Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live

ส.ว. อุปกิต : 'หมายจับ'กลายเป็น 'หมายเรียก'ความเงียบที่ไร้คำอธิบาย

$
0
0

เครือข่ายผู้สื่อข่าวองค์กรอาชญากรรมและการทุจริต (OCCRP) และประชาไทตรวจสอบข้อมูลกรณีหมายจับของอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีความสัมพันธ์กับ ‘ทุนมินลัต’ นักธุรกิจใหญ่จากพม่าที่ถูกจับในไทย ถูกเพิกถอนและเปลี่ยนเป็นหมายเรียกแทน พบเพียงความเงียบที่น่าจับตามอง

(หน้าสุด) อุปกิต ปาจรียางกูร

รายงานการเพิกถอนหมายเรียกถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อ 4 ต.ค. 2565 สำนักข่าวเมเนเจอร์ออนไลน์รายงานว่า หมายจับและหมายค้นที่ศาลอาญาอนุมัติเมื่อ 3 ต.ค. เพื่อให้ตำรวจเข้าตรวจค้นและจับกุมอุปกิตถูกถอนและเปลี่ยนเป็นหมายเรียกในวันถัดมา เมเนเจอร์ออนไลน์ลบข่าวดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ของตัวเองภายในวันที่เผยแพร่ แต่ยังคงหลงเหลือเนื้อหาอยู่ในช่องทางเผยแพร่ของเมเนอเจอร์ในแพลตฟอร์มของไลน์ ทูเดย์

อนึ่ง แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนาม มีข้อมูลและยืนยันกับประชาไทและ OCCRP ว่าศาลได้อนุมัติหมายจับอุปกิต และต่อมาก็ถูกเพิกถอนจริง ส่งผลให้สมาชิกวุฒิสภาคนดังกล่าวอยู่ในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหาในความผิดฐานสมคบ สนับสนุนหรือช่วยเหลือในการฟอกเงิน

เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเข้าตรวจค้นและจับกุมทุนมินลัต นักธุรกิจใหญ่ชาวพม่าที่มีข้อมูลว่าเป็นนายหน้าขายยุทโธปกรณ์และมีสายสัมพันธ์กับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องลาย ผู้นำคณะรัฐประหารพม่า ดีน ยัง จุนทุละ ลูกเขยลูกครึ่งไทย-อเมริกันของอุปกิตและผู้ต้องหาอีกสองราย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา 

ทั้งสี่ถูกตั้งข้อกล่าวหาฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ตรวจยึดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทด้วย 

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติแถลงว่า หลังจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ฝากขังผู้ต้องหาทั้งสี่แล้ว จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

เมื่อ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ได้ข้อมูลว่าทั้งสี่คนจะถูกฝากขังต่อไป หลังจากผ่านการฝากขังในผัดแรกไปแล้ว ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนอุปกิตยังไม่ได้เข้ามาให้การ ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการเดิม

“เราก็ฝากขังต่อไป เราฝากได้ 7 ฝาก ยังอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี สอบสวนอยู่”

“ยังไม่มีอะไรเลย ยังเหมือนเดิม” สรายุทธกล่าว 

อนึ่ง ผบช.ปส. ไม่ได้ให้คำตอบในเรื่องการเพิกถอนหมายจับของอุปกิต

(ใส่สูท ที่สองจากขวามือ) ทุนมินลัตในนิทรรศการการกลาโหมและความมั่นคง พ.ศ. 2652 ที่กรุงเทพฯ โดยยืนร่วมอยู่กับคณะทหารจากพม่าและ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย (ที่สองจากซ้ายมือ) ที่มาภาพ: Senior General Min Aung Hlaing/Government of Myanmar

แม้ไม่ค่อยมีการเผยแพร่ความคืบหน้าจากฝั่งตำรวจไทยมากนัก แต่ข้อมูลจากกลุ่มนักกิจกรรมจัสติซฟอร์เมียนมาร์ ได้เผยแพร่ข้อมูลตั้งแต่ 26 ก.ย.ว่าดีน ยัง และทุนมินลัต มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด (Allure Group Company Limited) ที่อุปกิตก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 เพื่อทำธุรกิจโรงแรมและคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็กที่ติดกับชายแดนไทย

นอกจากนั้น ข้อมูลของอัลลัวร์กรุ๊ปยังถูกพบอยู่ในกองข้อมูลมหาศาลที่อัพโหลดขึ้นบนโลกออนไลน์โดยกลุ่มนักกิจกรรมด้านความโปร่งใสชื่อ Distributed Denial of Secrets ตั้งแต่ปี 2564 ข้อมูลดังกล่าวระบุว่าอุปกิตได้ทำข้อตกลงกับพ่อของทุนมินลัต นายทหารที่เป็นอธิบดีกรมการท่องเที่ยวของพม่า โดยข้อตกลงดังกล่าวทำให้อัลลัวร์กรุ๊ปสามารถเช่าที่ดินจากกองทัพพม่าได้เป็นเวลานาน 30 ปี

ในส่วนของคาสิโนนั้นก็เป็นธุรกิจที่อยู่ภายใต้บริษัทสตาร์ แซฟไฟร์ กรุ๊ป (Star Sapphire Group) ของทุนมินลัต ซึ่งต่อมาถูกรัฐบาลสหราชอาณาจักรคว่ำบาตรในเดือน ส.ค. 2565 ด้วยเหตุผลว่าบริษัทดังกล่าว “เคยรับผิดชอบในการเป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าทางการทหาร”

ผู้แทนบริษัทของทุนมินลัตไม่ได้ตอบคำร้องขอสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าว ทางด้านอุปกิตไม่ได้ตอบข้อความขอสัมภาษณ์ในเฟซบุ๊ค นอกจากนั้น เมื่อสอบถามไปยังผู้ช่วยของอุปกิตตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ก็ไม่ได้ให้ความเห็น และไม่ตอบรับการขอนัดสัมภาษณ์

ประวัติของบริษัทระบุว่าอุปกิตลาออกจากอัลลัวร์กรุ๊ปในปี 2562 ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นวุฒิสภาจากคณะรัฐประหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยดีน ยัง เป็นผู้อำนวยการ (ผอ.) บริษัทต่อจากนั้น 

ทั้งนี้ ดีน ยัง ดูไม่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรม ชายคนนี้เคยเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพจากมลรัฐนิวเจอร์ซีย์และไม่มีประวัติอาชญากรรมเป็นที่ประจักษ์ในสหรัฐฯ ในปี 2558 เขาแต่งงานกับลูกสาวของอุปกิตและมาอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พร้อมกับลูกอีกสามคน 

สถานทูตฯ สหรัฐฯ ประจำประเทศไทยไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีความที่เกิดขึ้นกับดีน ยัง ได้ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว

“เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของสหรัฐฯ สำนักงานกงสุลสหรัฐฯ จึงไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับพลเมืองสหรัฐฯ หากไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร” นิโคล ฟอกซ์ โฆษกสถานทูตฯ ระบุ

จากการสืบค้นในเฟซบุ๊คส่วนบุคคลของดีน ยัง พบว่าเขาเคยมีประวัติทางการงานที่เกี่ยวข้องกับพม่าอยู่ โดยนับตั้งแต่ปี 2560 ผู้สื่อข่าวพบว่า ดีน ยัง ได้เดินทางไปยังนครย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่าและศูนย์กลางทางธุรกิจของพม่าอยู่หลายครั้ง โดยหนึ่งในการเดินทางของเขาถูกบรรยายว่าเป็นการเดินทางไปเพื่อ “ทำงาน” ทั้งนี้ ไม่มีรายละเอียดปรากฏว่าใครเป็นนายจ้างของดีน ยัง

มองย้อนกลับไปในอดีต นอกจากธุรกิจของอุปกิตที่มีอยู่ในพม่าแล้ว เฟซบุ๊คของอุปกิตยังมีภาพของตัวเขาร่วมเฟรมภาพอยู่กับชนชั้นนำในแวดวงการเมือง การทหารและธุรกิจของพม่าอีกด้วย

อุปกิต ปาจรียางกูร (ขวาสุด) ในภาพมีกลุ่มคนสวมเสื้อที่เป็นเครื่องแบบของกองทัพเรือพม่า  (ภาพจากเฟซบุ๊คของอุปกิต)

เมื่อ 27 ก.ย. อุปกิตให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ยืนยันว่ากิจการของเขาในพม่าในอดีตเป็นธุรกิจที่สุจริต ลูกเขยของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาตามที่ถูกกล่าวหา เท่าที่เขาทราบ ทุนมินลัตไม่มีประวัติด่างพร้อย และข้อมูลที่จัสติซฟอร์เมียนมาร์เชื่อมโยงเข้ากับโครงข่ายฟอกเงินและยาเสพติดนั้นเป็น “ข่าวปลอม”

“เท่าที่ผมรู้จักเขา (ทุนมินลัต) และเขาได้เล่ามาบ้างเกี่ยวกับธุรกิจที่เขาทำ และเท่าที่ผมรู้จักเขา เขาไม่มีประวัติด่างพร้อย ทางสถานทูตฯ เมียนมา ก็ทำหนังสือรับรองให้เขาหลังถูกจับกุม สถานทูตฯ เขาค้ำประกัน ไม่ใช่ผมค้ำประกัน”

“ที่สำคัญคือลูกเขยผม ไม่มีเลย ไม่มีเกี่ยวข้องอะไรเลยกับธุรกิจสีเทา ไม่มีเด็ดขาด คือตัวผมรับแรงเสียดสีแรงกระแทกได้ แต่ว่าสำหรับเด็กที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ผมก็ต้องกอบกู้ชื่อเสียงของเขาให้” อุปกิตกล่าวในรายการ

ในส่วนของการเพิกถอนหมายเรียก วันที่ 5 ต.ค. ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้ดำเนินรายการเจาะลึกทั่วไทยฯ กล่าวในช่วงต้นของรายการวันนั้นว่าหนึ่งคืนก่อนหน้านั้นมี “ฮอตไลน์ สายลึกลับ” ระบุว่าอุปกิตแจ้งมาว่าไม่ได้ถูกจับกุม เพียงแค่มีหมายเรียกจากศาลอาญาเรียกไปสอบปากคำบางเรื่อง และยืนยันว่า อุปกิตยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาเรื่องฟอกเงิน

เมื่อ 11 ต.ค. ประชาไทและ OCCRP สอบถามไปยังบรรณาธิการของเนเจอร์ออนไลน์ถึงเหตุผลการลบข่าวการเพิกถอนหมายเรียก ได้คำตอบว่าเขาไม่ทราบเรื่องการลบข่าวดังกล่าวเลย

รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าวว่าเขาไม่มีข้อมูลเรื่องการเพิกถอนหมายจับอุปกิต แต่ตั้งข้อสงสัยว่าข้อมูลความคืบหน้าของคดีที่เปิดเผยสู่สาธารณะนั้น “เงียบผิดปกติ” มีเพียงการรายงานข่าวจากสำนักข่าวในช่วงแรกแล้วก็เงียบไป

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นที่รู้จักในด้านการตั้งคำถามกับวงการสีกากี กล่าวด้วยว่าคดีนี้เป็นบททดสอบสำหรับกระบวนการยุติธรรมของไทยเมื่อเจอแรงกดดันในคดีความที่เกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจ

“เราอยากจะรู้ว่าการดำเนินคดีจะเป็นไปอย่างโปร่งใสแค่ไหน จะมีการช่วยเป่าคดีหรือไม่ ตำรวจต้องแถลง มีการให้ข้อมูลกับประชาชนถึงความคืบหน้า ไม่งั้นประชาชนอาจจะพูดได้ว่าสุดท้ายมันก็คือการดึงคดี ปล่อยให้คดีไม่มีอะไร แล้วอาจจะจับได้แค่คนไม่กี่คนเท่านั้น ในขณะที่ปลาตัวใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดไม่ได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด” รังสิมันต์กล่าว

คิงส์ลีย์ แอบบอต ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ) มองว่ายังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเหตุใดจึงมีการเพิกถอนหมายจับ

“อาจเป็นเพราะมีความผิดพลาดในทางกระบวนการแล้วถูกนักกฎหมายโต้แย้งก็ได้ หรืออาจเป็นเหตุผลอื่นก็ได้ เราไม่รู้เลย”

“แต่ในข้อเท็จจริงที่มีการออกหมายเรียกหมายความว่าพนักงานสอบสวนมีความสนใจที่จะคุยกับเขา (อุปกิต)” คิงส์ลีย์กล่าว

รายงานเพิ่มเติมโดยเควิน ฮอลล์ จาก OCCRP

สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมโดยคาริน่า เชดรอฟสกี จาก OCCRP 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เรียกร้องรัฐปกป้องเด็ก #การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ ต้องผิดกฎหมายไทย

$
0
0

มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ล่าชื่อเรียกร้องรัฐบาลต้องปกป้องเด็ก #การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (grooming) ต้องผิดกฎหมายไทย ให้เร่งออกกฎหมายปกป้องคุ้มครองเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการล่อลวงเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ ขอสังคมช่วยกันส่งเสียงและร่วมประกาศจุดยืนว่าเราต้องการกฎหมายที่ช่วยป้องกันก่อนที่จะเกิดเหยื่อ

13 ต.ค. 2565 มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทยได้สร้างแคมเปญออนไลน์ทางเว็บไซต์ Change.org หัวข้อ 'รัฐบาลต้องปกป้องเด็ก #การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (grooming) ต้องผิดกฎหมายไทย'โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หลายต่อหลายครั้ง ที่คนไทยต้องสลดหดหู่กับข่าวหลอกถ่ายคลิปลับอนาจารแล้วแบล็กเมลจนเด็กเครียดฆ่าตัวตาย กรณีคอสเพลย์อวตาร คนร้ายใช้บัญชีปลอมล่อลวงเด็กสาวในกลุ่มคอสเพลย์ ทักข้อความเข้าตีสนิทเด็ก 14 ขวบ ล่อลวงให้ส่งภาพโป๊ แล้วนำภาพกลับมาข่มขู่แบล็กเมลให้วิดีโอคอลลามกอนาจาร หากไม่ทำตามจะนำภาพไปเผยแพร่ เด็กเกิดความเครียดจนผูกคอตาย กรณีคนร้ายปลอมเป็นหญิงสาวล่อลวงนักเรียนชาย ม. 5 เปิดกล้องกระทำการทางเพศ ถูกอัดคลิปขู่รีดเงินหลายหมื่นจนเด็กเครียดยิงตัวตาย ยังมีกรณีเด็กถูกล่อลวงในห้องแช็ต เว็บไซต์หาคู่ การรับสมัครนางแบบนายแบบเด็ก แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องบังหน้าเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศเด็กหรือการค้ามนุษย์ 

คนร้ายใช้วิธีการเข้ามาตีสนิท สร้างความไว้วางใจโดยการให้เงินหรือสิ่งของ รวมถึงการมอบความรัก เติมเต็มสิ่งที่เด็กต้องการ จากนั้นชักชวนพูดคุยเรื่องเพศเพื่อให้เด็กคุ้นชิน ขอแลกเปลี่ยนภาพถ่ายหรือคลิปลับทางเพศ เมื่อสบโอกาสอยู่กันตามลำพังก็จะกระทำอนาจารหรือละเมิดทางเพศ แล้วถ่ายคลิปไว้ข่มขู่รีดเงินหรือบังคับให้บำเรอความใคร่อย่างต่อเนื่อง การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ เรียกว่า grooming

เด็กมักตามไม่ทันเล่ห์กล จึงตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจ หรือไม่อาจปฏิเสธ เพราะบางครั้งเด็กเชื่อว่านี่คือความรัก เป็นการทดแทนบุญคุณ เขาเป็นบุคคลที่น่านับถือ เป็นคนที่ให้งาน ให้เงิน เข้ามาดูแลตนและครอบครัว ฯลฯ อย่าลืมว่าคนร้ายมีทักษะขั้นสูงในการสื่อสารและโน้มน้าวชักจูง จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเด็กหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ภาพหรือคลิปที่หลุดไปขายในอินเทอร์เน็ต จะวนเวียนทำร้ายเด็กต่อไปแบบไม่มีวันจบ เด็กได้รับผลกระทบ ทั้งการถูกบูลลี่ สังคมตีตรา ที่แย่ที่สุดคือสร้างบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับเด็ก จนบางรายถึงกับทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายเพื่อยุติปัญหา เราจะรอให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกหรือ เด็กที่โชคร้ายอาจเป็นคนที่คุณรู้จักหรือลูกหลานของคุณ

จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถป้องกันการละเมิดทางเพศเด็กได้ โดยการลงโทษผู้ที่กำลังล่อลวงเด็ก โดยไม่ต้องรอให้เด็กถูกละเมิดทางเพศเสียก่อน หลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ หรือประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง ฟิลิปปินส์ ก็มีกฎหมายที่ล้ำสมัยในลักษณะนี้แล้ว 

มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันเรียกร้องไปยังรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งออกกฎหมายปกป้องคุ้มครองเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการล่อลวงเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ ขอสังคมช่วยกันส่งเสียงและร่วมประกาศจุดยืนว่าเราต้องการกฎหมายที่ช่วย ป้องกัน ก่อนที่จะเกิดเหยื่อ #groomingต้องผิดกฎหมายไทย

#กฎหมายลงโทษการล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ #groominglaw #groomingภัยร้ายที่ต้องหยุด #พอกันทีgrooming #ร่วมป้องกันการละเมิดทางเพศเด็ก #ร่วมป้องกันการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเด็ก

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศธ.ทบทวนมาตรการสุ่มตรวจปัสสาวะ 'เพื่อไทย'อัด 'ประยุทธ์'ประเด็นครอบครองยาเสพติดเพิ่งคิดแก้

$
0
0

รมว.ศึกษาธิการ วางมาตรการแก้ปัญหายาเสพติด-อาวุธปืน สั่งสถานศึกษาทบทวนมาตรการสุ่มตรวจปัสสาวะ พร้อมให้ความรู้โทษภัยยาเสพติดเข้มข้น - 'เพื่อไทย'อัด 'ประยุทธ์'เตือนแล้วเรื่องครอบครองยาเสพติด แต่เพิ่งคิดแก้ ถนัดแต่ตั้งคณะกรรมการ ไร้แผนการทำงานเชิงรุก ทำสังคมไทยเสื่อมถอย


แฟ้มภาพสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 ว่านางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุม เพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาวุธปืน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ส่วนราชการไปกำหนดมาตรการและแนวทางการดำเนินงานมาตรการอย่างเข้มข้นในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงนั้น ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำชับส่วนราชการในการดูแลเด็กและเยาวชน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืนให้เข้มข้นขึ้น โดยใช้กลไกตามนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษา ใช้หลักการทำเด็กให้เข้มแข็ง และจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ เน้นการดำเนินงานด้านการป้องกัน การปลูกฝัง และปราบปราม

สำหรับมาตรการป้องกัน คือ ให้สถานศึกษาวิเคราะห์นักเรียนเป็นรายบุคคล พิจารณานักเรียนกลุ่มเสี่ยง การสร้างข้อตกลงร่วมกัน และสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวังทั้งในสถานศึกษาและชุมชน เพื่อดูแลส่งต่อข้อมูล พฤติกรรมของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และอาจจะต้องมีการทบทวนมาตรการสุ่มตรวจปัสสาวะนักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้วย เพื่อค้นหาว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วยหรือไม่

ส่วนมาตรการปลูกฝัง คือ ให้สร้างความรู้ ความเข้าใจถึงโทษภัย และผลกระทบของยาเสพติด การจัดกิจกรรมต่อต้านยาเสพติด โดยมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมความคิด วิเคราะห์ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และสนองต่อความสนใจ ความต้องการของนักเรียน

มาตรการปราบปราม ให้สถานศึกษาใช้ระเบียบวินัยในสถานศึกษาอย่างเข้มข้น โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสถานศึกษา การคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การประสานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ตลอดจนการประสานส่งต่อในกรณีที่เกินกว่าขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสถานศึกษา ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้สถานศึกษาร่วมมือกับครอบครัว ชุมชน องค์กรท้องถิ่น สถานีตำรวจ เครือข่ายผู้ปกครอง เครือข่ายนักเรียน ตลอดจนองค์กรต่าง ๆ ในพื้นที่ร่วมกันวางระบบแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาวุธปืน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทุกคน

สำหรับการดูแลและส่งต่อกลุ่มเด็กที่ติดยาเสพติดไปบำบัด ดูแลรักษาให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้มีการนำเสนอหลายแนวทาง ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมีการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ให้เข้มข้นขึ้น ส่วนกระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายที่จะจัดให้มีนักดูแลสุขภาพจิตในโรงเรียนมากขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับเครือข่ายด้านสาธารณสุขให้เข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งติดตามการดูแล บำบัด รักษาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง

'เพื่อไทย'อัด 'ประยุทธ์'ประเด็นครอบครองยาเสพติดเพิ่งคิดแก้ 

13 ต.ค. 2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยแจ้งข่าวว่า ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาวุธปืน โดยระบุว่า อาจมีการทบทวนกรณี การแก้ไขกฎหมายปริมาณการครอบครองยาเสพติดใหม่ ถ้าเกินกว่า 5 เม็ดควรเป็นผู้ค้า เพื่อแยกประเภทผู้เสพ และผู้ค้ารายย่อยได้ชัดเจนขึ้น และให้มีการลงโทษอย่างเด็ดขาด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น เรื่องนี้ตนได้เคยออกมาเสนอแนะในเรื่องนี้แล้วเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยพบว่า ส่วนหนึ่งของปัญหา คือ การรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดรวม 24 ฉบับเหลือ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ที่ "ดูเหมือน"จะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิด หรือจำเลย ได้ต่อสู้หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิด โดยมีการปรับโทษให้ผู้ต้องหายาเสพติดที่เป็น "ผู้ค้าตัวจริง"ได้รับโทษเบาลงนั้น ซึ่งในความเป็นจริงหากย้อนไปดูกฎหมายเดิม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 หากผู้ใดครอบครองยาเกินปริมาณที่กำหนด ให้สันนิษฐานว่า "ครอบครองเพื่อจำหน่าย"และจะได้รับโทษรุนแรง แต่หลังจากได้มีการปรับการชี้วัดผู้ค้าออกจากผู้เสพ ด้วยปริมาณการครอบครองยาเสพติด เดิม "หากครอบครองเกินกำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ค้า"เปลี่ยนมาเป็น "การพิจารณาจากพฤติการณ์การครอบครองยาแทน"ทำให้ "คนขายกลายเป็นคนเสพ"ผู้ค้ารายย่อยตัวจริงกลายเป็นผู้เสพ และได้รับโทษเบาลง จากช่องโหว่ของกฎหมายนี้ เป็นสาเหตุทำให้ผู้ขายทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ยาเสพติดจึงไม่หายไป และยังระบาดหนักมากขึ้นทุกปีจนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น

ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า แม้หลังเหตุโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกที่ส่วนหนึ่งมาจากปัญหายาเสพติด นอกจากทบทวนกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผู้ค้า และผู้เสพให้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ในเรื่องการกำหนดการครอบครองยาเสพติด ในเวลานี้สถานการณ์ที่ยาเสพติดแพร่ระบาดอย่างหนักในทุกชุมชน ทางแก้เรื่องนี้อาจไม่ใช่ลดจำนวนการครอบครองยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีข้อมูลผู้ค้า ผู้เสพ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงทุกภาคส่วนต้องตรวจสอบ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อดูความเชื่อมโยงการนำเข้าสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด และรัฐบาลซึ่งเป็นต้นน้ำของการแก้ไขปัญหา มีอำนาจเต็มในการบริหารต้องเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ผู้ค้าคือผู้ค้า ผู้เสพคือผู้ป่วย ฝ่ายนโยบาย และฝ่ายความมั่นคง คือ ด่านหน้า ทุกฝ่ายต้องทำงานอย่างแข็งขันกันทั้งองคาพยพไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

มวลชนจัดกิจกรรม '13 ตุลา หวังว่าสายฝนจะพาล่องลอยไป'

$
0
0

มวลชนจัดกิจกรรม '13 ตุลา หวังว่าสายฝนจะพาล่องลอยไป'รณรงค์ปล่อยนักโทษการเมืองและยกเลิกมาตรา 112

13 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานว่ากลุ่มมวลชนรวมตัวกันที่เสาชิงช้า เข้าร่วมกิจกรรม "13 ตุลา หวังว่าสายฝนจะพาล่องลอยไป"โดยในกิจกรรมมีการรณรงค์ปล่อยนักโทษการเมืองและยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้ป้ายผ้า และการเขียนข้อความ 

ทั้งนี้ในช่วงเช้าเพจทะลุแก๊สมีการประกาศยกเลิกกิจกรรมนี้โดยให้เหตุผลว่ามีเจ้าหน้าที่ไปคุกคามติดตามที่บ้านตั้งแต่คืนวานนี้ อย่างไรก็ตามทางเพจ 14 ขุนพลคนของราษฎรยืนยันจัดกิจกรรมต่อ และทางเพจทะลุแก๊สจึงมีการประกาศดำเนินกิจกรรมต่อ จึงยังมีมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้อยู่

17.00 น. เริ่มมีประชาชนมารวมตัวกันตามที่มีการประกาศนัดหมาย ประมาณ 30 คน ส่วนทางเวทีลานคนเมืองยังมีแต่คนที่มาเตรียมงาน กับมีเทศกิจยืนตามแนวรั้วด้านใน ใกล้จุดที่คนมาทำกิจกรรม 5 นาย มีตำรวจในเครื่องแบบ 10 นายอยู่ฝั่งเทวสถานพร้อมกระบะตำรวจจากสน.ลาดพร้าว 2 คัน เก๋ง 1 คัน

17.12 น. มวลชนประกาศรวมตัวกันที่เกาะกลางเสาชิงช้ากลุ่มทะลุแก๊สเตรียมป้ายผ้าที่นำมา

17.50 น. ผู้ร่วมกิจกรรมเริ่มขึ้นปราศรัยกล่าววิจารณ์รัฐบาลที่ใช้ภาษีประชาชน แต่กลับมาจับกุมประชาชนที่ออกมาวิจารณ์และเป็นเจ้าของประเทศ ประยุทธ์ควรจะต้องลาออกได้แล้วทั้งที่เข้ามาโดยการปล้นอำนาจแล้วยังได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย

สหายนอนน้อย (สงวนชื่อสกุล) อายุ 14 ย่าง 15 ปี จากกลุ่ม นักเรียนล้มฯ กล่าวว่าที่มาร่วมกิจกรรมวันนี้เพราะต้องการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 112 เธอบอกว่าปกติก็เข้าร่วมกิจกรรมลักษณะนี้อยู่แล้วทุกครั้งที่สามารถหาเวลามาร่วมได้ 

สหายนอนน้อยบอกว่าด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอย่างมาตรา 112 ทำให้ไม่สามารถพูดถึงได้จริงๆ ว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับการล้อมปราบนักศึกษาใน 6 ตุลาฯ และองค์กรอย่างศาล ทหาร ตำรวจก็ยังเป็นองค์กรที่เป็นของคู่กรณี 

18.00 น. ผู้ร่วมกิจกรรมปราศรัยกล่าวถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ธรรมศาสตร์ว่า 'หนังสือพิมพ์ดาวสยาม'ลงภาพการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา โดยมีเนื้อหาสร้างความเกลียดชัง จงใจบิดเบือนว่านักศึกษาหมิ่นเบื้องสูง อันเป็นชนวนเหตุความรุนเเรงในเช้าวันที่ 6 ต.ค.

18.40 น. "ประชาชนลำบากชิบหาย ทุกวันนี้เหลือแต่หีกับชีวิต"'วรวรรณ แซ่อั้ง'หรือ 'ป้าเป้า'ปราศรัยกล่าวถึง เหตุการณ์วันนี้ที่ 'ประยุทธ์'ยกเลิกเยี่ยมชุมชนวัดเขมาฯ กะทันหัน หลัง 'ป้าเป้า'รอรับ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการปะทะ ตนนั่งรอทั้งวัน สุดท้ายนายกฯ ไม่เจอ โดยมองว่าเป็นผู้นำภาษาอะไร ทำไมไม่มาพบประชาชน

ส่วนทางด้านลานคนเมือง เวลา 17.13 น. ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)

มีกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จัดโดยสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ภายในงานมีการแสดงดนตรีและการขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ โดย Bangkok Jazz Group วงดนตรีแจ๊สจากกรุงเทพมหานคร กิจกรรมแบ่งปันหนังสือเทิดพระเกียรติ วาดภาพระบายสี เวิร์คชอปความสุขปลูกได้ และการแจกพันธุ์กล้าไม้ฟรี 5,000 ต้น
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทำไมคนไทยต้องรับรู้ข่าวการเปลี่ยนแปลงอำนาจในกองทัพ ประมวลคำตอบจาก 'สุรชาติ บำรุงสุข'

$
0
0

สัมภาษณ์และประมวลความเห็นของ 'สุรชาติ' ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ เพื่อตอบโจทย์ที่ว่า ทำไมต้องรับรู้ข่าวการเปลี่ยนแปลงอำนาจในกองทัพ? เทียบกับต่างประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย แนวทางการป้องกันทหารเข้ามามีอำนาจทางการเมือง รวมทั้งความเสี่ยงของรัฐบาลพลเรือนที่จะลดอำนาจกองทัพ

สุรชาติ บำรุงสุข ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากการรายงานข่าว อ่านโผทหาร 65 กลุ่มไหนได้ ฝ่ายไหนเสีย เมื่อ ‘ทหารพระราชา’ กำลังแทนที่ 3 ป.โดยประชาไท เผยแพร่วันที่ 19 ก.ย. 2565 ที่รายงานเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกำลังพลในกองทัพ ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมประชาชนชาวไทยจะต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกองทัพ นำไปสู่การหาคำตอบผ่านการสัมภาษณ์และบทความของ สุรชาติ บำรุงสุข ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการที่มีความสนใจในเรื่องของยุทธศาสตร์ทางการทหารและความมั่นคง

ทำไมต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของผู้นำทหารในไทย 

บทความ ข้อคิดจากรัฐประหาร 49!สุรชาติระบุว่า รัฐประหารทำให้กองทัพไทยถอนตัวออกจากการเมืองไม่ได้ และเป็นการติดกับดักจนกองทัพกลายเป็น “ทหารการเมือง” แม้การปรับย้ายทหารก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองไปโดยปริยาย 

จากบทความ จัดระบบโยกย้ายทหารใหม่!โดยสุรชาติ บำรุงสุข เผยแพร่เมื่อ 12 ก.ย. 2565 ผ่านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ สุรชาติระบุว่า ประเทศไทยน่าจะเป็นไม่กี่ประเทศในโลก ที่บัญชีรายชื่อการโยกย้ายนายทหารของกองทัพเป็นข่าวใหญ่ในสื่อทุกปี และไม่มีปีไหนเลยที่เรื่องนี้ไม่เป็นประเด็นให้สื่อหยิบมาเป็นหัวข้อข่าว และดูจะเป็นประเด็นข่าวที่สังคมเองส่วนหนึ่งก็ติดตามด้วย จนอาจต้องสรุปว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบทบาททางการเมืองของกองทัพเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้คนในสังคมจับตามอง ยิ่งปีไหนการเมืองปั่นป่วน ข่าวโยกย้ายทหารยิ่งเป็นที่สนใจมาก หรือยามที่การเมืองอยู่ในภาวะ “ลุ่มๆ ดอนๆ” เช่น ปัจจุบัน เรื่องนี้ย่อมเป็นหัวข่าวของสื่ออย่างหนีไม่พ้น หรือกล่าวด้วยสำนวนของสื่อสิ่งพิมพ์ ก็คงต้องบอกว่าเรื่องโยกย้ายทหารยังคงเป็น “ข่าวใหญ่หน้า 1” ที่ขายได้เสมอ

เปรียบเทียบกับต่างประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย ต้องจับตาดูการเปลี่ยนผู้นำหรือผู้มีอำนาจในกองทัพหรือไม่

ในจัดระบบโยกย้ายทหารใหม่!สุรชาติระบุว่า หากประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างเช่นในประเทศตะวันตกแล้ว เราจะไม่เห็น “หัวข่าว” เรื่องนี้ เช่น เราจะไม่เคยเห็นข่าวนี้ในนิวยอร์กไทม์ หรือวอชิงตันโพสต์ เพราะการปรับย้ายทหารเป็นเรื่องภายในของกระทรวงกลาโหม และเป็นกระบวนการปกติของกองทัพ ที่นายทหารถูกปรับย้ายตำแหน่งด้วยมาตรฐานของ “เส้นทางรับราชการ” หรือประเด็นเรื่อง “career path” ในวิชาชีพทหาร 

แต่ถ้าเราสังเกตจากสื่อในประเทศประชาธิปไตยแล้ว เราจะไม่เคยเห็นบัญชีโยกย้ายทหารปรากฏในรายงานของสื่อดังกล่าวแต่อย่างใด ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็คือ ภาพสะท้อนที่ต่างจากกรณีของไทยว่า กองทัพในประเทศเหล่านั้นไม่ได้มีบทบาทในการเมืองของประเทศ จึงไม่ต้องให้ความสนใจว่า ใครจะเป็นผู้การกรม… ใครจะเป็นผู้บัญชาการกองพล… ใครจะเป็นแม่ทัพภาค… ใครจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ

ประเด็นเช่นนี้เป็นกิจการภายในของกองทัพ และไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นหัวข้อข่าวสำคัญของประเทศ อีกทั้งกองทัพก็เป็นเพียงส่วนราชการหนึ่งในระบบราชการทหารของประเทศเท่านั้น

สื่อและสังคมของประเทศประชาธิปไตยจะให้ความสนใจอย่างมากกับนโยบายยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศ นโยบายในการพัฒนากองทัพ เป็นต้น แต่ในประเทศด้อยพัฒนาที่กองทัพมีบทบาทอย่างมากเช่นในไทย ข่าวการดำรงตำแหน่งของผู้นำทหารเป็นหัวข้อข่าวใหญ่เสมอ ดังนั้น ข่าวโยกย้ายทหารจึงเป็นข่าวเพื่อบอกสังคมให้รับรู้ว่า ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทหารที่จะกลายเป็น “ศูนย์อำนาจใหม่” ในอนาคต เพราะบทบาทของเขาอาจจะเป็นผู้กำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศได้อีกด้วย

การขึ้นสู่ตำแหน่งของนายทหารในประเทศประชาธิปไตยไม่มีนัยทางการเมือง สื่อจึงไม่ต้องรายงานข่าวนี้ อีกทั้งถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยได้จริงแล้ว เราคงไม่มีความจำเป็นต้อง “วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง” ว่าใครจะมีตำแหน่งอะไรในกองทัพ… ใครมาจากรุ่นไหน เพราะตำแหน่งและรุ่นเป็นสิ่งที่ไม่มีผลในทางการเมือง เนื่องจากกองทัพในสังคมประชาธิปไตยไม่ได้เป็น “ฐานอำนาจ” ทางการเมืองของใคร แต่มีบทบาทเป็น “ฐานที่มั่นหลัก” ของทหารอาชีพ

หากไม่อยากให้ทหารเข้ามามีอำนาจทางการเมืองหรือรัฐประหาร ควรใช้วิธีอะไรที่เห็นผลและได้ผลเร็วที่สุด 

จากการสอบถามผ่านอีเมล์สุรชาติระบุว่าต้องปฎิรูปการเมืองคู่ขนานกับการปฎิรูปกองทัพ ต้องกำหนดกรอบของความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือน สร้างกองทัพให้เป็นทหารอาชีพและลดบทบาททางการเมือง รัฐบาลต้องไม่ใช้กองทัพเพื่อประโยชน์ทางการเมือง สังคมต้องแสดงการต่อต้านรัฐประหาร จะต้องไม่รับผลการนิรโทษกรรมการรัฐประหาร องค์กรระหว่างประเทศต้องแทรกแซง กลุ่มปีกขวาต้องเปลี่ยนความคิดที่จะต่อสู้ในทางรัฐสภา

ทางออกของประชาชน เมื่อเกิดรัฐประหารควรทำอย่างไร  

อาจารย์รัฐศาสตร์ระบุว่าทางออกของประชาชนเมื่อเกิดรัฐประหาร คือ การแสดงการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ อาจรวมถึงการใช้ความรุนแรงอย่างเมียนมา การสร้างประชามติในสังคมที่ไม่รับรัฐประหาร การจำกัดหรือต่อต้านบทบาทของกลุ่มปีกขวาที่สนับสนุนรัฐประหาร การใช้สื่อโซเชี่ยลในการต่อต้าน การต่อต้านบนถนน การแสดงการสนับสนุนรัฐบาลให้ต่อต้านรัฐประหาร

การเมืองของไทยที่มีการรัฐประหารบ่อยเป็นอย่างไรในสายตาสากล

จากบทความ ข้อคิดจากรัฐประหาร 49!โดยสุรชาติ เผยแพร่เมื่อ 20 ก.ย. 2565 ผ่านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ สุรชาติระบุว่ารัฐประหารส่งผลให้สถานะของประเทศไทยในเวทีสากลตกต่ำลงอย่างมาก และรัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมระหว่างประเทศ เว้นแต่ต้องหาความสนับสนุนจากรัฐมหาอำนาจบางฝ่ายที่ไม่รังเกียจการยึดอำนาจ

ซีรีส์พิเศษ "สุรชาติ บำรุงสุข"ปีกอนุรักษ์นิยมควรหยุดซื้อนาฬิกาที่หยุดเดินโดย Matichon TV เผยแพร่วันที่ 28 ส.ค. 2565 สุรชาติกล่าวว่า ในสมัยรอยต่อระหว่างนายกเปรมกับนายกชาติชายไทยเคยเป็นต้นแบบของการสร้างประชาธิปไตยให้กับเมียนมาร์และอินโดนีเซีย แต่ปัจจุบันคนพูดกันว่าไทยต้องเรียนรู้ประชาธิปไตยจากอินโดนีเซีย ทุกวันนี้เรามีนิยาม ‘ตัวแบบไทยในภูมิภาค’ ที่หมายความว่าแก้ปัญหาทางการเมืองไม่ได้ก็รัฐประหารยึดอำนาจ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถานะตกต่ำเมื่อมองจากเวทีสากล

ถ้าการเลือกตั้งเป็นทางออกที่ดีสุดโดยพรรคที่ชนะเป็นรัฐบาลมีนโยบายลดอำนาจกองทัพ แต่ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้มีอำนาจทางทหารจะไม่ก่อรัฐประหารอีกครั้ง 

บทความ พฤษภาพาฝัน! : สุรชาติ บำรุงสุขโดยสุรชาติ บำรุงสุข เผยแพร่เมื่อ 19 พ.ค. 2565 ผ่านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ สุรชาติระบุว่า นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยในขณะนั้นมิได้ละเลยประเด็นนี้ (การปฎิรูปกองทัพ) และพยายามที่จะแสวงหาคำตอบที่จะช่วยให้การต่อสู้ที่ต้องเสียสละของนักศึกษาประชาชนไม่สูญเปล่า ดังนั้นหลังจากสถานการณ์นองเลือดเพิ่งยุติลง ผู้นำการชุมนุม นักเคลื่อนไหว ปัญญาชน และสื่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย ได้เปิดเวทีถกแถลงที่ห้องประชุมของอาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประเด็นหลักที่เป็นหัวใจของการถกในครั้งนี้หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นเรื่องของ “การปฏิรูปกองทัพ” โดยตรง

ในเวทีการประชุมมีการถกเถียงอย่างกว้างขวาง และผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า เพื่อที่จะรักษามรดกของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จะต้องผลักดันให้เกิดการปฎิรูปกองทัพ และถกลึกลงไปถึงข้อเสนอให้มีปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่า และทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การปฎิรูปกองทัพเป็นภารกิจทางการเมืองที่จะต้องทำให้สำเร็จ

การประชุมในวันนั้นจบลงด้วยความฝันของนักประชาธิปไตยไทยคือ ต้องผลักดันให้เกิด “การปฏิรูปกองทัพ” ให้ได้ อย่างน้อยการปฎิรูปทหารจะเป็นหลักประกันว่า ชัยชนะของประชาชนในปี 2535 จะสร้างความยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยไทยในอนาคต

แต่ความฝันดังกล่าวดูจะไปไม่ได้ไกลมากนัก เมื่อผู้นำทหารรุ่น 5 สายใหม่ที่ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำกองทัพ ไม่มีท่าทีตอบรับกับประเด็นการปฎิรูปกองทัพเท่าที่ควร รัฐบาลใหม่เองเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนกันยายน 2535 และเห็นได้ชัดเจนในเวลาต่อมาว่า กระแสการปฎิรูปกองทัพค่อยๆ จางไป… หายไป และไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผลการสอบสวนของรัฐบาลต่อการใช้กำลังทหารในการสลายฝูงชนก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ (ไม่ว่าจะเป็นฉบับเต็ม หรือฉบับย่อก็ตาม) ทุกอย่างจบลงเพียงการย้ายผู้นำทหารรุ่น 5 ออกจากตำแหน่งหลักในระดับสูงเพียง 3 นายเท่านั้น แต่กระนั้น หลายคนยังฝันว่า บทเรียนจากการนองเลือดครั้งนี้น่าจะทำให้รัฐประหาร 2534 เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของทหารไทย

หลายคนฝันเช่นนั้น แต่ก็เป็นความฝันที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้ความฝันของเราเป็นจริง… การปฎิรูปกองทัพเป็นประเด็นใน “โลกแห่งความฝัน” และเราก็อยู่ในโลกฝันๆ จนรัฐประหารปี 2549 และ 2557 มาปลุกให้เราตื่นขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง!

บทความ ข้อคิดจากรัฐประหาร 49!สุรชาติระบุว่า ความเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยหลังปี 2535 มีความเข้มแข็งที่จะป้องกันการรัฐประหารได้นั้น ไม่จริงแต่ประการใด เพราะกระบวนการสร้างประชาธิปไตยไทยยังคงมีความอ่อนแอในตัวเองอย่างมาก และสังคมยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะต่อต้านรัฐประหารได้อย่างจริงจัง แม้จะมีการประท้วงเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มีพลังที่จะโค่นล้มการรัฐประหารได้

ความเชื่อว่าระบอบรัฐสภาจะช่วยลดความขัดแย้งในสังคม และลดเงื่อนไขการยึดอำนาจนั้น ยังไม่เป็นจริง เพราะรัฐสภายังไม่สามารถเป็นกลไกที่จะใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้จริง และทั้ง รัฐสภาไทยยังไม่อาจทำหน้าที่เป็นองค์กรในการต่อต้านรัฐประหารได้ ประกอบกับนักการเมืองฝ่ายขวาจัดในสภาเองกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อการรัฐประหารด้วย

กลุ่มการเมืองปีกขวาจัด (ชนชั้นนำ ผู้นำทหารปีกขวาจัด กลุ่มพลเรือนสายขวาจัด) ยังคงเชื่อในเรื่องการรัฐประหาร เพราะรัฐประหารเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ ดังเช่นการล้มรัฐบาลพลเรือนที่เกิดขึ้นหลายครั้งในการเมืองไทย

การคอร์รัปชั่นและความไม่โปร่งใสของรัฐบาลพลเรือนเป็นข้ออ้างที่ดีในการรัฐประหาร และอาจจะช่วยดึงเสียงสนับสนุนจากคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกับชนชั้นกลางปีกขวา แต่รัฐบาลทหารหลังรัฐประหารก็มีปัญหาดังกล่าวอย่างมากไม่ต่างจากรัฐบาลพลเรือนที่ถูกโค่นล้มไป และยังไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วย

หมายเหตุ : สำหรับผู้รายงานข่าว ฉัตรลดา ตั้งใจ นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ โครงการสองปริญญาเศรษฐศาสตร์-การสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะเขียนรายงานชิ้นนี้ฝึกงานอยู่กับกองบรรณาธิการข่าวไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คำพูดในเครื่องหมาย “อัญประกาศ” ก่อนความตายของครอง จันดาวงศ์ | อ่านให้ฟัง

$
0
0

นายครอง จันดาวงศ์ หรือครูครอง นับเป็นบุคคลที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้ความสนใจในฐานะวีรบุรุษประชาธิปไตยที่ต้องสิ้นชีวิตลงด้วยคำสั่งมาตรา 17 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีงานศึกษาเส้นทางชีวิต บทบาทและอุดมการณ์ทางการเมืองของนายครองในฐานะนักการเมืองและนักต่อสู้ทั้งในเชิงหนังสือและบทความต่างๆ และยังมีภาพประวัติศาสตร์สำคัญของนายครองก็คือ ภาพการเดินเข้าสู่ลานประหารอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมด้วยท่าทางยกมือเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่ารูปถ่ายย่อมไม่มีเสียง คำพูดของนายครองจึงมีอยู่เพียงในเครื่องหมายคำพูดหรือเครื่องหมายอัญประกาศจากหลักฐานชิ้นต่างๆ ที่เล่าเรื่องราว

แต่ทว่าเมื่อสำรวจหลักฐานที่กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนนายครองจะถูกประหาร หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า “ยิงเป้า” น่าสนใจว่า คำพูดของนายครองในเครื่องหมายอัญประกาศกลับมีความหลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงสนใจศึกษาหลักฐานที่ปรากฏการบันทึก เล่าเรื่อง หรือใส่คำพูดของนายครอง ที่ปรากฏในระหว่างช่องว่างของเครื่องหมายอัญประกาศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของประวัติศาสตร์คำพูดของนายครอง จันดาวงศ์ ในทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย

อ่านทั้งหมดได้ที่: https://prachatai.com/journal/2018/09/78822

ประชาไท #อ่านให้ฟัง หยิบบทความที่น่าสนใจมาอ่านให้คุณฟัง แบบไม่ต้องอ่าน

Prachatai Podcast on YouTube

Prachatai Podcast on Spotify

Prachatai Podcast on Apple Podcast

Prachatai Podcast on Podbean Service

Prachatai Podcast on Google Podcasts

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กับดักทางความคิด ที่ทำให้ขนส่งสาธารณะไทยติดหล่ม | อ่านให้ฟัง

$
0
0

เรื่องหนึ่งที่อยู่ในใจผู้เขียนเสมอมา คือเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งต้องนั่งรถประจำทางเข้ามาทำธุระในตัวเมืองศรีสะเกษ แล้วนั่งกลับบ้านที่ อ.ภูสิงห์ ระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร วันนั้นด้วยอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เขามาไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย คืนนั้นเขาจึงต้องนอนค้างคืนในสถานีขนส่งเพียงลำพังเพื่อรอรถเที่ยวแรกกลับบ้านในตอนเช้า (ยังมีครัวเรือนในประเทศนี้อีกมากที่ไม่มีกำลังจะซื้อรถ จ่ายค่าน้ำมัน และยังจำเป็นต้องพึ่งพาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอยู่) นี่คือชะตากรรมของคนไทยในชนบท ที่ยังต้องเผชิญอยู่ โดยที่คนกรุงเทพหรือแม้แต่คนชั้นกลางในเมือง ไม่มีวันที่จะเข้าใจ 

นี่คือเรื่องราวในวัยเด็กของโดม อติเทพ จันทร์เทศ อดีตนักข่าว เดอะอีสานเรคคอร์ด ผู้ล่วงลับ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเขียนบทความนี้ขึ้น 

อ่านทั้งหมดได้ที่: https://prachatai.com/journal/2022/07/99597

ประชาไท #อ่านให้ฟัง หยิบบทความที่น่าสนใจมาอ่านให้คุณฟัง แบบไม่ต้องอ่าน

Prachatai Podcast on YouTube

Prachatai Podcast on Spotify

Prachatai Podcast on Apple Podcast

Prachatai Podcast on Podbean Service

Prachatai Podcast on Google Podcasts

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สิทธิมนุษยชนไม่ได้มีไว้สำหรับพวกเดียวกัน | อ่านให้ฟัง

$
0
0

6 ตุลา, ปราบเสื้อแดงปี 53, ถีบลงเขาเผาลงถังแดง, ตากใบ, การซ้อมทรมานจนเสียชีวิตในค่ายทหาร, ตากใบ-กรือเซะ, ฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด มีสาเหตุการฆ่าที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ผู้กำหนดนโยบาย-ผู้สั่งการล้วนไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของประชาชน มองไม่เห็นว่าคนที่ตายก็คือคน ที่มีสิทธิในชีวิต มีสิทธิตามกฎหมาย ต่อให้พวกเขาทำผิดจริงตามที่ผู้มีอำนาจกล่าวหา

พวกเขาก็สมควรได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการตามกฎหมาย

อ่านทั้งหมดได้ที่: https://prachatai.com/journal/2022/03/97739

ประชาไท #อ่านให้ฟัง หยิบบทความที่น่าสนใจมาอ่านให้คุณฟัง แบบไม่ต้องอ่าน

Prachatai Podcast on YouTube

Prachatai Podcast on Spotify

Prachatai Podcast on Apple Podcast

Prachatai Podcast on Podbean Service

Prachatai Podcast on Google Podcasts

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แพทย์ ชำแหละรายงานกมธ.พาณิชย์ฯ เรื่องยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า ชี้จุดอ่อนเพียบ ไร้ความน่าเชื่อถือ

$
0
0

เครือข่ายแพทย์ ชำแหละรายงานกมธ.พาณิชย์ฯ เรื่องยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า ชี้จุดอ่อนเพียบ ไร้ความน่าเชื่อถือ ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ สังคม โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ซ้ำตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่ปรึกษา หวั่นไทยซ้ำรอยนานาชาติเลิกแบนบุหรี่ไฟฟ้า ทำเด็กติดบุหรี่มากขึ้นเกินเท่าตัว 

13 ต.ค.2565 รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2565 ทพ.ณัฐวุธ แก้วสุทธา ผู้ช่วยศาสตราจารย์และคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) เปิดเผยถึงกรณีรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ที่จัดทำโดยคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเรื่องยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ภายใต้กรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ที่เผยแพร่เมื่อวันที่6ต.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยพบว่ารายงานฉบับนี้มีจุดอ่อนหลายประเด็น และส่อว่าจะมีการดำเนินการที่ขัดกับอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกที่ไทยเป็นภาคีสมาชิก ทำให้การจะนำรายงานนี้ไปใช้ประโยชน์จะมีปัญหาได้

ทพ.ณัฐวุธ กล่าวต่อว่า คณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้ มีการตั้งบุคคลที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่ปรึกษาถึง2คน ซึ่งเครือข่ายนี้มีความเชื่อมโยงกับบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ โดยเป็นสมาชิกองค์กรสนับสนุนการใช้นิโคตินนานาชาติที่รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิเพื่อโลกปลอดควันบุหรี่ ที่จัดตั้งโดยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติรายหนึ่ง ที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าในหลายประเทศทั่วโลก และต้องการเข้ามาทำตลาดในไทย เรื่องนี้สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ได้เคยทำหนังสือที่ พสท.ยส.304/2564 ลงวันที่ 25 ต.ค. 2564 ถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ท้วงติงการแต่งตั้งที่ปรึกษา 2 รายนี้ในอนุกรรมาธิการฯ ขัดต่อกรอบอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบมาตรา 5.3 ที่มีข้อกำหนดข้อหนึ่งว่า ภาคีต้องไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในคณะกรรมการที่พิจารณากำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ เนื่องจากผลประโยชน์ของธุรกิจยาสูบ ขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสาธารณสุขอย่างไม่สามารถที่จะออมชอมกันได้

“อยากให้สังคมช่วยกันจับตาความเคลื่อนไหวของเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า ที่พยายามวิ่งเต้นภาครัฐให้ยกเลิกการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในไทย การที่คนกลุ่มนี้เข้ามานั่งเป็นที่ปรึกษาในคณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้ได้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเครือข่ายนี้ นอกจากอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้แล้ว คนกลุ่มนี้ยังวิ่งเต้นจนเข้าไปร่วมในกรรมาธิการชุดอื่น ๆ ในสภาผู้แทนราษฎรด้วย” ทพ.ณัฐวุธ กล่าว

ทพ.ณัฐวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นนี้ยังทำให้อนุกรรมาธิการท่านหนึ่งได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นอนุกรรมาธิการ โดยท่านเคยเข้าร่วมประชุมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยพิธีสารขจัดการค้าผิดกฎหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพราะหากอนุกรรมาธิการท่านนี้ยังร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้ ส่อว่าจะขัดกับนโยบายองค์การอนามัยโลก ที่ออกแถลงการณ์ไม่ร่วมดำเนินการใด ๆ กับมูลนิธิเพื่อโลกปลอดควันบุหรี่และเครือข่าย เพราะจัดเป็นพวกเดียวกับบริษัทบุหรี่ และองค์การอนามัยโลกยังให้คำแนะนำแก่รัฐภาคีและทุกหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกให้ยึดปฏิบัติอย่างเดียวกัน

พญ.เริงฤดี ปธานวนิช รองศาสตราจารย์จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ยังมีจุดอ่อนอีกหลายประการ เช่น ผู้เชี่ยวชาญที่เชิญมาให้ข้อมูลบางคนมีลักษณะอิงที่ตัวบุคคล ทั้งที่ควรจะเป็นผู้แทนสถาบันหรือหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ และไม่ระบุว่ามีความเชี่ยวชาญด้านใด เคยมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ยาสูบในลักษณะใด โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ อีกทั้งการให้ข้อมูลของผู้ที่ถูกเชิญมาบางรายมีลักษณะที่เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่อ้างอิงวิชาการ และบางข้อมูลเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและคล้ายกับข้อมูลที่กลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้ามักนำมาอ้างอยู่เสมอ ที่สำคัญมีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่คณะอนุกรรมาธิการฯ เชิญมาให้ข้อมูลมีประวัติเคยรับทุนวิจัยจากบริษัทบุหรี่ข้ามชาติอีกด้วย

พญ.เริงฤดี กล่าวต่อว่า รายงานฉบับนี้ ได้สรุปแนวทางการบริหารจัดการบุหรี่ไฟฟ้าของไทย 4 ข้อ แต่ไม่มีข้อใดเลยที่กล่าวถึงเรื่องผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็กและเยาวชนทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะประเทศที่มีการอนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าประสบปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนจนภาครัฐไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ล่าสุดมีการรายงานตัวเลขเด็กมัธยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 2.55 ล้านคน และ 1 ใน 4 ติดบุหรี่ไฟฟ้าจนต้องสูบทุกวัน ส่วนอังกฤษ พบเด็กอายุ 15 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 18% โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงกว่าเด็กผู้ชาย เพิ่มจาก 10% เป็น 21% ระหว่างปี 2018-2021 เด็กที่สูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจาก 29% เป็น 61% และนิวซีแลนด์ พบเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหลังยกเลิกการแบนบุหรี่ไฟฟ้าคือ จาก1.8% เมื่อปี 2018 เพิ่มเป็น 9.6% ในปี 2021 แม้ว่าประเทศเหล่านี้มีกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าให้เด็กต่ำกว่า 18 ปี มีงบประมาณและมาตรการบังคับใช้กฎหมายควบคุมยาสูบได้ดีกว่าไทย แต่ก็ยังแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไม่ได้

“ขอตั้งข้อสังเกตไปถึงคณะกรรมาธิการพาณิชย์ฯ เพื่อรับทราบถึงจุดอ่อนที่เป็นปัญหาของการดำเนินการของอนุกรรมาธิการที่ทำรายงานฉบับนี้ หากจะนำข้อสรุปของรายงานฉบับนี้ไปเสนอแนะนโยบายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะการศึกษาผลกระทบเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าของคณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้ยังศึกษาไม่รอบด้าน เน้นเชิงเศรษฐกิจเป็นสำคัญ จนไม่ได้มองภาพรวมของผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้านอื่น ๆ ทั้งด้านสุขภาพและสังคม โดยเฉพาะการปกป้องการเข้าถึงของกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า” พญ.เริงฤดี กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 8-14 ต.ค. 2565

$
0
0

สถาบันอาชีวภาคกลาง 3 จัดสัมมนา “ภาษาจีน+ทักษะอาชีพ” ยกระดับความรู้นักเรียน-นักศึกษาในพื้นที่

นายศิริ จันบำรุง ผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 พร้อมด้วย น.ส.วรรณา ลอลือเลิศ กรรมการผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนา “ภาษาจีน+ทักษะอาชีพ” ระหว่างศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีน ณ นิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ยกระดับมาตรฐานทางด้านการเรียนการสอน รวมทั้งการฝึกอาชีพในสถานประกอบการด้วยการส่งเสริมการทำงานด้านวิชาการ งานวิจัย และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา คณาจารย์ เพื่อให้มีความสามารถด้านเทคโนโลยี

ตลอดจนยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการระหว่างหน่วยงานทางการศึกษา และสถานประกอบการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล

ทั้งนี้ ที่ผ่านมานิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 และสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 ได้ลงนามความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ยกระดับมาตรฐานทางด้านการเรียนการสอน และการฝึกอาชีพในสถานประกอบการให้มีความสอดคล้องกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน

ขณะที่ศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ CLEC ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนการศึกษาภาษาจีน ให้ความร่วมมือในการอบรมภาษาจีนให้หน่วยงานต่างๆ ด้วยการส่งครูสอนภาษาจีนเข้ามาช่วยสอนที่ประเทศไทยปีละกว่าพันคน

และภายหลังเสร็จสิ้นการเสวนาแล้ว ยังมีการเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 และโรงงาน MLT ซึ่งเป็นฐานการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต แต่ยังควบคุมคุณภาพด้วยผู้เชี่ยวชาญทุกขั้นตอนอีกด้วย

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 13/10/2565

สคช.-IOM จับมือ โรงแรมเดอะสุโกศล เร่งยกระดับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ให้เป็นแม่บ้านในโรงแรมมืออาชีพ พร้อมให้บริการรองรับนักท่องเที่ยว

นางสาววรชนาธิป จันทนู รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นประธานเปิดการอบรมเตรียมความพร้อมความรู้ในอาชีพก่อนการประเมินสมรรถนะฯ อาชีพแม่บ้านในโรงแรม ระดับ 1 ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่าง สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) (สคช.) กับ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เพื่อร่วมกันพัฒนาทักษะแรงงานข้ามชาติ อาชีพแม่บ้านในโรงแรม (Housekeeper) ของโรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพมหานคร ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการประกอบอาชีพ และได้รับการรับรองด้วยประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ โดยมี ผศ.วริษฐา แก่นสานสันติ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาธุรกิจการโรงแรม โรงเรียนการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ พร้อมด้วยนางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงแรมเครือสุโกศล และผู้แทนจาก IOM ร่วมในงาน

นางสาววรชนาธิป กล่าวว่า หลังมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวสถานประกอบการโรงแรม ที่พัก มีความต้องการจ้างแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะแผนกแม่บ้านและพนักงานทำความสะอาดมากขึ้น ส่งผลให้กำลังแรงงานของประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะมาถึง จะมีการเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก กลุ่มแรงงานข้ามชาติจะเป็นกำลังสำคัญ ที่จะส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมดำเนินไปอย่างราบรื่น ดังนั้น การเพิ่มความรู้ และทักษะที่จำเป็น จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ทำงานได้อย่างมีมาตรฐานที่สากลให้การยอมรับ ซึ่งการจัดอบรมในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาทักษะแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย รวมถึงการเตรียมความพร้อมสู่การประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ของสถาบันฯ อีกด้วย

นายพิริยพงศ์ แจ้งเจนเวทย์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมคุณวุฒิวิชาชีพ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดอบรมว่า การจัดอบรมในครั้งนี้ เป็นการขยายผลการดำเนินงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ภายใต้แนวทางการทำงานเพื่อให้บริการตอบสนองความต้องการพัฒนายกระดับกำลังแรงงานในสถานประกอบการ (Service Provider) ซึ่งสถาบันฯ ได้ร่วมมือกับโรงแรมเดอะสุโกศล จัดการอบรมให้พนักงานผู้ปฏิบัติงานในโรงแรมที่เป็นแรงงานข้ามชาติในอาชีพแม่บ้านในโรงแรม (Housekeeper) ซึ่งถือเป็นกลุ่มแม่บ้านโรงแรมที่เป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติกลุ่มแรกจะได้รับความรู้ในทุกมิติที่เกี่ยวข้องในอาชีพ ตั้งแต่ การอ่านคำสั่งพื้นฐาน การทำตามคำสั่งภาษาอังกฤษ การปรับตัวการทำงานร่วมกับผู้อื่น การทำความสะอาดอุปกรณ์ การให้บริการแผนกซักรีด และการจัดเตรียมห้องพัก เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้ต่อยอดแม่บ้านของโรงแรมเดอะสุโกศล สร้างโอกาสให้เกิดการพัฒนาให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เสริมสร้างศักยภาพในการประกอบอาชีพให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติ

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงแรมเครือสุโกศล กล่าวว่า ห้องพักถือเป็นหน้าตาที่สำคัญของโรงแรม และพนักงานที่เป็นแม่บ้านโรงแรมเป็นทีมงานเบื้องหลังการดูแลความสะอาดเรียบร้อยของห้องพักในทุกๆ โรงแรมให้เป็นมาตรฐาน และการที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และ IOM มีโครงการที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะของแรงงานข้ามชาติให้ได้รับการฝึกอบรมการทำงานตามมาตรฐานอาชีพและได้รับคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งในโรงแรมเดอะสุโกศลมีพนักงานผู้ปฏิบัติงานเป็นแรงงานข้ามชาติอยู่ร่วม 15 ชีวิตนั้น เป็นโอกาสอันดีที่เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในสถานประกอบการอย่างถูกกฎหมายได้รับการพัฒนา มีคุณวุฒิวิชาชีพที่จะเปิดโอกาสความก้าวหน้าต่อไปได้ ต้องขอขอบคุณสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพที่ได้ริเริ่มการพัฒนาทักษะแรงงานข้ามชาติในธุรกิจโรงแรมในครั้งนี้ด้วย

โครงการความร่วมมือนี้ ที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการบรรเทาความยากจนผ่านการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยในสถานการณ์ปกติของกัมพูชา ลาว เมียนมา และไทย (Poverty reduction through Safe Migration, Skill Development and Enhanced Job Placement in Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Thailand (PROMISE)) เน้นการช่วยส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวได้รับการพัฒนาทักษะที่เหมาะสม และสร้างโอกาสในการเคลื่อนย้ายผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายต่อไป โดยโครงการได้รับการสนับสนุน ด้านงบประมาณจาก Swiss Agency for Development and Cooperation (SDC) มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้มแข็งในการเชื่อมโยงแรงงานย้ายถิ่นและการลดความยากจนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความร่วมมือด้านการจ้างงานและการพัฒนาทักษะแรงงาน เข้าถึงการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งเป็นคุณวุฒิที่เป็นทางการที่มีความเทียบเท่ากับคุณวุฒิทางการศึกษา รวมถึงการจ้างงานและการคุ้มครองแรงงานที่มีจริยธรรม เพื่อสร้างโอกาสให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่การโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยและการจ้างงานที่มีคุณค่า ได้รับการรับรองทักษะ ความรู้ ความสามารถในการทำงานที่สั่งสมเรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานจริง ให้ได้รับเป็นการรับรองมาตรฐานอาชีพ และการได้รับคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่จะสามารถเป็นเครื่องยืนยันความสามารถในการทำงานที่ได้มาตรฐาน เป็นมืออาชีพในการทำงานอย่างแท้จริง

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 12/10/2565

ก.แรงงาน เร่งตามเงินประกัน ธ.ก.ส. จ่ายเข้าบัญชีแรงงานเก็บเบอร์รี่สัปดาห์หน้า

12 ต.ค. 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) และนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือจากนายธีรศักดิ์ ภักดีนพรัตน์ ชาว จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นตัวแทนที่พาคนงานเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์ 22 คน และที่สวีเดน 27 คน รวมทั้งสิ้น 49 คน เข้ายื่นหนังสือต่อ รมว.แรงงาน เพื่อเรียกร้องให้ช่วยเหลือกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการ 3 ประเด็น คือ 1.ให้นำเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศไปจ่ายให้คนงานคนละ 30,000 บาท 2.กกจ. ในฐานะหน่วยที่จัดส่งการส่งแรงงานไปทำงานในต่างประเทศ ควรกำกับดูแลบริษัทไม่ให้หลอกลวงคนงาน และควบคุมจำนวนแรงงานที่ส่งไปไม่ให้มากเกินความเป็นจริง เพราะทำให้แรงงานมีรายได้กลับมาน้อย 3. ติดตามค่าจ้างค้างจ่ายจากบริษัท อาร์กติก

นายสุรชัย กล่าวว่า ตามข้อเรียกร้อง ทางกกจ.ขอชี้แจงว่าในประเด็นที่ 1 กกจ.ไม่สามารถนำเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศมาจ่ายให้กับคนงานได้ เนื่องจากผิดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ แต่ในการจัดส่งแรงงานไปฟินแลนด์ บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยต้องมีการวางเงินประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยคนละ 30,240 บาท โดยวางหลักประกันการเดินทาง (Bank Guarantee) ไว้กับธนาคาร ธ.ก.ส. ซึ่งสามารถนำมาจ่ายให้กับคนงานที่มีรายได้ไม่ถึงจำนวนเงินประกันรายได้ ประเด็นที่ 2 เรื่องที่บริษัทได้โควตาคนงานเดินทางไปเป็นจำนวนมากนั้น เรื่องนี้มีการประชุมร่วมกัน 3 ฝ่ายคือ ประเทศปลายทาง กรมการจัดหางาน และกรมการกงสุล ถึงจำนวนแรงงานที่ต้องจัดส่ง โดยในปีนี้ ประเทศต้นทางมีการร้องขอให้ไทยจัดส่งแรงงานมากขึ้น ด้วยเหตุที่ปีนี้ไม่มีแรงงานจากยูเครนเข้าไปเก็บผลไม้ป่า ประเด็นที่ 3 เรื่องค่าจ้างค้างจ่าย ขณะนี้ทางสถานทูตที่ฟินแลนด์กำลังติดตาม ขณะที่ กกจ.ก็ได้ติดตามบริษัทผู้ประสานงานฝ่ายไทยที่ส่งแรงงานไปทำงานในต่างประเทศอีกทางหนึ่ง

นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จากการแบ่งกลุ่มซักถามข้อมูล ในส่วนของคนงานที่ไปทำงานที่ฟินแลนด์ ได้มีการเจรจากับตัวแทนผู้ประสานฝ่ายไทย ได้ข้อตกลงว่า กกจ.จะเร่งดำเนินการช่วยเหลือนำเงินที่ทางบริษัทวางเป็นหลักประกันไว้ที่ ธ.ก.ส. นำมาชดเชยจ่ายให้กับแรงงานแต่ละคน ตามข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริงโดยจะโอนเข้าบัญชีให้ภายในสัปดาห์หน้า สำหรับกรณีคนงานที่ไปทำงานที่สวีเดน สหภาพแรงงานของสวีเดนได้มีเงินประกันรายได้ให้คนงานคนละ 24,000 โครน คิดเป็นเงินไทยกว่า 80,000 บาท กระทรวงแรงงานจะเร่งติดตามนำเงินในส่วนนี้ มาชดเชยให้กับแรงงานที่ได้รับรายได้ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ทั้งนี้ แรงงานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งเรื่องรายได้ สวัสดิการ ความเป็นอยู่ สามารถยื่นคำร้องเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดในพื้นที่จังหวัดที่อาศัยอยู่ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

ด้านนายธีรศักดิ์ ภักดีนพรัตน์ ชาว จ.อุดรธานี ตัวแทนคนงานเก็บเบอร์รี่ที่มายื่นหนังสือ กล่าวว่า วันนี้เข้าใจและพอใจประเด็นต่างๆ ที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ อธิบายให้ฟัง ในเรื่องของเงินประกันรายได้ โควตาการจัดส่ง และค่าจ้างค้างจ่าย และอธิบดี กกจ.ก็ได้รับปากว่าจะเร่งนำเงินที่บริษัทวางเป็นหลักประกันรายได้ไว้ที่ธนาคาร ธ.ก.ส.มาจ่ายให้กับคนงานภายในวันสัปดาห์หน้า ตนจึงขอขอบคุณกระทรวงแรงงาน ที่เป็นที่พึ่งของแรงงานได้อย่างแท้จริง

ที่มา: เดลินิวส์, 12/10/2565

เตือนภัยนายหน้าเถื่อนใช้โซเชียลหลอกทำงานผิด กม.ในยูเออี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ว่า มีผู้เสียหายจากกรณีถูกสาย-นายหน้าเถื่อน โฆษณาชักชวนไปทำงานในยูเออีทางสื่อออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชักชวนผ่านการแชท เพื่อให้ไปทำงานในตำแหน่งนวดสปา นวดแอบแฝงค้าบริการ โดยอ้างว่ามีรายได้ดี ค่าจ้างเดือนละ 50,000-100,000 บาท และจะเป็นผู้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พร้อมทั้งจะออกค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่าท่องเที่ยว ค่าหนังสือเดินทาง และค่าที่พัก ให้ก่อน เมื่อผู้เสียคนหายหลงเชื่อ ตกลงเดินทาง สาย-นายหน้าเถื่อนจะเป็นคนจัดการเรื่องการเดินทาง ให้ลบข้อความแชทเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ เมื่อเดินทางไปถึงจะถูกให้เซ็นสัญญาการรับสภาพหนี้ และพาไปทำงานอื่นที่ไม่ได้ตกลงไว้ อาทิ งานในร้านนวดที่มีการลักลอบขายบริการทางเพศ งานด้านการพนันออนไลน์ ระหว่างนี้จะยึดหนังสือเดินทางไว้เพื่อไม่ให้เหยื่อหนี ซึ่งการโฆษณารับสมัครงานดังกล่าว เป็นโฆษณาชักชวนคนไทยให้เดินทางเข้ามาทำงานในธุรกิจที่ผิดกฎหมาย มีหญิงไทยตกเป็นเหยื่อถูกบังคับค้าประเวณี และขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในยูเออีอย่างยิ่ง โดยเน้นย้ำมาตลอดว่าแต่ละประเทศมีกฎหมาย ไปทำงานประเทศใดต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายประเทศนั้นอย่างเคร่งครัด กรณียูเออีนั้น มีกฎหมายที่เข้มงวดและรุนแรง ซึ่งการค้าประเวณีถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย มีโทษทั้งจำทั้งปรับหรือตามที่ศาลพิจารณาและจะถูกเนรเทศ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจได้สั่งการกรมการจัดหางาน (กกจ.) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบเดินทาง และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับคนหางานในพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้รู้ทันเล่ห์กลของสาย-นายหน้าเถื่อน สามารถช่วยสอดส่องผู้มีพฤติการณ์น่าสงสัยที่เข้ามาหลอกลวงคนในชุมชน และแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่ได้” นายสุชาติกล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดี กกจ.กล่าวว่า ขอให้คนไทยที่กำลังหางานในต่างประเทศ ทำความเข้าใจว่าหากสาย-นายหน้ามีพฤติการณ์ชักชวนให้ทำงานผิดกฎหมาย แนะนำให้ลักลอบเข้าประเทศ หรือไปทำงานต่างประเทศโดยไม่แจ้งการทำงานต่างประเทศกับ กกจ. ให้สันนิษฐานเป็นลำดับแรกว่าท่านกำลังถูกหลอกลวง โปรดอย่าหลงเชื่อ สำหรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะมีการตรวจสอบการเดินทางของนักท่องเที่ยวคนไทย โดยให้แสดงเอกสารหลักฐาน เช่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ การจองที่พักในยูเออี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยูเออี มีความเข้มงวดอย่างมากในการจับกุมผู้ใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่อลักลอบทำงานผิดกฎหมาย และผู้ถือวีซ่าหมดอายุ โดยกรณีผู้ที่เดินทางเข้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่าเยี่ยมเยือน และลักลอบทำงานมีโทษปรับ 50,000 ดีแรห์ม หากกระทำผิดซ้ำจะถูกปรับ 2 เท่า และถูกเนรเทศ หากไม่มีเงินค่าปรับ ต้องจำคุกแทนค่าปรับวันละ 100 ดีแรห์ม กรณีอยู่เกินวีซ่า (Overstay) จะโดนปรับวันแรก 200 ดีแรห์ม และวันต่อไปวันละ 100 ดีแรห์ม และค่าธรรมเนียมอีก 100 ดีแรห์ม (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 28 กันยายน 2565 : 1 ดีแรห์ม เท่ากับ 10.44 บาท) นอกจากนี้ การค้าประเวณีในยูเออีมีโทษจำคุกอย่างน้อย 2 เดือน ถูกปรับหรือตามที่ศาลพิจารณาและถูกเนรเทศ

“การลักลอบไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง การไม่ได้เงินเดือนและไม่ได้ทำงานตามข้อตกลง โดยเฉพาะในยูเออีที่หน่วยงานภาครัฐไม่มีอำนาจในการให้ความช่วยเหลือในเคหสถาน ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รับแจ้งความและให้ความช่วยเหลือเท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้ร้องทุกข์ส่วนใหญ่ไม่ต้องการแจ้งความ เพราะเกรงว่าจะถูกจับกุม เนื่องจากเดินทางเข้ามาโดยวีซ่าท่องเที่ยวและลักลอบทำงาน อย่างไรก็ตาม หากถูกกักขัง ทำร้ายร่างกาย หรือเกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่ตนเอง ขอให้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทันที หรือขอความช่วยเหลือโดยกดหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน (999) หรือเฟซบุ๊กตำรวจดูไบ Dubai Police” นายไพโรจน์กล่าว

ที่มา: มติชนออนไลน์, 11/10/2565

แรงงานเมียนมาครึ่งร้อย ถูกหลอกจ่ายค่านายหน้า ปล่อยลอยแพอยู่ในอาคารร้างนานครึ่งเดือน

11 ต.ค. 2565 เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จ.เขียงราย ฉก.ม.2 กองกำลังผาเมือง ทหารกอง 3 ศรภ.บก.ทท.หน่วยข่าวกรองทหาร กองกำลังผาเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านดู่ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) จ.เชียงราย แรงงางน จ.เชียงราย และสำนักงานจัดหางาน จ.เชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พ.อ. กิตติพล ไพรหิรัญ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม.2 พ.ต.อ.พีรพัฒน์ บุญพุทธ ผกก.สภ.บ้านดู่ พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จว.เชียงราย นำกำลังเข้าไปตรวจสอบที่อาคารร้างแห่งหนึ่งไม่มีเลขที่ พื้นที่หมู่บ้านป่ารวก หมู่ 10 ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย หลังจากสืบทราบว่ามี ชาวเมียนมาจำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่

จากการตรวจสอบพบว่าที่ด้านล่างของอาคารที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จมีชาวต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจำนวน 49 คน เป็นชายจำนวน 36 คน และหญิงจำนวน 13 คน โดยทั้งหมดให้การว่ากำลังรอไปทำงานเพราะมีนายจ้างพาไปพักอยู่บริเวณดังกล่าวเพื่อรอทำเอกสาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่พบ นายจ้างและคนนำพา จากการตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดไม่พบว่าได้จดทะเบียนในระบบ Name List ของกรมการจัดหางาน เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งเทศบาล ต.นางแล ไปทำการตรวจร่างกายพบมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาด้วยจำนวน 8 คน จึงแยกตัวออกไปทำการรักษา และนำตัวได้ดำเนินคดีกับคนทั้งหมดต่อตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.เชียงราย และ สภ.บ้านดู่ ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ดำเนินคดีในข้อหาเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเนื่องจากทั้งหมดยังไม่ได้ทำงานและไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยได้นำตัวไปฝากขังที่ไว้ที่ ร้อย.อส.อ.เมืองเชียงราย

โดยทั้งหมดให้การว่าได้ลักลอบเดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา แล้วเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยจ่ายเงินให้นายหน้าคนละ 20,000-30,000 บาท โดยนายหน้าอ้างว่าจะพาไปทำงานที่ จ.เชียงใหม่ แล้วจะทำเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือเดินทางระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ต เอกสารการทำงานในประเทศไทย ให้เรียบร้อย แต่ต่อมาทั้งหมดกลับถูกส่งไปอยู่ที่อาคารร้างดังกล่าวโดยไม่มีงานทำเลยเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว คาดว่าถูกหลอก จึงได้ประสานร้องทุกข์ไปยังศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ จ.เชียงราย ให้นำข้าวปลาอาหารไปให้ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ

ที่มา: บ้านเมือง, 11/10/2565

จับคนขับรถชน พนง.กวาดถนน กทม. แล้ว รับสารภาพขณะเกิดเหตุก้มดูโทรศัพท์มือถือ

10 ต.ค. 2565 กรณีนางสมศรี ยิ้มแฉล้ม ลูกจ้างพนักงานรักษาความสะอาด สังกัดสำนักงานเขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร เสียชีวิตริมทางถนนคู่ขนานกาญจนาภิเษก ล่าสุดตำรวจนครบาลบางชัน สามารถจับผู้ก่อเหตุขับรถกระบะเฉี่ยวชนแล้ว หลังจากที่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ระบุว่า เป็นรถยนต์คันที่ก่อเหตุขับชนนางสมศรี

จากการตรวจสอบพบว่ารถคันนี้มีนายอรรคพล นิมะ เป็นผู้ขับขี่ ตำรวจจึงคุมตัวจากบ้านพัก ในซอยราษฎร์พัฒนา 30 เขตสะพานสูงมาสอบสวน

พล.ต.ต.สุระพรรณ นาทวรทัต ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุรับสารภาพว่า ขณะเกิดเหตุก้มลงดูโทรศัพท์มือถือ แต่อ้างว่าไม่แน่ใจว่าขับรถเฉี่ยวชนสิ่งใดเพราะมองไม่เห็น

คดีนี้ตำรวจพบไฟตัดหมอก ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงสืบสวนขยายผลจากหลักฐานชิ้นนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเสียหายที่พบจากของรถยนต์กระบะที่ยึดได้

ส่วนการตรวจสอบร่างกายไม่พบสารเสพติด หรือแอลกอฮอล์ ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นเสียชีวิต และไม่หยุดช่วยเหลือแจ้งเหตุ รวมทั้งจะพิจารณา แจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่รถยนต์

สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นพนักงานรักษาความสะอาดของเขตสะพานสูงใกล้เกษียณแล้ว มาปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับเพื่อนร่วมงานในเวลา 04.00 น.ของทุกวัน โดยเดินไกวาดขยะริมทางคู่ขนาน

แต่ปรากฏว่าระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น เพื่อนร่วมงานเห็นผิดสังเกตว่า ผู้เสียชีวิต ไม่ได้กวาดถนนตามมาเป็นแถว เมื่อเดินย้อนกลับไปสำรวจจึงพบร่างของนางสมศรี ตกลงไปในสวนข้างทาง ลึกเข้าไปจากริมถนนประมาณ 5 เมตร

ที่มา: Thai PBS, 10/10/2565

"ประกันสังคม"เร่งช่วยเหลือครอบครัว "เหยื่อกราดยิง"

จากเหตุคนร้าย "กราดยิง"ประชาชนในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 "นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์"ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ เรืออากาศเอกหญิงศุภพร อยู่วัฒนา ผู้ตรวจราชการกรมสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายนับแต่เกิดเหตุการณ์ โดยมีนางทิพย์วรรณ แตงร่ม ประกันสังคมจังหวัดหนองบัวลำภู

พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ ในส่วนของ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้มอบสิทธิประโยชน์ให้กับทายาทลูกจ้าง อบต.อุทัยสวรรค์ ที่เสียชีวิตเนื่องจากการทำงาน จำนวน 2 ราย เป็นเงินรวม 2,298,031 บาท และมอบสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพคืนแก่ทายาทผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนจำนวน 5 ราย เป็นเงิน จำนวน 127,524 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,425,555 บาท

นอกจากนี้ ยังมีน้ำใจจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน ที่ได้รวบรวมกันเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบเหตุ ครอบครัวละ 5000 บาท จำนวน 32 ครอบครัว เป็นจำนวนเงินรวม 160,000 บาท เรืออากาศเอกหญิงศุภพร อยู่วัฒนา ผู้ตรวจราชการกรมสำนักงานประกันสังคม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือดังกล่าว

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ตนได้มอบผู้ตรวจราชการกรมและทีมงานลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดต่อทายาทเพื่อเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือตามสิทธิ์กองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม รวมทั้งยังได้รับความเมตตาจากท่านปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผู้เป็นหลักในการรวบรวมเงินช่วยเหลือจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ได้เงินจำนวนถึง 160,000 บาท เพื่อช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว

หลังจากนี้ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ยังจะอยู่เคียงข้างครอบครัวผู้ประกันตนและประชาชนผู้ประสบเหตุ โดยมีการวางแผนจะลงพื้นที่เพื่อเป็นเพื่อนรับฟังรวมทั้งจะให้คำแนะนำการสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพื่อหากมีเหตุที่ไม่คาดคิดก็จะยังมีสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานคอยดูแลช่วยเหลือต่อไป

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 9/10/2565

เผย 10 พ.ค.-29 ก.ย. 2565 แรงงานเมียนมาข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมา เข้ามาทำงานในไทยรวมแล้วกว่า 56,000 คน

นายโมโจ ผู้ประสานงานแรงงานเมียนมา ในพื้นที่ชายแดน จ.ตาก บอกกับบีบีซีไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. 2565 จนถึงวันที่ 29 ก.ย. 2565 มีแรงงานเมียนมาในระบบเอ็มโอยู เข้ามาทำงานในประเทศไทยจำนวน 56,000 คน และเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆในขณะนี้

แรงงานเมียนมาที่เข้ามาเพราะปัญหาการว่างงาน ปัญหาเศรษฐกิจ และความไม่สงบในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่เมืองสกายกับพะโค ที่กลุ่มพีดีเอฟหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา มีอิทธิพลในพื้นที่มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ชาวเมียนมาที่ไม่อยากอยู่ในประเทศ สามารถเดินทางออกมาขายแรงงานในต่างแดนได้ โดยมีจุดหมายที่ไทยและมาเลเซีย

ขณะที่เจ้าหน้าที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก บอกกับบีบีซีไทยว่า ตัวเลขแรงงานเมียนมา ณ ปัจจุบัน ยังเทียบไม่ได้กับช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยในช่วงนั้น มีแรงงานเมียนมาในระบบเอ็มโอยูทะลักเข้าไทยกว่า 600,000 คน อย่างไรก็ตามทางสภาอุตฯ จังหวัดเชื่อว่าตัวเลขในปัจจุบันจะขยับขึ้นเรื่อย ๆ หลังรัฐบาลไทยผ่อนคลายมาตรการตามแนวชายแดน

ที่มา: BBC Thai, 8/10/2565

วงเสวนาถอดบทเรียน แรงงานข้ามชาติถูกละเมิดสิทธิแรงงาน-ละเมิดทางเพศ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ และโครงการเพื่อหญิงย้ายถิ่นแม่สอดภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ Safe & Fair และ UN Women Thailand ได้สัมมนาเรื่อง “บทเรียนและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเข้าถึงความคุ้มครองของแรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรง”

น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธาน กสม. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า จากข้อมูล พบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกเคยประสบความรุนแรงในชีวิต ในประเทศไทย พบผู้หญิง 44% ถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือคนที่รู้จัก และ 87 % ของผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือใดๆ และมีอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แรงงานหญิงข้ามชาติเป็นกลุ่มที่เสี่ยงถูกกระทำความรุนแรง และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่าง ๆ และยิ่งมีอุปสรรคในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากปัญหาด้านภาษา และการไม่รู้สิทธิ อคติต่อแรงงานข้ามชาติ หรือสถานภาพการเข้าเมือง เป็นต้น การสัมมนาในวันนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย อันน่าจะนำไปสู่แนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานในการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่แรงงานหญิงข้ามชาติตามหลักการสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติต่อไป

นางสาวสุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน 1ในผู้ร่วมอภิปราย กล่าวว่า รัฐธรรมมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 กำหนดว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุต่างๆอาทิเชื้อชาติ สถานะของบุคคล จะกระทำมิได้ ดังนั้น สถานะการเข้าเมืองของผู้เสียหายในคดีอาญา จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาเป็นเงื่อนไขที่จำกัดการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการได้รับการเยียวยา และกล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐอเมริกามีแนวปฎิบัตืที่จะทำให้ผู้เสียหายสบายใจที่จะเช้าแจ้งความ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับสถานะการเข้าเมืองของตน ประกอบด้วย 3 Don’t ได้แก่ 1) Don’t Ask ไม่ให้ตำรวจสอบถามผูเสียหายเรื่องสถานะการเข้าเมือง 2) Don’t tell ไม่ให้ตำรวจส่งต่อข้อมูลสถานะการเข้าเมืองแก่หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง 3) Don’t Enforce ไม่ให้ตำรวจดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเมืองกับผู้เสียหาย ซึงถิอเป็นข้อท้าทายในการดำเนินการสำหรับประเทศไทย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สถิติการจับกุมคดีค้ามนุษย์ คดีความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กปี 2565 มีประมาณ 360 คดี มากกว่าการจับกุมตั้งแต่ปี 2561-2564 รวมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้ เป็นต้นไป จะเน้นทั้งการป้องกัน และการปราบปราม โดยตำรวจและ อัยการ จะทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็จะทำงานร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการเยียวยาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการตั้งศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี เพิ่มกระบวนการทำงานร่วมกันกับสหวิชาชีพ และล่ามในการคัดแยกเหยื่อด้วย โดยจะมีการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศให้ครบ 100% ภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่อบรมไปได้ 17-18 % ในช่วงท้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ตอบข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคม (NGO) ที่ต้องการให้ สตช. มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เรื่องการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องสถานะบุคคลของผู้เสียหาย ว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างร่างระเบียบ

นางกุสุมา พนอนุอุดมสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า หากเป็นผู้พักพิงอยู่ใต้ชายคาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือแรงงานต่างชาติ ถือว่าเป็นครอบครัว แรงงานข้ามชาติ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแล ดังนั้นเราจึงร่วมกับยูเอ็น จัดทำระเบียบขั้นตอนการปฏิบัติระดับชาติ เพื่อยุติและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง และแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะเหตุฉุกเฉิน ต้องได้รับการช่วยเหลือก่อนค่อยมาว่ากันเรื่องของการเข้าเมืองถูกหรือผิดกฎหมาย เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อไป

นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการดูแลสิทธิแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1111 กด 77, แอพพลิเคชั่น Justice Care และ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ซึ่งจะช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมายฟรี และน่ายินดีที่เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเห็นชอบให้จ่ายเยียวยา แก่จำเลยในคดีอาญา โดยให้จ่ายกับแรงงานข้ามชาติที่เป็นเหยื่อถูกกระทำความรุนแรงที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ และเยียวยาให้กับแรงงานข้ามชาติที่ตกเป็นแพะในคดีความ ไม่ว่าจะเข้าเมืองแบบถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมายก็ตาม และหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว จากเดิมที่ให้เฉพาะคนเข้าเมืองถูกกฎหมายเท่านั้น

นางสาวนภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยราวๆ 2.2 ล้านคน ในแง่ของการคุ้มครองสิทธิแรงงานจะมีมาตรการเชิงรุก คือลงพื้นที่ตรวจสถานประกอบการ โดยเฉพาะที่เสี่ยงจะละเมิดสิทธิแรงงาน เช่น ภาคเกษตร และประมง ปีที่ผ่านมามีการตรวจพบแรงงานข้ามชาติหญิงถูกละเมิดสิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานกว่า 2 หมื่นราย เช่น สิทธิวันหยุด วันลา ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดรับเรื่องร้องเรียนด้วย โดยไม่ดูว่าเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ หากถูกละเมิดก็จะคัดกรองระดับความเสียหาย และให้การช่วยเหลือก่อน จากนั้นค่อยว่ากันในเรื่องของความผิดหลบหนีเข้าเมือง

นพ.ปณิธาน รัตนสาลี รอง ผอ. กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดูแลรักษาแรงงานข้ามชาติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม เป็นการรักษาตามหลักสิทธิมนุษยชนไปก่อน เรื่องค่ารักษา และอื่นๆค่อยมาว่ากันทีหลัง ซึ่งเมื่อมีเคสเข้ามาจะมีเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ทำการประเมิน และระหว่างรักษาก็จะร่วมกับสหวิชาชีพในการตรวจสอบข้อมูล ว่าหากรักษาหายแล้วจะสามารถกลับเข้าไปอยู่ในครอบครัว หรือชุมชนได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำที่อาจจะรุนแรงขึ้น

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 7/10/2565

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'แสงอรุณรุ่งที่สาดส่องไปยังมุมมืดของสังคมไทย'คำนิยมจาก 'พล.ต.ต.ปวีณ'

$
0
0

รังสิมันต์ โรม เปิดคำนิยมจาก "พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์"ในหนังสือ "ขุดสิ่งที่ถูกฝังลืม ให้กลับมาเป็นที่จดจำ"โดยพล.ต.ต.ปวีณ ได้เขียนถึง "แสงอรุณรุ่งที่สาดส่องไปยังมุมมืดของสังคมไทย"การทุจริต คอร์รัปชัน ค้ามนุษย์ ที่ถูกซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดในมุมมืดของสังคมไทย

 

 

14.ต.ค.2565 รังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม”เปิดเผยคำนิยมจากพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในหนังสือ "ขุดสิ่งที่ถูกฝังลืม ให้กลับมาเป็นที่จดจำ"ซึ่งรวมคำอภิปรายของโรมในสภา โดยพล.ต.ต.ปวีณ ได้เขียนคำนิยมถึง"แสงอรุณรุ่งที่สาดส่องไปยังมุมมืดของสังคมไทย"

"แสงอรุณรุ่งที่สาดส่องไปยังมุมมืดของสังคมไทย"

หากกล่าวถึง “สัปปายะสภาสถาน” คืออาคารรัฐสภาซึ่งเป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา นับเป็นสถานที่ที่สำคัญยิ่งของประเทศ ใช้เพื่อการอภิปรายถกปัญหาสำคัญต่างๆ นำมาสู่การหารือ หาทางแก้ไข หาข้อสรุป หรือซักถามเพื่อหาคำตอบให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยมีผู้แทนจากประชาชนทั่วทุกภูมิภาคมาประชุมร่วมกัน นอกจากอาคารสถานที่จะสำคัญแล้ว เนื้อหาสาระในการนำเสนอนั้นดูจะโดดเด่น สะดุดใจผู้คนยิ่งกว่า หากประเด็นปัญหาที่นำเสนอนั้นสร้างความตกตะลึง สะเทือนฟ้า สะท้านแผ่นดิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความจริงที่ถูกปิดกลบ ซํ้ายังถูกละเลยจากสังคมและสื่อมวลชนมาเนิ่นนาน เมื่อความจริงนั้นถูกเปิดเผยในสถานที่ที่สำคัญ ผู้คนรับรู้ไปทั่วประเทศและทั่วทุกมุมของโลก ย่อมเป็นการพิสูจน์และท้าทายความรู้สึกนึกคิด จิตสำนึกของคนไทยทุกๆ คนเมื่อได้ฟังได้ยินปัญหานี้ที่ได้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย ว่ายังจะเย็นชา ไม่ยินดียินร้ายอีกต่อไปหรือไม่ เพราะมาตรฐานจริยธรรมที่เป็นสากลของโลกนั้นรับไม่ได้อย่างแน่นอน

เรื่องที่เป็นปัญหาและถูกหยิบยกมาอภิปรายนั้น คือคดีดาวเทียมไทยคม ผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศที่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่มีทางต่อสู้หรือเรียกร้องใดๆ เพราะการกระทำของผู้มีอำนาจรัฐในมือร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจนายทุนกระทำการฉ้อฉลด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพื่อตนเองและพวกพ้องเพียงเท่านั้นอย่างหน้าไม่อาย

นอกจากนั้นแล้ว กรณีการทุจริตที่กองบินตำรวจ นับเป็นการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการด้วยกลวิธีต่างๆ เพื่อตักตวงผลประโยชน์ที่ประชาชนคนไทยต้องจ่ายเป็นภาษีได้รั่วไหลเข้ากระเป๋าข้าราชการของรัฐในทุกระดับ เมื่อได้สดับรับฟังก็ทำให้รู้สึกสมเพชต่อข้าราชการเหล่านั้นยิ่งนัก

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์

ในสารคดี Thailand’s Fearless Cop ของ สำนักข่าว Al Jazeera

อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยต้องสะพรึงกับความโหดร้ายที่คนด้วยกันกระทำต่อกันโดยปราศจากความเมตตากรุณา คือขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญาเหมือนผู้ถูกกระทำเป็นเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานและนำไปขายเหมือนสินค้า เพียงหวังผลประโยชน์ที่เป็นเงิน ซํ้าร้ายที่ตํ่าทรามเกินกว่าจะจินตนาการได้ เมื่อผู้ที่มีส่วนร่วมในขบวนการมีทุกระดับไม่แยกว่าจะมีระดับความรู้หรือตำแหน่งหน้าที่ราชการสูงตํ่ามากน้อยเพียงใด จิตใจของคนเหล่านี้เหมือนเช่นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เว้นแม้แต่บุคคลระดับสูงของประเทศ หากไม่ปรากฏหลักฐานย่อมเป็นการยากเหลือเกินที่ความชั่วช้าของคนเหล่านี้จะถูกเปิดเผยให้สังคมรับรู้ได้ เพราะต่างเคลือบผิวนอกไว้ว่าเป็นเหล่าคนดีกันแทบทั้งสิ้น

ความจริงที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ย่อมมีทั้งที่ปรากฏให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่ต้องมีการอธิบาย หากแต่ในบางครั้งความจริงนั้นถูกปกปิดซ่อนอยู่ในที่มืดมิด อยู่ในที่ลับ อยู่ในกลุ่มคนชั่ว ต้องสืบค้น ต้องขุดคุ้ย เพราะสิ่งนั้นได้ทำลายสังคมของมนุษย์ในทุกด้าน แต่การพิสูจน์ค้นหาความจริงก็มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายเสมอไป ผู้ที่เข้าไปพิสูจน์จะต้องมีทั้งความรู้ คุณธรรม จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี มีความกล้าหาญ มีความพยายามอย่างยิ่งยวด และเมื่อไปทำลายผลประโยชน์อันมากมายมหาศาล ย่อมต้องพร้อมที่จะเป็นศัตรูต่อเหล่าคนชั่วที่เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจและบริวารรับใช้

คุณรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจากพรรคก้าวไกล เป็นผู้นำปัญหาสำคัญๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สำคัญยิ่งด้วยวาทะที่เฉียบคม เร่าร้อนชวนให้ติดตาม จนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วฟ้าเมืองไทยและข้ามไปไกลถึงต่างแดนทั่วโลก

ต้องยอมรับความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีพลังของคุณรังสิมันต์ โรม เปรียบได้กับพลังของแสงอาทิตย์ที่กำลังรุ่งอรุณ สาดแสงอันแรงกล้าไปยังปัญหาอันชั่วช้าที่ถูกซุกซ่อนอย่างมิดชิดในมุมมืดจนสว่างคาสายตาของคนทุกคนให้ได้เห็นอย่างแจ่มชัด ตรงไปตรงมาถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาสำคัญๆ ของประเทศไทย และเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เมื่อเห็นปัญหาแล้วจะจัดการอย่างไร

พลังแห่งแสงที่ยังอรุณรุ่งของคนหนุ่ม แม้เพียงเพิ่งพ้นขอบฟ้ายังเจิดจ้าถึงเพียงนี้ ในการส่องนำสังคมไทยให้เห็นถึงปัญหา ได้ตระหนักและนำมาขบคิด เพื่อสร้างสังคมที่ดีให้กับประเทศชาติได้อย่างมากมาย หากพลังของแสงนี้ยิ่งแก่กล้า จะยิ่งเปล่งประกายได้สุดพรรณนา น่าติดตามยิ่งนักสำหรับคุณรังสิมันต์ โรม

สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านพลิกอ่านเรื่องราวทั้งหมดที่ได้บันทึกผ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อพาท่านย้อนรำลึกถึงบรรยากาศในรัฐสภา ณ วันที่คุณรังสิมันต์ โรม ได้อภิปรายและสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นในสังคม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแรงกระเพื่อมนั้นเองจะส่งถึงทุกท่านด้วยเช่นกัน

 

 

ปวีณ พงศ์สิรินทร์

เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย

30 สิงหาคม 2565

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผอ.ศูนย์นโยบายเพื่อไทยเปิด 10 จุดต่าง ทำไม 'เขตธุรกิจใหม่'ของพรรค จึงเหนือกว่า 'EEC'

$
0
0

เผ่าภูมิ ผอ.ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย เ เปิด 10 จุดต่าง ทำไม “เขตธุรกิจใหม่” ของเพื่อไทย จึงเหนือกว่า “EEC” ย้ำสนับสนุน เปิดโอกาส และเป็นเขตบ่มเพาะทุนย่อยและ SMEs ให้แข่งขันกับทุนใหญ่ได้

 

14 ต.ค.2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานว่า เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงข้อแตกต่างที่ทำให้นโยบาย “เขตธุรกิจใหม่ 4 ภาค” ของพรรคเพื่อไทย เหนือกว่า อีอีซี (EEC หรือ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) 10 ข้อ ดังนี้ 

1. อีอีซี แก้ปัญหาด้วยปลายเหตุด้วยสิทธิประโยชน์มาล่อใจ “เขตธุรกิจใหม่” เข้าไปแก้ไขต้นตอ ทั้งด้านกฎหมายที่เป็นอุปสรรค (โดยการสร้างกฎหมายธุรกิจชุดใหม่) สร้างสิทธิประโยชน์ชุดใหม่ และสร้างระบบนิเวศน์ใหม่ทั้งระบบ

2. กฎหมายพิเศษในอีอีซี คือกฎหมายเพื่อส่งเสริมสิทธิประโยชน์ แต่ใน “เขตธุรกิจใหม่” จะมีแพคเกจกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ที่ครอบคลุมทุกด้าน เช่น ใบอนุญาต ที่ดินทำกิน การผูกขาดและการแข่งขันทางการค้า การนำเข้าส่งออก แรงงาน วีซ่า ภาษี สิทธิประโยชน์ ธุรกรรมการเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา ระบบยุติธรรม เป็นต้น

3. อีอีซี สนับสนุนทุนใหญ่ อุตสาหกรรมหนักไม่กี่ด้าน เพิ่มการผูกขาด แต่ “เขตธุรกิจใหม่” สนับสนุน เปิดโอกาส และเป็นเขตบ่มเพาะทุนย่อยและ SMEs ให้แข่งขันกับทุนใหญ่ได้ เขตธุรกิจใหม่ผนวกกับกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ จะเป็นกลไกที่เข้าต่อสู้กับปัญหาทุนผูกขาด ผ่านระบบใบอนุญาตชนิดพิเศษ

4. อีอีซี ขาดสิทธิประโยชน์ด้านการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ แต่ “เขตธุรกิจใหม่” มีกฎหมายที่สนับสนุนและรับรอง เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) และบล็อกเชนของไทย เพื่อธุรกรรมที่ไร้รอยต่อ ค่าใช้จ่ายเข้าใกล้ศูนย์

5. อีอีซี คือจิกซอว์ไม่ครบวงจร แต่ใน “เขตธุรกิจใหม่” ระบบนิเวศน์ที่ครบวงจรจะเป็นฐานให้ภาคเอกชน ทั้งสาธารณูปโภค ทั้งพื้นฐานและด้านดิจิทัล โลจิสติกส์ การเชื่อมมหาวิทยาลัย การผลิตคน และการจับคู่คนกับงาน ผ่านเพลตฟอร์มกลาง รวมทั้งระบบธนาคารและการค้ำประกันสินเชื่อที่ถูกออกแบบโดยเฉพาะ

6. อีอีซี ไม่แก้ปัญหาเรื่องตลาดในประเทศที่เล็ก และปัญหาไทยไม่เชื่อมโลก แต่ “เขตธุรกิจใหม่” สร้างตลาดใหม่ด้วยสนธิสัญญาการค้าและข้อตกลงทางการค้าการลงทุนพิเศษ ที่เป็นทางลัดให้ไทยเชื่อมโลก แก้ไขปัญหาตลาดในประเทศที่เล็ก ด้วยการเชื่อมโลกให้กว้าง

7. อีอีซี และส่วนต่อขยายของอีอีซี จำกัดอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ระเบียงภาคเหนือจำกัดที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ อีสานจำกัดที่อุตสาหกรรมหมุนเวียน แต่ “เขตธุรกิจใหม่” เปิดกว้าง โดยเป็นพื้นที่พิเศษที่มีสภาวะแวดล้อมที่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของประชาชนในทุกด้าน ไร้ขีดจำกัด

8. อีอีซี เน้นมิติเดียว ดึงเงินต่างชาติเข้ามาลงทุน “เขตธุรกิจใหม่” เป็น Dual-track ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ดึงเงินนอกเข้าใน สร้างเงินในให้เฟื่องฟู

9. อีอีซี มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย เพราะสร้างกฎหมายเพื่อควบคุม แต่ “เขตธุรกิจใหม่” ตั้งใจเข้าไปปลดล็อกทุกหมายที่เป็นอุปสรรค โดยยึดหลัก สิ่งใดที่กฎหมายไม่ได้ห้าม หมายถึงสิ่งนั้นทำได้

10. อีอีซี ขาดกลไกนอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ในการดึงเงินต่างชาติ แต่ “เขตธุรกิจใหม่” ดึงเงินต่างชาติด้วยความพร้อมของโครงสร้างใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้น รวมถึงกลไกพิเศษที่จะสามารถ เปิดเขื่อนให้เงินต่างชาติไหลเข้าสู่ประเทศ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พริษฐ์ วัชรสินธุ :ปาฐกถา 49 ปี 14 ตุลา ยังอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็น ปชต.  ชู 4 พันธกิจเปลี่ยนประเทศ

$
0
0

'พริษฐ์ วัชรสินธุ'ขึ้นเวทีปาฐกถา 14 ตุลา ชี้ 49 ปี ไทยยังคงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย - ชู 4 พันธกิจเปลี่ยนประเทศสู่ประชาธิปไตย ที่คนทุกรุ่นต้องร่วมมือกัน

 

14 ต.ค. 2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงปาฐกถางาน '14 ตุลา 16 ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยแค่ไหน'พริษฐ์เริ่มต้นปาฐกถาด้วยการอธิบายว่าโจทย์ของพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกว่า 49 ปี และตนเองไม่ได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ แต่ด้วยความที่ 14 ตุลา เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ถูกตีความอย่างหลากหลายโดยคนแต่ละกลุ่ม ตนจึงตั้งใจที่จะพยายามสรุปและอธิบายเหตุการณ์ผ่านมุมมองของคนแต่ละยุค ทั้งมุมมองที่มองว่า 14 ตุลาเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และมุมมองที่อาจมองว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นชัยชนะที่ลวงตาและไม่สามารถนำไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืนซึ่ง

พริษฐ์กล่าวว่า 14 ตุลา อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่สามารถกำจัดระบบทรราชอย่าง ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ออกไปจากระบบการเมืองไทยได้ก็จริง แต่ 3 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา กลับเกิดเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 6 ตุลา 2519 โดยเหตุการณ์นี้พริษฐ์อธิบายว่า "เป็นเสมือนการล้างไพ่ประชาธิปไตยไทย ให้ถอยกลับไปอยู่จุดเดิม หรือแย่กว่าเดิม"พริษฐ์ยังอธิบายต่อไปอีกว่า คนรุ่นใหม่ในเหตุการณ์ 14 ตุลา กับคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน เติบโตมาในโลกที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน

พริษฐ์ กล่าวว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในแต่ละยุคต้องพบเจอเหมือนกัน คือการเติบโตมาในยุคที่การเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น คนรุ่นใหม่ในยุค 14 ตุลาเป็นยุคที่เติบโตมากับระบบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและมีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 17 ขณะที่คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างเต็มใบและต้องอาศัยอยู่ภายใต้ 'ระบอบประยุทธ์'ซึ่งเป็นเสมือนเผด็จการอำพรางที่ชุบตัวจากการเลือกตั้ง แต่ยังคงมีกลไกควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จผ่านกลไกสืบทอดอำนาจ ส.ว. 250 คนศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระรวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

แต่ตัวอย่างหนึ่งที่มีความแตกต่าง คือในมิติเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลต่อความยาก-ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร คนรุ่นใหม่ยุค 14 ตุลามีทางเลือกในการติดตามข่าวสารอย่างจำกัดเพราะเทคโนโลยีขนาดนั้นมีเพียงวิทยุหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เท่านั้นซึ่งก็ไม่ได้มีอุปกรณ์เหล่านี้ครบทุกบ้าน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกควบคุมและกำกับโดยรัฐในทางกลับกันคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันกลับมีช่องทางในการติดตามข่าวสารมากมายนับไม่ถ้วนเพราะการเติบโตของอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียรัฐไม่อาจควบคุมและจำกัดข้อมูลเนื้อหาได้ดังเช่นในอดีต

แม้ความแตกต่างระหว่างรุ่นเป็นเรื่องปกติ แต่จากโจทย์ปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทยและที่มีการปะทะกันระหว่างระบบที่ล้าหลังและสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายและความตั้งใจของคนยุค 14 ตุลา มีภารกิจหลายส่วน ที่สอดคล้องกับความฝันของคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน แต่ยังไม่สำเร็จถึงฝั่งและยังต้องอาศัยพลังและเจตจำนงของคนทั้ง 2 รุ่น ในการร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป

เป้าหมายที่หนึ่งคือการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย – แม้เหตุการณ์ 14 ตุลาได้นำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2517 แต่กระบวนการจัดทำยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นฉบับที่มีอายุเพียง 2 ปี ก่อนถูกฉีกโดยคณะรัฐประหาร ปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ธรรมนูญปี 2560 ซึ่งถูกเขียนโดยคณะรัฐประหาร มีวัตถุประสงค์ในการสืบทอดอำนาจ และมีเนื้อหาที่ขัดกับหลักสากล จึงต้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ผ่าน สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

เป้าหมายที่สองคือการขับเคลื่อนประชาธิปไตยในเชิงวัฒนธรรม ที่ไปไกลกว่าการกำจัดผู้นำเผด็จการ แม้ 14 ตุลาจะเป็นหมุดหมายสำคัญทางการเมืองไทยที่ภาคประชาชนรวมกันแสดงตัวเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เห็นว่าการตื่นตัวของประชาชนไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะที่ยังยืนของประชาธิปไตยเสมอไป ตราบใดที่เรายังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในระดับความคิด และกำจัดวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ระบบราชการ ยันระบบการศึกษา เพื่อสร้างโครงสร้างและวัฒนธรรม ที่อยู่บนฐานของการไว้วางใจประชาชน

เป้าหมายที่สามคือการปฏิรูปกองทัพให้เป็นของประชาชน ในการเคลื่อนไหวเมื่อ 49 ปีที่แล้ว ประชาชนมีความต้องการนำเผด็จการทหารออกจากการเมืองแต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ประเทศยังไม่ได้หลุดพ้นจากระบบการเมืองที่กองทัพเข้ามาแทรกแซงจนถึงยุคปัจจุบัน การปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลจึงเป็นวาระเร่งด่วน ตั้งแต่ การทำให้กองทัพแยกขาดจากการเมืองโดยการกำหนดไม่ให้นายพลเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณไปแล้วหลายปี การลดบทบาทและอำนาจของสภากลาโหม การทำให้กองทัพโปร่งใสลถูกตรวจสอบได้โดยประชาชน และการสร้างกองทัพที่เท่าทันกับโลก โดยไม่มีสิทธิพิเศษเหนือพลเรือน

เป้าหมายที่สี่ คือการทลายระบอบอุปถัมภ์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงก่อน 14 ตุลา ที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้กำมือของเครือข่ายสามทหาร และยังคงเป็นปัญหามาถึงยุคนี้ที่เต็มไปด้วยการบริหารราชการแบบรวมศูนย์ และการขยายตัวของกลุ่มทุนผูกขาด การวางโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มุ่งให้เกิดการแข่งขันโดยปราศจากระบบอุปถัมภ์ และการวางโครงสร้างทางการเมืองที่มุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นภารกิจที่ยังไม่เสร็จและต้องสานต่อในยุคปัจจุบัน

พร้อมกันนี้ ได้สรุปว่าภารกิจทั้ง 4 ภารกิจนี้เป็นภารกิจสำคัญที่คนสองรุ่นมีร่วมกัน และเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยพลังของทุกรุ่นในการขับเคลื่อนให้สำเร็จ

แต่นอกจากการสานต่อภารกิจที่มีร่วมกัน เรายังจำเป็นต้องทำให้ประเทศไทยคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของคนทุกรุ่น เพื่อเป็นสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกชุดความคิดที่แตกต่างกัน และโอบรับทุกความฝันที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวในการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยได้อย่างแท้จริง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ตัวแทนพรรคการเมือง ร่วมรำลึก 49 ปี '14 ตุลา'

$
0
0

ตัวแทนจากพรรคการเมือง อาทิ เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาธิปัตย์ และเสรีรวมไทย ร่วมรำลึก 49 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เพื่อไทย ระบุ 14 ตุลา ส่งมอบแนวคิดประชาธิปไตยฝังแน่นถึงคนรุ่นนี้ ก้าวไกล ชี้ 49 ปี 14 ตุลา เป็นภาพสะท้อนความพ่ายแพ้บนชัยชนะของประชาธิปไตย

 

14.ต.ค.2565 ช่วงเช้าวันนี้ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว มูลนิธิ 14 ตุลา จัดงานรำลึก 14 ตุลา ประจำปี 2565 มีตัวแทนพรรคการเมือง ร่วมรำลึก 49 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 อาทิ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีรวมไทย ฯลฯ

ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานว่า นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ร่วมวางพวงมาลาร่วมรำลึกถึงวีรชนจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ปราบปรามเยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษา ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมืองที่ถูกจับกุมฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฎหมาย   

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า ขอคารวะและรำลึกถึง วีรชน 14 ตุลา ทุกคนด้วยจิตศรัทธา  การต่อสู้ของวีรชนผู้กล้า ทั้งที่เปิดผู้วายชนม์ และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ ณ วันนี้ ผ่านมา 49 ปีจากเหตุการณ์ดังกล่าว การเมืองในประเทศไทยจะมีกลไกประชาธิปไตยที่ไม่แท้จริง เป็นประชาธิปไตยที่เป็นเพียงรูปแบบ แต่จากประสบการณ์ของวีรชนผู้กล้าหาญในวันนั้น ได้ก่อรูปร่างสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ฝังแน่นในหัวใจประชาชน ส่งต่อสืบทอดมาถึงคนรุ่นนี้

ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ขอระลึกถึงและสดุดีทุกดวงวิญญาณของวีรชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา แม้ผ่านมาเกือบ 50 ปี แต่การเมืองไทยวนลูปเดิม คือ  ‘ยึดอำนาจ-ร่างรัฐธรรมนูญ-ผู้นำทหารตั้งพรรค-มีการเลือกตั้ง’ มาถึงจุดนี้ สังคมไทยได้เรียนรู้มากมายจากคณะ “3 ป.” เรียนรู้ว่าผู้มีอำนาจหวงแหนอำนาจ ได้เรียนรู้ว่าผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน  โดยมีส่วนสนับสนุนมาจาก ส.ว.250  คน ไม่มีความยึดโยงกับประชาชน  ทั้งนี้จากหลายเหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมือง  บทเรียนต้องไม่กลายเป็นบทลืม ทุกคนเรียนรู้ร่วมกันได้และต้องก้าวเดินไปด้วยกัน

ด้านทีมสื่อพรรคก้าวไกลรายงานว่า 49 ปี 14 ตุลา เป็นภาพสะท้อนความพ่ายแพ้บนชัยชนะของประชาธิปไตย โดยก้าวไกล-ก้าวหน้า ร่วมรำลึก 14 ตุลา อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เดินทางไปยังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ร่วมรำลึกเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศไทย วัน 14 ตุลา มหาวิปโยค ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยมีมวลชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมต่อต้านเผด็จการในเวลานั้น โดยกิจกรรมวันนี้มีทั้งญาติวีรชนเหตุการณ์ ประชาชน นักกิจกรรมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นักการเมืองเข้าร่วมงาน

อมรัตน์เป็นตัวแทนจากพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยเริ่มต้นด้วยการคารวะผู้เสียสละในเหตุการณ์ 14 ตุลา ก่อนจะกล่าวถึงใจความสำคัญของเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าเป็นทั้ง 'ชัยชนะ'และ 'ความพ่ายแพ้'โดยที่กล่าวเช่นนั้นเพราะว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา สามารถขับไล่เผด็จการที่ครองอำนาจไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันภายในเวลา 3 ปีเท่านั้นเผด็จการกลับมาของอำนาจและกลับมามีบทบาทในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งครั้งของความรุนแรงที่ก่อโดยรัฐ ที่ปัจจุบันยังไม่มีผู้กระทำผิดได้รับโทษ

อมรัตน์ยังได้ไล่เรียงถึงเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 2516 6 ตุลา 2519 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2553 ซึ่งทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า เราไม่สามารถขับไล่เผด็จการและมีชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ เป็นเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองความคิดของประชาชนทั้งหมดได้ ดังนั้นการขับไล่เผด็จการยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศแต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างและในระดับรัฐบาล

"เราต้องเปลี่ยนที่โครงสร้างของประเทศ เอากองทัพออกไปจากการเมืองยุติการเข้ามาของอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ หรือ มือที่มองไม่เห็นหยุดการแทรกแซงทางการเมืองจากองคาพยพที่ไม่เกี่ยวข้อง"อมรัตน์กล่าว

อมรัตน์ ยังได้ย้ำว่าปัจจุบันเป็นเวลากว่า 90 ปีแล้วที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยแต่ประเทศไทยยังไม่ "ตรงปก"ประเทศรัฐธรรมนูญเสียที ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำ

นอกจากนี้ พรรณิการ์ ตัวแทนจากคณะก้าวหน้าที่เดินทางมาพร้อมกัน กล่าวเสริมถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาไว้ว่า ไม่ควรมีใครต้องต่อสู้เรียกร้อง และล้มตายเพื่อประชาธิปไตย และเหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ เพราะเป็นการตื่นตัวของนิสิตนักศึกษา มวลชน กรรมกร ชาวนา ครั้งใหญ่ ทั่วประเทศลุกฮือกัน ไม่ใช่เพียงเฉพาะกรุงเทพมหานคร แต่ชัยชนะในครั้งนั้นกลายเป็นความพ่ายแพ้เพราะมันไม่ใช่ชัยชนะที่ยั่งยืน บทเรียนจาก 14 ตุลา สอนให้รู้ว่า ไล่เผด็จการออกไป เผด็จการคนใหม่ก็เกิดขึ้นเสมอ ตราบใดที่เราไม่เปลี่ยนโครงสร้างของประเทศให้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง และปฏิรูปทุกสถาบันให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ

 

ขณะที่สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เป็นตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเดินทางไปรำลึก 49 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516  หน้าประวัติศาสตร์ในการเรียกร้องประชาธิปไตย ระบุพบป้าปุ๊ หรือ อาจารย์รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท จากผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตย อดีตอาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต้องหนีเข้าป่า ด้วยนาม "สหายศรัทธา"ชีวิตน่าเรียนรู้ยิ่ง วันนี้ป้าปุ๊ คือ ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกรรมธิการพิจารณาพรบ.สมรสเท่าเทียม และพรบ.คู่ชีวิต เป็นตัวแม่สนับสนุนความเท่าเทียมในระบบประชาธิปไตยของเกษตรกรทและกลุ่ม LGBTQ+

สุชัชวีร์กล่าว่า ป้าปุ๊พาตนเองและพลีธรรม ตริยะเกษม ลูกชายหนึ่งในผู้นำนักศึกษา 14 ตุลา ที่เคยโตในป่า เยี่ยมและให้กำลังใจวีรชนและลูกหลาน ผู้ยังมีชีวิตอยู่ หลายคนเล่าให้ฟังถึงประสบของตัวเอง จาก 14 ตุลา 2516 จนถึงวันนี้ทุกคนอายุมากแล้ว หลายคนมีชีวิตอย่างลำบาก ต้องการการดูแลเยียวยา ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

ส่วนพรรคเสรีรวมไทยได้ร่วมส่งตัวแทนเดินทางไปรำลึก 49 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ด้วยเช่นกัน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผู้เชี่ยวชาญเผย ยูเอ็นตรวจสอบการละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ไม่สำเร็จ สะท้อนจีนใช้เงินขยายอิทธิพล

$
0
0

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติไม่ประสบความสำเร็จในการเปิดให้มีการดีเบต เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์เมื่อต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ฝ่ายโหวตคว่ำมตินี้ไม่น้อยเลยเป็นประเทศมุสลิมในแอฟริกาและโลกอาหรับ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังใช้อำนาจทางเศรษฐกิจในการขยายอิทธิพลในองค์กรระหว่างประเทศและประเทศกำลังพัฒนา เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งอาจส่งผลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกในภาพรวม

หลังจากที่คณะมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหประชาชาติเผยแพร่รายงานในวันที่ 31 ส.ค. 65 ว่า รัฐบาลจีนกระทำผิดต่อชาวมุสลิมในซินเจียง หรือเติร์กมินิสถานตะวันออกอย่างร้ายแรง ด้วยการกักขังหน่วงเหนี่ยวตามอำเภอใจและเลือกปฏิบัติ การห้ามแสดงออกอัตลักษณ์ศาสนา และการข่มขู่และการบังคับสูญหาย สิ่งเหล่านี้อาจเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศหรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 26 ก.ย. 65 สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้เสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติให้มีการถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งแรกในการหยิบเรื่องการละเมิดสิทธิโดยรัฐบาลจีนขึ้นมาเป็นวาระ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสิทธิชาวซินเจียง

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกลับโหวตคว่ำมติดังกล่าว จากสมาชิก 47 ประเทศ มีผู้ลงคะแนนเห็นด้วย 17 ประเทศ ไม่เห็นด้วย 19 ประเทศ และงดออกเสียง 11 ประเทศ ประเทศมุสลิมอำนาจนิยมส่วนใหญ่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับญัตตินี้ ขณะที่ฝ่ายงดออกเสียงมีชื่อประเทศอินเดียและยูเครนรวมอยู่ด้วย องค์กรสิทธิที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นซินเจียงออกมาแสดงความผิดหวังและวิพากษ์วิจารณ์ จีนแก้ต่างว่าโลกตะวันตกใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน และว่าหากยอมให้จีนถูกตรวจสอบ ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็อาจตกเป็นเป้าหมายได้เช่นกัน 

ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ ความล้มเหลวในการเปิดอภิปรายเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอย่างมาก และสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนที่มาพร้อมกับอิทธิพลทางการทูตในการชักจูงองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่กำลังพัฒนา มุมมองนี้เป็นข้อเสนอของ 'เอย์จาซ วานิ' (Ayjaz Wani) นักวิจัยอะคันตุกะของ Observer Research Foundation (ORF) ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มีความสนใจเกี่ยวกับความขัดแย้งในแคชเมียร์ การขยายตัวของแนวคิดสุดโต่งในปากีสถาน และเอเชียกลางในภาพรวม เขาเขียนบทความวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในเว็บไซต์ของ ORF เมื่อ 10 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา

"จีนสามารถมีอิทธิพลเหนือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ และประเทศกำลังพัฒนาได้แล้ว ด้วยการใช้พละกำลังทางเศรษฐกิจ"เอย์จาซ วานิ กล่าว 

ถูกละเมิดสิทธิกว่า 1 ล้านคน

เขาท้าวความว่า ซินเจียงเป็นมณฑลที่รุ่มรวยด้วยทรัพยากร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน มีประชากรมุสลิมกว่า 12 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ พื้นที่นี้ปรากฎตามพาดหัวข่าวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2560 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งค่ายกักกันกว่า 1,200 แห่ง โดยใช้งบประมาณกว่า 700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ฯ รัฐบาลจีน ใช้การต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดแบ่งแยก และกิจกรรมศาสนาผิดกฎหมายเป็นข้ออ้างในการส่งชาวมุสลิมกว่าล้านคนเข้าไปในค่ายกักกันดังกล่าว ชาวอุยกูร์ คาซัค และอุซเบกถูกส่งเข้าไปในค่ายกักกันเหล่านี้ ใน "ฐานความผิด"ต่างๆ เช่น "สวมผ้าคลุมหน้า""ไว้หนวดยาว"และ "ละเมิดนโยบายวางแผนครอบครัวของรัฐบาล"

ผู้หญิงชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลบังคับให้ทำหมัน ใช้อุปกรณ์คุมกำเนิด และทำแท้ง ส่งผลให้การเติบโตของประชากรลดลงกว่า 84 เปอร์เซ็นต์ในเมืองโกทาน และคาชการ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลซินเจียง ในค่ายกักกัน ผู้หญิงชาวซินเจียงถูกทารุณกรรม ข่มขืนอย่างเป็นระบบ และล่วงละเมิดทางเพศโดยสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังบังคับชาวอุยกูร์ที่ทำงานในหน่วยงานของภาครัฐไม่ให้ประกอบพิธีละหมาด และทำลายศาสนสถาน เช่น มัสยิดและสุเหร่าต่างๆ รายงานข่าวเหล่านี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ขณะที่องค์กรสิทธิเรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงอย่างต่อเนื่อง

ประเทศมหาอำนาจที่เป็นเสรีประชาธิปไตย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา รวมถึง ลิทัวเนีย และสหภาพยุโรป ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งในเวทีการประชุมระดับภูมิภาคและระดับโลก ประเทศเหล่านี้วิจารณ์จีน คว่ำบาตรสินค้าจากซินเจียง ประกาศให้นโยบายต่อชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีนถือเป็น "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"  มีการผ่านกฎหมายเพื่อคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และคว่ำบาตรทางการทูตต่อการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในกรุงปักกิ่ง

ใช้อำนาจเศรษฐกิจชักจูง

อย่างไรก็ตาม จีนได้ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของตนเองในการชักจูงประเทศมุสลิม เพื่อบั่นทอนข้อเรียกร้องจากประเทศเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในเวทีระดับโลกต่างๆ เช่น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ องค์กรความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation) และประเทศมุสลิมที่เป็นอำนาจนิยมอื่นๆ แสดงจุดยืนสอดคล้องกับคำชี้แจงของทางการจีน และชื่นชมความพยายามของจีนในการ "ปกป้องมนุษย์และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนผ่านการพัฒนา"จากอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนในการชักจูงประเทศมุสลิมเหล่านี้ พบว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2650 เป็นต้นมา มีกักขังผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในประเทศมุสลิมเหล่านี้และถูกส่งกลับไปยังประเทศจีนกว่า 682 คน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนใช้วิธีการมากมายหลายอย่างเพื่อเพิ่มพูนอิทธิพลในการชักจูงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาจีนบริจาคเงินให้กับองค์กรเหล่านี้โดยสมัครใจเพิ่มขึ้นเกือบ 350 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ จีนยังช่วยจ่ายงบประมาณให้กับองค์การสหประชาชาตินับเป็นส่วนแบ่งกว่า 15.25 เปอร์เซ็นต์ใน พ.ศ. 2565 ขณะที่ในปี 2543 จีนจ่ายนับเป็นส่วนแบ่งเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ จีนใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของตัวเองในการส่งเจ้าหน้าที่ของตนเองเข้ามาในองค์กรเหล่านี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ของตนเอง ในกรณีของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จีนได้พยายามช่วยให้ประเทศอำนาจนิยมเข้ามามีเก้าอี้ในส่วนที่มีการผลัดเวียนกันเป็นสมาชิก จีนเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นอีก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติไปช่วงหนึ่งในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ จากปมเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์

จีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศอำนาจนิยมที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชน ทำให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกลายเป็นตัวตลก รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อกีดกันความเป็นอิสระของบุคลากรที่มีหน้าที่ในการเฝ้าติดตามและบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศจีนด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อมิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เดินทางเยือนประเทศจีน รัฐบาลจีนได้กำหนดเงื่อนไขเพื่อกีดกันไม่ให้มีการประเมินผลอย่างครบถ้วนและเป็นอิสระ เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลในประเทศตะวันตกและกลุ่มสิทธิจากการเยี่ยมชมงานที่อยู่ในการกำกับควบคุมของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ เธอยังออกมายอมรับด้วยว่า "มีแรงกดดันอย่างมหาศาล"จากรัฐบาลจีนและช่องทางการทูตต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ส่งผลให้รายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในซินเจียงอย่างร้ายแรงถูกเผยแพร่ออกมาอย่างล่าช้า

จีนยังใช้ประเทศกำลังพัฒนาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนทิศทางขององค์กรระหว่างประเทศตามความต้องการของตนเอง ขณะที่กำลังมีการปะทะกันระหว่างระเบียบโลกแบบเสรีนิยมกับระบอบอำนาจนิยมไฮเทคแบบจีนด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อ ก.ค. 65 ที่ผ่านมา จีนได้บังคับผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกงที่ทำให้การเห็นต่างเป็นความผิดทางอาญา ขณะที่แนวร่วมประเทศประชาธิปไตยและผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติวิจารณ์ความเคลื่อนไหวดังกล่าว กลับมีประเทศที่ชื่นชมการกระทำของจีนกว่า53 ประเทศ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเหล่านี้มีจีนเข้ามาเป็นผู้ลงทุน

ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่กำลังจะดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 แนวโน้มการละเมิดสิทธิต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงดูมืดมนในสายตาของนักวิเคราะห์ และพฤติกรรมของรัฐบาลจีนก็ยังคงได้รับการให้ท้ายโดยประเทศมุสลิมและประเทศกำลังพัฒนา เพราะอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่จีนมีต่อประเทศเหล่านี้ หลังการเผยแพร่รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในซินเจียง 70 ประเทศนำโดยปากีสถานได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเลิกแทรกแซงกิจการภายในของจีน ในจำนวนนี้มีประเทศอาหรับ 14 ประเทศรวมอยู่ด้วย เช่น อัลจีเรีย โมร็อกโก ซาอุดีอาราเบีย อียิปต์ ตูนิเซีย และบาเรนห์

ในการโหวตลงมติว่าจะเปิดอภิปรายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในซินเจียงหรือไม่ ทุกประเทศในแอฟริกาลงคะแนนไม่เห็นด้วย ยกเว้นเพียงประเทศเบนิน และแกมเบียที่งดออกเสียง ขณะที่โซมาเลียโหวตเห็นด้วยให้มีการอภิปราย เว็บไซต์สวิซอินโฟรายงานว่าผลคะแนนครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกมาหลังจากการล็อบบี้หลังเวทีอย่างหนักโดยรัฐบาลจีน ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นความไม่เสมอปลายของประเทศแอฟริกาและประเทศมุสลิม ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้องค์กรความร่วมมืออิสลามได้ออกมาต่อต้านนโยบายเลือกปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาของรัฐบาลทหารพม่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่สาธารณรัฐแกมเบียเองเป็นผู้ฟ้องร้องประเทศพม่าที่ศาลโลกใน พ.ศ. 2562จากกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาใน พ.ศ. 2559-2560 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชำนาญ จันทร์เรือง: ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น

$
0
0

แม้ว่าการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เมื่อวิเคราะห์จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 เปรียบเทียบกับหลักการกระจายอำนาจหรือการปกครองท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ได้บัญญัติไว้ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 76 ซึ่งกำหนดให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบการ ใช้อำนาจรัฐทุกระดับ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 87 ก็ได้บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายและการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้อย่างละเอียดเช่นกัน ส่วนรัฐธรรมนูญ 2560 ในหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่บังคับให้รัฐต้องทำ และหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐพึงดำเนินการ แต่ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการกระจายอำนาจหรือการปกครองท้องถิ่นบัญญัติไว้เลย 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามาตรา 282 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น” ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระในบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้มาตรา 283 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ได้กำหนดให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจสู่องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ด้วย ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่ได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้เลย

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณามาตรา 250 วรรคห้าของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งได้มีการกำหนดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยต้องมีบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ กิจการใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการไปโดยไม่ได้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง จะถูกตีความจากองค์กรที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการก้าวก่ายและเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์

อีกทั้งรัฐธรรมนูญ ฯ ปี2560 ไม่ได้กำหนดให้มีการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังไว้อย่างชัดเจนเช่นที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ที่กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อรองรับการบริหารราชการของการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดให้การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการดำเนินกิจการบริการสาธารณะในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตนและกำหนดวิธีการได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นว่าต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มิหนำซ้ำยังมีความพยายามที่จะแก้ไข พรบ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียใหม่ถึงขนาดเปลี่ยนชื่อและหลักการของ พรบ.เสียใหม่ ซึ่งถูกต่อต้านอย่างมากจากผู้ที่ทำงานในวงการการปกครองท้องถิ่น จึงยังไม่ถูกนำเสนอเข้าสภาฯ แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี

ซึ่งกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้กำหนดการจัดทำแผนและโครงสร้างการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นไว้ด้วย โดยเฉพาะแผนด้านงบประมาณซึ่งกำหนดให้รัฐบาลจะต้องจัดสรรภาษีและอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐบาลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบห้า อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติรัฐไม่สามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่เคยกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ 

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงควรมีการออกแบบโครงสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019จะพบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยภาครัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการให้คนในพื้นที่เป็นผู้บริหารจัดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ตนเองย่อมเป็นแนวทางที่นำไปสู่การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริงในอดีตรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมุ่งเน้นแต่เพียงประเด็นวิธีการได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นว่าจะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเท่านั้น แต่มิได้ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะมีวิธีการกระจายอำนาจอย่างไร ดังนั้น จึงต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ปี 60 โดยมีประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ 

1. ประเด็นเรื่องการพัฒนาการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้น มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะ โดยสามารถแยกออกได้เป็นสามกรณี คือ (1) การบริการสาธารณะที่เป็นหน้าที่ของท้องถิ่นโดยแท้ในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละท้องถิ่น (2) การบริการสาธารณะที่ท้องถิ่นแต่ละแห่งต้องทำร่วมกัน และ (3) การบริการสาธารณะที่ท้องถิ่นต้องร่วมทำกับรัฐ เช่น ในกรณีการบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องมีการออกกฎหมายรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการบริการสาธารณะร่วมกัน เป็นต้น

ในเรื่องการพัฒนาการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนี้ เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 ก. ของรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วเห็นว่าเป็นบทบัญญัติที่มุ่งเน้นการปฏิรูปด้านการเมืองเป็นสำคัญ โดยไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นแต่อย่างใด ดังนั้น จึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย

ในเรื่องการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ควรมีการพิจารณาปรับลดบทบาทของราชการส่วนภูมิภาค และพิจารณาถึงการจัดระบบของการปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่ทั้งหมด เพื่อทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็งและเกิดการพัฒนามากขึ้น

การแก้ไขปัญหาความอ่อนแอขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ควรพิจารณาถึงปัญหาที่ปลายเหตุเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาซึ่งสาเหตุของปัญหาที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีหลักการที่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และไม่ได้กำหนดหลักการในเรื่องการกระจายอำนาจไว้อย่างชัดเจน จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ประสงค์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็ง และยังทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดรัฐธรรมนูญ 2560 จึงมีบทบัญญัติที่มีลักษณะที่ทำให้อำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถูกดึงกลับคืนไปเป็นอำนาจของราชการส่วนกลาง 

นอกจากประเด็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว รัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีผลทำให้อำนาจของหน่วยงานราชการในส่วนภูมิภาคของกระทรวงต่าง ๆ เช่น โรงเรียน สถานศึกษาถูกดึงกลับไปยังราชการส่วนกลางทั้งหมดด้วยเช่นกัน ดังนั้น มีความเห็นว่าก่อนที่จะแก้ไขเรื่องความอ่อนแอขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องพิจารณาเรื่องการกำหนดให้มีการกระจายอำนาจที่เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ชัดเจนเสียก่อน และควรพิจารณาถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงด้วย

เมื่อพิจารณาหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น ของรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วเห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติใดที่เป็นการส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบกับรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 162 ได้กำหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินคณะรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และต้องเป็น นโยบายที่สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบาย และยุทธศาสตร์ชาติ และเมื่อพิจารณาบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็ไม่มีบทบัญญัติที่รัฐต้องดำเนินการ หรือส่งเสริมเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้เลย ดังนั้น การกระจายอำนาจไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560ไม่ได้กำหนดเรื่องการกระจายอำนาจไว้อย่างเป็นรูปธรรม จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้มีการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน เพื่อทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดความเป็นอิสระ และมีอำนาจในการดำเนินกิจการบริการสาธารณะลดน้อยลง และถูกตรวจสอบโดยสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินอย่างเข้มงวด รวมทั้งการให้ความเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินกิจการบริการสาธารณะในเรื่องใดได้บ้าง เช่น การควบคุมและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสุนัข แต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เคยให้ความเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่ใช่ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถเข้าไปดำเนินกิจการฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่สุนัขจรจัดได้ ส่งผลทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้ามากขึ้น 

โครงการดูแลผู้สูงอายุก็เช่นกัน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เคยให้ความเห็นว่าไม่ใช่ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเข้าไปดาเนินโครงการนี้ได้ จึงเห็นว่าการดาเนินงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และควรมีการพิจารณาทบทวนถึงขอบเขตการใช้อำนาจของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ไม่ควรไปก้าวล่วงอำนาจในการดำเนินกิจการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย

การยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีความพยายามที่จะไม่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น เป็นเรื่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติครบถ้วนและมีแนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบัญญัติรับรองความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้อย่างชัดเจน และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องไม่กระทบต่อหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น รวมทั้งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง ซึ่งมีประเด็นเชื่อมโยงกับการทำหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ2560 ในหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วเห็นว่ารัฐธรรมนูญได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการเกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นแตกต่างไปจากที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ รัฐธรรมนูญ 2560 ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องการกำหนดทิศทางของการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ได้กำหนดทิศทางของการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มิได้บัญญัติถึงทิศทางในการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร อีกทั้งยังไม่ปรากฏถ้อยคำว่า “กระจายอำนาจ” บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เลย แต่อย่างใด 

ฉะนั้น หลักการที่ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเป็นหลักประกันเกี่ยวกับการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ ความมีอิสระในการบริหารจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับหลักการที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ได้บัญญัติให้รัฐต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการปกครองตนเองโดยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่ในรัฐธรรมนูญ 2560 หลักความเป็นอิสระในการบริหารจัดการตนเองนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 249 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใดให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากร และพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบ ประกอบกัน” ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมุ่งไปที่ความสามารถด้านรายได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากรเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันไม่เคยมีระบบการปฏิรูปรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่อย่างใด ดังนั้น การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มุ่งเน้นถึงหลักความสามารถในด้านรายได้ก็จะทำให้หลักความเป็นอิสระในการบริหารจัดการตนเองขาดหายไปด้วย 

นอกจากนี้ มาตรา 250 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บัญญัติว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ทั้งนี้ การบัญญัติหลักการในลักษณะดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีหน้าที่ต่อเมื่อมีกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียก่อน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจะมีอำนาจที่จะดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นได้

การที่มาตรา 250 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติถ้อยคำในลักษณะดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีอำนาจจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะได้นั้น รัฐจะต้องเป็นผู้กำหนดหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียก่อน หลักการดังกล่าวเป็นการจำกัดขอบเขตอำนาจและความเป็นอิสระในการบริหารจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากการบริหารจัดการภายในท้องถิ่น รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีความแตกต่างกัน ดังนั้น หากกำหนดให้รัฐเป็นผู้กำหนดหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะทาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ

ปัญหาการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกส่วนหนึ่งเกิดจากกระบวนการตรากฎหมายลำดับรองที่โดยปกติผู้เสนอร่างกฎหมายคือ หน่วยงานของรัฐ หรือฝ่ายการเมือง ที่เกรงว่าจะสูญเสียอำนาจในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเสนอกฎหมายที่ยังคงให้อำนาจตนกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ จึงทำให้ไม่สามารถกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง ดังนั้น หากต้องการให้มีการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม ควรกำหนดแนวทางการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจนไว้ในรัฐธรรมนูญ

2. ประเด็นรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สำหรับประเด็นรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดให้องค์การบริหารส่วนตำบลที่มีความพร้อมสามารถยกสถานะเป็นเทศบาล ส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดเล็กก็ควรกำหนดให้มีรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ นอกจากนี้ รูปแบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคในระดับจังหวัด หากจังหวัดใดมีความพร้อมก็ควรกำหนดให้เป็นจังหวัดจัดการตนเอง โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการภายในจังหวัดของตนอย่างแท้จริง ดังนั้น อาจกำหนดรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ในรัฐธรรมนูญเสียใหม่เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ประชาชนด้วยการกระจายอำนาจและหน้าที่ของราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรัฐทำหน้าที่เพียงกำกับดูแลให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อรัฐมอบความเป็นอิสระในการบริหารจัดการตนเองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ก็ควรมีระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โดยดำเนินการตรากฎหมายเพื่อเป็นกลไกในการควบคุมและตรวจสอบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งอย่างน้อยการกำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของระบบการตรวจสอบโดยประชาชน ทั้งนี้ การปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีองค์กรที่ทาหน้าที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองได้อย่างเต็มที่

3. ประเด็นเรื่องรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ
สำหรับประเด็นเรื่องรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ซึ่งมิได้หมายถึงจังหวัดจัดการตนเองแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีความหมายครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่รัฐให้อำนาจพิเศษในการบริหารจัดการพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ โดยเป็นการให้อำนาจพิเศษแก่ท้องถิ่นในการจัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษนั่นเอง เช่น เมืองพัทยาซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีอำนาจหน้าที่พิเศษในด้านการจัดการท่องเที่ยว เป็นต้น รัฐธรรมนูญ 2550 ได้กำหนดโครงสร้างในเรื่ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเอาไว้โดยรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ให้อำนาจในการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษขึ้นได้ แม้จะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบปกติทั่วไป 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐมอบอำนาจและหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษไปดำเนินการจัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งในกรณีดังกล่าวควรมีการออกแบบใหม่โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมนโยบายเพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้บริหารท้องถิ่นและสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษด้วย แต่เมื่อพิจารณามาตรา 252 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2560 กลับบัญญัติเปิดช่องวิธีการได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นไว้ว่า“ผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นหรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จะให้มาโดยวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ซึ่งอาจขัดกับหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

4. ประเด็นเรื่องของรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย (1) ภาษีที่ท้องถิ่นแต่ละแห่งจัดเก็บเอง (2) ภาษีที่รัฐจัดเก็บและต้องแบ่งกับท้องถิ่น และ (3) รายได้จากเงินอุดหนุนของรัฐ ซึ่งท้องถิ่นควรได้รับงบประมาณทั้งหมดอย่างน้อยร้อยละห้าสิบของงบประมาณทั้งหมดของประเทศเพื่อให้เกิดการกระจายงบประมาณให้ท้องถิ่นพัฒนาตนเองต่อไป ซึ่งประเด็นเรื่องของรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวน้อยเกินไป โดยไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกรณีนี้จะเป็นปัญหาในการกำหนดทิศทางในการพัฒนากฎหมายลำดับรองต่อไป เช่น กฎหมายเกี่ยวกับรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น 

ประเด็นปัญหาด้านงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่เพียงพอนั้น แม้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความเป็นอิสระ แต่หากไม่มีงบประมาณย่อมไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพได้ ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากราชการส่วนกลางไม่พิจารณาอนุมัติภาษี หรือแบ่งแยกการจัดเก็บรายได้ระหว่างราชการส่วนกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน โดยผู้ที่มีอำนาจในการผลักดันให้ราชการส่วนกลางกระจายงบประมาณไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็คือ รัฐสภา ซึ่งเป็นผู้พิจารณากฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ และรัฐบาลที่จะต้องจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะกำหนดภาษีและกระจายรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอัตราเท่าใด

ประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดมีพื้นที่ขนาดเล็กและไม่สามารถสร้างรายได้ภายในท้องถิ่นได้ จะมีงบประมาณไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการภายในท้องถิ่นนั้น ๆ และไม่มีกฎหมายหรือหลักการใด ๆ ที่รัฐจะจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ ดังนั้น ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยนำหลักการเรื่องการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 มาเป็นแนวทางในการบัญญัติ โดยนำหลักการและกลไกการกระจายอำนาจและแนวทางในการพัฒนาท้องถิ่นมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย

5. ประเด็นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถแยกออกเป็นสองส่วน คือ
(1) บุคลากรทางการเมืองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องมาจากการเลือกตั้งเป็นหลัก สำหรับองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบเศรษฐกิจพิเศษควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยมีสภาที่ปรึกษาซึ่งมาจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ รวมไปถึงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นนั้น ๆ โดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารท้องถิ่น 

และ (2) บุคลากรที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำ ซึ่งมีประเด็นปัญหาในกรณีที่ท้องถิ่นต้องสูญเสียงบประมาณค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร โดยจำนวนของบุคลากรไม่มีความสัมพันธ์กับภาระหน้าที่งานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่ง ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างด้านบุคลากรของท้องถิ่นใหม่ทั้งระบบ โดยอาจมีการสับเปลี่ยนอัตรากำลังระหว่างท้องถิ่น เป็นต้น

เรื่องบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ควรกำหนดให้มีสภาที่ปรึกษาซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนในพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการออกระเบียบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือการบริหารท้องถิ่น เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษต้องมีการบริหารแบบพิเศษที่ต้องอาศัยประสบการณ์จากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ในการบริหารจัดการ นอกจากนั้น บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็น ข้าราชการประจำหรือลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกับผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ทำให้การปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

นอกจากนี้ ระบบรัฐราชการรวมศูนย์ยังแผ่อิทธิพลลงไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำให้การดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลก็ไม่ไว้ใจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการต่าง ๆ

นอกจากนั้นวิธีการได้มาซึ่งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นนั้นมาตรา 252 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2560กำหนดวิธีการได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นด้วยวิธีการอื่นนอกจากวิธีการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนก็ได้ซึ่งอาจทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นมีที่มาด้วยวิธีการอื่นซึ่งมิใช่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 252 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยกำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเท่านั้น

6. ประเด็นเรื่องการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประเด็นเรื่องการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐและก่อตั้งโดยรัฐ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากรัฐ แต่จะต้องเพียงเท่าที่จำเป็น ดังเช่นที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 โดยควรกำกับดูแลเฉพาะการกระทำของท้องถิ่นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ซึ่งมาตรา 250 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม การป้องกันการทุจริตและการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ ซึ่งโดยปกติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมิได้หมายความว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสังกัดกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด ดังนั้น จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ชัดเจนว่าเกี่ยวกับหลักการกำกับดูแลองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นสามารถกระทำได้มากน้อยเพียงใด

7.ประเด็นเรื่องการตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประเด็นเรื่องการตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปรากฏว่าองค์กรที่มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะการตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรตรวจสอบว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่ควรให้อำนาจในการตรวจสอบในประเด็นความเหมาะสมและคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น ควรแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 เกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการตีความ โดยควรบัญญัติในลักษณะที่ว่า กิจการใดที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติห้าม กิจการนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมสามารถที่จะกระทำได้

การตรวจสอบ แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ (1) การตรวจสอบโดยภาคประชาชน ซึ่งในรัฐธรรมนูญ 2560 ได้บัญญัติให้อำนาจประชาชนสามารถถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นได้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการถอดถอนว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งขณะนี้ได้ร่าง พรบ.ถอดถอนฯยังคงค้างอยู่ในสภาในชั้นกรรมาธิการฯซึ่งได้ขอถอนเรื่องกลับไปพิจารณาใหม่ และ (2) หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ โดยต้องตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ไม่ควรให้อำนาจในการตรวจสอบดุลพินิจในการดาเนินกิจการใด ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

อีกทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินก้าวล่วงการใช้อำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้อย่างคลุมเครือ จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ในหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่ โดยนำบทบัญญัติที่เป็นหลักการสำคัญและแนวทางการปฏิบัติที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 มาบัญญัติไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการมีคณะกรรมการคณะหนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง เพื่อป้องกันอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ประสบผลสำเร็จ คือ ความพยายามที่จะไม่ถ่ายโอนอำนาจจากราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นอกจากนั้นในปี พ.ศ. 2562 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ มีอำนาจในการตรวจสอบสอบสวน รวมทั้งการยุบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ จึงเห็นได้ว่ากฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่นมีหลักเกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560

สรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจึงมีความเห็นว่าควรแก้ไขเนื้อหาในหมวดการปกครองส่วนท้องถิ่นของรัฐธรรมนูญ 2560 และให้มีการเพิ่มเนื้อหาของการกระจายอำนาจหรือการปกครองท้องถิ่นเข้าไปในหมวดสิทธิเสรีภาพของของปวงชนชาวไทย หมวดหน้าที่ของรัฐ หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐหรือหมวดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้มีการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมในที่สุด

 

หมายเหตุ:เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บไซต์ https://thevotersthai.com/chamnan02/เมื่อ 13 ตุลาคม 2022
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เรามาเลิกเรียกใครว่า “บิ๊ก” กันดีกว่าไหม??

$
0
0

คำว่า “บิ๊ก” (big) ดูเหมือนจะนำมาใช้กันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เช่น บิ๊ก ก. นัยว่าเป็นการยกย่องผู้ที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงที่เป็นทหารหรือตำรวจ หรือแม้แต่คนเกษียณอายุที่มีอำนาจ คนที่เริ่มต้นใช้คำนี้น่าจะมาจากพวกนักข่าว แต่คงไม่รู้ว่าคำว่า “บิ๊ก” ในต่างประเทศเป็นคำที่มีความหมายในทางลบ และในทางรัฐศาสตร์เป็น “วาทกรรม” (discourse) รวมทั้งสร้างปัญหาให้กับการพัฒนาประเทศด้วย

ประการแรกในต่างประเทศ คำว่า “บิ๊ก” เป็นคำย่อมาจากคำว่า “a big man” หมายถึง “อันธพาล” (thugs) 

ประการที่สองในทางรัฐศาสตร์ คำว่า “บิ๊ก” เป็นวาทกรรม หมายถึง คำพูดที่มันฝังหัวคน ให้เขารู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น ซึ่งเป็นการกระทำของระบบความรู้และการถ่ายทอดทางสังคม วัตถุประสงค์ก็เพื่อรักษาฐานะอำนาจให้กับผู้มีอำนาจเดิม ขณะเดียวกันก็ใช้กดหัวคนที่ถูกปกครอง คำพูดฝังหัวนี้ต่อมามันกลายเป็นความคิดฝังหัว ทำให้คนยอมตามโดยไม่รู้ตัว และไม่เกิดสำนึกความเป็นตัวตน พอคนคิดได้ วาทกรรมจึงมักเป็นที่มาของการต่อต้านเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น นักเรียนคนหนึ่งตอบนักข่าวที่ถามว่า “ทำไมหนูออกมาเดินขบวนประท้วงรัฐบาล” เธอตอบว่า “ก็เพราะรัฐบาลไม่เห็นหัวคน” 

ประการที่สามคำว่า “บิ๊ก” กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศ ปัญหาใหญ่ของโลก คือ การพัฒนาที่ทิ้งคนไว้ข้างหลัง โลกตั้งแต่ยุคสหัสวรรษเป็นต้นมาจึงพยายามพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (living no one behind) คำนี้นัยว่าเอามาจากหน่วยทหารจู่โจมสหรัฐอเมริกาที่มีคำขวัญว่า “I will never leave a fallen comrade to fall into the hands of the enemy” มีความหมายทำนองว่าเราจะไม่ทิ้งสหายที่    ล้มลงให้ตกอยู่ในมือของศัตรู อย่างไรก็ตาม นักวิชาการยุคหลังอ้างว่าเป็นการพ้องกันโดยบังเอิญ

สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP อธิบายว่า ประเทศที่คิดจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องไปสำรวจดูว่ามีใครถูกทิ้งอยู่บ้าง มีปัญหาอะไร และรีบจัดทำโครงการพัฒนาช่วยเขา โดยเฉพาะคนที่ถูกทิ้งไว้ไกลที่สุด (the furthest behind) และคนที่มีปัญหาทับซ้อนพร้อม ๆ กันหลาย ๆ อย่าง คนนั้นแหละหนักที่สุด รัฐบาลต้องรีบเข้าไปแก้ไขด้วยนโยบายการพัฒนาเชิงรุก น่าจะไม่ใช่แค่ “ผมสั่งไปแล้ว” 

คำว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้าง” ถูกตีความเป็นสองนัย นัยแรก การพัฒนายุคสหัสวรรษ (2000-2015) ตีความว่าคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังที่สุด คือ คนจนสุดขั้ว (extreme poverty) หมายถึงจนจริง ๆ คือ ไม่มีอาหารเพียงพอในระดับขั้นต่ำที่สุด ต่อมายุคการพัฒนาฉบับ SDGs (2016-2030) ตีความเป็นนัยที่สองว่า คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมากที่สุด คือ คนที่ได้รับความเหลื่อมล้ำมากที่สุด โดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติมีหลักให้วิเคราะห์ห้าประการ คือ (1) คนที่ถูกเลือกปฏิบัติที่สุด (2) คนที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง กันดาร ประสบภัยมากที่สุด (3) คนที่เข้าไม่ถึงทรัพยากรและการบริการของรัฐมากที่สุด (4) คนที่มีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำที่สุด และ (5) คนที่ได้รับความผิดหวังรุนแรงที่สุดและเปราะบางที่สุด

ในยุคปัจจุบันเห็นว่า “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดและทิ้งคนไว้ข้างหลังที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การช่วยคนจนอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ ต้องสนใจปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีมากมายเหลือคนานับ และเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการพัฒนา เพราะระบบการวางแผนพัฒนาของไทยใช้แนวทางการจัดการนิยมและสถาบันนิยม มุ่งนำเอาลักษณะสำคัญของประเทศมาวางแผนและจัดสรรทรัพยากรไปตามนั้น โดยใช้ตัวชี้วัดรวม แต่ไม่มองรายละเอียดของตัวชี้วัด เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการการศึกษาและสาธารณสุข ความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิ ข้อสำคัญที่ไม่ค่อยรู้กัน คือ การพัฒนาฉบับ SDGs ของโลก เขาใช้แนวทางการพัฒนาบนฐานสิทธิมนุษยชน (human right-based development) คือ ต้องเคารพ ส่งเสริมและทำตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน และมีกลไกกำกับตามแนวทางสิทธิมนุษยชน เช่น ในเยอรมัน สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจวิพากษ์แผนพัฒนาตามเป้าหมาย SDGs ของรัฐบาล สามารถนำเอาไปรายงานสถานการณ์สิทธิประจำปี และส่งให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ตรวจสอบได้

สำหรับประเด็นที่เกี่ยวกับ “บิ๊ก” คือ โลกปัจจุบัน เขาไม่ได้มองว่าอำนาจติดอยู่กับตำแหน่ง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “zero-sum power structure” หมายความว่า เขาไม่ได้คิดว่าอำนาจมีเฉพาะในคนที่อยู่ในตำแหน่ง และเมื่อคนหนึ่งมีอำนาจแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มี นักวิชาการด้านการพัฒนาในองค์กรพัฒนาภาคเอกชน Oxfam และนักคิดสตรีนิยมเผยแพร่ความคิดนี้จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ปัจจุบันเขาจึงรังเกียจอำนาจเชิงเดี่ยว เขาเห็นว่าการที่ใครมีอำนาจเหนือใคร (power over) และมีสิทธิที่จะใช้อำนาจนั้น เป็นแนวคิดที่ล้าหลัง เพราะทำให้คนคิดแคบ เช่น “ผมเป็นคนตัดสิน ผมทำตามขอบเขตอำนาจที่ผมมี และผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ชอบแล้ว” แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม โดยเฉพาะผลต่อการพัฒนาประเทศ อันที่จริง อมาตยา เซน เคยยกตัวอย่างญี่ปุ่นว่า การที่เขาเจริญขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะเขาวางรากฐานการศึกษาที่ดี และการศึกษาส่วนที่สำคัญที่สุด  คือ การพัฒนาประเทศ ทุกคนในประเทศต้องรู้ว่าประเทศพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร และทุกคนต้องตอบให้ได้ว่าการทำหน้าที่ของท่านช่วยให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างไร ไม่ใช่ขยายงานหรือตำแหน่งออกไปเรื่อย

ปัจจุบัน เขาเน้นมากว่าความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจสร้างปัญหาให้กับการพัฒนาประเทศมากที่สุด เราพัฒนาประเทศไปให้ตาย แต่โครงสร้างอำนาจเราไม่เปลี่ยน เราก็ไม่มีทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ดังนั้น เขาจึงมาเน้นสองประการ ประการแรก คือ ต้องเสริมสร้างอำนาจให้กับคนที่ไม่เคยมีอำนาจ เพื่อให้เขามีอำนาจทัดทานคนที่มีอำนาจได้ พูดง่าย ๆ ให้มันรู้จักเห็นหัวเราเสียบ้าง สิ่งที่เขาทำ คือ power within หมายถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่ไม่มีอำนาจว่าท่านก็เป็นคนและมีสิทธิในความเป็นคนนะ power with หมายถึงคนจน คนเสียเปรียบ คนไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องรวมตัวกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรอง และ power to หมายถึงมีความสามารถตัดสินใจและดำเนินการตามที่ตนตัดสินใจได้ เช่น โครงการพัฒนาท้องถิ่น เป็นต้น

ประการที่สอง เขาเน้นว่า ไม่ใช่เฉพาะการเสริมสร้างอำนาจให้กับคนที่ไม่เคยมีอำนาจ แต่กลุ่มคนที่มีอำนาจมาก ๆ ในสังคมต้องหันมาทบทวนตัวเองว่าจะแบ่งปันอำนาจของตัวเองไปให้คนอื่นอย่างไร ไม่ใช่ออกโทรทัศน์บอกว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่การกระทำเป็นการ “ผลักคนไปอยู่ข้างหลัง” (pushed behind)

คำว่า “บิ๊ก” จึงเป็นการตอกย้ำ “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” อันที่จริงตำแหน่ง “พลเอก” ปกติก็ใหญ่มากอยู่แล้ว เรายังสร้างวาทกรรมว่าเขาเป็น “บิ๊ก” ซึ่งยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกหลายร้อยหลายพันเท่า มีค่าเท่ากับเป็นการกดหัวคนอื่นให้ต่ำลง เขายิ่งไม่เห็นหัวใครเข้าไปใหญ่ และฝ่ายที่ไม่มีอำนาจก็ยากยิ่งที่จะเติบโตขึ้นมาทัดทาน คำว่า “บิ๊ก” จึงเป็นการชี้นำสังคมในทางที่ผิด และเป็นแนวทางที่สวนกระแสการพัฒนาของโลกที่พยายามไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในปัจจุบัน 
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คดีความผิดมาตรา 112 กับกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไปไม่ค่อยเป็น

$
0
0

ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ต่อจากนี้ผู้เขียนจะเรียกโดยย่อว่า “ความผิดมาตรา 112”) เป็นฐานความผิดที่ถูกกล่าวถึงและมีการบังคับใช้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ซึ่งฐานความผิดนี้ นอกจากจะเป็นบทกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในประเด็นปัญหาความชอบธรรมด้านทางเนื้อหาถึงความสอดคล้องกับหลักนิติรัฐ และความสมเหตุสมผลในการดำรงอยู่ของฐานความผิด ดังที่นักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ฐานความผิดดังกล่าวก็ยังมีข้อสังเกตถึงประเด็นปัญหาสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือประเด็นปัญหาในเรื่อง “ความซื่อตรงในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม” อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีในชั้นเจ้าพนักงานตำรวจ อัยการ และศาล กล่าวคือ ในการดำเนินคดีความผิดอาญามาตรา 112 นั้น มีข้อสังเกตอยู่หลายประเด็น ที่ปรากฏว่ากฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างตรงไปตรงมา แต่กลับถูกปรับใช้ในลักษณะที่ตก ๆ หล่น ๆ หลักกฎหมายที่เคยมีการบังคับใช้อย่างถูกต้องสม่ำเสมอกลับไม่ถูกหยิบยกมาใช้บังคับโดยไม่มีเหตุผล หรือแม้แต่คำพิพากษาศาลฎีกาบรรทัดฐานที่ได้รับการยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเหนียวแน่นตลอดมาก็ถูกหลงลืมไปอย่างดื้อ ๆ ไม่นำมาบังคับใช้กับคดีความผิดมาตรา 112 เสียอย่างนั้น อีกทั้งการให้เหตุผลทางกฎหมายตลอดทั้งกระบวนการก็มีความบกพร่องทางตรรกะที่ละทิ้งความสมเหตุสมผลทั้งปวง เพื่อที่จะลงโทษผู้ต้องหาให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงในคดีนั้น ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายให้อำนาจแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมไทยในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับการดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 เช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจ พนักงานอัยการ หรือศาล ที่เป็นไปอย่างแปลกประหลาด เสมือนกับคนเสียอาการที่ทำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ เมื่อต้องเจอกับบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเกิดอาการหวั่นไหว หลักกฎหมายและทักษะการให้เหตุผลทางนิติศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนศึกษามาเกิดการขัดข้องไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างที่เคยทำตลอดมา จนกระทั่งนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่ผิดเพี้ยนในลักษณที่ “ไปไม่เป็น” เลยเสียทีเดียว โดยทั้งนี้แม้ความผิดตามมาตรา 112 จะยังไม่ได้มีการแก้ไขหรือถูกยกเลิกด้วยกระบวนการทางนิติบัญญัติ อันส่งผลให้การดำเนินคดีความผิดดังกล่าวยังคงสามารถเกิดขึ้นได้โดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมจะมีอำนาจดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 โดยกล่าวอ้าง “ประโยชน์ความมั่นคงของรัฐ” ตามรัฐธรรมนูญเสมือนประหนึ่งใบอนุญาตให้ดำเนินคดีได้ในทุกกรณีที่มีความเกี่ยวพันกับบุคคลในราชสำนัก หากแต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ผู้เขียนจะได้ทำการนำเสนอข้อสังเกตของประเด็นปัญหาดังกล่าวในรูปแบบที่อ่านเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการสรุปสาระสำคัญจากบทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2561 และ 3998/2563 ของผู้เขียน (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกย่อในบทความฉบับนี้ว่า “ฎีกาปี 61” และ “ฎีกาปี 63” ตามลำดับ) ที่ลงตีพิมพ์ในวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉบับที่ 3 ปีที่ 51 พ.ศ. 2565 และฉบับที่ 4 ปีที่ 50 พ.ศ. 2564 หากท่านผู้อ่านต้องการอ่านบทวิเคราห์ฉบับเต็ม สามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตาม URL ที่ปรากฏ

ฎีกาปี 61: https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/259397/175935

ฎีกาปี 63: https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/254166/173005

และนอกจากนี้ผู้เขียนได้แนบคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็มไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้นำไปศึกษาเพิ่มเติมต่อไปตาม URL ที่ปรากฏนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2561 ฉบับเต็ม: https://bit.ly/3BS9G97

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2563 ฉบับเต็ม: https://bit.ly/3qNNR40

ข้อสังเกตต่าง ๆ ของผู้เขียนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไทยในการดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 มีดังนี้

1. ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความหมายของสถานะ “รัชทายาท”

ในประเด็นนี้ถือเป็นข้อสังเกตที่สำคัญที่สุด เพราะ ประชาชนหรือแม้แต่เจ้าพนักงานของรัฐ ก็ยังมีความเข้าใจถึงสถานะการเป็น “รัชทายาท” ที่ยังไม่ถูกต้อง จนนำไปสู่การแจ้งความกล่าวโทษและการดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 โดยผิดหลงไปอย่างกว้างขวาง เนื่องจากแท้ที่จริงแล้วมาตรา 112 ให้การคุ้มครองเฉพาะแต่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 4 สถานะเท่านั้น คือ 1.พระมหากษัตริย์ 2.พระราชินี 3.รัชทายาท และ 4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหมายความว่า ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้มีสถานะบุคคลเป็นหนึ่งในสี่ดังกล่าวนี้แล้ว มาตรา 112 ก็จะไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้นนิยามของสถานะการเป็น “รัชทายาท” เป็นสถานะถูกเข้าใจความหมายอย่างคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง เพราะในความเข้าใจของบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษากฎหมายนั้นจะเข้าใจไปว่า “รัชทายาท” หมายความถึง “พระบรมวงศานุวงศ์” พระประยูรญาติใหญ่น้อยทั้งหมดทุกราชสกุลที่มีอยู่หลากหลายพระองค์ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะ สถานะการเป็น “องค์รัชทายาท” ที่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีได้แต่ “รัชทายาท (the crown prince)” ที่เป็น “มกุฎราชกุมาร” หรือ “มกุฎราชกุมารี” เพียงองค์หนึ่งองค์เดียวเท่านั้น กล่าวคือ เฉพาะแต่บุคคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สมมุติขึ้นเพื่อเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 มาตรา 4 เท่านั้น[1]

ทั้งนี้ ตามข้อเท็จจริงในคดีฎีกาปี 61 ที่จำเลยทำการหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุนั้น เนื่องจากวันที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาตรา 112 โดยการหมิ่นประมาทบุคคลในราชสำนักทั้งสองพระองค์ คือวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เพราะฉะนั้นบุคคลที่เป็นรัชทายาทในขณะนั้นจึงเป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]ที่ได้รับการสถานปณาโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515[3]บุคคลในราชสำนักพระองค์อื่นที่ไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงไม่ได้มีสถานะเป็น “รัชทายาท” ที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากแต่มีสถานะเป็นบุคคลใน “พระบรมวงศานุวงศ์” ที่ยังคงได้รับความคุ้มครองจากความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เฉกเช่นบุคคลทั่วไปเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่จำเลยหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ตามที่ปรากฏในฎีกาปี 61 จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 112 ตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัย เพราะเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลใน “พระบรมวงศานุวงศ์” ไม่ใช่การหมิ่นประมาท “รัชทายาท” แต่ยังคงเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 เท่านั้น (ส่วนจะดำเนินคดีความผิดฐานนี้ทดแทนความผิดมาตรา 112 ได้หรือไม่ผู้เขียนจะได้อธิบายต่อไป) ทั้งนี้ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องความผิดมาตรา 112 ก็ตาม แต่การดำเนินคดีความผิด 112 นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะ การกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิดมาตรา 112 โดยชัดแจ้งตั้งแต่ต้น ซึ่งในประเด็นนี้มีข้อสังเกตต่อเนื่องไปอีกว่า แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจะไม่เป็นความผิดอย่างชัดเจน แต่พนักงานอัยการก็ยังคงสั่งฟ้องไปโดยคาดเห็นอยู่แล้วว่าศาลก็ต้องยกฟ้อง ทั้ง ๆ พนักงานอัยการมีอำนาจดุลพินิจโดยชอบตามกฎหมายในการทำคำสั่งไม่ฟ้องคดีสำหรับการกระทำที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดโดยชัดแจ้ง ซึ่งผู้เขียนจะยกข้อสังเกตนี้แยกอธิบายต่อไป

2. รัฐหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันถึงขอบเขตของสถานะ ”รัชทายาท” ให้ชัดเจน

ฎีกาปี 61 นั้นได้มีการกล่าวไว้ว่า การกระทำของจำเลยที่เป็นการหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่การหมิ่นประมาทที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะ “ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112” แต่ทั้งนี้คำพิพากษาฎีกาปี 61 นี้ก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลให้ชัดแจ้งเลยว่าองค์ประกอบความผิดที่ขาดหายไปนี้ คือองค์ประกอบความผิดส่วนใดกันแน่ หากละการให้เหตุผลในส่วนนี้ออกไปอย่างน่าประหลาดใจ ผิดกับคำพิพากษาฎีกาหลายฉบับในอดีตที่มีการอธิบายอยู่สม่ำเสมอว่าเหตุใดการกระทำของจำเลยในคดีจึงขาดองค์ประกอบความผิด แต่ถึงกระนั้นหากพิจารณาจากคำพิพากษาฎีกาปี 61 แล้ว เมื่อการหมิ่นประมาทของจำเลยยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ องค์ประกอบความผิดที่ขาดหายไปก็คงจะเหลือแต่ความไม่สมบูรณ์ขององค์ประกอบความผิดในส่วนสถานะของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในฐานะ “รัชทายาท” ตามมาตรา 112 นี้เอง ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายข้างต้น เพราะฉะนั้น ฎีกาปี 61 ฉบับนี้จึงสามารถเป็นคำพิพากษาที่ยืนยันในตัวเองแล้วว่า “พระบรมวงศานุวงศ์” ไม่ใช่ “รัชทายาท” จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 112

เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ไม่ได้มีสถานะเป็น “รัชทายาท” แล้ว การหมิ่นประมาทบุคคลทั้งสองจึงไม่อาจที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 ได้ คงเป็นแต่ความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งเป็นความผิดที่ยอมความได้และมีอัตราโทษน้อยกว่า มาตรา 112 อยู่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อฎีกาปี 61 ไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งอย่างเป็นทางการให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจแล้ว ปัญหาเรื่องความเข้าใจของประชาชนและเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิยามสถานะการเป็น “รัชทายาท” ก็มีแนวโน้มที่จะยังคงคลาดเคลื่อนอยู่ต่อไป ว่าความผิดมาตรา 112 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองพระบรมวงศานุวงศ์ในราชสำนักทุกพระองค์

และด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชนและเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงถึงสถานะ “รัชทายาท” ประกอบกับการละเว้นของศาลฎีกาในการยืนยันถึงขอบเขตสถานะดังกล่าวให้ชัดเจน ส่งผลให้การดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 เกินขอบเขตเงื่อนไขตามกฎหมายที่จำกัดไว้ไปอย่างมาก เกิดการกล่าวหาดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อ ทั้ง ๆ ที่การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถจะเป็นความผิดมาตรา 112 ได้อยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะ ผู้ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้มีสถานะที่ได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าว ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เมื่อใดก็ตามที่การกระทำของผู้ถูกกล่าวหามีการอ้างอิงหรือเกี่ยวโยงถึงบุคคลในราชสำนักหรือพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว การดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 ก็จะทำงานทันที โดยไม่พิจารณาองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายของมาตรา 112 ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ซึ่งแม้ในท้ายที่สุดศาลจะพิพากษายกฟ้องผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยเหตุดังกล่าว แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในการต่อสู้คดีที่ไม่อาจประเมินเป็นเงินได้เลย

3. การดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 ทดแทนการดำเนินคดีมาตรา 112 โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย

ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นจะมีการแบ่งประเภทความผิดอาญาออกเป็น 2 ประเภท คือ “ความผิดต่อส่วนตัว (ความผิดอันยอมความได้)” และ “ความผิดต่อแผ่นดิน (ความผิดอันยอมความไม่ได้)” ซึ่งสำหรับความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะมีเงื่อนไขการเริ่มคดีอยู่ที่ตัวผู้เสียหายเป็นสำคัญ หากผู้เสียหายไม่ทำการร้องทุกข์แก่เจ้าพนักงานด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปร้องทุกข์แทนตนแล้ว การดำเนินคดีความผิดต่อส่วนตัวก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย หากมีการดำเนินคดีความผิดต่อส่วนตัวโดยที่รัฐเป็นผู้ริเริ่มโดยปราศจากการร้องทุกข์ของผู้เสียหายหรือโดยการกล่าวโทษของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือตัวแทนของผู้เสียหายแล้ว การดำเนินคดีความผิดส่วนตัวนั้นย่อมเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรงกันข้ามกับความผิดต่อแผ่นดินนั้นเป็นความผิดอาญาที่รัฐสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของผู้เสียหาย กล่าวคือ รัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินคดีเสมอ ไม่ว่าผู้เสียหายจะประสงค์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาหรือไม่

ทั้งนี้ เนื่องจากความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เป็นความผิดต่อส่วนตัว เพราะฉะนั้น การดำเนินคดีสำหรับฐานความผิดดังกล่าวจึงต้องผ่านเงื่อนไข “การร้องทุกข์” โดยผู้เสียหายที่ถูกหมิ่นประมาทเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วพนักงานสอบสวนก็จะไม่มีอำนาจสอบสวนฐานความผิดนี้ หากยังคงฝ่าฝืนทำการสอบสวนต่อไปก็จะกลายเป็นการสอบสวนโดยปราศจากอำนาจซึ่งส่งผลให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจดำเนินคดี เพราะเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เปรียบเสมือนกับไม่มีการสอบสวนมาก่อนเลย ซึ่งต่างจากความผิดตามมาตรา 112 ที่ถูกกำหนดให้เป็นความผิดต่อแผ่นดินที่รัฐหรือบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายสามารถเริ่มดำเนินคดีได้โดยปราศจากความสมัครใจของผู้เสียหาย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่ได้มีข้อเท็จจริงปรากฏในฎีกา ปี 61 เลยว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุได้ทำการร้องทุกข์ด้วยพระองค์เอง หรือได้มีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปร้องทุกข์แทนพระองค์ การดำเนินคดึความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่ถึงกระนั้นศาลฎีกากลับวินิจฉัยในคดีดังกล่าว ให้การสอบสวนความผิดมาตรา 112 ในตอนแรกครอบคลุมไปถึงการสอบสวนความผิดมาตรา 326 ไปโดยไม่ต้องผ่านการร้องทุกข์ของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสองพระองค์และลงโทษจำเลยตามมาตรา 326 ทดแทนมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่ในอดีตนั้นศาลฎีกาก็ได้เคยวางหลักการวินิจฉัยไว้เองว่า ในกรณีที่การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดต่อแผ่นดินแต่ยังคงเป็นความผิดต่อส่วนตัวในตัวเอง การจะลงโทษจำเลยความผิดอาญาต่อส่วนตัวนั้นจำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาถึงต้นกระบวนการว่าผู้เสียหายได้ทำการร้องทุกข์หรือไม่ ถ้าผู้เสียหายไม่ได้ทำการร้องทุกข์ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ศาลจะพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดต่อส่วนตัวก็ตาม ศาลก็ไม่อาจลงโทษได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4906/2543 และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16081-16083/2555) แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้รับการยอมรับยึดถือปฏิบัติตามมาโดยตลอดจึงกลับถูกพักการปรับใช้ไปเสียอย่างดื้อ ๆ โดยไม่มีคำอธิบายแต่อย่างใดเลยว่าเหตุใดศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยดังเช่นแนวคำพิพากษาในอดีต ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีฎีกาปี 61 ก็เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถเทียบเคียงกันได้ หากมีแต่การกล่าวอ้างหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐตามรัฐธรรมนูญอย่างเลื่อนลอยเพื่อให้มีอำนาจลงโทษจำเลย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐที่ศาลฎีกากล่าวถึงในฎีกาปี 61 นี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามอำเภอใจโดยเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง ทั้งหลักกฎหมาย แนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ หรือแม้แต่แนวทางการวินิจฉัยที่ตนได้วางเอาไว้เอง

4. การพยายามบรรยายฟ้องให้เป็นความผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่อาจเป็นความผิดได้

ประเด็นปัญหานี้ปรากฏในฎีกาปี 63 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาคดีความผิด มาตรา 112 ได้ข่มขู่ผู้เสียหายโดยอ้างอิงว่าตนเป็นญาติกับ “พระวรชายา” ของรัชทายาทซึ่งเป็นการหาประโยชน์โดยมิชอบโดยแอบอ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับ “พระวรชายา” ซึ่งแม้เป็นการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่อาจทำให้พระวรชายาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอันเป็นการหมิ่นประมาทก็จริง แต่เมื่อพระวรชายาไม่ได้เป็น “ราชินี” ที่เป็นคู่สมรสของพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชอยู่ หรือ “รัชทายาท” แต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีทางจะมีความผิดตามมาตรา 112 ได้เลยอยู่แล้วตั้งแต่แรก (ส่วนการดำเนินคดีมาตรา 326 ทดแทนนั้น ไม่อาจกระทำได้ดังที่ผู้เขียนอธิบายหลักกฎหมายไว้ในคดีฎีกาปี 61 เพราะไม่ปรากฏว่าพระวรชายาได้ทำการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีความผิดดังกล่าวด้วยพระองค์เองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นร้องทุกข์แทน) ซึ่งศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้องสำหรับข้อหาความผิดมาตรา 112

อย่างไรก็ดี แทนที่พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาดังกล่าวเพราะพระวรชายาไม่ใช่บุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 112 ตั้งแต่แรก แต่พนักงานอัยการในคดีนี้ก็หาได้ปฏิบัติเช่นนั้นไม่ แต่ยังคงสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดมาตรา 112 โดยบรรยายฟ้องในทำนองว่า การแอบอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาถือเป็นการจาบจ้วงให้รัชทายาทเสื่อมเสียพระเกียรติ อันเป็นการหมิ่นประมาทรัชทายาทไปด้วยในตัวเอง ซึ่งการบรรยายฟ้องดังกล่าวนี้เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดความสมเหตุสมผลอย่างร้ายแรง เพราะบุคคลที่ถูกผู้ต้องหาพาดพิง คือ “พระวรชายาของรัชทายาท” แต่เพียงผู้เดียว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานว่ามีการพาดพิงหรือแอบอ้าง “องค์รัชทายาท” โดยตรงแต่อย่างใดเลย แต่พนักงานอัยการกลับพยายามบรรยายฟ้องให้ผลของการแอบอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาท ถือเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทองค์รัชทายาทโดยอ้อมไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยตรรกะและเหตุผลด้วยประการทั้งปวง เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่าการใส่ความผู้หนึ่งให้เสียชื่อเสียงจะถูกถือว่าเป็นการใส่ความบุคคลอื่นในครอบครัวของผู้นั้นให้เสียชื่อเสียงไปโดยอัตโนมัติซึ่งไม่สามารถหาความเชื่อมโยงหรือความสมเหตุสมผลใด ๆ ได้เลย ซึ่งแม้การแอบอ้างว่าตนมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาทจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมก็จริง แต่ก็ไม่อาจอธิบายได้เลยว่าการกระทำดังกล่าวจะสามารถเป็นการแสดงความรู้สึกดูถูก เหยียดหยาม หรือสบประมาทอันเป็นการดูหมิ่น หรือการใส่ความ “องค์รัชทายาท” ต่อบุคคลที่สามอันเป็นการหมิ่นประมาทอย่างไร

5. การฟ้องคดีโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด

ในฎีกาปี 61 และปี 63 ทั้ง 2 คดี ได้ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้น (ในฎีกาปี 61) และศาลอุทธรณ์ (ในฎีกาปี 63) มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดมาตรา 112 แล้ว พนักงานอัยการก็ไม่ได้ใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อหาความผิดตามมาตรา 112 แต่กลับปล่อยให้เป็นที่ยุติในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ไปเฉย ๆ อย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้สะท้อนว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีไปโดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทำของจำเลยไม่มีทางเป็นความผิดมาตรา 112 ตั้งแต่แรก เพราะถ้าพนักงานอัยการเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดเช่นว่านั้น พนักงานอัยการก็ย่อมจะต้องทำการฎีกาในประเด็นความผิดมาตรา 112 ที่ถูกยกฟ้องต่อไป เพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษากลับลงโทษจำเลยในความผิดมาตรา 112 คงไม่ปล่อยให้ยุติไปโดยง่ายดังที่ปรากฏนี้

อนึ่ง อำนาจการสั่งคดีเป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะ กล่าวคือ ไม่ว่าพนักงานสอบสวนจะทำความเห็นในคดีมาอย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการก็มีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีของตนเอง ในการที่จะใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีก็ได้ อันเป็น “อำนาจการสั่งคดีตามดุลพินิจ” โดยพนักงานอัยการต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของสำนวนการสอบสวน และพิจารณาสั่งสำนวนโดยละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ หากพนักงานอัยการพบว่าสำนวนของพนักงานสอบสวนเป็นความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ทั้ง ๆ ที่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า การกระทำดังกล่าวไม่ครบองค์ประกอบความผิดอาญาตามมาตรา 112 อันเป็นการตั้งข้อหาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่แรกแล้วพนักงานอัยการก็ควรมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา แล้วให้กระบวนการตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้ดำเนินการไปตามกฎหมาย

6. การละเลยการหยิบยกประเด็นปัญหาเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัย

ในฎีกาปี 63 นั้นศาลได้มีการยกฟ้องในข้อหาความผิดมาตรา 112 สำหรับการข่มขู่ผู้อื่นโดยการอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาท แต่ยังคงพิพากษาลงโทษความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ทดแทน ซึ่งก็เป็นการลงโทษโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายเช่นกัน เพราะหากศาลจะลงโทษฐานความผิดดังกล่าวแทนความผิดมาตรา 112 จะต้องปรากฏว่าผู้เสียหายได้มีการร้องทุกข์หรือฟ้องคดีความผิดมาตรา 309 ภายในอายุความตามที่กฎหมายกำหนดด้วย และเนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัวที่มีอายุความ 3 เดือนนับตั้งแต่รู้เรื่องรู้ตัว ดังนั้น เมื่อเหตุเกิดเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 แต่ผู้เสียหายมาแจ้งความกับเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้ว การดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 309 จึงขาดอายุความตั้งแต่แรก สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสำหรับความผิดดังกล่าวจึงระงับไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน พ.ศ. 2556 ซึ่งประเด็นนี้ศาลฎีกาก็เคยวินิจฉัยวางหลักเอาไว้เอง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16081-16083/2555)

ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการขาดอายุความนั้นในทางกฎหมายนั้นเรียกว่าเป็น “ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย” ซึ่งศาลสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยไม่ต้องรอให้คู่ความฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างให้ศาลวินิจฉัย เพราะฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่เห็นข้อต่อสู้คดีในประเด็นนี้แล้วไม่ยกเรื่องอายุความเรื่องต่อสู้ หากศาลเห็นเอง ศาลก็สามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วทำการยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุของการขาดอายุความได้ ซึ่งในคดีอื่น ๆ นั้น ศาลก็ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการหยิบยกปัญหาเรื่องการขาดอายุความขึ้นวินิจฉัยเองขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดมา แต่อย่างไรก็ตาม ในคดีฎีกาปี 63 นั้น ศาลไม่ได้ทำการหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขาดอายุความนี้ขึ้นวินิจฉัยแต่อย่างใดเลย กลับปล่อยปละละเลยไม่ทำการวินิจฉัยอย่างรอบคอบดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีต และยังคงดึงดันจะลงโทษจำเลยทั้ง ๆ ที่สิทธิในการดำเนินคดีอาญาจำเลยระงับไปเป็นเวลานานแล้ว

บทส่งท้าย

ข้อสังเกตจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับนี้เป็นเพียงตัวแค่ตัวอย่างความ “ไปไม่เป็น” ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมเมื่อจะต้องเผชิญกับคดีความผิดมาตรา 112 ซึ่งเป็นอีกประเด็นปัญหาหนึ่งที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยการแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกความผิดมาตรา 112 แต่เพียงเท่านั้น หากแต่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและความซื่อตรงต่อหลักวิชาของผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากหน้าที่การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ การสั่งคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้นไม่ได้มีการดำเนินไปตามกฎหมายแล้ว การรักษาความมั่นคงสงบเรียบร้อยของรัฐที่ถูกหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างในการดำเนินคดีตามที่ปรากฏในคำพิพากษาก็คงเป็นเพียงความมั่นคงสงบเรียบร้อยบนกองเศษซากสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ความมั่นคงสงบเรียบร้อยของสังคมในอุดมคติที่ผู้คนใฝ่หาแต่อย่างใด

 

อ้างอิง

[1]กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 มาตรา4 บัญญัติว่า ศัพท์ต่างๆที่ใช้ในกฎมณเฑียรบาลนี้ ท่านว่าให้บรรยายไว้ดังต่อไปนี้ (1) “พระรัชทายาท” คือ เจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสมมตขึ้นเพื่อเปนผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ต่อไป

[2]ในขณะนั้น ทรงมีพระนามว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร

[3]‘พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร’, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89, ตอน 200 ก, ฉบับพิเศษ (28 ธันวาคม พ.ศ. 2515), 1.

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

P-Move ลั่นไม่เห็นด้วยกับประชุม APEC และการดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพฯ ของรัฐบาลเผด็จการ

$
0
0

ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยต่อการประชุม APEC และความพยายามผลักดันโมเดล BCG ของรัฐบาลเผด็จการ และรัฐราชการอำนาจนิยมที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

 

14 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-Move ออกแถลงการณ์เรื่อง จุดยืนไม่เห็นด้วยกับการประชุมเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC และโมเดล แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular- Green- Economy Model (BCG) ในเงื้อมมือรัฐบาลเผด็จการ และรัฐราชการอำนาจนิยมที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

"ไม่เห็นด้วยต่อการประชุม APEC และความพยายามผลักดันโมเดล BCG โดยรัฐบาลไทย เราจึงขอเชิญชวนประชาชนทั้งหลายให้ร่วมกันจับตาและคัดค้านอย่างถึงที่สุด รวมถึงส่งเสียงถึงประชาคมโลกว่าอย่าได้ร่วมมือและเป็นเครื่องมือรัฐบาลเผด็จการในการคุกคามและยึดกุมระบบเศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยเป็นอันขาด"แถลงการณ์ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ระบุ

โดยมีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)

เรื่อง จุดยืนไม่เห็นด้วยกับการประชุม APEC และโมเดล BCG ในเงื้อมมือรัฐบาลเผด็จการ และรัฐราชการอำนาจนิยมที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

เวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ที่ประเทศไทยกำลังจะจัดให้มีการประชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 รัฐบาลไทยได้พยายามนำเสนอหัวข้อหลักในการประชุมคือ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance” โดยชูแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular- Green- Economy Model (BCG) นั้น ล้วนเป็นเป้าหมายที่เลื่อนลอยและตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลไทย โดยเฉพาะเกือบหนึ่งทศวรรษภายใต้อำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและหน่วยงานราชการไทยที่อาศัยกลไกรัฐเผด็จการสร้างเครื่องมือทางนโยบาย กฎหมายที่มุ่งการผูกขาดอำนาจและสร้างผลกระทบมหาศาลต่อสังคมไทย

หากพิจารณาการผลักดัน “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” ซึ่งเป็นหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการประชุม APEC ครั้งนี้ มีการระบุสาระสำคัญหลัก 4 ประการ ประกอบด้วย 1) การจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศที่รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) 2) การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน 3) การบริหารจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ 4) การลดและบริหารจัดการของเสีย จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่สวนทางกับผลงานภาพรวมของรัฐบาลที่ได้ส่งประเทศไทยขึ้นแท่นอันดับ 1 ประเทศแห่งความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดของโลก โดยเฉพาะในมิติเศรษฐกิจและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีกลุ่มทุนน้อยใหญ่และเครือข่ายชนชั้นนำที่ต่างพากันเจริญเติบโตสั่งสมความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจบนทรัพยากรส่วนรวม ท่ามกลางการกดหัวประชาชนจมดินที่ไม่มีแม้แต่สิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการส่งเสียง

จะเห็นได้ว่า รัฐบาลมุ่งอนุมัติโครงการน้อยใหญ่ที่มีกลุ่มทุนและรัฐราชการเป็นศูนย์กลางบนข้ออ้างประโยชน์สาธารณะและความเจริญจอมปลอมของประเทศท่ามกลางการสูญเสียฐานทรัพยากรส่วนรวมอย่างถาวร โดยตัดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชนผู้รับผลกระทบที่แบกรับความสูญเสียซ้ำซากไม่ต่างจากยุคอดีต และขณะเดียวกันกลับไม่แยแสต่อการดำเนินนโยบาย กฎหมายที่ละเมิดสิทธิการอยู่อาศัยทำกิน แย่งชิง กีดกัน ขับไล่ประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์-ชนเผ่าพื้นเมืองออกจากที่ดิน ผืนป่าและท้องทะเล พร้อมจะตีตราให้ประชาชนที่ด้อยอำนาจเป็นดัง “แพะรับบาป” ในกระแสสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นธรรม 

ขปส. เห็นว่า ด้วยทิศทางการใช้อำนาจของรัฐบาลไทยเต็มไปด้วยปัญหาธรรมาภิบาล ความโปร่งใสและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อเนื่องขณะนี้ จะไม่ก่อประโยชน์แท้จริงแก่ประชาชนคนไทยและประชาคมโลก ความพยายามผลักดันโมเดล BCG ภายใต้เงื้อมมือรัฐบาลเผด็จการและรัฐราชการอำนาจนิยมของไทยในเวทีประชาคม APEC ในครั้งนี้ จะไม่ต่างจากการหลอกลวงประชาคมโลก  

คงเป็นได้เพียงเครื่องมือสร้างความชอบธรรมที่กำลังจะผลักดันให้ที่ดินและฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ประชาชนต่างร่วมดูแลรักษาที่สัมพันธ์กับคุณค่าการดำรงชีวิตให้กลายเป็นสินค้าในระบบตลาดเศรษฐกิจทุนนิยมที่ผูกขาดโดยกลุ่มทุนน้อยใหญ่และอำนาจรัฐราชการยุคเผด็จการแย่งยึดสิทธิบนฐานทรัพยากรส่วนร่วมเพื่อค้ากำไร สร้างกลไก “ฟอกเขียว” ให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้สร้างมลพิษรายใหญ่สามารถดำเนินกิจกรรมทำลายสิ่งแวดล้อมได้ต่อไป โดยอาศัยข้ออ้างด้าน “คาร์บอนเครดิต” ปู้ยี่ปู้ยำระบบนิเวศจนกลายเป็นการสร้างโศกนาฏกรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมยุคใหม่

ดังนั้น ขปส. ในนามเครือข่ายประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย และสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ จึงขอประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการประชุม APEC และความพยายามผลักดันโมเดล BCG โดยรัฐบาลไทย เราจึงขอเชิญชวนประชาชนทั้งหลายให้ร่วมกันจับตาและคัดค้านอย่างถึงที่สุด รวมถึงส่งเสียงถึงประชาคมโลกว่าอย่าได้ร่วมมือและเป็นเครื่องมือรัฐบาลเผด็จการในการคุกคามและยึดกุมระบบเศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยเป็นอันขาด

ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)

14 ตุลาคม 2565

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ฮิวแมนไรท์วอทช์ฉะเผด็จการพม่าใช้เรือญี่ปุ่นบริจาค-นำไปใช้เพื่อการทหาร

$
0
0

เผด็จการทหารพม่านำเรือที่ได้รับบริจาคมาจากญี่ปุ่น 2 ลำไปใช้ในทางการทหาร ถือว่าผิดกฎการใช้งาน เนื่องจากเรือนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือพม่า แต่ระบุห้ามนำไปในทางการทหาร ทำให้ฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้ญี่ปุ่นยกเลิกโครงการช่วยเหลือที่จะเอื้อต่อเผด็จการทหาร แต่ให้เน้นช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยนำไปให้กับกลุ่มเอ็นจีโอของพม่าแทน

15 ต.ค. 2565 องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์รายงานว่าเผด็จการทหารพม่าได้อาศัยเรือโดยสารที่ได้รับบริจาคมาจากญี่ปุ่นเพื่อให้ใช้ในการพลเรือน นำมาใช้ในเชิงการทหารเมื่อช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ทำการวิเคราะห์จดหมายจากเจ้าหน้าที่ทางการของพม่าหลายฉบับ ทำให้พบว่ามีเรือ 2 ลำจากทั้งหมด 3 ลำ ที่ได้รับมาจากญี่ปุ่นในช่วงระหว่างปี 2560-2562 ถูกนำไปใช้ในการขนส่งลำเลียงกำลังทหารมากกว่า 100 นาย และใช้ลำเลียงวัสดุไปที่เมือง Buthidaung บนแม่น้ำ Mayu ในรัฐยะไข่ ซึงเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบกันอยู่ระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์อาระกันอาร์มีกับเผด็จการทหารพม่า

ทางฮิวแมนไรท์วอทช์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นระงับการให้ความช่วยเหลือในแบบที่ไม่ใช่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อรัฐบาลพม่าโดยทันที และให้ทำการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ทหารพม่าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง

เทปเปย์ คาไซ เจ้าหน้าที่โครงการเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า "การที่เผด็จการทหารพม่านำการช่วยเหลือด้านการพัฒนาที่ญี่ปุ่นมอบให้ไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้สนับสนุนปฏิบัติการของเผด็จการทหารไปด้วย ... รัฐบาลญี่ปุ่นควรจะต้องทำการทบทวนใหม่อย่างเร่งด่วนจากการที่พวกเขาล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องการจำกัดไม่ให้เผด็จการทหารพม่าก่อเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชน"

การใช้เรือที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2565 ฝ่ายการคมนาคมของรัฐบาลรัฐยะไข่ได้สั่งกำชับกรมการขนส่งทางแม่น้ำของยะไข่ (IWT) ให้ "เตรียมพร้อม"ใช้เรือ "Kisapanadi I"และ "Kisapanadi III"ในการ "เดินทางจาก Sittwe ไปที่ Buthidaung และกลับมาที่ Sittwe"

เรื่องนี้มีระบุไว้ในจดหมายระหว่าง IWT กับกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของพม่า โดยระบุว่าเป็นเอกสารลับ ในจดหมายระบุอีกว่ามีการใช้เรือสองลำในการขนส่งพลทหารของกองทัพ "ทัตมะตอว์"ซึ่งเป็นชื่อเรียกกองทัพเผด็จการพม่า รวมถึงมีการใช้เรือเหล่านี้ขนส่งลำเลียงวัสดุและเสบียงของเผด็จการพม่าด้วย โดยมีการขนส่งลำเลียงไปที่ Buthidaung

รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมกำชับว่าการเดินเรือเพื่อขนส่งลำเลียงในครั้งนี้ต้อง "เป็นความลับสุดยอด"และปลายทางของการขนส่งควรจะต้องถูกระบุว่า "ไม่มีในรายงาน"ในกรณีถ้าจะมีการแจ้งต่อกลุ่มบุคคลที่สาม ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์มองว่าการระบุให้เป็นความลับเช่นนี้เป็นหลักฐานว่าสิ่งที่เผด็จการพม่ากำลังทำอยู่เป็นสิ้งไม่ดี ทาง IWT ระบุว่าพวกเขาได้หารือกับรัฐมนตรีด้านคมนาคมของรัฐยะไข่แล้วและระบุว่าเรือเหล่านี้ไม่ได้ใช้งานเพื่อจุดประสงค์ทางการทหารอีกต่อไป

ต่อมาในวันที่ 23 ก.ย. ผู้บัญชาการตำรวจของรัฐยะไข่และรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมในฐานะตัวแทนมุขยมนตรีของรัฐยะไข่เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของรัฐบาลกลางระบุยืนยันเป็นพิเศษว่ามีการใช้เรือสองลำนี้ "ด้วยวัตถุประสงค์ทางการทหาร"

ทางการรัฐยะไข่พยายามจะอ้างความชอบธรรมในการใช้เรือเหล่านี้ทางการทหารโดยอ้างบทเฉพาะการมาตรา 250 ของรัฐธรรมนูญพม่าปี 2551 ที่ระบุว่า "รัฐบาลส่วนภูมิภาคและส่วนของรัฐจะต้องมีความรับผิดชอบในการช่วยเหลือรัฐบาลสหภาพพม่าในการดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของสหภาพพม่า ความสงบเรียบร้อยและความผาสุกในชุมชนรวมถึงการควบคุมและปราบปรามอาชญากรรมอย่างทั่วถึง"

กองทัพพม่ากับกองกำลังรัฐอาระกันมีสนธิสัญญาหยุดยิงร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 เป็นต้นมา แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาสนธิสัญญาหยุดยิงก็ถูกทำลายลง ในเดือน ส.ค. กองทัพพม่าได้เริ่มเสริมกำลังกองทัพของตัวเองที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ที่ซึ่งมีการยกระดับการสู้รบหนักขึ้นทั้งในแง่ขอบเขตและความรุนแรง มีการโจมตีด้านอากาศยาน, การยิงปืนใหญ่ถล่มอย่างหนัก, และการใช้กับดักระเบิด มีตัวเลขพลเรือนที่เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เผด็จการทหารพม่าได้ทำการตัดขาดพลเรือนชาวยะไข่และพลเรือนทางตอนใต้ของรัฐชีนให้โดดเดี่ยวจากโลกภายนอกและสร้างความหวาดผวาต่อพวกเขา เพื่อที่จะทำให้กองกำลังอาระกันอาร์มีอ่อนกำลังลง วิธีการในเชิงกดขี่ผู้คนเช่นนี้มาจากนโยบายของกองทัพพม่าที่มีมานานแล้วเรียกว่า "นโยบาย 4 ตัด"โดยที่เผด็จการพม่ายังได้ออกกฎจำกัดการเดินทางของกลุ่มคนที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ปิดกั้นไม่ให้พวกเขาเข้าถึงผู้คนได้ด้วยทางถนนและทางน้ำ รวมถึงจับกุมโดยพลการต่อกลุ่มคนทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การทำเช่นนี้ของรัฐบาลพม่านับเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ในวันที่ 15 ก.ย. เผด็จการทหารพม่าได้ออกคำสั่งแบนหน่วยงานของสหประชาชาติและองค์กรเอ็นจีโอของนานาชาติทั้งหมดจากเมือง 6 เมืองในรัฐยะไข่ คือ Maungdaw, Buthidaung, Rathedaung, Mrauk-U, Minbya และ Myebon รวมถึงสั่งปิดกั้นเส้นทางเดินเรือและขนส่งมวลชนในพื้นที่เหล่านี้ การสู้รบที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือน ส.ค. ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นมากกว่า 18,000 รายแล้ว จากเดิมที่มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศอยู่แล้ว 70,000 ราย ผู้พลัดถิ่นจำนวนมากกำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนอาหารและยา การที่เผด็จการทหารพม่าสั่งสกัดกั้นช่องทางความช่วยเหลือยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคลนเหล่านี้เลวร้ายลงกว่าเดิม

กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาต่อกรณีที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ทำการสืบสวนในเรื่องนี้ไว้ในเดือน ก.ย. โดยระบุว่า "ทางรัฐบาลญี่ปุ่น จะดำเนินการเพื่อให้มีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ได้รับผ่าน ODA (โครงการช่วยเหลือด้านการพัฒนาของรัฐบาลญี่ปุ่น) โดยตั้งอยู่บนฐานของหลักการตามกฎบัตรความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ว่า 'ห้ามไม่ให้ใช้ความร่วมมือด้านการพัฒนาใดๆ ก็ตามไปวัตถุประสงค์ด้านการทหาร'"

เจ้าหน้าที่ทางการจากกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นบอกอีกว่า ญี่ปุ่นกำลังหาดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดไปมากกว่านั้น โดยอ้างว่ามันเป็น "เรื่องในเชิงการทูต"

ญี่ปุ่นเคยส่งเรือ 3 ลำให้พม่ามาก่อนในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมภายใต้งบประมาณ 500 ล้านเยน (ราว 128 ล้านบาท) โดยมีการลงนามส่งมอบเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2559 โดยที่สถานทูตญี่ปุ่นในพม่าระบุว่าโครงการนี้ "มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการขนส่งทางน้ำในพม่าและช่วยส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมในพม่า ด้วยการบริจาคเรือโดยสารเพื่อการคมนาคมชายฝั่งในรัฐยะไข่"

หลังจากที่พม่ามีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 รัฐบาลญี่ปุ่นก็ประกาศว่าพวกเขาจะระงับการช่วยเหลือโครงการ ODA กับพม่าในแบบที่ไม่ใช่การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ก็จะไม่ระงับการช่วยเหลือในโครงการที่กำลังดำเนินอยู่ จากข้อมูลเมื่อเดือน พ.ย. 2564 ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือด้านการกู้ยืมต่อพม่ารวมแล้ว 1.4 ล้านล้านเยน (ราว 360,000 ล้านบาท) เงินบริจาคช่วยเหลือ 360,000 ล้านเยน (ราว 92,700 ล้านบาท) และเงินช่วยเหลือด้านเทคนิค 100,000 ล้านเยน (ราว 26,000 ล้านบาท)

ฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นใช้กลไกเรื่องที่กฎบัตรความร่วมมือด้านการพัฒนาต้องเป็นไปตามเงื่อนไขด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวระบุว่า "ญี่ปุ่นจะให้ความสนใจต่อสถานการณ์ของประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ ในแง่ของกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย, หลักนิติธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ด้วยมุมมองที่มุ่งส่งเสริมความเข้มแข็งของกระบวนการประชาธิปไตย, หลักนิติธรรม และการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน"

ฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า ในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนั้น ญี่ปุ่นควรจะยังคงดำเนินโครงการเหล่านี้ต่อไปโดยหันไปให้เงินช่วยเหลือกับกลุ่มเอ็นจีโอแทนเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนที่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือ

คาไซกล่าวว่า "การที่ญี่ปุ่นทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ในการคว่ำบาตรไม่ได้ทำให้เผด็จการทหารพม่าลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่น้อย ... ญี่ปุ่นควรจะนำภาพลักษณ์ของตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ในฐานะที่เป็นประเทศประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิฯ โดยการใช้เครื่องมือทางการทูตทุกอย่างที่มีในการทำให้กองทัพพม่าต้องรับผิดชอบ"

เรียบเรียงจาก
Myanmar: Military Used Japan-Funded Ships, Human Rights Watch, 11-10-2022

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>