเด็นการไต่สวนออกเป็น 2 ประเด็น แต่ตนไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในการดำเนินการ และใกล้ที่จะได้ข้อสรุปแล้ว

สำหรับกรณีนี้ วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ตั้งคำถามต่อ ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีนี้เช่นกัน โดยระบุว่า ป.ป.ช.ทำการไต่สวนมานานหลายปีแล้ว ได้ผลสรุปเป็นประการใดบ้าง อย่าอ้างว่ามีคดีมาก ต้องใช้เวลา หลายคดีที่เกี่ยวกับทหาร คสช. ทำไมจึงสามารถหยิบขึ้นมาทำการตรวจสอบ และแถลงผลของคดีได้อย่างรวดเร็ว เช่น กรณีคดีทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ป.ป.ช.สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเมื่อ 8 ธ.ค.58 ป.ป.ช.สามารถแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็ว และแถลงผลสอบต่อสาธารณะว่าทหาร คสช.ที่ถูกกล่าวหาบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกคนเมื่อวันที่ 7 ก.ย.59 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หลายมุมมองเรื่องรัฐบาลซีเรีย 'ยึดคืน' อเลปโปใน 'สงครามที่ทุกฝ่ายต่างเป็นอาชญากร'

$
0
0

โรเบิร์ต ฟิสก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางเขียนถึงเหตุการณ์ในอเลปโป ย้ำเตือนว่าถึงจะประณามความโหดเหี้ยมของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย แต่ต้องไม่ลืมความโหดร้ายของฝ่ายกบฏที่ได้รับการหนุนจากตะวันตกและกลุ่มสุดโต่งในตะวันออกกลางด้วย ขณะที่อัลจาซีราระบุถึงสถานการณ์เปิดทางอพยพว่า "ไม่มีใครที่จะปลอดภัย" แม้แต่ผู้หญิง เด็ก และคนเจ็บ และการโจมตีจากฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่การทิ้งระเบิดแบบไม่ระบุเป้าหมายอีกแล้ว แต่เป็นการจงใจยิงใส่บ้านเรือนประชาชน

15 ธ.ค. 2559 ในขณะที่สหประชาชาติแสดงออกประณามการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับพลเรือนในเมืองอเลปโปของซีเรียหลังกองกำลังฝ่ายหนุนรัฐบาลบาชาร์ อัลอัสซาด บุกเข้ายึดพื้นที่คืน โรเบิร์ต ฟิสก์ นักข่าวผู้เชี่ยวชาญเรื่องตะวันออกกลางก็เขียนบทความย้ำเตือนว่าอย่าลืมว่ากลุ่มกบฏในซีเรียก็ได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และพันธมิตร "นักตัดหัว" ในตะวันออกกลางด้วย

อย่างไรก็ตามฟิสก์ระบุว่าถึงแม้ประเทศตะวันตกบางประเทศจะมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดกลุ่มก่อการร้ายแต่เวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นพวกเขาก็จะทำเหมือนกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้เป็น "ตัวร้าย" แม้ว่ากลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้จะร่วมกับกลุ่มกบฏสู้รบกับฝ่ายที่เป็นศัตรูหรือช่วยปกป้องเมืองก็ตามเพราะกลุ่มประเทศตะวันตกยังยึดติดในการเล่าบรรยาย ให้ตัวเองเป็นฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับฝ่ายร้ายและถึงขั้นเคยอ้าง "อาวุธทำล้ายล้างอานุภาพสูง" เพื่อบุกอิรักมาแล้ว

อย่างไรก็ตามฟิสก์ระบุว่าฝ่ายรัฐบาลอัสซาดเองก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเคยก่อการทารุณกรรม สังหารประชาชน มีคุกลับ ถ้ารวมเอาพวกกลุ่มติดอาวุธที่ช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียเข้าไปด้วยก็จะมีเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันน่าสะพรึง และแน่นอนว่าควรต้องเป็นห่วงแพทย์และประชาชนที่ทำงานช่วยเหลือชีวิตคนในอเลปโปตอนนี้ และต้องไม่ลืมเรื่องที่สหประชาชาติรายงานเกี่ยวกับคนที่ถูกสังหาร 82 คน แต่ประเทศตะวันตกมักจะขายเรื่องความน่ากลัวของไอซิสตอนปิดล้อมโมซูลแต่ละเลยที่จะถูกถึงพฤติกรรมของกลุ่มกบฏในอเลปโป

ฟิสก์เล่าว่าเขาเคยสัมภาษณ์ชาวมุสลิมคนหนึ่งที่หนีจากอเลปโปในช่วงที่มีสัญญาหยุดยิง เขาเล่าถึงความโหดร้ายของกลุ่มกบฏให้ฟังว่าน้องชายของเขาถูกสังหารเพราะเดินตัดผ่านแนวหน้ากับภรรยาและลูกของเขา เขายังประณามฝ่ายกบฏที่ปิดโรงเรียนและเอาอาวุธไว้ใกล้กับโรงพยาบาลโดยที่ชายคนนี้ก็ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลแต่อย่างใด เขาเคยชื่นชมไอซิสในช่วงแรกๆ ที่ปฏิบัติตัวดีในขณะที่ล้อมเมืองโมซูลด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันทหารซีเรียก็เคยบอกกับฟิสก์ว่าพวกเขาเชื่อกันเองว่าอเมริกันจะนำพวกไอซิสออกจากโมซูลแล้วโจมตีรัฐบาลซีเรียอีกครั้ง และเคยมีนายพลคนหนึ่งที่แสดงออกว่าพวกเขากลัวว่ากลุ่มติดอาวุธนิกายชีอะฮ์ในอิรักจะไม่ให้พวกไอซิสหนีข้ามพรมแดนอิรักสู่ซีเรีย แต่ในตอนนี้กลุ่มไอซิสข้ามแดนจากโมซูลของประเทศอิรักและจากเมืองอัล-รัคคา และดิแอร์เอซซอร์ของซีเรียเพื่อไปยึดแพลไมราแล้ว และเมื่อลองเทียบกันดูกรณีอเลปโปดูเป็นการ "ยึดคืน" จากกลุ่มกบฏ ขณะที่ไอซิสน่าจะไปทำให้พัลไมรา "ล่มสลาย" มากกว่าเมื่อดูจากความโหดเหี้ยมสุดประหลาดของพวกนั้น แต่สื่อกลับใช้คำเหมือนอเลปโปกำลัง "ล่มสลาย"

 

ผู้สื่อข่าวนิวส์วีคโต้ การเสียใจต่อพลเรือนไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนผู้ก่อการร้าย

ในแง่นี้มีบทความของญานีน ดี จิโอวานนี บรรณาธิการตะวันออกกลางของนิวส์วีคระบุว่า "แล้วแต่มุมมองของคุณว่าจะมองมุมไหน อเลปโปในตอนนี้กำลัง่มสลาย ถูกยืดคืน หรือถูกปลดปล่อย" แต่ตัวเธอไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะอยู่ข้างการเมืองใด ตัวเธอเป็นฝ่ายเดียวกับเหยื่อของความโหดร้ายจากรัฐและพลเรือนทุกคนที่ชีวิตพังทลายจากสงครามที่ยาวนานกว่า 5 ปี สำหรับตัวเธอแล้วมันเป็นความขัดแย้งที่ชวนมองโลกมืดมนที่สุดตลอดชีวิตการทำข่าวสงคราม 25 ปี ของเธอ และแน่นอนว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลซีเรียและกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านต่างก็มีความผิดในฐานะอาชญากรสงครามทั้งสองฝ่าย แต่อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีความผิดมากกว่า

แต่สิ่งที่ทำให้จิโอวานนีคิดว่าผู้คนไม่ได้เข้าใจความซับซ้อนในความขัดแย้งภายในซีเรียเลยก็ตอนที่เธอถูกด่าเหมารวมที่สะท้อนแต่มุมมองแบบคู่ตรงข้ามอย่างไม่รู้จักแยกแยะ เธอแสดงออกว่าตัวเองรู้สึกล้มเหลวในฐานะนักข่าวสงครามที่ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งหมดลงได้และต้องการให้ระชาคโลกรับรู้สิ่งที่พลเรือนในอเลปโปกำลังเผชิญแต่เธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น "พวกผู้ก่อการร้ายต่ำทราม" "พวกคนชอบผู้ก่อการร้าย" โดยที่คนเหล่านี้แยกแยะไม่ออกว่าใครคือผู้ก่อการร้ายใครคือพลเรือน

สำหรับจิโอวานนีแล้วความขัดแย้งในซีเรียไม่ใช่แค่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายดาดๆ ที่มีแต่กลุ่มอย่างไอซิสหรืออัลนุสราที่แยกตัวมาจากอัลกออิดะฮ์อยู่ในซีเรียแค่นั้นนี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียและพันธมิตรต้องการให้ผู้คนเชื่อ ต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งของซีเรียเริ่มมาตั้งแต่การต่อต้านรัฐบาลโดยสันติในปี 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ "อาหรับสปริง" แต่ต่อมาก็มีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาสู้รบกับรัฐบาลจนทำให้เกิดเป็นสงครามกลางเมืองและวินาศกรรมทางมนุษยธรรมอย่างที่เห็นทุกวันนี้

 

'นักข่าวคนสุดท้าย' ในอเลปโปฝั่งตะวันออก

ทั้งนี้อัลจาซีรายังรายงานปากคำของ บิลัล อับดุล คารีม ผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นนักข่าวคนสุดท้ายในอเลปโปตะวันออก เขาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า "ไม่มีใครที่จะปลอดภัย" ไม่มีการเปิดทางให้กับผู้หญิง เด็ก คนป่วย และคนที่บาดเจ็บเลย และการโจมตีจากกองกำลังฝ่ายรัฐบาลนั้นไม่ใช่การทิ้งระเบิดแบบไม่ระบุเป้าหมายแบบเดิมแต่เป็นการจงใจยิงใส่บ้านเรือนประชาชน

คารีมรายงานต่อไปว่ามีการจงใจทำลายสถานพยาบาลในฝั่งตะวันตกของอเลปโปทั้งๆ ที่สถานพยาบาลเป็นอาคารที่ควรจะถูกมองว่าเป็นอาคารพลเรือนนอกจากนี้ยังเน้นทำลายสถานีประปา ศาล และอื่นๆ ที่เป็นสิ่งบริการประชาชน

มีกลุ่มกบฏในอเลปโปบอกคารีมว่าผู้คนไม่กล้าอพยพออกจากเมืองเพราะกลัวสิ่งที่กองกำลังรัฐบาลจะกระทำต่อพวกเขา อีกทั้งพวกเขารู้ว่าในพื้นที่ที่มีรัฐบาลยึดครองอยู่มีการสังหารทุกคนที่มีนามสกุลหนึ่ง เพรานามสกุลเดียวกันนี้มีอยู่ในกลุ่มกบฏ ทำให้ผู้คนไม่ไว้ใจ

อย่างไรก็ตามในช่วงวันพุธที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากพื้นที่

 

เรียบเรียงจาก

There is more than one truth to tell in the awful story of Aleppo, The Independent, 13-12-2016

'No one is safe in east Aleppo', Aljazeera, 14-12-2016

Twisted narratives won’t spare Aleppo a moment of its agony, Janine di Giovanni, 14-12-2016

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์กรประสานงานเอ็นจีโอ ชี้ 'ประยุทธ์' เด้งผอ.พอช. ไร้เหตุผล ขัดกฎหมาย จี้ทบทวนคำสั่ง

$
0
0

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ชี้ 'ประยุทธ์' ย้าย ผอ.พอช. ไม่มีเหตุผล ใช้อำนาจแทรกแซง ขัดกฎหมาย จี้ทบทวนคำสั่ง ขณะที่ พอช. ตั้ง รอง ผอ.พอช. เป็น ผู้รักษาการแทน ผอ.พอช.

15 ธ.ค. 2559 จากเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พลากร วงศ์กองแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันองค์การพัฒนาชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 68/2559 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวันนี้ (15 ธ.ค.59) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ออกจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.ประยุทธ์ เรื่อง การใช้อำนาจรัฐต้องมีธรรมาภิบาล และเป็นธรรม ทบทวนการแทรกแซงการดำเนินงานของ พอช. จดหมาย ระบุว่า พอช.  เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นให้เป็นหน่วยงานบริหารที่แตกต่างจากส่วนราชการหรือรัฐวสิาหกิจ โดยมีคณะกรรมการและผู้อำนวยการรับผิดชอบการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงคข์ององค์กร ประกอบกับ พ.ร.บ.องค์การมหาชน 2542 กำหนดให้รัฐมนตรีผู้รักษาการ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน มีอำนาจในการกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตาม กฎหมาย วัตถุประสงค์ นโยบายรัฐบาล มติคณะรัฐมนตรี และยับยั้งการกระทำหรือสอบข้อเท็จจริงเฉพาะการดำเนินงานที่ขัดกับวัตถุประสงค์นโยบายรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี

จดหมายระบุต่อว่า กฎหมายกำหนดให้รัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง มีอำนาจกำกับดูแลการดำเนินงานใน ภาพรวมทั้งองค์กร ไม่มีอำนาจสั่งการเหมือนที่มีกับส่วนราชการ เพราะการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กร ชุมชนขึ้นเป็นองค์การมหาชน ทั้งที่มีหน่วยงานของรัฐและองคก์รปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานด้านการ พัฒนาชุมชนอยู่แล้วนั้นให้เป็นไปเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของระบบราชการ และประสงค์ให้เป็นองค์กรที่สามารถทำงานพัฒนาชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยึดหยุ่นต่อสถานการณ์และปัญหาของชุมชนด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาสังคม ดังที่พอช. กำหนดภารกิจขององคก์รว่า “เป็นองค์กร
ของประชาชนที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของสังคมจากฐานรากด้วยพลังองค์กรชุมชนและประชาสังคม”
 
คณะกรรมการสถาบันพัฒนาองคก์รชุมชนเป็นผู้มีอำนาจสรรหาแต่งตั้และถอดถอนผู้อำนวยการ กล่าวคือผู้อำนวยการทำงานขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ นอกจากนี้การสรรหาและการประเมินผลงานของผู้อำนวยการ พอช. มีกระบวนการที่องคก์รชุมชนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย การที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งย้ายผู้อำนวยการ พอช. ไปปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยละเลยกระบวนการตรวจสอบ จึงเป็นการย้ายโดยไม่มีเหตุผล ใช้อำนาจแทรกแซงคณะกรรมการ พอช.ขัดกับ พระราชบญัญัติ องค์การมหาชน 2542 ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลการบริหารงานภาครัฐ และต้องการจำกัดการมี
ส่วนร่วมของประชาชนในการทำงานร่วมกับภาครัฐ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่รัฐบาลต้องการแก้ปัญหาสังคม คนจน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม
 
กป.อพช. ห่วงใยว่า การที่นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็น ผู้นำของรัฐบาลและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้อำนาจโดยไม่อยู่ในหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดีและเป็นธรรมเช่นนี้จะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจของประชาชนในที่สุด เพราะ พอช. เป็นหน่วยงานรัฐที่มีเครือข่ายประชาชนร่วมมือในการทำงานเป็นจำนวนมาก รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ พอช. ให้เป็นหน่วยงานแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมของสังคมไทย การสร้างความปรองดอง รวมทั้งการเดินหนา้ไปสู่การพัฒ นาที่ยั่งยืน
 
"จึงขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนคำสั่งย้ายผู้อำนวยการ พอช. โดยให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งเดิม ไม่ใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของ พอช. และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้สถาบันพัฒนาองคก์รชุมชน ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และนโยบายของรัฐบาลอันเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดจะเป็นการกระทำที่วางอยู่บนหลักธรรมาภิบาลที่ดีสำหรับรัฐบาลและประเทศชาติในระยะยาว" กป.อพช. ระบุตอนท้ายจดหมาย

ขณะที่วันเดียวกัน สมพร ใช้บางยาง ประธานกรรมการ พอช. ได้ออกคำสั่ง คณะกรรมการ พอช. แต่งตั้ง สมชาติ ภาระสุวรรณ รอง ผอ.พอช. เป็น ผู้รักษาการแทน ผอ.พอช.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจรจา 'พนง.-บ.ฟูจิคูระ' ยังตกลงโบนัสไม่ได้ สหภาพแรงงานนัดประชุมขอมตินัดหยุดงาน

$
0
0
ผลการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างบริษัท ฟูจิคูระ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับผู้แทนพนักงาน ครั้งที่ 4 ยังไม่ได้ข้อยุติเรื่องโบนัส เจรจาอีก 23 ธ.ค. ด้านสหภาพแรงงานนัดประชุมสมาชิก 18 ธ.ค. นี้เพื่อขอมตินัดหยุดงาน

 
16 ธ.ค. 2559 ผลการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างบริษัท ฟูจิคูระ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับผู้แทนพนักงาน ครั้งที่ 4 ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมของสำนักงานสวนอุตสาหกรรมโรจนะ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้สรุปผลเจรจาว่าในเรื่องของโบนัส ตัวแทนพนักงานได้เสนอ 2 แนวทาง คือ (1) ขอให้บริษัทฯ พิจารณาโบนัสในอัตรา 2.5 เดือนบวก 7,000 บาท (2) ขอให้บริษัทฯ พิจารณาโบนัสในอัตรา 2.5 เดือนบวก 4,000 บาท และปรับค่าจ้างประจำปีขั้นต่ำ 5% และค่ากะกลางคืน 10 บาท/คน/วัน
 
โดยในการเจรจาในวันนี้ยังไม่ได้ข้อยุติพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ได้นัดทั้งสองฝ่ายเจรจากันในครั้งต่อไปวันที่ 23 ธ.ค. 2559 ที่ห้องประชุมของสำนักงานสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ด้านสหภาพแรงงานฟูจิคูระได้แจ้งนัดประชุมกับสมาชิกสหภาพแรงงานในวันที่ 18 ธ.ค. 2559 ที่วัดคานหาม ต.คานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีวาระการประชุมคือขอมตินัดหยุดงาน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูนิเซฟ-องค์การอนามัยโลก หนุนร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก

$
0
0

องค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลกออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในประเทศไทย ที่ สนช. กำลังพิจารณาอยู่

15 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวแจ้งว่า องค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก ออกแถลงการณ์ร่วม สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในประเทศไทย โดยระบุวา จากที่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก ซึ่งกำลังได้รับการพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ในขณะนี้

องค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลกขอกล่าวย้ำดังนี้ 1. การควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก อายุ 0-3 ปี เป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยอาหารทดแทนนมแม่ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาสมัชชาอนามัยโลกซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วยนั้น ได้มีมติรับรอง แนวทางเพื่อหยุดการส่งเสริมอาหารทารกและเด็กเล็กอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งได้ระบุชัดเจนว่า ไม่ควรมีการส่งเสริมการตลาดของอาหารทดแทนนมแม่ สำหรับทารกและเด็กเล็กอายุถึง 36 เดือน

และ 2. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นชัดเจนมาก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่พ่อแม่จะป้องกันภาวะเตี้ยแคระแกร็นในเด็กได้ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาและด้านร่างกายของเด็ก นอกจากนี้ วารสารทางการแพทย์ The Lancet (2559) ยังแสดงให้เห็นว่า นมแม่มีความสัมพันธ์กับสติปัญญา (ไอคิว) ที่สูงขึ้นในเด็กและวัยรุ่น และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ของแม่อีกด้วย

ปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่การส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนนมแม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและดุเดือด ดังนั้น การออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด

ในขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติกำลังพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่นั้น องค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก จึงขอยืนยันจุดยืนในการสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในประเทศไทย 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ช่างภาพ-ผู้ผลิตสารคดีกว่า 150 คน เรียกร้องบริษัทผลิตกล้องคุ้มครองข้อมูลรูปภาพ

$
0
0

มูลนิธิเสรีภาพสื่อ หรือ FPF เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปชั้นนำของโลกอย่าง Nikon, Sony, Canon, Olympus, และ Fuji สร้างกล้องที่มีการเข้ารหัส หรือ encryption ให้กับรูปภาพและวิดีโอที่พวกเขาถ่ายเมื่อเป็นการคุ้มครองช่างภาพข่าวและนักทำภาพยนตร์ที่ใช้งานกล้องเหล่านี้

ที่มาของภาพประกอบ: FPF/Flickr/fotograzio

16 ธ.ค. 2559 มีกลุ่มผู้ผลิตสารคดีและช่างภาพข่าวมากกว่า 150 คนจากทั่วโลกร่วมลงนามสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ หลายคนเป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัลหรือได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาก่อน เช่น ลอรา พอยทราส ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี "แฉกระฉ่อนโลก" (Citizenfour) ที่เกี่ยวกับเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมประชาชนของรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ, โจชัวร์ ออปเปนไฮเมอร์ ผู้เคยทำสารคดีเกี่ยวกับเหตุสังหารหมู่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเชีย

นักทำสารคดีและช่างภาพข่าวเหล่านี้มักจะได้ไปทำงานอยู่ในส่วนที่อันตรายที่สุดของโลกและต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะได้ภาพข่าวออกมา พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากคนหลายๆ กลุ่มไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามชายแดน ตำรวจในท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ผู้ก่อการร้าย และอาชญากร เพื่อที่พวกเขาจะสามารถนำภาพหรือวิดีโอไปจัดการเรียบเรียงและเผยแพร่ได้

คนทำงานเหล่านี้มีความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อพวกเขาถูกผู้ประสงค์ร้ายยึดหรือฉกชิงกล้องของพวกเขาไป ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการป้องกันเนื่องจากขาดในส่วนความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเมื่อ องค์กรคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (CPJ) เปิดเผยว่ามีจำนวนช่าวภาพข่าวที่ถูกยึดกล้องเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นการข่มขู่และปิดปากพวกเขา เหตุเหล่านี้เกิดขึ้นเยอะมากจนไม่สามารถติดตามสถานการณ์ได้ทั้งหมด โดยที่ช่างภาพเหล่านี้ไม่มีเครื่องมือในการป้องกันตนเองได้เลย

ผู้ผลิตกล้องยังถือว่าล้าหลังกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ไอโฟน หรือ แอนดรอยด์ ต่างก็มีการเข้ารหัสข้อมูล (encryption) อยู่ในตัวเครื่องเอง บริการแช็ตต่างๆ ก็มักจะมีการเข้ารหัสข้อมูลอยุ่แล้ว ส่วนระบบปฏิบัติการใหญ่ๆ ของคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นพีซี หรือแม็ค ก็มีความสามารถทำให้ผู้ใช้เข้ารหัสข้อมูลฮาร์ดไดร์ฟของตัวเองได้ แต่ไฟล์ข้อมูลภาพหรือภาพเคลื่อนไหวในกล้องถ่ายรูปมืออาชีพทั้งหลายที่ใช้กับทั่วไปกลับยังไม่มีการคุ้มกันข้อมูลที่ดีพอ

แน่นอนว่าการวางระบบเข้ารหัสข้อมูลในอุปกรณ์เหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยและการพัฒนาอยู่บ้าง ซึ่งเหล่าช่างภาพข่าวและนักทำสารคดีต่างก็เข้าใจจุดนี้และยินดีที่จะมีการหารือร่วมกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อช่วยกันหาหนทางที่ดีที่สุด โดยพวกเขาหวังว่าทางบริษัทผลิตกล้องจะตอบรับพวกเขาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะด้วยมติที่จะใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อคุ้มครองลูกค้าของพวกเขาที่อยู่ภายใต้ความเสี่ยง

กลุ่มช่างภาพข่าวและผู้ทำสารคดียังขอบคุณองค์กรต่างๆ หลายองค์กรที่ร่วมจัดตั้งและเรียกร้องกับพวกเขาอย่างฟิลด์ออฟวิชัน สมาคมสารคดีนานาชาติ สมาคมช่างภาพสื่อแห่งชาติสหรัฐฯ และโครงการภาพยนตร์สารคดีซันแดนซ์ โดยจดมายเรียกร้องฉบับนี้และฉบับที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันพร้อมรายชื่อช่างภาพข่าวกับนักทำสารคดีรวม 150 คน ได้ส่งไปให้กับบริษัทผลิตกล้องต่างๆ คือ Nikon, Sony, Canon, Olympus, และ Fuji

เรียบเรียงจาก

Over 150 filmmakers and photojournalists call on major camera manufacturers to build encryption into their cameras, Freedom of the Press Foundation

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แนวคิดการสร้างกำลังแรงงานอาชีวะของรัฐบาลทหารภายใต้ ม.44

$
0
0

กระแสการปฏิรูปประเทศกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลทหารที่คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่สันติประนีประนอมนั้น จะเห็นฐานคิดของผู้นำ ผู้มีอำนาจรัฐในระบบโครงสร้างการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจนว่า มองประชาชนในฐานะฟันเฟืองของกลไกทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยที่ประชาชนไม่มีบทบาทในการร่างกฎหมายและนโยบายอย่างแท้จริง

บทความวิเคราะห์นี้จะนำเสนอ 1) แนวคิดเชิงนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล คสช. ที่ต้องการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพตามฐานคิดของตัวเอง คือ เป็นกำลังแรงงานขับเคลื่อนระบบทุนนิยมกลไกตลาดอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่การปฏิรูปที่ออกจากกรอบเดิมให้หลุดพ้นจากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม  2) ความสอดคล้องกันระหว่างนโยบายการพัฒนาของไทยกับสากล ที่ได้มีการเทียบเคียงและประยุกต์ตัวชี้วัดคุณภาพด้านต่างๆ จากเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) มาวัดความสำเร็จของการจัดการศึกษาไทย เพื่อประกันว่าจะสามารถผลิตพลเมืองที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษาให้รองรับอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคตตามเป้าหมายที่วางไว้ 

แต่ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้ง ความตกต่ำทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตดังว่าได้จริงหรือ  เนื่องจากไม่มีปัจจัยด้านนักศึกษา แรงงาน ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง หรือเป็น Key factor ในกระบวนการผลิตนโยบายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตัวเอง

 

การระบุที่มาของปัญหา

สืบจากนโยบายและแผนยกระดับอาชีวศึกษาไทยระยะ 5 ปี (พ.ศ.2558-2562) ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้มีการเร่งเพิ่มงบประมาณ อัตราจ้างครู อัตรากำลังให้แก่วิทยาลัยการอาชีพและวิทยาลัยอาชีวศึกษา[1]เพื่อตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 14 สาขาที่ยังขาดแคลนแรงงานฝีมือ[2]เช่น พลาสติก เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร ชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิคส์ ที่โดยรวมแล้วในปี 2559 ขาดแคลนกำลังแรงงานประมาณ 180,649 คน นโยบายการปฏิรูปของกระทรวงศึกษาธิการจึงต้องการส่งเสริมให้นักเรียนเข้าเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น และกระตุ้นให้ภาคเอกชนปรับรายได้ให้สูงในอนาคต[3]รวมถึงการปรับตัวบ่งชี้การประเมินคุณภาพภายนอกของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ให้สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม แนวโน้มของอุตสาหกรรมใหม่กับการเปลี่ยนแปลงของโลก  อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแรงงานไทยขาดการยกระดับทักษะวิชาชีพ และไม่ได้รับค่าวิชาชีพอย่างทั่วถึง เช่น คนขับรถบรรทุกในอุตสาหกรรมขนส่งโลจิสติกส์ไม่ได้รับค่าวิชาชีพ แรงงานที่ทำงานกับเครื่องจักรอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้รับการฝึกอบรมทักษะฝีมือเพิ่มอย่างจริงจัง ซึ่งจะอธิบายต่อไป 

ที่ผ่านมา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้นำไปสู่การปฏิรูปการศึกษารอบแรกคือ พ.ศ. 2542-2551 จากการประเมินผลการปฏิรูปการศึกษานั้น พบว่า บางเรื่องประสบผลสำเร็จ และมีอีกหลายเรื่องที่ยังเป็นปัญหาที่ต้องเร่งปรับปรุง โดยเฉพาะด้านคุณภาพของผู้เรียน ครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการศึกษา รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา จึงนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองคือ พ.ศ. 2552-2561 หรือที่เรียกว่า “การปฏิรูปการศึกษารอบสอง” ที่มุ่งเน้นให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ

กระทั่งนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาล คสช. ได้ระบุไว้ประการหนึ่งว่า จพัฒนาคนทุกช่วงวัยโดยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้สามารถมีความรู้และทักษะใหม่ที่สามารถประกอบอาชีพได้หลากหลายตามแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต ปรับกระบวนการเรียนรู้และหลักสูตรให้เชื่อมโยงกับภูมิสังคม โดยบูรณาการความรู้และคุณธรรมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนทั้งในด้านความรู้ ทักษะ การใฝ่เรียนรู้ การแก้ปัญหา การรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น การมีคุณธรรมจริยธรรม และความเป็นพลเมืองดี โดยเน้นความร่วมมือระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งในและนอกโรงเรียน และอีกประการหนึ่งคือ จะส่งเสริมอาชีวศึกษาและการศึกษาระดับวิทยาลัยชุมชน เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะโดยเฉพาะในท้องถิ่นที่มีความต้องการแรงงาน และพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานวิชาชีพ

แต่ในทางปฏิบัติ  ประเทศยังประสบปัญหาทักษะแรงงานฝีมือต่ำ ด้อยมาตรฐานการจ้างงาน กับดักรายได้ขั้นต่ำถึงปานกลาง ผลิตภาพต่ำ และปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติ ดังทัศนะของผู้เกี่ยวข้อง 3 ประเด็น ที่ทำให้สงสัยว่านโยบายของรัฐจะไม่ตอบโจทย์ ดังนี้ 

1. ทักษะฝีมือของแรงงานต่ำเกินไปที่จะรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคต

น.ส.อกิโกะ ซากาโมโตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะและการจ้างงานจากองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า แรงงานที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานในอาเซียนกลับมีทักษะไม่ต่างจากแรงงานที่กำลังเกษียณ และพบว่า ในยุคการทำงานที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง กลุ่มแรงงานผู้หญิงและกลุ่มที่มีการศึกษาต่ำจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก หากไม่มีการพัฒนาทักษะ นอกจากนี้จากการสำรวจแรงงานรุ่นใหม่ (อายุ 18-24 ปี) ของไทยมีความสนใจงานด้านข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร การจัดการการเงิน และด้านศิลปะบันเทิง

โจทย์สำคัญ คือ จะสร้างการเรียนรู้อย่างไรให้สอดรับกับทักษะที่ตลาดโลกต้องการ ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง แต่ทักษะของบัณฑิตและผู้จบการศึกษาในประเทศกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทยและกัมพูชากลับสวนทาง

2. โครงสร้างแรงงานไม่สมดุลระหว่างในระบบและนอกระบบอุตสาหกรรม

สำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2559 แสดงจำนวนประชากรวัยแรงงาน (ตั้งแต่อายุ 15-59 ปี) ทั้งสิ้น 38.16 ล้านคน แต่มีแรงงานเพียง 16.91 ล้านคนที่เป็นแรงงานในระบบอุตสาหกรรม (ปี 2558)[4]หากสามารถดึงแรงงานนอกระบบ (รับจ้างทั่วไป รับงานไปทำที่บ้าน แรงงานในภาคเกษตร ที่มีรายได้และสวัสดิการต่ำ) ที่เหลือคืนสู่ระบบก็จะสร้างรายได้เพิ่มให้ประเทศ ฉะนั้น การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน จำเป็นต้องมองภาพทั้งสองด้านคือ ภาพแรงงานในระบบและนอกระบบไปพร้อมกัน และเชื่อมต่อกับภาพรวมด้านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและการผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อหาแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง

3. การผลิตบัณฑิตที่ยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค. กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบแนวโน้มของแรงงานรุ่นใหม่ที่เข้าสู่การทำงานกับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนขนาดกลางและขนาดย่อมมีจำนวนสูงขึ้น จึงต้องหาวิธีการให้โรงเรียนผลิตบุคลากรที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และนำไปสู่การพัฒนาฝีมือแรงงานและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพราะแรงงานคือ ทุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

นายแอนเดรียส ชไลเชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและทักษะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กล่าวว่า จากผลการสำรวจทักษะผู้ใหญ่ (Survey on Adults Skills) อายุ 16-59 ปี ในกลุ่มประเทศสมาชิกจำนวน 24 ประเทศ พบว่า ประเทศไทย นอกจากทักษะของบุคลากรที่จบมาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ภาคการผลิตของประเทศส่วนใหญ่ยังผลิตสินค้าราคาถูก ใช้แรงงานฝีมือค่อนข้างต่ำ และค่าจ้างถูก ส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของไทย เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องหาทางออกร่วมกัน

นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ผลงานวิจัยเพื่อศึกษาตลาดแรงงานและผู้ประกอบการภาคธุรกิจเอสเอ็มอีนำร่องในพื้นที่ 3 จังหวัด (เชียงใหม่ ตราด และภูเก็ต) พบว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยให้ความสำคัญกับวุฒิของลูกจ้าง เรียงตามลำดับคือ ทักษะทางอาชีพ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ความซื่อสัตย์ และวุฒิการศึกษา อย่างไรก็ตาม พบว่า ยังมีช่องว่างทางทักษะของแรงงานที่สูงมาก และเมื่อมองไปยังตลาดเอสเอ็มอี แม้ว่าจะมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจภาพรวมของไทย ยังพบด้วยว่า 35% ของเอสเอ็มอีไทยจะไปไม่รอดภายในสามปี เพราะผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจ และในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่อยู่รอด 65% จะมีเพียงแค่ 7-8% เท่านั้นที่โตขึ้น แต่ที่เหลืออาจต้องใช้ไม่น้อยกว่า 7-8 ปี ที่จะเติบโตและมีขีดความสามารถในการแข่งขัน สัดส่วนที่โตขึ้นน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียถึงสามเท่า[5]

นั่นคือหากนำโครงสร้างกำลังแรงงานมาวิเคราะห์ถึงสภาพที่แท้จริงของแรงงานในตอนนี้ จะเห็นได้ว่าอยู่ในภาวะอ่อนแอซึ่งไม่ใช่มาจากปัจจัยด้านผู้ใช้แรงงานเพราะไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย  แต่มีปัจจัยทางด้านนายจ้าง รัฐบาล และประชาคมโลก ที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่รอผลผลิตจากกำลังแรงงานรุ่นใหม่เท่านั้น ดังจะอธิบายต่อไปนี้


1. ปัจจัยด้านนายจ้าง: การจ้างงานและการว่างงาน

โครงสร้างกำลังแรงงาน จากผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. 2559 พบว่า จำนวนผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป 55.53 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมที่จะทำงาน 38.02 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.23 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.96 แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล 3.97 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 17.51 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา เป็นต้น[6]

แต่โครงสร้างแรงงานในระบบและนอกระบบอุตสาหกรรมที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งหมายถึง แรงงานในระบบได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์และมีความมั่นคงในการจ้างงานที่ค่อนข้างแน่นอนกว่าแรงงานนอกระบบ ที่ไม่มีนายจ้างโดยตรง หรือมีการจ้างงานยืดหยุ่น งานอิสระ และไม่ได้รับการคุ้มครองจากระบบประกันสังคมอย่างครอบคลุมเท่ากับแรงงานในระบบที่มีอยู่เพียง 10.34 ล้านคน

1.1 การจ้างงานหรือการมีงานทำ  

· อัตราการมีงานทำต่อประชากร หรืออัตราการจ้างงานของประชากรในวัยทำงาน วัดจากจำนวนประชากรในวัยแรงงานที่มีงานทำต่อประชากรวัยแรงงานทั้งหมด ซึ่งสะท้อนความสามารถในการสร้างงานของเศรษฐกิจ อัตราการจ้างงานของประชากรในวัยทำงานอยู่ที่ร้อยละ 68.82 ของจำนวนประชากรในวัยทำงาน แสดงว่าประชากรวัยทำงาน 100 คน มีงานทำประมาณ 68 - 69 คน คิดอัตราเปลี่ยนแปลงชะลอตัวร้อยละ -0.88 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  

·  อัตราส่วนของผู้มีงานทำจำแนกตามอุตสาหกรรม ซึ่งจำแนกตาม 3 อุตสาหกรรมหลัก ปี 2558 ได้แก่

1) อัตราการจ้างงานในภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 32.28 คิดอัตราเปลี่ยนแปลงลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ -3.47

2) อัตราการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 16.98 คิดอัตราเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 1.13

3) อัตราการจ้างงานในภาคบริการ ร้อยละ 41.26 คิดอัตราเปลี่ยนแปลงขยายตัวจากปีที่แล้วร้อยละ 1.55

นอกจากนี้ ได้จำแนกเป็นอัตราการจ้างงานในภาครัฐร้อยละ 4.24 และอัตราการจ้างงานในภาคอื่น ๆ ร้อยละ 5.25 [7]

เมื่อพิจารณาผู้มีงานทำจำแนกตามประเภทอุตสาหกรรมนอกภาคเกษตรกรรม 5 อันดับแรก พบว่า อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตมากที่สุดร้อยละ 25.07 รองลงมา ได้แก่ การขายส่ง และการขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลร้อยละ 23.99 โรงแรมและภัตตาคารร้อยละ 10.27  การก่อสร้างร้อยละ 8.86  การบริหารราชการและการป้องกันประเทศ รวมทั้งการประกันสังคมภาคบังคับ ร้อยละ 6.26 ตามลำดับ

โดยภาพรวม คือ เมื่อเกิดปัญหาการส่งออกดังกล่าว ส่งผลให้ภาคเกษตรซึ่งเป็นภาคหลักของรายได้ของคนไทยประสบปัญหาและลุกลามไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ทำให้เกิดภาวะเงินฝืด คือเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยกว่าปกติ

ความสามารถในการจ้างงานข้างต้น สะท้อนถึงบทบาทของภาคเอกชนในแต่ละภาคส่วน ที่มีการแข่งขันกันสูง มีบทบาทมากกว่าภาครัฐ  แต่มีความผันผวน ดังตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงประกอบกับมีเหตุผลที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารงานของนายจ้างมากกว่าแรงงาน และการเลิกจ้างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจ้างเช่นกัน ความผันผวนทางเศรษฐกิจจึงมีปัจจัยมาจากนายจ้างมากกว่า ส่วนรัฐมีบทบาทในการส่งเสริม เอื้อประโยชน์แก่การจ้างงานของภาคเอกชนเป็นหลัก ไม่ใช่การสร้างผู้ประกอบการที่ไต่สถานะมาจากแรงงานทักษะอาชีพ และกรอบคิดการพัฒนานี้ก็ยังคงถูกนำไปใช้เป็นฐานคิดการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลทหาร

1.2 การว่างงาน

การว่างงานไตรมาส 2/2559 มีทั้งสิ้น 411,124 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.08% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.88% โดยผู้ที่เคยทำงานมาก่อนว่างงานเพิ่มขึ้น 31.3% สอดคล้องกับข้อมูลผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเพิ่มขึ้น 8.9% เป็นกรณีเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 34.8% และลาออก เพิ่มขึ้น 3.4% ขณะที่ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนเพิ่มขึ้น 13.7% เพราะเป็นช่วงผู้จบใหม่เริ่มเข้าตลาดแรงงาน จำแนกเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 47% จบระดับอุดมศึกษามีอัตราว่างงานเพิ่มขึ้น 7% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ด้านรายได้ของแรงงาน พบว่า ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลา และผลตอบแทนอื่นๆ เพิ่มขึ้น 1.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากรายได้ของแรงงานนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้น 1.4% แต่รายได้ของแรงงานภาคเกษตรยังลดลง 2.7%

ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยภาวะการทํางานของประชากรของเดือน ต.ค.59 ผู้ว่­างงานจำนวน 4.5 แสนคน หรือร้อยละ 1.2 แต่หากเทียบกับเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 1.16 แสนคนจาก 3.34 แสนคน

เห็นได้ว่าผู้ใช้แรงงานที่มีความเสี่ยงว่างงานมากที่สุดในปี 2559 คือ ผู้ใช้แรงงานที่จบระดับอุดมศึกษา ซึ่งอาจต้องหันไปทำงานในตำแหน่งที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าปริญญาตรี เพื่อความอยู่รอด และแรงงานนอกระบบต้องทำงานตลอดเวลาไม่ปล่อยให้ว่างงาน เพราะประสบความไม่แน่นอนของการรับจ้างทั่วไป 

และข้อเท็จจริงยังมีความขัดแย้งกันระหว่างสถานการณ์การเลิกจ้างจำนวนมากกับการขาดแรงงานในอนาคต และโครงสร้างกำลังแรงงานที่อ่อนแอ ซึ่งมีปัจจัยด้านนายจ้างและรัฐเป็นสาเหตุหลัก นั่นคือ การตัดสินใจในการบริหาร และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้นมาจากปัจจัยจากรัฐและนายจ้างมากกว่าแรงงาน

นั่นสะท้อนว่า นโยบายของรัฐที่ไม่ได้ออกจากกรอบเดิม คือ ยังคงสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุนข้ามชาติอย่างเข้มข้น โดยคาดหวังว่าจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้แก่แรงงานไทยให้พ้นจากกับดับรายได้ปานกลาง  ยังประสบความผันผวนทางเศรษฐกิจ  ดังกรอบคิดเชิงนโยบายของรัฐบาล คสช. ในหัวข้อที่ 2


2. ปัจจัยด้านรัฐบาลทหาร : กรอบคิดการพัฒนาอาชีวศึกษา

ภาครัฐ-ภาคเอกชน-ภาคประชาสังคมได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "สานพลังประชารัฐ ยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา" (Competitive Workforce) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทัดเทียมเวทีโลก โดยตั้งเป้าเห็นผลภายใน 2 ปี[8]

ภาครัฐประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ภาคเอกชนประกอบด้วย 13 องค์กรชั้นนำระดับประเทศ นำทีมโดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) การบินกรุงเทพ ช.การช่าง ซัมมิท ออโต้ บอดี อินดัสตรี ซีพีออล มิตรผล เซ็นทรัลกรุ๊ป ฮอนด้าออโตโมบิล  ตัวแทนภาคประชาสังคมในการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งจะทำภารกิจร่วมกัน คือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายประชารัฐ โดยประชารัฐเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ และนโยบายนี้ไม่ได้ส่งผลให้เอกชนได้แรงงานที่ดีเท่านั้น แต่จะได้คนดีมาทำงานให้ประเทศชาติด้วย 

อีกทั้ง มองว่าการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศ เพราะประเทศจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้หากไม่มีคนที่มีความสามารถ ซึ่งอาชีวศึกษาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ วิชาชีพเป็นประเด็นสำคัญ ประเทศชาติจะเคลื่อนไปในทิศทางใดต้องอาศัยกำลังคนด้านอาชีวศึกษาทั้งสิ้น ดังนั้น การที่ทั้ง 3 ภาคส่วนได้มาร่วมมือกันจะทำให้เกิดความเชื่อมโยง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะเข้าใจความต้องการของกันและกันมากขึ้นทำให้โครงการนี้สำเร็จได้

นอกจากนี้ ต้องการให้ผู้เรียนอาชีวศึกษามีทางเลือกที่จะเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง อีกทั้งต้องให้ความสำคัญต่อการฝึกปฏิบัติงานของผู้เรียน เพราะผู้เรียนด้านอาชีวะหรือวิศวกรนั้น จะไม่มีเครื่องมือในการฝึกปฏิบัติไม่ได้ จึงต้องให้แต่ละสายอาชีพมาฝึกปฏิบัติงาน เพื่อสร้างจินตนาการและทักษะที่แท้จริง

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพวิชาชีพเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก พร้อมทั้งได้กำหนดภารกิจหลักที่ต้องร่วมกันดำเนินการ 5 ประการ ได้แก่

1) การสร้างค่านิยมหรือแรงจูงใจให้เด็กมาเรียนอาชีวะมากขึ้น (Inspiration) ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเคยร่วมดำเนินการมาแล้ว แต่ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้น โดยคาดหวังว่าภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างค่านิยมการเรียนอาชีวศึกษาให้เห็นผลมากขึ้น

2) การผลิตผู้เรียนอาชีวะในสาขาที่ขาดแคลนให้มีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ (Quantity) เป็นความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

3) การสร้างคุณภาพให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอาชีวะ (Quality)  เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก จนทำให้สถานศึกษาอาชีวะตามไม่ทัน จึงต้องร่วมมือกันจัดทำและพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการพัฒนาธุรกิจของภาคเอกชน

4) การสร้างอาชีวะให้มีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน (Excellency) โดยพัฒนาแบบครบวงจร ทั้งในเรื่องหลักสูตร ครูผู้สอน อุปกรณ์เครื่องมือ สื่อการเรียนการสอน เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งมีแนวทางดำเนินการ 2 รูปแบบ คือ การพัฒนาจากศักยภาพของแต่ละสถาบันอาชีวศึกษา ด้วยการกำหนดความเป็นเลิศเฉพาะด้านให้กับสถานศึกษาอาชีวะนั้นๆ และอีกรูปแบบหนึ่งคือการลงทุนร่วมกับภาคเอกชนตามสาขาที่ภาคเอกชนมีความเชี่ยวชาญ เพื่อที่จะผลิตคนได้ตรงกับความต้องการของเอกชนได้ทันที

5) ให้อาชีวะมีความเป็นสากลและมีความร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้น (Global Standard) โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล มาประยุกต์ใช้กับหลักสูตรสายอาชีพอย่างเหมาะสม พัฒนาศักยภาพให้ทันกับความก้าวหน้าของเศรษฐกิจโลก

โดยสรุปเห็นได้ว่า กรอบคิดพัฒนาการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ก้าวหน้าและแข่งขันได้ โดยพัฒนาอาชีวศึกษาให้เป็นแรงงานที่มีมาตรฐานวิชาชีพนั้น มีปัจจัยสำคัญ (Key Factors) ที่นำไปสู่ความสำเร็จคือ ภาครัฐและเอกชน และการศึกษาคือเครื่องมือสำคัญในการบรรลุซึ่งเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ตอบสนองต่อทุน และการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จก็ต้องสอดรับกับนโยบายดังกล่าว

อย่างไรก็ตามมีการถกเถียงว่า การเติบโตและการสร้างความเท่าเทียมไปด้วยกันได้หรือไม่ เพราะนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมานำไปสู่ปรากฎการณ์ที่เห็นชัดคือ ความเหลื่อมล้ำทางสถานะ จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเมือง และเกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ล่าสุดคือวิกฤตการเงิน 2551 ที่ทวีปยุโรปและอเมริกา ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับกรอบคิดการพัฒนาการเติบโตที่เป็นอยู่ การหลุดจากกรอบเดิมและสร้างกรอบใหม่ที่คำนึงถึงปัญหาที่ผ่านมา เช่น มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ตกต่ำ การว่างงาน ความเหลื่อมล้ำ โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดการเติบโตที่ครอบคลุมทั่วถึงในรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันระดับโลกปี 2558-59 ของเวทีเศรษฐกิจโลก ซึ่งรายงานนี้เป็นแหล่งอ้างอิงมานานในการเทียบเคียง เปรียบเทียบกันของประเทศต่างๆ และไทยก็ได้นำมาประยุกต์ใช้ ดังหัวข้อต่อไป

3. ปัจจัยด้านประชาคมโลก : ตัวชี้วัดคุณภาพมาตรฐานสากลกับการสร้างคุณภาพการศึกษาไทย

การสร้างคุณภาพการศึกษาไทยได้มีการนำมาตรฐานสากลสำคัญๆ มาประยุกต์ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมสมัยใหม่เข้าสู่สากล ตัวชี้วัดคุณภาพที่มีอิทธิพล ได้แก่ เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum-WEF) การจัดอันดับมหาวิทยาลัย (University Ranking) เป็นต้น  ทั้งนี้ คาดหวังว่าจะทำให้การศึกษาไทยสามารถผลิตคนที่มีคุณภาพและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งขอสรุปตัวชี้วัดที่สำคัญของเวทีเศรษฐกิจโลก ดังนี้

เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum -WEF)

เวทีเศรษฐกิจโลก (WEF) จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ประเทศในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก 144 ประเทศ ในปี 2558-2559 โดยพิจารณาหลักเกณฑ์การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน (Global Competitiveness Index: GCI) ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดในแต่ละด้านหรือเรียกว่า เสาหลัก (Pillar) ทั้งหมด 12 เสาหลัก ประกอบด้วย 3 กลุ่มปัจจัย และแบ่งเป็นตัวชี้วัดย่อยต่าง ๆ ทั้งสิ้น 114 ตัวชี้วัด[9]ดังตารางต่อไปนี้

 

ตัวชี้วัดการแข่งขันระดับโลก 12 เสาหลัก 3 กลุ่มปัจจัย

กลุ่มที่ 1

ปัจจัยพื้นฐาน/ปัจจัยการผลิต

(Key for Factor-driven Economies)

4 เสาหลัก

 

 

1.สถาบัน (Institutions) 21 ตัวชี้วัดย่อย

2.โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

9 ตัวชี้วัดย่อย

3.เสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค

(Macroeconomic Environment)

5 ตัวชี้วัดย่อย

4.สุขภาพและการประถมศึกษา

(Health and Primary Education)

10 ตัวชี้วัดย่อย

 

กลุ่มที่ 2

ปัจจัยด้านประสิทธิภาพ

(Key for Efficiency – driven Economies)

6 เสาหลัก

 

 

5.การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม (Higher

Education and Training) 8 ตัวชี้วัดย่อย

(ไทยอยู่อันดับที่ 56 จาก 140 ประเทศ)

6.ประสิทธิภาพของตลาดสินค้า (Goods

Market Efficiency) 16 ตัวชี้วัดย่อย

7.ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน (Labor

Market Efficiency) 10 ตัวชี้วัดย่อย

8.พัฒนาการของตลาดการเงิน (Financial

Market Development) 8 ตัวชี้วัดย่อย

9.ความพร้อมด้านเทคโนโลยี (Technological

Readiness) 7 ตัวชี้วัดย่อย

10.ขนาดของตลาด (Market Size Environment) 4 ตัวชี้วัดย่อย

กลุ่มที่ 3

ปัจจัยด้านนวัตกรรมและความซับซ้อน

(Key for Innovation – driven Economies)

2 เสาหลัก

11.ความละเอียดซับซ้อนของธุรกิจ (Business sophistication) 9 ตัวชี้วัดย่อย

12.นวัตกรรม (Innovation) 8 ตัวชี้วัดย่อย

GDP per capita (ดอลลาร์สหรัฐ-USD)

ตํ่ากว่า 2,000 USD

อยู่ระหว่าง 3,000 – 8,999 USD

ตั้งแต่ 17,000 USD

ปัจจัยพื้นฐาน/ปัจจัยการผลิต

60 %

40 %

20 %

ปัจจัยด้านประสิทธิภาพ

35 %

50 %

30%

ปัจจัยนวัตกรรมและศักยภาพทางธุรกิจ

5%

10%

50%

กลุ่มเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมการจัดอันดับ WEF ปี 2014-2015 (19 ประเทศ)

กลุ่มประเทศพัฒนาระดับต่ำ

ฟิลิปปินส์

พม่า

มองโกเลีย

กัมพูชา

ลาว

เวียดนาม

อินเดีย

กลุ่มประเทศพัฒนาระดับกลาง

มาเลเซีย

จีน

ติมอร์-เลสเต

อินโดนีเซีย

ประเทศไทย

(GDP per capita 5,774.65 USD/ปี

ถ้า 34 บาท/usd = 196,338 บาท/ปี)

กลุ่มประเทศพัฒนาระดับสูง

สาธารณรัฐเกาหลี

ออสเตรเลีย

นิวซีแลนด์

ไต้หวัน

ญี่ปุ่น

ฮ่องกง

สิงค์โปร์

หลายประเทศกำลังเผชิญปัญหาความไม่ยุติธรรมอย่างกว้างขวาง อันเนื่องมาจากวิกฤตการเงินโลก มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับความจำเป็นของการประกันการเติบโตที่ควรจะปรับเปลี่ยนเป็นการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ในทางปฏิบัติ มีแนวทางที่จำกัดที่จะทำให้แต่ละประเทศสามารถเติบโต (growth) และเท่าเทียม (equity) ไปพร้อมกันได้  เพื่อลดช่องว่างนี้ WEF จึงได้รายงานการพัฒนาเติบโตที่ครอบคลุมทั่วถึง (The Inclusive Growth and Development Report) โดยบ่งชี้ลักษณะเชิงโครงสร้างและเชิงสถาบันของประเทศต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตที่พัฒนามาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน จึงนำเสนอกรอบการพัฒนาและชุดตัวชี้วัด 7 ตัวหลัก (หรือเสาหลัก) และตัวชี้วัดย่อย 15 ตัว (หรือเสารอง) ที่จะช่วยสนับสนุนแนวคิดการสร้างความเติบโตที่ครอบคลุมทั่วถึงนี้ได้ ดังตารางด้านล่างนี้

ตารางแสดงกรอบการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกด้าน

 

เสาหลักที่ 1:

การพัฒนาทักษะและการศึกษา

 

เสาหลักที่ 2:

การจ้างงานและการชดเชย

 

เสาหลักที่ 3:

การสร้างสินทรัพย์และการเป็นเจ้าของ

 

เสาหลักที่ 4:

ตัวกลางทางการเงินของการลงทุนเศรษฐกิจจริง

เสาหลักที่ 5:

การทุจริตและค่าเช่า

เสาหลักที่ 6:

การบริการและโครงสร้างพื้นฐาน

เสาหลักที่ 7:

การโอนเงิน

การเข้าถึง

 

การจ้างงานที่มีผลิตภาพ

 

การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม

 

ความครอบคลุมของระบบการเงิน

จริยธรรมทางการเมืองและธุรกิจ

โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิตัล

มาตรการภาษี

 

คุณภาพ

 

ค่าจ้างและการชดเชยที่ไม่ใช่ค่าจ้าง

การเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางการเงินและบ้าน

การเป็นตัวกลางของการลงทุนธุรกิจ

ความเข้มข้นของค่าเช่า

โครงสร้างและการบริการด้านสุขภาพ

การปกป้องทางสังคม

 

ความเท่าเทียม

 

 

 

 

 

 


ด้านที่เป็นเรื่องการศึกษา คือ เสาหลักที่ 1 ที่วัดจากอัตราการเข้าถึงระบบการศึกษา คุณภาพของเรียนการสอนและความเท่าเทียมในการได้รับการศึกษาของประชากรในวัยเรียน กรอบคิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทั่วถึงนี้พยายามประกันว่า การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องรวมไปถึงการสร้างความเท่าเทียมและคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชน เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำหลังจากเกิดปัญหาวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551

เสาหลัก 6 ตัวจากจำนวนทั้งหมด 7 เสาหลักภายในกรอบการพัฒนานี้ เน้นว่า ผลลัพธ์ของการพัฒนาที่ครอบคลุมควรมาจากปัจจัยกิจกรรมการตลาดมากกว่าการใช้มาตรการทางการคลัง (fiscal transfer) เนื่องจากข้อเท็จจริงสะท้อนให้เห็นครัวเรือนส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากค่าจ้าง การจ้างงานตัวเองและธุรกิจขนาดย่อม ดังนั้น ยุทธศาสตร์การเติบโตที่ครอบคลุมทั่วถึงจำเป็นต้องเสริมแรง และไม่บั่นทอนแรงจูงใจที่จะทำงาน ออมเงินและลงทุน พร้อมกับต้องมีการกระจายงบประมาณการคลังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รายงานการพัฒนาการเติบโตอย่างครอบคลุมนี้นำเสนอฐานข้อมูลตัวชี้วัดทางสถิติที่สะท้อนฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจเชิงเปรียบเทียบ ในทางปฏิบัติคือ การวิเคราะห์วินิจฉัยสภาพแวดล้อมเชิงโครงสร้างและสถาบันที่เอื้อต่อการสร้างความเท่าเทียมทางสังคม ดังนี้

1. ทุกประเทศมีช่องทางในการปรับปรุงพัฒนาที่หลากหลาย

2. มีความเป็นไปได้ที่จะส่งเสริมความเท่าเทียมและการเติบโตไปพร้อมกัน

3. มาตรการทางการคลังสามารถช่วยได้ หลายประเทศใช้ระดับการจัดเก็บภาษีที่สูงและกระจายความมั่งคั่ง

4. สถานะด้านรายได้ที่ต่ำลงสามารถแก้ไขได้ จากตัวชี้วัดย่อย เช่น จริยธรรมทางการเมืองและการทำธุรกิจ ระบบการคลัง และคุณภาพการศึกษา

5. ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคของโลกมีความคล้ายคลึงกัน สะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจการเมือง เช่น ระบบภาษีในยุโรปตะวันออก ความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษาในลาตินอเมริกา

6. การถกเถียงอภิปรายเรื่องความเหลื่อมล้ำในปัจจุบันจำเป็นต้องถกเถียงมากขึ้นในเรื่องการกระจายรายได้ และเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน แต่ทางเลือกเชิงนโยบายของแต่ละประเทศที่จะปรับโครงสร้างเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทั่วถึงยังมีน้อย

ในการกำหนดกรอบคิดนี้ต้องการที่จะกระตุ้นประเทศต่างๆ ให้ถกเถียงอภิปรายในเชิงนโยบายของแต่ละประเทศ และหาวิธีการที่ดีที่สุดที่จะประเมินสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ (enabling environment) ต่อการสร้างความเติบโตอย่างครอบคลุมทั่วถึง รายงานนี้ได้วิเคราะห์กลั่นกรองความเชื่อมโยงทางแนวคิดและวิธีวิทยา รวมถึงการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเสาหลัก เสารอง และตัวชี้วัดทั้งหมด และระบุข้อมูลที่เหมาะสมที่สะท้อนแนวคิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทั่วถึงนี้ด้วย

ข้อสังเกตที่พบคือ

1. การอ้างอิงตัวชี้วัดที่สะท้อนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เพื่อมากำหนดยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลทหารนั้น ในการนำไปใช้จริงอาจมีการเลือกใช้บางตัวชี้วัดเป็นหลัก-รอง การให้ค่าน้ำหนักไม่เท่ากันและการลำดับความสำคัญที่แตกต่างกัน เช่น การขจัดปัญหาการทุจริตอาจมีน้ำหนักน้อยกว่าการมุ่งสร้างผลิตภาพแรงงาน ความมั่งคั่ง ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นถกเถียงในอนาคต

2. ตัวชี้วัดคุณภาพด้านเศรษฐกิจของเวทีเศรษฐกิจโลกอาจเข้ากันได้กับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของไทย แต่สังคมไทยปัจจุบันอยู่ภายใต้นโยบายความมั่นคงของรัฐ นั่นคือ รัฐไทยปรับใช้ ให้ความสำคัญตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน ทั้งไม่สอดรับกัน หรืออาจขัดกันเอง เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบัน หลายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่างกังวลปัญหาความมั่นคงกับการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่คิดต่าง และมีการจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้สามารถตั้งคำถามต่อไปว่า ตัวชี้วัดมีสัดส่วนในเรื่องการพัฒนาความเจริญทางวัตถุ ผลิตภาพ ความมั่งคั่งมากกว่าความยุติธรรมทางสังคม สิทธิเสรีภาพของประชาชน แม้จะมีเรื่องสิทธิด้านการศึกษาและจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน แต่ไม่เพียงพอที่จะประกันความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ตามแนวคิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทั่วถึงและเท่าเทียม (Inclusive growth) ของสากล

3. ตัวชี้วัดของระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกที่พยายามสอดรับกับกรอบคิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการศึกษาของรัฐบาล ที่มองผู้เรียนในลักษณะกลไกทางเศรษฐกิจนั้น ได้ครอบคลุมถึงคุณภาพของความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพเพียงใด เช่น มีตัวชี้วัดเชิงสังคม เช่น การเตรียมตัวเป็นพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย การเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ การสร้างพันธทางสังคม การสร้างความยุติธรรมทางสังคม

 

4. บทสรุป:การเสริมสร้างปัจจัยด้านผู้เรียน/แรงงาน ในกระบวนการผลิตนโยบายกับตัวชี้วัดทางสังคม

โดยสรุป นโยบายของรัฐมีฐานคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงระหว่าง 1) นโยบายทางเศรษฐกิจ การผลิต ตลาดแรงงาน กับ 2) การจัดการเรียนสายอาชีพและการฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเสริมสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพในการผลิตมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  แต่ผลที่ออกมา คือ โครงสร้างระบบการศึกษาไทยดูแลประชากรในวัยเรียนในระบบการศึกษามากกว่าประชากรนอกระบบการศึกษาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อทำอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ผู้ใช้แรงงานภาคส่วนต่างๆ และนำไปสู่การมีกำลังแรงงานที่อ่อนแอ  สองส่วนนี้ จึงมีแนวโน้มของนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะสูง มีองค์ความรู้ที่สามารถผลิตสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และงานวิจัยเพิ่มเติม กับการกำหนดตัวชี้วัดคุณภาพมาตรฐานของระบบการจัดการศึกษาและผลลัพธ์ด้านผู้เรียนให้ตอบสนองต่อของนโยบายการพัฒนาของรัฐ

ยุทธศาสตร์การพัฒนาตามคติพจน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน รวมถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐ ได้นำแนวทางการพัฒนาของประชาคมโลกและตัวชี้วัดคุณภาพมาตรฐานสากลมาใช้ในการประเมินคุณภาพขององค์กรรัฐและการจัดการศึกษา ในขณะที่รายงานการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศต่างๆ โดยเวทีเศรษฐกิจโลก (WEF) ได้ปรับปรุงกรอบคิดและตัวชี้วัดเพื่อเยียวยาและป้องกันปัญหาวิกฤตการเงินโลก โดยเพิ่มตัวชี้วัดที่จะสร้างความเท่าเทียมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน หรือเรียกว่า กรอบการพัฒนาที่ครอบคลุมทั่วถึง

ในขณะที่บริบทสังคมไทยอยู่ในภาวะไม่ปกติ รัฐไทยมีนโยบายปฏิรูป แต่ยังไม่สามารถเรียกว่าครอบคลุมทั่วถึง เนื่องจากขาดปัจจัยด้านประชาชน ให้มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย แก้ไขกฎหมาย อีกทั้ง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมมีความผันผวนเรื่อยมา เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงาน ว่างงาน ที่มีปัจจัยมาจากนายจ้าง ซึ่งไม่สามารถสร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่ประชากรวัยทำงานได้จริง ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงมีหน้าที่ดูแล แก้ไขปัญหาจากการพัฒนาที่เหลื่อมล้ำ ดังเช่น นโยบายประชารัฐ การสร้างกำลังแรงงานอาชีวะรุ่นใหม่ แต่การสร้างความเข้มแข็งให้แก่โครงสร้างกำลังแรงงานที่เป็นอยู่ยังไม่เพียงพอ

ผู้เขียนมองว่า รัฐต้องลงทุนสร้างงานแก่ประชาชนมากขึ้น ไม่พึ่งพาการลงทุนของภาคเอกชนจนเกินไป ที่ก่อให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด วิกฤตยังคงวนซ้ำ รัฐจึงควรมีฐานคิดที่ก้าวหน้าที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของแรงงาน การลงทุนด้านรายได้และสวัสดิการ ให้พ้นกับดักรายได้ปานกลาง และให้ผู้เรียนกับแรงงานมีส่วนในการกำหนดนโยบาย อีกทั้ง นายจ้างต้องรับผิดชอบต่อผู้ใช้แรงงานด้วยการลงทุนฝึกทักษะฝีมือให้แก่ลูกจ้างและเพิ่มรายได้ ค่าวิชาชีพและสวัสดิการ

อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดแล้วรัฐและทุนไม่เคยคิดนอกกรอบเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะด้วยนโยบายด้านความมั่นคง การใช้มาตรา 44 ปกครองประชาชน ใช้กำลังปราบปรามผู้ที่คิดต่าง เราจึงกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้เรียน ผู้ใช้แรงงานต้องเป็นฝ่ายกำหนดอนาคตของตัวเองดีกว่ารอคอยความหวังจากรัฐและทุน ที่คอยแต่จะขึ้นเงินเดือนให้แก่พวกพ้องของตัวเองมากกว่าผู้ใช้แรงงาน ความยุติธรรมทางสังคมในที่สุดแล้วมาจากการต่อสู้เรียกร้องของประชาชนผู้ถูกกระทำ

 

ข้อเสนอต่อฝ่ายแรงงาน/นักศึกษาอาชีวะมีดังนี้

1. ต้องเรียกร้องให้รัฐปรับโครงสร้างกำลังแรงงาน ด้วยการยกระดับกำลังแรงงานนอกระบบจำนวน 21 ล้านคนให้มีการศึกษา มีทักษะฝีมือ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

2. แรงงานในระบบต้องได้รับการฝึกอบรม รวมถึงผลักดันให้ผู้ประกอบการยกระดับฝีมือแรงงานให้ลูกจ้าง เช่น ส่งเสริมให้มีใบประกอบวิชาชีพ ค่าวิชาชีพจากการเข้ารับการฝึกอาชีพ การฝึกงานหรือศึกษาต่อเพิ่มขึ้น

3. เรียกร้องเพิ่มค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการเท่าตัว ปฏิเสธประกาศการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2560 ของคณะกรรมการค่าจ้าง ที่ไม่ขึ้นค่าจ้างจนถึงขึ้นสูงสุด 10 บาท

4. เป้าหมายของการศึกษา นอกจากจะต้องมุ่งสร้างคนที่มีความสามารถในการผลิตสร้างความก้าวหน้าแก่ประเทศ จะต้องคำนึงถึงการกระจายความเป็นธรรมในสังคมด้วย ซึ่งยังมีตัวชี้วัดด้านสังคมในสัดส่วนที่น้อยกว่าด้านเศรษฐกิจ ทักษะความรู้ เช่น สิทธิในการได้รับการศึกษา สุขภาพ สถาบันที่โปร่งใส เสรีภาพสื่อของเวทีเศรษฐกิจโลก (WEF) ก็ยังไม่เพียงพอ  จึงควรมีการกำหนดตัวชี้วัดทางสังคมเพิ่มเติมเข้าไปในการสร้างคุณภาพมาตรฐานแรงงานอาชีวะกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และสร้างหลักประกันความมั่นคง ให้มีความสมดุลกันระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยุติธรรมทางสังคมด้วย

5. ต้องมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย เพื่อเป็นหลักประกันว่านโยบายนั้นจะตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง

 

เชิงอรรถ

[1]สอศ.จ่อชง ศธ.แก้ปม ขาดครู-ยกอาชีวะไทยเป็นฮับอาเซ๊ยน.  (8 กันยายน 2557).  ไทยรัฐออนไลน์.  สืบค้นจาก http://www.thairath.co.th/content/448906

[2] 14 สาขายังขาดหนัก จบสายอาชีวะ งานรอ-เงินดี มีลุ้นรุ่ง.  (5 สิงหาคม 2558).  เดลินิวส์ออนไลน์.  สืบค้นจาก http://www.dailynews.co.th/article/339399

[3]สายอาชีวะขาดบุคลากรนับแสน รัฐ-เอกชนเล็งปรับภาพลักษณ์ “ตีกัน-รายได้ต่ำ”.  (29 ก.ย. 58).  มติชนออนไลน์.  สืบค้นจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1443503168

[4]ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน. http://nlic.mol.go.th/th/index

[5]สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 22-28 มิ.ย. 2559. (29 มิ.ย. 59).  เว็บไซด์ข่าวประชาไท, http://www.prachatai.com/journal/2016/06/66591.

[6]สำนักงานสถิติแห่งชาติ.  (2559).  สรุปผลการสํารวจ ภาวะการทํางานของประชากร (เดือนเมษายน พ.ศ. 2559), http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/lfs59/reportApril.pdf .

[7]กระทรวงแรงงาน.  (ก.พ.59).  รายงานสถานการณ์และการเตือนภัยด้านแรงงาน.

[8]ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 34/2559.  สานพลังประชารัฐ "รัฐ-เอกชน-ประชาสังคม" ร่วมยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา, http://www.moe.go.th/websm/2016/jan/034.html )

[9] Klaus Schwab, World Economic Forum.  (2015).  The Global Competitiveness Report 2015-2016.  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมฟินเทคห่วง พ.ร.บ.คอมฯ ให้อำนาจ จนท.รัฐ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว สวนทาง Thailand 4.0

$
0
0

สมาคมฟินเทคห่วง พ.ร.บ.คอมฯ ให้อำนาจ จนท.รัฐ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว สวนทาง Thailand 4.0 ผลักผู้ประกอบการออกนอกประเทศ

16 ธ.ค. 2559 วานนี้ กรณ์ จาติกวณิช ในฐานะประธานสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย แสดงความกังวลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติวันนี้ว่า ประเด็นที่สร้างความกังวลมากที่สุดคือการมอบอำนาจให้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติ และไม่ต้องมีการบันทึกการปฏิบัติหน้าที่โดยเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ในภายหลัง ข้อมูลที่พูดถึงนี้รวมถึงรายละเอียดธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือในรูปแบบต่างๆ

"อำนาจนี้จึงเกินกว่าแนวทางปกติในกระบวนการยุติธรรมที่เจ้าหน้าที่ควรต้องขอหมายศาลก่อนที่จะมีสิทธิตรวจเช็คข้อมูลประชาชน

"สนช.จึงควรต้องมีคำถามว่า สาเหตุใดผู้ร่างจึงให้การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลประเภทนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนกว่าคดีร้ายแรงประเภทอื่นๆ" กรณ์ระบุ

กรณ์ ระบุด้วยว่า นอกจากนั้นนิยามของสิ่งที่สามารถขอให้ลบออกจากเน็ตได้นั้นกว้างเกินไป (ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ขัดต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี) ซึ่งหลายเรื่องอาจไม่ผิดกฎหมาย และขึ้นกับการตีความ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจในภาพรวม เป็นผลร้ายต่ออุตสาหกรรม ISP

"การออกกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ขนาดนี้ อาจจะสวนทางกับสิ่งที่ทีมเศรษฐกิจพยายามผลักดันให้ Thailand 4.0 เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ สร้างความกังวลใจให้กับทั้งผู้ประกอบการ และนักลงทุนที่จะเข้ามา และผลลัพธ์ที่อาจจะได้มาก็จะเริ่มตั้งแต่การไปใช้ server ต่างประเทศ ไล่ไปจนถึงการออกไปตั้งบริษัททำธุรกิจ FinTech ที่ต่างประเทศไปเลย แทนที่จะอยู่พัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนประเทศตัวเอง" กรณ์ระบุ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อียูห่วงระบบขนส่งสาธารณะในยุโรปยังไม่สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน

$
0
0

แม้จะมีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน แต่การเดินทางของคนพิการก็ยังยากและถูกแยกออกจากการดำเนินชีวิตทั่วไปเสมอ กรรมาธิการสหภาพยุโรปจึงเสนอกฎหมายสิ่งอำนวยความสะดวก เชื่อว่าจะทำให้คนพิการเข้าถึงและใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้


ภาพจาก https://www.flickr.com/photos/inverness_trucker/8139437963/sizes/m/

16 ธ.ค.2559 เว็บไซต์ อียูแอคทิฟ รายงานสถานการณ์การเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะในยุโรป โดยหลังจากกฎหมายคนพิการถูกใช้งาน มีการผลักดันระบบการขนส่งสาธารณะในหลายเมืองรอบยุโรป เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ มีตัวอักษรที่อ่านง่ายขึ้นสำหรับคนมีปัญหาด้านการมองเห็นหรือตาบอดโดยสิ้นเชิง แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่ง ที่ทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อคนพิการ โดยคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเตรียมยื่นเสนอกฎหมายการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่อรัฐสภาเมื่อกว่าหนึ่งปีที่แล้ว เพื่อทำให้ทุกการบริการ ซึ่งรวมถึงการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เอทีเอ็ม นั้นง่ายขึ้นสำหรับคนพิการ

นอกจากนี้ การเดินทางในเมืองจะง่ายขึ้นเช่นกันหากกฎหมายนี้ถูกนำไปใช้ รถโดยสารสาธารณะ และจุดจอดรถต่างๆ จะถูกบังคับให้ต้องเข้าถึงได้ง่ายโดยคนพิการ

แม้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการส่วนมากจะโฟกัสในเรื่องของการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อยืนยันว่า คนพิการจะสามารถเข้าหรือออกจากการเดินทางนั้นๆ ได้อย่างสะดวกสบายนัก

อย่างไรก็ดี องค์กร The International Association of Public Transport (UITP) ได้กล่าวถึงข้อยกเว้นในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และเสริมว่า การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบางประเภทนั้น เป็นภาระอันหนักอึ้งของผู้ประกอบการ เช่น การซื้อเครื่องจำหน่ายตั๋วที่เอื้อต่อคนพิการใหม่ทั้งหมด 

การแพทย์ vs. สิทธิมนุษยชน

แม้หลายเมืองในยุโรปมีมาตรการอำนวยความสะดวกคนพิการในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ก็ยังมีรถไฟฟ้าใต้ดินหรือจุดจอดรถบัสอีกมากมายที่ยังไม่เอื้อต่อคนพิการ

กันทา อันกา รองประธานสภาคนพิการยุโรป ผู้สนับสนุนในเรื่องสิทธิคนพิการเล่าว่า เธอต้องโทรหาเจ้าหน้าการรถไฟก่อนล่วงหน้าถึง 48 ชั่วโมง หากต้องการโดยสารรถไฟในริกา เมืองที่เธออยู่ อันกาใช้วีลแชร์ การใช้งานรถไฟฟ้าใต้ดินและรถบัสสาธารณะยังคงเป็นเรื่องยาก สำหรับเธอ อีกทั้งป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ และข้อมูลสำหรับคนใช้วีลแชร์ยังมักมีข้อผิดพลาดเสมอ

อันกากล่าวว่า ระบบขนส่งสาธารณะของหลายเมืองในยุโรปที่เอื้อต่อคนพิการยังล้าหลังมาก แม้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) จะกล่าวถึงการดำเนินชีวิตอิสระของคนพิการเป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม

“สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่าง โมเดลทางการแพทย์กับสิทธิมนุษยชนคือ โมเดลทางการแพทย์เน้นหนักในเรื่องการจัดหาอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่โมเดลหลักสิทธิมนุษยชนจะเน้นหนักในเรื่องความเท่าเทียม และการทำให้คนพิการไม่ถูกแบ่งแยกออกจากคนอื่นๆ” เธอกล่าว

สิทธิของผู้โดยสาร

กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิผู้โดยสารในยุโรป ให้คำมั่นว่าหากคุณเป็นคนพิการ คุณจะได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนในการโดยสารรถไฟ เครื่องบิน รถบัสหรือเรือ แต่กฎหมายนี้ไม่ครอบคลุมถึงการเดินทางสาธารณะในชุมชน จึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการประจำเมือง ที่จะต้องพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเพื่อทำให้คนพิการเข้าถึงมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคือ ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันของการใช้ชีวิตในเมืองของคนพิการ และหลีกเลี่ยงการถูกแยกหรือกันออก

เมืองเชสเตอร์ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ มีประชากรราว 81,000 คน เมืองนี้ชนะรางวัลด้านการเข้าถึงของยุโรป ประจำปี 2017 แท็กซี่ 192 คันรอบเมืองล้วนใช้งานสะดวกต่อผู้ใช้วีลแชร์ และมีอุปกรณ์ช่วยสื่อสารหรือที่เรียกว่า loop sound เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยิน อีกทั้งยังมีการทำสัญลักษณ์สีบริเวณที่นั่ง เพื่อง่ายต่อการใช้งานของคนสายตาเลือนราง นอกจากนี้รถบัสโดยสารที่วิ่งในเมืองยังเอื้อต่อการใช้งานของคนที่ใช้วีลแชร์อีกด้วย

เหตุผลหลักที่เมืองเชสเตอร์เลือกทำให้การเดินทางของเมืองสะดวกสำหรับทุกคนคือ พวกเขาไม่ต้องการให้คนพิการที่อาศัยอยู่ย้ายออกไป หรือเดินทางไปจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่อื่นๆ อนึ่ง ประชากรที่เป็นคนพิการในเมืองเชสเตอร์นั้นมีอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรพิการในอังกฤษในอัตราร้อยละ 18 นอกจากนั้น เมืองนี้ยังถูกคาดการณ์ว่า จะกลายเป็นเมืองแห่งสังคมผู้สูงอายุอีกด้วย

จากคำบอกเล่าของ เกรแฮม การ์เนต เจ้าหน้าที่สภาเมืองที่ทำงานด้านคนพิการ เล่าว่า สภาเมืองเชสเตอร์มีกองทุนสนับสนุนพิเศษ ที่ช่วยเหลือเรื่องการจัดหาอุปกรณ์สำหรับคนที่เดินไม่สะดวก อย่างสกูตเตอร์และวีลแชร์ เพื่อให้คนพิการได้ออกนอกบ้านไปชอปปิ้ง แต่ละปีอุปกรณ์แต่ละชิ้นถูกจองมากกว่า 3,000 ครั้ง และในการชอปปิ้งแต่ละครั้งจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาประมาณ 79 ปอนด์ หรือ 3,500 บาท นี่แสดงให้เห็นว่า ระบบการเงิน จับจ่ายใช้สอยในคนพิการก็มีการถ่ายเทไปมา และมีการเคลื่อนไหว ที่ขัดกับภาพจำแห่งการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น และยังเป็นผลดีมหาศาลต่อเศรษฐกิจในชุมชนอีกด้วย

 

แปลและเรียบเรียงจาก

http://www.euractiv.com/section/transport/news/eu-disability-rights-bill-wont-fix-public-transport-problems-campaigners-fear/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บท บ.ก.บางกอกโพสต์เรียกร้อง สนช.ลงมติคว่ำ ร่าง พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0

16 ธ.ค. 2559 วันนี้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ วาระ 2 และ 3 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันนี้ เรียกร้องให้ สนช.ลงมติไม่เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯพร้อมให้มีการนำกลับไปแก้ไขใหม่ โดยชี้ว่า ร่างฉบับนี้มีเนื้อหาที่ผิดไปจากจุดมุ่งหมายที่จะรับประกันความมั่นคงไซเบอร์ เสรีภาพ ความเป็นส่วนตัวของประชาชนในประเทศ รวมถึงรัฐบาลด้วย

"ข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของการแก้ไขร่างนี้คือการให้อำนาจที่มากเกินไปแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการตัดสินใจว่าการกระทำใดเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย ความคลุมเครือในหลายมาตราเสี่ยงต่อการถูกใช้ในทางที่ผิดโดยรัฐจนนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก"

บท บ.ก.บางกอกโพสต์ระบุด้วยว่า แม้จะมีการร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมฯ หลายครั้ง แต่มาตราที่ยังเป็นปัญหาอยู่เหมือนเดิมคือ มาตรา 14 ที่เป็นเหมือนการเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐในการใช้ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการจัดการผู้ที่วิจารณ์รัฐ และมาตรา 20/1 ที่มีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองที่มีหน้าที่ส่งคำร้องให้ศาลมีคำสั่งบล็อคหรือลบข้อมูลซึ่งอาจเข้าข่ายขัดความสงบเรียบร้องและศีลธรรมอันดีได้ แม้ว่าไม่ได้ผิดกฎหมายก็ตาม 

ทั้งนี้ ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีถ่ายทอดสดการประชุมของ สนช. ผ่านเฟซบุ๊ก มีผู้ชมสดกว่า 4,800 ราย และมีผู้แสดงความเห็นกว่า 10,000 ข้อความ (ข้อมูลเวลา 13.50 น.) และส่วนใหญ่กดแสดงอารมรณ์โกรธขณะชมการถ่ายทอดสด (ลิงก์ถ่ายทอดสดของวอยซ์ีทีวี) (ลิงก์ถ่ายทอดสดของเว็บรัฐสภา)
 

ขณะที่ในทวิตเตอร์ มีการทวีตพร้อมติดแฮชแท็ก #พรบคอม จำนวนมากกว่า 429,000 ครั้ง ทำให้ #พรบคอม ยังคงเป็นคำที่มีการพูดถึงเป็นอันดับหนึ่งของทวิตเตอร์ ประเทศไทย วันนี้ ติดต่อกันเป็นวันที่สาม


 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลทหารให้ประกัน 19 แกนนำนปช. คดีแถลงข่าวศูนย์ปราบโกงฯ สั่งห้ามแสดงความเห็นทางการเมือง

$
0
0

อัยการสั่งฟ้อง 19 แกน นปช. เหตุจัดแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ปราบโกงประชามติ ศาลทหารให้ประกัน หลักทรัพย์คนละ 2 หมื่นบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และห้ามยุยงปลุกปั่น

ที่มาภาพจาก: Banrasdr Photo

16 ธ.ค. 2559 ที่ศาลทหาร อัยการศาลทหารได้มีคำสั่งฟ้อง แกนนำ นปช. 19 ราย ฐานร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่7/2557 เรื่องการห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกิน5 คนขึ้นไป อันเนืองมาจากการแจ้งความดำเนินคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม โดยคณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แจ้งความกับแกนนำ นปช. ทั้ง 19 ราย เหตุจากการร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ปราบโกงประชามติ ที่อิมพีเรียลลาดพร้าว เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2559 โดยมีผู้ต้องหาประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., ธิดา ถาวรเศรษฐ, จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ, นพ.เหวง โตจิราการ, นิสิต สินธุไพร, ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ, ยงยุทธ ติยะไพรัช, ก่อแก้ว พิกุลทอง, วีระกานต์ มุสิกพงศ์, สงคราม กิจไพโรจน์, สมหวัง อัศราศี, ยศวริศ ชูกล่อม, ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์, เกริกมนตรี รุจโสตถิรพัฒน์, อารี ไกรนรา, สมชาย ใจมุ่ง, พรศักดิ์ ศรีละมุด และศักดิ์รพี พรหมชาติ

โดยวันนี้ผู้ต้องหาทั้งหมด ได้เดินทางมาตามนัดอัยการ เพื่อฟังคำสั่งฟ้อง ต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยมีมวลชนจำนวนประมาณ 50 คน ได้เดินทางมาให้กำลังใจ ทั้งนี้มวลชนทั้งหมดได้รวมตัวกันในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ทหารจัดเตรียมไว้ให้บริเวณด้านนอกศาลทหาร

ที่มาภาพจาก: Banrasdr Photo

ต่อมาเวลา 13.30 น. อัยการศาลทหารได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำทั้ง 19 ราย ฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 7/2557 และนำตัวผู้ต้องหาไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และแยก ธิดา ไปที่ทัณฑสถานหญิงกลาง จากนั้นทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยยืดหลักทรัพย์สำหรับการขอปล่อยตัวชั่วคราวคนละ 20,000 บาท ซึ่งศาลทหารพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามคำร้อง

วิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์ นักกฏหมายสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ให้ข้อมูลว่า เหตุผลที่อัยการสั่งฟ้อง ไม่มีการชี้แจง เชื่อว่าเป็นดุลพินิจของอัยการศาลทหาร ที่มองว่าเป็นการมั่วสุม ชุมนุมเกิน 5 คน ซึ่งได้อธิบายมาโดยตลอดว่าการแถลงข่าวไม่ใช่การมั่วสุม เป็นการทำโดยเปิดเผยและเจตนาดีต่อประเทศชาติ หากมองว่าเป็นการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็จะสู้กันตามข้อกฎหมาย เพราะการชุมนุมต้องมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เพียงการแถลงข่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตามเบื้องต้นศาลทหารให้อนุาตให้ประกันตัวแกนนำ นปช. โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และห้ามยุยงปลุกปั่นในสังคม

ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน จะได้รับการปลอยตัวในวันนี้ที่เรือนจำ ยกเว้นจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ยังคงถูกควบคุมตัวต่อไป สืบเนืองจากศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ฐานร่วมกันก่อการร้าย เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา

 

ที่มาจาก: มติชนออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

168 ต่อ 0 สนช.ผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

$
0
0

168 ต่อ 0 สนช.ผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ขณะประชาชนลงชื่อค้าน พ.ร.บ.นี้กว่า 3 แสนราย ด้าน ไอลอว์-เครือข่ายพลเมืองเน็ต เตรียมจับตา กม.ลูก ต่อ เอไอเผยผิดหวัง สนช.ผ่านกฎหมายละเมิดสิทธิ-ขัดหลักสากล


คะแนนที่ประกาศบนจอขณะถ่ายทอดสด ต่อมา มีสมาชิก สนช.ขอแก้ไขคะแนนเป็นเห็นด้วยอีกหนึ่งเสียง 

16 ธ.ค. 2559 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ มีการพิจารณาวาระเร่งด่วน ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ... โดยเป็นการพิจารณาในวาระ 2 และ 3

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 168 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 4 มี สนช. เข้าร่วมโหวต 172 คน โดยจะมีผลบังคับใช้ใน 120 วันหลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ สมาชิกสนช. และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กล่าวหลังการลงมติว่า กรณีความกังวลเรื่องซิงเกิลเกตเวย์นั้น จะเห็นว่า ตลอดการประชุมไม่มีเรื่องที่กังวล รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.ประยุทธ์ ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ รมต.ก็เห็นความสำคัญ จนนำมาสู่การร่างนี้ ซึ่งยืนยันว่า กฎหมายนี้จำเป็นและมีความสำคัญที่จะนำไปใช้ต่อไป แต่จะไม่ละเมิดสิทธิของประชาชน และสิทธิส่วนบุคคล

วานนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้นำ 300,000 ชื่อของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ร่วมลงชื่อใน change.org ไปยื่นต่อ สนช. เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมายในมาตราที่จะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขณะที่ประเด็นการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นที่พูดถึงและจับตาอย่างมากในโลกออนไลน์ (วันนี้ มีผู้ลงชื่อเพิ่มเติมรวมกว่า 366,000 ชื่อ)

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ ซึ่งเป็นองค์กรที่ออกมารณรงค์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ให้สัมภาษณ์หลัง สนช.ผ่านกฎหมายนี้ว่า จากนี้คงต้องรอดูร่างสุดท้ายก่อน เพื่อจัดทำบทวิเคราะห์และจับตาการบังคับใช้กฎหมายต่อไป นอกจากนี้ยังต้องจับตาร่างกฎหมายลูกที่จะถูกนำมาใช้ประกอบกันด้วย

ยิ่งชีพ ระบุว่า เท่าที่ได้ฟังการอภิปราย มองว่าแม้วิธีคิดของสมาชิก สนช. จะไม่เปลี่ยน แต่ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงประชาชนอยู่บ้าง แม้จะไม่มีใครพูดออกมาว่าประชาชนเรียกร้องอะไร แต่หลายข้อถกเถียงที่มีการหยิบขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ประชาชนแสดงความกังวล เช่น การตัดคำว่า "บริการสาธารณะ" ในมาตรา 14(2) หรือ เรื่องคณะกรรมการกลั่นกรองปิดเว็บที่แม้เขาจะยืนยันว่าต้องมี แต่ก็มีการทำให้ดูดีขึ้น

ด้านเครือข่ายพลเมืองเน็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ติดตามการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า หลังจากนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะออกประกาศกระทรวงดิจิทัลอีก 5 ฉบับซึ่งเป็นกฎหมายลูกของมาตรา 11, 15, 17/1, 20 และ 20/1 ต่อไป

กลไกการใช้อำนาจของรัฐและเอกชน (ที่ได้รับมอบอำนาจ) จะปรากฏอยู่ในประกาศกระทรวงต่างๆ ข้างต้น เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ ที่ปรากฏอยู่ในข้อ 4 ของร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ พ.ศ. .... (ร่าง 18 พ.ย. 2559) https://ictlawcenter.etda.or.th/…/d…/public-hearing-CC-bills

"ขอให้ทุกคนจับตาดูต่อในสนามต่อไป ทั้ง "สนามเล็ก" ของกฎหมายลูก #พรบคอม และ "สนามใหญ่" ของร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่เราหวังว่าจะเป็นกลไกคุ้มครองสิทธิของเราได้"

ขณะที่ ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่ผลการพิจารณาออกมาเป็นเช่นนี้ พ.ร.บ. ควรออกมาเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน แต่ในหลายจุดของร่างแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนี้กลับเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย ซึ่งไม่ใช่แค่แอมเนสตี้ที่แสดงความเป็นห่วงและเสนอให้มีการปรับแก้มาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนที่ลงชื่ออีกกว่า 360,000 คน ตลอดจนประชาคมโลกเองก็จับตามอง สนช. อย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลังจากนี้เราก็คงต้องติดตามกันต่อไปในเรื่องของการบังคับใช้และการแก้ไขในอนาคต

สำหรับร่างประกาศกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกาศด้วยร่างประกาศด้านล่างนี้ โดยร่างนี้เป็นฉบับวันที่ 18 พ.ย. 2559 ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ สพธอ. 

(ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง ลักษณะและวิธีการส่งและลักษณะและปริมาณของข้อมูล ความถี่และวิธีการส่งซึ่งไม่เป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ พ.ศ. ....
(ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง ขั้นตอนการแจ้งเตือนการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ....
(ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ พ.ศ. .... 
(ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 พ.ศ. .... 
(ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 พ.ศ. ....

ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการพิจารณา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชี้ติชมโดยสุจริต ฎีกายืนยกฟ้อง 'สนธิ-พวก' ไม่หมิ่นฯ ทักษิณ-ไทยรักไทย ปมเสวนาปฏิญญาฟินแลนด์

$
0
0

16 ธ.ค. 2559  เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1818/2549 ที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทย มอบอำนาจให้ นพดล มีวรรณะ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม.,ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระและคอลัมนิสต์, บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบดาวเทียม ASTV, จิตตนาถ ลิ้มทองกุล, พชร สมุทวณิช, ขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการ บ.ไทยเดย์ฯ, บริษัท แมเนจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ และ  ปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์แมเนเจอร์ เป็นจำเลยที่ 1 - 11 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 - 28 พ.ค. 2549 พวกจำเลย ร่วมกันจัดเสวนา เรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย” ซึ่งถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และเว็บไซต์ผู้จัดการ หมิ่นประมาทโจทก์ ว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณ โดยมุ่งหมายเข้าบริหารประเทศตามปฏิญญาฟินแลนด์ จำเลยปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องจำเลย เพราะเห็นว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ โจทก์ (ขณะนั้น) ในฐานะผู้นำรัฐบาล ที่ประชาชนทั่วไปสามารถพึงกระทำได้ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย

ในวันนี้ ศาลเบิกตัว สนธิ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำคลองเปรม เพื่อฟังคำพิพากษา ขณะที่จำเลยอื่นมาศาล ขาดเพียง ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักวิชาการอิสระ และคอลัมนิสต์ จำเลยที่ 3 ที่มีอาการป่วยหนักไม่ได้เดินทางมาศาล
       
โดยศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ที่หนึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล มีโจทก์ทั้งสอง เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งโจทก์ทั้งสอง บริหารราชการแผ่นดิน ตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา การบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้ง 2 ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งสถาบันสำคัญของชาติ จึงถือได้ว่า โจทก์ทั้งสอง เป็นบุคคลสาธารณะด้วย การที่จำเลยที่ 1 - 4 ร่วมกันเสวนาในหัวข้อเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย เป็นการนำเรื่องราว หรือหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจในขณะนั้นมาพูดคุยถกเถียงกัน ซึ่งเนื้อหาสาระประกอบด้วย หัวข้อเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสอง คือเรื่องการทำให้พรรคการเมืองหลักพรรคเดียว การปฏิรูประบบราชการ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน แม้จะไม่ปรากฏว่าหัวข้อดังกล่าว เป็นนโยบายที่โจทก์ที่ 2 แถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลของโจทก์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินอยู่

ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 - 4 มีการหยิบยกเอาการกระทำที่ผ่านมาของโจทก์ที่ 2 มายืนยันว่า มีการกระทำหลายประการที่ไม่เหมาะสม เช่น ประเด็นหัวข้อที่อาจจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ลดบทบาทลงเป็นเพียงสัญลักษณ์ได้ในอนาคต ซึ่งเป็นหัวข้อเสวนาเกี่ยวกับมีการพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ ทั้งนี้ แม้พยานโจทก์ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จะได้เบิกความว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยมีแนวคิด หรือการกระทำดังกล่าว แต่โจทก์ทั้งสองก็มิได้นำสืบว่าโจทก์ไม่ได้มีการกระทำดังที่จำเลยที่ 1 - 4 ได้กล่าวยกตัวอย่างไว้ในการเสวนา จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 มีการกระทำดังที่กล่าวไว้จริง การเสวนาดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความเห็นอยู่บนมูลฐานของข้อเท็จจริง ที่จำเลยที่ 1 - 4 ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสอง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีบุคคลที่มีบทบาทหน้าที่ในบ้านเมือง เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พล.อ.สายหยุด เกิดผล เป็นต้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการบ้านเมืองของโจทก์ทั้งสองในบางประการเช่นกัน ดังนั้น หัวข้อที่เสวนาจึงเป็นประเด็นที่สังคมยังมีการโต้แย้งถกเถียงกันอยู่

ส่วนประเด็นที่การเสวนามีการใช้ถ้อยคำเรียกโจทก์ที่ 1 ว่า แก๊งเลือกตั้ง หรือ อั้งยี่เลือกตั้ง นั้น ได้ความว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้กล่าวในการเสวนา เห็นว่า แม้จำเลยที่ 4 จะใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ทำให้โจทก์ทั้งสองเกิดความเสียหาย ดังนั้น การเสวนาของจำเลยที่ 1 - 4 จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือประชาชนย่อมกระทำได้ ตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา 329 (3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ส่วนประเด็นที่โจทก์ทั้งสองฎีกา ว่า ไม่เคยบริหารโดยใช้ปฏิญญาฟินแลนด์ หรือยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ตามที่ได้ถูกกล่าวหา เห็นว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้เขียนบทความเรื่องยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก่อนที่จะจัดการเสวนาดังกล่าวขึ้น ขณะที่ในการเสวนานั้น จำเลยที่ 1 - 4 ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันว่า โจทก์ที่ 2 ได้ไปร่วมตกลงกับผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ประเทศฟินแลนด์ แต่อย่างใด ดังนั้น จำเลยที่ 1 - 4 จึงไม่ได้ใส่ความโจทก์ทั้งสองในเรื่องนี้ และการเขียนบทความเรื่องยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์นั้น ก็เป็นคนละส่วนกับการเสวนา ซึ่งโจทก์ที่ 2 ได้แยกฟ้องจำเลยที่ 4 เป็นอีกคดีหนึ่งแล้ว ไม่สามารถนำมาเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 - 4 ในคดีนี้ได้
       
ดังนั้น เมื่อการเสวนาของจำเลยที่ 1 - 4 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 5 - 9 และ 11 ที่โจทก์ระบุว่าเป็นผู้ร่วมจัดเสวนาและนำเอาถ้อยคำไปเผยแพร่ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทเช่นกัน ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย พิพากษายืนให้ยกฟ้อง
       
สุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของจำเลย กล่าวภายหลังว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในวันนี้มีรายละเอียดครบถ้วน ชัดเจน บรรยายถึงพฤติการณ์ของระบอบทักษิณได้อย่างเด่นชัด  

 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ และมติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพิ่มสิทธิลดหย่อนคู่สมรส สนช.เห็นชอบ กม.ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

$
0
0

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภารายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม มีมติผ่านวาระ 3 ประกาศให้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) ใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเห็นด้วย 191 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ พร้อมกันนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้เห็นด้วยในข้อเสนอเพิ่มเติมของสมาชิกที่ว่า ควรให้กรมสรรพกรไปศึกษาความเป็นไปได้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปีภายหลังกฎหมายบังคับใช้ เพื่อเสนอเข้ามายัง สนช.ได้พิจารณาปรับแก้ไขอีกครั้ง หากพบปัญหาในการบังคับใช้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมเป็นธรรม

สำหรับเหตุผลความจำเป็นที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เนื่องจาก หลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหักลดหย่อน การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดา และอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหักลดหย่อน การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้ 1. ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท 2. ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสที่มีเงินได้ 60,000 บาท 3. ค่าลดหย่อนสำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท บุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน

และ 3. ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นกองมรดก ให้หักลดหย่อนได้ 600,000 บาท 4. ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้หักลดหย่อนได้ สำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยแต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ชูวิทย์' ได้สิทธิอภัยโทษ พ้นคุกวันนี้ ประกาศหยุดเล่นการเมือง

$
0
0

ชูวิทย์ ได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษจากเรือนจำ หลังถูกคุมขัง 10 เดือน 17 วัน ประกาศหยุดเล่นการเมือง ให้เหตุผลว่าไม่อยากกลับไปติดคุกอีก พร้อมผู้ต้องขังในคดีรื้อบาร์เบียร์ หลังเข้าเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 

ภาพโดย Banrasdr Photo

16 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวระบุว่า กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีการปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ได้รับอภัยโทษตามพ.ร.ฎ.อภัยโทษครั้งล่าสุดว่า ในวันนี้( 16 ธ.ค.) ทราบว่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จะได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษจากเรือนจำ แต่ไม่ทราบว่าขณะนี้ได้มีการปล่อยตัวผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ได้รับอภัยโทษไปแล้วจำนวนเท่าใด ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบรายชื่อของคณะกรรมการในแต่ละเรือนจำ 

สำหรับการปล่อยตัวขึ้นอยู่กับหมายปล่อยจากศาล จึงไม่สามารถตอบล่วงหน้าได้ว่าจะอนุมัติหมายปล่อยใครในวันใดบ้าง สำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวและอยู่ในกลุ่มที่ต้องติดตามพฤติกรรม โดยทั่วไปไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามโดยตรงได้ เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำได้เพียงการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากผู้พ้นโทษไม่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ที่ ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ชูวิทย์ ได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษจากเรือนจำ โดยมี สุรัชดา แววศรี ภรรยาและญาติมารอรับกลับบ้าน ด้าน ชูวิทย์ ประกาศหยุดเล่นการเมือง ให้เหตุผลว่าไม่อยากกลับไปติดคุกอีก

นอกจากชูวิทย์แล้ว ผู้ต้องขังในคดีรื้อบาร์เบียร์ด้วยกัน พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ และพ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป ได้รับการปล่อยตัวด้วย หลังเข้าเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ พร้อมกันนี้ ยังได้เตรียมทยอยปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั่วประเทศ รวมกว่า 3 หมื่นคน หลังมีประกาศพระราชกฤษฎีกาการพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงครองราชย์สืบสันตติวงศ์ 2559 

lสำหรับคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2559 รวมเวลาที่ถูกคุมขังในเรือนจำ 10 เดือน 17 วัน

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์Voice TVและ NOW26

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พูนสุข พูนสุขเจริญ

$
0
0
"มันไม่ตลกเหรอ ในขณะที่รัฐบอกว่าคนอื่นเข้าใจกฎหมายไม่ดีพอ บิดเบือนข้อมูล แต่วันนี้คนที่พิจารณาผ่านร่างกฎหมายยังมานั่งอ่านนิยาม "ข้อมูลคอมพิวเตอร์" แบบออกเสียงในที่ประชุมให้ฟังกันแบบเด็กๆเพื่อทำความเข้าใจว่ามันคืออะไรอยู่เลย แล้ว 168 เสียงที่ไม่มีใครเลือกมา ก็ลงชื่อผ่านร่าง โดยไม่สนใจ 360,000 เสียง #พรบคอม"
โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก

สลับเก้าอี้ ครม. - โปรดเกล้าฯให้ 7 รมต. พ้น - ตั้ง 12 รมต.

$
0
0

16 ธ.ค. 2559 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี  ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตําแหน่ง และสมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และนางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

2. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ นายพิชิต อัคราทิตย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางอรรชกา สีบุญเรือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายอุตตม สาวนายน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 15 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เป็นปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>