Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live

‘ทะลุราม’ จัดงานคู่ขนาน วางดอกไม้-พวงหรีด ให้วีรชน 6 ตุลา

$
0
0

'เก็บตก' นักกิจกรรมรามคำแหง จัดงาน ‘รำลึกวีรชน 6 ตุลา’ วางพวงหรีด-ดอกไม้ ระลึกถึงผู้วายชนม์ ด้านผู้จัดเศร้าใจที่คนให้ความสนใจน้อย พร้อมเชิญชวนให้คนหันมาศึกษามากขึ้น 

11 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา กลุ่ม ‘ทะลุราม’ ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดกิจกรรม ‘รำลึกวีรชน 6 ตุลา’ วางพวงหรีด และดอกไม้ ณ ลานสำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เพื่อระลึกถึงนักศึกษารามคำแหง และวีรชน 6 ตุลา คนอื่นๆ ที่ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

ทะลุราม จัดงานรำลึกวีรชน 6 ตุลา เมื่อ 6 ต.ค. 2565

มัชรูมบอย (นามสมมติ) สมาชิกทะลุราม และผู้จัดงาน เผยความรู้สึกหลังจัดงานว่า เขาดีใจที่ได้จัดงานออกมาอย่างเต็มที่ตามกำลังทรัพย์ และบุคลากรที่มี แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเศร้าใจที่ประชาชนและมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

“มีคนให้ความสนใจอยู่บ้าง แต่น้อยมาก ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ตุลา 2519 วันเดียวกันเมื่อ 46 ปีที่แล้ว ภาพมหาวิทยาลัยรามคำแหง มันเต็มไปด้วยพื้นที่ทางความคิดทางการเมือง มันเต็มไปด้วยพื้นที่การแสดงออก มันเต็มไปด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่งานปีนี้มีเพียงคนเดินมาถ่า่ยรูปคนสองคน มันก็รู้สึกเศร้าใจอยู่เหมือนกัน …ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นวันที่ 6 ตุลา มันคือความร้ายแรงมากๆ” สมาชิกทะลุราม กล่าวถึงความรู้สึก 

สมาชิกทะลุราม กล่าวว่า ก่อนมาเป็นนักกิจกรรมการเมือง เขาเองไม่ทราบประวัติศาสตร์ 6 ตุลา มาก่อน แต่หลังจากได้ศึกษา เขารู้สึกเศร้าใจเมื่อทราบถึงความโหดร้ายที่ผู้ชุมนุมต้องเจอ สิ่งที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกัน และเข้าใจความรู้สึกของคนที่ออกมาประท้วงในวันนั้น

"ภาพในวันที่ 6 ตุลา มันเศร้า และหนักหน่วงมาก และมารับรู้ว่าคนที่เป็นศพอายุไล่เลี่ยกับเราในวันนี้ บางคนปี 3-4 รุ่นเดียวกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน อายุเท่ากัน รุ่นไล่กัน และเขามีความคิด ณ เวลานั้นคล้ายๆ เราคือ ไม่ต้องการให้ประเทศอยู่ใต้สถานการณ์อย่างนั้นอีกแล้ว ภาพวันนั้นมันแย่มาก มันเศร้าใจจัดๆ ส่วนใหญ่นักศึกษารามมาจากครอบครัวที่พื้นฐานที่เป็นชนชั้นแรงงาน เป็นอะไรแบบนี้ ทำให้เราเข้าใจความรู้สึก ณ วันนั้น" สมาชิกทะลุราม กล่าว 

สมาชิกทะลุรามคนเดิม ทิ้งท้ายโดยขอสื่อสารกับสังคม และเชิญชวนให้คนหันมาสนใจกับประวัติศาสตร์เหตุการณ์ 6 ตุลามากขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลเว็บไซต์ บันทึก 6 ตุลาเผยว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีนักศึกษารามคำแหง เสียชีวิตอย่างน้อย 11 ราย โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยกระสุนปืน และสะเก็ดระเบิด

  1. พงษ์พันธ์ เพรามธุรส อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์
  2. มนู วิทยาภรณ์ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะรัฐศาสตร์
  3. บุนนาค สมัครสมาน อายุ 22 ปี (รายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่าอายุ 18 ปี) ไม่ทราบชั้นปี
  4. อภิสิทธิ์ ไทยนิยม อายุ 21 ปี (รายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่าอายุ 17 ปี) นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์
  5. ยุทธนา บูรศิริรักษ์ อายุ 22 ปี (รายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่าอายุ 24 ปี) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์
  6. ภูมิศักดิ์ ศิระศุภฤกษ์ชัย อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ
  7. วัชรี เพชรสุ่น อายุ 20 ปี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์
  8. ดนัยศักดิ์ เอี่ยมคง อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ 
  9. วิสุทธิ์ พงษ์พานิช อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ถูกกระสุนปืน 
  10. เนาวรัตน์ ศิริรังษี อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะบริหารธุรกิจ และทำงานเป็นพนักงานบริษัท
  11. อรุณี ขำบุญเกิด อายุ 19 ปี ไม่ทราบชั้นปี

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทหาร-ตร.เตรียม รปภ. ‘ปูติน’ มาร่วมประชุมเอเปคที่ไทย พ.ย.นี้

$
0
0

ทหาร-ตำรวจประชุมเตรียม รปภ. “ปูติน” ที่จะเดินทางมาร่วมประชุมเอเปคเดือนหน้านี้ กองทัพไทยแจงการข่าวยังไม่พบปัจจัยทั้งภายนอกและในประเทศหรือสิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดเหตุร้าย แต่มีการติดตามตัวผู้มีขีดความสามารถและตั้งใจก่อเหตุที่จะกระทบการเตรียมการแล้ว

11 ต.ค.2565 ผู้จัดการออนไลน์และวาสนา นาน่วมนักข่าวสายความมั่นคงของบางกอกโพสต์รายงานตรงกันว่าในการประชุมเอเปคในวันที่ 18-19 พ.ย.2565วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียจะเดินทางมาร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ส่วนทางฝั่งไทยทหารและตำรวจได้ร่วมประชุมเพื่อเตรียมการรักษาความปลอดภัยไว้แล้ว

ทั้งนี้ในรายงานข่าวของผู้จัดการมีการระบุว่าจากแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงแจ้งว่าหน่วยข่าวทหาร ตำรวจ และกระทรวงต่างประเทศแจ้งความคืบหน้าของคำตอบรับจากผู้นำประเทศมหาอำนาจมาแล้ว โดยล่าสุดมีการยืนยันจากปูตินแล้วว่าจะเดินทางมาร่วมประชุมด้วย แต่สีจิ้นผิงผู้นำจีนยังอยู่ระหว่างรอการยืนยัน ส่วนโจ ไบเดิน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังยืนยันจะส่งผู้แทนเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้

สำหรับกรณีของไบเดน มีการรายงานไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาปฏิเสธที่จะเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตนเองโดยอ้างเหตุผลว่าจะเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของหลานสาว ในรายงานยังระบุตัวผู้ที่จะมาแทนไบเดนคือรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส

นอกจากนั้นเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.ทสส.) แถลงถึงความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยภายในการประชุมเอเปกว่า จากการติดตามข้อมูลการข่าวทางทหาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประเทศเพื่อนบ้าน ยังไม่พบปัจจัยหรือสิ่งบอกเหตุที่จะเกิดร้ายแม้อาจจะมีผู้นำบางประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัด

ผบ.ทสส.กล่าวต่อว่าได้มีการติดตามตัวผู้ที่มีขีดความสามารถและตั้งใจก่อเหตุที่อาจกระทบต่อการเตรียมการประชุมแล้ว นอกจากนั้นยังมีการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ วางแผนความปลอดภัยตั้งแต่เครื่องบินของผู้นำประเทศเข้าสู่น่านฟ้าของไทย รัดกุมทุกส่วนทั้งในและนอกประเทศ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักกิจกรรมเผย ‘นักธุรกิจหญิงชาวลาว’ ถูกฆ่า-ยัดกระเป๋า-ถ่วงแม่น้ำโขง มีสัมพันธ์ใกล้ชิด ‘ผู้นำลาวคนหนึ่ง’

$
0
0

จากกรณีพบศพหญิงชาวลาวถูกฆาตกรรมโดยนำศพยัดใส่กระเป๋าเดินทาง โยนลงแม่น้ำโขง นักกิจกรรมทางการเมืองชาวลาวเปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตคือ ‘วิพาพอน กอนสิน’ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในลาว พร้อมระบุ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘ผู้นำลาวคนหนึ่ง’ ด้านกรมตำรวจใหญ่ตั้งคณะเฉพาะกิจเพื่อสืบสวนคดีแล้ว 

11 ต.ค. 2565 จากกรณีพบศพหญิงชาวลาวถูกฆาตกรรมโดยนำศพยัดใส่กระเป๋าเดินทาง โยนลงแม่น้ำโขงก่อนพบศพฝั่งไทย จ.นครพนม เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ทราบชื่อภายหลังว่าเป็น ‘วิพาพอน กอนสิน’ อายุ 36 ปี ประธานบริษัท ลาววีไอพี พัฒนาการลงทุน จำกัด นั้น โดยวานนี้ (10 ต.ค.) สำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชีย ภาคภาษาลาวรายงานความคืบหน้าคดีฆาตรกรรมว่า กรมตำรวจใหญ่ กระทรวงป้องกันความสงบ ออกแจ้งการแต่งตั้ง ‘คณะเฉพาะกิจ’ รับผิดชอบดำเนินคดีการลักพาตัวและฆาตกรรรม วิพาพอน พร้อมอำพรางศพด้วยการยัดใส่กระเป๋าเดินทางแล้วโยนลงแม่น้ำโขง ในช่วงระหว่างวันที่ 10 – 28 ก.ย.ก่อนที่จะมีการพบศพที่แม่น้ำโขงฝั่งไทย จ.นครพนม เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีพลจัตวา แก่นจัน พมมะจัก รองหัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจ และหัวหน้ากรมตำรวจสืบสวนสอบสวนเป็นหัวหน้าคณะเฉพาะกิจดังกล่าว

สำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียติดต่อไปหากรมใหญ่ตำรวจเพื่อสอบถามความคืบหน้าของการสืบสวนสอบสวน ได้ข้อมูลเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ขอสงวนชื่อ ชี้แจงว่า “เกี่ยวกับคดีนี้ทางคณะเฉพาะกิจกำลังมีการสืบสวนสอบสวนอยู่ ส่วนจะมีการแถลงข่าวชี้แจงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ ”

เนื่องจากเป็นคดีที่สะเทือนขวัญและสร้างความหวาดกลัวให้แก่สังคม ทำให้มีประชาชนชาวลาวจำนวนมากที่ติดตามข่าวการฆาตกรรมดังกล่าวและแสดงความต้องการให้เจ้าหน้าที่เร่งแก้ไขคดี พร้อมทั้งจับผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ไวที่สุด ซึ่งสำหรับชาวลาวที่ติดตามข่าวนี้ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นว่า คดีการฆาตกรรมวิพาพอน นั้น น่าจะเกิดจากความขัดแย้งทางด้านธุรกิจ ซึ่งผู้เสียชีวิตอาจถูกผู้เสียผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจว่าจ้างคนร้ายลงมือลักพาตัวแล้วลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

“อันนี้น่าจะแถลงข่าวกันแบบว่าให้รู้ว่าเป็นยังไงเนาะ เดี๋ยวนี้ยังมีการปิดบังข้อมูลอยู่ ตามที่รายงานอยู่ในข่าวลาว ก็น่าจะเป็นคดีฆาตกรรมทางด้านธุรกิจ” ชาวลาวคนหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชีย

อดีตเจ้าหน้าที่ลาวคนหนึ่งที่มีความรู้เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมเชื่อว่า การลักพาตัวและฆาตกรรมวิพาพอนอาจเกิดจากการเสียผลประโยชน์หรือผิดใจกันในการทำธุรกิจด้วยกัน ส่วนผู้ก่อเหตุจะเป็นคนประเทศใดนั้น ก็ไม่สามารถคาดเดาได้

“ขัดแย้งทางด้านธุรกิจแหละ ผู้ก่อเหตุจะเป็นลาว จีน หรือเวียดนาม ก็ยังไม่รู้เลย คงเป็นเรื่องขัดแย้งด้านธุรกิจอย่างเดียวนี้แหละ ทางผลประโยชน์ คุณได้หลาย ผมได้น้อย หรือว่ามีอันผิดใจกัน แต่ก่อนก็ไม่เคยมีนะคดีแบบนี้ ” อดีตเจ้าหน้าที่ชาวลาวกล่าวกับเรดิโอฟรีเอเชีย

เรดิโอฟรีเอเชียรายงานความคืบหน้าล่าสุด (10 ต.ค. 65) อ้างอิงข้อมูลจาก พ.ต.ท. ประเสริฐศักดิ์ นวลบัตร สารวัตรเวร สภ.ธาตุพนม จ.นครพนม ว่าศพของวิพาพอนยังถูกเก็บไว้อยู่โรงพยาบาล จ.นครพนม และทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตจะเดินทางมาตรวจ DNA ก่อนที่จะรับศพกลับไปประเทศลาว เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา สำหรับ ‘วิพาพอน กอนสิน’ เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งในลาวที่ได้รับการระบุว่ามีความใกล้ชิดกับผู้นำลาวคนหนึ่ง และยังเป็นคนลาวที่มีหนังสือเดินทางทั้งหมด 2 เล่ม ทั้งหนังสือเดินทางลาวและหนังสือเดินทางจีน

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. โจเซฟ อัครวงค์ นักกิจกรรมชาวลาวที่ขณะนี้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ‘Joseph Akaravong’ ระบุว่า ศพที่ตำรวจไทยพบเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมาคือ ‘วิพาพอน กอนสี’ ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลาววีไอพี ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ ‘คำพัน วิพาวัน’ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของสปป.ลาว รวมไปถึงโพสต์คลิปวีดิโอที่แสดงให้เห็น ‘สายสัมพันธ์ใกล้ชิด’ระหว่างบุคคลทั้งสอง โดยระบุว่าบุคคลในคลิปคือ วิพาพอน คำพัน และมีลูกสาวของทั้งคู่ด้วย

อีกทั้ง เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์เปิดเบาะแสว่าก่อนถูกพบเป็นศพ นักธุรกิจหญิงชาวลาวโพสต์ข้อความสุดท้ายผ่านเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ‘Lì Jūn Vp’ เหมือนรู้ว่ามีคนไม่ดีปลอมตัวเข้ามาตีสนิทเพื่อหวังผลประโยชน์ ความว่า  “ระวังคนชั่วที่ปลอมตัวเข้ามาตีสนิท ทำเหมือนเพื่อน แต่ไม่ใช่เพื่อน ทำเป็นรัก แต่ไม่ได้รัก ในวันที่หาประโยชน์จากเราได้ คนพวกนี้จะดีกับเรามาก แต่เมื่อไหร่ต้องการความช่วยเหลือ คนพวกนี้จะหายหัวทันที บางคน สะกดคำว่า จริงใจ ไม่เป็น ตอแXล หลอกลวง ตลบแตลง เห็นแก่ตัว ทำได้ทุกอย่าง เพื่อความอยู่รอด จะเรียกใครว่าเพื่อน ดูให้นาน มองให้ขาด อย่าเพิ่งรีบให้ใจ บางครั้งความใจดี ความโลกสวย คือ โอกาส ในสายตาคนชั่ว ใจแลกใจ ใช้ไม่ได้กับทุกคน กว่าจะรู้เราต้องสูญเสียทุกอย่าง เพราะงูพิษ กับ มิตรปลอม แว้งกัดเราได้ไม่ต่างกัน”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. เรดิโอฟรีเอเชีย ภาคภาษาลาวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยสว่างนาวา อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ระบุว่า บริเวณใบหน้าของศพมีร่องรอยของการถูกตีด้วยของแข็ง จึงสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าเป็นศพที่เกิดจากการฆาตกรรม สอดคล้องกับเมื่อวันที่ 7 ต.ค. บางกอกโพสต์รายงานคำพูดของ พ.ต.อ.ถวิล คำเกษ ผกก.สภ.ธาตุพนม ที่อัปเดตความคืบหน้าคดี โดยอ้างอิงจากผลการชันสูตรพลิกศพของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จ.ขอนแก่น ระบุว่า ผู้เสียชีวิตถูกทุบด้วยของแข็งบริเวณใบหน้า และถูกยิงที่ศีรษะสองครั้งด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาด ทั้งนี้ไม่ปรากฎร่องรอยอื่นบนร่างกายว่าถูกมัดไว้แต่อย่างใด 

นอกจากนี้ บางกอกโพสต์ ยังรายงานเกี่ยวกับเบาะแสเพิ่มเติมอีกว่า พ.ต.อ.ถวิล กล่าวว่า พบเบาะแสที่ชี้ว่าผู้เสียชีวิตถูกฆาตกรรมในสปป.ลาว คือรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ของผู้เสียชีวิตถูกทิ้งลงแม่น้ำโขงในเขตนครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของเรดิโอฟรีเอเชียที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. สื่อสังคมออนไลน์ในลาวมีการเผยแพร่ข่าวว่า มีชาวบ้านพบเห็นรถยนตร์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น GLS 450 ถูกลากลงแม่น้ำโขง เขตบ้านนาล้อง เมืองหาดซายฟอง นครหลวงเวียงจันทน์ ในลักษณะเป็นการทำลายหลักฐาน โดยหลายคนเชื่อว่าเป็นรถของผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ครม.อนุมัติจ่ายชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา ศรีสะเกษครั้งที่สาม 52 ล้าน

$
0
0

ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติจ่ายเงินชดเชยแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงกาฝายหัวหนา จังหวัดศรีสะเกษเป็นครั้งที่สามวงเงิน 52,340,918.75 บาทที่ดินมีเอกสารสิทธิจ่ายไร่ละ 125,000 บาท ไม่มีเอกสารสิทธิไร่ละ 45,000 บาท พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ

11 ต.ค.2565 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายค่าทดแทนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินและค่าขนย้าย (ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ตามผลการตรวจสอบของคณะทำงานแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ระดับอำเภอ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามรับรองจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาระดับจังหวัดศรีสะเกษแล้ว จำนวน 433 แปลง เนื้อที่ 765 ไร่ 3 งาน 35.10 ตารางวา วงเงินจำนวน 52,340,918.75 บาท

โดยในการจ่ายค่าทดแทนแบ่งเป็น 2 กรณีคือ ที่ดินมีเอกสารสิทธิอัตราไร่ละ 125,000 บาท ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอัตราไร่ละ 45,000 บาท ค่าทดแทนจำนวนนี้เป็นอัตราเดียวกับที่ ครม.เคยอนุมัติให้จ่ายสำหรับโครงการนี้ใน 2 ครั้งก่อน

ส่วนกระบวนการจ่ายค่าชดเชยคือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว โดยถือความเห็นของคณะกรรมการฯ (ตามข้อ 2) เป็นหลักฐานการจ่ายเงิน และให้ระบุในหลักฐานการรับเงินด้วยว่า “ข้าพเจ้ายินยอมรับเงินค่าทดแทนในครั้งนี้ และจะไม่เรียกร้องหรือขอรับความช่วยเหลือใด ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฝายหัวนาจากทางราชการอีก”

ครั้งแรกที่ ครม.มีมติอนุมัติจ่ายเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2565 จำนวน 104 แปลง เนื้อที่ 628 ไร่ 3 งาน 17 ตารางวา เป็นจำนวนเงิน 62,078,662.50 และ ครม.มีมติอนุมัติจ่ายครั้งที่สองเมื่อ 1 ก.พ.2565 จำนวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ 1 งาน 59 ตารางวา เป็นจำนวนเงิน 34,667,887.50

จากมติ ครม.ทั้งสามครั้งมีการจ่ายทดแทนแล้วจำนวน 887 แปลง เนื้อที่ 2,165 ไร่ 11.1 ตารางวา เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 149,087,468.75 แต่ยังคงเหลือที่ดินของประชาชนอีก 548 แปลงที่มีการยื่นคำร้องเข้ามาและยังอยู่ระหว่างกรมชลประมานทำรังวัดที่ดินเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาโครงการฝายหัวหน้าระดับจังหวัดศรีสะเกษก่อนเสนอคณะกรรมการต่อไป

นอกจากเงินค่าทดแทนที่จะจ่ายให้กับประชาชนแล้ว ในมติเดียวกันนี้ยังให้การจ่ายต้องผ่านการตรวจสอบของคณะกรรมการเพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากประชาชน โดยกำหนดให้คณะกรรมการจากส่วนต่างๆ ดังนี้

  1. ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ประธานกรรมการ

  2. อัยการจังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  3. คลังจังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  4. ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  5. เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  6. ปฏิรูปที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  7. นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  8. นายอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  9. นายอำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  10. นายอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  11. นายอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ กรรมการ

  12. ผู้แทนกลุ่มสมัชชาคนจน 3 คน กรรมการ

  13. ผู้แทนกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านรวม 3 คน กรรมการ

  14. ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาหัวนา กรรมการและเลขานุการ

  15. หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดินที่ 4 ส่วนจัดหาที่ดินที่ 2 กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วรรค “รัฐธรรมนูญ” ถูกตัดหายไปจากคำปฏิญาณบัณฑิต ม.เกษตร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ปี’65

$
0
0

ผู้สื่อข่าวตรวจสอบไลฟ์สด พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ม.เกษตรฯ ปีการศึกษา 2564 เมื่อ 10-11 ต.ค.ที่ผ่านมา พบคำปฏิญาณบัณฑิต มีการตัดวรรค "รัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก"ออกไป จากที่เคยมีมาก่อน ด้านสภานิสิตฯ จี้มหา'ลัยแจง และเรียกร้องให้มีการนำวรรคดังกล่าวคืนมา

 

สืบเนื่องด้วย 10-11 ต.ค. 2565 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีการจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2564 และมีการเผยแพร่ถ่ายทอดสดบนยูทูบ 'Live Kasetsat

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “Sa-nguan Khumrungroj” โพสต์ข้อความเมื่อ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า มีผู้ชมไลฟ์สด ตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงกล่าวคำปฏิญาณบัณฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งนี้ มีการตัดคำว่า “และรัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก” ออกไป จากเดิมที่ปีการศึกษาก่อนหน้านี้เคยมีมาก่อน

เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบโดยย้อนดูคลิปวิดีโอถ่ายทอดสด พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ปีการศึกษา 2562 และ 2563 โดยพบว่าทั้ง 2 ปี ช่วงกล่าวปฏิญาณบัณฑิตฯ ยังมีคำว่า "และรัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก" (สามารถดูเนื้อหาคำกล่าวปฏิญาณได้ตามภาพด้านล่าง)


เนื้อหาคำปฏิญาณของบัณฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากคู่มือการฝึกซ้อมพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปี 2562 ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

คลิปถ่ายทอดสดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ช่วงกล่าวปฏิญาณบัณฑิตฯ ประจำปีการศึกษา’62-63 พบคำว่า "รัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก"

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบคลิปถ่ายทอดสด พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2564 ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 10-11 ต.ค.ที่ผ่านมา กลับพบว่า วรรค "และรัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก"ไม่มีการพูดในพิธีดังกล่าว

คลิปถ่ายทอดสด พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2564 ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 10-11 ต.ค.ที่ผ่านมา

ในวันเดียวกัน (11 ต.ค. 65) สภาผู้แทนนิสิต องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนโพสต์ข้อความถึงประเด็นดังกล่าว เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยเร่งชี้แจงว่าทำไมถึงมีการตัดวรรคว่า "และรัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก"ออกไปจากคำปฏิญาณบัณฑิตในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ และเร่งให้ทางมหาวิทยาลัยบรรจุวรรคดังกล่าวกลับมาเหมือนเคย เพื่อไม่ให้สะท้อนว่า มหาวิทยาลัยละเลยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักสูงสุดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

รายละเอียดโพสต์ของสภาผู้แทนนิสิต องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

เชิญชวนนิสิตร่วมหาคำตอบต่อ คำปฏิญาณบัณฑิตที่สาบสูญ

“ว่าจะเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก”

กลับมีบางวรรคที่หายไป โดยไม่ว่าจะด้วยเหตุใดการหายไปที่ไร้ซึ่งเหตุผลและไร้ซึ่งร่องลอยเช่นนี้ สะท้อนถึงการเพิกเฉยต่อหลักการทางประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญถือเป็นสิ่งที่กำหนดโครงสร้าง บทบาทหน้าที่ของรัฐและสังคม อันไม่สามารถเพิกเฉยไปได้ เนื่องด้วยความจำเป็นต่อการผดุงให้สังคมและรัฐดำรงอยู่อย่างมั่นคง 

ซึ่งบัณฑิตย่อมมีหน้าที่ในการผดุงสังคมให้เป็นไปตามครรลองทางประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ต่อทุกภาคส่วน อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในการผลิตบัณฑิตเพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน

โดยหากยังมีการเพิกเฉยอยู่นี้ก็เท่ากับว่าบัณฑิตจะไม่ยึดถือพึ่งปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นครรลองแห่งสังคมและผู้เกี่ยวข้องก็จะไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่เป็นแก่นหลักในการผดุงครรลอง หรืออาจจะบอกโดยนัยว่าจะไม่ยึดถือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและอยากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยกว่านี้หรือไม่

ด้วยเหตุที่กล่าวสภาผู้แทนฯ อันมีหน้าที่พิทักษ์ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของนิสิตและมีหน้าที่รักษาความเป็นธรรมในสังคม ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ ได้รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่วรรคดังกล่าวได้หายไป

จึงร้องขอให้ด้วยความกรุณาอย่างใจจริงให้มีการชี้แจงต่อประเด็นการหายไปของสิ่งที่ควรจะยึดมั่นอย่างรัฐธรรมนูญนี้ โดยเร็วที่สุดและร้องขอให้มีการบรรจุวรรค "รัฐธรรมนูญอันเป็นหลัก"กลับเหมือนเคย เพื่อไม่ให้เป็นการสะท้อนถึงการละเลยหลักความเป็นสถาบันสูงสุด ความเป็นสถานที่ผลิตบัณฑิตอันทรงคุณค่าและเป็นเกียรติแก่ประเทศชาติสืบไป และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ทางสภานิสิตฯ พร้อมรับฟังและเป็นตัวกลางประสานเพื่อให้ทุกฝ่ายได้พูดคุย รับฟังเหตุผลอย่างใจจริง 

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวยังไม่พบคำชี้แจงจากทางผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อเรื่องดังกล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'iLaw'ชวนลงชื่อแก้กฎหมาย เปิดช่อง 'ฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน' ช่วยลูกหนี้บุคคลธรรมดา ไม่ต้องรอฟ้องล้มละลาย

$
0
0

'iLaw-Fair Finance Thailand' ชวนลงชื่อแก้กฎหมาย ใน Change.org เปิดช่อง 'ฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน' ช่วยลูกหนี้บุคคลธรรมดา ไม่ต้องรอฟ้องล้มละลาย

 

12 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw โพสต์เชิญชวนร่วมลงชื่อ สนับสนุนแก้กฎหมาย เปิดช่อง “ฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน” ช่วยลูกหนี้บุคคลธรรมดา ไม่ต้องรอฟ้องล้มละลาย ซึ่ง 'Fair Finance Thailand'เป็นผู้ตั้งแคมเปญใน Change.org/personal-rehab

โดยระบุเหตุผลดังนี้

สถานการณ์โควิด-19 และการสั่ง "ล็อกดาวน์"ช่วงปี 2563-2564 ส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจโดยถ้วนหน้า ธุรกิจหลายอย่างต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพิ่มเพื่อให้ยังสามารถประคองไปได้ แต่ธุรกิจหลายประเภท เช่น กิจกรรมท่องเที่ยว ร้านอาหาร สถานบันเทิง ก็ไม่อาจไปต่อได้ แม้เข้าสู่ช่วงปลายปี 2565 การใช้ชีวิตของผู้คนกำลังเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติและธุรกิจเริ่มกลับมาเดินต่อได้บ้าง แต่เมื่อหนี้สินที่พอกพูนไว้ในช่วงล็อกดาวน์ยังคงหลอกหลอน ธุรกิจหลายประเภทก็ยังอยู่ในภาวะ "อ่อนไหว"ที่หากมีปัจจัยเข้ามาแทรกแซงอาจต้องเก็บกระเป๋าหายไปอีก

การปล่อยให้ธุรกิจบางประเภทไปต่อไม่ได้ เมื่อมีหนี้สินจำนวนมากต้องถูกฟ้อง "ล้มละลาย"ไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม เพราะเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้จนล้มละลายเจ้าหนี้ก็อาจเป็นฝ่ายขาดทุนด้วยเช่นกัน จนอาจจะ "ฟื้นตัว"กลับมาได้ยากกันทั้งหมด

จึงนำมาสู่ข้อเสนอแก้ไขพ.ร.บ.ล้มละลาย สร้างกระบวนการใหม่ เรียกว่า การขอ "ฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน"

กลไกใหม่นี้จะเปิดให้ลูกหนี้ "บุคคลธรรมดา"ขอเข้าสู่กระบวนการ "ฟื้นฟูสภาวะการเงิน"ได้ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการบริหารจัดการหนี้สิน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ไม่ต้องฟ้องล้มละลายกันทุกกรณี

 

กฎหมายปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำได้

 

กลไกที่มีอยู่ในพ.ร.บ.ล้มละลาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันไม่ได้เปิดช่องทางเลือกให้กับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้มากนัก ถ้าหากลูกหนี้ "มีหนี้สินล้นพ้นตัว"หรือ อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้แล้ว กลไกที่เจ้าหนี้มีอยู่เพื่อจะทำให้ได้เงินคืนมาบ้าง ก็คือ การ "ฟ้องล้มละลาย"เท่านั้น โดยเจ้าหนี้ต้องเป็นฝ่ายริเริ่มคดีและยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อให้มี “ตัวกลาง” เข้ามาจัดการทรัพย์สินลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ ซึ่งอาจจะทำให้ได้รับชำระหนี้บ้างบางส่วนเท่าที่ลูกหนี้พอจะมีเหลืออยู่หรืออาจจะไม่ได้รับชำระครบก็ได้

กรณีที่ลูกหนี้เป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ยังมีอีกหนึ่งช่องทาง คือ การขอ “ฟื้นฟูกิจการ” หรือการเสนอแผนปรับปรุงกิจการและขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้ เช่น ขอลดดอกเบี้ย ขอขยายเวลา เพื่อให้กิจการยังไปต่อ และสุดท้ายก็อาจจะหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ครบจำนวนเป็นผลดีกับทุกฝ่าย แต่ตามระบบปัจจุบันถ้าลูกหนี้เป็นคนธรรมดา มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่อาจยื่นขอเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการได้ ต้องถูกฟ้องล้มละลายเท่านั้น

 

ข้อเสนอก้าวไกล หาทางออกลูกหนี้ไม่ต้องล้ม

ส.ส.พรรคก้าวไกล เสนอร่างพ.ร.บ.ล้มละลาย ฉบับใหม่ พร้อมคอนเซ็ปต์สำคัญ คือ การหาทางออกให้ลูกหนี้ยังคงทำงานหารายได้ต่อไปและหาทางชำระหนี้ให้เป็นที่พอใจได้ ซึ่งเป็นประโยชน์กับทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้เอง กลไกดังกล่าวกำหนดให้ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หากอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และถ้ามีเหตุสมควรและช่องทางที่จะฟื้นฟูสภาวะทางการเงินได้ ตัวลูกหนี้มีสิทธิเป็นผู้ริเริ่มเพื่อขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน

การขอทำแผนฟื้นฟูหนี้สิน เพื่อโอกาสตั้งหลักใหม่ของลูกหนี้บุคคลธรรมดา ข้อเสนอใหม่เปิดช่องทางให้ลูกหนี้หารือพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น อัยการ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงที่ปรึกษาด้านการจัดการหนี้สินขององค์กรภาคประชาชน เป็นต้น และเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะช่วยลูกหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเริ่มกระบวนการฟื้นฟูหนี้สิน กรณีนี้จึงต่างจากการฟ้องล้มละลาย ที่ปัจจุบันเจ้าหนี้ฝ่ายเดียวมีสิทธิยื่นฟ้องลูกหนี้ต่อศาล ลูกหนี้ไม่มีสิทธิยื่นล้มละลายโดยสมัครใจ

ถ้าการฟื้นฟูสภาวะทางการเงินสำเร็จตามแผน เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ลูกหนี้หลุดพ้นจากภาวะหนี้สิน พนักงานเจ้าหน้าที่จะรายงานขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูสภาวะทางการเงิน แล้วเรื่องก็จะจบแบบ Happy Ending ได้ แต่ในทางกลับกัน หากการฟื้นฟูสภาวะทางการเงินไม่สำเร็จ หรือหาเงินมาใช้หนี้ตามแผนไม่ได้ เจ้าหนี้ก็อาจใช้กลไกการฟ้องล้มละลายได้ และเข้าสู่กระบวนการจัดการทรัพย์สินตามกฎหมายเดิม

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การฟื้นฟูสภาวะทางการเงินของลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://ilaw.or.th/node/6262

ข้อเสนอนี้ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว เป็นการเสนอร่างพ.ร.บ.ล้มละลาย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รมต.เอสโตเนีย ประณามรัสเซียเป็น 'รัฐสนับสนุนการก่อการร้าย'หลังยิงขีปนาวุธถล่มยูเครน

$
0
0

รัฐมนตรีต่างประเทศของเอสโตเนีย เออร์มาส เรนซาลู กล่าวว่ารัสเซียเป็นรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย หลังรัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตียูเครนเมื่อ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา และมีลูกที่ตกในสถานกงสุลของเยอรมนีด้วย นักการเมืองของเอสโตเนียยังร่วมประณามและเรียกร้องให้ตั้งศาลเอาผิดรัสเซียโดยด่วน

เออร์มาส เรนซาลู รัฐมนตรีต่างประเทศของเอสโตเนียแถลงว่า "สาธารณรัฐเอสโตเนียพิจารณาว่ารัสเซียเป็นรัฐสนับสนุนการก่อการร้ายและประชาคมโลกก็ควรจะประณามในแบบเดียวกันนี้ด้วย"

การประณามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตียูเครนหลายชุดต่อทั้งในกรุงเคียฟ, ซาโปริซเซีย, ดนิโปร, ลวิฟ และพื้นที่อื่นๆ ของยูเครนตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ นับเป็นการที่รัสเซียทำการโจมตีเมืองหลวงของยูเครนเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

เรนซาลูระบุเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ว่า "ขีปนาวุธได้โจมตีโดนและยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่องใส่ สนามเด็กเล่น, บ้านเรือน และแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ด้านกลาโหมหรือการทหารแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป้าหมายของการโจมตีในรูปแบบนี้ของรัสเซียคือการก่อการร้ายสร้างความหวาดผวา เพื่อทำลายชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์และสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

รัฐมนตรีต่างประเทศของเอสโตเนียยังได้เรียกร้องให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศให้กับยูเครนโดยทันที และเรียกร้องให้ "ไม่มีการลังเล"ในการจัดตั้งศาลยุติธรรมนานาชาติเพื่อเอาผิดต่อรัสเซียในเรื่องที่พวกเขาก่อสงครามรุกราน

ขีปนาวุธจากรัสเซียเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ยังได้โจมตีโดนสถานกงสุลเยอรมนีด้วย โดยโจมตีถูกส่วนที่เป็นสำนักงานวีซ่าของสถานกงสุล

ในวันเดียวกันทางการเยอรมนีระบุว่าพวกเขาจะเร่งส่งอาวุธป้องกันภัยทางอากาศให้กับยูเครน "โดยด่วน"คริสติน แลมเบรชต์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเยอรมนีแถลงว่า "เหตุโจมตีด้วยขีปนาวุธต่อกรุงเคียฟและเมื่ออื่นๆ อีกจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดหาระบบฟ้องกันภัยทางอากาศให้กับยูเครนโดยด่วน"

เหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีเหตุระเบิดสะพานไครเมีย ซึ่งเป็นพื้นที่ของยูเครนที่รัสเซียเคยเข้ายึดครองและทำการผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อปี 2557 รัฐสภารัสเซียประกาศว่าการระเบิดที่เกิดขึ้นนับเป็น "การประกาศสงคราม"

นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทศของเอสโตเนียแล้ว ประธานาธิบดี, นายกรัฐมนตรี และนักการทูตระดับสูงรายอื่นๆ ต่างก็ประณามการที่รัสเซียยิงขีปนาวุธใส่ยูเครนครั้งล่าสุดด้วย

ประธานาธิบดีเอสโตเนีย อลาร์ คาริส แถลงเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า "ลองคิดดูสิว่า เมื่อคุณพาลูกคุณเข้านอนตอนกลางคืน เด็กๆ ในยูเครนต้องพยายามข่มตาหลับท่ามกลางขีปนาวุธที่ตกใส่บ้านเกิดของพวกเขา พ่อแม่ของพวกเขาไม่รู้ว่าจะยังคงมีครอบครัวและบ้านของตัวเองเหลืออยู่หรือไม่ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น กรุงเคียฟและเมืองอื่นๆ หลายเมืองต่างก็ถูกโจมตีโดยรัสเซียเมื่อช่วงรุ่งเช้า"

นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย ราจา คัลลัส ได้เดินทางเข้าพบประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา คัลลัสบอกว่าการใช้อาวุธระเบิดโจมตีทั่วยูเครนรวมถึงในกรุงเคียฟนั้นนับเป็น "วิธีการก่อการร้ายของรัสเซีย"

คัลลัสบอกว่าเรื่องนี้ยิ่งทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้นในการจัดตั้งศาลยุติธรรมเพื่อดำเนินคดีกับรัสเซียฐานอาชญากรรมการรุกราน ซึ่งคัลลัสได้เสนอต่อเลเยนในเรื่องนี้

 

เรียบเรียงจาก

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'โฆษกก้าวไกล'เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร อย่าปล่อยเกิดเหตุอาชญากรรมที่มีต้นตอมาจากองค์กรมีสีซ้ำซาก

$
0
0

รังสิมันต์ โรม แถลงข่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร อย่าปล่อยเกิดเหตุอาชญากรรมที่มีต้นตอมาจากองค์กรมีสีซ้ำซาก

 

12 ต.ค.2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจของคนไทยทั้งประเทศ 

โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า อยากเรียนต่อสื่อมวลชนและประชาชนว่า เหตุการณ์ที่มีการใช้อาวุธในลักษระแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก 8 ก.พ. 63 จ่าสิบเอกนายหนึ่งเกิดเหตุที่นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 30 คน ต่อมา 14 ก.ย. 65 เกิดเหตุที่กองทัพบก กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็มีเหตุเกิดอีกครั้งหนึ่ง และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็เกิดเหตุครั้งล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน เป็นเด็กเล็ก 22 คน เหตุการณ์ทั้งหมดผู้กระทำล้วนแต่เป็นทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อย

รังสิมันต์กล่าวว่า ตนทราบดีว่าเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เราไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สิ่งที่สังคมเราอยากที่จะเห็น และจริงจังคือการป้องกันให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำและลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อไป ย้อนกลับไปนับแต่การกราดยิงที่โคราช เราแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงขององค์กรตำรวจทหารเลยแม้แต่น้อย ตลอดที่เวลาที่ตนทำงานศึกษาติดตามเรื่องนี้พบว่าภายในองค์กรเหล่านี้ยังมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีของเจ้าหน้าที่ของรัฐและเต็มไปด้วยการการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งหลายครั้งส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย บางครั้งหนักถึงขนาดที่อาหารการกินของชั้นผู้น้อยก็มีการแบ่งแยก

“ปัญหาสุดคลาสิคที่อยู่กับสังคมมานานคือ การใช้เส้นสายฝากคนของตัวเองเข้าทำงาน ระบบตั๋วต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด บ่อนการพนัน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย ไปจนถึงการค้ามนุษย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ล้วนต้องอาศัยการสมคบของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น คนทั้งสังคมรู้ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงขององค์กรตำรวจและทหาร” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวต่อว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ วัฒนธรรมองค์กรที่ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราเห็นแต่ความเงียบและการปล่อยเกียร์ว่างของรัฐบาล ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร. ทุกครั้งที่ถามหาการแก้ปัญหามักได้คำตอบที่เป็นการโยนความผิดของผู้ก่อเหตุโดยไม่โทษองค์กร ไม่โทษสภาพแวดล้อมเลย

แน่นอนว่าผู้ก่อเหตุมีความผิดที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่หากไม่มีการปฏิรูปองค์กรอย่างจริงจัง เหตุการณ์แบบนี้จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ตนจึงอยากเสนอ 4 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ลดโอกาสที่จะเกิดขึ้นซ้ำ 

หนึ่ง ต้องการอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อขายตำแหน่ง ป้องกันระบบตั๋ว ตั๋วช้าง ซึ่งเป็นสิ่งชักนำสำคัญที่ทำให้เกิดคนมีสีเข้าไปเกี่ยวกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ต่อมา ต้องดูแลเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยอย่างสม่ำเสมอ มีผู้เชี่ยวชาญปรึกษาในยามที่พวกเขามีปัญหา ขณะเดียวกันองค์กรเหล่านี้จะต้องมีกระบวนการในการช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม และโปร่งใส หมดยุค “ช่วยกัน” ได้แล้ว 

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องไม่เป็นการผลักภาระต่อผู้ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อปืนเอง การซื้อน้ำหมึกเอง หรือกระดาษเอง สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้น ตลอดจนการเลิกภารกิจที่ไม่มีความจำเป็น เช่น ทหารรับใช้ ตำรวจรับใช้ 

สุดท้าย กรณีที่พวกเขาต้องออกจากองค์กร ต้องติดตามว่าคนเหล่านี้สามารถอยู่ในสังคมอย่างปรกติสุขได้หรือไม่ ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องรักษาหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามามีบทบาทต่อเรื่องนี้ด้วย

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสเห็นสำนึกของผู้บังคับบัญชาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรทั้งตำรวจและทหารเพื่อให้สังคมของเราได้อยู่อย่างปลอดภัยต่อไป” รังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'สมชาย'แรงงานยุค 'โมเดิร์นไทม์'ใน 'โพสต์โมเดิร์นไทม์'

$
0
0

ปาฐกถาพิเศษ “Modern Time ใน Postmodern Time” โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล เนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล ท่ามกลางระบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป คนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมขยับมาสู่การจ้างงานที่ไม่มั่นคงของฟรีแลนซ์, ไรเดอร์, แม่บ้าน และแรงงานในโลกยุคใหม่อีกหลายกลุ่ม โดยที่รัฐและทุนไม่ได้เข้ามารับผิดชอบชีวิตคนทำงาน

 

11 ต.ค. 2565 เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2565 เวลา 11.00 – 16.30 น. เครือข่ายแรงงานภาคเหนือร่วมกับมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation), มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (Empower Foundation), มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) และ ตี่ตาง จัดงาน “คุณค่าของคน ≠ คุณค่าของงาน”เนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล หรือ Decent Work Day ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี ขึ้นที่โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้น จังหวัดเชียงใหม่

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

ภายในงานมีการปาฐกถาพิเศษ “Modern Time ใน Postmodern Time” โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่หากให้จินตนาการถึงชีวิตและสถานะของแรงงานปัจจุบัน สมชายกล่าวว่าตนเองจะนึกถึงหนัง 2 เรื่องที่อยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกัน อย่าง “Modern Times” (1936) ของ ชาลี แชปลิน และ “ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” (2015) ทั้ง 2 เรื่องเป็นหนังที่เกี่ยวกับชีวิตแรงงานที่แตกต่างกัน

หนังเรื่อง Modern Times เสนอภาพชีวิตคนทำงานในโรงงานที่ระบบทุนนิยมได้ทำให้คนทำงานกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ของงาน เช่นใน Modern Times คนทำงานทำหน้าที่ขันน็อตทั้งวัน โดยที่ไม่รู้ว่าขันน็อตเพื่อไปทำอะไร

“คนทำงานมีหน้าที่ขันน็อต วันทั้งวันก็ขันน็อตๆ ส่วนขันน็อตเพื่อไปทำอะไร ไม่รู้ หน้าที่เขาคือขันน็อต เขากลายเป็นส่วนหนึ่งการผลิตที่ใหญ่มากภายใต้ที่เรียกว่า ระบบอุตสาหกรรมภายใต้ระบบทุนนิยม ที่สร้างระบบการผลิตที่ทำให้คนเป็นเพียงปัจจัยการผลิต” สมชาย กล่าว

ข้อถกเถียงที่ตามมาคือ “มนุษย์กับงาน” ตัวคนทำงานอาจจะไม่ได้รู้สึกรักในงานที่ทำ เกิดความภาวะแปลกแยกระหว่างคนกับงาน ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำงานไปเพื่ออะไรหรือสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานในระบบที่ใหญ่โต และตกอยู่ในภาวะของการเป็นปัจจัยการผลิต ตามคำอธิบายแบบเดิมจะกล่าวว่า คนทุกคนที่เป็นแรงงานในรูปแบบนี้จะถูกเอารัดเอาเปรียบ และเกิดความรู้สึกร่วมกันต่อระบบการจ้างงานที่ไม่เห็นประโยชน์จากการใช้แรงงานจากตัวคนทำงาน

“เวลาเราพูดถึงระบบ นายจ้าง นายทุน อาจมีดีบ้าง เลวบ้าง แต่ระบบไม่เห็นหัวเรา (คนทำงาน) เช่น ระบบประกันสังคมไม่ดึงเราเข้าไป หรือคุ้มครองเราน้อยมาก ระบบการจ้างงานแบบดั้งเดิมที่อยู่ในโรงงานได้สร้างให้เกิดสภาวะที่มีคนทำงานคล้ายๆ กันเกิดขึ้น และกลายเป็นความรู้สึกร่วมกัน” สมชาย กล่าว

 

ระบบการจ้างงานแบบดั้งเดิมแรงงานส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงงาน ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมทอผ้าในอังกฤษในระยะเริ่มต้นมีการออกแบบเครื่องมือมาเพื่อให้เด็กสามารถทำงานได้ ต่อมามีการต่อสู้เรื่องการทำงานของเด็ก กำหนดหลักเกณฑ์อายุขั้นต่ำของเด็ก ในระบบการจ้างงานแบบดั้งเดิมช่วงแรกมีการใช้แรงงานเด็ก มีการทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีสวัสดิการใดๆ และมีการกดขี่ขูดรีดกันเกิดขึ้น

ทางออกสำหรับชีวิตผู้ใช้แรงงานเมื่ออยู่ในโรงงานคือการรวมตัวกันเป็น “สหภาพแรงงาน”เนื่องจากลำพังแรงงานเพียงคนเดียวไม่สามารถไปต่อรองกับนายจ้างได้ ในระยะต้นนายจ้างเองก็ไม่ได้เห็นคุณค่าของแรงงาน เพราะมีแรงงานอีกจำนวนมากที่พร้อมจะเข้าโรงงาน

“เขา (นายจ้าง) ก็จะบอกว่ามันเป็นเสรีภาพของแต่ละคน ถ้าอยากทำก็ทำ ถ้าไม่อยากทำก็ออกไป แบบนี้หมายความว่าถ้าไม่เกิดการรวมตัวกันในระยะที่แรงงานอยู่ในโรงงาน การขูดรีดหรือการเอารัดเอาเปรียบก็จะเกิดขึ้นเมื่อแรงงานยังอยู่ในโรงงาน การต่อรองจะเกิดขึ้นจากสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงานเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการยกระดับค่าจ้าง” สมชาย กล่าว

แรงงานภาคเหนือเรียกร้อง 'สวัสดิการ'มองเห็น 'คุณค่าคนทำงาน'ในวัน 'งานที่มีคุณค่า'

สังคมไทยจะคุ้นเคยกับค่าจ้างขั้นต่ำวัน แต่ในช่วงระยะเริ่มต้นไม่ได้มีค่าแรงขั้นต่ำ มีแต่ “ค่าแรงขั้นสูง” เป็นกฎหมายที่บอกว่านายจ้างห้ามจ่ายค่าแรงเกินอัตราที่กำหนดไว้ เช่น ห้ามจ่ายค่าจ้างสูงกว่า 350 บาทต่อวัน โรงงานไหนจ่ายสูงกว่า 350 บาท ผิดกฎหมาย เป็นการดึงลูกจ้างกัน

“สหภาพแรงงานเรียกร้องให้เกิดมาตรฐานการจ้างงานที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าจ้าง สวัสดิการ วันหยุด ความปลอดภัยในการทำงาน สหภาพแรงงานเป็นเครื่องมือในการต่อรองที่สำคัญมาก” สมชาย อธิบาย

สมชาย มองว่า ในโลกปัจจุบันยังมีสถานการณ์การทำงานที่คล้ายกับการทำงานในโรงงานอยู่ ยังมีแรงงานที่ต้องทำงานในโรงงาน สถานประกอบการ และถูกเอารัดเอาเปรียบยังมีให้เห็นอยู่ ที่ชัดเจนสถานการณ์ของแรงงานข้ามชาติที่เขามาทำงานในไทย เช่น แคมป์ก่อสร้าง สถานประกอบการ ภาคการเกษตร ฯลฯ หากเปรียบเทียบกับแรงงานไทย แรงงานข้ามชาติยังถือว่าคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับที่ย่ำแย่กว่า และไม่มีการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองได้

“เชียงใหม่มีแรงงานหลายกลุ่ม แต่ผมคิดว่าแรงงานกลุ่มหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นสภาพการจ้างงานที่มีปัญหาคือแรงงานข้ามชาติ ก่อนโควิด-19 มีแรงงานข้ามชาติอยู่เกือบ 100,000 คนที่อยู่แบบถูกกฎหมาย แต่หลังโควิด-19 ลดลงมา ถ้าจะให้พูดผมคิดถึงสถานการณ์ของแรงงานที่ยังอยู่ในโรงงานของสังคมไทยหรืออยู่ในสถานประกอบการ ถ้าเราดูแรงงานเพื่อนบ้านที่ทำงานในแคมป์ก่อสร้าง ทำงานในภาคการเกษตร เป็นตัวอย่างที่ผมคิดว่าสวัสดิการ ค่าจ้าง หรือความปลอดภัยค่อนข้างต่ำมาก” สมชาย กล่าว

 

อีกประเด็นหนึ่งที่สมชายคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญของแรงงาน มากกว่าทศวรรษที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการจ้างงานเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างมีนัยยะ โดยมีแรงงานที่เป็นการจ้างงานในระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งคนตัวเล็กๆ ในสังคม ทั้งงานภาคเอกชน งานเหมาช่วง, Freelance, แรงงานพาร์ทไทม์ และภาครัฐที่มีการจ้างเหมา การต่อสัญญาปีต่อปี คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มของการจ้างงานแบบ precarious work หรือ งานที่ไม่มั่นคง

“เรากำลังอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง การจ้างงานแบบระยะยาว มีความมั่นคง มีสวัสดิการ เริ่มน้อยลง และเปลี่ยนแปลงเป็นการจ้างงานแบบไม่มั่นคงที่กระทบคนทุกกลุ่ม แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนตัวเล็กๆ เราไม่ได้เผชิญกับ decent work อย่างเดียว แต่ในโลกของเรากับ precarious work งานที่ไม่มั่นคง” สมชาย กล่าว

 

ขณะที่คนหลายกลุ่มพยายามจะพูดถึง decent work งานที่มีคุณค่า แต่โลกกำลังเผชิญกับ precarious work งานที่ไม่มั่นคงเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญปัจจุบันโรงงานไม่ได้หายไป แม้คนจะเป็นแรงงานในโรงงานลดลง แต่สมชายชี้ว่า “โรงงานอยู่ทุกที่”ของการทำงาน เช่นอาชีพไรเดอร์ที่มีถนนเป็นโรงงาน

“เราไม่ได้ทำงานในโรงงาน แต่ว่าตอนนี้โรงงานมันใหญ่กว่าในอดีต เราไม่ได้เข้าไปทำงานในโรงงาน แต่โรงงานมันมาครอบชีวิตเรา ไรเดอร์โรงงานคือท้องถนน” สมชาย อธิบาย

โรงงานคือท้องถนนของไรเดอร์

การจ้างงานรูปแบบใหม่ที่อาชีพไรเดอร์เผชิญทำให้เกิดคำถามว่า ใครคือนายจ้าง ส่งผลให้เกิดการต่อรองได้น้อย บริษัทแพลตฟอร์มสามารถเปลี่ยนอัตราค่ารอบให้ต่ำลงได้เองโดยที่ต้องถามความเห็นจากไรเดอร์ ถ้าเป็นการทำงานในโรงงานการเปลี่ยนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานเช่นนี้ต้องผ่านการเจรจาต่อรองระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างก่อน การจ้างงานของบริษัทแพลตฟอร์มตัดช่องทางการมีส่วนร่วมของไรเดอร์ออกไปด้วยคำว่า “พาร์ทเนอร์” ไม่ใช่ “ลูกจ้าง”

สมชาย ระบุว่า ตัวนักกฎหมายเองก็จะหลงอยู่กับข้อถกเถียงที่ว่าเป็นลูกจ้างหรือไม่เป็นลูกจ้าง

“บัดนี้เราเห็นการจ้างงานอีกแบบหนึ่ง ในความเห็นผมเรามีนายจ้าง แต่ว่านายจ้างของเราไม่เหมือนเจ้าของโรงงาน สภาพการจ้างงานดูสับสนอลหม่านมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีนายจ้าง” สมชาย กล่าว

 

อีกตัวอย่างเช่นการที่มหาวิทยาลัยหรือสถานที่ราชการจำนวนมากจ้างแม่บ้านที่ทำงานผ่านบริษัททำความสะอาด โดยที่แม่บ้านจะต้องถูกประเมินการทำงานทั้งจากบริษัทและหน่วยงานที่จ้าง เป็นการประเมิน 2 ต่อ เท่ากับแม่บ้านมีนายจ้าง 2 คน ซึ่งในมุมคนทำงานรูปแบบการจ้างงานเช่นนี้เป็นการจ้างงานที่ไม่มั่งคงมากขึ้น

เช่นเดียวไรเดอร์ การเป็นพาร์ทเนอร์ในภาษาอังกฤษคือการเป็นหุ้นส่วนที่ส่วนตัดสินใจด้วยกันได้

“การตัดสินใจฝ่ายเดียว ไม่เรียกว่า พาร์ทเนอร์ การที่วันดีคืนดีมาลดค่ารอบโดยไม่บอกไม่ต่อรองกัน อันนี้คือลูกจ้าง ลูกจ้างที่ไร้ความสามารถในการต่อรองอย่างสิ้นเชิง” สมชาย กล่าว

 

ช่วงแรกที่เกิดอาชีพไรเดอร์หลายคนที่เข้ามาทำงานคิดว่าเป็นอาชีพที่อิสระ แต่ปัจจุบันเกิดคำถามต่อการเป็นไรเดอร์ว่า อิสระจริงหรือไม่ หรือเราต้องขูดรีดตัวเองเพิ่มมากขึ้น หากอยู่ในอาชีพอื่นเช่นข้าราชการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน พัก 1 ชั่วโมง

“แต่ไรเดอร์ถ้าทำงาน 8 ชั่วโมง ผมไม่แน่ใจว่าจะมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพหรือไม่ บางเจ้าไปรอใช้เวลา 45 นาที 1 วัน วิ่งได้กี่รอบ” สมชาย อธิบาย

 

สมชาย อธิบายเสริมว่า ไรเดอร์เป็นอาชีพที่ถูกผลักให้รับผิดชอบตัวเอง ซึ่งอาชีพในโลกสมัยใหม่หลายอาชีพก็ผลักให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน โดยที่นายจ้างไม่ต้องเข้ามารับผิดชอบคนทำงาน เห็นได้ชัดในอาชีพไรเดอร์ที่คนทำงานต้องซื้อรถเอง จ่ายค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์เอง ดูแลความปลอดภัยตัวเอง ทั้งหมดที่นายจ้างควรจะรับผิดชอบถูกผลักให้เป็นความรับชอบผิดของลูกจ้าง

“เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของการจ้างงานเกิดขึ้นอย่างกว้างขว้าง อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยี แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องอุดมการณ์ที่เปลี่ยนไป การขยายตัวของธุรกิจขนาดใหญ่ การขยายตัวของกลุ่มทุนหรืออะไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการที่ดึงเอาคนเข้าไป แต่เป็นการดึงคนเข้าไปอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคง” สมชาย กล่าว

 

เวลาถามเรื่องคุณค่าของงานและคุณค่าของคน สมชาย ระบุว่า มี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องนึกถึง หนึ่ง คุณค่าของงานต้องมองจากคนทำงานด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่การประเมินคุณค่าของงานมักจะถูกประเมินจากสายตาของรัฐและทุนเป็นหลัก ที่กำหนดคุณค่าของงานว่างานไหนเป็นงานที่สำคัญ โดยขาดมุมมองจากคนทำงานที่ให้ความหมายและคุณค่าของงาน การคิดถึงคนทำงานมากขึ้นจะนำสู่มาตรฐานการจ้างงานแบบใหม่ เพื่อชีวิตคนทำงาน  

เรื่องที่สอง “สร้างเครือข่ายคนทำงาน” ที่สัมพันธ์กับงานในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้สามารถรวมตัวกันต่อรองได้ง่ายขึ้น หน้าตาของ “สหภาพแรงงาน” อาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไรเดออร์อาจจจะรวมตัวกันผ่านเครือข่ายออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก และมารวมตัวกันในพื้นที่จริงเฉพาะประเด็นที่ต้องการเรียกร้องก็เป็นได้ เนื่องจากโลกของสหภาพแรงงานต่างออกไปจากเดิม การรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานจึงต้องคิดให้สอดคล้องกับงานกลุ่ม

 

สาม ต้องยึดมั่นว่า “แรงงานคือแรงงาน” ทะลายมายาคติการจำแนกแยกย่อยแรงงาน เช่น แรงงานในระบบ นอกระบบ แรงงานเหมาช่วง แรงงานข้ามชาติ ฯลฯ การแบ่งแยกตัวแรงงานเช่นนี้เชื่อมโยงกับการคิดแบ่งสวัสดิการของแรงงาน มายาคติเหล่านี้ควรถูกทำลายไป สังคม รัฐ และทุนต้องตระหนักว่าแรงงานคือแรงงาน สวัสดิการและการให้สิทธิประโยชน์ของรัฐและทุนควรครอบคลุมแรงงานทุกคน

สี่ ในมิติมนุษย์ “แรงงานคือมนุษย์” แรงงานไม่ใช่แค่คนทำงาน พวกเขายังมีชีวิตยืนยาวหลังการทำงาน มีครอบครัวที่ต้องดูแล การจ้างงานจึงต้องสัมพันธ์กับชีวิตระยะยาว และระบบสวัสดิการหลังวัยทำงาน การยอมรับให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆ

 

“เราต้องคิดถึงระบบที่รองรับคนในทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังช่วงเวลาการทำงาน เราต้องมีระบบสวัสดิการสังคม ไม่ใช่เฉพาะแรงงานที่อยู่ในประกันสังคมอย่างเดียว ใครก็ตามควรได้รับบำนาญประชาชน ผมคิดว่าใครที่อยู่ในสังคมไทยหลังจากวัยทำงานทุกคนต้องมีสวัสดิการรองรับที่ช่วยในการมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่แบบเดือนละ 600 – 700 บาท ในชีวิตความเป็นจริงทำอะไรได้ เงินส่วนนี้ไม่ใช่เงินสงเคราะห์ด้วย เราทำงานให้สังคมโดยรวมได้ประโยชน์มาทั้งชีวิต เมื่อถึงวัยที่เราไม่ทำงาน เราต้องมีสวัสดิการทุกคน ทุกคนต้องถูกคิดถึง” สมชาย กล่าว

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: สังคมมนุษย์ป่วยปะทุออกด้วยพฤติกรรมอำนาจนิยมเรื้อรัง?!

$
0
0

 

 

หล่นกระจายแจกันขวัญดอกไม้
เจ้าหายไปใจหายคล้ายยังเห็น
ไปตามหาว่าอยู่ตามสนามเด็กเล่น
กลับกลายเป็นผีเสื้อน้อยล่องลอยลม

ยังไม่ทันเป็นผู้ใหญ่ได้โด่งดัง
ทั่วโลกฟังข่าวเจ้าเศร้าเหลือข่ม
เกิดแก่เจ็บตายบั้นปลายปม
ยังไม่ทันหย่านมก็ล้มตาย

ยังไม่ทันมีตัวตนล้นรักเกลียด
ไม่ทันเบียดเบียนใครให้เสียหาย
แค่ไม่ได้ดั่งที่ขอก็ร้องไห้
เรื่องง่าย ๆ อุ้มขี่คอก็หยุดร้อง

เด็กน้อยน่ารักตักพ่อแม่
เพลงกล่อมแกเดี๋ยวก็หลับกับตักผอง
เข้าสะเอวปู่ย่าตายายหลายทำนอง
โลกล้วนต้องตกหลุมรักยิ้มทักทาย

ความอำมหิตพิษภัย โลกให้กำเนิด
มากครั้งเกิดกับเด็กเล็กสลาย
รัสเซียก็เดือนก่อนหน้าฆ่าหลายราย
และอีกหลายแห่งที่มี กี่ครั้งครา?!

อีกคดีที่โคราชอนาถใจ
วันพระใหญ่ไปยิงกราดพิฆาตฆ่า
จำไม่ผิดวาระมาฆะบูชา
ครานี้วันที่ฆ่า 6 ตุลาคม !

เหมือนบังเอิญเผชิญวาระประวัติศาสตร์
กับอำนาจปืนคลั่งดังติดหล่ม
แผ่นดินทุกข์ถูกกระทำเหยื่ออำนาจนิยม
เรื้อรังถล่มสังคมป่วยรวยยากไร้

น่าเสียดายแผ่นดินชาติพระศาสนา
มีศีล 5 ตราตรึง ข้อ 1 ให้?
แต่ข่าวฆ่ามาทุกวันพรั่นพิษภัย
จงเตรียมทำใจไว้ให้เขาฆ่าคานิวเคลียร์.
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: ช่วยกันบริจาคหน่อยนะจ๊ะ

$
0
0

 

 

๏ ขอเงินหน่อยพี่น้อง        ประชาชน
ผมอยากใช้ช่วยคน           เดือดร้อน
ทำบุญร่วมชาติดล            ให้พบ กันอีก
ยิ่งใฮ่ยิ่งได้ย้อน                กลับเผิ้มพูนทวี

๏ ผมกู้หนี้และใช้              ไปหมด
บังคับท่านใช้ชด               จ่ายหนี้
ภาษีเก็บแล้วกด                หัวท่าน
จมดิ่งสู่กองขี้                    ถ่ายทิ้งโดยผม

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คุยกับ 'จตุพร'ว่าด้วย 3 เป้า 'คณะหลอมรวมประชาชน' - เลือกตั้งปีหน้า และ ม.112

$
0
0
  • คณะหลอมรวมประชาชนมีเป้าหมาย 3 ข้อคือหยุดอำนาจ 3 ป. หยุดรัฐประหาร และนับหนึ่งประเทศไทยด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ถ้าใครหรือกลุ่มใดเห็นด้วยกับแนวทางนี้ก็สามารถเข้าร่วมได้
  • จตุพรฟันธงว่าการเลือกตั้งในปีหน้าจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากการวางยาในร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งให้ขัดรัฐธรรมนูญ
  • ประเด็นการปฏิรูปสถาบัน จตุพรพูดถึงเพียงมาตรา 112 ที่เคยวางแนวทางแก้ไขไว้ แต่ถูกประยุทธ์ จันทร์โอชานำกลับมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่วนหัวข้ออื่นๆ ในการปฏิรูปสถาบัน เขากล่าวว่าเป็นภารกิจของคนรุ่นใหม่ที่เพดานความเร็วไปไกลเกินกว่าเป้าหมายของคณะหลอมรวม?

‘ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร’ สัจธรรมการเมืองที่เชยแต่ไม่เคยเปลี่ยน ปี 2535 เส้นทางการเมืองของจตุพร พรหมพันธุ์และนิติธร ล้ำเหลือหรือทนายนกเขาเคยบรรจบกัน ณ ราชดำเนินในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

“ผมกับทนายนกเขารู้จักกันมานาน เพียงแต่ว่าเดินคนละเส้นทาง แต่เคารพหัวจิตหัวใจกัน ตั้งแต่พฤษภา 35 ผมอยู่บนเวที เขาก็ทำงานเรื่องการข่าวให้กับผู้ชุมนุม พอหลังเวทีพฤษภาก็เป็นเวทีความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม ไม่ว่าเกษตรกร เรื่องที่ทำกิน สารพัดเรื่องที่เป็นปัญหาของชาวบ้าน ทนายนกเขาเขาก็ช่วยชาวบ้าน ผมก็ไปปราศรัย เราก็อยู่ในสนามแบบนี้กันมา ท้ายที่สุด ในช่วงกว่า 10 ปี เราก็ไปสู้ตามวิถีทาง”

ช่วงปี 2548 ถึงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ทั้งสองเดินคนละเส้นทาง คนละอุดมการณ์

ถึงปี 2565 พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งในนาม ‘คณะหลอมรวมประชาชน’ สงวนความต่างและเก็บประวัติศาสตร์เอาไว้ชั่วคราวโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน

ที่มาภาพ เพจประชาชนคนไทย (ปท.)

‘ประชาไท’ ชวนจตุพรสนทนาถึงการเคลื่อนไหวรอบนี้และคำถามบางประการต่อตัวเขาและคณะหลอมรวมประชาชน

หยุด 3 ป. หยุดรัฐประหาร นับหนึ่งประเทศไทย เป้าหมายคณะหลอมรวม

นับจากการขึ้นสู่อำนาจของประยุทธ์ จันทร์โอชา สถานการณ์บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ จตุพรขับเคลื่อนกลุ่มไทยไม่ทน นิติธรทำกลุ่มประชาชนคนไทย เป้าหมายเดียวกันคือขับไล่ประยุทธ์ ก่อนที่ทั้งสองกลุ่มจะเลิกรากันไป จวบจนกรณีบันทึกข้อตกลงอินโดแปซิฟิกซึ่งจตุพรและนิติธรเห็นตรงกันว่าอันตรายต่อประเทศไทย ทั้งสองจึงมีโอกาสจับเข่า เปิดใจพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีกครั้ง เป็นที่มาของคณะหลอมรวมประชาชนที่ยึดแนวทางว่า ประชาชนต้องมาก่อน

จตุพรอธิบายว่าเป้าหมายหลักของคณะหลอมรวมฯ มี 3 ข้อ ประกอบด้วยหยุด 3 ป. หยุดรัฐประหาร และนับหนึ่งประเทศไทยด้วยการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เป้าหมายชัดเจน แต่ยากที่สังคมจะไม่คลางแคลง เกือบ 2 ทศวรรษของความขัดแย้งทางการเมือง พวกเขาเดินสวนทางกันมาตลอด กลับมารวมกันรอบนี้มีหรือจะไม่ต้องประนีประนอมกันทางความคิด แล้วเส้นแบ่งไหนที่ยอมรับได้ เส้นแบ่งไหนที่ยอมรับไม่ได้ จตุพรตอบว่า

“ทุกหัวข้อเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยหรือฝั่งไหนก็ตาม ก็ย้ายสลับกันไปมาจากฝั่งสืบทอดอำนาจก็ย้ายเข้าฝั่งประชาธิปไตยเต็มไปหมด นี่คือซีกพรรคการเมือง แต่ในซีกประชาชน เราตกผลึกเช่นเดียวกันว่า 90 ปีมานี้ระหว่างประชาชน พรรคการเมือง ทหาร พรรคการเมืองกับทหารสลับกันมีอำนาจ แต่ประชาชนไม่เคย มีแต่สลับเจ็บ สลับตาย สลับเดือนร้อน เราไม่เคยได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแม้แต่เพียงวันเดียว ในชั่วชีวิตเราอยากเห็นอำนาจเป็นของประชาชนสักครั้ง

“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องอุดมคติ แต่เราสู้กันมายาวนาน เตะหมูเข้าปากหมานับครั้งไม่ถ้วนในชีวิต ตระเวนสายทั้งท้องถนน ทั้งภาคพรรคการเมือง จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็ตกผลึกเหมือนกันว่าในช่วงท้ายที่เรายังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ เราเองก็เลยใช้คำว่าคณะหลอมรวม เปิดประตูทุกบานใน 3 หัวข้อนี้ เมื่อเราเดินไปทิศทางนี้ สิ่งสำคัญที่ผู้มีอำนาจกลัวมากที่สุดคือประชาชนแต่ละฝ่ายจับมือกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ประชาชนก็ไม่พร้อมจะจับมือกันและชุดปฏิบัติการของรัฐก็ไม่ต้องการใช้ประชาชนจับมือกัน ผมก็บอกเสมอว่าหลักการแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างที่เป็นปรัชญาของเหมาเจ๋อตุง ถ้าประชาชนแต่ละฝ่ายไม่พร้อมเปิดใจเข้าหากัน เราก็ยกแผ่นดินให้คณะ 3 ป. ต่อไป เขาอาจจะอยู่เกิน 20 ปีก็ได้ เพราะประชาชนอ่อนแอเอง ไม่พร้อมที่จะปรับวิธีในการต่อสู้กับอำนาจนี้”

จตุพร พรหมพันธุ์และนิติธร ล้ำเหลือหรือทนายนก จัดรายการร่วมกัน

จตุพรฟันธง จะไม่มีการเลือกตั้ง

เหตุผลที่ต้องหยุด 3 ป. เพราะถ้าทำไม่ได้ ปัญหาจะไม่มีวันจบ จตุพรอธิบายว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้องค์กรอิสระ ยุทธศาสตร์ชาติ กลไกตามรัฐธรรมนูญ และสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในมือของ 3 ป. ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด เขาวิเคราะห์ว่าการเลือกตั้งที่ถูกโหมประโคมอยู่ในเวลานี้จะเกิดขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือเลวร้ายกว่านั้นคือไม่เกิดขึ้น

“การเรียนรู้กับระบอบ 3 ป.นี้ ในช่วง 8 ปีเราเห็นว่าเขาดำรงความมุ่งหมายชัดเจนต่างจากพรรคการเมือง แตกต่างจากภาคประชาชน เราเห็นวิธีการเอาดีเลย์แท็กติกมาใช้ การเลือกตั้งจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ให้บวรศักดิ์ (อุวรรณโณ) เขียนรัฐธรรมนูญ แล้วเสนอบางมาตราที่ประชาชนไม่พอใจ ท้ายที่สุดพลเอกประยุทธ์ก็จับอารมณ์คนได้ แล้วก็ให้ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) คว่ำ ถือว่าโล่งอกได้เวลาไปฟรีๆ ปีกว่า แล้วก็มาคุณมีชัย จากกฎหมายแม่รัฐธรรมนูญจนถึงกฎหมายลูกมีการทำประชามติก็กินเวลาไปกว่า 3 ปี จนกระทั่งถึงขณะนี้ที่ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ประกาศวันเลือกตั้งสมมติ ถ้าพลเอกประยุทธ์อยู่ครบวันที่ 24 มีนาคม 2566 กกต. ก็ประกาศวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 7 พฤษภา เพราะประเทศไทยเลือกตั้งเสร็จแล้วก็ยังโมฆะได้ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เลือกตั้ง ที่มันแยบยลกว่านั้นคือ ทำให้กฎหมายลูกเป็นปัญหา ให้รัฐธรรมนูญเป็นปัญหา”

จตุพรฉายภาพย้อนกลับไปที่การแก้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยตั้งคำถามว่าทำไม 3 ป. จึงยอมให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและใช้สูตรหาร 100 ซึ่งเป็นสูตรที่พรรคเพื่อไทยได้เปรียบที่สุด คำตอบคือการหลอก

เนื่องจากประเด็นบัตร 2 ใบแม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 91 แต่มาตราที่เกี่ยวข้องอีกสองมาตราคือมาตรา 93 และมาตรา 94 ไม่มีการแก้ไข จตุพรคาดว่าท้ายที่สุดทั้งหมดนี้จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมก็บอกว่าท้ายที่สุดก็ต้องไปตายที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประกาศ 400 เขต 100 หาร วาระแรกรับพรึ่บและวาระ 2 ก็เป็น 400 เขต 500 หาร แล้วสุดท้ายก็มีปัญหา ปล่อยให้เวลาครบ 180 วันก็ส่งกลับรอกราบบังคมทูลถ้าไม่มีใครยื่นตีความ ผมเองยังไงก็เห็นว่ามีการยื่นตีความ มีพลเอกสมเจตน์ บุญถนอม คุณหมอรวีและคณะก็ยื่นตีความผ่านประธานสภาว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมเชื่อเลยว่ายังไงก็ขัด ศาลรัฐธรรมนูญประกาศรับคำฟ้องนี้ในวันที่ กกต. ประกาศวันเลือกตั้งสมมติ แต่ข่าวการเลือกตั้งดังกว่ากลบเรื่องนี้

“ต่อมาคือว่าสภาสมัยสุดท้ายจะเปิดประชุมวันที่ 1 พฤศจิกา แล้วก็ไปปิดท้าย 28 กุมภา ดังนั้นสาระหลักคือ ต้องกลับมาแก้ไข ถ้าถูกชี้ว่าเป็นโมฆะ ซึ่งผมเห็นว่ายังไงก็โมฆะ ต้องกลับมาแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ แก้ไขกฎหมายลูกใหม่ ในเวลา 4 เดือนและต้องพึ่งมือวุฒิสภา 1 ใน 3 เพราะฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนักการเมืองก็อาจจะบอกว่าตั้งคณะกรรมมาธิการเต็มสภา ผมก็ไปรื้อค้นความจริงว่าพรรคฝ่ายค้านทำไมไม่แก้สองมาตรานี้ที่เป็นหัวใจหลักของบัตรใบเดียว ยอมให้แก้ไขจากบัตรใบเดียวมา 2 ใบ ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้แก้ไขในมาตราที่เป็นหัวใจหลักของบัตรใบเดียว

“คนที่มีบทบาทสำคัญในฝ่ายค้านเล่าให้ฟังว่าตอนจะโหวตมีตัวแทนพรรคพลังประชารัฐคนหนึ่งยื่นคำขาดว่า ถ้าไปแตะต้องมาตรา 93 และ 94 จะคว่ำทั้งหมด ท้ายที่สุดฝ่ายค้านก็ยอม ผมถามว่ารู้ไหมว่าเป็นปัญหา เขาก็รู้ว่ามีปัญหา และท้ายที่สุดจะจบลงที่ศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าถ้าพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกเสร็จไม่ทัน 24 มีนาคมที่จะเป็นวันครบวาระของสภาผู้แทนนี้ ไม่มีกฎหมายลูกจะเลือกตั้ง ถามว่าแล้วจะยังไงต่อ บอกว่าพลเอกประยุทธ์ก็รักษาการณ์ ถามว่ารักษาการณ์นานเท่าไหร่ ไม่จำกัดอายุ”

ประเมินร่วมกับการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ส.ส.ปัดเศษ และบัตรเขย่งจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคพลังประชารัฐยังได้เสียงปริ่มน้ำ กับครั้งนี้ที่ผลงานการบริหารของรัฐไม่เป็นที่ชื่นชอบ จตุพรจึงฟันธงว่า 3 ป. จะไม่ยอมเล่นในเกมที่ตนเองแพ้ การเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น

มีหน้าที่แค่ประกาศสัจธรรม

การกลับมาเคลื่อนไหวของจตุพรรอบนี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกถามเกี่ยวกับอดีตของเขาในฐานะประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มวลชนเสื้อแดงมาร่วมกับคณะหลอมรวมฯ หรือไม่ อย่างไร เพราะหลังปี 2553 ผ่านรัฐประหาร 2557 คนเสื้อแดงอยู่ในสภาพแตกกระสานซ่านเซ็น นี่ดูจะเป็นคำถามที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขาตอบว่า

“ผมไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ตราบใดถ้าประชาชนเขารักในความถูกต้อง เชื่อมั่นในประชาธิปไตย ต้องการขับไล่เผด็จการ เราก็เห็นว่าประชาชนเปลี่ยนไปมาตลอดเวลาในการต่อสู้แต่ละยุคสมัย เหมือนเราถามหาคนเดือนตุลา ไม่ว่าจะ 14 หรือ 6 ตุลา ถามว่าไปอยู่ไหนกันที่ออกมาวันนั้น เช่นเดียวกัน กลุ่มพันธมิตร กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) นปช. หรือน้องๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราก็เจอคำถามแบบนี้ที่ทำลายกำลังใจกันเสียเปล่า ผมไม่ได้คิดว่าเราต้องไปตามพี่น้องเสื้อแดงที่ใดที่หนึ่งมา”

จตุพรเห็นว่าหน้าที่ของเขาเพียงแค่ประกาศสัจธรรมตามเป้าหมาย 3 ข้อและใช้คำว่าประเทศไทยต้องมาก่อน ใครเห็นด้วยก็เข้ามาร่วมมือกัน และต้องยอมรับความเป็นจริงว่าไม่มีใครในฝ่ายไหนที่อยู่สภาพเดิม

“ผมนี่คิดข้ามไป ผมบอกอย่าไปตามพี่น้องเรามา เรามีหน้าที่ประกาศหลักสัจธรรม ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องออกมา ถ้าเห็นด้วยก็ออกมา ผมไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ไปตามใคร ใครเป็นพวกอยู่บ้าง ผมไม่ใช่คนพรรค์อย่างนั้น ไม่ว่าตอนผมอยู่พรรคการเมืองหรือไม่อยู่แล้ว ผมก็ไม่อินังขังขอบ ผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น พูดเพื่อไม่ได้ต้องการให้ดูดี ดูหล่อ ใช่คือใช่ ดังนั้นวันนี้ก็เช่นเดียวกัน

“การระดมพล คนที่ผ่านการเมืองมามันไม่ยากหรอก ทุกคนทำเป็นทั้งนั้น เพียงแต่ ณ ขณะนี้เราต้องการขนาดที่พอดี วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เราเองก็เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้จุดแค่หนึ่งสองวันแล้วจะพรวดพราด ตอนเสื้อแดงเราเดินทัพกันเป็นปีๆ กปปส. จัดรายการผ่าความจริงร่วมปี จนไปเจอสุดซอยเข้า ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเข้า ก่อนหน้านั้นไม่มีคน วันนี้เช่นเดียวกัน ผมจะไปวิตกทำไม ผมคุยกับทางนกเขาว่าเราอย่าไปวิตกเรื่องคน เพราะถ้าเราเดินในสิ่งที่ถูกต้องไม่ต้องวิตกอะไร วันไหนก็วันนั้น ไม่รีบร้อน

“คนเสื้อแดงนี่ก็ต้องเคารพว่าเขาไม่ใช่ของตาย ตอนอยู่ผมพรรคการเมืองก็พูดว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่ของตายของพรรคนะ เขามีความเป็นมนุษย์ ถ้าเขาเห็นว่าสิ่งที่ทำถูกต้องเขาก็ออกมาเอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ว่าตอนนี้ประชาชนหมดสภาพ ไม่มีแรง อ่อนล้าเต็มที คิดมื้อต่อมื้อกันแล้วในโลกความเป็นจริง ผมก็ประกาศว่าไม่เน้นว่าใครเป็นใคร คือเราใช้หลักยืนมันจีรังกว่าใช้คนยืน เมื่อหลักมันถูก ผมก็ไม่วิตกอะไรเลย ผมไม่เคยไปตามคนเสื้อแดงแม้แต่คนเดียว”

ขีดเส้นเพดานความเร็วไว้แค่อำมาตย์

จะเห็นได้ว่าเป้าประสงค์ 3 ข้อของคณะหลอมรวมฯ ไม่มีประเด็นการปฏิรูปสถาบันที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่เสนอ ชวนให้ตั้งคำถามว่าคณะหลอมรวมฯ จะหลอมรวมประเด็นนี้อย่างไร จตุพรเท้าความว่าเขาเองก็เคยผ่านการต่อสู้คดี 112 มาก่อน โดยประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้ฟ้องร้อง เคยเจอกับผู้ต้องขังคดี 112 สมัยที่เขาอยู่ในเรือนจำ

“เราเองก็พูดมาตั้งแต่ต้นว่าบ้านเมืองต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันมีปัญหา แล้วชนวนใหญ่ก็มาจากผู้นำรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จะไม่เอาเรื่องถ้ามีคนพูดถึงสถาบัน 112 จะไม่เอาความผิด แล้วก็มีคนหลงเชื่อ ไม่เชื่อไปดูเทปเก่า แล้วพลเอกประยุทธ์ก็มาดำเนินคดี ทีนี้เราเองก็เห็นมาตั้งแต่ต้น คดีในลักษณะนี้เป็นปัญหา มีความพยายามแก้ไข เดิมได้แก้ไขไปแล้วในเรื่องวิธีการที่จะไม่ดำเนินคดีกับใครในเรื่องนี้ ท้ายที่สุดก็ให้อัยการสูงสุดมีอำนาจในเรื่องนี้คนเดียว เรื่องนี้ก็ถูกล้มไปโดยปริยาย ความจริงมีกฎหมายแต่ไม่ได้นำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ปกป้องตน ทำลายคนอื่นเหมือนที่รับบาลชุดนี้ทำ ความจริงไปได้ด้วยดี เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหา ดังนั้นผมเองที่ตกเป็นจำเลยเรื่องนี้กันมา แล้วก็สู้คดีกันมา ผมก็มองด้วยมิติที่เข้าใจ และถ้าจะต้องตำหนิใครมากที่สุดในเรื่อง 112 ก็ต้องตำหนิตัวพลเอกประยุทธ์

“นปช. ขีดเส้นไว้ที่อำมาตยาซึ่งเป็นปลายทาง แล้วเราก็ขีดเส้นไว้ตรงนั้น แต่ข้อเรียกร้องมันไปไกลเกินกว่าแล้ว ที่ผมเสนอว่าให้ยุติ นปช. แล้วให้คณะราษฎรเขานำต่อไปเพราะว่าเราวิ่งได้เท่านี้ เพดานความเร็วรถไฟเราได้เท่านี้ มอบภารกิจให้คนหนุ่มสาวไป เพราะว่าเราเหมือนรถไฟวิ่งได้ 180 แต่เขามาใหม่วิ่งได้ 280 เราก็ต้องให้เขาไป ภารกิจนี้ก็เป็นของเขา แต่คนไม่เข้าใจ ก็อยู่กันไปแบบนี้ ผมไม่มีปัญหา ก็หมิ่นน้ำใจกัน อ้างว่าย้ายขั้วสลับข้างบ้าง แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็ถูกจับกุมคุมขังและคดีก็โดนหนัก ผมรู้เลยว่าเรื่องนี้ตราบใดยังถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจของผู้มีอำนาจ และทำลายผู้ที่ออกมาต่อต้าน บ้านเมืองนี้จะหาความสงบสุขไม่ได้ สถาบันจะได้รับผลกระทบไปโดยปริยาย”

จตุพรย้ำในฐานะเป็นนักเคลื่อนไหวมานานว่า แต่ละคนแต่ละกลุ่มต่างมีความเชื่อของตน ต่างฝ่ายก็ปฏิบัติ ผลักดันไปตามความเชื่อนั้น แต่อย่าทำลายความเชื่อของคนอื่นว่าเป็นเรื่องที่ผิด หากต้องเคารพกันและกัน คณะหลอมรวมฯ มีเป้าหมายชัดเจนก็จะเคลื่อนไหวตามเป้าหมายของตน กลุ่มอื่นก็ขับเคลื่อนตามประเด็นที่ตั้งไว้ จุดไหนที่เห็นเหมือนกันก็มาร่วมกัน จุดที่เห็นต่างก็สงวนไว้

“อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้ยังต้องมีหวังกับคนรุ่นใหม่ เพราะเขาคืออนาคตของชาติ ผมผ่านเส้นทางนี้ ผมเข้าใจเขาว่าคนที่เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยต้องรับใช้ประชาชน ประเทศใดถ้าไม่มีคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ประเทศนั้นจะหาอนาคตไม่ได้ ใครจะเชื่ออย่างไรก็ตาม แต่เขาคืออนาคต เขายังเป็นความหวัง คนรุ่นเราไม่กี่ปีก็ต้องไปตามสังขาร ตามเวลา เพราะฉะนั้นเขาอยู่นานกว่า อนาคตของประเทศนี้ต้องฝากไว้กับเขา”

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศาลนัดสืบพยาน 26-27 ก.ย 66 คดี 'วุฒิ-สุรชา'กรณีถูกผู้สื่อข่าวท้องถิ่นฟ้องหมิ่นประมาท

$
0
0

ศาลเพชรบุรี นัดสืบพยานคดี “วุฒิ-สุรชา” 26-27 ก.ย 66 ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทหลังแชร์โพสต์แสดงความเห็นต่อโครงการในแก่งกระจาน

12 ต.ค.2565 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น. ณ ศาลเพชรบุรี นัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิฯ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1637/2565 หรือคดีที่ วุฒิ บุญเลิศ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสุรชา บุญเยี่ยม นักข่าวสิทธิมนุษยชน กรณีถูกแจ้งข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา หลังวุฒิ โพสต์แสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กส่วนตัวต่อการทำงานของผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต่อมาสุรชา ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวของวุฒิและเขียนข้อความว่า “ตามนั้น”

คดีนี้ สุรพล นาคนคร ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นผู้ที่สองนักปกป้องสิทธิฯ แสดงความคิดเห็นถึง เป็นผู้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กับสถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรีในข้อหาข้างต้นซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงคือจำคุกไม่เกิน 10 ปี ศาลมีคำสั่งรับฟ้อง และอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราววุฒิและสุรชาโดยไม่วางหลักทรัพย์ประกัน

ในวันดังกล่าวนี้ ศาลนัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิ วุฒิ และสุรชา โดยมีสุรพล นาคนคร ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ศาลอนุญาต หลังจากนั้น ศาลเพชรบุรีได้กำหนดนัดสืบพยานโจทก์จำเลย วันที่ 26- 27 ก.ย. 2566

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุด้วยว่าา การดำเนินคดีดังกล่าวจึงทำให้เกิดคำถามต่อสังคมว่าการที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อติชมและตรวจสอบการทำงานของสื่อมวลชนให้เกิดการพัฒนาอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทเป็นคดีอาญานั้น การฟ้องสองนักปกป้องสิทธิฯ ที่ต่อสู้เพื่อกลุ่มคนเปราะบาง นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อสาธารณะ ยังเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือเพื่อฟ้องปิดปากประชาชนไม่ให้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ

วุฒิ และสุรชา มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  ระบุว่าเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อกลุ่มคนเปราะบางและเคยออกมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิชุมชนและสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติแห่งกระจาน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผลสำรวจพบครูในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องทำงานล่วงเวลา (OT) ยาวนาน

$
0
0

ผลสำรวจครูในญี่ปุ่น 10,010 คน พบส่วนใหญ่ต้องทำงานล่วงเวลา (OT) ยาวนาน เฉลี่ยแล้วมีชั่วโมงทำงานอยู่ในระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ครูมากกว่าครึ่งจะไม่แนะนำอาชีพนี้ให้กับผู้อื่น เพราะภาระงานหนัก ชั่วโมงการทำงานยาวนาน และต้องเผชิญกับความเครียดอย่างรุนแรง


ที่มาภาพประกอบ: Wikimedia (CC0)

13 ต.ค. 2565 สถาบันวิจัยเพื่อความก้าวหน้ามาตรฐานการครองชีพของญี่ปุ่น ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นครู 10,010 คน (มีอัตราการตอบกลับ 92.1%) เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2565 พบว่าในวันทำงาน ครูจะใช้เวลาทำงานทั้งสิน 11 ชั่วโมง 21 นาที แม้ว่าจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อปี 2558 ที่ 11 ชั่วโมง 29 นาที (ลดลง 8 นาที) แต่ก็ยังถือว่าเป็นชั่วโมงทำงานที่ยาวนานอยู่ 

นอกจากนี้หากเพิ่มเวลาทำงานจากที่บ้าน ค่าเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของครูจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 ชั่วโมง 7 นาที ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาการทำงานที่กฎหมายที่ปุ่นกำหนดไว้ที่ 7 ชั่วโมง 45 นาที กว่า 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนในวันหยุดสุดสัปดาห์ครูยังต้องทำงานโดยเฉลี่ย 3 ชั่วโมง 24 นาที เนื่องจากความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของชมรมและงานอื่นๆ 

เมื่อรวมชั่วโมงการทำงานทั้งหมดในแต่ละเดือน พบว่าครูในญี่ปุ่นมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 293 ชั่วโมง 46 นาที แม้จะน้อยกว่าการสำรวจครั้งก่อน 6 นาที แต่ก็ยังเกินชั่วโมงทำงานที่กฎหมายกำหนด 123 ชั่วโมง 16 นาที ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยและสุขภาพอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ให้คำนิยม "สายงานคาโรชิ" (karōshi line) ไว้ว่าเป็นงานที่ทำงานล่วงเวลามากกว่า 100 ชั่วโมงต่อเดือน กล่าวอีกนัยหนึ่งครูจำนวนมากตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่อาจทำลายสุขภาพของพวกเขาอย่างร้ายแรง

เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่ควรทำเพื่อปรับปรุงสภาพการทำงาน ครูผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมากระบุว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบ่งงานผ่านมาตรการต่างๆ เช่น โรงเรียนควรจ้างผู้ดูแลการเดินทางของเด็กไปและกลับจากโรงเรียน รวมทั้งขอให้มีการประชุมที่โรงเรียนน้อยลง 

แม้ครูผู้ตอบแบบสำรวจเรียกร้องให้รัฐบาลกลางและท้องถิ่นเพิ่มจำนวนครูให้มากขึ้น แต่เมื่อถูกถามว่าจะแนะนำอาชีพครูให้ผู้อื่นหรือไม่ พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 57.6 ตอบว่า "ไม่"โดยให้เหุตผลว่าอาชีพนี้มีภาระงานหนัก ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และต้องเผชิญกับความเครียดอย่างรุนแรง

ที่มา
Extreme Overtime Takes a Toll on Japan’s Teachers (nippon.com, 6 October 2022)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สปสช.เร่งหา รพ.รับส่งต่อใหม่แทน รพ.เอกชน ถูกเลิกสัญญา หลังจัดหา รพ.รับส่งต่อชั่วคราวมาดูแลไปก่อน 3 เดือนนี้

$
0
0

สปสช.เตรียม รพ.รับส่งต่อรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญา 9 โรงพยาบาลเอกชนเป็นการชั่วคราว 3 เดือน และระหว่างนี้จะเร่งหาโรงพยาบาลรับส่งต่อให้ใหม่และประกาศให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง 

13 ต.ค. 2565 ทีมสื่อ สปสช. แจ้งข่าวว่าพญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ สปสช. ยกเลิกสัญญากับโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่งในพื้นที่ กทม. เนื่องจากเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมานั้น โดยโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวเป็นทั้งหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ และรับส่งต่อทั่วไป ซึ่งในส่วนของหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำนั้นมี 7 โรงพยาบาล และมีประชาชนจำนวน 2.3 แสนรายที่ลงทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำกับโรงพยาบาลเหล่านี้ได้รับผลกระทบ ซึ่ง สปสช. ได้เตรียมมาตรการรองรับ โดยเปิดให้ลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิแห่งใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ รพ.เอกชนทั้ง 7 แห่งประกอบด้วย รพ.ประชาพัฒน์, รพ.นวมินทร์, รพ.เพชรเวช, รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2, รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางมด และ รพ.กล้วยน้ำไท 

อย่างไรก็ดี ตามระบบที่วางไว้นั้น โรงพยาบาลทั้ง 9 แห่งนั้นมีจำนวน 8 แห่งที่มีสถานะเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อด้วย ทำหน้าที่รับดูแลผู้ป่วยต่อจากหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายในกรณีที่เกินศักยภาพของหน่วยบริการในเครือข่ายนั้น ซึ่งการยกเลิกสัญญาครั้งนี้ จะมีผู้ใช้สิทธิบัตรทองส่วนหนึ่งที่ขึ้นทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิอื่นแต่มี 8 โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ 

ดังนั้นเพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองมีหลักประกันว่าจะมีโรงพยาบาลรับส่งต่อรองรับเมื่อเจ็บป่วยหนัก สปสช. ได้หารือร่วมกับกรมการแพทย์ และกรุงเทพมหานคร จัดหาหน่วยบริการรับส่งต่อชั่วคราวมารองรับช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะเวลา 3 เดือนนับจากนี้ โดยมีรายละเอียดคือ 

1. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.มเหสักข์ เป็น โรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เลิดสิน และ รพ.ตากสินแทน 

2. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.กล้วยน้ำไท เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เจริญกรุงประชารักษ์แทน 

3. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.บางนา 1 เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เดอะซีพลัสแทน 

4. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.นวมินทร์ เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.นพรัตน์ราชธานีแทน 

5. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.เพชรเวช เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.คลองตันและ รพ.กลางแทน 

6. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.ประชาพัฒน์ เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ไอเอ็มเอช ธนบุรี แทน 

7. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.แพทย์ปัญญา เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.สิรินธร รพ.ราชวิถี รพ.กลาง และ รพ.เดอะซีพลัส แทน 

8. ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.บางมด เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ราชพิพัฒน์แทน 

สำหรับ รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2 นั้นเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำเท่านั้น ไม่ได้เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไป 

“โรงพยาบาลรับส่งต่อเหล่านี้จะเข้ามาดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นการดูแลชั่วคราวในช่วงระยะเวลา 3 เดือนนับจากนี้ ขณะเดียวกัน สปสช. ก็จะประสานหาโรงพยาบาลใหม่ๆมาเพิ่มเติม และจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง ส่วนผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับยาและตรวจติดตามอาการต่อเนื่องนั้น สามารถไปรับยาและรับการรักษาได้ตามที่สถานพยาบาลที่ สปสช.ได้แจ้งให้ทราบแล้ว โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ สปสช. www.nhso.go.th และหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 กด 6 ไลน์ไอดี @nhso หรือ Facebook สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”พญ.ลลิตยา กล่าว 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เครือข่ายตื่นรู้สู้ภัยสารเสพติดฯ เรียกร้องรัฐเร่งสร้างระบบบำบัดผู้ติดสารเสพติดอย่างครบวงจร

$
0
0

เครือข่ายตื่นรู้สู้ภัยสารเสพติดสุขภาพจิตภาคประชาชน ร้องรัฐเร่งสร้างระบบการบำบัดผู้ติดสารเสพติดอย่างครบวงจร พร้อมบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด

สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภารายงานเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 ว่านายแพทย์บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทนเครือข่ายตื่นรู้สู้ภัยสารเสพติดสุขภาพจิตภาคประชาชน ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งต่อข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลในการเร่งรัดดำเนินการสร้างระบบการบำบัดผู้ติดสารเสพติดอย่างครบวงจร

นายดิเรก จอมทอง ประธานเครือข่ายฯ กล่าวว่า จากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดหนองบัวลำภู สะท้อนให้เห็นว่าผู้ติดสารเสพติดส่งผลต่อสุขภาพจิต และกลายเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่จะก่อเหตุจนนำไปสู่ความสูญเสีย ดังนั้น รัฐบาล รัฐสภา และภาคประชาชน จะต้องร่วมมือกันปลดชนวนระเบิด หยุดยั้งไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ซึ่งเครือข่ายฯ มีสมาชิกจากทั่วประเทศ ได้ระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อเรียกร้องส่งไปยังรัฐบาล ดังนี้ 

1. ขอให้เร่งรัดกระบวนการบำบัดสารเสพติดสุขภาพจิตในทุกชุมชนอย่างเป็นระบบและครบวงจร 

2. ขอให้เร่งรัดป้องกันปราบปรามการแพร่ระบาดของสารเสพติดในทุกชุมชน 

3. ขอให้เร่งรัดบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพบปัญหาศูนย์บำบัดทั่วประเทศ ยังขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และกระบวนการบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ริดสารเสพติดไม่สามารถเลิกได้อย่างถาวรและมีแนวโน้มสูงที่จะกลับมาติดสารเสพติดซ้ำ ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการจัดตั้งศูนย์บำบัดที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร ควบคู่ไปกับการปราบปราม ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในระยะยาว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักกิจกรรมวิเคราะห์สงครามรัสเซีย อาจถึงขั้น 'กวาดล้างเผ่าพันธุ์'ชาวเชื้อสายเอเชียในรัสเซีย

$
0
0

นักกิจกรรมที่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและนักวิชาการวิเคราะห์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ชี้สร้างความสูญเสียให้กับชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเอเชียในรัสเซีย จากการเกณฑ์ทหารกับกลุ่มคนชายขอบทางเชื้อชาติสีผิว ระบุอาจเป็นวิธีหนึ่งในการ "กวาดล้างเผ่าพันธุ์"ชนกลุ่มน้อยในประเทศ


ที่มาภาพประกอบ: @ehmitrich (Unsplash License)

12 ต.ค. 2565 ย้อนไปเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2565 ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เคยประกาศว่าจะมีการเกณฑ์กำลังพลส่วนหนึ่งในรัสเซียเพื่อนำไปเสริมให้กับกองทัพแนวหน้าของรัสเซียในสงครามยูเครน หลังจากที่พวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ถึงแม้ว่ารัสเซียให้สัญญาว่าจะทำการเกณฑ์กำลังพลจากทหารกองหนุนที่ไม่ได้พิการและมีประสบการณ์ทางการทหารเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับต่างกันออกไป

ในเรื่องนี้ รามูเอล รามานี นักวิจัยจากอ็อกซ์ฟอร์ดผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับรัสเซียถึงขั้นระบุว่าการเกณฑ์กำลังพลล่าสุดในรัสเซีย อาจจะนับเป็น "การกวาดล้างเผ่าพันธุ์" (ethnic cleansing) เลยก็ว่าได้

สาเหตุที่นักวิชาการประเมินว่ามันอาจจะนับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ ก็เพราะว่าทางการรัสเซียได้ทำการเกณฑ์ทหารอย่างไร้ข้อยกเว้น โดยตั้งเป้าหมายเป็นกลุ่มชุมชนชายขอบผู้ยากไร้อย่างเช่น ชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชีย รวมถึงชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติสีผิวกลุ่มอื่นๆ ในรัสเซีย

อัลดาร์ เอเรนดเยนอฟ ตัวแทนของกลุ่มมูลนิธิปลดปล่อยคัลมืยคียา ซึ่งเป็นกลุ่มนักกิจกรรมที่ช่วยเหลือชาวคัลมืยในการหนีออกจากรัสเซียกล่าวว่า พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนกับตาว่า ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่คัลมืยคียาถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามมากกว่าเป็น 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับประชากรในเขตที่เป็นชาวสลาฟ

เอเรนดเยนอฟบอกอีกว่าบางหมู่บ้านในคัลมืยเคยา มีประชากรลดลงไปราวร้อยละ 20 นับตั้งแต่ที่มีการเกณฑ์กำลังพล ซึ่งคัลมืยคียาเป็นพื้นที่เดียวในรัสเซียที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ

ในรัสเซียนั้นมีกลุ่มชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชียอยู่หลากหลายกลุ่มมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวตูวานที่มีเชื้อสายเติร์ก ชาวเอเวนค์ที่มาจากเชื้อสายตุงกูซิก และชาวคัลมืยที่มาจากเชื้อสายมองโกล กลุ่มชนชาติต่างๆ เหล่านี้กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซีย สิ่งที่พวกเขามีร่วมกันคือการที่รัฐของรัสเซียเคยขยายอิทธิพลเข้ายึดอาณานิคมพวกเขาในช่วงใดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์

ทั้งนี้ส่วนกลางของรัสเซียก็ดูเหมือนจะคอยขูดเลือดขูดเนื้อชาวเอเชียที่ถูกทำให้เป็นข้ารับใช้มาโดยตลอด ในยามสันติจะมีการขึ้นภาษีกับกลุ่มชนเหล่านี้ และในยามสงครามก็มีการเกณฑ์คนจากพื้นที่เหล่านี้ไปรับใช้จักรวรรดิ์ที่ล่าอาณานิคมพวกเขา

อีกกลุ่มหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้คือ สมาคมนักสันติวิธีซาคา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อต่อต้านการเกณฑ์ทหารในสาธารณรัฐซาคา ภูมิภาคหนึ่งของรัสเซียที่มีพื้นที่ใหญ่เกือบจะเท่ากับอินเดียตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไซบีเรียที่มีภูมิประเทศเป็นป่าเขตหนาวไทก้า กลุ่มสมาคมสันติวิธีซาคาบอกว่า "การเกณฑ์ไพร่พลโดยทางการรัสเซีย สะท้อนให้เห็นนโยบายเชิงอาณานิคมในระยะยาวจากรัฐบาลรัสเซียที่มุ่งลดจำนวนประชากรชนพื้นเมืองในประเทศของพวกเขา พวกเราเชื่อว่าเป้าหมายคือการที่จะได้ขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติจากดินแดนของพวกเราได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะ น้ำมันและก๊าซ"

สงครามได้ส่งผลกระทบต่อชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชียมาตั้งแต่ก่อนหน้าการเกณฑ์กำลังพลแล้ว นักวิชาการ รามานี บอกว่า มันเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเกณฑ์ทหารในกลุ่มพื้นที่ยากจนที่สุดและส่วนมากก็มักจะเป็นพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติอาศัยอยู่ เช่น สาธารณรัฐบูเรียตียาซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดของรัสเซีย มีคนถูกเกณฑ์ไปรบในแนวหน้าที่ยูเครนมากที่สุดและมีการส่งโลงศพกลับบ้านเกิดเป็นจำนวนมากด้วย รามานีบอกว่า การตั้งเป้าเล่นงานชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติสีผิวเช่นนี้เป็นไปได้ว่าเป้าหมายหนึ่งของทางการรัสเซียคือ "การทำให้รัสเซีย เป็นรัฐสำหรับพวกคนขาวมากขึ้นกว่านี้"

ชาวเชื้อสายเอเชียในรัสเซียเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีขบวนการต่อต้านอาณานิคมที่ยาวนานที่สุดในโลก ขบวนการดังกล่าวมีชื่อว่า "บาสมาจี"ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อต้านจักรวรรดิรัสเซีย กลุ่มนี้เกิดขึ้นในเอเชียกลางถือกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวต่อต้านการบังคับเกณฑ์ทหารให้ไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าขบวนการต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติสีผิวในรัสเซียจะยังคงดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แต่ทางการรัสเซียก็ทำการปราบปรามพวกเขาอย่างได้ผล

เลย์ลา ลาติโปวา นักข่าวและนักวิชาการชาวบัชคอร์โตสตานกล่าวว่ามีนักกิจกรรมจำนวนมากที่ถูกคุมขัง จนทำให้เห็นได้ชัดเจนว่ามีนักกิจกรรมเหลืออยู่ไม่กี่คนในรัสเซียเท่านั้นที่ยังคงพูดถึงเรื่องการปลดแอกจากอาณานิคมรัสเซียได้โดยไม่ถูกจับกุม

ในตอนนี้ชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชียก็ต้องเผชิญกับการถูกบังคับเกณฑ์ไปรบอีกครั้งแบบเดียวกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านและการจัดตั้งการเคลื่อนไหว เช่นการประท้วงในยาคุตสค์ เมืองหลวงของเขตปกครองซาคา มีกลุ่มองค์กรที่ช่วยเหลือชาวเอเชียในพื้นที่เหล่านี้อพยพหนีออกจากประเทศรัสเซีย

วาสิลี มาเทนอฟ นักกิจกรรมเชื้อสายตูวานจากกลุ่มเอเชียนออฟรัสเซียกล่าวว่า นับตั้งแต่ที่มีสงครามกับยูเครนมีการต่อต้านขัดขืนทางการรัสเซียเกิดขึ้นจำนวนมากในหมู่ประชาชนเชื้อสายเอเชียที่อยู่ในรัสเซีย ผู้คนก่อตั้งขบวนการต่อต้านสงครามและมีการพูดปราศรัยต่อต้านสงครามในที่ชุมนุมเดินขบวน มาเทนอฟบอกอีกว่า "มันชวนให้รู้สึกว่าการเกณฑ์กำลังพลเป็นการที่ปูตินแก้แค้นประชาชนของพวกเราผ่านวิธีการกวาดล้างเผ่าพันธุ์"

ในเอ็นไซโคลปิเดียบริแทนนิกา ระบุว่า "การกวาดล้างเผ่าพันธุ์" (Ethnic Cleansing) หมายถึง การพยายามทำให้พื้นที่มีแต่กลุ่มคนเหลืออยู่เชื้อชาติเดียว ด้วยวิธีการขับไสเชื้อชาติอื่นๆ ออกจากพื้นที่นั้นๆ หรือบังคับย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการทำลายอนุสรณ์หรือวัตถุทางวัฒนธรรมของกลุ่มเชื้อชาตินั้นๆ ด้วย

ชาวรัสเซียจำนวนมากตามชายแดนต่อต้านการเกณฑ์คนไปรบในยูเครนเช่นกัน บ้างก็หนีไปหลบซ่อนตัว พวกเขากลัวตาย กลัวถูกทำให้อดอยาก กลัวบาดเจ็บ เช่นเดียวกับชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชีย มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากองทัพรัสเซียไม่สามารถหาที่พักพิง ไม่สามารถเลี้ยงดู และไม่สามารถจัดหาเสบียงให้กับทหารที่ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามยูเครนได้ ไม่เพียงเท่านั้น กองกำลังในแนวหน้าของรัสเซียมีตัวเลขความสูญเสียสูงถึงขนาดที่แม้แต่ผู้สนับสนุนปูตินระดับเดนตายยังต้องคิดหนักถ้าหากจะสมัครไปรบ

นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการเกณฑ์กำลังพล มีกองกำลังประมาณ 700,000 นายที่มุ่งหน้าออกจากรัสเซียไปแล้ว และมีกำหนดการจะเกณฑ์กำลังพลเพิ่มอีก 300,000 นาย ผู้ลี้ภัยไม่เหลือทางให้หนีมากนัก หลังจากที่รัสเซียประกาศว่าจะมีการเกณฑ์กำลังพลเพิ่ม นักการเมืองสหภาพยุโรปหลายคนก็ออกมากล่าวเน้นย้ำอย่างทันควันว่าประเทศของพวกเขาจะไม่ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีการเกณฑ์ทหารในรัสเซีย

ในทางตรงกันข้าม ประเทศเอเชียกลางโดยเฉพาะ คาซัคสถาน และมองโกเลีย ต่างก็ต้อนรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ไดอานา คูไดเบอเกโนวา นักสังคมวิทยาชาวคาซัคสถานจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยังคงดำเนินอยู่และต้องการข้อมูลมากกว่านี้ในการจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เท่าที่เห็นจนถึงปัจจุบัน ประเทศเอเชียกลางมีการปฏิบัติต่อผู้อพยพหลายรูปแบบแต่ส่วนมากจะเป็นการต้อนรับให้เข้าประเทศได้

เอเรนดเยนอฟกล่าวว่า ชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชียได้รับการต้อนรับมากเป็นพิเศษในประเทศมองโกเลีย  เขาบอกว่า "แม้กระทั่งในระดับรัฐ ชนกลุ่มน้อยชาวเอเชียต่างก็ได้รับการเชื้อเชิญและต้อนรับ มันทำให้รู้สึกอุ่นใจที่มีการเล็งเห็นปัญหาของพวกเราที่นั่น"

ลาติโปวาบอกว่า การเกณฑ์กำลังผลของกองทัพรัสเซียอาจจะจุดกระแสให้เกิดแนวคิดการรวมกลุ่มชาวเติร์กเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะว่ามีภาษาและค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน

นอกจากนี้การเกณฑ์กำลังพลที่เกิดขึ้นในรัสเซียอาจจะจุดชนวนให้เกิดวาทกรรมต่อต้านอาณานิคมเกิดขึ้นในรัสเซียอีกก็เป็นได้ กลายเป็นสิ่งท้าทายต่อฐานอำนาจของรัฐชาติรัสเซีย โดยที่หลังจากเกิดเหตุรัสเซียรุกรานยูเครน กระแสแนวคิดการต่อต้านอาณานิคมรัสเซียก็เริ่มเป็นกระแสพูดถึงในตะวันตกและในหมู่นักกิจกรรมพลัดถิ่น ลาติโปวาชี้ว่า "ชุมชนชาวยูเครนได้ผลักดันวาทกรรมการต่อต้านอาณานิคมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเกิดสงคราม มันได้ช่วยทำให้เกิดการยกระดับการพูดถึงแนวคิดต่อต้านอาณานิคมมากขึ้นทั้งภายในและภายนอกรัสเซีย"

นักกิจกรรมรัสเซียบางคนบอกว่ารัสเซียขาดการศึกษาในเรื่องการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรคนจนในรัสเซียเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ของวาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อจากทางการรัสเซีย แอดเลีย นักกิจกรรมชาวซาคาผู้พลัดถิ่นพูดหลังจากถอนหายใจอย่างโกรธเคืองว่า แม้แต่ชาวรัสเซียเชื้อสายเอเชียจำนวนมากก็ชื่นชอบปูตินเพราะพวกเขาดูแต่โทรทัศน์ช่องของรัฐบาล โดยเฉพาะคนในชนบทที่กันดาร

อย่างไรก็ตาม ลาติโปวา โต้แย้งว่าเรื่องนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะสภาพการณ์ปัจจุบันทำให้ผู้คนเห็นได้ชัดกับตาตัวเองว่ารัฐบาลรัสเซียจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร "เมื่อผู้คนเห็นว่าคนครึ่งหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปรบ แนวคิดเรื่องนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงที่มาจากประสบการณ์โดยตรง มันทำให้โวหารเรื่องการต่อต้านอาณานิคมมีความน่าเชื่อถือขึ้นมาก"ในความเป็นจริงแล้ว แม้กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ทางการเมืองมาก่อนในรัสเซียเมื่อต้องได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเกณฑ์คนไปรบในสงครามแล้ว พวกเขาก็ไม่พอใจเท่าไหร่

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มชนชาติเชื้อสายเอเชียในรัสเซียบางกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงก็มาช้าเกินไป แอดเลียบอกว่า ภาษาและวัฒนธรรมของชาวเอเวนค์และชาวชุกชีกำลังจะสูญหายไป และถ้าหากกลุ่มคนหนุ่มจากทั้งรุ่นของกลุ่มชนชาติเหล่านี้เสียชีวิตไปหมด ผู้คนเหล่านี้ก็จะถูกทำให้สาบสูญเร็วขึ้นไปอีก

เรียบเรียงจาก
The War in Ukraine Is Decimating Russia’s Asian Minorities, The Diplomat, 10-10-2022

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://www.britannica.com/topic/ethnic-cleansing

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ประชาธิปัตย์'เคาะ 'นริศ'นั่ง รมช.มหาดไทย แทน 'นิพนธ์'

$
0
0

ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เคาะ 'นริศ ขำนุรักษ์'ส.ส.พัทลุง นั่ง รมช.มหาดไทย แทน 'นิพนธ์ บุญญามณี'หลังโหวตว่าเป็นโควตา ส.ส.ใต้

สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 ว่ามีการประชุม ส.ส.ภาคใต้ ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ปชป. ดูแลภาคใต้ เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมพิจารณาเรื่องตัวบุคคลลงชิง ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีรายยงานอีกว่า เมื่อเริ่มประชุมนายเดชอิศม์ สอบถามว่ามีใครจะเสนอตัวลงชิงตำแหน่งรัฐมนตรีบ้าง ซึ่งมีผู้ยกมือลงแข่ง 2 คนคือ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง และนายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ซึ่งที่ประชุมไม่ได้ให้ทั้งสองคนแสดงวิสัยทัศน์ มีแต่นายเดชอิศม์ ที่ระบุว่าทั้งสองคนเป็นคนที่มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถ จึงขอส่งชื่อทั้งสองคนให้คณะ กก.บห. พิจารณา

จากนั้นมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) ปชป. โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ปชป. เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาคัดเลือกตัวบุคคลเพื่อไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ได้ลาออกไป ซึ่งในที่ประชุมได้มีการถกเถียงกันว่าตำแหน่งรัฐมนตรีนี้เป็นโควตาของภาคใต้ หรือโควตากลาง จนกระทั่งนายวิรัช ร่มเย็น นายทะเบียนพรรค และอดีต ส.ส.ระนอง 8 สมัย ได้เสนอว่าควรนำรายชื่อที่มีการเสนอกันให้ ที่ประชุม ส.ส.พรรคลงมติ แต่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคเห็นว่าควรจะต้องลงมติให้จบในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ในที่สุดที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคก็มีมติว่าเป็นโควตาของ ส.สใต้ และลงมติปรากฏว่านายนริศ ได้รับเลือกจากที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคด้วยคะแนน 22 คะแนน นายประกอบ 8 คะแนน และนายวิรัตน์ ร่มเย็น อดีต ส.ส.ระนอง ซึ่งเสนอชื่อตัวเองได้ 2 คะแนน หลังจากนี้จะส่งชื่อนายนริศ ให้ที่ประชุม ส.ส. รับรองต่อไป
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

UN ผ่านมติประณามรัสเซียผนวก 4 แคว้นยูเครน-ไทยงดออกเสียง

$
0
0

สมาชิกยูเอ็นมากกว่า 140 ประเทศ ลงคะแนนสนับสนุนมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประณามความพยายามของรัสเซียผนวกดินแดน 4 ภูมิภาคของยูเครน ขณะที่ไทยงดออกเสียงร่างมติฉบับนี้


ที่มาภาพ: Wikimedia 

13 ต.ค. 2565 Thai PBSรายงานอ้างสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่าประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ประกาศผลการลงมติ โดย 143 ประเทศ จากทั้งหมด 193 ประเทศทั่วโลก สนับสนุนร่างมติ UNGA ซึ่งระบุว่าความพยายามผนวกรวม 4 ภูมิภาคยูเครนของรัสเซียผิดกฎหมาย

รวมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศไม่รับรองการผนวกรวม และให้รัสเซียยุติการกระทำดังกล่าวทันที นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้บรรเทาสถานการณ์ความขัดแย้งผ่านการเจรจา

มติประณามรัสเซียฉบับนี้ แม้เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่ถือว่ามีความหมาย เนื่องจากได้รับเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกยูเอ็นมากที่สุด นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากบุกโจมตียูเครน

ขณะที่ประเทศคัดค้านร่างมติมีเพียง 5 ประเทศ คือ รัสเซีย เบลารุส เกาหลีเหนือ ซีเรียและนิการากัว ส่วนอีก 35 ประเทศ รวมถึงจีน อินเดียและไทย งดออกเสียง

สำหรับประเทศไทย แสดงความกังวลว่าการผ่านมติดังกล่าวท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในปัจจุบัน อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการแก้ไขความขัดแย้งผ่านวิถีทางการทูต และอาจผลักให้โลกเข้าสู่ความเสี่ยงเกิดสงครามนิวเคลียร์และการล่มสลายทางเศรษฐกิจโลก

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'อัยการสูงสุด'รื้อระบบรับ-จ่ายสำนวนคดีพิเศษ สั่งอธิบดีส่งรายงานทุกสิ้นเดือน

$
0
0

'อัยการสูงสุด' (อสส.) รื้อระบบรับ-จ่ายสำนวนคดีพิเศษ ส่งหนังสือสั่งอธิบดีอัยการคดีพิเศษ ต้องผ่าน อสส.ทุกกรณี ชี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้ายแรง สำนวนซับซ้อน กระทบกระเทือนความรู้สึกประชาชน มีผลแล้วถึง 30 ก.ย. 2566

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด (อสส.) ลงนามเอกสารบันทึกข้อความที่ อส 0001/160 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาของสำนักงานคดีพิเศษ เรียน อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ระบุว่า เนื่องจากสำนวนคดีของสำนักงานคดีพิเศษส่วนใหญ่ จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีอาญาทั่วไป มีข้อเท็จจริงยุ่งยาก สลับซับซ้อน สำนวนคดีมีเอกสารจำนวนมาก มักจะเป็นเรื่องที่มีลักษณะร้ายแรง กระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชนทั่วไป หรือมีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกับการดำเนินการโดยฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกระทำการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยร่วมกันหรือสมคบกันทำเป็นกระบวนการที่มีความสลับซับซ้อน หรือเป็นคดีที่รัฐมีนโยบายป้องกันหรือปราบปรามเป็นพิเศษ

ฉะนั้นเพื่อให้การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานคดีพิเศษมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ทันต่อเหตุการณ์ และโดยที่ อสส.อาจตั้งคณะทำงานดำเนินคดีเฉพาะเรื่อง จึงให้สำนักงานคดีพิเศษดำเนินการดังนี้

1.ให้ส่งสำเนาสารบบรับสำนวนคดีอาญาทุกประเภทต่อ อสส.ผ่านรอง อสส.ที่รับผิดชอบงานของสำนักงานคดีพิเศษทุกวันทำการสิ้นเดือน

2.สำหรับสำนวนการสอบสวน ซึ่งสำนักงานคดีพิเศษรับไว้เป็นคดีอาญาสำคัญนั้น นอกจากการปฏิบัติตามระเบียบและหนังสือเวียนเกี่ยวกับการควบคุมการดำเนินคดีสำคัญแล้ว ก่อนที่จะสั่งจ่ายสำนวน ให้ส่งสำนวนคดีอาญานั้นไปยัง อสส.ผ่านรอง อสส.ที่รับผิดชอบงานของสำนักงานคดีพิเศษเพื่อพิจารณาก่อน เว้นแต่สำนวนที่มีการฝากขังผู้ต้องหา และจะครบกำหนดระยะเวลาฝากขังตามกฎหมาย

3.สำนวนการสอบสวนใดตามข้อ 2. หากรอง อสส.เห็นว่า สมควรตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อดำเนินคดีเฉพาะ ให้เสนอ อสส.เพื่อพิจารณาตั้งคณะทำงาน ส่วนสำนวนอื่นใดที่เห็นสมควรส่งกลับคืนให้สำนักงานคดีพิเศษดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้ดำเนินการส่งคืนได้ตามที่เห็นสมควร

4.ในกรณีที่รอง อสส.ที่รับผิดชอบงานสำนักงานคดีพิเศษไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ส่งสำนวนคดีอาญานั้นผ่านรอง อสส.ที่อยู่ปฏิบัติราชการ และมีลำดับอาวุโสสูงสุดในขณะนั้น เพื่อดำเนินการตามข้อ 2. และ 3. ต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติ สำหรับสำนวนคดีอาญาที่ได้รับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2566

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>