Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

ปลัดสาธารณสุข ชม 'ตูน บอดี้สแลม' ยัน รพ.ไม่ได้แย่-ขาดเครื่องมือ แค่ต้องใช้มากขึ้น

$
0
0

กรณี 'ตูน บอดี้สแลม' วิ่ง 400 กิโลฯ เพื่อนำรายได้มอบให้โรงพยาบาลบางสะพาน 'ประยุทธ์' ให้กำลังใจทุกคนที่ร่วมกิจกรรม ด้านปลัดสาธารณสุข ยันโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ไม่ได้ขาดแคลนเครื่องมือแพทย์อย่างที่เป็นข่าว และไม่ได้แย่ถึงขนาดไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ แค่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้นจากปริมาณงานมากขึ้น ย้ำอยู่ระหว่างปฏิรูประบบ

ที่มาภาพจากเพจ Bodyslam

14 ธ.ค. 2559 จากกรณี อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม นักร้องชื่อดัง ที่ได้จัดกิจกรรม "ก้าวคนและก้าว"  วิ่งจาก กรุงเทพ - บางสะพาน ระยะทาง 400 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 1-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อนำรายได้มอบให้โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปพัฒนาและจัดหาเครื่องมือแพทย์ มียอดเงินบริจาคทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาท ได้สร้างกระแสทั้งชื่นชมตัวตูนและทีมงานเอง รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์รัฐที่ไม่สามารถบริหารหรือจัดการบริการดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ 

ประยุทธ์ ให้กำลังใจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ  “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่งเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถึงกรณี ตูน ด้วยว่า ก็อาจจะมีการติดขัดการจราจรอยู่บ้าง ก็ถือว่าช่วยกันแล้วกัน เพราะนอกจากจะเป็นการอุทิศแรงกาย แรงใจ ทำงานเพื่อสังคมแล้ว ยังเป็นการออกกำลัง ให้เป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนและประชาชน เป็นความคิดที่สร้างสรรค์ของผู้ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสังคม ที่สำคัญ เป็นการทำการกุศลที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด ใช้แรงกาย แรงใจ แต่ได้รับผลตอบรับมากที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทุกคนด้วย และต่อๆ ไป

ปลัดสาธารณสุขยัน รพ.ไม่ได้แย่-ขาดเครื่องมือ แค่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ วานนี้ (13 ธ.ค.59) ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือ โสภณ เมฆธน กล่าวถึงกรณีนี้โดยเฉพาะ กระแสวิจารณ์ในโลกออนไลน์ว่าโรงพยาบาลของรัฐขาดแคลนเครื่องมือแพทย์นั้น ยืนยันว่า การจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ตรงสเปกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะโรงพยาบาลแต่ละแห่งเป็นผู้จัดทำสเปกขึ้นมาเสนอเอง โดยหน่วยงานในภูมิภาคจะมีคณะกรรมการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ตามความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ งบประมาณในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์มีอยู่ 4 แนวทางคือ งบประมาณประจำปีเป็นงบลงทุนจากสำนักงบประมาณ, งบค่าเสื่อมจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการจัดซื้อทดแทน, เงินบำรุงของแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นรายได้ของโรงพยาบาล หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จากการรักษาทั้งกลุ่มสิทธิสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม หรือแม้แต่บัตรทอง ก็สามารถนำมาใช้จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นได้  และสุดท้ายคือ เงินบริจาคจากประชาชนหรือผู้มีจิตศรัทธา

“ยืนยันว่าโรงพยาบาลสังกัด สธ.ไม่ได้ขาดแคลนเครื่องมือแพทย์อย่างที่เป็นข่าว และไม่ได้แย่ถึงขนาดไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ เพราะรัฐบาลก็สนับสนุนงบประมาณอยู่ และเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นหรือเป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วย ทุกโรงพยาบาลมีพร้อม เพียงแต่ปัจจุบันมีการขยายงานบริการเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่าปริมาณงานมากขึ้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือแพทย์เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่าง ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และยังมีคนสูบบุหรี่อยู่มาก ทำให้เกิดความจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใช้เฉพาะแต่ในห้องฉุกเฉินเท่านั้น แต่ต้องจัดหาเครื่องช่วยหายใจไว้ในตึกธรรมดาด้วย” โสภณ กล่าว
 
โสภณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างปฏิรูประบบบริการ ทั้งบุคลากร สิ่งก่อสร้าง เครื่องมือแพทย์ การบริหารจัดการ ได้ทำแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ พ.ศ.2560-2564 เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนและลดความรเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการให้แก่โรงพยาบาลที่มากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ
 
“การจัดกิจกรรมดังกล่าวของนักร้องดัง ผมขอชื่นชมและถือเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะพูดชัดเจนว่าถ้าหากไม่อยากมาโรงพยาบาลก็ควรหันมาออกกำลังกาย เป็นการปลุกกระแสคนรักสุขภาพ และยังเป็นการดำเนินงานตามแนวทางประชารัฐ เป็นการรวมน้ำใจของประชาชนที่จะร่วมทำบุญกับศิลปินที่ตนเองชื่นชม เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ผ่านทางโรงพยาบาลสังกัด สธ. ซึ่งสร้างจากภาษีของประชาชน เป็นตัวอย่างประชารัฐที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ที่ผ่านมาโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้มีจิตกุศลและองค์กรต่างๆ เสมอมา ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ทุกภาคส่วนของสังคม ที่ไม่ได้ปล่อยให้เป็นกลไกของรัฐฝ่ายเดียว” โสภณ กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 8-14 ธ.ค. 2559

$
0
0
กรมการจัดหางาน ประสานนายจ้างหาตำแหน่งงานรองรับผู้พ้นโทษ แล้วกว่า 50,000 อัตรา/ราชกิจจาฯเผยแพร่ ประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศแล้ว บังคับใช้ 1 ม.ค. 2560/กกจ.เผยสถิติปี 2559 มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น/จี้รัฐแก้ระเบียบขึ้นทะเบียนประกันสังคม เป็น ธ.ค.ของทุกปี/ยอดตั้งโรงงานและขยายกิจการ 11 เดือน วูบ 1.28 แสนล้าน/เผย 5 ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการผลิต 3.พนักงานขาย 4.พนักงานธุรการ และ 5.พนักงานขับรถยนต์

 
สรส.จัดเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ 'สาวิทย์ แก้วหวาน' ฝากสานงานต่อ สร้างความเข้มแข็งให้ขบวนแรงงานทุกกลุ่ม
 
​วันที่ 7 ธันวาคม 2559 สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.)ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2558 โดยมีการจัดการเลือกตั้งเลขาธิการ และคณะกรรมการบริหาร ที่สโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย คลองเตย กรุงเทพมหานคร ด้วยคณะกรรมการบริหารสรส.ชุดที่ 16 ซึ่งมีคุณสาวิทย์ แก้วหวานเป็นเลขาธิการได้หมดวาระลง จึงได้เปิดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ขึ้น ประกอบด้วยตำแหน่งเลขาธิการ และกรรมการบริหารในสัดส่วนต่างๆ 20 ตำแหน่ง โดยมีการกำหนดสัดส่วนคณะกรรมการบริหารดังนี้ กรรมการตำแหน่งสัดส่วนสตรีจำนวน 6 ตำแหน่ง กรรมการบริหารสัดส่วนแรงงานหนุ่มสาว 1 ตำแหน่ง และตำแหน่งกรรมการบริหารที่เหลือทั้งหญิงและชายจำนวน 13 ตำแหน่ง ซึ่งครั้งนี้ในตำแหน่งเลขาธิการสรส.มีผู้สมัคร 2 ท่าน ประกอบด้วย นายอำพล ทองรัตน์ จากรักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย และนายประกอบ ปริมล ประธาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งผลการเลือกตั้ง นายประกอบ ปริมลได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ โดยได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้วจำนวน 83 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 100 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 96 คน
 
1. หลักนิติธรรม กำหนดแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ให้แต่ละหน่วยส่วนงานอย่างชัดเจน
 
2. หลักคุณธรรม ต้องปฏิบัติตามฐานคุณธรรม จริยธรรม วางมาตรฐานในการใช้จ่ายงบเงิน สรส. โดย สมาชิกมีการตรวจสอบ
 
3. หลักความโปร่งใส วางระบบความรับผิดชอบของหน่วยงาน กรรมการในการทำหน้าที่อะไรแต่ละด้าน ส่งเสริมให้สมาชิกเข้ามีส่วนร่วมรับรู้การทำงานวางแผนติดตามประเมินผล
 
4. หลักการมีส่วนร่วม เพิ่มช่องแนวทางที่จะให้สมาชิกเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโดยนำความคิดเห็นจากภายนอกและภายในไปใช้ในการปรับปรุงการบริหาร สรส. สมาชิกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมรับรู้รับทราบร่วมเสนอปัญหาให้ข้อคิดเห็นร่วมปฏิบัติร่วมตัดสินใจร่วมรับใช้ประโยชน์ตลอดจนตรวจสอบติดตามประเมินผล
 
5. หลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นำระบบแนวคิดที่ได้จากการเสนอของสมาชิกมาบูรณาการร่วมเข้าในการทำงาน จัดสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารสองทาง คือสั่งการแล้วรับฟัง พัฒนาความรู้ใหม่ใหม่ มาปรับปรุงการบริหารงานอย่างต่อเนื่องสร้างความวางใจ ความเชื่อถือ ความผูกพันระหว่างกรรมการบริหารกับสมาชิกเจ้าหน้าที่
 
6. หลักองค์กรองค์กรเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้สร้างความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และสมาชิกองค์กรมีการปรับปรุงแบบมีการจัดประชุมอบรมสัมมนา พัฒนาความรู้ต่างๆและประเมินเรียนรู้ประสบการณ์ความผิดพลาดในอดีต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดในอนาคต เสริมสร้างภาวะผู้นำตามกระบวนการผลักดันให้เกิดทัศนคติที่สอนกันได้
 
7. หลักการบริหารจัดการ จัดทำแผนภูมิขั้นตอนและระยะเวลาการทำงานเช่นการเพิ่มโอกาสสมาชิกสรส. โดยการติดตามประสานงานองค์กรสมาชิกเก่าที่ลาออกจากองค์กรสมาชิกที่จ่าย ที่ต้องจ่ายค่าบำรุงองค์กรสหพันธ์แรงงานกลับเข้ามาเป็นสมาชิก โดยมีการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกโดยใช้หลักการแบบการมีส่วนร่วมส่งเสริมการทำงานที่เป็นทีมสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการทำงานในทุกภาคส่วนกำหนดมาตรการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี รับฟังอย่างตั้งใจ กำหนดหลักการทำงานแบบกระจายอำนาจ ความรับผิดชอบ กระจายโอกาสแก่มวลสมาชิก เมื่อได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวแล้วจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเกิดศรัทธาทำให้การบริหารสรส. เป็นไปตามทิศทางตามกรอบที่ถูกต้องดียิ่งขึ้น เกิดประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ธรรมนูญสรส. จะต้องแก้ไขเพื่อความเชื่อมั่นศรัทธา พัฒนาสรส.
 
ด้วยหลักการบริหารกิจการสรส.เพื่อองค์กรสมาชิกโดยให้สมาชิกมีส่วนร่วมตรวจสอบในการใช้หลักการประสานงานประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล สร้างให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อองค์กรสมาชิกและสมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดและนำไปสู่ความมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป
 
ด้านนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมาพันธ์ฯ ตนเห็นว่า การทำงานของ สรส. มีความสำคัญต่อขบวนการแรงงาน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำงานร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับขบวนการแรงงาน เป็นองค์กรขับเคลื่อนผลักดันด้านนโยบาย สวัสดิการ ค่าจ้าง กฏหมายต่างๆ รวมถึงอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87และ98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวเจรจาต่อรอง การเคลื่อนไหวในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันกรรมกรสากล วันงานที่มีคุณค่า วันแรงงานข้ามชาติสากล โดยมองว่า แรงงานทั้งผองคือพี่น้องกัน และอยากเห็นสรส.ทำงานร่วมกันโดยไม่แบ่งแยก ซึ่งปัจจุบัน การทำงานขยายการจัดตั้งเหมือนกับอดีตที่รัฐวิสาหกิจมีการทำงานร่วมกับแรงงานเอกชนในการให้คำปรึกษาปัญหาด้านสิทธิแรงงาน ร่วมศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน และได้เข้าช่วยทำงานแก้ปัญหาให้กับแรงงานข้ามชาติ ด้านการละเมิดสิทธิแรงงาน แรงงานนอกระบบ ทำการสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป แต่วันนี้แรงงานยังถูกเอาเปรียบขูดรีดรุนแรงขึ้น สรส. ต้องทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเพื่อป้องกันปกป้อง รักษาสมบัติของชาติต่อต้านการทุจริต คอรัปชั่น ทำงานขับเคลื่อสังคมร่วมกับผู้ทุกข์ยาก คนยากจนโดยมองเรื่องชนชั้น เพราะแรงงานคือคนส่วนใหญ่แต่กลับไม่เคยมีรัฐบาลไหนมองเห็น ฉะนั้นต้องทำงานร่วมกันตามฐานที่มีการวางไว้
 
“แม้วันนี้จะไม่ได้เป็นเลขาธิการสรส.ที่ทำมาถึง 8 วาระแล้ว การที่ทำงานแรงงานมานานกว่า 30 ปี ก็ขออยู่เพื่อรับใช้ทางชนชั้นต่อไปถึงแม้ไม่มีตำแหน่งเรียกใช้ได้เสมอ” นายสาวิทย์กล่าว
 
 
ราชกิจจาฯเผยแพร่ ประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศแล้ว บังคับใช้ 1 ม.ค. 2560
 
(๗ ธ.ค.) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๘) ระบุว่า ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้าง ที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกําหนด เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ และมีมติเห็นชอบให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้างทุกคน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๗๙ (๓) และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
 
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ และประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
 
ข้อ ๒ ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยสิบบาท ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ภูเก็ต สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
 
ข้อ ๓ ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยแปดบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พังงา ระยอง
สงขลา สระบุรี และสุราษฎร์ธานี
 
ข้อ ๔ ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยห้าบาท ในท้องที่จังหวัด กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กําแพงเพชร จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ เชียงราย ตราด ตาก นครนายก นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลําปาง ลําพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สมุทรสงคราม สระแก้ว สุโขทัย สุพรรณบุรี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลําภู อ่างทอง อํานาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และอุบลราชธานี
 
ข้อ ๕ ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยบาท ในท้องที่จังหวัดชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา ระนอง และสิงห์บุรี
 
ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ตามข้อ ๒ ถึงข้อ ๕ คําว่า “วัน” หมายถึง เวลาทํางานปกติของลูกจ้าง
ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทํางานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทํางานน้อยกว่าเวลาทํางานปกติเพียงใดก็ตาม
(๑) เจ็ดชั่วโมง สําหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑
(๒) แปดชั่วโมง สําหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (๑)
ข้อ ๗ ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
 
ข้อ ๘ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม
 
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
 
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ
ปลัดกระทรวงแรงงาน
ประธานกรรมการค่าจ้าง
 
 
อัศวินสั่งหาโบนัสให้ขรก.-ลูกจ้างกทม. เพิ่มขวัญกำลังใจคนทำงาน ชื่นชมฝ่ายรักษาความสะอาดดูแลสนามหลวง เล็งออกแผนคุมไฟไหม้-อุบัติเหตุปีใหม่ วอนจัดงานรื่นเริงในขอบเขต
 
น.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงาน กทม. ครั้งที่ 12/2559 โดยมีคณะผู้บริหารฝ่ายการเมือง คณะผู้บริหารฝ่ายประจำ ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการเขต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
 
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า สำหรับภารกิจดูแลประชาชนที่ท้องสนามหลวง ตนขอบคุณผู้ปฏิบัติต่างๆ และขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมฝากขอบคุณไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาให้ด้วย ซึ่งทุกฝ่ายทั้งผู้บริหารฝ่ายการเมือง และข้าราชการประจำได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนดูแลงานที่สนามหลวงเป็นอย่างดี ซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ได้ชื่นชมการปฏิบัติงานของข้าราชการลูกจ้างกทม. ถึงแม้หน้าที่ความรับผิดชอบจะเหน็ดเหนื่อย แต่ทุกๆคนโดยเฉพาะพนักงานฝ่ายรักษาความสะอาดก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสทำหน้าที่ด้วยความเต็มใจ ไม่มีหน้าบูดเบี้ยวเลย ทั้งนี้ ตนจึงพยายามให้ นางวรรณวิไล พรหมลักขโณ รองผู้ว่าฯกทม. หาแนวทางให้โบนัสให้ฝ่ายปฏิบัติงานเหล่านี้ 1 เดือน เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอย่างเต็มที่
 
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 การดูแลเรื่องความปลอดภัยในกรุงเทพฯ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงการไว้ทุกข์ แต่การจัดงานของฝ่ายต่างๆ กทม.คงห้ามไม่ได้ แต่ขอให้อยู่บนเหตุผลและไม่จัดงานเทศกาลรื่นเริงเกินขอบเขต ซึ่งกทม.ยังจะกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัย ทั้งเรื่องไฟไหม้ อุบัติเหตุบนท้องถนน การรักษาพยาบาล ซึ่งในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ จะเป็นวันสถาปนากทม. จะมีพิธีหลายส่วนที่จะจัดขึ้นที่ศาลาว่าการกทม. 2 โดยในวันนั้นก็จะมีการแถลงนโยบายของผู้บริหารฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำ และมีสภา กทม.ร่วมด้วย
 
 
กกจ.เผยสถิติปี 2559 มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น
 
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์การว่างงานของคนไทยปี 2559 ว่า จากข้อมูลภาวะการมีงานทำของประชากรปี 2559 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า เดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ว่างงาน จำนวน 3.86 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีอัตราการว่างงาน 0.9% ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกำลังแรงงาน โดยพบว่าอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานในรอบ 5 ปี (2555-2559) ที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปไม่หางานทำ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบการศึกษายาวนานขึ้น ประกอบกับเป็นสังคมผู้สูงอายุจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ดังนั้นจึงทำให้กำลังแรงงานโดยรวมลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจะพบว่ามีอัตราการว่างงานลดลง จาก 1.2% เป็น 1% ในส่วนของอัตราการมีงานทำปี 2559 (ม.ค.-ต.ค.59) คิดเป็น 98.4% ขณะเดียวกันอัตราการกลับเข้าสู่การมีงานทำในปี 2559 (ม.ค.-พ.ค.59) พบว่ามีลูกจ้างถูกเลิกจ้าง ลาออกจากงาน จำนวน 298,248 คน สามารถกลับเข้าสู่การมีงานทำ จ้างงานได้ 185,321 คน หรือคิดเป็น 62% สูงกว่าปี 2558
 
 
กรมการจัดหางาน เตือนคนหางานระวังถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นและอังกฤษโดยโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อออนไลน์ ว่ามีงานดี เงินดี พบถูกหลอกแล้วหลายราย
 
กระทรวงแรงงาน โดย นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพใช้ชื่อว่าบริษัทจัดหางานที่ประเทศญี่ปุ่นลงโฆษณาชักชวนคนหางานทางเฟสบุ๊คว่า “งานใหม่ งานดี เงินดี ไม่ส่งไปประเทศญี่ปุ่นอย่างเดียว ประเทศอังกฤษก็ส่ง รับหลายตำแหน่ง หลายอัตรา เฉพาะเพศชายเท่านั้น” และได้ลงประกาศรับสมัครคนงานไปทำงานที่ประเทศอังกฤษในหลายตำแหน่ง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานได้สืบเบาะแสโดยการติดต่อสอบถามทางโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ในเฟสบุ๊คและได้เดินทางไปที่บริษัทจัดหางานดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบคนหางาน จำนวน 16 คน กำลังฟังตัวแทนของบริษัทฯบรรยายแนะนำการเตรียมตัวเข้ารับการสัมภาษณ์งาน ซึ่งจากการสอบปากคำคนหางานได้ให้การว่าทราบข่าวการรับสมัครงานไปทำงานที่ประเทศอังกฤษจากเฟสบุ๊ค ชื่อบริษัทจัดหางานที่ประเทศญี่ปุ่นบางรายให้การว่าทราบข่าวจากเพื่อนคนหางานด้วยกัน และที่มาบริษัทฯ ในครั้งนี้เนื่องจากได้รับการนัดหมายจากตัวแทนของบริษัทฯซึ่งจากการตรวจสอบการกระทำของบริษัทจัดหางานดังกล่าวพบว่าเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 15 ข้อหา “ไม่จดทะเบียนลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานต่อนายทะเบียน” มาตรา 35 ข้อหา “รับสมัครหรือประกาศรับสมัครคนหางานเป็นการล่วงหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”มาตรา 66 ข้อหา “โฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต” พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
กรมการจัดหางาน จึงขอเตือนคนหางานว่าอย่าหลงเชื่อผู้ชักชวนให้ลักลอบเดินทางเข้าไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะการชักชวนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค แอปพลิเคชั่นไลน์ หรืออีเมล์เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จึงขอให้ตรวจสอบกับ กรมการจัดหางานก่อนซึ่งสามารถสอบถามข้อมูล แจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางานได้ ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2248-4792 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ทั้งนี้ หากคนหางานต้องการพัฒนาฝีมือเพื่อยกระดับฝีมือแรงงานและช่วยเพิ่มรายได้ ก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถติดต่อได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
 
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 10/12/2559 
 
ผู้นำแรงงานยื่นข้อเสนอเพิ่มสิทธิประกันสังคมหลายด้าน ตั้งคำถามต่อการปรับเพิ่มฐานจัดเก็บเงินสมทบเพิ่มมาตรา 33 และ 39
 
จากรณีที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นผลการศึกษาการปรับเพดานจัดเก็บเงินสมทบประกันสังคมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2559 ที่โรงแรมแอมบาสซาเตอร์ ซิตี้ จอมเทียน สัตหีบ ชลบุรี โดยกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก ยื่นข้อเสนอต่อเวทีรับฟังความคิดเห็น ถึงนายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กรณีการเปิดรับฟังความคิดประเด็นการแก้ไขปรับปรุงฐานการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ซึ่งทางกลุ่มจึงมีข้อเสนอดังนี้
 
1.เงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้คำนวณจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎกระทรวงแรงงานและให้คำนวณตามฐานเงินเดือนของผู้ประกันตนโดยไม่มีเพดานกำหนด และให้นำเงินที่เก็บเพิ่มขึ้นไปใช้จ่ายในกรณีชราภาพ กรณีทดแทนการขาดรายได้ กรณีสงเคราะห์บุตร ส่วนกรณีอื่นๆเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องดูแลรับผิดชอบเหมือนกันกับสิทธิจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และระบบรัฐสวัสดิการของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ
2.ให้สำนักงานประกันสังคมเร่งออกประกาศใช้อนุบัญญัติ ทั้ง 17 ฉบับ ที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับแก้ไขปี 2558
3.ให้สำนักงานประกันสังคมแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ ดังนี้
4.สำนักงานประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระ
5.รัฐบาลต้องจ่ายสมทบประกันสังคมเต็มร้อยละ 5 จากเดิมที่จ่ายสมทบน้อยกว่าฝ่ายผู้ประกันตน และนายจ้าง
6.ทุกสิทธิประโยชน์ต้องเกิดขึ้นทันทีตั้งแต่เป็นผู้ประกันตนโดยไม่มีเงื่อนไข
7.ทุกสิทธิประโยชน์ต้องจ่ายจริงตามความจำเป็นโดยไม่มีเพดาน ผู้ประกันตนต้องไม่มีการจ่ายเพิ่มเติม
8.ทุกสิทธิประโยชน์เมื่อผู้ประกันตนใช้สิทธิต้องไม่มีการสำรองจ่าย
9.กรณีการใช้สิทธิของลูกจ้างนายจ้างตามกฎหมายจะต้องไม่ทำให้ผู้ประกันตนเสียสิทธิโดยเด็ดขาด เช่น การใช้สิทธิปิดงาน นัดหยุดงาน หยุดงานเนื่องจากเจ็บป่วยประสบอันตราย การใช้สิทธิตามมาตรา 75 การ10.ใช้สิทธิด้วยเหตุจำเป็นจากภัยธรรมชาติเป็นต้น
11.การคำนวณเงินชราภาพกรณีผู้ประกันตนมาตรา 39 ต้องใช้ฐานค่าจ้างสุดท้ายย้อนหลัง 60 เดือน หลังจากพ้นจากผู้ประกันตนมาตรา 33 ยกเว้นจำกลับเข้ามาเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้ใช้เฉพาะฐานค่าจ้างมาตรา 33 ย้อนหลัง 60 เดือน
12.กรณีเงินชราภาพผู้ประกันตนสามารถเลือกที่จะรับเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ หรือบำนาญชราภาพได้
13.เงินบำนาญชราภาพอย่างน้อยต้องเพียงพอต่อการดำรงชีพไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ปัจจุบัน 300 บาทต่อวันคือ 9,300 บาทต่อเดือน)
14.ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 400 บาท เป็น 1,000 บาทขยายอายุจาก 6 ปี เป็น 12 ปี ไม่จำกัดจำนวนบุตร
15.เงินชดเชยค่าขาดรายได้ต้องจ่ายเต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มของฐานค่าจ้างที่ผู้ประกันตนได้รับ
16.การใช้สิทธิกรณีฉุกเฉินจะต้องไม่มีการสำรองจ่าย และจ่ายเพิ่ม
 
ด้านนายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงผลการศึกษาการปรับเพดานจัดเก็บเงินสมทบในอัตราร้อยละ 5 จากฐานเงินเดือนปัจจุบันเพดานสูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นผู้ประกันตน ตามที่ สปส.จะขยายเพดานจัดเก็บเงินสมทบเพิ่มเป็น 20,000 บาท เพื่อให้เกิดเสถียรภาพของกองทุน สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งการปรับฐานคาดว่า จะส่งผลดีกับผู้ประกันตน ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มขึ้น เพราะฐานการคำนวณเงินสมทบเพิ่มขึ้น เช่น การรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ปัจจุบันสำหรับผู้ถูกเลิกจ้างจะได้ในอัตราร้อยละ 50 ของ 15,000 บาท คือ 7,500 บาท เมื่อปรับเป็น 20,000 บาท ก็จะได้เงินว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 10,000 บาท เป็นต้น
 
ทั้งนี้จากการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้ประกันตนแล้วใน 3 พื้นที่ คือ อุดรธานี เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ประกันตนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่นายจ้างบางส่วนยังมีข้อกังวล เรื่องภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นยังเหลือที่ภาคใต้ที่อยู่ระหว่างการกำหนดวันเวลาและสถานที่ และวันนี้ได้รับฟังในส่วนของผู้ประกันตนที่จังหวัดชลบุรีแล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงกลางปี 2560 แน่นอน และปัจจุบัน ผู้ประกันตนที่มีเงินเดือนเกิน 15,000 บาท อยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 หรือ ประมาณ 2 ล้านคน ที่จะต้องส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้น หากการปรับเงินสมทบมีผลบังคับใช้ และในอนาคตภายหลังใช้เพดานใหม่จะต้องมีการพิจารณาทบทวนอัตราเงินสมทบว่าเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันหรือไม่
 
ส่วนนายชาลี ลอยสูง รักษาการประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ต้องถามว่าสปส.แก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ ต่อประเด็นการที่ประกันสังคมมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะการปรับเพดานเงินสมทบเพิ่มขึ้นจากเดิมนั้น ด้านผู้มีรายได้ส่วนของเงินเดือนสูงนั้นตัวเลขอาจมีส่วนน้อยก็จริงแต่ปัญหาการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่ทั่วถึงและมีส่วนน้อยที่ได้เข้าและรับรู้ถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็น ซึ่งตนเองยังต้องมาร่วมในพื้นที่ชลบุรีทั้งที่อยู่แถบสมุทรปราการ เป็นต้น ประเด็นมาตรา 39 ที่สปส.จะมีการเพิ่มเพดานการจัดเก็บเงินสมทบจากเดิมเก็บสมทบที่ 432 บาท ฐานเงินเดือน 4,800 บาท ปรับเพิ่มเป็น 7,800 บาท หรือว่าจะเป็น 6,800 บาท นั้นรัฐควรต้องมีการเปิดการรับฟังกว้างกว่านี้เพราะผู้ประกันตนราว 13 ล้านคน แม้ว่าสปส.ได้มีการเปิดรับฟังทางเว็ปไซต์ไปเมื่อเดือนที่ผ่านมาถามว่ามีสักเท่าไรที่ได้รับรู้และเข้าไปตอบแบบสอบถามนั้น
 
“ในส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 33 ยังเป็นคนที่มีรายได้ แต่ประเด็นกรณีของมาตรา 39 ผู้ประกันที่ต้องออกจากงานออกจากมาตรา 39 ไม่ว่าจะถูกเลิกจาก หรือลาออกจากงานก็ถือว่าเป็นผู้ไม่มีรายได้ตรงนี้คิดว่าในส่วนของสปส.ต้องคำนึงด้วย ตัวเลขคนที่หลุดจากระบบประกันสังคมมาตรา 39 นั้นมีตัวเลขเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของสปส.กำลังจะมีการนิรโทษกรรมให้สามารถกลับเข้ามาประกันตนได้ใหม่นั้น สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะลืมจ่ายเงินสมทบแต่อาจเป็นเพราะเขาไม่มีรายได้ไม่มีเงินที่จะจ่ายสมทบประกันสังคมตรงนี้ก็ต้องมองด้วย ประเด็นเก็บเงินสมทบเพิ่มแล้วเขาได้รับประโยชน์ทดแทนเพิ่มขึ้นหรือไม่ รัฐควรนำเงินบางส่วนที่คนมาตรา39ไมได้ใช้มาจัดเป็นสวัสดิการให้กับเขาเพื่อการดูแลซึ่งคนเหล่านี้ก็เข้าสูงสังคมสูงวัยควรนำมาจ่ายเป็นบำนาญชราภาพเพิ่มขึ้นโดยอาจลดจ่ายกองอื่นเช่นสงเคราะห์บุตร คลอดบุตรนำเงินมาไว้ในกองบำนาญชราภาพเพื่อการสอดคล้องกับความเป็นจริง ถามว่าวันนี้มาตรา 39 จ่ายเงินสมทบ2 เท่า อยู่ที่ 432 บาทหากคนที่ไม่มีรายได้จะนำเงินที่ไหนมาจ่ายเพิ่ม ” นายชาลี กล่าว
 
 
"อัคราฯ" เลิกจ้าง 1 พัน พนง.เหมืองทอง-รัฐเมินต่อใบอนุญาต
 
อัครา รีซอร์สเซส ถอดใจหลังใบต่ออนุญาตประกอบโลหกรรม เหมืองแร่ทองคำในพิจิตร-เพชรบูรณ์ไม่คืบ ประกาศหยุดผลิต-เลิกจ้างบริษัทในเครือแล้ว พนักงานกว่า 1,000 คนเคว้ง ทั้งที่ศักยภาพเหมืองทองยังเหลือผลิตได้จนถึงปี"71 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่แจง การตัดสินใจต่อใบอนุญาตขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโนบายบริหารจัดการแร่
 
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 59 บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานที่มีอยู่ 1,004 คน โดยหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวระบุว่า สืบเนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีมติหลังการหารือประชุมร่วมกัน โดยเห็นสมควรให้ "ยุติ" การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ สำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตร และให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมของเหมืองแร่ทองคำชาตรีออกไปถึงวันที่ 31 ธ.ค. 59 ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของบริษัทเป็นอย่างมาก บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องปิดตัวโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรี (สาขาพิจิตร) ของบริษัทลง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานและรายได้ของบริษัท จึงต้องเลิกจ้างนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 60 เป็นต้นไป
 
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มติคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมให้กับบริษัทอัครา รีซอร์สเซส สำหรับพื้นที่เหมืองแร่ทองคำชาตรีในพื้นที่ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และ ต.ท้ายดง อ.วังโปง จ.เพชรบูรณ์ ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2559 จากนั้นบริษัทอัคราฯจึงยื่นขอต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมอีกครั้งต่อกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาแต่อย่างใด ส่งผลให้บริษัทอัครา รีซอร์สเซสตัดสินใจประกาศเลิกจ้างพนักงานดังกล่าว
 
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการฝ่ายประสานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะให้ต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมหรือไม่ จึงประกาศเลิกจ้างพนักงานดังกล่าว โดยจะมีพนักงานใน 8 บริษัทที่ได้รับผลกระทบทันที 1) บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เลิกจ้างพนักงานฝ่ายผลิตทั้งหมดรวม 336 คน 2) บริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด พนักงาน 458 คน 3) บริษัท บอร์ท ลองเยียร์ จำกัด พนักงาน 28 คน 4) บริษัท ทีเคพีวี จำกัด พนักงาน 20 คน 5) บริษัท เมโทรแมชีนเนอรี่ จำกัด พนักงาน 67 คน 6) บริษัท แอตลาส คอปโก้ (ประเทศไทย) จำกัด พนักงาน 20 คน 7) บริษัท ริสค์ โปรเท็คชั่น (ประเทศไทยจำกัด) จำกัด พนักงาน 40 คน และ 8) ผู้รับเหมารายย่อยอื่น ๆ พนักงาน 35 คน
 
"เท่ากับว่าตอนนี้บริษัทอัครา รีซอร์สเซส ได้ทำตามมติของ ครม.ที่ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำได้ถึงแค่สิ้นปีนี้เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้าก็ได้พยายามยื่นหนังสือเพื่อขอเข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงตัดสินใจที่จะหยุดเลิกจ้างพนักงานในที่สุด
 
นายเชิดศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนประเด็นที่บริษัทอัครา รีซอร์สเซสจะฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากกรณีที่ไม่มีการต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีนโยบายจากบริษัทให้ดำเนินการใด ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ คือ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีการเรียกหารือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน เพื่อสรุปถึงแนวทางการเยียวยาพนักงานที่ถูกเลิกจ้างต่อไป
 
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองอธิบดี รักษาการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า การพิจารณาขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ขณะเดียวกัน การพิจารณาต่อใบอนุญาตนั้นจะต้องเป็นไปตามระเบียบ กพร.ที่ว่าด้วย ผู้รับใบอนุญาตจะต้องปฏิบัติตามแผนผังและกรรมวิธีประกอบโลหกรรมโดยถูกต้องตลอดมา และไม่มีเหตุขัดข้องหรือนโยบายเป็นอย่างอื่น ซึ่งการประกอบโลหกรรมของบริษัทอัคราฯ ได้มีการร้องเรียนคัดค้านอย่างต่อเนื่อง และภายหลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี จึงเป็นที่มาว่าให้ยึดมติ ครม.ต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปถึงสิ้นปี 2559 เท่านั้น
 
นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งมี นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อดีตอธิบดีกรมพื้นฐานอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ (กพร.) และนายธวัช ผลความดี อดีตเลขาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นั้นยังคงหารือร่วมกัน หากเกิดกรณีที่บริษัท อัครา รีซอสเซสฯ มีการฟ้องร้องโดยเฉพาะเรื่องกรอบของกฎหมาย และข้อตกลงเขตการค้าเสรี( FTA) ระหว่างไทยและออสเตรเลีย และอำนาจของ พ.ร.บ.แร่ ฉบับที่ใช้ปัจจุบัน ที่ต้องคำนึงตามนโยบายป้องกันเชิงสาธารณะ ซึ่งในกรณีที่ปิดเหมืองแล้วในส่วนการฟื้นฟูก็ต้องดำเนินการทันที
 
รายงานข่าวเพิ่มเติมสำหรับปริมาณแร่ทองคำชาตรีของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส คาดว่ายังเหลือศักยภาพถึง 40 ล้านตัน และสามารถขุดได้ถึงปี 2571 ตามที่เหลือของอายุประทานบัตร
 
 
จี้รัฐแก้ระเบียบขึ้นทะเบียนประกันสังคม เป็น ธ.ค.ของทุกปี
 
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 59 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จากเรื่องการประกันสังคม ซึ่งปกติจะมีการแสดงความจำนงในการใช้บริการโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งในทุกปีจะมีบางโรงพยาบาลยกเลิก ทำให้มีโรงพยาบาลอื่นมาเป็นคู่สัญญาใหม่ และให้ผู้ประกันตนไปหาประกันสังคมใหม่ แต่ระเบียบของสำนักงานประกันสังคมบอกว่า จะไปแจ้งความจำนงขอไปโรงพยาบาลใหม่ต้องแจ้งตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.เป็นต้นไป และจะเริ่มได้ตลอดปีนั้น แต่วันที่ 1 ม.ค.เป็นวันหยุดในทุกปีอยู่แล้ว ทำให้คู่สัญญาที่เริ่มใหม่ทุกปีต้องเริ่มวันที่ 16 ม.ค. เพราะระเบียบของสำนักงานประกันสังคมเขียนไว้ว่า สัญญาจะเริ่มวันที่ 1 หรือ 16 ของเดือน ม.ค.
 
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า ขณะที่คนป่วยซึ่งอาจจะรักษาอยู่โรงพยาบาลเดิมที่ยกเลิกไปก็หมดสิทธิ์ที่จะใช้บริการ ต้องไปเริ่มกับโรงพยาบาลใหม่ในวันที่ 16 ม.ค. ซึ่งในระหว่างที่โรงพยาบาลเดิมยกเลิกสัญญาและก่อที่ผู้ประกันตนจะสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใหม่ได้ เป็นระยะเวลา 15 วัน ซึ่งเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน แทนที่จะให้มีการแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เดือน ธ.ค.แทน เพื่อที่จะได้เริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.เลย ทั้งนี้ ตนได้พูดคุยกับเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมให้แก้ไขเรื่องดังกล่าว ซึ่งก็ได้คำตอบว่าเห็นด้วย แต่ต้องใช้เวลาเพราะต้องแก้ระเบียบ จึงอยากให้แก้ไขก่อนวันที่ 1 ม.ค.ที่จะถึงนี้ จึงฝากไปยังรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ที่จะปฏิรูประบบก็ควรทำเรื่องนี้ให้รวดเร็ว
 
 
'กระทรวงแรงงาน-กรมราชทัณฑ์' ฝึกอาชีพให้ผู้ได้รับอภัยโทษและนักโทษชั้นดี 19 ธ.ค. ทั่วประเทศ
 
อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายธีรพล ขุนเมือง บอกว่า จากการที่กรมราชทัณฑ์เตรียมแผนรองรับการปล่อยตัวผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และอภัยโทษลดโทษปล่อยตัว ตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ.2559 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราชบรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10กระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทำ และการฝึกทักษะอาชีพให้กับคนทุกกลุ่มตามมาตรการ 8 วาระเร่งด่วนปฏิรูปเพื่อความสำเร็จของการเดินหน้าพัฒนากำลังคนของประเทศ รวมถึงการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สำหรับการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เป็นหน่วยงานหลักฝึกอาชีพตามความต้องการของตลาดแรงงานให้กับผู้ที่จะได้รับอภัยโทษพร้อมกับทุกหน่วยงานในสังกัดจะให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน สวัสดิการ การประกันสังคม รวมถึงการเข้าถึงแหล่งงานด้วยอธิบดี บอกด้วยว่า จะดำเนินการฝึกอาชีพให้กับผู้ที่จะได้รับอภัยโทษและนักโทษชั้นดีโดยเริ่มพร้อมเพรียงกันทั้ง 77 จังหวัด ในวันที่ 19 ธ.ค นี้เนื่องจากเป็นตัวเลขที่เป็น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ทั้ง 2 พระองค์ โดยจะดำเนินการฝึกอย่างน้อยจังหวัดละ 1 รุ่น ๆละ 20 คน รวม 1,540 คน สาขาที่ทำการฝึก ส่วนใหญ่เป็นสาขาช่างที่อยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น ช่างปูกระเบื้อง ช่างเชื่อม ช่างทำมุ้งลวดเหล็กดัด ช่างซ่อมบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก จึงเป็นการสร้างโอกาสการมีงานทำได้สูง และยังมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการได้เองอีกด้วย
 
 
เผย 5 ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการผลิต 3.พนักงานขาย 4.พนักงานธุรการ และ 5.พนักงานขับรถยนต์
 
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วาณิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากข้อมูลภาวะมีงานทำของประชากรปี 2559 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าเดือนมกราคม-ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา มีผู้ว่างงาน จำนวน 3.86 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1% เพิ่มขึ้นจากปี2558 ที่มีอัตราการว่างงาน 0.9% ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกำลังแรงงาน โดยพบว่าอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานในรอบ 5 ปี (2555-2559) ที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปไม่หางานทำ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบการศึกษายาวนานขึ้น ประกอบกับเป็นสังคมผู้สูงอายุจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ดังนั้นจึงทำให้กำลังแรงงานโดยรวมลดลงด้วย
 
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจะพบว่ามีอัตราการว่างงานลดลง จาก 1.2% เป็น 1% ในส่วนของอัตราการมีงานทำปี 2559 (มกราคม-ตุลาคม 2559) คิดเป็น 98.4% ขณะที่ปี 2558 มีจำนวน 98.7% ซึ่งต่างกันเพียง 0.3% แสดงให้เห็นว่าการจ้างงานยังคงใกล้เคียงกับปี 2558 ขณะเดียวกันอัตราการกลับเข้าสู่การมีงานทำในปี2559 (มกราคม-พฤษภาคม 2559) พบว่ามีลูกจ้างถูกเลิกจ้าง/ลาออกจากงาน จำนวน 298,248 คน สามารถกลับเข้าสู่การมีงานทำ/จ้างงานได้ 185,321 คน หรือคิดเป็น 62% สูงกว่าปี 2558 จำนวน 4% ที่มีลูกจ้างถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน จำนวน 639,183 คน สามารถกลับเข้าสู่การจ้างงานได้ 374,754 คน หรือคิดเป็น 58%
 
นายวิวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กรมการจัดหางานได้รับแจ้งความต้องการแรงงาน จำนวน 32,728 อัตรา มีผู้สมัครงาน จำนวน 34,776 คน และสามารถบรรจุงานได้ จำนวน 20,149 คน โดยตำแหน่งงานที่นายจ้าง/สถานประกอบการต้องการแรงงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการผลิต 3.พนักงานขายและผู้นำเสนอสินค้า 4.พนักงานธุรการ และ5.พนักงานขับรถยนต์ ซึ่งแสดงว่ายังมีตำแหน่งงานว่างรองรับและสามารถบรรจุงานได้
 
 
"คลัง" เตรียมเสนอแก้เงินนำส่งเข้า "กองทุนกบช." เพื่อกำหนดเป็นเพดานเงินนำส่งไม่เกิน 10% ของเงินเดือนลูกจ้างและนายจ้าง ส่วนจะนำส่งในอัตราใดขึ้น
 
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอแก้ไขร่างกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) โดยกำหนดเฉพาะเพดานอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนที่ไม่เกิน 10% ของเงินเดือนของลูกจ้าง ส่วนจะนำส่งเข้ากองทุนในอัตราเท่าใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจ
 
ทั้งนี้ ตามร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และอยู่ขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น โดย กำหนดให้นายจ้าง และลูกจ้างมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนนี้ ในอัตราขั้นต่่ำ 3% และขั้นสูงไม่เกิน 15%
 
นอกจากนี้ ในร่างกฎหมายนี้ ที่ผ่านครม.ได้กำหนดอัตราใช้จริงไม่เกิน 10% แต่ให้ทยอยปรับขึ้นเป็นขั้นบันได กล่าวคือ ในระยะ 3 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้นายจ้าง และลูกจ้างนำส่งเงินเข้ากองทุนนี้ 3% ปีที่ 4-ปีที่ 6 ของการบังคับใช้กฎหมายกำหนดไว้ที่ 5% ปีที่ 7-ปีที่ 9 กำหนดไว้ 7% และตั้งแต่ปีที่ 10 ของการบังคับใช้กฎหมายเป็นต้นไปกำหนดในอัตราที่ 10%
 
ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบ ที่จะมีต่อผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยเวลานี้ กระทรวงการคลัง จึงจะเสนอขอแก้ไขร่างกฎหมายนี้ในรายละเอียด ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนที่จะเสนอให้ ครม.อนุมัติอีกครั้ง
 
โดยการแก้ไขครั้งนี้ จะไม่กำหนดอัตราที่จะนำมาใช้ เป็นการกำหนดเพียงเพดานไม่เกิน 10% ส่วนการกำหนดอัตราบังคับใช้ ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วง โดยออกเป็นกฎกระทรวง เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นของการกำหนดอัตราตามภาวะเศรษฐกิจ
 
ทั้งนี้ รัฐบาล ตั้งเป้าหมายว่า คนไทยหลังเกษียณ จะมีรายได้เมื่อรวมกับเงินใน กบช.และเงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคม ไม่ต่ำกว่า 50 % เงินเดือนหลังเกษียณ (ซึ่งกำหนดค่าเฉลี่ยไว้ไม่เกิน 6 หมื่นบาท)
 
แหล่งข่าวกล่าวว่า การทำให้อัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุน ยึดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจ อาจกระทบต่อเป้าหมายรายได้ของลูกจ้างหลังเกษียณ แต่สำนักงานกองทุนประกันสังคม ก็เตรียมที่จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในกรณีชราภาพ ในส่วนของฝ่ายนายจ้าง และลูกจ้างให้สูงขึ้นกว่าปัจจุบัน เพื่อให้รายได้หลังเกษียณของลูกจ้างอยู่ในเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งในปัจจุบัน ลูกจ้างและนายจ้าง นำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ฝ่ายละ 3% และรัฐบาลสมทบให้อีก 1% รวมเป็น 7%
 
กระทรวงการคลัง คาดว่า กฎหมายฉบับนี้ ที่ออกมาเพื่อสร้างระบบเงินออมหลังเกษียณให้แก่ลูกจ้างภาคเอกชน จะสามารถบังคับใช้ได้ภายในปี 2561 กฎหมายนี้บังคับใช้กับแรงงานในระบบที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี จนถึง 60 ปี
 
ทั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคสมัครใจ ไปสู่ภาคบังคับราบรื่น การดำเนินการบังคับจะค่อยเป็นค่อยไป กล่าวคือ ในปีที่ 1-ปีที่4 ของการบังคับใช้กฎหมายนี้ กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ ปีที่ 4-ปีที่ 6กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องมีกองทุนนี้ และตั้งแต่ปีที่ 7 เป็นต้นไป กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
 
 
"เอ็นจีโอ" หนุน สปส. ปรับฐานเก็บ "เงินสมทบ" ผู้ประกันตน
 
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงกรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) อยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นการปรับฐานคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมว่า เห็นด้วยกับการปรับฐานคำนวณเงินสมทบสูงขึ้นจากฐานเงินเดือนเดิม 15,000 บาท เนื่องจากคนทำงานมีรายได้หลายระดับ แต่กลับจ่ายในอัตราเท่ากัน มีสวัสดิการเท่ากัน ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมกับคนเงินเดือนน้อยที่ต้องจ่ายเท่ากับคนเงินเดือนมาก
 
"อย่างไรก็ตาม เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการบริหารกองทุนไม่ใช่บริหารงานโดยข้าราชการแบบปัจจุบันนี้ เพราะข้าราชการไม่ได้เป็นผู้ใช้สิทธิ ดังนั้น ต้องปรับปรุงเรื่องการได้มาของคณะกรรมการกองทุน ให้คนที่เป็นลูกจ้างจริงๆ ถ้าไม่เปลี่ยนโครงสร้างนี้เกือบจะไม่มีใครรู้เลยว่าที่ผ่านมามีการเอาเงินสมทบของผู้ประกันตนไปใช้ทำอะไรบ้าง ผลตอบแทนเท่าไร กำไรเท่าไร และมีการเอาเงินไปบริหารจัดการเพื่อสวัสดิการของผู้ประกันตนอย่างไรบ้าง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่บอร์ด สปส.ต้องชี้แจงให้กระจ่าง" นายนิมิตร์กล่าว
 
 
ยอดตั้งโรงงานและขยายกิจการ 11 เดือน วูบ 1.28 แสนล้าน
 
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า การขอใบอนุญาตประกอบกิจการ รง.4 และขยายกิจการช่วง 11 เดือนปี 2559 (ม.ค.- พ.ย.) มีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 4,698 โรงงาน ลดลงช่วงเดียวกันในปี 2558 ที่มีอยู่ที่ 5,032 โรงงาน หรือ ลดลง 7.10% ขณะที่มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 4.14 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่อยู่ที่ 5.42 แสนล้านบาท คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 1.28 แสนล้านบาท หรือลดลง 30.91%
 
ทั้งนี้แบ่งเป็นการเปิดกิจการใหม่จำนวน 3,927 โรงงาน ลดลง 5.27% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ โรงงาน 4,134 ขณะที่มูลค่าการลงทุน 2.54 แสนล้านบาท ลดลง 46.06% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 3.71 แสนล้านบาท ส่วนการขยายกิจการมีจำนวน 771 โรงงาน ลดลง 16.47% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ 898 โรงงาน ขณะที่มูลค่าการลงทุน 1.60 แสนล้านบาท ลดลง 6.87% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 1.71 แสนล้านบาท
 
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีจำนวนเปิดกิจการใหม่และขยายกิจการที่มีมูลค่ามากที่สุดในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2559 ได้แก่การผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมทั้งการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ มูลค่าการลงทุน 6.76 หมื่นล้านบาท อุตฯอาหาร 5.24 หมื่นล้านบาท เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี 2.92 หมื่นล้านบาท เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 2.46 หมื่นล้านบาท ผลิตภัณฑ์โลหะ 2.03 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
 
การแจ้งเริ่มประกอบและเริ่มส่วนขยายโรงงานในช่วง 11 เดือนแรกของปี พบว่า มีจำนวน 3,924 โรงงาน ลดลง 19.80 % จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามี 4,701 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 3.92 แสนล้านบาท ลดลง 21.42 % จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 4.76 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่มีการแจ้งประกอบและเริ่มส่วนขยายโรงงานที่มีมูลค่ามากที่สุดในช่วง 11 เดือนแรก ได้แก่ การผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมทั้งการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ มูลค่าการลงทุน 2 หมื่นล้านบาท อุตฯอาหาร 1.76 หมื่น ล้านบาทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 1.44 หมื่นล้านบาท ผลิตภัณฑ์อโลหะ 1.38 หมื่นล้านบาท เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี 1.37 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
 
ด้านนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากตัวเลขดังกล่าวยอมรับว่าแนวโน้มการตั้งโรงงานใหม่และขยายโรงงานอุตสาหกรรมยอดสะสมช่วง 11 เดือน ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 อาจเกิดจากการลงทุนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หรืออุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบันใช้เวลาในการดำเนินการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการความรัดกุมในการออกใบอนุญาตของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง อาทิ โรงไฟฟ้า เป็นต้น รวมทั้งในปีนี้ปริมาณความต้องการซื้อรถยนต์ในประเทศลดลงทำให้การขยายหรือเพิ่มโรงงานผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์มีการชะลอลงบ้างเล็กน้อย จึงส่งผลให้จำนวนมูลค่าในปีนี้ลดลงจากปีที่ผ่านมา
 
“มั่นใจว่าในปี 2560 แนวโน้มในการตั้งกิจการและขยายกิจการมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังกำลังซื้อภายในประเทศฟื้นจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปไก่แช่แข็ง ไก่สด อาหารทะเล ที่สามารถกลับมาส่งออกได้อีกครั้งหลังทวีปยุโรปและญี่ปุ่น อนุญาตให้ไทยส่งออกได้ ประกอบกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นจะทำให้โรงไฟฟ้าประเภทต่างๆเกิดขึ้นตามอีกจำนวนมากอย่างแน่นอน” นายสมชาย กล่าว
 
 
ครม.เห็นชอบการกำหนดค่าจ้างแรงงานตามมาตรฐานฝีมือ 55 อาชีพ ปรับขึ้นค่าแรงงานจาก 310 บาท/วัน เพิ่มเป็น 380-550 บาท/วัน
 
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.รับทราบการกำหนดค่าจ้างแรงงานตามมาตรฐานฝีมือ จากมติคณะกรรมการไตรภาคี ครอบคลุม 3 กลุ่ม คือ กลุ่มจักรกลและโลหะการ กลุ่มเครื่องปรับอากาศ กลุ่มแม่พิมพ์ รวม 55 อาชีพ โดยแยกออกเป็น 2 ระดับ คือ มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 1 ต้องเป็นผู้มีอายุมากกว่า 18 ปี มีประสบการณ์ทำงาน มีประสบการณ์ทำงาน ประกอบอาชีพสาขาอาชีพตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าประกาศนียบัตรวิชาชีพ เช่น ช่างเครื่องกล ค่าจ้าง 460 บาท ช่างเชื่อมเทคนิค 500 บาท ช่างเทคนิคระบบไฮโรลิค 460 บาท ช่างขัดเงาแม่พิมพ์ 380 บาท ช่างห้องเย็น 385 บาท จากปกติค่าแรงงานขั้นต่ำ 310 บาทในกทม.และ ปริมณฑล 
 
สำหรับช่างมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 2 เป็นกลุ่มช่างฝีมือผู้ได้รับการทดสอบเพิ่มพูลประสบการณ์เป็นเวลา 1-2 ปีเพื่อเพิ่มคุณภาพแรงงานฝีมือในสาขาวิชาชีพที่ีเกี่ยวข้องนับตั้งแต่ได้รับใบหนังสือรับรองในระดับที่ 1 และ ต้องได้รับคะแนนรวมการทดสอบในระดับ 1 ไม่ต่ำกว่า 80% เช่น กลุ่มช่างเทคนินเครื่องกล ช่างเทคนิกไฮโรลิค ค่าจ้าง 550 บาท ช่างแอร์ขนาดใหญ่ 470 บาท ช่างประกอบแอร์ 455 บาท ช่างเครื่องกัดอัตโนมัติ 540 บาทต่อวัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
 
 
กรมการจัดหางาน ประสานนายจ้างหาตำแหน่งงานรองรับผู้พ้นโทษ แล้วกว่า 50,000 อัตรา
 
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวง รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี เนื่องในโอกาสแรก นับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ต้องโทษได้รับการพระราชอภัยโทษและได้รับการปล่อยตัวทันทีประมาณ 30,000 คนในส่วนของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหางานเพื่อให้คนไทยทุกคนมีงานทำ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และการสงเคราะห์ผู้ต้องขังภายหลังพ้นโทษ กับกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
ขณะเดียวกัน โอกาสนี้ กรมการจัดหางาน ได้เตรียมการช่วยเหลือผู้พ้นโทษดังกล่าวที่ประสงค์จะหางานทำ โดยได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ประสานงานกับกรมราชทัณฑ์ เพื่อขอทราบข้อมูลของผู้ได้รับการอภัยโทษ เช่น จำนวน รายชื่อ เป็นต้นนอกจากนั้น ให้ประสานนายจ้าง/สถานประกอบการ เพื่อหาตำแหน่งงานว่างรองรับ รับลงทะเบียนและจัดหางานให้แก่ผู้พ้นโทษดังกล่าว ปัจจุบันมีตำแหน่งว่างงานทั่วประเทศรองรับ จำนวน 55,376 อัตรา
 
 
แนะ ก.พ.หาแนวทางใหม่ รับข้าราชการ-ลดรายจ่าย
 
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 เพิ่มเติม ระบุบางช่วงบางตอนว่า การบูรณาการของหน่วยงานจะต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งหน่วยงานในกระทรวง และมีความเชื่อมโยงกับกระทรวงอื่นๆด้วย ต่อไปทุกจังหวัดจะต้องรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มจังหวัด ซึ่งงบประมาณของรัฐที่จะลงไปตั้งแต่ต้นปีนั้น จะลงไปทำในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น 
 
ดังนั้น งบประมาณต้องสอดคล้องกันทั้งงบแผนงานและตามวาระ อย่างไรก็ตามงบประมาณในปี2559 – 2560จะเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้งานสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เรามีความจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อลดรายจ่ายประจำ โดยได้มอบหมายให้ ก.พ. หารือเรื่องการรับเจ้าหน้าที่ ก.พ. ก.พ.ร. โดยให้ไปพิจารณาใหม่ ทั้งเรื่องรับข้าราชการ โดยต้องหาวิธีการการบรรจุคนเข้ามา ซึ่งควรจะมีทั้งพาร์ทไทม์ ฟูลทาร์ม และรายได้พิเศษ อาจจะมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการเป็นข้าราชการได้หรือไม่ หรือมีรายได้ตามภารกิจ และขณะนี้เห็นว่า ก.พ.ร.กำลังผลิตข้าราชการขึ้นมาใหม่ให้เรียนรู้เรื่อง 4.0 ซึ่งคนเหล่านี้จะบรรจุเป็นข้าราชการ สามารถปรับเปลี่ยนย้ายงานได้ วันนี้เราอย่าคิดแบบเดิม เราต้องมีทั้งข้าราชการประจำและลูกจ้างที่มีรายได้ตามสติปัญญาของทั้งจากประเทศและต่างประเทศ 
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการขึ้นทะเบียนบัญชีคนจนให้เงินช่วยเหลือ ที่บางพื้นที่ประชาชนลงทะเบียนไม่ทันนั้น การขึ้นทะเบียนคนจนไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ยังมีบางคนบิดเบือนว่าหากขึ้นทะเบียนแล้ว รัฐบาลจะเข้าไปล่วงข้อมูลส่วนตัว ขณะที่หนังสือพิมพ์ก็โจมตีว่าตนประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง ทั้งที่พูดจนไม่รู้จะพูอย่างไรแล้ว อย่างไรก็ตามใครที่ยังไม่ลงทะเบียน ข้อให้รอการเปิดลงทะเบียนครั้งหน้าที่จะมีขึ้น
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชัยชนะของแรงงานประชาธิปไตยเกาหลีใต้ในการขับไล่ประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ

$
0
0

 

 

และแล้วความเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาชนก็มาถึงจุดขับไล่ประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ (Park Geun-hye) ลงจากตำแหน่ง รวมทั้งรัฐบาลของเธอ จำนวนผู้ประท้วงราว 1 ล้านคนบนท้องถนนถือได้ว่ามากที่สุดในรอบ 70 ปี[1] โดยขบวนการที่มีบทบาทหลักเริ่มเรียกร้อง คือ ขบวนการแรงงาน นำโดยสมาพันธ์แรงงานเกาหลี (Korean Confederation of Trade Union-KCTU) ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2559  ตามมาด้วยนักศึกษา ชาวนา กลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ รวมทั้งพลเมืองปัจเจก เข้าร่วมจุดเทียนซึ่งเป็นประเพณีประท้วงร่วมกัน และขยายเป็นครึ่งล้านในวันที่ 26 พ.ย. 59 ที่หน้าศาลากลางจังหวัด จนล่าสุดมีการนัดหยุดงานของสมาชิก KCTU กว่า 2 แสนคนในวันที่ 30 พ.ย.59  ส่งผลให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีลดลงเหลือ 4% กระนั้นก็ไม่มีการประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท้ายสุดรัฐสภาได้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดี (Impeachment vote) เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59 ฐานมีส่วนพัวพันกรณีเพื่อนสนิทเรียกรับเงินและผลประโยชน์ และให้นายกรัฐมนตรีรักษาการแทน[2]

เป็นเวลา 4 ปีที่รัฐบาลของประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ พยายามจะผลักดันการปฏิรูประบบการจ้างแรงงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น “นายจ้างไล่ลูกจ้างออกง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ถึงตาเราแล้วที่จะไล่คุณออก” [3]นักศึกษามหาวิทยาลัยกล่าวกับกลุ่มสมานฉันท์แรงงาน 

ปัจจัยที่นำไปสู่การประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีและรัฐบาลของปาร์ก กึน-เฮ มี 2 ปัจจัย คือ 1) ความไม่พอใจของประชาชน และ 2) ความแตกแยกภายในชนชั้นนำ

ที่มาภาพ: Faceboof Korean Confederation of Trade Unions


ปัจจัยที่ 1 ความไม่พอใจของประชาชน 

ความไม่พอใจของขบวนการแรงงาน กลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายต่างๆ มาจากการใช้แนวทางอนุรักษ์นิยม เสรีนิยมใหม่ในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางของชนชั้นนำ (ฝ่ายขวา)

ปาร์ก กึน-เฮ มาจากพรรคเซนูริ (พรรคพรมแดนใหม่ ซึ่งแยกตัวจากพรรคแกรนด์เนชั่นแนล) ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีปาร์ก จุง ฮี (Park Chung-hee) ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในเดือน ก.พ.56 ภายใต้บริบทของการรื้อฟื้นประคับประคองเศรษฐกิจจากวิกฤตทุนนิยม ซึ่งเศรษฐกิจของเกาหลีซบเซาอันเนื่องจากวิกฤตการเงินโลกที่นำไปสู่การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจการเมืองมากขึ้น รวมถึงภาวะความตึงเครียดของจักรวรรดินิยมในเอเชียแปซิฟิก ความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น  ด้วยลักษณะเร่งด่วน ชนชั้นปกครองเกาหลีใต้จึงมีฉันทามติร่วมกันว่า รัฐบาลฝ่ายขวาต้องปกป้องผลประโยชน์และถ่ายโอนวิกฤตไปยังชนชั้นแรงงานให้แบกรับแทน สนับสนุนปาร์ก กึน-เฮขึ้นเป็นประธานาธิบดี [4]

เมื่อประธานาธิบดีขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเสรีนิยมใหม่ ภายใต้คำขวัญ “มหัศจรรย์บนฝั่งแม่นํ้าฮันครั้งที่สอง” ซึ่งพัฒนานโยบายมาจากประธานาธิบดีคนก่อนคือ นายลี เมียง บัก จากพรรคแกรนด์เนชั่นแนล นั่นคือ การแปรรูปกิจการของรัฐ เช่น รถไฟ โรงพยาบาล น้ำ และให้สัญญาว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเพิ่มสวัสดิการ 

นโยบายเสรีนิยมใหม่ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายทุนแชโบล สื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม หน่วยงานราชการ เช่น หน่วยข่าวกรอง ตำรวจ อัยการ โดยต่างคาดหวังว่าเธอจะเป็นดั่งอดีตนายกรัฐมนตรีมากาเร็ต แธ็ชเชอร์แห่งสหราชอาณาจักร รัฐบาลของปาร์ก กึน-เฮ มาจากกลุ่มนายทุน สื่อใหญ่ ผู้นำทหาร และข้าราชการระดับสูง การผลักดันเศรษฐกิจจึงเอื้อให้แก่นายทุนมากกว่าแรงงาน ขณะที่โครงการที่จะพัฒนาสวัสดิการ ก็ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเจอปัญหาขาดแคลนงบประมาณ ต้องใช้เงินมาก แต่รัฐบาลไม่ต้องการเก็บภาษีรายได้นิติบุคคลจากคนรวยเพิ่มแต่อย่างใด โดยอ้างว่าต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี

ประธานาธิบดีได้มีนโยบายปฏิรูปประเทศ หลังจากที่เสื่อมความนิยมจากโศกนาฏกรรมเรือเซวอล ล่ม (Sewol Ferry) ที่ไม่สามารถจับกุมใครได้ แต่การปฏิรูปของเธอกลับเอาคนที่เคยมีประวัติคอรัปชั่นเข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล กำหนดแผนแปรรูปกิจการของรัฐ ลดสวัสดิการของประชาชน เพื่อแสวงหากำไร และยังสนับสนุนพระราชบัญญัติความมั่นคงแห่งชาติอย่างมากเพื่อเป็นเครื่องมือในการรื้อฟื้นเศรษฐกิจ เนื่องจากถูกนำไปใช้ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงาน

วิกฤตปัจจุบันทำให้เห็นธาตุแท้ของประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ ดังเห็นได้จากการต่อสู้ของประชาชนที่โดดเด่น ดังนี้

1. การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานรถไฟ (Korean Railway Workers'Union –KRWU) เป็นเวลา 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-30 ธันวาคม 2556 สมาชิกจำนวน 15,000 คนหรือ 45% ของพนักงานทั้งหมดเข้าร่วมหยุดงาน ซึ่งถือว่าเป็นการต่อสู้ที่สำคัญและแหลมคม เพราะสามารถท้าทายการบริหารงานของประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮได้ เนื่องจากรัฐบาลมีแผนเบื้องต้นที่จะขายกิจการรถไฟความเร็วสูง (Korail) ให้แก่เอกชน ซึ่งเคยริเริ่มในสมัยประธานาธิบดีลี เมียง บัค แต่ไม่สำเร็จ การแปรรูปนี้อยู่ในแผนที่เรียกว่า “การปฏิรูป” กิจการภาครัฐของประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ แต่ทว่า นอกจากจะถูกสหภาพแรงงานต่อต้านแล้ว ยังมีองค์กรประชาชนหนุนช่วย 900 แห่ง ร่วมกันรณรงค์นับปี ด้วยการล่ารายชื่อถึงกว่า 1 ล้านชื่อ ซึ่งนับเป็นชัยชนะเล็กๆ 

การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์นี้ยังไม่ถือว่าได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะรัฐบาลยังไม่ล้มเลิกเพียงแต่หยุดชั่วขณะ การนัดหยุดงานและแรงสนับสนุนจากภาคประชาชนทำให้คะแนนเสียงของประธานาธิบดีลดลง เธอสร้างความไม่พอใจยิ่งขึ้น เมื่อสั่งให้ตำรวจบุกสำนักงานใหญ่ของสมาพันธ์แรงงานเกาหลี เพื่อตามจับกุมแกนนำสหภาพแรงงานรถไฟ  KCTU จึงประกาศนัดหยุดงานทั่วไปในวันที่ 28 ธ.ค. 56 และกลายเป็นการชุมนุมใหญ่ของสมาชิกกว่า 1 แสนคนรวมนักกิจกรรมผู้สนับสนุนด้วย 

ปัจจุบันสหภาพแรงงานรถไฟยังคงรณรงค์เรื่องความปลอดภัย (Safe than money) ต่อต้านการแปรรูปรถไฟให้เป็นของเอกชน คำขวัญ Achieve the real safety ความปลอดภัยคือเป้าหมายของการให้บริการสาธารณะ

2. โศกนาฏกรรมเรือเซวอลล่ม กรณีที่ก่อให้เกิดการสูญเสียคะแนนนิยม ส่งผลสะเทือนต่อที่นั่งของประธานาธิบดีมากที่สุด คือ มหันตภัยเรือแฟรี่เซวอลล่มเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 16 เม.ย.2557 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษา  เธอไม่ยอมปรากฎตัวหลังเกิดเหตุการณ์ถึง 7 ชั่วโมงในขณะที่ประชาชนเฝ้าดูเรือจมทางทีวีด้วยความกลัวและความเศร้าสลด แม้นายกรัฐมนตรีจะลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ แต่ไม่ได้ช่วยให้เรื่องคลี่คลาย เพราะรัฐบาลยังปกปิดความจริง ดำเนินการสอบสวนสาเหตุช้า จนถึงบัดนี้ ครอบครัวของเหยื่อยังคงออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมอยู่

3. การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานโรงพยาบาลและการแพทย์ (KHMU) มีสมาชิกทั้งหมด 44,000 คน มีสาขาจำนวน 150 สาขาทั่วประเทศ ในภูมิภาคต่างๆ 11 ภูมิภาค สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีปาร์กประกาศแผนส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการบริการ เมื่อเดือนธ.ค. 56 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดทอนความรับผิดชอบของรัฐบาลและขับเคลื่อนการแปรรูปสาธารณสุข โดยยกเลิกกฎระเบียบต่างๆ ที่ไปจำกัดการหากำไรและการบริการเพื่อการค้า[5]เพื่อทำให้การบริการทางการแพทย์นี้ทำกำไรมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน แต่สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มธุรกิจแชโบล (chaebols)

สหภาพแรงงานจึงรณรงค์ Life before money ชีวิตคนมาก่อนเงิน ต่อต้านการแปรรูปให้เป็นของเอกชน สร้างระบบสาธารณสุขให้เข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการในราคาถูกและมีคุณภาพ คือ รัฐต้องลงทุนการบริการทางการแพทย์เพิ่ม ด้วยการเก็บภาษีจากคนรวย เพิ่มกำลังแรงงานเพราะจำนวนจำกัด ทำให้ต้องทำงานหนักเกินไป พร้อมกับรัฐต้องเพิ่มจำนวนสถานพยาบาลที่มีราคาถูก แม้จะมีกองทุนประกันสุขภาพ แต่ประชาชนต้องร่วมจ่าย 38% สหภาพแรงงานจึงเริ่มนัดหยุดงานครั้งแรกในวันที่ 24-30 มิถุนายน 2557 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และครั้งที่สองในวันที่ 22 กรกฎาคม ทั้งนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสหภาพแรงงานรถไฟด้วย 

4. สมาชิกสมาพันธ์แรงงานเกาหลีนัดหยุดงานทั่วไปในวันที่ 24 เม.ย.58 เพื่อคัดค้านนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะทำลายสภาพการจ้างงานและความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานทุกคน และมีข้อเรียกร้อง ดังนี้

1) ยกเลิกแผนปฏิรูปตลาดแรงงานที่ล้าหลัง ใช้รูปแบบการจ้างงานชั่วคราวอย่างแพร่หลาย

2) หยุดการตัดบำนาญของลูกจ้างรัฐ และปฏิรูประบบบำนาญแห่งชาติ

3) เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 10,000 วอนต่อชั่วโมง (ประมาณ 300 บาท/ช.ม. ในปี 58 ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 5,580 วอนต่อชั่วโมง) 

4) สิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานบังคับใช้กับแรงงานทุกคน ทั้งนี้แรงงานในสถานที่ทำงานที่จ้างคนงานน้อยกว่า 5 คน มีอยู่ 3,480,000 คน หรือเท่ากับ 19.15% ของประชากรแรงงานทั้งหมด แต่ พ.ร.บ.มาตรฐานแรงงานยังไม่ครอบคลุมคนเหล่านี้ รวมถึงคนงานไม่ประจำ คนงานที่จ้างงานแฝงหรือจ้างงานทางอ้อม ไม่มีสิทธิที่จะจัดตั้งและเจรจาต่อรองกับนายจ้าง

คนงานเริ่มชุมนุมในเมืองต่างๆ 20 แห่งในวันดังกล่าว และในวันแรงงานสากล 2558 (May Day) คนงาน 1 แสนคนมารวมตัวกันที่กรุงโซล

ทั้งนี้ เกาหลีติดอันดับสี่ของความไม่เท่าเทียมของรายได้ในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เนื่องจากอัตราการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริงได้ลดต่ำลง 6 ไตรมาส (อัตราการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริงเคยอยู่ที่ 3.4% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 และ 0.08% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557) จำนวนคนตกงาน 4,456,000 คนหรือเท่ากับ 15.8% นั่นคือ อัตราความยากจนของคนวัยสูงอายุเท่ากับ 48% ซึ่งหมายถึง 1 ใน 2 ของคนอายุ 65 ปีขึ้นไปอยู่ในภาวะยากจน และมากกว่า 50% ของประชากรวัยทำงานทั้งหมดอยู่ในสภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง ได้รับค่าจ้างครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยค่าจ้าง และไม่มีสิทธิได้รับประกันสังคม[6]

มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างลูกจ้างประจำและลูกจ้างไม่ประจำ คือ เงินเดือนโดยเฉลี่ยของลูกจ้างประจำสูงขึ้น 47% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จาก 1.9 ล้านวอน (57,869.28 บาท) เป็น 2.79 ล้านวอน (84,976.47 บาท) ในขณะที่ ค่าจ้างรายเดือนโดยเฉลี่ยของลูกจ้างไม่ประจำสูงขึ้นเพียง 25% (ราว 1.5 ล้านวอน หรือ 45,686.27 บาทของปี 2559) (1,000 วอนประมาณ 30.5 บาท ของปี 59)[7]

อีกทั้ง สิทธิในการนัดหยุดงานได้รับประกันจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติ ในแง่เป้าหมาย วิธีการ กระบวนการและผู้ที่จะนัดหยุดงานถูกกำหนดขีดเส้นมากเกินไป จึงเป็นไปได้ยากที่คนงานจะนัดหยุดงานถูกต้องตามกฎหมาย เราจึงเห็นกรณีผู้นำแรงงานและสมาชิกถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ถูกคุมขังและถูกเลิกจ้าง

5. กรณีการประท้วงของขบวนการชาวนาเมื่อ 14 พ.ย.58 มีการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วง (ประท้วงนโยบายการนำเข้าข้าว และขอให้รัฐบาลแทรกแซงราคาข้าวที่กำลังตกต่ำ เนื่องจากข้าวผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก)[8] ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์เสื่อมทรามลง เมื่อเจ้าหน้าที่ฉีดน้ำใส่อย่างแรงจนทำให้นักกิจกรรมชาวนาอายุ 69 ปีหมดสติและเสียชีวิตในเดือน ก.ย.59 แต่รัฐบาลไม่รับผิดชอบใดๆ แม้แต่คำขอโทษ

จุดที่ประชาชนทนไม่ไหวเห็นได้จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือน เม.ย.59 พรรคเซนูริ (พรรคพรมแดนใหม่) ของประธานาธิบดีปาร์กเสียที่นั่ง 30 ที่นั่งและฝ่ายค้านได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร กับการนัดหยุดงานของคนงานอู่ต่อเรือต่อต้านนโยบายปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้ง พนักงานภาครัฐต่อต้านการนำระบบจ่ายค่าจ้างตามผลการปฏิบัติงาน (performance-based wage system) มาใช้ จนนำไปสู่การนัดหยุดงานทั่วไปของสมาชิก KCTU ในวันที่ 30 พ.ย.59 ที่ผ่านมา

 


 ที่มาภาพ: Faceboof Korean Confederation of Trade Unions

 

ปัจจัยที่ 2 ความแตกแยกภายในชนชั้นนำ

บริบททางเศรษฐกิจการเมืองปัจจุบันของเกาหลี กำลังเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกที่ผ่านมา ล่าสุดการล้มละลายของบริษัท Hanjin Shipping ในอุตสาหกรรมต่อเรือซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นหลักของเศรษฐกิจเกาหลีแต่กำลังอ่อนแอ ทำให้กลุ่มก้อนชนชั้นนายทุนไม่พอใจการบริหารงานของประธานาธิบดี หนังสือพิมพ์แนวอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่ทรงอิทธิพลในเกาหลีคือ Chosun Ilbo ได้ติเตียนการทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดี จนทำให้ประธานาธิบดีไม่พอใจ สอบสวนหัวหน้าบรรณาธิการข้อหาล็อบบี้บริษัทต่อเรืออย่างผิดกฎหมาย ความขัดแย้งนี้นำไปสู่คะแนนความนิยมตกต่ำ

ข้อหาของประธานาธิบดีปาร์ก กึน-เฮ ที่นำไปสู่การลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง

ประธานาธิบดีถูกอัยการฟ้องร้องก่อนหน้าด้วยข้อหาใช้อำนาจในทางที่ผิด เอื้อประโยชน์ให้แก่เพื่อนสนิทชื่อ ชัว ซุน-ซิล (Choi Soon-sil) ที่ไม่มีตำแหน่งทางการ แต่ให้คำปรึกษาด้านต่างๆ เช่น การนัดหมายรัฐมนตรี ไปจนถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น สีเสื้อผ้าที่ควรหลีกเลี่ยง และยังปล่อยให้เพื่อนสนิทอ้างอำนาจของตัวเองบังคับให้บริษัทใหญ่ 50 แห่ง เช่น LG, Sumsung, Hyundai  บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิ 2 แห่ง คือ The Mir and K Sport Foundations จำนวน 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมวัฒนธรรมเกาหลีและกีฬา[9] การที่เพื่อนสนิทมีอิทธิพลต่อประธานาธิบดี เนื่องจากเป็นลูกสาวของเจ้าลัทธิทรงเจ้า (Shamanistic religious) คือ ชัว แต-มิน ที่เคยให้คำปรึกษาแก่ประธานาธิบดีมาก่อนจนกระทั่งเสียชีวิต นอกจากนี้ เลขานุการประจำที่ทำการของประธานาธิบดี หรือ Blue House ซึ่งเทียบเท่า White House ของสหรัฐอเมริกา และรัฐมนตรีบางคนคอยช่วยเหลือมูลนิธิของชัว ซุน-ซิลและพวกด้วยวิธีพิเศษ

โดยสรุป ผลประโยชน์ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นแรงงานไม่สามารถไปด้วยกันได้ และจะปรากฏความขัดแย้งอย่างแหลมคมในช่วงวิกฤต ที่ฝ่ายรัฐและทุนใช้แนวทางเสรีนิยมใหม่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยปฏิรูปโครงสร้างแรงงาน ซึ่งไปลิดรอนผลประโยชน์ของแรงงาน ทำลายสวัสดิการสังคม และใช้อำนาจในทางที่ผิด เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องของตัวเอง ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสิ่งที่ประชาชนยอมรับไม่ได้  รวมทั้ง ต้นทุนเดิมคือการเป็นลูกสาวของจอมเผด็จการ ปาร์ก จุง ฮี จึงไม่สามารถเป็นที่ไว้วางใจของขบวนการแรงงาน ขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งมีประวัติศาสตร์การต่อสู้กับเผด็จการทหารมายาวนาน แม้จะได้น.ส.ปาร์ก กึน-เฮ มาเป็นประธานาธิบดี แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศจะถอยหลังไปสู่ระบอบอำนาจนิยมเสียทีเดียว เพราะยังมีขบวนการแรงงานและพรรคการเมืองของแรงงานที่เป็นผลผลิตของยุคสมัย 1987 คอยเป็นพลังคานอำนาจอยู่

โปรดติดตามการต่อสู้ของขบวนการแรงงาน ขบวนการประชาธิปไตยเกาหลีใต้จนกว่าพวกเขาจะบรรลุข้อเรียกร้อง เพื่อเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการปกครองระบอบเผด็จการ/อำนาจนิยม  และเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารประเทศด้วยแนวทางทุนนิยมที่ทำลายความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนของประเทศใกล้เคียง เช่นประเทศไทย ต่อไป

 

เชิงอรรถ

[2]Charlie Campbell.  (9 December 2016).  South Koreas Loathed President Park Geun-hye Has Been Impeached. From http://time.com/4596318/south-korea-president-impeachment-park-geun-hye-corruption-choi-soon-sil-protests/

[3] Workers' Solidarity.   Its our turn to fire you, South Korean workers tell president.  จากเว็บไซด์พรรคสังคมนิยมแรงงาน อังกฤษ,

https://socialistworker.co.uk/art/43771/Its+our+turn+to+fire+you%2C+South+Korean+workers+tell+president

[4] Jiyun Jeon.  Translated by CJ Park.  (2014).  ­­­Characteristics of the Park Geun-hye Government and the Tasks of the Socialists.  (Member of Workers’ Solidarity Group, South Korea)

[5]เอกสารของสหภาพแรงงานโรงพยาบาลและการแพทย์  (Korean Health and Medical Workers’ Union-KHUM).  30 พฤษภาคม 2557.

[6] Korean Confederation of Trade Unions.  (April 2015).  Korean Workers Strike!แถลงการณ์นัดหยุดงาน แปลโดย พัชณีย์ คำหนัก.  18 เม.ย.58.  สืบค้นจาก http://kctu.org/news/524411

[7] Kenichi Yamada, Nikkei staff writer.  (3 December 2016).  Economic inequality at heart of disillusion with Park: South Korean president's flip-flop from workers to 'chaebol' doomed her.  From

http://asia.nikkei.com/Politics-Economy/Policy-Politics/Economic-inequality-at-heart-of-disillusion-with-Park?page=1

 

 

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สะท้อนเสียง ‘พรรคทางเลือก’ เมื่อร่าง กม.พรรคการเมือง ตัดสิทธิ-กีดกันคนจน-ลดอำนาจประชาชน

$
0
0

ฟังเสียง ‘พรรคทางเลือก’ วิจารณ์ร่างกฎหมายพรรคการเมือง ระบุเนื้อหากำลังตัดสิทธิ-ตัดทางเลือก-ลดอำนาจประชาชน ทำพรรคทางเลือกขนาดเล็กที่ต้องการผลักดันประเด็นเฉพาะเกิดไม่ได้ ฉะจ่ายค่าสมาชิก 2,000 เท่ากับกีดกันคนจน หมดสิทธิตั้งพรรคการเมือง เรียกร้อง คสช. ยกเลิกคำสั่งห้ามประชุมพรรคและกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน

พอจะรู้ๆ กันอยู่ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มองนักการเมืองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะไว้วางใจมาตั้งแต่ต้น ด้านหนึ่งก็สะท้อนออกมาผ่านร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่สร้างเงื่อนไขกติกาที่ดูจะเป็นอุปสรรคหลายอย่าง ดังที่ตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่องทันทีที่มีการเผยแพร่ร่างออกมา

เฉพาะในส่วนเนื้อหาที่ว่า ต้องมีสมาชิกเริ่มก่อตั้งแรกเริ่ม 500 คนขึ้นไป และผู้ร่วมจัดตั้งทุกคนต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกคนละไม่น้อยกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และภายใน 1 ปีนับจากวันที่รับจดทะเบียนพรรคการเมือง ต้องดำเนินการให้มีจำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คน พร้อมจัดให้มีสาขาในแต่ละภาคอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา และใน 4 ปีต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 20,000 คน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าอาจไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ

ที่ผ่านมาพรรคการเมืองระดับประเทศ ซึ่งมีฐานสมาชิกจำนวนมาก ต่างก็แสดงความเห็นกันไปมากแล้ว ขณะที่กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากร่างกฎหมายฉบับนี้ คงหนีไม่พ้นพรรคการเมืองทางเลือกขนาดเล็กที่ต้องการผลักดันประเด็นเฉพาะของตน เนื่องจากพรรคการเมืองเหล่านี้อาจไม่มีทรัพยากรมากเท่ากับพรรคการเมืองระดับประเทศในการปฏิบัติตามเงื่อนไขในกฎหมาย

ธนพร ศรียากูล หัวหน้าพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย กล่าวกับประชาไทว่า “แค่เงื่อนไขหลักๆ ก็จะเห็นว่าไม่ได้ส่งเสริมให้คนจัดตั้งพรรคการเมืองหรอก ไม่ใช่แค่พรรคของเรา แต่ยังมีกลุ่มเกษตรกร กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มปฏิรูปที่ดิน และอื่นๆ ที่อยากจะตั้งพรรคการเมือง ไม่มีทาง”

ลดทางเลือก-ตัดสิทธิประชาชน

ธนพร กล่าวว่า เนื้อหาที่ออกมาก็ไม่ได้ผิดความคาดหมาย ทางพรรคคนธรรมดาฯ คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ตอนร่างรัฐธรรมนูญแล้วว่า กระบวนการต่างๆ ถูกล็อกไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พรรคคนธรรมดาฯ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมใดๆ กับกระบวนการของ คสช. ตั้งแต่ต้น

“การที่จะทำให้ภาคประชาชนไม่แข็งแรง วิถีทางหนึ่งคือทำให้ตัวเลือกน้อยลง ก็สะท้อนผ่าน พ.ร.บ.พรรคการเมืองนี่แหละ พรรคเล็กๆ หรือใครก็ตามที่คิดจะทำพรรคการเมือง คนรุ่นใหม่ที่อยากจะมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง ผมคิดว่าวันนี้เลิกคิดไปเลย เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่ท่านจะรวบรวมคนมา 500 แล้วขอเงินอีกคนละ 2,000 เพื่อจดทะเบียนพรรคการเมือง แค่เริ่มต้น ทางเลือกของพี่น้องประชาชนก็น้อยลงแล้ว สรุปได้ว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงก็คงไม่มีทางเลือกอะไรใหม่ๆ อย่างที่คาดหวัง”

ธนพร อธิบายว่า ตามกฎหมายพรรคการเมืองฉบับเดิม คนที่จะตั้งพรรค รวมตัวกันให้ได้ 15 คนแล้วขอจดทะเบียน เมื่อจดทะเบียนแล้ว มีเวลา 1 ปีหาสมาชิกให้ได้ 5,000 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับฉบับนี้จะเห็นว่าคนละเรื่อง ฉบับนี้เอา 2 เรื่องมาปนกัน โดยบอกว่าหย่อนเกณฑ์ให้เหลือแค่ 500 คน แต่ไม่ใช่ เพราะฉบับเดิมแค่ 15 คนในการจด แต่ฉบับนี้ใช้ถึง 500

“เรื่องจ่ายเงิน เรื่องความเป็นเจ้าของ ไม่มีปัญหาครับ แต่ปัญหาคือไปกำหนดว่าคนละ 2,000 บาท ทุกวันนี้คนที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หลายคนยินดีสละภาษีเงินได้มาบริจาคให้พรรคการเมืองอยู่แล้ว สมาชิกหลายคนก็ยินดีจ่ายครับ ร้อยสองร้อย แต่ผมสงสัยว่าตัวเลข 2,000 บาท ท่านไปตั้งสมมติฐานจากไหน ถ้ากลุ่มชนเผ่าอย่างอูรักลาโว้ยอยากตั้งพรรค เขาจะเอาเงินจากไหนคนละ 2,000 บาท เราไปจำกัดสิทธิคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร เขาก็มีสิทธิที่จะต่อสู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องทรัพยากรของเขา เงื่อนไขตรงนี้ต่างหากที่ กมธ. อาจจะขาดประสบการณ์ทางการเมือง เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่อยู่ดีๆ จะให้คนขวักตังค์ 2,000”

ธนพร กล่าวอีกว่า ถ้ากำหนดให้จ่ายค่าสมาชิกแบบนี้ ถึงที่สุดแล้วจะมีอยู่ไม่กี่คนที่เป็นคนจ่าย แต่จ่ายในนามคนอื่น เท่ากับส่งเสริมให้คนมีอำนาจเหนือพรรคการเมือง โดยเกิดจากกติกาของตัวเองที่อ้างว่าต้องการ ดังนั้น เรื่องค่าสมาชิกควรให้แต่ละพรรคไปกำหนดกันเอง เพราะการจ่ายค่าสมาชิกไม่ได้สะท้อนการเป็นเจ้าของ

ร่าง กม.พรรคการเมือง กำลังลดอำนาจประชาชน

พรรคสามัญชน ซึ่งเป็นแนวคิดร่วมกันของนักกิจกรรมและชาวบ้านที่ต้องการผลักดันประเด็นเชิงโครงสร้างและนโยบาย ก็เป็นอีกพรรคหนึ่งที่ตั้งใจจะจดทะเบียนพรรคการเมือง แต่เกิดเหตุรัฐประหารปี 2557 ขึ้นเสียก่อน

ด้าน วิทูวัจน์ ทองบุ คณะกรรมการเฉพาะกาลพรรคสามัญชน กล่าวว่า ผู้เขียนกฎหมายพรรคการเมืองมีทัศนคติเชิงลบต่อนักการเมือง โดยการใช้กฎหมายในระดับต่างๆ เพื่อตรึงนักการเมืองให้เดินไปบนทางที่ คสช. วางเอาไว้ แต่กลับบอกว่าจะส่งเสริมความเป็นอิสระของพรรคการเมืองและให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง เขามองในทำนองเดียวกันกับธนพรว่า

“2,000 บาทเป็นการกีดกันคนจนออกไป ทั้งที่เขาควรจะมีความเชื่อ มีอุดมการณ์ และมีโอกาสเสนอตัวรับใช้ประชาชนได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องท่าทีของรัฐบาลทหารชุดนี้ที่ต้องการลดอำนาจประชาชน เพราะการลดอำนาจพรรคการเมืองและนักการเมือง เป็นการลดอำนาจของประชาชนด้วย พอประชาชนถูกลดอำนาจ ไม่มีโอกาสใช้ ส.ส. ไม่มีโอกาสใช้พรรคการเมือง ก็ถูกผลักออกจากระบบรัฐสภาก็ต้องไปอยู่บนท้องถนนอีก

“การหาสมาชิกจัดตั้ง 500 คนคงจะพอหาได้ แต่คนละ 2,000 บาท ผมคิดว่าถ้าเป็นพี่น้องเกษตรกร เงิน 2,000 ก็เยอะอยู่ ส่วนจำนวนสมาชิก 5,000 ก็เป็นเงื่อนไขจากกฎหมายเก่าอยู่แล้ว ซึ่งเราพยายามเตรียมการว่าจะทำยังไงให้ถึง ซึ่งเป็นโจทย์เดียวที่เราคิด แต่ว่าตัวเลข 20,000 คน ผมก็กังวลอยู่”

ได้ทุกอย่างแล้ว ก็ขอให้ปลดล็อก

ทัศนะของวิทูวัจน์ เห็นว่า การจัดตั้งพรรคการเมืองควรทำได้ง่าย สร้างตัวเลือกให้ประชาชนมากขึ้น ให้ผู้ขายในตลาดการเมืองได้แข่งขันกัน แต่การที่พยายามทำให้ตัวเลือกน้อยลงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานักการเมืองโกง

ด้านธนพรกล่าวว่า ถึงจุดนี้ทางพรรคถอยไม่ได้และจะหาคนให้ได้ตามกฎหมายเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง และเข้าไปต่อสู้ในรัฐสภาต่อ

อย่างไรก็ตาม ธนพรกล่าวกับประชาไทว่าไม่คิดจะเรียกร้องให้รัฐบาล คสช. แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง เพราะคงไม่ยอมแก้ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือ

“สิ่งที่เราอยากจะให้เกิดความชัดเจนมากที่สุดตอนนี้ หนึ่ง-ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง รีบปลดล็อก ในเมื่อท่านได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านคิดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ท่านจะคงคำสั่งฉบับนี้เอาไว้ เพราะพรรคการเมืองก็มีเงื่อนไขที่ต้องทำเยอะแยะที่จะนำไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง พรรคเล็กๆ อย่างผมก็ต้องหาอีก 5,000 และสอง-ประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจน”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

3 องค์กรภาคประชาชนโวยรัฐหยุดแทรกแซง หลังนายกฯ ใช้ ม.44 เด้ง ผอ.พอช.

$
0
0

หลังนายกฯ ใช้ม.44 ย้ายด่วน ผอ.พอช. สามองค์กรภาคประชาชน ตั้งข้อสังเกต คสช.ต้องการแทรกแซงการทำงานองค์กรอิสระ ย้ำต้องใช้กระบวนการสรรหาภายในเท่านั้น ไม่ต้องการตัวแทนจากรัฐบาล-ทหาร เรียกร้องยกเลิก ม.44 โดยเร็วที่สุด

14 ธ.ค. 2559 จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ นายพลากร วงศ์กองแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันองค์การพัฒนาชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 68/2559 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2559 ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจในแวดวงภาคประชาชน และเกิดการตั้งคำถามกับรัฐบาลว่าต้องการแทรกแซงการทำงานของภาคประชาชนใช่หรือไม่

เครือข่ายสลัมสี่ภาคออกแถลงการณ์ เรื่อง หยุดแทรกแซงการทำงานองค์กรอิสระของภาคประชาชน โดยชี้ว่า พอช.ถือเป็นหน่วยงานที่เป็นสะพานกลางในการเชื่อมประสานระหว่างรัฐ กับประชาชน และเป็นองค์กรที่เกิดมาจากการเรียกร้องผลักดันของคนจน ที่ทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนจน คนชายขอบ ในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย การจัดสวัสดิการ และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน

“คำสั่งดังกล่าวถือเป็นการแทรกแซงการบริหารงานขององค์กรที่ทุ่มเทการทำงานให้กับคนจน โดยไม่มีเหตุผลสมควร ถือเป็นการใช้อำนาจที่ขาดความชอบธรรม และไม่เคารพต่อกระบวนการปกติขององค์กร อีกทั้งยังมีคำสั่งหัวหน้า คสช. 71/2559 ให้ยกเลิกสภาพัฒนาการเมือง (สพม.), คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามมาอีกด้วย

โดยเครือข่ายสลัมสี่ภาค มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ดังนี้ 1.ขอให้ คสช.และรัฐบาล หยุดแทรกแซงการทำงานของ พอช. และองค์กรอื่นๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านการพัฒนาองค์กรชุมชน 2. คสช.และรัฐบาล ต้องไม่ส่งตัวแทนมารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ หรือแม้แต่การรักษาการผู้อำนวยการ  พร้อมทั้งปล่อยให้เป็นกระบวนการภายในองค์กรในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปตามกระบวนการขององค์กร 3. ขอให้ คสช.และรัฐบาล ยกเลิกคำสั่งต่างๆ ในการโยกย้าย และยกเลิกการทำงานของหน่วยงาน และองค์กรอื่นๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านการพัฒนาองค์กรชุมชน หรือเชื่อมร้อยขบวนประชาชน ให้คงองค์กรเพื่อปฎิบัติหน้าที่ให้กับขบวนประชาชนต่อไป

ขณะที่เครือข่ายองค์กรชุมชนและประชาสังคมภาคใต้ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อ 1. ให้ คสช.และนายกฯ ยกเลิกคำสั่งย้ายนายพลากร วงศ์กองแก้ว 2. หยุดแทรกแซงการทำงานของ พอช. 3.  คสช. ต้องไม่แทรกแซงการทำงานขององค์กรที่มีบทบาทเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม

ด้านคณะประสานงานขบวนองค์กรชุมชนภาคอีสาน (คปอ.ภาคอีสาน) ออกแถลงการณ์ให้ความเห็นว่า คสช. ใช้อำนาจในการออกคำสั่งซึ่งไม่ได้มาจากประชาชนโดยแท้ จึงมีข้อเสนอ ดังนี้ 1. ให้ คสช. หยุดการแทรกแซงการดำเนินงานของ พอช. ทุกรูปแบบ 2. คัดค้านการส่งคนของ คสช. มาเป็น ผอ.พอช. และรักษาการ ผอ. 3. ยกเลิก ม.44 โดยเร็วที่สุด
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวเมืองอเลปโปแห่ทวีตอำลา-ขณะที่รัฐบาลอัสซาดรุกคืบยึดคืนพื้นที่

$
0
0

ผู้คนในอเลปโปแห่ทวีตข้อความอำลา ในขณะที่กองกำลังรัฐบาลซีเรียของบาชาร์ อัล อัสซาด รุกคืบยึดอเลปโปที่มั่นใหญ่ฝ่ายกบฎ ด้านสหประชาชาติระบุกองกำลังฝ่ายรัฐบาลสังหารพลเรือนไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็ก บางกรณีถึงขั้นมีบุกค้นบ้านเพื่อสังหารคนที่อยู่ด้านใน ขณะที่พลเรือนและฝ่ายกบฎในอเลปโปยังคงรอให้รัฐบาลซีเรียเปิดทางอพยพ

แผนที่แสดงสถานการณ์ล่าสุดในซีเรีย ในเดือนธันวาคม 2016 เมืองอเลปโปที่มั่นของฝ่ายกบฎ อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผนที่ (ที่มา: วิกิพีเดีย)

แผนที่แสดงพื้นที่ยึดครองบริเวณเมืองอเลปโปและข้างเคียง โดยบริเวณสีเขียวเล็กๆ กลางแผนที่คือพื้นที่ยึดครองของฝ่ายกบฎซีเรียที่ถูกปิดล้อมโดยพื้นที่สีแดง ที่เป็นของกองกำลังรัฐบาลซีเรียและพันธมิตรกลุ่มต่างๆ โดยกลุ่มกบฎซีเรียเสียพื้นที่ให้กับฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะเสียพื้นที่ยึดครองในเมืองอเลปโปเกือบทั้งหมด จนเหลือพื้นที่ชานเมืองและบริเวณโดยรอบ

ส่วนพื้นที่สีเหลืองเป็นของกองกำลัง SDF ที่มุ่งเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่ม ISIS มากกว่ากลุ่มของรัฐบาลซีเรีย และพื้นที่สีส้มเป็นพื้นที่ๆ กองกำลังของ SDF กับกองกำลังที่นิยมรัฐบาลซีเรียยึดครองพื้นที่ร่วมกัน (ที่มา: วิกิพีเดีย)

 

14 ธ.ค. 2559 รูเพิร์ท โคลวิลล์ โฆษกสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหในประชาชาติเปิดเผยว่าในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมามีพลเรือนถูกสังหาร 82 รายในหลายย่านของเมืองอเลปโปในช่วงที่กองกำลังของรัฐบาลเข้ายึดครอง มีประชาชนหลายพันคนที่ยังติดอยู่ในส่วนฐานที่มั่นสุดท้ายที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มกบฏ

 

"วิดีโอคอลสุดท้าย" ผมหวังว่าคุณจะจดจำพวกเรา

 

 

 

อัลจาซีราพลัสเผยภาพวิดีโอของอับดุลคาฟี อัลฮัมโด อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในเมืองอเล็ปโปวิดีโอคอลเพื่ออำลาขณะที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลซีเรียกำลังรุกคืบเข้าพื้นที่ เขาหวังว่าผู้คนในโลกจะช่วยหยุดการสังหารครั้งนี้เอาไว้ได้ เขาไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วกับสหประชาชาติและประชาคมนานาชาติ รัสเซียไม่ต้องการให้พวกเขามีชีวิตรอด ซึ่งก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอัสซาด เขากล่าวว่าฝ่ายรัฐบาลกำลังเฉลิมฉลองอยู่บนซากศพของพวกเขา แต่เขายืนยันว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ผู้ใฝ่ในเสรีภาพ ไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากอิสรภาพ เขาหวังว่าทุกคนจะจดจำพวกเขาเอาไว้

ทั้งนี้ในช่วงที่กองกำลังรัฐบาลอัสซาด ผู้คนที่อยู่ในเมืองอเลปโปย่านที่กบฎยึดครองต่างส่งคลิปวิดีโอและทวิตข้อความเพื่ออำลา โดยแฮชแท็ก #Aleppo กลายเป็นแฮทแท็ชหลักของวันนี้

 

รัฐบาลซีเรียรุกคืบยึดคืนอเลปโป

หลังจากที่มีการสู้รบอย่างหนักเป้นเวลาหลายสัปดาห์กองกำลังรัฐบาลซีเรียก็ประกาศว่ายึดครองอเลปโปทั้งหมดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (13 ธ.ค.) และจะไล่กวาดล้างกลุ่มกบฏที่เหลืออยู่ จากที่ก่อนหน้านี้เมืองอเลปโปถูกทิ้งระเบิดใส่มาโดยตลอดทั้งจากกองกำลังรัฐบาลซีเรียและกองกำลังติดอาวุธจากอิหร่านและรัสเซียที่คอยหนุนหลังจากการรายงานของนักข่าวอัลจาซีราที่อยู่ในตุรกี ทางด้านองค์กรยูนิเซฟรายงานว่ามีเด็กเกือบ 100 คนที่ยังคงติดอยู่ในอาคารท่ามกลางการถูกโจมตีอย่างหนักในทางฝั่งตะวันออกของอเลปโป

อิบราฮิม อะบู อัลเลธ โฆษกหน่วยกู้ภัยไวท์เฮลเมทส์ผู้อยู่ในเหตุการณ์พูดถึงสภาพผู้คนถูกสังหารในพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มกบฏมาก่อนว่ามีศพผู้คนเรียงรายอยู่ตามเศษซากอาคารบนท้องงถนน มีบางคนนั่งสิ้นหวังอยู่ริมทางเท้าเพราะไม่มีที่อยู่อาศัย สภาพของผู้คนรู้สึกว่าชะตากรรมของพวกเขาถ้าไม่ถูกจับก็ถูกสังหาร

สงครามซีเรียดำเนินมายาวนานกว่า 5 ปีแล้วและอเลปโปก็เป็นเมืองสำคัญที่ถูกโจมตีทั้งจากกลุ่มกบฏและกองกำลังฝ่ายรัฐบาล อเลปโปมีความสำคัญเพราะเป็นเมืองศุนย์กลางอุตสาหกรรมและการเงินของซีเรียรวมถึงเป็นแหล่งมรดกโลก บีบีซีระบุว่าในช่วงที่มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลอัสซาดในปี 2554 ไม่ค่อยมีการประท้วงใหญ่ๆ หรือเหตุรุนแรงใดๆ ในอเลปโป แต่ในปี 2555 อยู่ๆ เมืองนี้ก็กลายเป็นแหล่งสู้รบโดยเริ่มจากฝ่ายกบฏขจัดฝ่ายรัฐบาลออกไปได้ จนฝ่ายกบฏควบคุมฝั่งตะวันออกและฝ่ายรัฐบาลควบคุมฝั่งตะวันตก

การสู้รบในอเลปโปมีทั้งกลุ่มกบฏฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายซุนนี กลุ่มกบฏเหล่านี้มีจำนวนมากที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหรัฐฯ ซาอุดิอาระเบีย และตุรกี ซึ่งเป็นศัตรูของอัสซาด ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะได้รับการสนับสนุนด้านการทิ้งระเบิดทางเครื่องบินโดยรัสเซียและมีกองกำลังเสริมเป็นกลุ่มติดอาวุธนิกายชีอะฮ์จากอิหร่าน อิรัก อัฟกานิสถาน เลบานอน ปากีสถาน นอกจากสองฝ่ายใหญ่ๆ นี้แล้วบางครั้งกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ อย่างอัลนุสราที่ประกาศแยกตัวจากอัลกออิดะฮ์ก็เข้าไปสู้รบด้วย

นอกจากนี้ยังมีวิดีโอจากสถาปนิกและนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียงในโซเชียลมีเดียชื่อ ลีนา อัลชามี เผยแพร่วิดีโอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาบอกว่านี่อาจจะเป็นวิดีโอสุดท้ายของเธอแต่เธอก็ต้องเปิดโปงว่ามี "การสังหารหมู่" เกิดขึ้นในอเลปโปโดย "รัฐบาลอาชญากร" ยังมีประชาชนบางคนที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนถนน

มีผู้คนอีกหลายคนที่พยายามส่ง "ข้อความสุดท้าย" ผ่านทางโซเชียลมีเดียในช่วงคืนวันจันทร์ที่มีการทิ้งระเบิดอย่างหนักและกองกำลังรัฐบาลรุกคืบเข้าไป มีนักกิจกรรมอีกคนหนึ่งชื่ออับดุลกาฟี อัลฮัมโด กล่าวว่าเขาผิดหวังกับสหประชาชาติและประชาคมโลกที่ไม่ทำอะไรมากพอ "พวกเขาพอใจที่ให้พวกเราถูกสังหาร สิ่งที่พวกเราต้องเผชิญ... เป็นการสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงไม่กี่ปีมานี้"

 

สหประชาชาติเรียกร้องให้ซีเรียรักษาพยาบาลประชาชนที่กำลังหนีตาย

เซยิด ราอาด อัลฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเรียกร้องประชาคมโลกกดดันซีเรียให้มีการรักษาพยาบาลประชาชนที่กำลังหนีตายออกจากทางฝั่งตะวันออกของอเลปโป และเตือนว่าเป็นไปได้ที่ประชาชนเมืองอื่นๆ ที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มกบฏ และต่อให้มีการนองเลือด ผู้คนทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ก็ยังห่างไกลจากการจบสิ้นความขัดแย้งอันโหดร้ายนี้

บีบีซีรายงานว่าในขณะที่สหประชาชาติพูดถึงพลเรือนจำนวนมากถูกสังหารฝ่ายรัฐบาลซีเรียและรัสเซียก็บอกว่าพวกเขาไม่ได้เล็งเป้าไปที่ประชาชน ทั้งนี้ฝ่ายกบฏเองก็เคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนกลายสิบคนในฝั่งตะวันตกเสียชีวิตจากปืนครกและจรวด บีบีซีระบุว่าถ้าหากฝ่ายประธานาธิบดีอัสซาดยึดครองอเลปโปได้ก็จะทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมเมืองใหญ่ๆ ทั้ง 4 เมืองในซีเรียได้และรัฐบาลอัสซาดคงหวังว่าการบุกยึดในครั้งนี้จะส่งผลต่อเนื่องให้สิ้นสุดสงครามกลางเมือง

ทางด้านตุรกีที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในซีเรียกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะเน้นหารือกับรัสเซียหนักขึ้นเพื่อเรียกร้องให้มีการหยุดยิงและหาหนทางในการหยุดยั้งโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรมนี้

 

เรียบเรียงจาก

Civilians killed on spot as battle for Aleppo nears end, Aljazeera, 14-12-2016

What's happening in Aleppo?, BBC, 13-12-2016

Aleppo residents still await evacuation amid uncertainty over ceasefire deal, The Guardian, 14 December 2016
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.เลื่อนพิจารณา พ.ร.บ.คอมฯ ไป 16 ธ.ค. นี้-ล่าชื่อค้าน ทะลุ 2 แสนแล้ว!

$
0
0

14 ธ.ค. 2559 ความคืบหน้ากรณีการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีกำหนดการจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 3 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.) ล่าสุด มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกระแสคัดค้านการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 3 ว่า มาถึงชั้นนี้คงชะลอหรือทบทวนอีกไม่ได้ ต้องเดินไปตามกระบวนการพิจารณากฎหมาย แต่ทั้งนี้จะมีการเลื่อนวาระการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ไปเป็นวันที่ 16 ธันวาคมแทน เนื่องจากการประชุมสนช.ในวันที่ 15 ธันวาคม มีวาระการพิจาณากฎหมายบางฉบับที่ต้องใช้เวลานาน

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ถูกแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าฉบับ 2550 มีเนื้อหาระบุชัดว่า ไม่เกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา ทำให้การบังคับใช้แยกฐานความผิดกัน จะไม่มีการใช้พ่วงกันในการฟ้องร้องเหมือนที่ผ่านมา ส่วนข้อห่วงกังวลเรื่องการปิดกั้นการเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ ก็ยังต้องใช้หมายศาลภาพรวมของกฎหมายเป็นไปตามหลักสากล เราต้องการคุ้มครองความมั่นคงทั้งเศรษฐกิจและสังคม ถ้าปล่อยให้นำเข้าข้อมูลที่ปลอมแปลงเข้าสู่ระบบมันจะกระจายอย่างรวดเร็ว จึงแก้ไขปรับปรุงให้กฎหมายมีความชัดเจน


โลกโซเชียลร่วมรณรงค์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับแต่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ เริ่มการรณรงค์ให้มีการส่งเสียงคัดค้านไปยัง สนช. และคณะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ล่าสุด มีการรณรงค์คัดค้าน พ.ร.บ.คอมฯ ในหลายช่องทาง 

โดยวันนี้เมื่อเวลา 20.06 น. มีผู้เข้าร่วมลงชื่อ "หยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล" ในแคมเปญของเครือข่ายพลเมืองเน็ตแล้ว 204,870 ราย โดยเครือข่ายพลเมืองเน็ตระบุว่า จะยื่นหนังสือต่อประธาน สนช. พร้อมกับรายชื่อทั้งหมดในวันพรุ่งนี้

ด้านเพจต่างๆ ในเฟซบุ๊กต่างร่วมสื่อสารประเด็นนี้กันอย่างคึกคัก อาทิ เพจ ไอลอว์, เครือข่ายพลเมืองเน็ตคาราโอเกะชั้นใต้ดินไข่แมว,  Imome Family,  The Matter,  สรุปพลเมืองต่อต้าน Single Gateway: Thailand Internet Firewall #opsinglegateway

ขณะที่ในทวิตเตอร์  #พรบคอมขึ้นเป็นอันดับสองของแฮชแท็กที่มีการพูดถึงมากที่สุดในประเทศไทยในวันนี้ โดยมีการพูดถึงกว่า 166,000 ครั้ง ขณะที่ #Single Gatewayมีการพูดถึงเป็นอันดับที่สี่ โดยผู้ทวีตกว่า 40,600 ครั้ง (ข้อมูลเมื่อ 18.00 น.)

ไอลอว์ 




เครือข่ายพลเมืองเน็ต


Way Magazine


 

เพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 712,000 ราย ร่วมรณรงค์ด้วย


 

เพจไข่แมว ซึ่งเป็นเพจแซวการเมือง ที่มีผู้ติดตามกว่า 216,000 คน วาดการ์ตูนล้อเลียนหลายภาพติดๆ กัน 







Imome Family เพจการ์ตูนแนวเสียดสี ก็พูดถึง





The Matter 



The Momentum



เพจน่าเบื่อก็เขียนถึง




เพจสรุปซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 285,000 คน ก็เขียนถึงกรณีนี้ด้วย




เพจ Thai Climate Justice คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม ร่วมพูดถึงปัญหาของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่จะกระทบกับนักกิจกรรมทางสังคมด้วย 


 

ดล บุนนาคผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสกลนคร แสดงความเห็นต่อความผิดฐานหมิ่นประมาทใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์



 

เซีย ไทยรัฐ นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในไทยรัฐ ได้วาดการ์ตูนถึงผลกระทบที่จะเกิดจากร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ มอบนโยบายการจัดทำงบฯ แนะไม่ทำอะไรนอกกรอบ จะทำให้คิดอะไรไม่ออก

$
0
0

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบฯ 

14 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า วันนี้ (14 ธ.ค.59)เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาการเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณ โดยมีคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ เข้าร่วมงาน

โดยโอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณ ซึ่งเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลสรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรากำลังเดินหน้าประเทศในทุกระบบเพื่อไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน เพราะจำเป็นที่จะต้องให้ประเทศมีความยั่งยืนในทุกเรื่องทุกมิติ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้มีความเข้าใจตรงกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันให้ได้เร็วที่สุด เพื่อเดินหน้าประเทศไปให้ได้โดยไม่คำนึงถึงตัวตนและวัฒนธรรมองค์กรมากเกินไป ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และในอนาคตจะมีโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ฉะนั้นเราจะต้องทำงานให้เกิดการประสานสอดคล้องกันให้มากที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้อยากให้ทุกคนมองอนาคตร่วมกันและทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่าถ้าเรายังคิดแบบเดิมทำแบบเดิม ทำตามระเบียบข้อบังคับเดิม ๆ ไม่ทำอะไรนอกกรอบ จะทำให้คิดอะไรไม่ออก เพราะติดปัญหาทุกอย่าง ทั้งติดกฎระเบียบที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยให้สามารถดำเนินการได้ โดย 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ด้วยการบูรณาการการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องแผนงาน งบประมาณ วิธีการบริหารจัดการ การแก้ปัญหาร่วมกัน การทำกิจกรรมเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในเวลานี้ นายกรัฐมนตรีจึงอยากให้ทุกคนสร้างความหวัง สร้างอนาคตร่วมกันให้กับประเทศไทย โดยทุกเรื่องขึ้นอยู่กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ที่ต้องได้รับความไว้วางใจและการตอบรับจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีสิ่งเดียวที่จะตอบแทนประชาชนได้คือทำให้ประชาชนมีเกียรติยศศักดิ์ศรี มีรายได้เพิ่มขึ้น มีการศึกษาที่ดี มีการสาธารณสุขที่ดีและเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนวาดหวังเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่าการที่จะได้อะไรมาง่าย ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ในโลก จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทั้งสิ้น ฉะนั้น ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดี โดยการคิดนอกกรอบ คิดแบบมีวิสัยทัศน์ และคิดเชิงรุกด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การจัดทำงบประมาณได้มีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ วันนี้ระบบงบประมาณของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาทำงาน โดยให้มีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง ซึ่งในวันนี้ทุกคนจำเป็นต้องร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผนจัดทำงบประมาณปี 2561 ให้ได้ ด้วยการนำปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2560 มาแก้ไขปรับปรุง พัฒนาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ต่อยอดสอดประสานกับงบประมาณใน 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ได้ร่วมกันจัดทำมาโดยตลอด รวมทั้งให้คิดทำให้เกิดความเชื่อมโยงกันของทุกภูมิภาคภายในประเทศและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งเชื่อมโยงกันทั้งประเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความสุข รวมทั้งจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างครบวงจรในทุกเรื่อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเกษตร ระบบน้ำ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว การพัฒนาเมือง การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่เกิดจากความยากจน การทุจริตผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล จะต้องไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกต่อไป ซึ่งข้าราชการทุกภาคส่วนจากทุกกระทรวง กรม จะต้องร่วมมือกันทำงานแก้ปัญหาเหล่านี้

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการน้อมนำศาสตร์พระราชามาเป็นศาสตร์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีรับสั่งกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าขอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน โดยให้สานต่อแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงทำมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ไม่ให้น้อยลงไปกว่าเดิมที่มีอยู่ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีรับสั่งด้วยความห่วงใยในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย เรื่องการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสาธารณสุข การเสริมสร้างอาชีพรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และจะต้องทำให้ประเทศชาติสงบสุข สันติ ไม่มีความขัดแย้ง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนจะต้องสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และใช้ศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งไว้ว่า การพัฒนาประเทศไทยนั้นจำเป็นต้องมีการพัฒนาคู่ขนานกันโดยต้องนำแบบแผนตะวันตกผสมผสานกับตะวันออกเพื่อการพัฒนาที่รอบด้านและยั่งยืน วันนี้จึงต้องนำการพัฒนาทั้งของตะวันตกและตะวันออกมาสู่การปฏิบัติ และต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศว่าอะไรคือข้อบกพร่องของการพัฒนาประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา เพื่อนำมาสู่การคิด วิเคราะห์ ในปัจจุบัน ศึกษาแล้วนำสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น รวมทั้งนำศาสตร์ของพระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข การใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล พอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดี ภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม มาสู่การปฏิบัติให้ได้ เพราะจะเป็นตัวตั้งที่สำคัญทำให้การพัฒนาไม่ล้มเหลว รวมทั้งจะต้องดูปัจจัยภายในภายนอกของประชาคมโลกและของภูมิภาคในวันนี้ เพื่อการวางแผนจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องทั้งภายในประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และต่างประเทศ ให้ประเทศไทยพัฒนาไปอย่างยั่งยืน

ในตอนท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าในการจัดทำงบประมาณปี 2561 จะเพิ่มเติมให้กลุ่มจังหวัดคิดโครงการที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อให้เกิดประโยชน์แบบบูรณาการโดยดึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมกับนายกรัฐมนตรีได้สั่งการมอบหมายให้รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง เป็นผู้แต่งตั้งผู้รับผิดชอบในการบูรณาการการปฏิบัติให้ชัดเจนในทุกกระทรวง โดยนายกรัฐมนตรีจะเรียกให้เข้ามาชี้แจงตอบคำถามกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องงบประมาณที่ใช้ แผนงานโครงการ ว่าทำเพื่ออะไร เกิดประโยชน์อย่างไร มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับกระทรวงอื่นอย่างไร โดยจะต้องชี้แจงและตอบคำถามนายกรัฐมนตรีให้ได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีชัย เปรียบเอาหูแนบดินตอนร่าง พ.ร.บ.พรรคฯ เพื่อนำความเห็นต่างๆ มาบัญญัติเป็นกฎหมาย

$
0
0

โฆษก กรธ. แถลงหลังจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง ระบุมี 4 ประเด็นที่ต้องกลับไปพิจารณา อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ เสนอทบทวนการเก็บเงินบำรุงพรรคภายใน 150 วันเป็น 4 ปี ด้านกฎหมาย กกต. ได้เห็นร่างแรกพรุ่งนี้

ภาพจากเว็บข่าวรัฐสภา

14 ธ.ค. 2559 ที่ อาคารสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้จัดเวทีชี้แจง และรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ ต่อ ร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (พ.ร.บ.พรรคการเมือง) โดยมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวเปิดโครงการสัมมนาชี้แจงสาระสำคัญของร่างกฎหมายกังกล่าวว่า ร่างกฎหมายเบื้องต้น ที่ กรธ. จัดทำขึ้นนั้น ได้รับฟังความเห็นประกอบการยกร่างฉบับนี้อย่างเอาหูแนบดิน เพื่อนำความเห็นต่างๆ มาพิจารณา เมื่อเห็นว่าข้อเสนอต่างๆ มีความเป็นไปได้ ก็จะนำมาบัญญัติไว้เป็นกฎหมาย

มีชัย กล่าวด้วยว่า กรธ. ได้ยกร่างกฎหมายลูกตามกรอบของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการออกเสียงประชามติ ในมาตรา 45 และ 258 (2) ที่กำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องถูกตรวจสอบได้ ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการกำหนดผู้แทนพรรคลงเลือกตั้ง ไม่ถูกครอบงำจากบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พร้อมกำหนดมาตรการดูแล ไม่ให้สมาชิกพรรคการเมืองดำเนินการขัดต่อการเลือกตั้ง ให้สมาชิกมีความรับผิดชอบต่อกิจกรรมทางการเมือง คัดเลือกบุคคลที่มีคุณธรรมเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดให้มีกลไกความรับผิดชอบต่อนโยบายพรรค และให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง มีสิทธิมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น การกำหนดให้สมาชิกพรรคเสียค่าสมาชิกรายปี เพื่อประชาชนได้มีความเป็นเจ้าของพรรค และมีส่วนร่วมภายในพรรคอย่างแท้จริง

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ ขอให้ทบทวนการชำระเงินบำรุงพรรคฯ จากเดิมภาย 150 วัน เป็น 4 ปี

ทั้งนี้ มีชัย ได้รับการยืนหนังสือจาก ธนา ชีรวินิจ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ทบทวนกรอบเวลาในการจัดระเบียบสมาชิกพรรคการเมือง เรื่องการชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองจากเดิม 150 วัน เป็น 4 ปี ส่วนสมาชิกที่ไม่ได้ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองภายในกำหนดนั้น ไม่ควรกำหนดให้พ้นจากความเป็นสมาชิกโดยทันที เนื่องจากสมาชิกบางคนอาจไม่สะดวกในการชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด จึงต้องการให้กำหนดว่า หากไม่ชำระค่าบำรุงก็ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. หรือสิทธิ์อื่นๆ เท่านั้น ทั้งนี้ หากไม่ให้ชำระเงินผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะชำระเงินภายในเวลาที่กำหนดได้

ธนา กล่าวถึงส่วนที่กำหนดให้ทุกสาขาพรรคการเมืองจะต้องมีสมาชิกที่จ่ายเงินค่าบำรุงพรรคไม่น้อยกว่า 500 คนว่า เป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงและเป็นไปได้ยาก เนื่องจากพรรคการเมืองใหญ่ มีสาขาพรรคในแต่ละภาคเป็นจำนวนมาก และท้ายที่สุดจะบีบให้เหลือเพียงภาคละหนึ่งสาขา ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการของ กรธ.ที่ต้องการให้มีสาขาพรรคจำนวนมาก

โฆษก กรธ. ระบุมีประเด็นกลับไปคิดต่อ 4 เรื่อง (จำนวนสมาชิก-ทุนประเดิม-ค่าบำรุง-บทลงโทษ)

ด้าน อุดม รัฐอัมฤต โฆษกกรธ. แถลงภาพร่วมของการรับฟังความเห็นของพรรคการเมืองต่อ พ.ร.บ.พรรคการเมืองว่า กรธ. ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองต่างๆ มากกว่าการรับฟังความเห็นก่อนหน้านี้ที่จัดขึ้นที่รัฐสภา โดยประเด็นที่ กรธ. จะต้องนำกลับไปพิจารณา คือ 1.จำนวนสมาชิกพรรคการเมือง 20,000 คนภายใน 4 ปีมากไปหรือไม่ 2.ทุนประเดิมพรรคคนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท เพื่อให้ทุนประเดิมพรรคได้ 1 ล้านบาทนั้นมากไปหรือไม่ 3.ค่าบำรุงสมาชิกคนละ 100 บาทต่อปี ควรมีหรือไม่ 4.บทกำหนดโทษของผู้กระทำผิดต่อตามร่างนี้แรงเกินไปหรือไม่ ทั้งนี้ กรธ. ยืนยันว่าการยกร่างกฏหมายพรรคการเมือง กรธ. ไม่ได้คิดเอาเอง แต่ทำตามรัฐธรรมนูญ ผ่านการปรึกษาจาก กกต. รวมทั้งผ่านการดีเบตของ กรธ.มาหลายขั้นตอน เพื่อให้กฎหมายนี้ดีกว่าฉบับปี 2550 และเมื่อมีการปรับแก้ไขแล้วก็มีการสอบถาม กกต. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันและทำประโยชน์เพื่อประชาชน และยืนยันว่ากฎหมายนี้ กรธ. มีหลักการและเหตุผลรองรับทุกมาตรา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บรรยากาศการชี้แจงและรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง มีพรรคการเมืองส่งตัวแทนร่วมเวที ประมาณ 20 พรรคการเมือง อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคพลังชล เป็นต้น โดยไม่มีตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด

กรธ.เผยร่าง พ.ร.บ. กกต. ได้เห็นพรุ่งนี้ เชื่อเสริมเขี้ยวเล็บ กกต. เพิ่มเครื่องมือลุยงานเชิงรุก

ด้าน ประพันธ์ นัยโกวิท กรธ. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ กรธ.กำลังทบทวนเนื้อหาและความถูกต้องของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ... ร่างเบื้องต้น ซึ่งจะเปิดเผยร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. เผยแพร่ต่อผู้เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อประกอบการรับฟังความคิดเห็น ยังอาจมีการแก้ไขเพิ่มเติม ในเว็บไซต์ของกรธ.ได้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เห็นร่าง พ.ร.บ.ฉบับเบื้องต้น ก่อน

ประพันธ์ กล่าวว่า จากนั้นในวันที่ 16 ธ.ค. เวลา 12.00น.ที่รัฐสภา ทางกรธ. จะมีการจัดสัมมนา เรื่อง “ชี้แจงสาระสำคัญร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยกกต. พ.ศ...(ร่างเบื้องต้น) โดยขอเชิญผู้สนใจทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคการเมืองเมือง ประชาชน และทุกภาคส่วนมาร่วมในการเสวนารอบแรก เพื่อที่จะได้ดูว่าในเนื้อหาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีอะไรแข็งเกินไป และควรมีอะไรปรับปรุงบ้าง จากนั้นทาง กรธ.ก็จะเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนในเวที 4 ภาค และถ้าใครสนใจต้องการแสดงความเห็นในร่าง พ.ร.บ. กกต. ก็สามารถส่งมาที่ กรธ. ได้โดยตรง เพราะเราเปิดกว้างรับฟังจากทุกภาคส่วน

“ผมมั่นใจว่าร่างกฎหมายที่กรธ.ได้ยกร่างขึ้นนี้ได้เพิ่มบทบาทและหน้าที่ของกกต.ให้เข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเสริมเขี้ยวเล็บ ตลอดจนเพิ่มเครื่องมือที่จะทำให้กกต.ได้ทำงานในเชิงรุกและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน” ประพันธ์ กล่าว

ทีมติดตามการร่าง รธน. กฎหมายประกอบ พรรคเพื่อไทย ชี้ร่างพ.ร.บ.พรรคการเมืองขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

 ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แม้ในวันนี้ พรรคเพื่อไทย จะไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ที่จัดขึ้นโดย กรธ. แต่เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ประธานคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย คณิน บุญสุวรรณ ได้ให้สัมภาษณ์ถึง ร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ว่า หลักการและสาระสำคัญส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่บัญญัติให้การร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นเสรีภาพของประชาชน เพราะแค่ที่บัญญัติให้ต้องมีการขออนุญาตต่อนายทะเบียนคือเลขาธิการ กกต. เพื่อจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองซ้ำยังมีกฎเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆมากมายรวมทั้งบทกำหนดโทษรุนแรงสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตนั้น นอกจากจะถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วยังเท่ากับเป็นการไปลดฐานะของสมาชิกพรรคการเมืองลงให้เป็นเสมือนพลเมืองชั้นสองอีกด้วย

เพราะทันทีที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองนอกจากจะต้องเสียค่าบำรุงพรรคทุกปี และถ้าเป็นผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิมคนละ 2,000 - 500,000 บาทแล้ว ยังเสียสิทธิทางการเมืองหลายอย่างด้วย ทั้งนี้จะสมัครหรือไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือก ส.ว. ยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งทางการเมืองสมัครเป็นองค์กรอิสระ หรือศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ ไม่ห้ามอยู่อย่างเดียว คือ เลือกตั้ง ส.ส. และสมัคร ส.ส. และโทษหนักตั้งแต่จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามพ.ร.บ.นี้เท่ากับเอาขาข้างหนึ่งไปอยู่ในตรางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คณิน กล่าวด้วยว่า ร่างพ.ร.บ. นี้บังคับให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบำรุงพรรค และถ้าผู้ใดไม่ชำระค่าบำรุงพรรคเป็นเวลาสองปีติดต่อกันต้องสิ้นสภาพสมาชิกข้อนี้ถือว่าขัดต่อหลักเสรีภาพของประชาชน และเท่ากับเป็นการกีดกันคนยากคนจน และคนที่มีรายได้น้อยไม่ให้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง สำหรับคนมีฐานะถ้าเขารู้ว่าเป็นสมาชิกพรรคแล้วต้องลำบาก และเสี่ยงคุกเสี่ยงตรางถึงขนาดนี้คงไม่มีใครอยากเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแน่ตกลง กรธ. คิดจะสร้างพรรคการเมืองหรือทำลายพรรคการเมืองไม่ให้ได้ผุดได้เกิดกันแน่
คณิน กล่าวต่อว่า การที่บทเฉพาะกาลมาตรา 112 (4) บังคับให้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วจัดให้สมาชิกที่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคต่อไปต้องชำระค่าบำรุงพรรคภายใน 180 วันนับ แต่วันที่พ.ร.บ.มีผลใช้บังคับมิฉะนั้นจะพ้นสภาพสมาชิก และถ้าสมาชิกพรรคมีเหลือไม่ถึง 5,000 คน ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพนี่ก็เท่ากับไล่สมาชิกออกจากพรรคจนเหลือไม่ถึง 5,000 คน พรรคนั้นจะได้สิ้นสภาพและหมดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งนอก จากนั้นการที่มาตรา 45 ไม่ให้พรรคผู้ดำรงตำแหน่งในพรรค หรือสมาชิกพรรคเรียกรับสินบนจากผู้ใดเพื่อแต่งตั้งหรือสัญญาว่าจะแต่งตั้งให้ผู้นั้นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมกับกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรง คือ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต น่าสงสัยเหลือเกินว่ากรธ. เห็นว่าสมาชิกพรรคการเมืองเป็นอาชญากรหรืออย่างไร

คณิน กล่าวต่อว่า การที่มาตรา 32 กำหนดให้พรรคที่ตั้งใหม่ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คนภายใน 1 ปีมีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา แต่ละสาขาต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 500 คน และต้องเพิ่มสมาชิกให้มีจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนภายใน 4 ปีนับ แต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนขัดแย้งกับสิ่งที่ กรธ. พร่ำบ่นมาตลอดว่าไม่อยากเห็นนายทุนครอบงำพรรค และอยากให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนเพราะมันจะเป็นตรงกันข้ามเสียมากกว่า

ที่มาจาก: เว็บข่าวรัฐสภา, สำนักข่าวไทย , มติชนออนไลน์ , ผู้จัดการออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 ปียังไม่ลืม ‘สมบัด สมพอน’ กลุ่มนักกิจกรรมออกแถลงการณ์รำลึก 4 ปีบังคับสูญหายนักพัฒนาชาวลาว

$
0
0

14 ธ.ค. 2559 เฟซบุ๊กแฟนเพจ Sombath Somphone & Beyond Projectได้เผยแพร่ แถลงการณ์ในวาระครบรอบ 4 ปี การหายตัวไปของสมบัด สมพอน นักพัฒนาเอกชนอาวุโสชาวลาว เจ้าของรางวัลแมกไซไซ ปี พ.ศ.2548 ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2555 ระหว่างการขับรถกลับบ้านพักในกรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในช่วงระหว่าง 17.00-18.00 น. โดยมีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวของสมบัดจากกล้องวงจรปิดของสถานีตำรวจนครบาลเวียงจันทร์ พบว่า สมบัด หยุดรถที่ป้อมตำรวจท่าเดื่อเมื่อเวลา 18.03 น. จากนั้น เขาลงจากรถและถูกพาตัวเข้าไปในป้อมตำรวจ หลังจากนั้นพบว่ามีชายคนหนึ่ง ขี่รถจักรยานยนต์มาจอดทิ้งไว้ที่ข้างถนน และขับรถจี๊ปของสมบัดออกไป จากนั้น มีรถกระบะขับมาจอดหน้าป้อมตำรวจ และมีชายสองคนพาสมบัด เข้าไปในรถคันนั้น และขับออกไป และไม่กลับมาอีกเลย (อ่านข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง)โดยแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้

4 Years We Still Remember Your Name - Statement (Creative Mekong)

แถลงการณ์ : 4 Years We Still Remember Your Name / 4 ปีเรายังคงจดจำชื่อสมบัด สมพอน

ในทัศนะของสมบัด การพัฒนาที่ยั่งยืนมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเคารพในธรรมชาติและมนุษยชาติ เขาสนับสนุนการศึกษาด้านจิตใจและการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ที่ให้ความสำคัญกับคนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนวัยหนุ่มสาวซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง

เป็นเวลา 4 ปีแล้ว นับจากครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวได้ทราบข่าวคราวของเขา ค่ำคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2555 กลายเป็นความเงียบงันที่น่าสยดสยองยาวนานมาจนทุกวันนี้ 4 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวและมิตรสหายของสมบัด สมพอนได้เรียกร้องให้รัฐบาลลาวและผู้นำชาติต่างๆ ในประชาคมโลกเปิดเผยแหล่งว่าเขาอยู่ที่ไหน เป็นที่น่าเศร้าว่าบรรดาผู้นำทั้งหลายต่างทำให้เราผิดหวัง เราจึงต้องการจะย้ำคำถามของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า “หากรัฐบาลลาวต้องการที่จะแก้ปัญหากรณีของสมบัด สมพอนจริง และวิตกกังวลเฉกเช่นเดียวกับพวกเราทั้งหลาย แล้วเหตุใดจึงได้ปิดกั้นการสืบสวนสอบสวนทุกช่องทางที่อาจเป็นไปได้ ?”

4 ปีที่ผ่านมา พวกเราในนาม Sombath Somphone and Beyond Project ยืนยันหนักแน่นโดยสันติวิธีที่จะไม่นิ่งเฉยต่อการที่สมบัด สมพอนถูกบังคับสูญหาย อันเป็นความรุนแรงที่โหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมไม่ว่าจะกระทำต่อใครก็ตาม เรามีความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมให้การกระทำผิดดังกล่าวเกิดขึ้นได้อีกในอาเซียน

เพราะเยาวชนก็คือผู้กำหนดอนาคตเช่นกัน เราจึงยืนหยัดในความยุติธรรมและต้องการให้รัฐบาลลาว รวมถึงรัฐบาลประเทศสมาชิกอาเซียนรับผิดชอบในความล่าช้าของกรณีนี้

เราไม่อาจยอมให้ความกลัวเข้าครอบงำเราได้ เมื่อปีที่แล้วเราส่งกำลังใจไปยังเพื่อนๆ ชาวลาว ให้พวกเขาเข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้นที่จะส่องแสงท่ามกลางเมฆหมอกแห่งความกลัว ในปีนี้ เราจะยังคงเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่สมบัด สมพอน และเยาวชนลาว มิตรสหายทั้งหลาย เรารู้ดีว่าพวกเรานั้นจะไม่หมดหวังในพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ผู้เป็นตัวแทนแห่งความเปลี่ยนแปลง เพราะสมบัดก็ไม่เคยที่จะหมดหวังในตัวพวกเรา

ไม่กี่เดือนก่อนที่สมบัดจะหายตัวไป เขายังได้เรียกร้องให้ผู้นำในการประชุมเวทีประชาชนเอเชีย-ยุโรป “เปิดพื้นที่ให้กับคนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่เป็นคนหนุ่มสาว ได้มีโอกาสขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง “เราในฐานะคนรุ่นใหม่ของอาเซียนเห็นพ้องกับความฝันและทัศนะต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสมบัด สมพอน ซึ่งเคารพผืนแผ่นดินและสามัญชนคนธรรมดาอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม การที่เขาถูกบังคับสูญหายก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอันจะนำไปสู่ความยุติธรรมและสันติภาพ ทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและการพัฒนาเชิงนิเวศของคนหลายรุ่น

4 ปี เรายังคงจดจำชื่อของเขา 4 ปี เรายังคงตั้งใจจะทำให้ทัศนะและความเชื่อในเยาวชนคนรุ่นใหม่ของสมบัด สมพอนดำรงอยู่ต่อไป 4 ปี เรายังคงเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เหยื่อของการบังคับสูญหาย

14 ธันวาคม 2559
Sombath Somphone and Beyond Project
กลุ่มลุ่มน้ำโขงศึกษา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรนันทน์ เบิกความยัน ยิ่งลักษณ์ สั่งการดำเนินการโครงการจำนำข้าวตามขั้นตอน ป้องกันทุจริต

$
0
0

14 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวระบุว่า ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ ชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 8 คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 49 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

โดย สำนักข่าวไทยรายงานว่า ในวันนี้ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะพยานฝ่ายจำเลย ขึ้นเบิกความว่า ยิ่งลักษณ์ มีข้อสั่งการ และคำปรารภให้รัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการตามขั้นตอน ป้องกันการทุจริต ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ได้กำชับ และห่วงใยข้อเสนอแนะต่าง ๆ อยู่เสมอ รวมถึงข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รวมถึงข้อมูลจากการอภิปรายของฝ่ายค้าน มาพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กบข. ) หรือสั่งการรัฐมนตรีโดยตรงอยู่เสมอ

สุรนันทน์ ยังปฏิเสธความเกี่ยวข้องของ ยิ่งลักษณ์ ในการตั้ง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ หรือหมอโด่ง ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยในคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจีข้าว ว่าทั้งหมดเป็นการเสนอจากรัฐมนตรีและปฏิบัติตามขั้นตอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ภายใต้ความเห็นชอบของครม. และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มีส่วนราชการเข้าร่วม มีแผนและการประเมินโครงการ และการตั้งงบประมาณก็เป็นไปตามระเบียบราชการและข้อกฎหมาย

จากนั้นศาลได้เบิกความ วีระนันท์ ทัดดอกไม้ ผู้แทนคณะกรรมการสำรวจคุณภาพข้าวหลังรับจำนำ พยานฝ่ายจำเลยโดยมีประเด็นคำถามทั้งหมด 25 คำถาม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เป็นนายกฯย่อมถูกติชมได้ อุทธรณ์ยกฟ้อง ‘มัลลิกา’ ปม 'ว.5 โฟร์ซีซั่น' ชี้ไม่หมิ่นยิ่งลักษณ์

$
0
0

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้อง 'มัลลิกา’ กรณีแถลงข่าว 'ว.5 โฟร์ซีซั่น' ชี้ไม่หมิ่นยิ่งลักษณ์ เหตุเป็นลักษณะเชิงตั้งคำถามมากกว่ายืนยันข้อเท็จจริง อีกทั้งเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นบุคคลที่ประชาชนสามารถตั้งข้อสงสัย ติดตามพฤติกรรมและแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นธรรม

 

 

 

 

14 ธ.ค. 2559 มติชนออนไลน์รายงานว่า วันนี้ (14 ธ.ค.59) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.2493/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากกรณี ว.5 โฟรซีซั่นส์

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 19-20 ก.พ. 2555 จำเลยได้แถลงข่าวหมิ่นประมาท ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่ามีพฤติการณ์และความประพฤติผิดจริยธรรม ทำให้ ยิ่งลักษณ์ เสียชื่อเสียง โจทก์จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายเเละยึดทำลายเอกสารที่มีข้อความดังกล่าวและโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 7 วัน คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2556 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง การแถลงข่าวของจำเลยจึงเป็นการติชมด้วยความสุจริตเป็นธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ของให้ลงโทษตามกฎหมาย
 
โดยในวันนี้ มัลลิกา เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ
 
ซึ่ง ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์เบิกความว่า ในวันที่ 8 ก.ย. 2555 พยานเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ที่ห้อง Executive Club ตั้งแต่เวลา 14.30 น.-23.00 น. ซึ่งที่บริเวณข้างนอกห้องประชุม ภายในคลับดังกล่าว มีลูกค้ามารับประทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่พยานจำได้ว่าแต่ละคนเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการประจำ แสดงว่าเรื่องที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมประชุม น่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดเป็นการลับที่จำเป็นต้องมาพูดคุยในสถานที่ดังกล่าว จนไม่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์ร่วมไม่สามารถเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับการประชุมที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ได้ ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งโจทก์ร่วมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่โดยตรงต้องเข้าประชุม เนื่องจากเป็นการพิจารณากฎหมายซึ่งเป็นประโยชน์ของชาติ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการทำงานของโจทก์ร่วมและในฐานะประชาชนมีสิทธิตั้งข้อสงสัยพฤติกรรมของโจทก์ร่วมได้
 
นอกจากนี้การแสดงความเห็นของจำเลยเป็นลักษณะเชิงตั้งคำถามมากกว่ายืนยันข้อเท็จจริง อีกทั้งเมื่อโจทก์ร่วมเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นบุคคลที่ประชาชนสามารถตั้งข้อสงสัย ติดตามพฤติกรรมและแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
 
ภายหลังศาลมีคำพิพากษา มัลลิกา กล่าวว่า ดีใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นตนทำหน้าที่ตรวจสอบ ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งเป็นการตั้งคำถามและไม่ยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2556 ภายหลังมีคดีความกับนายกรัฐมนตรีก็มีเรื่องที่กดดันและวุ่นวายหลายอย่าง ถือตนก็มีกำลังใจและยืนหยัดในการทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดและจะทำหน้าที่ต่อไป
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โตโต้และเพื่อนได้ประกัน คดีฉีกบัตรประชามติ วางหลักทรัพย์ 6 แสน

$
0
0


ภาพจาก Banrasdr Photo

14 ธ.ค.2559  ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า ศาลจังหวัดพระโขนงมีคำสั่งให้ประกัน ปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ และเพื่อนอีก  2 คน คือ จิรวัฒน์ เอกอัครนุวัตร และทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ จากคดีฉีกบัตรประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนายประกันคือ บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยื่นคำร้องพร้อมวางหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 200,000 บาท รวม 600,000 บาท โดยศาลระบุว่า นายบุญเลิศมีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีการนัดหมายคดีในวันที่ 27 ธ.ค.นี้ โดยแยกเป็นนัดสมานฉันท์ในเวลา 8.30 น. และนัดพร้อมสอบคำให้การตรวจพยานหลักฐานในเวลา 9.00 น.ที่ศาลจังหวัดพระโขนง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ประกันจำเลยทั้ง 3 คน หลังจากอาจารย์จากมหาวิทยาลัย 2 แห่งใช้ตำแหน่งทางวิชาการยื่นประกันตัวจำเลย โดยศาลระบุว่าอาจารย์ทั้งสองไม่ใช่ญาติพี่น้องและนายจ้างผู้ต้องหา (อ่านข่าว)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลสั่งให้ประกันตัว ประชาชนประมาณ 20 คนรวมถึงอาจารย์บางส่วนได้เดินทางไปรอรับตัวจำเลยทั้ง 3 คนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงค่ำ จนกระทั่งทั้งหมดถูกปล่อยตัวออกมาราว 21.00 น. 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โต้กันนัว ซิงเกิลเกตเวย์มีจริงหรือเปล่า พล.อ.ประวิตร ฟันธง จำเป็น!

$
0
0

สรรเสริญแจงรัฐบาลไม่มีแนวคิดซิงเกิลเกตเวย์ ด้านเครือข่ายพลเมืองเน็ตโต้กลับ แค่เล่นคำ พร้อมแฉผังล้มเน็ต ขณะทีมร่าง พ.ร.บ.คอมฯยันกฎหมายไม่มีเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร มาแรงสุด บอกซิงเกิลเกตเวย์ยังจำเป็นกับความมั่นคง

14 ธ.ค. 2559 ความเคลื่อนไหวสืบเนื่องจากกระแสรณรงค์คัดค้านการผ่านร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งล่าสุดมีกำหนดจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ วันนี้ คนในรัฐบาลต่างออกมาชี้แจงว่า ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะไม่ละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างที่กังวลกัน ตลอดจนยืนยันว่าไม่มีเรื่องของซิงเกิลเกตเวย์ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวกับสื่อว่า ซิงเกิลเกตเวย์นั้นยังจำเป็นในแง่ความมั่นคง
 

สรรเสริญแจงรัฐบาลไม่มีแนวคิดซิงเกิลเกตเวย์
ผู้จัดการออนไลน์และมติชนออนไลน์ รายงานตรงกันว่า พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้มีบุคคลบางกลุ่มพยายามปลุกกระแสคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเชื่อมโยงสาระสำคัญของกฎหมายเข้ากับแนวคิดซิงเกิลเกตเวย์ในทำนองว่า จะเป็นกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล
     
“เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และรัฐบาลยืนยันมาตลอดว่า ไม่มีแนวคิดที่จะดำเนินการซิงเกิลเกตเวย์แต่อย่างใด แต่คนกลุ่มนี้ก็พยายามสร้างกระแสต่อต้านโจมตีอย่างต่อเนื่อง"

พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นร่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ปี 2550 ให้มีความทันสมัย เหมาะสมกับเวลา และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีสาระสำคัญที่แท้จริง คือ การเพิ่มฐานความผิดและบทลงโทษให้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่น การเจาะทำลายระบบความมั่นคงของประเทศ ความผิดฐานส่งสแปม หรือข้อความที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ การนำเข้าข้อมูลเท็จ การเผยแพร่เนื้อหาหรือภาพตัดต่อที่ผิดกฎหมาย การให้ผู้กระทำผิดรับโทษตามกฎหมายอาญาอื่นๆ ไม่เฉพาะแต่ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ เพียงอย่างเดียว เป็นต้น
     
“รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ไม่ใช่การคุกคามสิทธิส่วนบุคคลตามที่มีการกล่าวอ้าง โดยขอให้กลุ่มผู้ไม่หวังดียุติพฤติกรรมบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือและสร้างความแตกแยกในทันที”


เครือข่ายพลเมืองเน็ตโต้กลับ แค่เล่นคำ พร้อมแฉผังล้มเน็ต 
ด้านเครือข่ายพลเมืองเน็ต ระบุผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้กรณีดังกล่าวว่า "#ผังล้มเน็ต #พรบคอม #วอนประชาชนอย่าหลงเชื่อ 

"อย่าเรียกซิงเกิลเกตเวย์ ให้เรียกว่า "ระบบคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเอง โดยอาจเชื่อมโยงระบบดังกล่าวเข้ากับระบบการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการในแต่ละรายโดยความยินยอมของผู้ให้บริการก็ได้"

"ดูเวอร์ชันที่คลิกดูประกาศ/กฎหมายแต่ละฉบับได้ที่ https://thainetizen.org/docs/media-control-after-2014-coup-diagram/"


ประจินยันปกป้องสิทธิ ไม่ได้ปิดกั้น
ด้านผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงกรณีมีการคัดค้าน พ.ร.บ.คอมฯ ว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 ฉบับแรกมีการใช้งานมาร่วม 10 ปี และเพื่อให้เข้ากับยุคของการใช้งานเทคโนโลยีดิจิตอลปัจจุบันที่ต้องให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยกระทรวงดีอี ได้มีการปรับเพิ่มในประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น อาทิ 1.การปรับปรุงเนื้อหากฎหมายเดิมให้มีความทันสมัย 2.ปรับเพิ่มเนื้อหากฎหมายในเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเป็นการป้องกันคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ 3.ในเรื่องของไซเบอร์ซีเคียวริตี
    
นอกจากนี้ ที่ประชุม สนช.ยังได้มีการปรับปรุง แก้ไขเนื้อหาของกฎหมายกว่า 20 ประเด็น เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด และการที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ล้วนแต่เพื่อปกป้องประชาชนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต จึงอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า การปรับปรุงแก้กฎหมายใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ จะช่วยปกป้องสิทธิให้กับประชาชน ไม่ได้ไปปิดกั้น หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเผยแพร่ในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างแน่นอน จึงอยากให้ประชาชนสบายใจ และไม่อยากให้ตีความกันแบบผิดๆ อีก

ทีมร่างกฎหมายยัน ไม่มีซิงเกิลเกตเวย์ในกฎหมาย  
ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ และที่ปรึกษากรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ร่างฯ แก้ไขล่าสุดได้มีการปรับปรุงในระดับที่น่าพอใจ โดยมีการปรับแก้มาตราที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วง อาทิ การระงับการทำให้แพร่หลาย หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ (คำสั่งให้ปิดเว็บไซต์) ให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ จำนวน 5 คนเป็นผู้พิจารณาแล้วเสนอความเห็นให้ศาลมีคำสั่งระวังการแพร่หลาย หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยได้บัญญัติเพิ่มเติมห้ามมิให้พนักงานสอบสวนเปิดเผย หรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการแก่บุคคลใดโดยกำหนดโทษเจ้าพนักงานที่ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
      
ไพบูลย์ระบุต่อว่า ส่วนประเด็นการเคลื่อนไหวคัดค้านกฎหมายโดยอ้างข้อมูลว่า ร่างฯ อาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเข้าข่ายมีการกลั่นกรองข้อมูล หรือเป็นซิงเกิลเกตเวย์ เมื่อตรวจสอบแล้วเป็นการนำข้อมูลตั้งแต่กระทรวงดีอี ยังเป็น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่เสนอผลการศึกษา และความเห็นในการจัดทำร่างฯ ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาวาระแรก สำหรับประเด็นซิงเกิลเกตเวย์ ในการจัดทำร่างฯ ไม่มีส่วนใดที่บัญญัติให้มีการตั้งซิงเกิลเกตเวย์ แม้จะอ้างว่า ร่างฯ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ออกระเบียบเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ได้ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะประกาศซึ่งมีอำนาจรองจากกฎหมายหลักย่อมไม่สามารถบัญญัติให้มีการตั้งหน่วยงาน หรือการกระทำใดที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายหลักได้

อนึ่ง ในร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ พ.ศ. ....ฉบับวันที่ 18 พ.ย.2559 ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ) ข้อ 4 ระบุว่า ให้มีการจัดตั้งศูนย์กลาง “เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลาย หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั่นเอง โดยอาจเชื่อมโยงระบบดังกล่าวเข้ากับระบบการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการในแต่ละรายโดยความยินยอมของผู้ให้บริการก็ได้”



 

พล.อ.ประวิตร บอกซิงเกิลเกตเวย์ยังจำเป็นกับความมั่นคง
วันเดียวกัน โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ถามคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า ในฐานะที่ดูแลความมั่นคง ซิงเกิลเกตเวย์ ยังจำเป็นหรือไม่ว่า "ยังจำเป็น เพราะขนาดมีการใช้มือถือโทรไปต่างประเทศ แล้วส่งกลับมา ที่บอกว่าลาวไม่ร่วมมือนั้นไม่ใช่ เพราะเขาร่วมมืออย่างดี แต่เขาไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่เขาใช้พูดข้ามประเทศ แล้วใช้เครื่องมือส่งเข้ามาในประเทศ เราก็ต้องป้องกัน ตอนนี้เราก็พบความเคลื่อนไหวจากลาว"


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจอคำใหม่ "ข้อมูลที่บิดเบือน" โผล่ในร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ สนช.เตรียมโหวตศุกร์นี้

$
0
0

ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับที่ สนช.เตรียมโหวตสัปดาห์นี้ เพิ่มถ้อยคำใหม่ล่าสุด ห้ามนำเข้าข้อมูล "บิดเบือน" เสริมใจความเดิมในมาตรา 14 ที่ห้าม "ข้อมูลเท็จ"

15 ธ.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากระเบียบวาระการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ครั้งที่ 80/2559 วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559  ซึ่งมีเรื่องพิจารณาด่วน ให้ สนช.พิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พบว่า ในร่างกฎหมายที่เตรียมให้ สนช.ลงคะแนนในวาระ 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายก่อนประกาศใช้กฎหมายนั้น ได้มีการเพิ่มเติมถ้อยคำใหม่ คือคำว่า ข้อมูล "ที่บิดเบือน" เอาไว้ในมาตรา 14 (1)

ร่างกฎหมายฉบับเดือนธันวาคม 2559
มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา

อ่านร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เปรียบเทียบเวอร์ชั่น 26 เม.ย., 17 ส.ค. และ 30 ก.ย. 2559

ทั้งนี้  สนช. กำหนดจะพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในวันที่ 15 ธ.ค. ต่อมา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สนช. ให้สัมภาษณ์สื่อว่า จะมีการเลื่อนวาระการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ไปเป็นวันที่ 16 ธ.ค. แทน เนื่องจากการประชุม สนช.ในวันที่ 15 ธ.ค. มีวาระการพิจาณากฎหมายบางฉบับที่ต้องใช้เวลานาน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ซึ่งมีการลงนามคัดค้านกฎหมาย โดยมีผู้ลงชื่อใน change.org แล้วกว่า 277,821 ชื่อ (15 ธ.ค.เวลา 00.30 น.)

ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า 'ที่บิดเบือน' นั้นเพิ่มเข้ามาใหม่โดยเพิ่งปรากฏในร่างกฎหมายฉบับสุดท้ายวันที่ 9 ธ.ค.2559 ก่อนเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 นี้เอง ก่อนหน้านี้ที่ สนช.พิจารณาร่างในวาระก่อนหน้านี้ไม่เคยมีถ้อยคำนี้ปรากฏ อีกทั้งในเวทีรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ สนช.จัดขึ้นเมื่อ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ไม่มีผู้ใดเสนอให้เพิ่มเติมถ้อยคำนี้ และในรายงานการพิจารณากฎหมายก็ไม่มี สนช.คนใดที่ขอเสนอให้แปรญัตติเรื่องนี้

 

 

หมายเหตุ: มีการแก้ไขเนื้อหา เมื่อ 11.45 น. 15 ธ.ค.2559

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์: ภาพเสนอความเป็นชนบทในวรรณกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

$
0
0

ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อ่านวรรณกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 “ฟ้าถล่ม” “เสือใบ, เสือดำ” “แผ่นดินนี้ของใคร” “ไพรกว้าง” ที่นำเสนอภาพชนบทในยุคที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจขนานใหญ่ในสังคมไทย โดย “ชนบท” ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในสำนึกของชนชั้นกลางในเมืองมากขึ้นนำมาสู่วรรณกรรมที่เห็นชนบทเป็นพื้นที่เร่งเร้าธรรมชาติด้านดิบมนุษย์ พื้นที่รอการบุกเบิกพัฒนา และชนบทที่อ่อนแอ

นอกจากนี้วรรณกรรมอย่าง “ไพรกว้าง” ที่มีฉากจบอย่างอุดมคติ สอดคล้องกับแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจในยุคต่อมาคือรัฐและทุนร่วมมือกันพัฒนา อย่างไรก็ตามก็ยังมีวรรณกรรมที่จัดประเภทไม่ได้อย่าง “ฟ้าบ่กั้น” และ “ปีศาจ” ที่ไม่อยู่ในขนบเหล่านี้

คลิปนำเสนอของชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ หัวข้อ "ภาพเสนอความเป็นชทบทวรรณกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2"

 

ในการนำเสนองานวิจัย "โครงการวิจัยเมธีวิจัยอาวุโส พัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของความคิดว่าด้วยความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2559 ที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์นั้น

ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอหัวข้อ "ภาพเสนอความเป็นชทบทวรรณกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2" โดยมาจากงานวิจัยหัวข้อ "ความเป็นเมืองและความเป็นชนบทในวรรณกรรมไทยช่วง พ.ศ. 2475 ถึง 2501"

ชูศักดิ์เริ่มต้นการนำเสนอว่ามีประเด็นที่เรารู้กันเยอะคือความเป็นเมืองกับความเป็นชนบทที่ลามไปเป็นเรื่องแบ่งค่าย สีเสื้อ หรือความคิดที่ต่างกันระหว่างเมืองและชนบท จึงสนใจศึกษาประเด็นนี้ โดยพยายามย้อนกลับไปดูตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ดูเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2501 คือจนถึงการรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และมีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 มาใช้เป็นตัวแบ่ง และในส่วนที่แบ่งกันอีกช่วงคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึง พ.ศ. 2501 ก็เป็นจุดที่สำคัญอีกช่วง เพราะมีลักษณะพิเศษบางอย่าง

ชูศักดิ์เริ่มต้นอธิบายจากการเห็นตู้ไปรษณีย์ที่มีการเปิดประเด็นในนิตยสารสเกล ชูศักดิ์กล่าวว่าตู้ไปรษณีย์ที่เราเห็น มีช่องแบ่งรับจดหมายเป็น "กรุงเทพฯ" กับ "ที่อื่น" มันเหมือนกับว่าทุกที่ๆ ไม่ใช่กรุงเทพฯ เป็นที่อื่น ซึ่งผมไม่เคยสะดุดใจมาก่อน มันหมายความว่ากรุงเทพฯ แยกออกจากทุกที่ในประเทศไทยเลยหรือ นี่คือพูดจากจุดของคนกรุงเทพฯ และความเป็นเมืองกับชนบทก็ถูกมองในลักษณะนี้่่ว่าเป็นที่อื่น ไม่ใช่เมือง

โดยชูศักดิ์กล่าวต่อไปว่า นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ต่อการมองเรื่องเมืองและชนบท โดยเสนอไว้ว่า วัฒนธรรมไทยในอดีต "ไม่มีความคิดลึกซึ้งที่นิยมชมชอบ หรือยกย่องเชิดชูชนบท หรือแม้แต่เกษตรกรรมที่ทำกันในชนบท" โดยชูศักดิ์กล่าวต่อมาว่า ในวัฒนธรรมไทยเราไม่มีคติเรื่องชนบทนิยม หรือสังคมชนบท หรือชีวิต วิถีชนบท เป็นอุดมคติหรือเป็นอะไรที่ดูสวยงาม ไม่มีในสังคมไทย ในปัจจุบันอาจจะมีแต่ในอดีตไม่มี ไม่เหมือนของฝรั่งที่มีแนวคิดการสร้างภาพสังคมอุดมคติ ที่อิงอยู่กับวิถีชีวิตแบบชนบท แบบแนวคิดพาสเทอรอล (Pastoral) เป็นเรื่องราวของชีวิตในชนบท เลี้ยงแกะ อยู่กับธรรมชาติ มีความสุขสงบอะไรทั้งหลาย แต่ในสังคมไทยในอดีตเราไม่มีคตินี้ ลองนึกถึงสังคมอุดมคติแบบวัฒนธรรมไทย อย่างยุคพระศรีอาริย์ก็ไม่ใช่ชนบทนิยมแบบเอาชนบทเป็นต้นแบบ เพราะเป็นสังคมค่อนข้างเป็นเมืองด้วยซ้ำไป คนอยู่กันหนาแน่น มีความอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องทำการผลิต เพราะมีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง อย่างได้อะไรก็ไปเด็ดเอา เป็นต้น

นิธิ อธิบายต่อว่าทำไมสังคมไทยจึงไม่มีคติเรื่องชนบทนิยม ในวัฒนธรรมไทยมีความเข้าใจเกี่ยวกับเมือง บ้าน และป่าในชุดหนึ่งที่ต่างจากแนวคิดชนบทนิยม คือเชื่อว่า "เมืองคือพื้นที่ซึ่งมีระเบียบ อันแสดงออกด้วยมารยาท อาชญาสิทธิ ภาษา การแต่งกาย และศาสนา ชีวิตคนในเมืองจึงมีความมั่นคงปลอดภัยสมกับเป็นชีวิตมนุษย์"

ขณะที่บ้านและป่า คือพื้นที่ซึ่งขาดระเบียบ ถูกครอบงำด้วยผีนานาชนิด ในทางสังคมก็แทบจะหาระเบียบอะไรไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นมารยาท ภาษา การแต่งกาย ประเพณีที่กำกับชีวิตก็ง่ายเสียจนไม่ได้กำกับธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งก็คือกิเลส ตัณหา

ชูศักดิ์กล่าวต่อว่า นี่คือฐานที่อาจารย์นิธิเสนอว่า ในสังคมไทย ชนบทไม่เคยมีภาพของสังคมอุดมคติอยู่

 

"ชนบท" จากรากศัพท์ และในพจนานุกรมเดิม

ชูศักดิ์กล่าวถึงรากศัพท์ของ "ชนบท" ในภาษาไทย โดยมาจากคำว่า "ชณปท" ในภาษาบาลี ซึ่งมีทั้งความหมายแคบและกว้าง แปลว่า ตำบลก็ได้ แปลว่า ถิ่นประเทศก็ได้ หรือที่ๆ คนไปถึง แต่ในสังคมไทยมีนิยามอยู่ 2 ความหมายหากใช้พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเป็นตัวตั้ง โดย พจนานุกรมฉบับ พ.ศ. 2493 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พิมพ์พจนานุกรมนิยามชนบทว่า "บ้านนอก" คือที่ห่างไกลความเจริญก็เรียกว่าชนบท พอมาถึงพจนานุกรมปี พ.ศ. 2525 นิยามเพิ่มความหมาย โดยนอกจาก "บ้านนอก" แล้วยังเพิ่มความหมายว่า "เขตแดนที่พ้นจากเมืองหลวงออกไป" ทำให้ชวนคิดว่าเหมือนตู้ไปรษณีย์ที่ผมบอกว่า ทุกที่กลายเป็นชนบทหมด เท่ากับว่าถ้าไม่ใช่เมืองหลวงเสียแล้วก็เป็นชนบทไปหมด ประเทศไทยมีเมืองอยู่เมืองเดียวคือกรุงเทพฯ ที่เหลือคือที่อื่น คือชนบทหมด ถ้าเราเชื่อตามนิยามของคำว่า "ชนบท" ในพจนานุกรม พ.ศ. 2525

พอไปดูความหมายของคำว่า "ชณบท" ในพจนานุกรม "สัพะ พะจะนะ พาสา ไท" บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ เมื่อ พ.ศ. 2397 โดยนิยามชณบทว่า "village/หมู่บ้าน" หรือ "castle/ปราสาท" ก็ได้ ก็ยังคล้ายๆ กับภาษาอังกฤษคำว่า "country" ในความหมายของพื้นที่ห่างไกลจากเมือง หรือจะแปลว่าทั้งประเทศก็ได้ ก็อธิบายได้ความหมายของชนบทในภาษาตะวันตกจึงอิงกับนิยามที่สะท้อนว่าเขามองชนบทในฐานะที่เป็นสังคมอุดมคติ ขณะที่ภาษาไทยมองคำว่า "ชนบท" ในความหมายแคบ คือแปลว่า บ้านนอก หรือ พ้นไปจากเมืองหลวง

นี่เป็นฐานคิดที่ใช้ในการมองงานวรรณกรรมไทย และเราจะพบว่าเหตุใดภาพนำเสนอชนบทในวรรณกรรมไทยจึงมีลักษณะบางอย่าง และไม่มีภาพของสังคมอุดมคติในวรรณกรรมที่พูดถึงชนบทเลย

อีกข้อเสนอหนึ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเราเทียบคู่ตรงข้ามระหว่าง "เมือง" และ "ชนบท" ก็มักพบว่าชนบทมักถูกสร้างให้ตรงกันข้ามกับเมือง เช่น ห่างไกลอารยธรรม ใกล้ชิดธรรมชาติ คนโอบอ้อมอารี ขณะที่เมือง มีความเจริญ ห่างไกลธรรมชาติ ใกล้วัฒนธรรม คนมีชีวิตวุ่นวาย คนต้องแข่งขัน

เลยมีข้อเสนอว่าเอาเข้าจริงแนวคิดว่า "ชนบท" ไม่ใช่สิ่งที่มาก่อนเมือง หากคิดโดยสามัญสำนึกว่าสังคมมนุษย์พัฒนาจากชนบท พอซับซ้อนขึ้นก็กลายเป็นเมือง แต่ผมคิดว่าพอคิดในเชิงแนวคิด (concept) มันกลับสวนทางกันคือ "ความเป็นชนบทไม่ใช่สิ่งที่มาก่อนเมือง เมืองต่างหากที่สร้างความเป็นชนบทขึ้นมา" คือเมื่อสังคมเมืองไปสร้างกรอบคิดเรื่องความเป็นชนบท ทำให้ชนบทเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเมือง ถ้าใครศึกษาแนวคิด Orientalism ก็จะพบวิธีการอธิบายความเป็นตะวันออก คือสิ่งที่ตะวันตกสร้างเพื่อนิยามตัวเองว่าไม่ใช่ตะวันออก ผมคิดความเป็นเมืองกับความเป็นชนบทก็ใช้กรอบนี้อธิบายได้ คือความเป็นชนบทคือสิ่งที่สังคมเมืองสร้างขึ้นมา เพื่อบอกว่าตัวเองไม่ใช่ชนบท คือการจะนิยามตัวเองว่าเป็นใครในสังคมเมือง วิธีง่ายสุดคือนิยามว่าไม่ใช่คนชนบท และสร้างความเป็นชนบทขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 กรอบนี้ชูศักดิ์จะใช้พิจารณาวรรณกรรมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง พ.ศ. 2501

 

ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยบริบทสังคมไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเรื่องน่าสนใจมาก ซึ่งหลายเรื่องเราจะไม่ได้เห็นอีกแล้วในหลังจากนั้น กล่าวคือมีความปั่นป่วนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อให้เกิดการจัดระเบียบสังคมใหม่หรือสังคมเก่าขึ้นมา ทุกพื้นที่ในโลก และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีการจัดระเบียบ หลายประเทศที่เป็นอาณานิคมเริ่มประกาศตัวเป็นเอกราช ในสังคมไทยก็อยู่ในกระแสนนั้นเช่นกัน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นช่วงสงครามนำไปสู่การจัดระเบียบสังคมใหม่ แต่ในกรณีของไทยนั้นมีข้อน่าสังเกตคือขณะที่สังคมประเทศเพื่อนบ้าน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนำไปสู่ลักษณะก้าวหน้าเช่น ประกาศเอกราช หรือเป็นสาธารณรัฐ ขณะที่สังคมไทยประหลาดตรงที่มีกระแสโต้กลับ คือกลุ่มอำนาจเก่าฟื้นขึ้นมาและพาสังคมย้อนหลังกลับไป ซึ่งประหลาดกว่าเพื่อนบ้านของเรา

ในทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการจัดระเบียบสังคมใหม่ (หรือเก่า) ขึ้น เช่น มีการแย่งชิงอำนาจของหลายกลุ่ม เช่น มีกลุ่มนิยมเจ้าฟื้นตัวขึ้นมาหลัง 2475 พรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นในช่วงนี้ มีกลุ่มทหารแนวใหม่ที่นำโดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งต่างจากกลุ่มของคณะราษฎรคือพวกนี้ไม่ได้จบต่างประเทศ จึงไม่มีสปิริตประชาธิปไตยแบบกลุ่มคณะราษฎร มีกลุ่มตำรวจอย่าง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่มีอำนาจมาก มีกลุ่มคณะราษฎรที่แบ่งเป็น 2 สายคือสายปรีดี พนมยงค์ และ ป.พิบูลสงคราม แล้วยังมีฝ่ายซ้ายคือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ช่วงสั้นๆ พคท. เป็นพรรคการเมืองถูกกฎหมายและมี ส.ส.ในรัฐสภา เพราะไทยอยากเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เลยต้องยกเลิก พ.ร.บ.ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 มีนักคิดนักเขียนเสรีนิยมจำนวนมาก

ในระดับโลกสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามาในสังคมไทย พยายามเข้ามามีบทบาท ส่วนอังกฤษที่มีบทบาทอยู่เดิมก็พยายามรักษาบทบาทอำนาจตัวเองในไทยด้วย ส่วนจีนและรัสเซียก็เข้ามาตามทางของสายพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นในแง่นี้ การเมืองยุคนี้น่าสนใจ มีกระแสความคิดหลายความคิดที่ตอบโต้ โต้แย้งกัน แต่ละกลุ่มมีสิ่งพิมพ์ของตัวเอง ผมคิดว่ายุคนี้น่าสนใจมากเพราะความคิดหลากหลายแนวปะทะสังสรรค์ในพื้นที่สาธารณะที่เป็นสื่อ และในงานวรรณกรรมก็เกิดวรรณกรรมหลายแบบที่น่าสนใจ

ในทางเศรษฐกิจมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ พยายามทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มตัวและขอบเขตเกิดขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีนัยยะต่อประเด็นชนบท ก็คือเกิดแนวคิดของการพัฒนาเศรษฐกิจไทย 2 กลุ่มใหญ่ที่นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสรุปกัน หนึ่ง มีแนวโน้มไปสู่การพัฒนาแบบ “ทุนนิยมโดยรัฐ” หรือบางสำนักเรียก “ทุนขุนนาง” คือเอากิจการทั้งหมดเป็นของรัฐ แล้วรัฐเข้าไปจัดการ ซึ่งรัฐวิสาหกิจก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ หรือ สอง การพัฒนาแนวทางทุนนิยมเอกชน หรือ “ทุนนิยมเสรี” บางพวกก็เรียกว่า ทุนนิยมนายธนาคาร ก็แข่งกัน 2 แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

ก็คือประเทศไทยเริ่มพัฒนาไปสู่แนวทางพัฒนาเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรกรรมเป็นหลัก คือ ข้าว ข้าวโพด หรือพืชผลทางเกษตรทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบพัฒนาที่ไม่สมดุลคือเน้นพัฒนาเมือง อุ้มอุตสาหกรรม และส่งเสริมการส่งออก คือให้ชนบทลำบากหน่อย แล้วพัฒนาเมืองกับอุตสาหกรรมขึ้นมา แล้วภายหลังคนต่างจังหวัดจะเจริญขึ้นเอง เป็นโมเดลของการพัฒนาที่ไม่สมดุล ตัวอย่างที่คนชอบยกก็คือ กรณีการเก็บพรีเมียมข้าวเพื่อที่จะกดราคาข้าวในประเทศให้ต่ำและกดค่าแรงให้ต่ำ เพื่อจะเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือเพื่อที่รัฐจะได้มีเงินไปพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคที่จะส่งเสริมการอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ซึ่งมีนัยยะสำคัญต่อชนบท เพราะทิศทางและแนวทางการพัฒนาแบบนี้ทำให้ชนบทในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

กล่าวคือเปลี่ยนการผลิตเพื่อยังชีพซึ่งพอมีมากในชนบทกลายเป็นผลิตเพื่อการค้า ชนบทถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก ในช่วงนี้มีการบุกรุกที่ทำกินมากขึ้น มีการอพยพมาขายแรงงานในเมืองมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนแรงงานอพยพจีนที่ถูกจำกัดจำนวนไว้และท้ายที่สุดก็หายไปเลย โดยเฉพาะหลังจีนเปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อ พ.ศ. 2492 เพราะฉะนั้นในเมืองเดิมไม่ค่อยมีคนชนบทอยู่ เขาก็อยู่ชนบทกันได้ไม่ลำบากอะไร แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีคนจากชนบทมาอยู่ในเมืองมาก ทำให้เมืองกับชนบทใกล้กันมากขึ้น มาเป็นคนรับใช้ คนขี่รถสามล้อ คนงานทั้งหลาย คนเมืองก็รู้จักคนบ้านนอกมากขึ้นแล้วล่ะ แต่ขณะเดียวกันการพัฒนาที่ไม่สมดุลทำให้ช่องว่างระหว่างชนบทกับเมืองห่างขึ้นมาก ทำให้วรรณกรรมที่พูดถึงชนบทต่างออกไปจากวรรณกรรมที่มีมาก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2

 

การเกิดขึ้นของวรรณกรรมแนวใหม่ และ 3 แนวทางของการเล่าเรื่องชนบท

ในยุคนี้มีวรรณกรรมแนวใหม่เกิดขึ้น 2 แนว หนึ่ง วรรณกรรมแนวบู๊/หรือแนวต่อสู้ผจญภัย ก็คือบรรดา เสือใบ, เสือดำ ของ ป.อินทรปาลิต หรือแนววรรณกรรมชีวิตบุกเบิก เช่น แผ่นดินนี้ของใคร โดย ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ ไพรกว้าง โดย อรวรรณ หรือทุ่งมหาราช โดย เรียมเอง ก็เกิดในยุคนี้หมด คือเกิดวรรณกรรมชนิดใหม่ การบุกเบิกในชนบท และวรรณกรรมอีกแนวคือ วรรณกรรมผจญภัยในป่าลึก เช่น วรรณกรรมของน้อย อินทนทท์ เรื่อง ล่องไพร่ คือไปเที่ยวป่าเจอสัตว์ประหลาด

ปรากฏการณ์ของวรรณกรรมแนวใหม่ มีภาพอยู่กว้างๆ 3 แนวทางที่เกิดขึ้นในการนำเสนอเรื่องของชนบทก่อนถึง พ.ศ. 2501

กลุ่มที่ 1 ชนบทเป็นพื้นที่ในธรรมชาติ ที่เร่งและเร้ามนุษย์ คือชนชั้นกลางในเมือง ให้เผยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในกมลสันดานของตนเองออกมา เป็นงานที่มีไม่เยอะ จัดเป็นกลุ่มพิเศษ เช่น งานของ มาลัย ชูพินิจ ใน “ฟ้าถล่ม” ใช้ฉากต่างจังหวัด ทำให้มนุษย์ที่เป็นตัวละครชนชั้นกลางในเมือง ได้แสดงธรรมชาติความเป็นมนุษย์ แสดงกิเลส ตัณหา หรือรักโลภโกรธหลง ธาตุแท้ทั้งด้านดีด้านร้ายของมนุษย์ถูกแสดงออกมา เช่น "ฟ้าถล่ม" เพื่อนฆ่าเพื่อน หรือทิ้งคนรักของตนได้ คือธรรมชาติเป็นพื้นที่พิเศษ ที่ทำให้คนแสดงกมลสันดานมนุษย์ ตัวชนบทเองหรือพื้นที่ไม่ได้มีความหมายดีหรือเลวในตัวมันเองถ้ามองในกรอบนี้ ถ้าเทียบกับงานของฝรั่งอย่าง “Lord of the Flies” ของ William Goldingที่เอาคนเข้าไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง และคนก็จะแสดงสันดานดิบของตัวเองออกมา

อาจจะพูดได้เพราะพื้นที่เช่นนั้น ไม่มีระเบียบแบบแผนใดๆ ทั้งสิ้นเลย เป็นพื้นที่พิเศษบางอย่าง งานในสังคมไทยก็เช่นงานของมาลัย ชูพินิจที่แสดงออกเช่นนี้

กลุ่มที่ 2 เป็นงานที่มีมากเป็นพิเศษ คือกลุ่มแนวบู๊ แนวชีวิตบุกเบิก หรือแนวต่อสู้ คือมองชนบทเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่รอให้มนุษย์ไปพัฒนาและหาประโยชน์ อาศัยความรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ชนบทได้

กลุ่มที่ 3 ชนบทอ่อนแอ ล้าหลัง โง่ และงมงาย ที่น่าสนใจคือวรรณกรรมจะใช้ตัวละครผู้หญิงให้เป็นตัวแทนชนบท ที่มีลักษณะเป็นที่ต้องตาของผู้ชาย และมักช่วยตัวเองไม่ได้

ในงานแนวผจญภัยของ “น้อย อินทนนท์” ซึ่งเป็นนามปากกาหนึ่งของมาลัย ชูพินิจ พูดถึงป่าลึกที่ไม่ใช่ชนบท เป็นอะไรที่ไกลออกจากชนบทอีกที ที่เกิดขึ้นเช่นนี้เพราะชนบทถูกทำให้เชื่อง เป็นส่วนหนึ่งของคนเมือง หรืออยู่ในการรับรู้ของคนเมืองไปเสียแล้ว ไม่ใช่พื้นที่อื่นแล้ว งานยุคนี้เลยเกิดงานแนวผจญภัย เพราะต้องการจะสร้างอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งอยู่นอกจากที่มนุษย์รับรู้ พื้นที่ป่าถูกนำเสนอในฐานะพื้นที่ของความเป็นอื่น เนื้อเรื่องจะเต็มไปด้วยเรื่องลึกลับ ผีสางนางไม้ เสือสมิง ควายดำ ไดโนเสาร์ ฯลฯ

คราวนี้จะลองดูกลุ่มงานพวกวรรณกรรมแนวบู๊ แนวบุกเบิก ที่เกิดในยุคนี้และบอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นชนบทพอสมควร ข้อสังเกตคือเมื่อเทียบกับงานยุคก่อนหน้านี้ พบว่าชนบทในยุคนี้ ชนบทครอบคลุมสถานที่ไปหมดตั้งแต่เหนือจรดใต้ เชียงราย นครสวรรค์ กำแพงเพชร ลพบุรี เบตง สงขลา ชายแดนภาคใต้ ซึ่งผิดไปกับงานก่อนหน้านี้ที่ฉากสถานที่อยู่ในพระนครเป็นหลัก ที่ต่างจากก่อนหน้านี้อีกก็คือ ชนบทไม่ใช่พื้นที่วางเปล่า ไร้ตัวตนเหมือนงานก่อนหน้านี้ คือต่างจังหวัดถูกอ้างในฐานะพื้นที่ๆ ตัวละครหลักจะไปอยู่เพื่อชุบตัว แต่ในยุคนี้จะเริ่มบรรยาย หรือใช้ฉากในชนบทมากขึ้น

คราวนี้ชนบทที่พูดกันยุคนี้ที่ดูแล้วมันน่าสนใจตรงที่ มันเป็นภาพของการต่อสู้อยู่ระหว่างทุนนิยมรัฐกับทุนนิยมเอกชนที่เข้าไปมีอำนาจเหนือชนบท เช่นในเรื่อง “เสือใบ” พ.ศ. 2490 โดยภาพรวมเสือใบเป็นจอมโจรสุภาพบุรุษ ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน แต่ถ้าไปดูรายละเอียด เสือใบในแง่หนึ่งปล้นคนรวย แต่คนรวยที่ถูกปล้นเป็นพวกพ่อค้า ทำนาบนหลังคน แต่ลักษณะพิเศษของเสือใบคือเขาเป็นคนนอกกฎหมายก็จริง แต่เอาเข้าจริงๆ เขาเป็นตัวแทนอำนาจรัฐพอสมควร เหมือนกองกำลังเชิ้ตดำของมุสโสลินี จัดระเบียบแบบทหาร ความสัมพันธ์ในกองโจรของเสือดำก็เป็นแบบทหาร อยู่เป็นค่ายทหารเลย กล่าวคืออุดมการณ์ที่ซ่อนอยู่ในชุดเสือใบ, เสือดำคือ “นายทุนเลว, รัฐดี” ในเรื่องเสือดำถ้าไม่จำเป็นจะไม่ฆ่าตำรวจ จะฆ่าเพื่อป้องกันตัวเองมากกว่า และให้ความสำคัญกับอำนาจรัฐมาก ในมุมของผมคือ มันแสดงให้เห็นถึงการที่รัฐเข้าไปมีอำนาจในชนบททั้งหมด แล้วเข้าไปมีอำนาจเหนือคนในพื้นที่

นวนิยายอีกเรื่องที่น่าสนใจในยุคนี้คือ “แผ่นดินนี้ของใคร” ของศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ เป็นแนวบุกเบิกชีวิต ตัวละครเข้าไปอยู่ในชนบท เข้าไปทำไร่สมัยใหม่ โดยใช้ใช้ความรู้สมัยใหม่ แล้วถูกเจ้าหน้าที่รัฐรีดไถในทุกระดับ ภาพของ “แผ่นดินนี้ของใคร” เป็นภาพที่ว่า คนทั่วไปมักจะมองว่าเป็นภาพชีวิตชนบทที่ถูกกลั่นแกล้งโดยรัฐ แต่สำหรับผมมองว่า ตัวละครเอกไม่ใช่ชาวบ้านชนบทแต่เป็นชนชั้นกลางในเมืองที่เข้าไปอยู่ในชนบทและต้องการพัฒนาในชนบทแต่ถูกกลั่นแกล้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ผมคิดว่าเสือใบและแผ่นดินนี้ของใครเป็น 2 ด้านของปรากฏการณ์นั้น คือการแข่งกันของทุนนิยมรัฐและทุนนิยมเอกชนที่เข้าไปมีอำนาจเหนือชนบท นวนิยาย 2 เรื่องนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็น 2 กระแสความคิดที่เกิดขึ้น

“ไพรกว้าง” เป็นวรรณกรรมที่บู๊พอๆ กับเสือดำ แต่เรื่องนี้จบลงด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐกับทุนเพื่อครอบครองชนบท ท้องเรื่องมีตัวเอกคือ โผน ไพรงาม มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ ต้องการบุกเบิกสร้างชีวิตในชนบท ต้องไปต่อสู้กับอำนาจในท้องถิ่น แต่ที่มันพิเศษกว่าคือ ตัวเอกจะร่วมมือกับรัฐ คือนายอำเภอและสรรพสามิต ในกวาดล้างผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ตัวเอกใช้ความรู้สมัยใหม่เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ผมคิดว่า “ไพรกว้าง” ซึ่งเขียนเมื่อ พ.ศ. 2499 เป็นสัญญาณบอกว่า ทุนกับรัฐจับมือกัน จากเดิมที่แข่งกันครองชนบทแล้วลงเอยว่าคนเมืองกับรัฐร่วมมือกันครอบครองชนบท ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่จะเกิดในปี พ.ศ. 2501 เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ขึ้นมา

ถ้าดูวรรณกรรมชีวิตชนบทเหล่านี้จะพบว่ามี 3 วงจร

วงจรที่ 1 พระเอกต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เอาชนะอุปสรรค ไปสร้างชีวิตใหม่โดยชนบทเป็นเป้าหมายของชีวิต เป็นสถานที่ซึ่งไปสร้างความเจริญได้ ทั้งงาน “เสือใบ” ของ ป.อินทรปาลิต และงาน “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ก็เป็นแนวนี้ โดยเรื่อง “ปีศาจ” จบลงที่พระเอก นางเอก จะไปอยู่ชนบท คือยุคนี้เป็นยุคที่เมืองเข้าไปเขมือบชนบท

วงจรที่ 2 เสนอภาพชีวิตชนบทว่าเมื่อชนชั้นกลางเข้าไปต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง

วงจรที่ 3 ไปประสบความสำเร็จในชนบท แต่ความสำเร็จนี้ต้องร่วมมือระหว่างรัฐ ทุน และความรู้สมัยใหม่

 

เรื่องเล่าแม่บทของชนบทในยุคนี้ เป็นอุปมาของการสยบชนบทให้อยู่ภายใต้รัฐและเมือง สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนายุคนี้ที่ดึงชนบทเข้ามาในเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก ภาพชนบทถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เมืองและรัฐจะเข้าไปกอบโกย

กลุ่มที่ 2 นำเสนอภาพชนบทว่าเป็นสังคมที่ล้าหลังและโง่เขลา พบว่า “ไพรกว้าง” พูดถึงการเข้าไปครอบครองชนบทของตัวเอกคือได้เป็นเจ้าพ่อ หรือผู้นำชนบท ก็ด้วยการสยบอำนาจท้องถิ่น และจำกัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของของพื้นที่นี้คือ “เจ้าพ่อไก่ต่อ” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในพื้นที่ และตัวเอกต้องไปพิสูจน์ว่าความรู้สมัยใหม่นั้นเหนือกว่าความเชื่อเรื่องอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์

นี่เป็นคำที่ผมยกมาจากหนังสือเรื่องนี้ “คนเหล่านั้นก็เหมือนเรา" โผนให้สติ … คือมันมีแนวคิดเรื่องคนเหมือนกันอยู่เพราะได้แนวคิดฝ่ายซ้ายมา เป็นเรื่องปกติมากที่คนจะพูดอะไรแบบนี้ แล้วก็จะต่อว่า "เป็นมนุษย์เหมือนเรา ผิดแต่ว่าเขาโง่เขลากว่าเรา เขาอยู่อย่างไม่รู้อะไรเป็นอะไร พระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกเป็นเรื่องเขารู้ ฝิ่นมาจากไหนเขาไม่รู้ แต่เขาสูบเขากิน ผ้านุ่งผ้าห่มปีหนึ่งบ้านเดียวทำไม่ได้ผืนเดียว ถ้าขาดเขาซื้อ ราคาทุนเท่าไหร่กับเท่าไหร่ที่เขาเสียไปเขาไม่รู้” คือเศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจเพื่อการค้าแล้ว

และความโง่เขลาเบาปัญญาจะมาพร้อมกับความอ่อนแอ ภาพชนบทของยุคนี้จะถูกนำเสนอผ่านอุปมา หรือภาพที่ว่าชนบทเป็นเพศหญิง และคนที่จะเข้าไปพัฒนาคือเมืองเป็นเพศชาย อย่างวรรณกรรม “ทุ่งรวมทอง” มีคำบรรยายว่า “ท้องทุ่งอร่ามไปด้วยต้นข้าว ลึกเข้าไปคือไพรกว้าง ขุนเขาทะมึนอยู่ขอบฟ้าเป็นหลั่น” “...แต่เบื้องหลังก็คือทรัพยากรอันมีค่า” อันนี้ชัดเจนคือมองชนบทเป็นแหล่งทรัพยากร “...ที่รอคอยชายอกสามศอกจะแหวกกำแพงแห่งความยากลำบากไปขุดค้น” ภาพแทบจะเหมือนกับภาพผู้ชายสอดใส่สอดแทรกตัวเองเข้าไปในพื้นที่ชนบท ซึ่งงานหลายชิ้นมีลักษณะว่าจะสร้างตัวละครผู้หญิงที่อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ในวรรณกรรม “แผ่นดินนี้ของใคร” ก็จะมีตัวละครชื่อ “กุณฑลี” เป็นภรรยาของเจน วนาสัย ที่ไปอยู่ชนบท ตลอดเรื่องผู้ชายเห็นก็อยากครอบครองเธอ แล้วในเรื่องจบที่ถูกนายอำเภอปลอมตัวเป็นโจรเข้าไปปล้นและแทงเธอตาย

ในเรื่อง “ไพรกว้าง” ก็มี “คำหวาน” ตัวละครหญิงที่เป็นลูกสาวผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นที่หมายปองจากชายสามคน ทั้งโผน จ่ากล่ำ นายสมิธซึ่งเป็นตัวแทนทุนต่างชาติที่ทำสัมปทานไม้ก็อยากได้คำหวานเป็นเมีย เหมือนชนบทถูกแสดงผ่านผู้หญิงที่อ่อนแอและเป็นที่หมายปอง

เรื่องไพรกว้างจบด้วยชัยชนะของตัวเอก และเห็นความเจริญรุ่งเรืองของชนบท แต่ว่าเราจะเห็นเลยว่าคติในยุคนั้นจะไม่เหมือนยุคเราที่เป็นยุค “รักธรรมชาติ” ความเจริญของเขาคือ พื้นที่เจริญขึ้น คนงานป่าไม้เพิ่มจำนวน ทางเกวียนกลายเป็นทางโล่ง มีบ้านคนอยู่เต็มไปหมด เสือที่เดินตัดทุ่งหายไปแล้ว มีแต่เสียงโค่นต้นไม้ เสียงเลื่อยไม้ ดังก้องอยู่ในดงทึบ คือเป็นเสียงของความเจริญเขาไม่ได้ถือว่าเรื่องตัดไม้เป็นเรื่องทำลายธรรมชาติ คือเป็นภาพอุดมคติของสังคมชนบทยุคนั้นคือมีความเจริญเข้าไปอยู่ในชนบท ผมคิดว่าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง พ.ศ. 2501 ไม่ได้มีภาพอุดมคติแบบ “ฉันอยากไปเป็นชาวนา” หรือชนบทเป็นที่ซึ่งทุกคนโอบอ้อมอารี ทุกคนอยู่ตามวิถีธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนยุคนั้นจินตนาการ ชนบทเป็นพื้นที่ๆ คุณต้องไปครอบครองและทำให้เจริญ

คือภาพแบบอุดมคติ จะเกิดในยุคหลังจากนี้ เมื่อเมืองเจริญมากขึ้น เลยอุปโลกไปสร้างพื้นที่ชนบทอุดมคติที่เขาโหยหา ซึ่งไม่มีอยู่จริง และไม่ใช่อุดมคติที่มีมาแต่ก่อนในสังคมไทย

 

"ปีศาจ" และ "ฟ้าบ่กั้น" เรื่องที่จัดประเภทไม่ได้

ความจริงมีเรื่องอีก 2 เรื่อง ผมไปดูงานอีกกลุ่มในยุคนี้เหมือนกันที่ไม่เคยถูกจัดมาอยู่ในงานยุคนี้ เช่น “ฟ้าบ่กั้น” ของลาว คำหอม เป็นงานช่วงก่อนปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ คือเหมือนดูเป็นงานธรรมดา พูดถึงยากแค้นของชนบท ชนบทถูกรุกรานโดยเมือง ซึ่งก็ประเภทเป็นงานที่เราพบในงานหลัง พ.ศ. 2501 แต่ถ้าพิจารณางานของเขาในช่วงเดียวกันคือช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะพบว่า “ฟ้าบ่กั้น” มันเสนอในสิ่งที่สวนทางกระแสหลัก คือเสนอว่า ชนบทที่คนเมืองเข้าไปมันสร้างความพินาศอย่างไรให้ชาวบ้าน แล้วชาวบ้านเรียกร้องต่อสู้อย่างไร ในวิถีทางที่เขาทำ ประเด็นที่สำคัญในเรื่อง “ฟ้าบ่กั้น” ชี้ว่าการกำหนดยุคสมัยว่างานอยู่ยุคใดมันมีนัยยะต่อการประเมินค่าหนังสือพอสมควร

ผมยังมองว่า “ฟ้าบ่กั้น” เป็นสิ่งที่แปลกในยุคนั้น เพราะมันมองชนบทผ่านสายตาชาวบ้านในชนบท ขณะที่เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่า ทั้ง เสือใบ แผ่นดินนี้ของใคร ไพรกว้าง เป็นการมองผ่านสายตาคนเมือง “ฟ้าบ่กั้น” เลยพิเศษเพราะเล่าในมุมชาวบ้าน แล้วชาวบ้านมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเรื่องนวนิยายทั้งหลายแหล่ที่พูดถึงในชนบท คือ พิพักพิพ่วน เพราะว่าเราไม่รู้จะทำอย่างไรกับชาวบ้านพวกนี้ เพราะปฏิกิริยาจากชาวบ้านตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดไว้

อีกเรื่องคือนวนิยาย “ปีศาจ” ก็อยู่ในกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มนวนิยายก่อน พ.ศ. 2501 เช่นกัน และมีลักษณะพิเศษที่มีตัวละครที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองและชนบท มันเป็นทางออกใหม่ของการแบ่งแยกเมืองและชนบท คือ “สาย สีมา” เป็นชาวนาแต่มีความรู้เหมือนคนกรุงเทพฯ นำไปสู่สิ่งที่ผมเคยเขียนไว้คือ “ความเป็นคนพันธุ์ทาง” คือสาย สีมา สามารถสลายหรือตอบโต้อัตลักษณ์ของการแบ่งเมืองและชนบทได้ เพราะเขาเป็นผลผลิตของแนวคิดเรื่องเมืองและชนบท ในขณะเดียวกันก็ใช้ความเป็นเมืองและชนบทตอบโต้กรอบคิดนี้

ผมมาจบลงตรง “ฟ้าบ่กั้น” ในแง่หนึ่งเป็นเรื่องชาวบ้านก็จริง แต่พูดเชิงวรรณกรรม มีความเป็นพันธุ์ทาง (Hybrid) อยู่ คือแนวเขียนมันสมัยใหม่แบบฝรั่งเลย วิธีการเขียนของลาว คำหอม ไม่มีในสังคมไทยมาก่อน คือมีความ minimalism อย่างสูง ขณะที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวบ้าน ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นพันธุ์ทางผสมระหว่างตะวันตกกับบ้านนอก เรามักจะพูดถึง Global village ตัวนวนิยาย “ฟ้าบ่กั้น” นี้มีลักษณะอย่างนั้นอยู่ ทำให้เป็นสิ่งที่จัดประเภทได้ลำบากในสังคมไทยและวรรณกรรมไทย 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลทหารฯ สั่งพิจารณาลับคดีแชทเฟซบุ๊ก "จ้า" แม่จ่านิวปฏิเสธข้อหา 112 ขอต่อสู้คดี

$
0
0

 

‘แม่จ่านิว’  พัฒน์นรี (แฟ้มภาพ)

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลทหารกรุงเทพนัดถามคำให้การ ‘แม่จ่านิว’ หรือพัฒน์นรี จำเลยคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จากการตอบข้อความว่า “จ้า” โดยสั่งพิจารณาคดีลับ ก่อนพัฒน์นรีจะให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐาน 29 มี.ค. 2560

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า คดีนี้ อัยการทหารมีความเห็นสั่งฟ้องคดีเมื่อ 22 ก.ค. 2559 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2559 พัฒน์นรี  ร่วมกับบุรินทร์ พิมพ์ข้อความสนทนาโต้ตอบกันผ่านเฟซบุ๊ก โดยข้อความที่อัยการเห็นว่ามีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 มาจากบุรินทร์ฝ่ายเดียว แต่อัยการระบุในคำฟ้องว่า การกระทำของพัฒน์นรีและบุรินทร์เป็นไปโดยประการที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาทขณะนั้นเสื่อมเสียพระเกียรติ ชื่อเสียง ทรงถูกดูหมิ่นหรือูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท

เมื่อเริ่มกระบวนพิจารณาคดี อัยการได้แถลงขอให้ศาลสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ ศาลทหารกรุงเทพอนุญาต กระบวนพิจารณาคดีต่อจากนี้จึงอนุญาตเฉพาะอัยการ จำเลย และทนายความ อยู่ในห้องพิจารณาเท่านั้น เมื่อศาลอ่านคำฟ้องและถามคำให้การ พัฒน์นรีปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 29 มี.ค. 2559

ทั้งนี้ อัยการทหารแยกฟ้องพัฒน์นรีกับบุรินทร์เป็นคนละคดี ในส่วนของบุรินทร์ ศาลทหารกรุงเทพนัดสอบคำให้การเมื่อ 25 พ.ย. 2559 แต่บุรินทร์ได้ขอเลื่อนให้การต่อศาลเนื่องจากเพิ่งแต่งทนายความเข้ามาในคดี และขอปรึกษาทนายความก่อน ศาลทหารจึงอนุญาตให้เลื่อนนัดถามคำให้การไป 24 ม.ค. 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาน.ศ.มธ.ก็มา! จี้อธิการ-นายกสภา ช่วยยันหลักสิทธิเสรีภาพ #พรบคอม

$
0
0

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์กรณี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรียกร้องอธิการบดี-นายกสภามหาวิทยาลัย ในฐานะประชาคมธรรมศาสตร์และสมาชิก สนช. ยืนยันหลักสิทธิเสรีภาพ

15 ธ.ค. 2559 สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในสนช.ว่า อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของนักศึกษาและประชาชน พร้อมเสนอให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมธรรมศาสตร์และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ยืนหยัดในการดำรงไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงมีพึงได้ตามหลักการสากลและตามรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด

รายละเอียด มีดังนี้

แถลงการณ์สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เรื่อง
ข้อกังวลต่อกรณี ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ( ฉบับที่... ) พ.ศ. ...

จากกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะนำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ( ฉบับที่... ) พ.ศ. ... เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาวาระที่ 3 ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นที่กังวลของประชาชนว่าอาจเกิดการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหลายประการ อาทิ การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน การที่ศาลสามารถอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ การยึดคอมพิวเตอร์ และการถอดรหัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย อีกทั้งยังมีการให้ดุลยพินิจกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการในกรณีที่กระทบกับ การบริการสาธารณะ ความปลอดภัยสาธารณะ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งไม่มีการนิยามความหมายที่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดการตีความไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายได้

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะองค์กรที่ดำเนินงานในด้านสิทธิและเสรีภาพมาโดยตลอดมีความกังวลใจต่ออนาคตข้างหน้าว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของนักศึกษาและประชาชน จึงขอเสนอต่อ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมธรรมศาสตร์และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ยืนหยัดในการดำรงไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงมีพึงได้ตามหลักการสากลและตามรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยืนยันในพันธกิจหลักในการพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของนักศึกษาและประชาชน และขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ดำเนินการตามหลักการประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างยั่งยืน

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
15 ธันวาคม 2559

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกาศรางวัลศิลปินแห่งชาติปี 59 มีชื่อ “ศักดิ์สิริ มีสมสืบ-สมบัติ เมทะนี-ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี-ไพฑูรย์ ธัญญา”

$
0
0

กระทรวงวัฒนธรรม ประผลการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติประจำปี 2559 รวมทั้งหมด 12 คน รวม 3 สาขา ทัศน์ศิลป์-วรรณศิลป์-ศิลปะการแสดง รอรับพระราชทานเข็ม และโล่เชิดชูเกียรติ วันศิลปินแห่งชาติ 24 ก.พ. ปีหน้า

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2559 มติชนออนไลน์รายงานว่า  ที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประกาศผลการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2559 ว่า คณะกรรมการอำนวยการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ มีมติประกาศรายชื่อศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2559 รวม 12 คน ใน 3 สาขา ได้แก่

1.สาขาทัศนศิลป์ 4 คน ได้แก่ นางคำสอน สระทอง (ประณีตศิลป์-ทอผ้า), นายเดโช บูรณบรรพต (ภาพถ่าย), นางลาวัณย์ อุปอินทร์ (จิตกรรม) และ รศ.เสนอ นิลเดช (สถาปัตยกรรมไทยประเพณี)

2.สาขาวรรณศิลป์ 4 คน ได้แก่ นายกิตติศักดิ์ มีสมสืบ, นางชูวงศ์ ฉายะจินดา, นายธัญญา สังขพันธานนท์ และ ศ.พิเศษ เรืองอุไร กุศลาสัย

3.สาขาศิลปะการแสดง 4 คน ได้แก่ นายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี (ดนตรีไทยสากล), นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน), นายสมบัติ เมทะนี (ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) และนายหะมะ แบลือแบ (มะยะหา) (การแสดงพื้นบ้าน-ดีเกร์ฮูลู)

“จากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จะทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชวโรกาสนำศิลปินแห่งชาติทั้ง 12 คน เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รับพระราชทานเข็ม และโล่เชิดชูเกียรติ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันศิลปินแห่งชาติ หรือวันเวลาใดตามแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ศิลปินแห่งชาติทุกคนจะได้รับการดูแลจากรัฐบาล มีเงินเดือน มีการช่วยเหลือให้ และดูแลเมื่อเสียชีวิต ทั้งนี้ ในส่วนของ วธ.จะจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบเกี่ยวกับศิลปินแห่งชาติแต่ละท่าน” พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าว

ด้าน วีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการ วธ.กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มโครงการศิลปินแห่งชาติมาเมื่อปี พ.ศ.2527 มีศิลปินสาขาต่างๆ ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติแล้วรวม 266 คน และ พ.ศ.2559 จำนวน 12 คน รวม 278 คน เสียชีวิตแล้ว 120 คน มีชีวิตอยู่ 158 คน

00000

สำหรับประวัติของศิลปินแห่งชาติ ดังนี้

สาขาทัศนศิลป์

นางคำสอน สระทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์ – ทอผ้า) ปัจจุบันอายุ 77 ปี เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานด้านการทอผ้าแพรวา คิดประดิษฐ์รูปแบบการทอผ้าที่เรียกว่า “เขาลาย หรือ ตะกรอลาย” เป็นผู้นำกลุ่มทอผ้าไหมแพรวานำผ้าไหมแพรวายาวที่สุดในโลก 99 เมตร 60 ลาย ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และผ้าไหมแพรวาขนาดหน้ากว้างพิเศษ 80 เซนติเมตร ความยาว 9 เมตร จำนวน 10 ลาย รวม 43 แถว ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้ผ้าไหมแพรวาเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย

นายเดโช บูรณบรรพต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ปัจจุบันอายุ 63 ปี สร้างสรรค์ผลงานแนวชีวิตที่มีศิลปะ จนเป็นเอกลักษณ์ พ.ศ.2534 ได้รับโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ถ่ายภาพสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) เพื่อใช้ในการเผยแพร่ และได้ถวายงานมาโดยตลอดด้วยผลงานการถ่ายภาพที่โดดเด่นจึงได้รับหนังสือ จากสำนักพระราชวังโปรดเกล้าฯ ให้เป็นช่างภาพในการบันทึกพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการเสด็จเยือนต่างประเทศทั้งการเสด็จส่วนพระองค์ และการเสด็จแทนพระองค์

นางลาวัณย์ อุปอินทร์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) อายุ 81 ปี เป็นศิลปินและนักวิชาการที่มีชีวิตเรียบง่าย มีความชำนาญในการเขียนภาพเหมือนบุคคลเป็นพิเศษ ได้เขียนภาพบุคคลสำคัญๆ ไว้จำนวนมาก อาทิ นายชวน หลีกภัย นายจักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นต้น จนเป็นที่ยอมรับในสังคมและวงการศิลปะ และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานรับใช้ในการเขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ส่วนพระองค์ และพระสาทิสลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ในตำหนักต่าง ๆ อาทิ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นต้น

รศ.เสนอ นิลเดช ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรมไทยประเพณี) อายุ 82 ปี ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมจากความรักในวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โบราณคดี คติ-สัญลักษณ์ โดยใช้หลักการการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมคือศิลปกรรม ได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์ผู้บรรยายพิเศษเกี่ยวกับรายวิชาทางสถาปัตยกรรมไทยให้กับนักศึกษาตามสถาบันต่างๆ เป็นที่ปรึกษาและกรรมการของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทย อาทิ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และโครงการอนุรักษ์พระที่นั่งเวหาศจำรูญ เป็นต้น

สาขาศิลปะการแสดง

นายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล) อายุ 65 ปี มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีอย่างล้นหลาม เป็นหนึ่งในสมาชิกวงดนตรีเพื่อชีวิตที่โด่งดังอย่างคาราบาว ธนิสร์ได้เป็นผู้แต่งเติมสีสันให้งานเพลงคาราบาวในทุกบทเพลงมีคุณลักษณะเฉพาะมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างเช่นบทเพลง “เมดอินไทยแลนด์” ที่เสียงขลุ่ยได้ปลุกค่านิยมของความเป็นไทยขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ หรือเมื่อถึงคราวต้องเดินทางบนถนนดนตรีด้วยตนเอง ธนิสร์ได้นำ “ขลุ่ย” เครื่องดนตรีชิ้นแรกในชีวิตขึ้นมาปลุกให้คนไทยได้ร่วมอนุรักษ์ความเป็นไทยในงานเพลงของตนเองได้อย่างสวยงามอย่างเช่นบทเพลง “ทานตะวัน” หรือบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บทเพลง “ความฝันอันสูงสุด” เสียงขลุ่ยที่เป่าออกมาสามารถสะกดอารมณ์ให้เกิดความรักชาติโดยพลัน

นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน -ช่างฟ้อน) อายุ 70 ปี เริ่มต้นเรียนการฟ้อนจากบิดาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ได้รับการถ่ายทอดท่ารำต่างๆ รวมทั้ง ท่าฟ้อนสาวไหมซึ่งบิดา ต่อมาได้รับการถ่ายทอดท่ารำฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียนรำสีนวล ยวนรำพัด สร้อยแสงแดง ฟ้อนเงี้ยว จากนายโม ใจสม อดีตนักดนตรี และนาฏศิลป์ชั้นครูของ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ และช่วยปรับปรุงเพลงสาวไหมทางเชียงรายขึ้นต่อเนื่องจากของเดิมแปลงทำนองจากเพลงลาวสมเด็จ จนการฟ้อนสาวไหมกลายเป็นเอกลักษณ์การฟ้อนของชาวบ้านศรีทรายมูล และ จ.เชียงราย จวบจนปัจจุบันนำไปฟ้อนเข้ากับจังหวะของกลองสิ้งหม้องในการแห่ครัวทานในงานปอยหลวง งานทอดผ้าป่า งานกฐินตั้งแต่ พ.ศ.2510 เป็นต้นมา ได้นำฟ้อนสาวไหม และฟ้อนพื้นบ้านไปเผยแพร่ ในพื้นที่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะชมรมพื้นบ้านล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญทั้งการศึกษาวิจัย และการอนุรักษ์ลีลาการฟ้อนแบบดั้งเดิม และในกาลต่อมา นางพลอยศรีสรรพศรี อดีตนาฏกรในคุ้มเจ้าดารารัศมี และคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้นำท่าฟ้อนสาวไหมไปพัฒนาขึ้นเป็นสาวไหมอีกทางหนึ่งใช้ทำนองที่แตกต่างออกไปคือเพลงปั่นฝ้าย บรรจุเป็นการฟ้อนแบบหนึ่งในวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่

นายสมบัติ เมทะนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) อายุ 79 ปี เป็น “พระเอกตลอดกาล” นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครโทรทัศน์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ นักร้อง เป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นิยมการเพาะกายและรักษาสุขภาพ เริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิง เมื่อ พ.ศ.2503 โดยรับบทพระเอกละครโทรทัศน์ เรื่องหัวใจปรารถนา คู่กับวิไลวรรณ วัฒนพานิช จากนั้น พ.ศ.2504 จึงหันไปแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก คือ รุ้งเพชร ของกมลศิลปภาพยนตร์ คู่กับรัตนาภรณ์ อินทรกำแหงมีผลงานแสดงภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค 16 มม.ถึงยุคภาพยนตร์สโคป 35 มม.เสียงพากย์ในฟิล์ม และซาวด์ออนฟิล์ม ผ่านการร่วมงานกับนักแสดงชั้นนำ และผู้สร้าง-ผู้กำกับของวงการบันเทิงไทยมามากมาย เป็นนักแสดงยอดนิยม และผู้กำกับภาพยนตร์ ที่กินเนสบุ๊คบันทึกไว้ว่าเป็นนักแสดงที่รับบทเป็นพระเอกมากที่สุดในโลก โดยแสดงเป็นพระเอกถึง 617 เรื่อง

นายหะมะ แบลือแบ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-ดิเกร์ฮูลู) อายุ 67 ปี คิดว่าการแสดงดิเกร์ฮูลูเป็นศิลปะการแสดงที่ควรอนุรักษ์ พออายุย่าง 16 ปี เริ่มมีความสนใจดิเกร์ฮูลู มักจะติดตามคุณปู่ไปศึกษา และเรียนรู้ทุกครั้ง จนมีความสามารถแสดงดิเกร์ฮูลูได้ เมื่ออายุ 21 ปี จึงชวนเพื่อนๆ ในหมู่บ้านที่สนใจจัดตั้งคณะดิเกร์ฮูลูรุ่นใหม่ ชื่อว่าคณะมะลูกทุ่ง และเป็นหัวหน้าคณะที่มีอายุน้อยที่สุดได้แสดงบนเวที เป็นครั้งแรกด้วยท่วงท่าร้องรำที่แปลกไปจากการแสดงของคณะอื่นๆ โดยนำเพลงไทยลูกทุ่งมาขับร้องในทำนองเพลงพื้นเมืองมลายู นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คณะดิเกร์ฮูลูมะลูกทุ่ง ก็เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อคณะมะ ยะหา เพื่อต้องการให้ อ.ยะหา เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ผลงานการแสดงที่โดดเด่น คือการสอดแทรกสาระความรู้เข้าไปกับการแสดง และผสมผสานการขับร้องภาษาไทย และภาษามลายูท้องถิ่นด้วยจังหวะที่รวดเร็วทันสมัย สามารถสื่อสร้างความเข้าใจและเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียงได้บรรจุเรื่องการแสดงดิเกร์ฮูลู เข้าไว้ในหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียน

สาขาวรรณศิลป์

นายกิตติศักดิ์ มีสมสืบ นามปากกา ศักดิ์สิริ มีสมสืบ เป็นกวีผู้มีผลงานทั้งประเภทร้อยแก้ว และร้อยกรองสืบเนื่องอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลากว่า 3 ทศวรรษ ผลงานมีลักษณะสร้างสรรค์ และโดดเด่นในเชิงวรรณศิลป์ ทั้งด้านรูปแบบ เนื้อหา และความคิด กวีนิพนธ์มีทั้งประเภทที่มีฉันทลักษณ์ และไร้ฉันทลักษณ์ มีทั้งที่ดำเนินตามขนบ และต่างจากขนบดั้งเดิม โดดเด่นด้วยการสรรคำที่เรียบง่าย แต่มีลีลาและจังหวะที่เป็นอัตลักษณ์ สร้างสรรค์ลำนำเฉพาะตนอันทรงพลังสอดคล้องกับเนื้อหากระทบใจ และเร้าความคิดผู้อ่าน บทกวีมีความลุ่มลึกตีความหมายได้หลายระดับตามระดับความรับรู้ และประสบการณ์ของผู้อ่าน งานเขียนส่วนใหญ่นำเสนอภาพสังคมร่วมสมัยที่วิถีชีวิตผู้คนอาจเลื่อนไหลไปตามกระแสสังคมจนวัตถุครอบงำจิตวิญญาณ และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กวีนิพนธ์ของยังโดดเด่นด้วยลักษณะประสานศิลป์โดยใช้ศักยภาพด้านดนตรี และจิตรกรรมในการนำเสนอผลงาน ทั้งในรูปแบบหนังสือ และสื่อร่วมสมัยรูปแบบต่างๆ การอ่านขับขานบทกวีประกอบการแสดงดนตรี ทำให้สามารถเผยแพร่ได้ในวงกว้าง และเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้ทุกวัยโดยเฉพาะเยาวชน

นางชูวงศ์ ฉายะจินดา ปัจจุบันพำนักอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ เป็นนักเขียนนวนิยายสตรีที่มีผลงานพิมพ์เผยแพร่แล้ว 100 เรื่อง และหลายเรื่องได้รับความนิยมนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครวิทยุหลายครั้ง เช่น จำเลยรัก ตำรับรัก เทพบุตรในฝัน กามเทพหลงทาง เงาอโศก พระจันทร์แดง สุดสายป่าน กำแพงเงินตรา และเกิดเป็นหงส์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสั้น สารคดี เรื่องแปล นวนิยายส่วนใหญ่เป็นนวนิยายรักพาฝันนำเสนอปัญหามิติต่างๆ ของความรัก เน้นการนำเสนอตัวละครเอกฝ่ายหญิงที่เป็นแบบอย่างของกุลสตรีไทย มั่นคงในความรัก และความดีทำให้สามารถเอาชนะอุปสรรคในชีวิตได้ นอกจากจะทำให้ผู้อ่านได้รับความบันเทิงจากจินตนาการ และสำนวนภาษาที่ราบรื่นชวนอ่านแล้ว เน้นย้ำคติธรรมเรื่อง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” และมุ่งหวังให้ผลงานของตนสร้างความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์อีกด้วย

รศ.ธัญญา สังขพันธานนท์ นามปากกา ไพฑูรย์ ธัญญา เริ่มเติบโตทางความคิดหลังเกิดเหตุการณ์ “14 ตุลา” จากการอ่านวรรณกรรมจำนวนมาก จึงปรารถนาจะเขียนหนังสือบอกเล่าความคิดของตน เรื่องสั้นชื่อ “ความตายของปัญญาชน” เป็นเรื่องแรก หลังจากนั้นเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดในเวทีต่างๆ และมักได้รับรางวัลชนะเลิศ ผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกชื่อ ก่อกองทราย ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) พ.ศ.2530 จากนั้นมีหนังสือรวมเรื่องสั้น นวนิยาย หนังสือรวมบทกวี พิมพ์เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอจนถึงปัจจุบัน และได้รับรางวัลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ผลงานเรื่องสั้นหลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ งานเขียนเป็นวรรณกรรมวิพากษ์สังคม นำเสนอภาพความเป็นจริงของชีวิตคนเล็กคนน้อยในท้องถิ่นของไทย หลายเรื่องเสียดสีวิพากษ์สังคมอย่างรุนแรง

ศ.พิเศษเรืองอุไร กุศลาสัย ปัจจุบันอายุ 96 ปี จบการศึกษาปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุนวัฒนธรรมสัมพันธ์จากรัฐบาลอินเดียไปศึกษาภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาฮินดี และวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ที่มหาวิทยาลัยฮินดูพาราณสี ได้รับประกาศนียบัตรภาษาสันสกฤต และภาษาฮินดี เริ่มรับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนฝึกหัดครูมัธยม เกษียณอายุราชการจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มเขียนหนังสือในช่วงที่เข้ารับราชการใหม่ๆ ได้เขียนเรื่อง “ญี่ปุ่น-ไทยผูกพันพันธมิตร” ต่อมาใน พ.ศ.2493 ได้ร่วมงานกับนายกรุณา กุศลาสัย (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ.2546) แปล มหากาพย์พุทธจริตเป็นภาษาไทย หลังจากนั้นได้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกันในนามปากกา กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัยอีกหลายเรื่อง เช่น เมฆทูต ของ กาลิทาส และคีตาญชลี ของ รพินทรนาถ ฐากุร รวมถึง มีผลงานสร้างสรรค์ในนามของตนอีก 5 ประเภท ได้แก่ งานแปล และงานนิพนธ์เกี่ยวกับภารตวิทยา กวีนิพนธ์ และประวัติเพลง ตำรา คู่มือ หนังสืออ่านเพิ่มเติมของชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ เสียงร้องทำนองเสนาะ เพลงกล่อมลูก และเพลงต่างๆ ตลอดจนผลงานในลักษณะการเผยแพร่ความรู้ ผลงานนิพนธ์เหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สร้างสรรค์งานแปล และงานแต่งต่อเนื่องกว่า 5 ทศวรรษ ผลงานดังกล่าวเปิดประตูสู่โลกวรรณกรรมของอินเดีย และเปิดพรมแดนความรู้เรื่องภารตวิทยาแก่ผู้อ่านชาวไทย ไม่ใช่เพียงเพราะการคัดเลือกต้นฉบับที่เป็นผลงานชิ้นเอกของนักเขียน และกวีคนสำคัญของอินเดีย แต่เป็นเพราะการแปลที่ถอดความครบถ้วนถูกต้อง และใช้ภาษาไทยที่ไพเราะ ใช้วงศัพท์วรรณคดีที่มีความหมายรุ่มรวยล้ำลึก ผลงานนิพนธ์ทรงคุณค่าอย่างยิ่งในวงวรรณคดีไทย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดี 112 ‘เจ๋ง ดอกจิก’ เหตุจำเลยป่วย

$
0
0

15 ธ.ค.2559 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายยศวิศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เป็นจำเลยในข้อหาความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา วันนี้จำเลยไม่มาศาล ทนายจำเลยได้ยื่นใบรับรองแพทย์ต่อศาลพร้อมแจ้งว่า จำเลยมีอาการปวดท้องไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ศาลจึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปเป็นวันที่ 7 มีนาคม 2560

ก่อนหน้านี้ศาลก็ได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปแล้วครั้งหนึ่งเนื่องจากจำเลยไม่ได้รับหมายจากศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2553 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2556 เห็นว่าลักษณะท่าทางและคำพูดของจำเลยสื่อให้เห็นว่ายังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่า หรืออยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีก ซึ่งผู้นั้นต้องมีศักดิ์ฐานะที่สูงอย่างยิ่งองคมนตรีว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จำเลยจึงมีความผิดมาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี และขอให้ลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษ โดยระบุว่าจำเลยเคยร่วมกิจกรรมถวายพระพรเฉลิมพระเกียรติโดยตลอด ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2557 พิพากษายืน โดยเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ จึงสมควรให้ลงโทษไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ที่ศาลชั้นต้นให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษนั้นเหมาะสมแล้ว ขณะที่ระหว่างฎีกา นายยศวริศได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยจำเลยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 700,000 บาท

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>