Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live

Rocket Media Lab: 'ราคา'ที่ต้องจ่ายและสิ่งที่อยากได้ ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

$
0
0

เนื่องในวัน World Mental Health Day ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ต.ค. Rocket Media Lab เผยผลสำรวจออนไลน์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 506 คน ในด้านภาระค่าใช้จ่ายและความต้องการในด้านบริการสาธารณสุข พบ 1 ใน 3 เสียเงินค่ารักษาคิดเป็น 21% ของรายได้ขึ้นไป

  • ก่อนจะเข้ารับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (33.6%) ระบุว่า มีอาการมานานกว่า 2 ปี จึงเริ่มรักษา
  • ผู้ตอบแบบสอบถามเกินครึ่ง (56.9%) เปลี่ยนจิตแพทย์มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนเข้ารักษากับจิตแพทย์คนปัจจุบัน
  • ครึ่งหนึ่ง (51.5%) ของผู้ที่เคยรับการรักษากับจิตแพทย์มากกว่า 1 คน ใช้เวลารักษากับจิตแพทย์คนก่อนหน้านี้มากกว่า 1 ปี
  • เกือบ 1 ใน 3 (29.6%) ระบุว่า ค่ารักษาคิดเป็นร้อยละ 21 ของรายได้หรือมากกว่า
  • เกือบ 3 ใน 4 (72.3%) ใช้เวลาพบแพทย์ต่อครั้งไม่เกิน 1 ชั่วโมง
  • ผู้ตอบแบบสอบถามต้องการยาราคาถูกมากที่สุด รองลงมาคือ ลักษณะการทำงานที่ยืดหยุ่นกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ตามด้วย การทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้

ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่การเป็นทุกข์ในระดับบุคคลเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ด้วย ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม รวมถึงระบบสาธารณสุข การสำรวจภาระโรค การบาดเจ็บ และปัจจัยเสี่ยง (Global Burden of Diseases, Injuries, and Risk Factors Study)ขององค์การอนามัยโลก เมื่อปี 2562 พบว่าในกลุ่มอายุระหว่าง 15-29 ปี โรคทางจิตเวช 2 โรคคือ โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลเป็นสองโรคที่ติดอันดับ 1 และ 2 ของภาระโรค ส่วนการฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ขณะที่ รายงานขององค์การอนามัยโลกเมื่อมิถุนายน 2565เรียกร้องให้ชาติต่างๆ ลงทุนกับสุขภาพจิตให้มากขึ้น ด้วยเหตุผลว่าโรคโควิด-19 ทำให้สถานการณ์แย่ลงทั่วโลก ในปีแรกของการระบาด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ขณะที่สัดส่วนงบประมาณด้านสุขภาพจิตของประเทศต่างๆ มีเพียงร้อยละ 2 ของงบประมาณสาธารณสุข

ในประเทศไทย ตัวเลขประมาณการจากฐานข้อมูลของกรมสุขภาพจิต เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 พบว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยราว 1.35 ล้านคน อัตราการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอยู่ที่ 88.33% อธิบดีกรมสุขภาพจิตเปิดเผยเมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า จำนวนผู้ป่วยจิตเวชมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งโรคซึมเศร้าด้วย โดยระบุว่า เป็นไปตามแนวโน้มเดียวกันกับสถานการณ์ทั่วโลกที่เป็นผลมาจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขมุ่งคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงให้มากขึ้น รวมทั้งเปิดหอผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มเติมในโรงพยาบาลทั่วประเทศ  นอกจากนี้ยังประสานงานกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) เพื่อผลักดันยาจิตเวชที่จำเป็นเข้าสู่บัญชียาหลักเพิ่มเติมด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรคซึมเศร้าเป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายในสังคมมากขึ้น ผู้ป่วยมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและกล้าพบแพทย์มากขึ้น

 Rocket Media Lab สำรวจความคิดเห็นของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับทำความเข้าใจสถานการณ์ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาพยาบาลต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดบ้างในกระบวนการรักษา ตลอดจนสะท้อนความต้องการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าว่าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

รู้จัก (ส่วนหนึ่งของ) ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

การสำรวจออนไลน์ของ Rocket Media Lab นี้ สำรวจระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคมถึง 30 กันยายน 2565 โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่าป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและเข้ารับบริการในสถานพยาบาล เพื่อทำความเข้าใจภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องเผชิญ มีผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์ทั้งหมด 506 คน

ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 65.2 เพศชายร้อยละ 19.4 และ LGBT+ ร้อยละ 15 อื่นๆ ร้อยละ 0.4 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 21-30 ปี ร้อยละ 46.2 อันดับที่ 2 คือช่วงอายุ  31-40 ปี ร้อยละ 33.2 อันดับ 3 คือ 41-50 ปี ร้อยละ 11.1 ตามด้วยช่วงอายุ 13-20 ปี ร้อยละ 6.7 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 2.0 ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 0.8

ผู้ตอบแบบสอบถามมาจาก 50 จังหวัด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คิดเป็นร้อยละ 57.7 อันดับที่ 2 นนทบุรี ร้อยละ 7.1 อันดับที่ 3 เชียงใหม่ ร้อยละ 5.1 อันดับที่ 4 ปทุมธานี ร้อยละ 4.3 อันดับที่ 5 สมุทรปราการ ร้อยละ 2.5

โดยมีผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมากที่สุด ร้อยละ 62.6 รองลงมา ปริญญาโท ร้อยละ 24.3 อันดับที่ 3 มัธยมศึกษาหรือ ปวช. ร้อยละ 7.7 อันดับที่ 4 ปริญญาเอก ร้อยละ 3.8 อันดับที่ 5 อนุปริญญาหรือปวส. ร้อยละ 1.4

อาชีพของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน คิดเป็นร้อยละ 37.2 อันดับที่ 2 นักเรียนหรือนักศึกษา ร้อยละ 15 อันดับที่ 3 รับจ้างอิสระ ร้อยละ 12.8 อันดับที่ 4 เจ้าของกิจการหรือค้าขาย และผู้ไม่ประกอบอาชีพ เท่ากันที่ร้อยละ  9.9 อันดับที่ 5 ข้าราชการ ร้อยละ 7.7

รายได้ต่อเดือนส่วนใหญ่อยู่ที่ 15,001-30,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 32.8 อันดับที่ 2 คือผู้ที่มีรายได้ระหว่าง 30,001-45,000 บาท ร้อยละ 16.8 อันดับที่ 3 ผู้ที่มีรายได้ แต่ไม่ถึง 15,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 16 อันดับที่ 4 ผู้ที่ไม่มีรายได้เลย คิดเป็นร้อยละ 15.2 อันดับที่ 5 คือผู้ที่มีรายได้ระหว่าง 45,001-60,000 บาท เท่ากับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 90,001 คิดเป็นร้อยละ 6.1

โดยส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามพบแพทย์ทุก 1 เดือน คิดเป็นร้อยละ 43.9 รองลงมา พบแพทย์ทุก 2 เดือน ร้อยละ 20.2 อันดับ 3 พบแพทย์ทุก 3 เดือน ร้อยละ 18 อันดับ 4 พบแพทย์มากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน ร้อยละ 8.1 อันดับ 5 พบแพทย์ทุก 4 เดือน ร้อยละ 3

ทั้งนี้เกือบ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้เวลาในการพบแพทย์ต่อครั้งไม่เกิน 1 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 72.3 รองลงมาอันดับ 2 ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง ร้อยละ 24.3 อันดับ 3 ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ร้อยละ 2.4 อันดับ 4 ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมง ร้อยละ 1

นานเท่าใด กว่าจะเจอหมอที่ (คิดว่า) ใช่

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายคนใช้เวลานานหลายปีกว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า หลายคนใช้เวลานานกว่าจะเจอกับจิตแพทย์ที่เหมาะกับตนเอง ไม่เพียงเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากมายจึงจะเชื่อมั่นในหมอที่รักษา แต่ยังทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมร่วมด้วย

ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 506 คน ผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายอาการซึมเศร้ามาแล้วระยะเวลาหนึ่ง เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล ก่อนจะเข้ารับการวินิจฉัย

1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามหรือ ร้อยละ 33.6 ระบุว่า มีอาการมาแล้วนานกว่า 2 ปี จึงจะเริ่มรักษา อันดับที่ 2 มีอาการระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี ร้อยละ 24.1 อันดับที่ 3 มีอาการน้อยกว่า 6 เดือนถึง 1 ปี ร้อยละ 23.7 อันดับที่ 4 มีอาการนาน 1-2 ปี ร้อยละ 12.6 อันดับที่ 5 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 5.9

ผู้ตอบแบบสอบถามเกินครึ่งหรือร้อยละ 56.9 เปลี่ยนจิตแพทย์มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนจะเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์คนปัจจุบัน จำแนกเป็นผู้ที่เคยรักษากับจิตแพทย์มาก่อนหน้านี้ 1 คน คิดเป็นร้อยละ 27.7 เคยหามาแล้ว 2 คน ร้อยละ 12.5 เคยรักษากับจิตแพทย์มาแล้ว 3 คน ผู้ที่เคยรักษากับจิตแพทย์มาแล้ว 3 คน ร้อยละ 8.7 ผู้ที่เคยรักษากับจิตแพทย์มากกว่า 5 คน ร้อยละ 3.8 ผู้ที่เคยรักษากับแพทย์มาแล้ว  4 คน ร้อยละ 2.8 และผู้ที่เคยรับการรักษากับจิตแพทย์มาแล้ว 5 คน ร้อยละ 1.6 ขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่เคยรักษากับจิตแพทย์คนอื่นเลย ร้อยละ 43.1

ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เคยเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์มากกว่า 1 คน ใช้เวลารักษากับจิตแพทย์คนก่อนหน้านี้มากกว่า 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 51.5 ซึ่งสามารถจำแนกเป็นผู้ที่ใช้เวลารักษากับ 1-2 ปี ร้อยละ 16.5 ใช้เวลา 2-3 ปีร้อยละ 15.5 ใช้เวลามากกว่า 5 ปี ร้อยละ 11.3 และ และผู้ที่ใช้เวลารักษานาน 3-5 ปีร้อยละ 8.2 ส่วนผู้ที่ใช้เวลารักษาน้อยกว่า 6 เดือน มีร้อยละ 31.3 และระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี ร้อยละ 17.2

สำหรับการรักษาในปัจจุบัน ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 82.2 พอใจจิตแพทย์คนปัจจุบัน มีร้อยละ 17.8 ที่ไม่พอใจแพทย์ที่ตนเองกำลังเข้ารับการรักษา

สำหรับเหตุผลตัดสินใจเลือกรักษาที่สถานพยาบาลปัจจุบันว่า มีผู้ตอบว่า เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการรักษามากที่สุด ร้อยละ 25.9  อันดับที่ 2 ได้รับคำแนะนำจากบุคคลอื่น ร้อยละ 19.8 อันดับที่ 3 ตามสิทธิรักษาพยาบาล ร้อยละ 17.6 อันดับที่ 4 เดินทางสะดวก ร้อยละ 17.2 อันดับที่ 5 แพทย์ส่งมารักษาต่อร้อยละ 3.8 อันดับที่ 6 สะดวกไม่ต้องรอคิวนาน ร้อยละ 2.7 จากข้อมูลอาจสะท้อนว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการรักษาเป็นลำดับต้นๆ

โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ที่ไม่พอใจแพทย์ที่ตนเองกำลังเข้ารับการรักษาพบว่า ให้เหตุผลว่าเป็นการรักษาตามสิทธิมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 24.4  และร้อยละ 17.7 ระบุว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะที่ผู้ที่พอใจกับแพทย์ปัจจุบัน มีผู้ให้เหตุผลว่า เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการรักษามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 27.8

นอกจากนี้เมื่อถามถึงประสบการณ์หยุดรักษากลางคัน สัดส่วนระหว่างผู้ที่เคยกับผู้ที่ไม่เคยหยุดรักษากลางคันใกล้เคียงกันมาก ร้อยละ 46.2 เคยหยุดรักษากลางคัน ขณะที่ร้อยละ 53.8 ไม่เคย สำหรับที่เคยหยุดรักษากลางคัน มีผู้ตอบแบบสอบถามที่หยุดการรักษาเพราะคิดว่าตนเองดีขึ้นแล้วมากที่สุดร้อยละ 20.9 มีร้อยละ 19.2 ให้เหตุผลว่า มาจากการค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ให้เหตุผลว่าไม่สะดวกในการเดินทางมีร้อยละ 10.6 ผู้ที่ตอบว่า ผลข้างเคียงจากยา ร้อยละ 6.3

1 ใน 3 เสียเงินค่ารักษาคิดเป็น 21% ของรายได้ขึ้นไป

จากการสำรวจเหตุผลในการเลือกรักษาพยาบาลก่อนหน้านี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีความพึงพอใจระหว่างคนไข้กับแพทย์เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชจะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิการรักษาพยาบาลทั้งบัตรทอง บัตรประกันสังคม และบัตรข้าราชการ  แต่ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนหนึ่งก็เลือกที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามที่เลือกจ่ายค่ารักษาเอง เนื่องจากความไม่สะดวกจากการขอใบส่งตัวจากคลินิกต้นสังกัดเพื่อรักษาในโรงพยาบาลที่สะดวก โดยอธิบายว่า เลือกจ่ายเองเพราะเดินทางจุดเดียว วันเดียวจบ ลดความวุ่นวาย แทนที่จะใช้สิทธิรักษาฟรี

สถานพยาบาลที่ผู้ตอบแบบสอบถามเข้ารับการรักษาครั้งล่าสุด มีสัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีผู้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลสังกัดรัฐ ร้อยละ 50.69  สังกัดเอกชนร้อยละ  48.51 อื่นๆ เช่น แอปพลิเคชั่น

ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้มากกว่า 15,000 บาท จำนวนมากกว่า 2 ใน 3 เลือกชำระค่ารักษาเองทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 68.2 รองลงมาใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ร้อยละ 11.9 อันดับที่ 3 สิทธิประกันสังคม ร้อยละ 8.7 อันดับที่ 4 ประกันสุขภาพ/สวัสดิการของที่ทำงาน ร้อยละ 5.7 อันดับที่ 5 สิทธิข้าราชการร้อยละ 5.3 อันดับที่ 6 ประกันสุขภาพส่วนบุคคล ร้อยละ 0.2

สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล เกินครึ่งตอบว่า ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ร้อยละ 51.6 ครอบคลุมบางส่วน ร้อยละ 48.4 โดยเมื่อพิจารณา เหตุผลที่เข้ารับบริการของผู้ใช้สิทธิเบิกจ่ายพบว่า เลือกเพราะตามสิทธิเบิกจ่ายมากที่สุด ร้อยละ 67.3 รองลงมาเป็น ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายร้อยละ 11.54  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ใช้สิทธิเบิกจ่ายร้อยละ 77.8 พอใจกับแพทย์คนปัจจุบัน

ขณะที่ในจำนวนผู้ตอบว่าจ่ายค่ารักษาเองให้เหตุผลว่า เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการรักษาของจิตแพทย์คนปัจจุบันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 33.9 รองลงมาคือ ได้รับคำแนะนำจากบุคคลอื่นร้อยละ 25.2 ทั้งนี้จำนวนผู้ที่จ่ายเองพอใจจิตแพทย์คนปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 83.7

มีผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 29.6 ตอบว่า ค่ารักษาคิดเป็นร้อยละ 21 ของรายได้ขึ้นไป ซึ่งจำแนกเป็นค่าใช้จ่ายร้อยละ 21-30 ของรายได้ร้อยละ 13.8 ค่าใช้จ่ายร้อยละ 31-40 ของรายได้ ร้อยละ 5.1 ค่าใช้จ่ายมากกว่าร้อยละ 70 ของรายได้ ร้อยละ 5.5 ค่าใช้จ่ายร้อยละ 41-50 ของรายได้ ร้อยละ 2.6 ค่าใช้จ่ายร้อยละ 51-60 ของรายได้ ร้อยละ 1.4 ค่าใช้จ่ายร้อยละ 61-70 ของรายได้ร้อยละ 1.2 ขณะที่ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของรายจ่ายทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.7 และผู้ที่มีค่าใช้จ่ายร้อยละ 10-20 ของรายได้มีร้อยละ 26.7

ค่ารักษาพยาบาลก่อนใช้สิทธิเบิกจ่ายต่อครั้ง มีความหลากหลาย ตั้งแต่ไม่เสียเลยไปจนถึงมากสุดที่ 35,000 บาท โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่ 1,800 บาท ทั้งนี้ มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 52) เป็นผู้ที่เสียค่ารักษาพยาบาล มากกว่า 1,501 บาทขึ้นไป กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ กลุ่มที่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 200 บาทต่อครั้ง อยู่ที่ร้อยละ 16.8% ตามด้วย 1,401-1,600 บาท ร้อยละ 9.5 อันดับ 3 คือ 1,801-2,000 บาท อยู่ที่ร้อยละ 7.3 อันดับ 4 คือ 2,801-3,000 บาท อยู่ที่ร้อยละ 6.7  และอันดับ 5 จ่าย 801-1,000 บาท อยู่ที่ร้อยละ 5.7

ค่ายา มีความหลากหลาย ตั้งแต่ไม่เสียค่ายาเลยไปจนถึงมากสุดที่ 32,000 บาทต่อครั้ง โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่ 2,075 บาท ทั้งนี้ เกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 47.8) เป็นผู้ที่เสียค่ายามากกว่า 1,501 บาทขึ้นไป โดยในจำนวนนี้ มากกว่า 1 ใน 10 (ร้อยละ 13.8) เสียค่ายาตั้งแต่ 5,001 บาทขึ้นไป  กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ กลุ่มที่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 200 บาทลงไป ร้อยละ 13.8 ตามด้วย 801-1,000 บาทและ 1,801-2,000 บาท อยู่ที่ร้อยละ 10.1 ท่ากัน 1,401-1,600 บาท ร้อยละ 7.3  และ 401-600 บาทร้อยละ 6.3

1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามบำบัดซึมเศร้าเพิ่มเติมหลากหลายวิธี

นอกจากจิตแพทย์แล้ว ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังใช้วิธีการบำบัดอื่นร่วมด้วยเพื่อรักษาโรคซึมเศร้าให้หายไวขึ้น โดยให้เหตุผลหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาตามสิทธิบัตรทองในต่างจังหวัด มีจิตแพทย์แค่ 1 คนเท่านั้น จึงหาทางเลือกอื่นด้วยการพบนักจิตบำบัดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองร่วมด้วย อาการจึงดีขึ้น หรือมีกรณีที่อยู่ระหว่างนัดพบจิตแพทย์ แล้วหากเกิดความกังวลหรือจัดการตัวเองไม่ได้ ก็จะใช้บริการนักบำบัดที่ติดต่อได้ทันที

ผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้วิธีการบำบัดอื่นร่วมด้วยเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า คิดเป็นร้อยละ 36.2 ส่วนที่เหลือร้อยละ 63.8 รักษากับจิตแพทย์เพียงอย่างเดียว สำหรับผู้ที่ใช้การบำบัดอื่น แบ่งเป็น การบำบัดกับนักจิตวิทยามากที่สุด ร้อยละ  65.8 อันดับที่ 2 กิจกรรมบำบัดและศิลปะบำบัด เท่ากันที่ ร้อยละ 22.3 อันดับที่ 4 ดนตรีบำบัด ร้อยละ 10.9 อันดับที่ 5 ละครบำบัดร้อยละ 2.1 โดยค่ามัธยฐานของค่าใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่ 500 บาท

โดยเมื่อพิจารณาเหตุผลของการบำบัดด้วยวิธีการอื่นพบว่า มีหลายคนพบนัดจิตวิทยาควบคู่กับจิตแพทย์ในสถานพยาบาลเดียวกันตามคำแนะนำของแพทย์ ผู้ตอบแบบสอบถามพอใจที่ได้พบนักจิตวิทยาร่วมด้วย เพราะคิดว่าจิตแพทย์มีเวลาจำกัด เน้นไปที่การปรับยามากกว่า

ยาราคาถูก-ระบบการทำงานยืดหยุ่น ความหวังของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

เมื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งส่วนใหญ่ชำระค่ารักษาเองทั้งหมดระบุว่าต้องการให้มีความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายด้านใดบ้าง ผู้ตอบแบบสอบถามต้องการยาราคาถูกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 41.1 รองลงมาคือ ลักษณะการทำงานที่ยืดหยุ่นกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ร้อยละ 27.3 อันดับที่ 3 คือ สามารถทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้ ร้อยละ 27.1 อันดับที่ 4 มีช่องทางพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการบำบัดโดยด่วน ไม่ต้องรอนัดหมาย ร้อยละ 26.3 อันดับที่ 5 ใช้สิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับการพบนักจิตวิทยา ร้อยละ 24.3 อันดับที่ 6 รัฐมีช่องทางการเข้าถึงนักจิตวิทยาที่สะดวกและเป็นระบบ ร้อยละ 22.7 อันดับที่ 7 ได้รับการสนับสนุนทางการเงินให้กับการบำบัดอื่นๆ นอกเหนือจากการรักษาหลักกับจิตแพทย์ ร้อยละ 22.3 อันดับที่ 8 ความถี่ในการพบแพทย์ที่เหมาะสม ร้อยละ 18.4 อันดับที่ 9 สัดส่วนของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเหมาะสมกับจำนวนผู้ป่วย ร้อยละ 18 อันดับที่ 10 มีระบบจำกัดระยะเวลารอพบแพทย์ไม่ให้นานเกินไป เช่น ไม่ควรเกิน 1 เดือน ร้อยละ 14.2

สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิต ด้วยการสนับสนุนและผลิตบุคลากรทางด้านจิตให้มากขึ้น รวมทั้งมีการเชื่อมต่อการรักษาระหว่างจิตแพทย์และนักจิตบำบัดด้านอื่นตามความเหมาะสมของคนไข้ เนื่องจากที่ผ่านมาต้องรอแพทย์ตรวจนาน ขณะที่มีเวลาพบแพทย์สั้นๆ เช่น มีกรณีที่ได้ปรึกษากับแพทย์นาน 5-7 นาที นอกจากนี้ในหลายจังหวัด มีตัวเลือกสถานให้พยาบาลหรือแพทย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ต้องเดินทางไปรักษาไกล ผู้ตอบแบบสอบถามสะท้อนประสบการณ์การรักษาด้วยสิทธิการรักษาพยาบาลว่า ควรให้สิทธิรักษากับโรงพยาบาลโดยตรง โดยไม่ต้องไปขอใบส่งตัวจากคลีนิคมิตรไมตรีที่เป็นต้นสังกัด เพราะต้องเดินทางเพิ่มหลายจุด วุ่นวาย เสียเวลา ค่าเดินทาง

ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามก็ต้องการให้ยาจิตเวชที่มีคุณภาพอยู่ในหลักบัญชีแห่งชาติมากกว่านี้ การใช้ยานอกบัญชีเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมาก ผู้ตอบแบบสอบถามคนหนึ่งระบุว่า “อยากให้เบิกได้ โดยไม่จำกัดตัวยา เนื่องจากแพ้ยาในระบบที่ราคาถูก ทำให้ต้องจ่ายค่ายานอกระบบตัวที่ราคาแพงกว่าเองทั้งหมด เพิ่มปริมาณแพทย์โรงพยาบาลรัฐ สาเหตุที่ยอมไปเอกชนที่ราคาแพงกว่ามากๆ เพราะมีช่วงที่อาการแย่มากๆ ไม่สามารถทนรอเวลานัดของรพ.รัฐที่ต้องรอนานหลายเดือนได้”

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามยังกังวลในประเด็นการทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลกับบริษัทเอกชน เนื่องจากบริษัทปฏิเสธผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า อีกทั้งยังไม่ยอมให้ผู้ที่เคยเป็นโรคซึมเศร้าทำประกันสุขภาพด้วย ทั้งที่หายจากโรคมาแล้วหลายปี ผู้ตอบแบบสอบถามจึงต้องการให้มีการกำกับดูแลการทำประกันสุขภาพด้วย

ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ภาครัฐสร้างความเข้าใจ เพื่อลดอคติต่อผู้ป่วยจิตเวชให้เห็นภาพด้านดีของผู้ป่วยมากขึ้น มากกว่าภาพที่น่ากลัว และอยากให้รัฐทำระบบการส่งต่อผู้ป่วยในการบำบัดรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ และมีงานทำ พร้อมมีสิทธิค่ารักษาครอบคลุมค่าใช้จ่ายในกระบวนการบำบัดฟื้นฟูและรักษา

เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน จึงมีความเห็นว่า บริษัท นายจ้าง หรือฝ่ายทรัพยากร​บุคคล ​ควร​ให้ความสำคัญ​กับสุขภาพจิตของพนักงาน นอกจากสร้างความเข้าใจเพื่อลดการตีตราต่อผู้ป่วย เช่น การอบรมพนักงานแล้ว ควรมีนักจิตวิทยาประจำองค์กร เพื่อให้พนักงานเข้ารับการปรึกษาได้สะดวกขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามบางคนมองว่า ควรออกกฎหมายให้มีนักจิตวิทยาหรือเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญประจำทุกสถานที่ทำงาน สถานศึกษา และชุมชน และจัดเวลาให้ทุกคนได้รับคำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นประจำ และเท่าเทียม ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น รวมทั้งมีระบบทำงานที่ยืดหยุ่นแก่ผู้ที่มีอาการจิตเวช รวมถึงมีระบบลาป่วยที่คำนึงถึง​ปัจจัย​การพบจิตแพทย์​ โดยขอให้การจ้างออกคือทางเลือกสุดท้าย

ภาระค่าใช้จ่ายจากยาใน-นอกบัญชียาหลักแห่งชาติ

จำนวนแพทย์ที่ไม่สามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยได้เพียงพอ จนนำไปสู่การหันไปรักษาในสถานพยาบาลเอกชน ที่ผู้ป่วยต้องชำระค่าใช้จ่ายเอง เป็นปัญหาที่ผู้เกี่ยวข้องเองก็ตระหนักถึง นพ.ปิยะวัฒน์ เด่นดำรงกุล คณะกรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยเคยให้ความเห็นว่า การรักษาผู้ป่วยซึมเศร้าต้องใช้เวลานานในการตรวจ ขณะที่มีคนไข้มารับการรักษาจำนวนมาก แต่จำนวนแพทย์มีจำกัดทำให้แพทย์ต้องบริหารเวลา ด้วยสภาวะที่มีผู้ป่วยแออัด คนไข้หลายคนจึงเลือกรักษากับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐมาก ขณะเดียวกันผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ตอบสนองต่อยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ต้องใช้ยาที่อยู่นอกบัญชีที่มีราคาสูง นพ.ปิยะวัฒน์เสนอว่า กระทรวงสาธารณสุขควรเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับกับปริมาณผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มากขึ้น และเพิ่มงบประมาณสายด่วนสุขภาพจิตเพื่อให้ผู้มีภาวะซึมเศร้าได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามยังมาจากค่ายานอกบัญชียาหลัก นพ.พนม เกตุมาน ที่ปรึกษาภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลให้สัมภาษณ์ในประเด็นการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าที่อยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติว่า การจ่ายยาของแพทย์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แพทย์บางคนใช้ยาในบัญชียาหลัก ซึ่งปัจจุบันมี 8 รายการ บางคนก็ชอบใช้ยานอกบัญชี จึงตอบยากว่า มีสัดส่วนเท่าใด สำหรับตนเองใช้ยาในบัญชีเป็นหลัก เพราะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยานอกบัญชีไม่เกินร้อยละ 5 ซึ่งจำเป็นต้องใช้ เพราะยาในบัญชีมีผลข้างเคียงหรือใช้ไม่ได้ผลเท่านั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ยาในบัญชียาหลักได้ แต่ก็เห็นว่า ควรเพิ่มยาในบัญชีหลักให้มากขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่สามารถใช้ยาในบัญชียาหลักได้ ค่าใช้จ่ายระหว่างยาในบัญชีกับนอกบัญชีต่างกันมากหลายเท่าตัว

นิมิตร์ย้ำ ต้องไม่มีส่วนต่างค่ายา 

นิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ย้ำหลักการว่า โรคซึมเศร้าเป็นสิทธิประโยชน์ในทุกระบบ ไม่ว่า ประกันสังคม บัตรทอง ข้าราชการ หมายความว่าถ้าเราป่วย สิทธิประโยชน์คือไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ารักษา

ส่วนกรณีที่ต้องใช้ยา หลักการคือ ยาที่ระบบจะจ่ายต้องเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก ซึ่งกลไกและกระบวนการพิจารณายาของบัญชียาหลักคือ หมอ กระทรวง กอง ที่ดูแลเรื่องนี้อยู่รวมถึงภาคประชาชน จะเสนอให้อนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณาว่า ยาตัวไหนที่ควรเข้ามาอยู่ในบัญชี โดยมีงานวิชาการเข้ามาซัพพอร์ต แล้วถ้าตัวไหนผ่านเข้าไป ก็จะอยู่ในสิทธิประโยชน์ เวลาเราป่วย หมอก็จะรักษาเราด้วยยาในบัญชียาหลัก เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างเรื่องยา

นิมิตร์ อธิบายต่อว่า กรณีที่เรามักได้ยินว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าบอกว่าค่ายาแพงมาก หมายความว่าน่าจะเป็นยานอกบัญชี พอเป็นยานอกบัญชี โรงพยาบาลก็จะเรียกเก็บเงิน ซึ่งมีทางเลือกสองทาง ทางที่หนึ่งคือ เราเจรจากับหมอให้เปลี่ยนยาให้ โดยเลือกยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก และอีกทางเลือก สำหรับผู้ป่วยในระบบบัตรทองและประกันสังคม คือผู้ป่วยต้องยืนยันสิทธิว่า ถ้าหมอผู้รักษา เป็นคนตัดสินใจใช้ยาตัวที่อยู่นอกบัญชียาหลักให้เรา โดยที่เราไม่ได้เป็นคนร้องขอ หลักการคือเราไม่ต้องจ่ายเงิน

"เพราะว่าเราเป็นผู้ป่วยและเราไม่รู้หรอกว่าการรักษาจะต้องใช้ยาตัวไหน คนที่รู้ คิดและตัดสินใจใช้ยา คือ หมอ เพราะฉะนั้น ระบบบอกไว้เลยว่า ถ้าเป็นแนวทางการรักษาของหมอที่จะตัดสินใจใช้วิธีรักษาเราแบบนี้ๆ มันอยู่ในสิทธิประโยชน์แม้ว่าจะอยู่นอกบัญชี

"หมอก็มีหน้าที่จ่ายยาแล้วไปอุทธรณ์กับระบบว่ายาตัวนี้มันสำคัญ จำเป็นต้องใช้ ไม่มีตัวเลือกอื่น แต่ราคาอาจจะแพงกว่า เพราะฉะนั้นก็ไปเคลมเงินเพิ่มกับระบบ ทีนี้ถ้าระบบถูกเคลมเงินเพิ่มจากยาตัวนี้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ คนจ่ายเงินคือ สปสช. หรือประกันสังคม ต้องเป็นคนเสนอยาตัวนี้เข้ามาให้กรรมการบัญชียาหลักพิจารณา เพื่อให้อยู่ในบัญชีเสีย เพราะถ้าใช้บ่อย เท่ากับว่ามีความสำคัญ จำเป็น"

นิมิตร์ เล่าว่า ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ไต ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งมีความเรื้อรังของโรค ต้องจ่ายค่ายาอยู่เรื่อยๆ พอได้รู้ข้อเท็จจริงนี้ก็พยายามยืนยันสิทธิและได้ผลพอสมควร แต่ยังไม่มากพอ เพราะบางคนก็กลัวว่าร้องเรียนไปจะถูกกลั่นแกล้ง ไม่รักษา

"นี่คือสารหลักที่เราส่งเสียงบอกกับผู้คนว่าเรามีสิทธิอย่างนี้นะ เพียงแต่ในทางปฏิบัติจริง ต้องแข็งแรงพอ เพราะมันต้องไปเผชิญหน้ากับห้องยา ห้องเก็บเงิน สมมติเราไปถูกเรียกเก็บเงินตรงห้องแล้วเราบอกไม่จ่าย แล้วขอให้เปลี่ยนเป็นบัญชียาหลัก ห้องเก็บเงินจะบอกว่าคุณต้องไปบอกกับหมอ พอจะกลับไปหาหมอ หมอที่ตรวจเราอาจจะออกเวรไปแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าหมอตรวจเสร็จแล้วบอกว่าเดี๋ยวจ่ายยาให้ ต้องต่อรองตรงนั้นเลยว่าเป็นยาอะไร ยาอยู่นอกบัญชีไหม มีตัวอื่นไหม ถ้ามีตัวในบัญชีหมอต้องเปลี่ยนเป็นตัวในบัญชีให้ เราไม่พร้อมจ่ายเงิน แล้วถ้าไม่มี หมอต้องเขียนไปว่าไม่มียาตัวอื่นให้เลือก เพราะฉะนั้น คุณเก็บเงินเราไม่ได้ ต้องต่อรองตั้งแต่ตอนอยู่กับหมอ พอเราแข็งขัน ยืนยันแบบนี้เขาก็ต้องยอม"

“ย้ำว่า ต้องไม่มีส่วนต่าง กรณีถือบัตรทอง เราจ่ายได้เต็มที่ 30 บาท ถ้าประกันสังคม ต้องไม่จ่ายเลย ถ้าถูกเก็บส่วนต่าง ต้องร้องเรียนและเอาเงินคืน แต่เบื้องต้นคือต้องไม่จ่าย”

ดูข้อมูลพื้นฐานได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-depression/

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘วันอาทิตย์สีดำ’ ปชช.ร่วมใส่เสื้อ-แว่นดำไว้อาลัยให้ความยุติธรรม รณรงค์จากสถานี BTS สยาม-หมอชิต

$
0
0

ปชช. ร่วมแฟลชม็อบ ‘วันอาทิตย์สีดำ’ ครั้งที่ 2 ภายใต้ชื่อ ‘รถไฟฟ้าสายสีดำ’ ใส่เสื้อ-แว่นดำ เดินทางจากสถานี BTS สยาม-หมอชิต เพื่อแสดงความไม่พอใจศาล รธน.มีวินิจฉัย ปมวาระนายกฯ 8 ปี ‘ประยุทธ์’

 

9 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (9 ต.ค.) สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด จัดกิจกรรมแฟลชม็อบ ‘วันอาทิตย์สีดำ’ ครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า ‘รถไฟฟ้าสายสีดำ’ ไว้อาลัยกระบวนการยุติธรรมไทยที่ได้จากไปในประเทศนี้ โดยเริ่มนัดหมายให้ประชาชนใส่เสื้อ-แว่นดำ และรวมตัว 13.00 น. ที่สถานี BTS สยาม

จากนั้น รณรงค์ตั้งแต่รถไฟฟ้า BTS ตั้งแต่สถานีสยาม ราชเทวี พญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สนามเป้า อารีย์ สะพานควาย และหมอชิต และกลับมาที่สถานีสยามอีกครั้ง โดยรูปแบบจะมีการเข้า-ออกทุกสถานี ทั้งขาไป-กลับ

ภาพถ่ายโดย 'แมวส้ม'

บรรยากาศการทำกิจกรรม มีประชาชนร่วมแต่งกายโดยใช้เสื้อสีดำ และติดสติกเกอร์ที่เสื้อว่า 'ไล่ประยุทธ์'ขณะที่มีประชาชนบางส่วนนำป้ายข้อความเชิงแสดงความไม่พอใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ มาชูด้วย 

ทั้งนี้ กิจกรรมเป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อ 30 ก.ย. 2565 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยมีมติเสียงข้างมาก 6:3 ให้เริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ 6 เม.ย. 2560 

ระหว่างทำกิจกรรม ผู้สื่อข่าวตระเวนสอบถามประชาชนหลายคนถึงเหตุผลที่มาร่วมกิจกรรม โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลตรงกันว่า เพราะไม่พอใจกับกระบวนยุติธรรมไทยในช่วงที่ผ่านมา 

‘เล็ก’ อายุ 34 ปี และผู้เข้าร่วมกิจกรรม มองกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมวาระ 8 ปี ‘ประยุทธ์’ ว่าเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปหมด เพราะเขาเขียนกติกาขึ้นมาเอง แต่กลับไม่ทำตาม และหาข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อ โดยเล็ก ทิ้งท้าย “ขอให้ศาลรับใช้ประชาชน”

ด้าน ‘นนท์’ ประชาชนวัย 24 ปี อีกหนึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า วันนี้มีเวลาว่าง และส่วนตัวเป็นคนเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่แล้ว จึงอยากมาช่วยแสดงออก 

นนท์ มองในทางเดียวกันว่า ความยุติธรรมในประเทศไทยมันไม่ยุติธรรม ซึ่งสะท้อนผ่านคำวินิจฉัยปมวาระ 8 ปี การดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมเรียกร้องให้ศาลควรยึดโยงอยู่กับประชาชนมากกว่านี้

“คุณต้องคำนึงถึงสิ่งที่คุณร่ำเรียนมา ที่คุณถูกสอนมาว่า ให้รับใช้ประชาชน คุณมีอำนาจชี้ขาดสิ่งต่างๆ ในประเทศนี้ คุณก็ควรคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เขาคาดหวังที่สิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ใช่รับใช้อำนาจของใครบางคน หรือบางกลุ่ม” นนท์ ทิ้งท้าย 

ขณะที่ ‘สิทธิ์’ คนเสื่อแดงอายุ 60 ปี และเป็นผู้ร่วมกิจกรรมวันนี้ (10 ต.ค.) มองว่า เขาร่วมกิจกรรมตั้งแต่สมัย ‘วันอาทิตย์สีแดง’ กับหนูหริ่ง (สมบัติ บุญงามอนงค์) เพื่อเป็นการแสดงออกเสรีภาพที่พึงมีพึงได้ของประชาชน

ภาพถ่ายโดย 'แมวส้ม'

"ในปัจจุบันเราถูกหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย พอมีกิจกรรมแนวนี้ขึ้นมาอีกรอบมันโดนใจครับผม"สิทธิ์ เสื้อแดง กล่าว

สิทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า "ขอเชิญพี่ๆน้องๆที่รักประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสื้อแดงก็มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน” 

อนึ่ง กิจกรรม ‘วันอาทิตย์สีแดง’ จัดโดยสมบัติ บุญงามอนงค์ เริ่มเมื่อปี 2553 เพื่อตอกย้ำไม่ให้ประชาชนหลงลืมเหตุการณ์ล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 90 ราย 

กิจกรรมแฟลชม็อบดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 15.00 น. ที่สถานี BTS สยาม ซึ่งเป็นสถานีเริ่มต้นทำกิจกรรม 

สมบัติ บุญงามอนงค์ กล่าวก่อนยุติกิจกรรมว่า เขาจะยกระดับการทำกิจกรรมเป็นการใส่เสื้อสีดำ ทุกวันอาทิตย์ จนกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะประกาศวันเลือกตั้ง 

“มันจะจุติโดยตัวมันเอง และตัวรูปแบบการใส่ชุดสีดำทุกวันอาทิตย์มันจะวิวัฒน์ไปโดยธรรมชาติ หลังจากที่มีคนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมแล้ว และต่างจังหวัด และต่างประเทศ หรือกลุ่มต่างๆ จะสามารถเขาจะออกแบบของเขาเอง แต่ในเริ่มต้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมวลชนจำนวนหนึ่งมาร่วมกิจกรรม สละเวลาสัปดาห์ละ 1-2 ชั่วโมง และก็มาร่วมกิจกรรมกัน” สมบัติ กล่าว พร้อมระบุว่าประกาศนัดหมายการทำกิจกรรมครั้งหน้าจะประกาศบนเพจเฟซบุ๊ก แต่ยืนยันว่าเน้นเสื้อสีดำเหมือนเดิม

สมบัติ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ที่มาที่ไปที่จัดกิจกรรม เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อศาลรัฐธรรมนูญ และอีกประการ คือเขาเตรียมตัวค่อยๆ ก่อหวอด ก่อพายุในการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเขาเรียกแฟลชม็อบวันนี้ว่าเป็นการ ‘ฟอร์มขบวน’ ขึ้นมาอีกที อาจจะไม่ได้เป็นม็อบเต็มรูปแบบ แต่ว่าจะใช้กิจกรรมรูปแบบนี้ส่งสัญญาณไปให้คนสามารถที่จะกระจายออกไปจากศูนย์กลาง (Decentralized) ในการร่วมกิจกรรมโดยการใส่เสื้อสีดำทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องมาร่วมกิจกรรมก็ได้ อาจจะอยู่ที่บ้าน หรือไปใช้ชีวิตประจำวัน 

สมบัติ มองต่อว่า ขณะนี้การชุมนุมการเมืองขนาดใหญ่อยู่ในกระแสอ่อนลงจริง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่ม็อบใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถดึงดูดคนให้มาร่วมกันได้ก่อน และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ม็อบใหญ่ควรจะเป็นช่วงสุดท้าย เช่น วันอาทิตย์สีดำ มันจะออกมาแบบท่วมเลย การจัดม็อบใหญ่ไม่ใช่ปัญหา แต่วันนี้เรากำลังหารูปแบบให้คนส่วนเกาะเกี่ยวและมีส่วนร่วม โดยการสวมเสื้อสีดำ มีความหมายเกี่ยวกับการต่อต้านเผด็จการทุกวันอาทิตย์

ส่วนเรื่องที่กิจกรรมนี้ท้ายสุดจะประสบความสำเร็จหรือไม่ บก.ลายจุด มองว่า ตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้น และต้องขายความคิด หรือค่อยๆ สื่อสารว่านี่เป็นรูปแบบทางการเมืองอย่างหนึ่งว่าใส่เสื้อสีดำทุกวันอาทิตย์มันได้ผล หรือล้มเผด็จการได้จริงหรือ มันมีพลังแรงงานกดดันจริงหรือ อันนี้มันต้องขายความคิด

ทั้งนี้ นี่เป็นครั้งที่ 2 ของกิจกรรม ‘วันอาทิตย์สีดำ’ จัดโดย บก.ลายจุด โดยครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อ 2 ต.ค.) สมบัติ และประชาชน ร่วมทำกิจกรรมที่สยามสแควส์ และมีการติดสติกเกอร์ระบุคำว่า “#ไล่ประยุทธ์” ที่แผ่นสังกะสีรอบพื้นที่ที่เคยมีโรงภาพยนตร์ ‘สกาล่า’  

ภาพบรรยากาศการทำกิจกรรม

ภาพถ่ายโดย 'แมวส้ม'

ภาพถ่ายโดย 'แมวส้ม'

ภาพถ่ายโดย 'แมวส้ม'

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

CNN ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ กรณีทีมข่าวเข้าไปในจุดเกิดเหตุ

$
0
0

CNN ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ กรณีทีมข่าวเข้าไปทำข่าวภายในจุดเกิดเหตุในศูนย์เด็กเล็กฯ จ.หนองบัวลำภู ย้ำกระทำไปด้วยเจตนาดี

9 ต.ค. 2565 BBC Thaiรายงานว่าจากกรณีนักข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเข้าไปรายงานภายในสถานที่เกิดเหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ ทำให้สังคมเกิดความไม่พอใจ และมีการแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจให้ดำเนินการตามกฎหมายในข้อหาบุกรุก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วันนี้ (9 ต.ค.) สถานีข่าว CNN ออกแถลงการณ์ถึงการรายงานจากภายในจุดเกิดโศกนาฏกรรมในจังหวัดหนองบัวลำพูของทีมข่าวซีเอ็นเอ็น ลงนามโดย ไมค์ แมคคาร์ธี รองประธานผู้บริหาร และผู้จัดการทั่วไป CNN International โดยอธิบาย ดังนี้

“ทีมข่าวได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ตรงจุดนั้นแล้ว เพื่อเข้าไปในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทีมข่าวเข้าใจแล้วในเวลานี้ว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สามารถให้อนุญาตเข้าพื้นที่ก่ออาชญากรรมได้ หากทีมข่าวตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ ว่าอาคารและห้องเรียนเหล่านี้ เป็นพื้นที่หวงห้าม ทีมข่าวจะไม่เข้าไป ทีมข่าวไม่มีเจตนาใด ๆ ที่จะก้าวล่วงกฎข้อบังคับ”

“ทีมข่าวเข้าไปในพื้นที่ผ่านประตูหน้าที่เปิดอยู่ ซึ่งมีนักข่าวอีกหลายคนอยู่ด้วย เวลานั้นไม่มีเทปของตำรวจปิดกั้นอยู่ โดยหลังทำข่าวด้วยความเคารพต่อสถานที่ภายในอาคารราว 15 นาที ทีมข่าวจึงออกมา แต่ประตูทางเข้าได้ถูกปิด และมีการใช้เทปตำรวจปิดล้อมแล้ว ทำให้ทีมข่าวต้องปีนออกมา”

“ทีมข่าวเข้าไปในอาคารด้วยเจตนาดี เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน และฉายภาพความเป็นมนุษย์แก่ผู้ชมถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น”

ตอนนี้ CNN ได้ระงับการเผยแพร่รายงานชิ้นดังกล่าว และถอดวิดีโอออกจากเว็บไซต์แล้ว "เราเสียใจต่อความกังวลใจและการก้าวล่วงใดๆ ที่รายงานของเราก่อขึ้น รวมถึงการทำให้ตำรวจไทยต้องเผชิญความยากลำบากในห้วงเวลาที่น่าสลดใจของประเทศชาติ"

สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ แถลงนักข่าว CNN ไม่มีเจตนาบุกรุกศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าช่วงค่ำวันนี้ (9 ต.ค.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ร่วมกันเปิดเผยถึงความคืบหน้า ภายหลังการสอบสวนขีอเท็จจริง กรณีนักข่าว CNN เข้าไปในศูนย์เด็กเล็กในสถานที่เกิดเหตุ และปีนรั้วข้ามออกมา ซึ่งถูกตั้งคำถามว่าเป็นการบุกรุกสถานที่ราชการ เเละเข้าข่ายสร้างความยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานทางคดี เเละถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมจากสื่อมวลชนไทย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบทั้ง 2 ยืนยันว่า ได้เข้าไปในศูนย์เด็กเล็ก ในขณะที่ประตูเปิดอยู่และไม่มีเชือกกั้นที่เกิดเหตุ อีกทั้งได้สอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ อสม. และได้รับคำตอบว่าเข้ามาได้จึงไม่เจตนา เเต่ช่วงที่ออกมาต้องปีนเพราะด้านหน้าปิดหมดเเล้ว

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ทั้ง 2 คนจะมีความผิดเกี่ยวกับวีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งจะเปรียบเทียบปรับคนละ 5,000 บาท เเละกลับประเทศทันที

นอกจากนี้ Ms.Anna Marguerite Coren นักข่าว เเละ Mr.Daniel John Hodge ช่างภาพ สัญชาติอังกฤษ เเถลงขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างมากกับคนไทย โดยเฉพาะกับครอบครัวผู้สูญเสีย และขอโทษหากไปตอกย้ำความเจ็บปวดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราเจตนา รวมทั้งขอโทษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรู้ว่าประเทศไทยกำลังผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายและช่วงเวลาที่เจ็บปวด

ขณะที่ต้นสังกัดจะลบคลิปที่เผยเเพร่ทั้งหมดทางเว็บไซต์

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ยืนยันว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นเเบล็คลิสต์ทั้ง 2 คน สำหรับการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ต้นทางจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ | หมายเหตุประเพทไทย EP.439

$
0
0

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ภาวิน มาลัยวงศ์ และชานันท์ ยอดหงษ์ อธิบายเรื่องจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ที่เริ่มต้นหลังการตัดสินคดีอาชญากรรมสงครามโลกครั้งที่ 2 กรณีห้องทดลองมนุษย์ของนาซี นำมาสู่ Nuremberg Code ที่การทดลองในมนุษย์ผู้ร่วมการทดลองต้องรับทราบและยินยอม และอีกกรณีหนึ่ง เมื่อมีการร้องเรียนกรณีการทดลองรักษาโรคซิฟิลิสที่เมืองทัสคีกี สหรัฐอเมริกา ระหว่าง ค.ศ. 1932-1972 โดยผู้ร่วมการทดลองไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ นำมาสู่ Belmont Report การตั้งหลักจริยธรรมในการทดลองกับมนุษย์ ที่จะต้อง1. เคารพในบุคคล2. มีคุณประโยชน์ไม่ก่ออันตราย และ 3. หลักความยุติธรรม ทั้งนี้หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ถูกนำมาปรับใช้กับการวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์อีกด้วย ติดตามทั้งหมดได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ICC ความยุติธรรมที่อยากเอื้อมให้ถึงแต่ไม่ถึงจนกว่าระบอบจะเปลี่ยนจากภายใน

$
0
0
  • วงเสวนาสะท้อนปัญหาที่ไทยยังไม่ได้เข้าร่วม ICC ว่าเป็นเพราะฝ่ายไทยมัวแต่กังวลว่าธรรมนูญกรุงโรมจะกระทบกับการคุ้มกันประมุขของประเทศตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่หลายประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์เหมือนกันและมีการคุ้มกันในลักษณะเดียวกันด้วยกฎหมายภายในก็ยังเข้าร่วมเป็นภาคี เนื่องจากการบริหารประเทศและผู้ที่มีอำนาจสั่งการจริงๆ เป็นของรัฐบาล
  • อย่างไรก็ตามถึงจะไม่ได้เข้าร่วมกับ ICC แต่ก็ยังสามารถใช้ข้อ 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรมเพื่อยื่นเรื่องต่อ ICC เพื่อพิจารณาเป็นรายกรณีเช่นส่งเพียงคดีที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมปี 53 อย่างเดียวก็ได้โดยไม่ต้องรับข้อ 27 ของธรรมนูญกรุงโรมที่ถอนการคุ้มกันประมุขของประเทศในรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการสั่งการต่างๆ และผู้ลงนามในประกาศและคำสั่งที่ใช้ในการสลายการชุมนุมเวลานั้นก็มีเพียงอภิสิทธิ์และสุเทพเท่านั้น
  • แต่ที่ผ่านมาการพยายามผลักดันเพื่อให้รัฐบาลไทยให้สัตยาบันในธรรมนูญกรุงโรมก็กลายเป็นประเด็นที่ใช้กล่าวหาผู้ผลักดันว่าต้องการล้มสถาบันฯ แม้ว่าการผลักดันเหล่านี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการลอยนวลพ้นผิดจากการก่ออาชญากรรมของรัฐไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุม ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้หรือแม้กระทั่งสงครามยาเสพติด
  • อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาลอยนวลพ้นผิดแม้จะต้องอาศัยเวลาในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่การผลักดันประเด็นการนำตัวคนผิดมาลงโทษก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มหลังผู้มีอำนาจยอมปล่อยมือหรือต้องนิรโทษกรรมกันก่อน อีกทั้งการปล่อยให้ผู้มีอำนาจที่ก่ออาชญากรรมเหล่านี้ไว้โดยไม่ทำอะไรอาจทำให้พวเขากลับมาสู่วงจรอำนาจอีกครั้ง เช่น ที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2565 ผ่านมาที่แกลอรี่ กินใจ คอนเทมโพราลี่ ในงานนิทรรศการ “6 ตุลาฯ เผชิญหน้าปิศาจ” มีเสวนาเปิดนิทรรศการในหัวข้อ “ICC กับความยุติธรรมที่ยังเอื้อมไม่ถึง” ที่ได้กล่าวย้อนถึงปัญหา ข้อติดขัดที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนที่ไทยไม่สามารถนำเรื่องการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศหรือInternational Criminal Court (ICC) ได้ รวมถึงข้อโต้แย้งสำคัญของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในเวลานั้นคือจะกระทบต่อรัฐธรรมนูญไทยที่ให้การคุ้มกันกษัตริย์ที่เป็นประมุขของประเทศจะละเมิดและฟ้องร้องไม่ได้ทำให้ไทยไม่ได้ให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมที่เท่ากับเป็นการยอมรับเขตอำนาจของ ICC และยังกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อผู้ผลักดันเรื่องนี้ว่าต้องการจะล้มสถาบันฯ

ในการเสวนาครั้งนี้ได้อธิบายขั้นตอนต่างๆ ทั้งการเข้าร่วม ICC หรือการยื่นเรื่องเฉพาะกรณีที่ยุ่งยากน้อยกว่า ไปจนถึงความไม่สมเหตุสมผลของข้อโต้แย้งต่างๆ ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมใช้โต้แย้งและขัดขวางการเข้าร่วมกับระบบที่อารยประเทศต่างก็เข้าร่วม

ผู้เข้าร่วมเสวนาครั้งนี้บางรายเคยอยู่ในการถกเถียงและผลักดันให้ไทยเข้าสู่ร่วมกับ ICC มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วทั้งปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าที่ในเวลานั้นยังเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) หรือที่เรียกว่าคนเสื้อแดง พวงทอง ภวัครพันธ์ุ นักวิชาการที่ร่วมทำงานกับศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 (ศปช.) และเข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

12 ปี ที่ไม่คืบหน้าของคดีสลายชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53

พวงทอง ภวัครพันธุ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 (ศปช.) เริ่มการเสวนาโดยการสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 53 ว่า การตายที่เกิดขึ้น 94 ศพในวเลานั้นเป็นประชาชน 84 คนและเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 10 คน ตามรายงานของ ศปช. ซึ่งประเด็นเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นเพื่อนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชนมาดำเนินคดี

พวงทอง ภวัครพันธุ์

เวลานั้นฝ่ายประชาชนก็ยืนยันว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ส่วนรัฐบาลก็กล่าวหาว่ามวลชนมีอาวุธมีชายชุดดำแล้วรัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ขึ้นมาและออกรายงานที่เน้นไปในการชี้ตัวชายชุดดำและไม่กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ และสื่อมวลชนเวลานั้นก็รายงานว่ามวลชนเสื้อแดงเป็นผู้ใช้ความรุนแรง ไม่มีการเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐหรือทหารที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตมาดำเนินคดี ขณะเดียวกันก็เกิด ศปช.ขึ้นมาทำรายงานที่นำเสนอข้อมูลตรงกันข้ามว่าผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตทั้งหมดไม่มีใครเลยที่มีอาวุธปืนในมือที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐได้ และในขณะที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลคดีการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นกว่า 90 ศพก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

แต่ก่อนการรัฐประหารปี 2557 คดีของผู้เสียชีวิตบางรายได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนการตายที่เป็นขั้นตอนในการชี้ว่าการตายเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีคดีที่ศาลระบุว่าเกิดจากกระสุนที่ยิงมาจากทหารแล้วอย่างน้อย 17 คน แต่ก็ยังไม่ใช่กระบวนการพิจารณาคดีที่มีการตัดสินว่าเจ้าหน้าที่กระทำความผิดเนื่องจากการพิจารณาคดีอาญาจะต้องไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลอาญาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษก็นำคดีของผู้เสียชีวิตทั้ง 17 คนนี้ทำสำนวนร่วมกับอัยการเพื่อฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ในคดีร่วมกันก่อหรือร่วมกันใช้ให้ผู้อื่นฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่า ศาลอาญาก็รับฟ้องแต่คดีจบไปเมื่อหลังการรัฐประหารโดย คสช. จากที่ศาลรับฟ้องเอาไว้ก็มีความเห็นตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ว่าคดีไม่ได้อยู่ในอำนาจของตัวเอง แล้วก็ส่งคดีไปที่ ปปช.เพราะศาลเห็นว่าทั้งอภิสิทธิ์และสุเทพใช้อำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ไม่ใช่การกระทำความผิดทางอาญาโดยส่วนตัว

“พูดง่ายๆ ว่าศาลลดระดับความรุนแรงของคดีอาญามาเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความรุนแรงลดลงทันที พูดง่ายๆ ว่าสามเดือนให้หลังศาลอาญาโยนทิ้งออกจากศาลไปให้ ปปช. ก็พอคาดเดาได้ว่า ปปช.จะมีคำตัดสินอย่างไร ปปช.ตัดสินว่าไม่มีความผิดโดยไม่มีการเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น”

อย่างไรก็ตามญาติของผู้เสียชีวิตและ นปช.ก็พยายามสู้ต่อยื่นอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่ศาลก็ยืนตามศาลชั้นต้นว่าศาลอาญาไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ เท่ากับว่าการดำเนินคดีด้วยกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศมาถึงทางตัน แต่ก่อนที่คดีปี 53 จะมาถึงทางตันความพยายามจากกลุ่มบุคคลที่ธิดา ถาวรเศรษฐ์ในฐานะที่เป็นประธาน นปช. และพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด ผู้เสียชีวิตจากการถูกทหารยิงในวัดปทุมวนาราม ธงชัย วินิจกุล และโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ขอเข้าพบอัยการของ ICC เพื่อขอให้เข้ามาสอบสวนกรณีนี้หลังจากไปเข้าพบอัยการก็ตอบรับและบอกว่ากรณีสลายชุมนุมปี 53 นี้เข้าข่ายที่ ICC จะพิจารณาได้ และอัยการของ ICC ก็เดินทางเข้ามาพบและบอกกับสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้นว่า ICC สามารเข้ามาดำเนินการได้ถ้ารัฐบาลไทยให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรม แต่การให้สัตยาบันก็ไม่เกิดขึ้นจนกระทั่ง คสช.ทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการพูดคุยกันต่อ

เมื่อสถาบันฯ ไม่ได้ใช้อำนาจบริหารด้วยตัวเองก็ไม่เกี่ยว

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อธิบายถึงวิธีการส่งเรื่องให้ ICC พิจารณามี 4 วิธีคือ

  1. ไทยเป็นรัฐสมาชิกโดยการให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคี รัฐที่เป็นสมาชิกก็สามารถส่งเรื่องได้ทันที

  2. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงก็เข้ามาจัดการส่งเองแม้ว่ารัฐนั้นจะไม่ได้เป็นสมาชิกเช่นกรณีในลิเบียและอูกันด้า

  3. ทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลเป็นรายกรณีเฉพาะช่วงเวลาโดยอาศัยข้อ 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรม เช่น กรณีของไอวอรี่โคสต์

  4. อัยการของ ICC ใช้อำนาจเปิดกระบวนวิธีพิจารณาคดีด้วยตัวเอง เช่นกรณีของเคนยา

ปิยบุตร แสงกนกกุล

เลขาฯ คณะก้าวหน้าอธิบายปัญหาของแต่ละช่องทางว่า สำหรับไทยที่เป็นรัฐสมาชิกเพราะเคยลงนามเอาไว้แต่ไม่ได้ให้สัตยาบันทำให้ไทยไม่สามารถส่งเรื่องอะไรไปที่ ICC ได้เลย ส่วนกรณีที่ UNSC เข้ามาจัดการด้วยตัวเองก็เป็นกรณีที่ UNSC เห็นว่าร้ายแรงจริงๆ ถึงขนาดที่เขาจะเปิดกระบวนพิจารณาเองเหมือนกรณีตัวอย่างที่ตายกันเป็นพันเป็นหมื่นแล้วกรณีที่ UNSC เข้าไปพัวพันเองก็เป็นกรณีที่ส่งผลระดับการเมืองระหว่างประเทศด้วยเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตของประเทศที่ร่วมอยู่ใน UNSC

อย่างไรก็ตามยังมีช่องทางให้ใช้ได้คือการใช้ ข้อ 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรม ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจของศาลได้ ซึ่งมีข้อดีคือต่อให้รัฐบาลประเทศไทยยังไม่ให้สัตยาบันด้วยข้ออ้างต่างๆ ก็ใช้ข้อนี้ได้ และยังใช้กับกรณีที่เกิดขึ้นก่อนรัฐบาลจะให้สัตยาบันได้ เพราะต่อให้รัฐบาลยอมให้สัตยาบัน ณ ปัจจุบันนี้เขตอำนาจของศาลก็จะครอบคลุมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังให้สัตยาบันโดยไม่ย้อนหลังกลับไปครอบคลุมเหตุการณ์ปี 2553 โดยทันทียกเว้นแต่จะมีการประกาศใช้ข้อ 12(3) เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถใช้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 ได้เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการประกาศใช้ธรรมนูญกรุงโรมเมื่อ 1 ก.ค.2545

ส่วนช่องทางที่สี่ที่อัยการ ICC จะเป็นฝ่ายเปิดกระบวนการพิจารณาเองก็ยังติดประเด็นเรื่องที่รัฐบาลไทยยังไม่ให้สัตยาบัน

“ผมเสนอแบบนี้ตรงไปตรงมา ปีหน้าจะเกิดการเลือกตั้งแน่นอนถ้าไม่มีอุบัติเหตุบ้าๆ บอๆ เสียก่อน ทีนี้พอช่วงการเลือกตั้งเกิดขึ้นก็จะมีการรณรงค์หาเสียงกัน ฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศไทยให้สัตยาบัน ICC ควรจะเรียกร้องตรงไปตรงมา” เลขาฯ คณะก้าวหน้าเสนอพร้อมกับอธิบายกระบวนการอีก 3 ข้อ

  1. รัฐบาลไทยให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมทันที เพื่อที่ต่อไปในอนาคตถ้ามีเหตุการณ์สลายการชุมนุมอีก มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติโดยรัฐบาลไทยความผิดเหล่านี้ก็จะสามารถนำเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศไทยได้

  2. รัฐบาลประกาศยอมรับอำนาจศาลตามข้อ 12 (3) เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องที่เกิดในอดีต โดยรัฐบาลสามารถเลือกเหตุการณ์อื่นๆ ได้โดยไม่จำเพาะเจาะจงกับเหตุการณ์พฤษภา 53 แต่จะรวมถึงความรุนแรงที่เกิดใน 3 จังหวัดชายแดนใต้หรือสงครามยาเสพติดก็ได้ โดยเขายกตัวอย่างกรณีที่เกิดกับดูเตอเต้ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่มีการใช้นโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงก็เป็นกรณีที่มีการส่งเรื่องถึง ICC แล้วเช่นกันและ ICC ก็กำลังสืบสวนอยู่ นอกจากนั้นยังมีกรณีของไอวอรี่โคสต์ และโกตดิวัวร์ด้วย ที่ประกาศยอมรับข้อ 12(3) โดยมีเพียงรัฐมนตรีเซนยอมรับเพียงคนเดียว การประกาศยอมรับนี้จึงไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลประกาศยอมรับแต่เป็นระดับรัฐมนตรีเซนเองเพียงคนเดียวก็ได้ ซึ่งตัวเขาเองเคยพยายามผลักดันเรื่องนี้กับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ก่อนเกิดการรัฐประหาร 2557 แล้วแต่ตอนนั้นรัฐมนตรีของพรรคก็ไม่ได้ทำ

  3. พรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลชุดหน้าให้ใช้เสียงข้างมากออกกฎหมายใหม่หรือแก้กฎหมายอาญาเดิมให้มีฐานความผิดระหว่างประเทศทั้ง 4 ฐานเข้าไปในกฎหมายไทย ได้แก่ อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรสงคราม และการรุกราน แต่ไม่เคยมีการถกเถียงเรื่องการแก้กฎหมายไทยนี้มีแต่การพูดกันว่ารับกฎหมายจากข้างนอกมาแล้วจะใช้ได้อย่างไร ดังนั้นสภาก็ผลักดันแล้วแก้กฎหมายได้และการทำแบบนี้ก็คือการปรับแก้กฎหมายภายในให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่รัฐไทยเข้าเป็นภาคีจึงมีความชอบธรรมสูงมาก

“ที่เรานั่งคุยกันว่า 53 ได้มั้ย 3 จังหวัดได้มั้ย สงครามยาเสพติดได้มั้ย เรื่องนี้ส่งไปเลยครับแล้วไปลุ้นกันอีกทีว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับหรือไม่รับ แต่อย่างน้อยมันส่งได้แล้ว ส่งไปแล้วศาลอาญาระหว่างประเทศเขาจะมีเงื่อนไขอื่น เช่น กระบวนการยุติธรรมภายในประเทศยังทำงานอยู่หรือเปล่าถ้ายังดำเนินการอยู่ก็จะต้องรอให้จบก่อน หรือไม่ร้ายแรงเพียงพอเขาอาจจะไม่รับก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดให้เขาเป็นคนบอกไม่ใช่พวกเราเป็นคนปฏิเสธไม่ไปเอง”

ทั้งนี้พวงทองได้ขอให้ปิยบุตรอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่เคยเป็นข้อถกเถียงในการไม่ให้สัตยาบันรับธรรมนูญกรุงโรมของรัฐบาลไทยเพราะจะกระทบต่อสถาบันกษัตริย์เพราะธรรมนูญกรุงโรมได้ครอบคลุมถึงกษัตริย์ประมุขของประเทศไทย

เลขาฯ คณะก้าวหน้าตอบประเด็นนี้ว่า ธรรมนูญกรุงโรมเองมีความพยายามแก้ปัญหากรณีที่ผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้นำเผด็จการที่มักออกกฎหมายมาคุ้มครองตัวเอง ดังนั้นธรรมนูญกรุงโรมข้อ 27 จึงกำหนดว่าต่อให้กฎหมายภายในของรัฐสมาชิกทั้งหลายเขียนคุ้มกันไม่ให้ดำเนินคดีเอาไว้ แต่เมื่อต้องมาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศจะถูกปลดการคุ้มกันทางกฎหมายทั้งหมด

ประเด็นข้างต้นนี้กลายเป็นปัญหาในไทยเพราะว่าเมื่อตอนปี 2555 สุนัย จุลพงศธร กรรมาธิการระหว่างประเทศในเวลานั้นได้เชิญข้าราชการจากกระทรวงต่างประเทศมาพูดเรื่องนี้ ทางฝ่ายข้าราชการก็บอกว่ารับธรรมนูญกรุงโรมไม่ได้เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 ที่บัญญัติว่ากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะจะละเมิดมิได้เนื่องจากข้อ 27 จะปลดสถานะคุ้มกันของกษัตริย์ กษัตริย์ก็จะเดือดร้อน

“ให้เหตุผลอย่างนี้ไม่เป็นคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะข้อที่ 1 รัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขทั่วโลกส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดลงนามกับ ICC หมดเลยขนาดเพื่อนบ้านเรากัมพูชาซึ่งเคยมีเหตุการณ์ความรุนแรงบ่อยครั้ง ตายมากกว่าเราแน่ๆ ตายเป็นเบือ เขาก็มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเขายังลงนามเลย”

“ข้อที่สองให้เหตุผลแบบนี้มันพิศดารในทางกลับกันจะกระทบต่อตัวสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะอะไร สาเหตุที่หลายรัฐเขาไปลง ก็เพราะว่าระบอบสถาบันกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแต่ละที่ก็เขียนแบบนี้ว่าพระมหากษัตริย์ละเมิดมิได้ นั่นหมายถึงว่าดำเนินคดีพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ได้ใช้อำนาจเอง”

ปิยบุตรยกตัวอย่างว่าถ้าในประเทศเหล่านี้มีรัฐบาลชุดหนึ่งไปก่อกรรมทำเข็ญกับมวลราษฎร ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไปก่ออาชญากรรมสงครามกับประเทศอื่นซึ่งเป็นความผิดในฐานความผิดที่กำหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรม สถาบันกษัตริย์ก็ไม่ต้องมารับผิดชอบ รัฐบาลที่ก่อเหตุก็ไปรับผิดชอบกันเองสถาบันไม่เกี่ยวด้วย แต่การที่ฝ่ายรัฐคอยแต่บอกว่าข้อ 27 ธรรมนูญกรุงโรมขัดกับรัฐธรรมนูญไทยคนก็จะตั้งคำถามว่าสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องหรือไม่

“ผมเลยแปลกใจว่าคนที่ประกาศตัวว่าจงรักภักดี พวกนี้ให้เหตุผลอันตรายนะ” เขาตั้งคำถามกลับว่าคนที่ยกประเด็นเรื่องข้อ 27 ในธรรมนูญกรุงโรมขึ้นเพราะไม่รู้ว่าสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่อย่างไร อีกทั้งประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์อื่นๆ ที่รับธรรมนูญกรุงโรมกันเพราะเขาก็มั่นใจว่าสถาบันกษัตริย์ของประเทศเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้วแต่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเอง ดังนั้นการยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างเพื่อไม่ยอมรับธรรมนูญกรุงโรมก็ยิ่งทำให้คนคิดว่าตกลงแล้วรัฐบาลหรือสถาบันกษัตริย์ที่เป็นคนใช้อำนาจกันแน่

ปิยบุตรเล่าย้อนไปว่าเมื่อ 10 ปีก่อนที่อัยการจาก ICC มาที่ประเทศไทยก็เคยเล่าถึงคำตอบของกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ยกเหตุผลเหล่านั้นมาเพื่อไม่รับธรรมนูญกรุงโรมและทางอัยการยังตั้งถามว่ากษัตริย์ของไทยใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินด้วยตัวเองใช่หรือไม่

พวงทองอธิบายเพิ่มว่าสำหรับกรณีสลายชุมนุมปี 53 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ก็ถูกตั้งขึ้นมาตามคำสั่งของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้มีการลงพระปรมาภิไธย สุเทพ เทือกสุบรรณก็เป็นผู้ที่ลงนามในคำสั่งใช้กำลังโดยไม่มีการลงพระปรมาภิไธยจึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ปิยบุตรกล่าวเสริมว่า ตอนที่เขาตั้งพรรคอนาคตใหม่แล้วเอาข้อเสนอข้างต้นทั้งสามข้อมาเป็นนโยบายของพรรค กลับถูกณฐพร โตประยูร นำเรื่องนี้ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคด้วยว่าพรรคอนาคตใหม่จะล้มล้างการปกครองจากการจะไปรับเขตอำนาจ ICC แม้สุดท้ายพรรคอนาคตใหม่จะไม่ได้ถูกยุบเพราะเรื่องนี้ก็ตาม

ถ้ายื่นเฉพาะเรื่องสลายชุมนุม 53ไม่จำเป็นต้องให้สัตยาบัน

ธิดา ธาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ เล่าถึงความพยายามในการผลักดันให้การสลายชุมนุมปี 53 ได้รับการพิจารณาคดีโดย ICC ตอนนั้นว่าเพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดซ้ำขึ้นอีกแล้วคนที่ฆ่าประชาชนก็ลอยนวลพ้นผิดได้รับการนิรโทษกรรมคนลงมือก็จะย่ามใจเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ

ธิดา ธาวรเศรษฐ

แกนนำ นปช.เล่าว่าตอนนั้นธงชัย วินิจกุลยังได้ส่งจดหมายถึง ICC เพื่อขอร้องให้อย่ามองแค่เรื่องจำนวนคนตายที่อาจไม่ได้มากเหมือนในประเทศอื่นๆ แต่ในไทยยังเกิดการกระทำซ้ำๆ หลายครั้งและเกิดกับประชาชนที่ยังไม่ได้ตายไปด้วย

ธิดาเล่าต่อว่านับตั้งแต่เธอได้เป็นประธาน นปช.ตอนธันวาคมปี 2553 ก็ได้ส่งจดหมายไปเพื่อขอให้ ICC เข้ามาสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เพราะเกิดการเสียชีวิตเกือบร้อย บาดเจ็บกว่าสองพันคนและมีการจับคนไปคุมขังเป็นจำนวนมากหลักพันคนซึ่งตอนนั้นการให้ความช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความที่คอยส่งจดหมายถึง ICC เป็นระยะเพื่อให้อัยการรับเรื่อง สุดท้ายแล้วฟาตู เบนโซดา(Fatou Bensouda) อัยการของ ICCก็เดินทางมาประเทศไทยแล้วเข้าพบและพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย

ธิดาตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ทั้งรัฐมนตรีและไทยเองเวลานั้นคงยังสับสนว่าการรับเขตอำนาจศาล ว่าการยืนเรื่องพิจารณาเฉพาะเรื่องตามข้อ 12(3) ไม่ต้องให้สัตยาบัน แล้วประชาธิปัตย์เองก็เคยร้องเฉพาะเรื่องสงครามปราบยาเสพติด แต่ทาง ICC จะรับเรื่องกรณีสลายชุมนุมไว้ เธอกับธงชัยจึงเดินทางไปพบเพื่ออธิบายให้กับ ICC เข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พวงทองถามเพิ่มเติมว่าตอนที่ดำเนินการเรื่องนี้มีการปรึกษากับทางพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่ประธาน นปช.ตอบว่าไม่ได้ปรึกษา แล้ว นปช.ก็ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย แต่ตอนไปก็ได้รับความช่วยเหลือจากทนายความอัมสเตอร์ดัมแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือสนับสนุนอะไรมากนัก

ส่วนเรื่องที่เบนโซดาได้คุยกับสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุลนั้น ธิดาบอกว่าแม้จะไม่ได้เข้าไปคุยด้วยแต่เบนโซดาก็มาเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่คุยกันว่าได้อธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ ในการนำเรื่องเข้าสู่ ICC ให้แก่สุรพงษ์ฟังว่าสามารถใช้ข้อ 12(3) ได้โดยไม่ต้องให้สัตยาบันและไม่ต้องกังวลประเด็นเรื่องกษัตริย์จะถูกดำเนินคดีด้วยเพราะไม่เกี่ยวเลย แต่ให้เอาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมอย่างเดียวอีกทั้งศาลไทยก็ยังทำงานต่อไปได้แต่ถ้าศาลไทยไม่ทำเรื่องนี้ ICC ก็จะเข้ามาทำแทน

ธิดากล่าวถึงอุปสรรคในรัฐธรรมนูญของไทยว่า ข้อความที่ว่ากษัตริย์จะละเมิดมิได้ที่อยู่ในมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้แต่เดิมไม่เคยมีข้อความที่ว่าจะฟ้องร้องกษัตริย์ไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2475 แต่ถูกเพิ่มเข้ามาในฉบับ 2492 และมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็กลัว

“แม้กระทั่งใกล้วันรัฐประหารคุณหมอเหวง(โตจิราการ) โทรไปขอร้อง(สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล) ว่านี่อีกไม่กี่วันเขาทำรัฐประหารแน่นอน คุณช่วยกรุณาได้มั้ยเซนซะหน่อย คำตอบก็ไม่มี แต่ความคิดของดิฉันคือเขาเกรงว่าธรรมนูญกรุงโรมข้อ 27 จะไปมีปัญหากับมาตรา 6” และตั้งข้อสังเกตุว่าสังคมไทยกลัวมากกับเรื่องกษัตริย์ไทยจะถูกฟ้องร้องใช่หรือไม่

อย่างไรก็ตามธิดาก็บอกว่าสำหรับมาตรา 12(3) เป็นการยื่นเรื่องเฉพาะกรณีที่มีแค่อภิสิทธิ์และสุเทพไม่ได้เกี่ยวกับประมุขของประเทศเลยตามที่ปิยบุตรอธิบายไว้ แล้วต่อมาทางทนายความอัมสเตอร์ดัมก็ค้นพบว่าอภิสิทธิ์ยังมีสัญชาติอังกฤษแล้วไม่ได้ถอนซึ่งถือว่าเป็นรัฐภาคีในธรรมนูญกรุงโรมซึ่งเขาเห็นว่าฟ้องได้แต่สุเทพยังฟ้องไม่ได้เพราะไม่ได้มีสัญชาติอื่นที่อยู่เป็นรัฐภาคีแบบอภิสิทธิ์

“เราทำการบ้านกันมาหมดแล้วว่าฟ้องอภิสิทธิ์ได้ นอกจากนั้นก็เป็นศาลเสริม คุณเบนโซดาก็บอกว่าขอให้ได้นับหนึ่งเปิดประตูแล้วมันยังใช้เวลาอีกนานถ้ามีกฎหมายอะไรที่ไม่สอดคล้องมันยังมีเวลาจัดการได้ และขอให้รัฐไทยหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเซนรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีปี 53 ก่อนเลย”

พวงทองถามธิดาในฐานะประธาน นปช.ว่าขณะนี้เป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง นปช.ที่เป็นพลังสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งด้วยจะทำอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

ธิดาตอบประเด็นนี้ว่าไม่ได้คิดว่า นปช.ยังมีภาวะการนำในลักษณะที่เป็นองค์กรแล้ว แล้วแกนนำเดิมของ นปช.เองก็แยกย้ายไปแล้ว แต่ที่ผ่านมาตอนที่ นปช.ยังมีโรงเรียนการเมืองอยู่ก็ได้สร้างประชาชนให้เข้าใจว่าทำงานการเมืองนอกรัฐสภาไปเพื่ออะไรส่วนการเมืองในสภาประชาชนเหล่านี้ก็เลือกเพื่อไทยหรือบางส่วนก็มาก้าวไกลแล้วก็มีโดยที่พวกเขาไม่ไปเลือกคนอื่นสำหรับเธอทำได้แค่นี้ก็เป็นเรื่องน่าดีใจแล้ว เรื่องนี้สำหรับตัวเธอเองแล้วก็สามารถพูดแทนแกนนำอื่นๆ หรือสมาชิก นปช.ได้ แต่ในเมื่อองค์กร นปช.ไม่ได้มีการประชุมแล้วภาวะการนำในฐานะองค์กรก็ไม่มีแล้ว

ทั้งนี้ธิดามีข้อเสนอคล้ายกับปิยบุตรแต่มองว่าให้พรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลยอมรับเฉพาะข้อ 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรมเพื่อให้ ICC เข้ามาพิจารณาเฉพาะกรณีสลายการชุมนุมปี 53หรือจะส่งกรณีอื่นๆ ด้วยก็ทำได้ง่ายกว่าขั้นตอนอื่นๆ จึงควรทำเป็นอย่างแรกเพื่อไม่ให้เกิดการฆ่าประชาชนโดยรัฐอีก

อดีตประธาน นปช. กล่าวถึงข้อเสนอข้อที่สองที่เธอมองว่าทำได้ยากกว่าคือ พรรคการเมืองต้องแก้กฎหมายภายในต่างๆ ให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงสอดคล้องกับธรรมนูญกรุงโรมด้วยและการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 6 ในส่วนที่มีการเพิ่มประเด็นห้ามฟ้องร้องกษัตริย์เข้ามาภายหลังนี้ด้วย

“คือเราชูธงด้านบวกถ้าคุณอยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบสากลคุณต้อง แก้กฎหมายให้สอดคล้อง นี่ไม่ได้พูดเรื่องไปล้มสถาบันไหนเลย” ธิดาย้ำก่อนจะกล่าวถึงข้อเสนอข้อที่สามคือให้สัตยาบันกับธรรมนูญกรุงโรมเพราะกว่าจะทำได้ก็ต้องแก้ข้อสองก่อนด้วยและเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความร่วมมือกันในการผ่านความคิดของฝ่ายจารีตไปให้ได้

ธิดากล่าวว่าสำหรับเธอแล้วยินดีสนับสนุนเต็มที่และขอให้มีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะแค่ตัวเธอเองส่งเสียงถึงพรรคการเมืองก็ยังคงไม่ได้มีน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ก็ยังต้องตั้งคำถามต่อพรรคการเมืองที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ตามข้อเสนอที่สองที่ได้เสนอไป

“คนทั้งโลกเข้าตกลงกันอย่างนี้เราจะเห็นด้วยไหม พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนจะเห็นด้วยไหมหรือว่าอยากเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็บอกมา” ธิดากล่าวถึงการรณรงค์เพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้คนที่มีความคิดก้าวหน้าได้เข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญ

การเอาผิดอาชญากรรมโดยรัฐต้องใช้แรงและเวลาเปลี่ยนแปลงระบอบจากภายใน

เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มด้วยการกล่าวถึงอุปสรรคใหญ่ในการเอาผิดอาชญากรรมโดยรัฐมีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกก็คืออายุความที่พอหมดแล้วก็จะไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ก็จะเหลือแต่ประเด็นทางศีลธรรมของคนทำ

เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง

อุปสรรคต่อมาคือการคุ้มกันใน 2 แบบ แบบแรกคือประมุขของรัฐจะได้รับการคุ้มกันจะไม่ถูกจับกุมแม้ว่าจะไปอยู่ในดินแดนอื่นซึ่งลักษณะนี้เป็นการคุ้มกันระหว่างประเทศ อีกแบบคือการคุ้มกันด้วยกฎหมายภายในประเทศที่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม

เข็มทองยกตัวอย่างกรณีที่ทำให้เห็นว่าอุปสรรคเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยระบบที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยยกกรณีของประเทศชิลีที่สามารถเอาผิดเอากุสโต ปิโนเช ผู้นำเผด็จการชิลีช่วงปีค.ศ. 1973-1990 ที่เป็น 1 ในรัฐเผด็จการในละตินอเมริกาที่ได้รับการสนับสนุนจากปฏิบัติการคอนดอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดการซ้อมทรมานและบังคับสูญหายประชาชนเป็นจำนวนมากอย่างเป็นระบบ

“มันไม่ใช่เรื่องของตำรวจไม่กี่คน แต่มันเป็นเรื่องขององคาพยพทหารตำรวจทั้งหมด รวมทั้งศาลช่วยเหลือด้วย ไปฟ้องศาลในช่วงนั้นว่ามีคนถูกอุ้มหายสูญหายขอให้ศาลออกหมายเรียกผู้ที่ถูกตำรวจอุ้มไป ศาลไม่ให้เพราะศาลบอกไม่มีหลักฐาน”

หลังจากเหตุการณ์แบบนี้ดำเนินไปตลอดช่วงที่ปิโนเชมีอำนาจจนกระทั่งหมดอำนาจรวมเป็นเวลา 17 ปี แต่เมื่อปิโนเชหมดอำนาจลงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าระบอบของปิโนเชหมดลงไปทันทีแต่ยังมีอิทธิพลอยู่ จนกระทั่งถึงช่วงปี 1998-1999 ที่ปิโนเชเดินทางจากชิลีไปรักษาตัวที่อังกฤษแล้วศาลสเปนออกหมายจับและศาลอังกฤษรับว่ากรณีของปิโนเชนี้อยู่ในเขตอำนาจสากล(Universal Jurisdiction) และทำการจับกุมปิโนเช

เข็มทองอธิบายว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะปิโนเชเองเป็นอดีตประมุขของรัฐที่ได้รับการคุ้มกันที่จะไม่ถูกจับ แต่ก็ถูกอังกฤษจับในฐานะที่ก่ออาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะหลุดกลับไปชิลีได้แต่ชิลีก็ทำการสอบสวนต่อแต่สุดท้ายแล้วปิโนเชก็ตายก่อนถูกเอาผิด

“แต่การจับปิโนเชเป็นการขยับหมุดหมายทางการเมืองที่ขยับอะไรบางอย่างในวงการตุลาการของชิลี” เขาอธิบายว่าหลังจากปิโนเชหมดอำนาจไปแล้วเป็นเวลาเกือบสิบปีที่ไม่ถูกดำเนินคดีอะไรเลยจนกระทั่งถูกจับในอังกฤษทำให้เกิดความพยายามอีกรอบชิลีแล้วเกิดการเปลี่ยนทิศทางในแวดวงตุลาการของชิลีเอง ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาที่ศาลภายในประเทศชิลีมีคำวินิจฉัยออกมาเองโดยข้ามประเด็นเรื่องอายุความไป

“ศาลบอกเลยว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ออกมามันใช้ไม่ได้ แล้วก็เริ่มมีการเอาผิดทหาร เร็วๆ นี้ก็มีการเอาผิดผู้พิพากษา ปี 2013 ประธานศาลฎีกาเองก็ออกมาขอโทษประชาชนยอมรับว่าในช่วงของเผด็จการยาวนาน 10 กว่าปี สถาบันตุลาการไม่ได้ทำหน้าที่สำคัญที่สุดของตัวเองก็คือเป็นผู้ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน อันนี้คือศาลยอมรับผิดด้วย”

เข็มทองอธิบายปรากฏการณ์ในชิลีนี้ว่านอกจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดจากการสิ้นสุดของยุคสมัยหลังปิโนเชถูกจับกุม แต่กว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงก็มีความพยายามและการทำงานอย่างหนักภายในประเทศที่มีทั้งการเปลี่ยนแปลงภายในระบบตุลาการเมื่อเกิดการตรวจสอบประวัติของผู้พิพากษาว่าใครเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง ทำให้ผู้พิพากษาหลายคนต้องรีบลาออกก่อนเพราะรู้ตัวว่าสมัยปิโนเชตัวเองเป็นผู้สนับสนุนร่วมมือด้วย พอผู้พิพากษาเก่าลาออก ระบอบใหม่ก็มีโอกาสที่จะตั้งผู้พิพากษาที่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้าไปได้ แต่สิ่งเหล่านี้เกิดจากการทำงานหนักเช่นการอบรมผู้พิพากษาก็ต้องเปลี่ยนใหม่จากเดิมที่เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องรองก็กลายเป็นเรื่องหลัก ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเกิดได้เพราะปัจจัยหลายอย่างรวมกัน

เข็มทองมองว่า ICC ก็เป็นทางออกหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อยุติการลอยนวลพ้นผิดจากการคุ้มกันของรัฐที่ยกเว้นการรับผิดเอาไว้ ทั้งเรื่องอายุความและการคุ้มกันประมุขของรัฐคือเรื่องของกฎหมายภายในประเทศแต่ไม่ได้อยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้แม้คดีจะหมดอายุความไปแล้วก็ยังถือว่าอยู่ในอำนาจของ ICC ที่จะพิจารณาคดีได้

พวงทองถามว่าการที่กระแสโลกเปลี่ยนหรือการมีคนรุ่นใหม่ๆ ที่ทัศนคติต่อการลอยนวลพ้นผิดที่เปลี่ยนไปจะมองว่าเป็นความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบตุลาการไทยได้หรือไม่ เพราะการเชิญให้ ICC เข้ามาคือการบอกว่าระบบตุลาการในไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่สามารถเป็นความหวังของประชาชนได้อีกต่อไป

เข็มทองตอบประเด็นนี้โดยการอธิบายว่าบาดแผลใหญ่ทางประวัติศาสตร์ในวงการกฎหมายไทยคือเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ชาติตะวันตกและญี่ปุ่นมาขอให้ยกเว้นการใช้กฎหมายกับคนของตัวเอง กลายเป็นแรงกดดันในทางบวกที่ทำให้ไทยปฏิรูปกฎหมาย แต่ว่าเรื่องเล่าของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับชาติเหล่านี้กลายเป็นตัวปลุกความเป็นชาตินิยมของไทยว่าอธิปไตยของไทยเคยถูกต่อรอง

บาดแผลที่สองคือที่ไทยไปรับอำนาจศาลยุติธรรมรระหว่างประเทศหรือศาลโลก(International Court of Justice – ICJ) ในกรณีปราสาทเขาพระวิหารและไทยก็แพ้คดี ทำให้ไทยลาออกจากการเป็นภาคีของ ICJ ทำให้เรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ(ICC) ไปปลุกกระแสชาตินิยมอีกครั้งเพราะมองว่าระบบตุลาการที่ปฏิรูปมาตั้งแต่อดีตนั้นบกพร่องแล้วก็ไปกระทบกับอำนาจอธิปไตยของไทยจะให้เอาประมุขของเราหรือรัฐบาลของเราไปขึ้นศาลนอกประเทศ

เข็มทองมองว่าเรื่องความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าความหวังของเขาคือผู้พิพากษาที่เป็นส่วนที่อนุรักษ์นิยมที่สุดในกลุ่มคนที่เรียนกฎหมายแล้วเข้ามาทำงานในระบบตุลาการที่ทิศทางในปีหลังๆ ก็ยังค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า เขายกตัวอย่างกรณีที่ผู้พิพากษาที่ไม่ถูกกดทับจากผู้บริหารศาลก็สามารถตัดสินคดีได้อย่างเป็นอิสระ เช่นศาลในต่างจังหวัดที่ตัดสินคดีความมั่นคงอย่างคดีมาตรา 112 ก็ทำได้อย่างตรงไปตรงมา สะท้อนให้เห็นว่าคนข้างในไม่ได้เป็นอนุรักษ์นิยมสุดโต่งทั้งหมด

“มันสำคัญที่คนแบบนี้ยอมรับได้ว่าระบบตุลาการที่ตัวเองดำรงอยู่มันมีข้อบกพร่อง มันไปไม่ถึงที่จะเอาผิดกับอาชญากรรมพวกนี้ที่ผ่านมา และยอมรับได้ว่าอำนาจตุลาการบางส่วนจะถูกใช้โดย ICC พูดง่ายๆ คือมีทัศนคติที่เป็นสากลนิยม(Cosmopolitan) คือมันกว้างไกลมันเชื่อมกับโลกมากกว่าความคิดที่เป็นชาตินิยมของเราที่ไม่ให้ใครเข้ามาแตะ”

แม้เข็มทองจะมองว่ากระแสต่อต้านอาจจะยังมีอยู่ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปหลักสูตรนิติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือประวัติศาสตร์บาดแผลต่างๆ จะทำให้แรงต้านจากฝ่ายตุลาการน้อยลงแม้ว่าจะช้าก็ตาม

ถ้าทำเรื่องใหญ่ยังไม่ได้ ควรจะเริ่มจากเรื่องเล็กก่อน?

พวงทองใช้ข้อสังเกตต่อเนื่องจากงานศึกษาเรื่องการลอยนวลพ้นผิดในไทยที่ชื่อ “In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand” ของไทเรล ฮาเบอร์คอน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ที่ศึกษาการเมืองไทยว่าการปกป้องผู้มีอำนาจให้ลอยนวลพ้นผิดนี้มีการทำอย่างเป็นระบบ เช่น การปราบปรามผู้ชุมนุมไม่ได้เกิดจากการกระทำของคนๆ เดียวแต่เกิดจากความร่วมมือของกลไกอนาำจรัฐร่วมมือกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางช่วยปกป้องกันและกันไม่เช่นนั้นระบอบอาจจะพังแล้วทำให้คนที่อยู่ในระบอบพังตามไปด้วย โดยในงานดังกล่าวของไทเรลมีข้อเสนอว่าการพยายามจะเอาผิดในกรณีเหตุการณ์ครั้งใหญ่ๆ เช่นการสลายการชุมนุมปี 2553 ทำได้ยากมาก แต่ถ้าจัดการการลอยนวลพ้นผิดกับคนในระบอบด้วยกรณีที่เล็กลงมาก่อน เช่น ทุจริตต่างๆ หรือการใช้อำนาจข่มเหงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำให้เห็นว่ามีกลไกรัฐส่วนใดเกี่ยวข้องบ้าง การจัดการเอาผิดในกรณีเล็กๆ เหล่านี้ก่อนอาจจะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้คนในระบอบได้

เข็มทองตอบในประเด็นนี้ว่าเขาเองไม่ค่อยเชื่อว่าการทำแบบนี้จะได้ผลนักเพราะถึงจะจัดการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้แต่ผลที่ได้ก็จำกัดมากแต่กลับต้องใช้ทรัพยากรมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีความพยายามของคนที่จะร้องเรียนเรื่องเหล่านี้มีการเปิดโปงแล้วแต่ระบบก็ไม่ขยับไม่ว่าจะทั้งตำรวจ หน่วยงานปราบการทุจริต หรืออัยการ

“การเปิดโปงทั้งหมดที่เห็นมันเป็นการเปิดโปงหรือพยายามเอาผิดทางการเมืองแต่ว่ามันยังเป็นพื้นที่ที่มีฝ่ายค้านอยู่แล้วรัฐบาลก็ยังคุมฝ่ายค้านไม่ได้ ฝ่ายค้านก็พยายามจะเอาเรื่องต่างๆ มาเปิดโปงในเวทีการเมือง แต่พอเราพยายามจะก้าวข้ามเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองให้เป็นคดีทางกฎหมาย แล้วพอคดีไปอยู่ในมือตำรวจก็จะเห็นว่าคดีมันหายไปเลยก็ชะลอไป ปปท. ปปช.มันก็ชะลอไป แล้วมันก็ไปไม่ถึงไหน” เขาสะท้อนถึงปรากฏการณ์ที่ฝ่ายค้านพยายามเปิดโปงการทุจริตต่างๆ ของรัฐที่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งเขามองว่าปัญหาของเรื่องนี้คือกลไกรัฐทั้งหมดไม่ได้อยู่กับประชาชน

เข็มทองยกตัวอย่างกรณีที่ศาลมีคำตัดสินคดีได้เป็นธรรมมากขึ้นได้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้เองเพราะระบบที่กดเอาไว้จะทำให้ผู้พิพากษาอยู่กันเฉยๆ เพราะปลอดภัยกับตัวเองมากกว่า แต่เมื่อเกิดแรงผลักดันบางอย่างเช่นกรณีของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะที่ฆ่าตัวตายจากการถูกแทรกแซงอำนาจพิพากษาคดีก็ทำให้ผู้พิพากษาใหม่ๆ ได้คิด หรือแม้กระทั่งการถูกวิจารณ์จากประชาชนที่ไปชุมนุมหน้าศาลหรือนักวิชาการที่ต้องช่วยกันออกแรงผลักดันกันเยอะมาก

“เราทำกับแต่ศาลได้ก็หมดแรงแล้ว กับตำรวจจะไปด่ากดดันตำรวจให้ทำคดีตรงไปตรงมามันก็ยาก” เขาสะท้อนปัญหาที่ต้องอาศัยทรัพยกรจำนวนมากในการผลักดันแต่ละองค์กรในกระบวนการยุติธรรม

เข็มทองจึงมองว่าความพยายามที่จะเอาผิดกับการกระทำเล็กๆ เหล่านี้เกิดขึ้นช้าเกินไป อาจจะพอเป็นไปได้ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบรรทัดฐานของสังคมเรื่องความรับผิดแย่ลงเรื่อยๆ จนวันนี้การเอาผิดกับเรื่องเล็กๆ ก่อนไม่ทันแล้ว เขายกตัวอย่างว่าเมื่อก่อนถ้ามีสื่อรายงานการทุจริตระบบก็ยังมีการสั่งย้ายราชการหรือมีการลงโทษบ้าง แต่ปัจจุบันนี้ต่อให้มีการรายงานก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะการลอยนวลพ้นผิดได้พัฒนาความเข้มแข็งขึ้นมากตราบใดที่กฎหมายยังอยู่ในมือผู้มีอำนาจ เขาจึงมองว่าการจัดการกับกรณีใหญ่ๆ ได้จึงสำคัญเพราะจะทำให้เกิดแรงผลักดันให้เกิดการเอาผิดได้

“การรับ ICC มันถึงสำคัญ เพราะว่าต่อให้ไม่รู้จะเอาผิดได้หรือไม่ได้ หรือเข้า ICC ได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่คิดว่าอย่างน้อยผลที่ตามมาคือระบบกฎหมายไทยต้องขยับ” เข็มทองย้ำถึงความสำคัญในการผลักดันให้เข้าสู่กลไกที่เป็นสากล

ปิยบุตรแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้แยกเป็นสองประเด็นคือ การจับมือกันของผู้มีอำนาจและชนชั้นนำที่ช่วยกันจัดการปัญหากันไปทุกครั้งทั้งการนิรโทษกรรมไปจนถึงการไม่บันทึกเหตุการณ์อะไรเอาไว้เลยและไม่เคยยอมรับความผิดหรือเรียนรู้ว่าในอนาคตจะไม่ทำผิดอีก

“ก็มีการจับไม้จับมือกัน นานวันเข้าก็พูดกันด้วยซ้ำว่าต้องยอมทำกันเรื่องนี้ กลืนเลือดคนละคำสองคำเพื่อให้มันไปต่อได้ มันเป็นสไตล์การปรองดองแบบไทยๆ จริงๆ”

เลขาฯ คณะก้าวหน้ามองว่าในอนาคตอีกไม่นานก็จะเกิดการนิรโทษกรรมทุกฝ่ายกันอีกอย่างแน่นอนถ้าผู้ทรงอำนาจในระบอบต้องการและคนในระบอบทั้งระบอบก็เอาด้วยเหมือนกับเหตุการณ์หลัง 6 ต.ค.2519 หรือ พฤษภาฯ 2535 ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือการรณรงค์สู้ต่อไปจนกว่าการเมืองจะก้าวหน้าไปอีกจนมีคนรุ่นใหม่เข้ามาระบบมากขึ้นก็ยังสามารถใช้กลไกทางกฎหมายได้ เช่นในกรณีที่เกิดในชิลีหรืออาเจนติน่าที่ต่อให้มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดไปหมดแล้วในเวลาต่อมาศาลก็ออกมาวินิจฉัยว่าการนิรโทษกรรมที่ผ่านมาเป็นโมฆะได้

“ดังนั้นต่อให้มัน(ผู้มีอำนาจ) ร่วมมือกันจริงๆ แล้วเราสู้มันไม่ได้ ณ เวลานี้ คำตอบคืออย่าหยุด แล้วโอกาสมันจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

ส่วนประเด็นการเอาผิดในกรณีการกระทำความผิดเล็กๆ ก่อน ปิยบุตรมองว่า ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มติดตามการเมืองเกิดกรณีเปิดโปงการทุจริตโดยที่ตอนนั้นก็ยังไม่มีองค์กรอิสระอะไรก็มีกรณีที่เอาผิดนักการเมืองทุจริตได้ เช่น รักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข(รัฐบาลชวนปี 40-41) รับสินบนบริษัทยา หรือกรณีคดีกินเปล่าสมัยรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์

“ไม่ค่อยมีกรณีที่สามารถเอาคนเข้าคุกหรอก แต่อย่างน้อยที่สุดกลไกรัฐมันไม่น่าเกลียดเท่าปัจจุบัน ปัจจุบันพูดอย่างสั้นๆ คือ มึงมาเป็นพวกกูมึงไม่ผิด แต่ถ้าอยู่ตรงข้ามกูทำอะไรมันก็ผิด” ปิยบุตรมองว่าเรื่องนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้มีนักการเมืองย้ายพรรคกัน

เลขาฯ คณะก้าวหน้ากล่าวว่าสิ่งที่พอจะทำได้คือการออกกฎหมายมาคุ้มครองผู้เป่านกหวีด(Whistle-blower) ที่ออกมาเปิดโปงการทุจริต เพราะสำหรับประเทศไทยคนที่ออกมาเปิดโปงหรือตั้งคำถามก็มักจะถูกใช้กระบวนการทางกฎหมายในการปิดปากเช่นการฟ้องหมิ่นประมาทและการปิดปากด้วยกฎหมายแบบนี้ไม่ได้มีแต่รัฐที่ทำกับประชาชนแต่เอกชนก็ยังใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการปิดปากคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก

นอกจากการมีกฎหมายคุ้มครองเขามองว่ายังต้องเลิกกฎหมายปิดปากด้วย เช่น กฎหมายคอมพิวเตอร์ หรือการเอาโทษทางอาญาออกจากกฎหมายหมิ่นประมาทเหลือแค่โทษปรับหรือทางแพ่ง แล้วก็มีการยกเว้นความผิดในกรณีที่เป็นการพูดที่เป็นประโยชน์สาธารณะจะดำเนินคดีไม่ได้ถ้ามีการฟ้องต่อศาล ศาลสามารถพิจารณาไม่รับฟ้องได้ตั้งแต่มีการไต่สวนมูลฟ้องนัดแรก และถ้าศาลไม่กล้าใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องก็ให้เขียนไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับศาลว่าศาลสามารถใช้ดุลพินิจไม่รับฟ้องได้โดยไม่ต้องไปถึงขั้นดำเนินคดีแล้วถึงออกคำพากษามาว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นการพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ธิดากล่าวว่าสำหรับเธอแล้วไม่ขัดข้องถ้าจะมีการจัดการกับเรื่องเล็กๆ ก่อนและถ้าสำเร็จก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องร่วมกันทำให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นปัญหาของระบอบการเมืองภาพใหญ่ที่มีทั้งการอุปถัมภ์เครือข่ายของพวกอำนาจนิยมหรือฝ่ายจารีตที่จะเข้ามาปิดปากคนไปตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กถ้าระบอบไม่เปลี่ยน ดังนั้นก็ต้องไปพึ่ง ICC แม้ว่าอาจจะไม่สามารถเอาใครเข้าคุกได้แต่ก็สร้างผลกระทบกระเทือนกับระบบยุติธรรมในประเทศเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

ปล่อยคนผิดลอยนวล อาจทำให้กลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามต่อวิทยากรเพิ่มเติมสองประเด็นคือ ประเด็นแรกที่มีการยกตัวอย่างในต่างประเทศมาที่มีกรณีนิรโทษกรรมไปก่อนจนผู้มีอำนาจเดิมลงจากอำนาจถึงนำตัวมาดำเนินคดีเพื่อเอาผิดทางกฎหมายในภายหลัง แต่ในไทยความพยายามเอาผิดผู้มีอำนาจภายหลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงปรากฏการณ์ที่ตามมาก็คือผู้มีอำนาจสืบทอดอำนาจตัวเองที่คณะรัฐประหารอย่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีผู้นำการรัฐประหารอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวกพ้องส่วนหนึ่งก็คือคนที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมปี 53 จะสามารถออกจากวังวนนี้ได้อย่างไร?

เข็มทองตอบว่า ในช่วงปีค.ศ.1980-1990 การเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการมันต้องยอมกลืนเลือดขอให้มีการนิรโทษกรรมเช่นในฮังการีหรือโปแลนด์ตอนที่ระบอบคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงไม่ได้เกิดจากการหักล้างกันด้วยความรุนแรงแต่มันเกิดจากคุยกันแล้วก็ให้มีการรับรองในรัฐธรรมนูญให้เป็นพรรคการเมืองเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งเขาก็ทำกันเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด

“แต่ผมคิดว่าตั้งแต่หลัง 2010 เป็นต้นมาทั่วโลกคิดว่าวิธีคิดนี้อาจจะคิดน้อยไปหรือคิดสั้นไป ไม่นิรโทษเขาก็ไม่ไว้เราอยู่ดี เหมือนความสัมพันธ์ที่เป็นพิษคือทำดีก็โดนทำไม่ดีก็โดน มันก็เหลือคำตอบเดียวก็คือทำให้มันเด็ดขาด อย่างยูเครนที่เอาใจรัสเซียสารพัด สุดท้ายเขาจะบุกเขาก็บุก”

นอกจากนั้นเข็มทองยังยกตัวอย่างกรณีของฟิลิปปินส์ที่ครอบครัวของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจอยู่ในช่วงปีค.ศ.1965-1989 ได้ส่ง บองบอง มาร์กอส ลูกชายของเขากลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มอำนาจเก่าไม่ได้กลับเข้าสู่อำนาจทางการเมืองทันทีแต่มีการต่อสู้ในเรื่องเล็กๆ ก่อนทั้งการปลดล็อกทรัพย์สินของมาร์กอสผู้พ่อที่ถูกอายัดไว้หรือการสร้างเรื่องเล่าใหม่เกี่ยวกับการปกครองในยุคของมาร์กอสผู้ว่าเป็นช่วงที่ดี เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงกลไกที่ทำงานอยู่และส่งให้มาร์กอสคนลูกเข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้

“ถ้าตอบแบบอุดมคติคือถ้าคุณไปยอมเค้า มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นมา” เข็มทองย้ำ

ปิยบุตรตอบในประเด็นที่จะให้ผู้กระทำความผิดลงจากอำนาจต้องยอมนิรโทษให้ก่อนว่า เขาเห็นด้วยกับเข็มทองในประเด็นที่ว่าในช่วงทศวรรษ 1970-1990 จะเป็นการเจรจากันแต่แนวโน้มในช่วงหลังจากนั้นมาก็เปลี่ยนไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่าการนิรโทษกรรมที่เกิดขึ้นในไทยตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 จนถึงพฤษภาทมิฬปี 2535 ไม่เคยเกิดจากการเจรจา ฝ่ายผู้เสียหายหรือรัฐบาลที่ถูกปล้นอำนาจไปในช่วงนั้นไม่เคยได้เข้าไปเจรจากับผู้กระทำ แต่เป็นฝ่ายผู้มีอำนาจที่คิดกันเองแล้วก็นิรโทษกรรมเลย ไม่เหมือนกับการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์ หรือรัฐเผด็จการอย่างชิลี หรืออาร์เจนติน่า ที่แต่ละฝ่ายเข้ามานั่งเจรจากันอย่างจริงจังก่อน

“ของเราอย่าว่าแต่ตกลง ยังไม่มีโอกาสตกลงด้วยครับ เพราะไม่เคยเอาเข้าไปอยู่ในสมการให้ได้นั่งคุยด้วย ดังนั้นการนิรโทษหรือแม้กระทั่งล่าสุดที่ลองทำเหม่าเข่งผมก็เชื่อว่าไม่ได้ตกลงกันก่อน ลองทำไปดูแล้วสุดท้ายก็จบแบบเนี่ยะ พูดง่ายๆ ว่ามันไม่เคยมีความคิดเจรจาจากเบื้องล่างขึ้นไปแล้วเบื้องบนมาตบมือเอาด้วย แต่มันมีแต่เบื้องบนบอกว่าวันนี้กูพอละ”

“เราเชื่อว่าการไปเจรจากับปิศาจ ปิศาจมันมาใหม่ แล้ววันนึงปิศาจมันฟื้นชีวิตมันก็กลับมาเล่นเราใหม่” ปิยบุตรสนับสนุนความเห็นของเข็มทองที่ชี้ว่าแนวโน้มในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะทัศนคติหรือแนวคิดของระบอบอำนาจนิยมพร้อมจะกลับมาได้เสมอถ้าไม่จัดการให้หมดสิ้น แต่ถ้าสามารถเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้ผู้มีอำนาจรุ่นหลังจากนั้นมาก็จะไม่กล้าทำแบบเดียวกันอีก เช่น การเอาผิดกับผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือเอาผิดกับทหารที่ทำรัฐประหารเข้าคุกได้ก็จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำตามด้วยเช่นกัน

“เรื่องนี้ต้องยืนยันหลักให้มั่น แล้วสุดท้ายใครจะไปเจรจาต้าอ่วยแล้วมาจบที่เหมาเข่งกันอีกรอบให้เขาทำไป แล้วถึงเวลาที่ฝ่ายรณรงค์เรื่องนี้ต้องเดินหน้าต่อ เพราะตราบใดก็ตามที่คนก่อกรรมทำเข็ญ ก่ออาชญากรรมขนาดใหญ่ขนาดนี้ประชาชนตายขนาดนี้ไม่ถูกรับผิดมันก็จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

ธิดา กล่าวถึงประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมว่าสำหรับในไทยถ้าฝ่ายผู้กระทำยังอยู่ในอำนาจแล้วรู้สึกได้เปรียบอยู่ก็จะไม่จำเป็นต้องนิรโทษกรรม แต่การนิรโทษกรรมจะเกิดก็ต่อเมื่อผู้กระทำมองเห็นว่าจะเกิดผลเสียในอนาคตถึงจะทำการนิรโทษกรรมเช่นตอนหลัง 6 ต.ค.2519

10 ปี สลายชุมนุมเสื้อแดง ยังเติบโตจนสุดเอื้อมถึง

“ระบบราชการมันฆ่าคนโดยที่ไม่มีใครเป็นคนผิดซักคนในระบบ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อในประเด็นการคุ้มครองผู้เป่านกหวีดที่ปิยบุตรเสนอการแก้กฎหมายไว้ เนื่องจากเดิมทีในกฎหมายไทยก็มีการเปิดช่องให้อัยการและศาลสามารถใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะหรือมีการฟ้องกลั่นแกล้งได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถูกนำมาใช้และระเบียบภายในองค์กรอัยการยังทำให้อัยการที่เลือกจะใช้ดุลพินิจไม่สั่งฟ้องคดีต้องเผชิญการถูกตรวจสอบมากกว่าการเลือกที่จะสั่งฟ้องคดีต่อศาลไปก่อนเพื่อให้ศาลเป็นผู้ตัดสินจนทำให้อัยการมักจะไม่ใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้อง จะสามารถแก้ปัญหาลักษณะนี้ของสถาบันตุลาการได้อย่างไร หรือต้องอาศัยฝ่ายการเมือง?

ประเด็นนี้ เข็มทองมองว่าคนในกระบวนการยุติธรรมอย่างอัยการหรือศาลก็ต้องกล้าใช้กฎหมายไปให้เป็นไปตามกฎหมายที่จะสั่งไม่ฟ้องหรือไม่รับฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ แม้ว่ามันอาจจะยุ่งยากบ้างแต่ไม่ถึงกับต้องไปขอให้เขาทำผิดกฎหมายหรือเอาชื่อเสียงมาเสี่ยง

“แต่ผู้พิพากษาในระบบของเราปัจจุบันคือกลัวอภิสิทธิ์ ความสุขสบายของตัวเองจะสั่นคลอน กลัวถูกมองเป็นเด็กไม่น่ารักของผู้ใหญ่ สุดท้ายเราได้คนไม่กล้าตัดสินใจ ประกอบกับหลักหมิ่นประมาทของเราที่สอนกันมาตั้งแต่โรงเรียนกฎหมายที่ว่ายิ่งจริงยิ่งหมิ่นประมาท สังคมไทยให้ความสำคัญกับการรักษาหน้าหรือการรักษาสถานะของคนมากกว่าความจริง” เขาคิดว่าเรื่องนี้ควรเกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้วโดยยกตัวอย่างว่าปัจจุบันแม้กระทั่งสื่อเองยังไม่กล้าจะรายงานชื่อของร้านอาหารที่มีปัญหาแล้วก็เบลอภาพให้คนไปเดากันเองว่าเป็นร้านไหนทั้งที่เรื่องทำนองนี้ก็เป็นประโยชน์สาธารณะ แต่คดีหมิ่นประมาทของไทยก็ถูกนำมาใช้เอาผิดคนมากเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่โรงเรียนกฎหมายต้องสอนให้อัยการผู้พิพากษากล้าที่จะตัดสินใจว่าคดีไหนเป็นประโยชน์สาธารณะจะไม่ฟ้องหรือยกฟ้องไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่ระบบ

เข็มทองยกตัวอย่างปัญหาอีกว่า แม้เวลานี้คดีม.112 ในศาลต่างจังหวัดจะชี้ว่ามาตรานี้จะคุ้มครองบุคคลในสถาบันกษัตริย์เพียง 4 ตำแหน่ง แต่ถ้าไปถามตำรวจก็จะบอกว่าคดีที่ศาลยกฟ้องนี้เป็นเพียงศาลชั้นต้น แต่คำพิพากษาศาลฎีกากรณีหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4 ก็ยังอยู่ ตำรวจเขาก็ทำตามหน้าที่ในระบบราชการเขาก็ยึดคำพิพากษาฎีกาแล้วก็ต้องรายงานผู้บังคับบัญชา เขาไม่กล้าเอาคำพิพากษาใหม่ๆ ของศาลชั้นต้นมาใช้ แล้วเรื่องก็ถูกส่งให้อัยการ แล้วอัยการก็ส่งฟ้องศาลต่อจนกระทั่งไปจนถึงศาลฎีกา ทำให้เห็นว่าปัญหานี้เกิดจากผู้บังคับใช้กฎหมายไม่กล้าตัดสินใจซึ่งเป็นปัญหาของวงการกฎหมาย

“ระบบราชการมันฆ่าคนโดยที่ไม่มีใครเป็นคนผิดซักคนในระบบ” เข็มทองแสดงความเห็น

ส่วนประเด็นเรื่องกฎหมายคุ้มครองผู้เป่านกหวีดนี้ ปิยบุตรมีความเห็นว่าในทางกฎหมายพอจะป้องกันได้อยู่ เช่น การเอาโทษอาญาออกจากหมิ่นประมาทให้หมดเลยแล้วเหลือแค่การชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งอย่างเดียว แล้วก็ต้องแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วยว่าการวิจารณ์โดยสุจริตศาลสามารถไม่รับฟ้องได้เลยไม่ต้องพิจารณาต่อ คือต้องเขียนกฎหมายคุมผู้พิพากษาด้วยแม้อาจจะคุมไม่ได้ทั้งหมดเพราะถึงเวลาก็อาจจะอาศัยช่องโหว่ได้

ปิยบุตรกล่าวถึงแนวโน้มของการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทที่แพร่กระจายอย่างมากในเวลานี้ที่มีทั้งคนทั่วไป บุคคลสาธารณะ เช่น ดารา นักร้อง นักการเมืองไปจนถึงฝ่ายรัฐ ซึ่งเขาเห็นว่าควรต้องหยุดกระแสที่เกิดขึ้นนี้ด้วย

เข็มทองเสริมว่าสำหรับการฟ้องคดีหมิ่นประมาทในเวลานี้ใช้แค่ภาพจับหน้าจอมาแผ่นเดียวก็ฟ้องกันได้แล้วก็ไปแจ้งความว่าความเห็นนี้เป็นความผิด ต้นทุนการฟ้องคดีคือเท่ากับศูนย์ทนายความก็ไม่ต้องใช้ แต่ตำรวจก็ต้องใช้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานมาใช้เวลาพิจารณาคดีอีกอาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปีกลายเป็นต้นทุนของระบบยุติธรรมมหาศาล

ช่วงสุดท้ายของเสวนา พวงทองกล่าวว่าการจะยกเลิกการลอยนวลพ้นผิดได้ไม่ได้มาจากการยอมศิโรราบแต่มาจากการต่อสู้และการเรียกร้องการต่อสู้นี้เราไม่ได้เรียกร้องจากปัจเจคชนเท่ากลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งบอกว่าอาสาเข้ามาทำให้การเมืองดีขึ้น ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชนจึงมองว่ามีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องเอาจากพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เราเลือกหรือไม่เลือกก็ตาม และการเมืองไม่ใช่เรื่องของคนใดคนนหึ่งแต่เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กับกลุ่มที่มีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่าง

เข็มทองกล่าวทิ้งท้ายว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไทยมีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมของรัฐที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในระดับที่สามารถระบุคนทำคนสั่งการรวมถึงกำลังพลที่ใช้ได้ รวมถึงมีคำวินิจฉัยของศาลต่อกรณีการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น เพราะการเข้า ICC เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ถ้าคิดแบบทนายความการจะฟ้องคดีก็ต้องมีหลักฐานต่างๆ และเป็นโชคดีที่ครั้งนี้เป็นภาคประชาชนทำการบันทึกข้อมูลไว้เองไม่ปล่อยให้รัฐเป็นคนคุมข้อมูลไว้ฝ่ายเดียวเพราะมันจะไม่มีประโยชน์

“ปี 53 เป็นเคสนึงที่ถ้าเราจะเอาผิดรัฐไทย ก็เป็นเคสที่เรามีความหวังมาก” เข็มทองกล่าวทิ้งท้าย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

Rocket Media Lab: สำรวจข้อมูลผู้ป่วยจิตเวชและบุคลากรสาธารณสุขด้านจิตเวชของไทย

$
0
0

เนื่องในวัน World Mental Health Day ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ต.ค. Rocket Media Lab ชวนสำรวจข้อมูลผู้ป่วยจิตเวชและบุคลากรสาธารณสุขด้านจิตเวชของไทย ว่ามีเพียงพอไหม มีปัญหาอะไรบ้าง

  • ในปี 2564 โรคทางจิตเวชที่มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษามากที่สุดคือ ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท โดยมีผู้ป่วย 622,172 คน จากผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด 3.99 ล้านคน
  • เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ติด 10 อันดับแรกจังหวัดมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงที่สุดทุกปี ระหว่างปี 2559-2563 โดยแม่ฮ่องสอนติดอันดับที่ 1 ถึง 3 ปีจาก 5 ปี
  • ปี 2564 จังหวัดที่มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคจิตเวชต่อประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ลำพูน เชียงใหม่ สกลนคร พะเยา และพิษณุโลก
  • ปี 2564 จังหวัดที่มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต่อประชากรมากที่สุดคือ ลำพูน รองลงมาคือ สิงห์บุรี เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และอุตรดิตถ์
  • ปี 2564 กทม. มีอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อประชากร 100,000 คนอยู่ที่ 4.90 ขณะที่ยโสธรไม่มีจิตแพทย์เลย (ปัจจุบัน ปี 2565 จากการสอบถาม มีจิตแพทย์แล้ว 2 คน) และมี 14 จังหวัดที่มีอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อประชากรมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ
  • มี 6 จังหวัดที่ไม่มีนักจิตวิทยาเลย ได้แก่ ตราด แพร่ สมุทรสงคราม สิงห์บุรี หนองบัวลำภู และอ่างทอง และมี 28 จังหวัดที่มีอัตราส่วนนักจิตวิทยาต่อประชากรมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ
  • หากดูที่ภาระงานของบุคลากรสาธารณสุข จะพบว่าในจังหวัดศรีสะเกษ จิตแพทย์ 1 คนต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 34,811 คน ขณะที่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จิตแพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถึง 3,216 คน
  • ในจังหวัดเลย นักจิตวิทยา 1 คนต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชถึง 52,717 คน และต้องดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอีก 3,937 คน

ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยมีแนวโน้มถดถอยลง เห็นได้จากสถิติการฆ่าตัวตายสำเร็จที่มีอัตราสูงขึ้น จาก 6.08 รายต่อแสนประชากร ในปี 2556 เพิ่มเป็น 7.37 รายต่อแสนประชากร ในปี 2563 และในปี 2564 ที่มีวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เพิ่มเป็น 7.8 รายต่อแสนประชากร นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอีกราว 1.35 ล้านคน เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในรอบสิบปีที่ผ่านมา

เนื่องในโอกาสวันสุขภาพจิตโลกประจำปี 2565 Rocket Media Lab ชวนสำรวจสถานการณ์สุขภาพจิตและกลไกส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

อัตราส่วนจิตแพทย์ต่อประชากรของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่สูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ระบุว่า คนในโลกนี้ทุก 8 คนจะมี 1 คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัญหาสุขภาพจิต และในทุกการเสียชีวิต 100 ครั้งจะมีอย่างน้อย 1 ครั้งที่เป็นการฆ่าตัวตาย แต่อัตราดังกล่าวจะสูงขึ้นไปอีกสำหรับคนวัยหนุ่มสาวช่วง 15-29 ปี ที่ทุกการเสียชีวิต 100 ครั้งจะมีถึง 8 ครั้งที่เป็นการฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ในภาพรวม ในทุก 1 การเสียชีวิตที่มาจากการฆ่าตัวตาย จะมีการพยายามฆ่าตัวตายไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง

ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่นเดียวกับการรับมือ แม้หลายประเทศจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัดในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านทรัพยากรสาธารณสุข

ข้อมูลจาก Mental Health ATLAS 2020ขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ค่ามัธยฐานของอัตราส่วนบุคลากรที่ทำงานด้านสุขภาพจิตต่อประชากรจาก 158 ประเทศอยู่ที่ 13 คนต่อแสนประชากร โดยที่แต่ละภูมิภาคมีช่องว่างห่างกันมาก ตัวอย่างเช่น ค่ามัธยฐานของทวีปยุโรปสูงกว่าของทวีปแอฟริกา 40 เท่า ความแตกต่างนี้ยิ่งเห็นได้ชัดระหว่างประเทศรายได้สูงกับรายได้ต่ำ โดยประเทศรายได้ต่ำมีบุคลากรด้านสุขภาพจิต 1.4 คนต่อแสนประชากร ส่วนประเทศรายได้สูงมี 62 คนต่อแสนประชากร

หากพิจารณาเฉพาะจำนวนจิตแพทย์และนักจิตวิทยาใน 156 ประเทศ พบว่าค่ามัธยฐานของอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อแสนประชากรอยู่ที่ 1.7 ส่วนของนักจิตวิทยาอยู่ที่ 1.4 กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงมีตัวเลขนี้สูงกว่าประเทศรายได้ต่ำ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่ามัธยฐานของอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อแสนประชากรอยู่ที่ 0.4 และของนักจิตวิทยาอยู่ที่ 0.3

ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างอัตราส่วนจิตแพทย์และนักจิตวิทยาใน 11 ประเทศในภูมิภาคต่างๆ ที่ปี 2563 ประเทศในยุโรปตะวันตก นำโดยสวิตเซอร์แลนด์ มีอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อประชากรมากที่สุด ที่ 47.17 คนต่อแสนประชกร ในเอเชีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศพัฒนาแล้ว มีอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อแสนประชากรอยู่ที่ 12.55 และ 7.91 ตามลำดับ

ขณะที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่มีอัตราส่วนจิตแพทย์สูงกว่าค่ามัธยฐานของโลกคือ 4.7 คนต่อแสนประชากร ส่วนประเทศไทย รายงานจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช กรมสุขภาพจิตซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ระบุว่า ไทยมีจิตแพทย์รวม 845 คน คิดเป็นจิตแพทย์ 1.28 คนต่อแสนประชาร

สำหรับอัตราส่วนนักจิตวิทยา ออสเตรเลียจัดอยู่ในกลุ่มที่มีนักจิตวิทยาต่อประชากรมากเป็นลำดับต้นๆ คือ 122.91 คนต่อแสนประชากร สูงกว่าค่ามัธยฐานของโลกเกือบ 100 เท่า ส่วนสวีเดนมีนักจิตวิทยา 84.88 คนต่อแสนประชากร ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มี 56.37 คนต่อแสนประชากร ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเพียงสิงคโปร์และไทยที่มีนักจิตวิทยาต่อประชากรคนมากกว่าค่ามัธยฐานโลก โดยสิงคโปร์มีมากกว่าไทยเกือบ 9 เท่า กล่าวคือไทยมี 1.57 คนต่อแสนประชากร ขณะที่สิงคโปร์มี 9.7 คนต่อแสนประชากร ในส่วนของประเทศไทยนั้น ข้อมูลล่าสุดของกรมสุขภาพจิต ในปี 2565ระบุว่า มีนักจิตวิทยา 1,037 คน คิดเป็น 1.57 คนต่อแสนประชากร

ผู้ป่วยจิตเวชในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมากที่สุด

ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นทุกปี ในรายงานผู้ป่วยที่มารับบริการด้านจิตเวช จากคลังข้อมูลการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขแสดงให้เห็นว่า ระหว่างปี 2558-2564 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคทางจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 1.3 ล้านคนเป็น 2.3 ล้านคน

ก่อนหน้านี้ในรายงานการสูญเสียสุขภาวะปี 2556ระบุว่า คนไทยสูญเสียปีสุขภาวะ (disability-adjusted life years; DALYs) ซึ่งเป็นจำนวนปีที่เสียไปเพราะสุขภาพไม่ดี พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัย เท่ากับ 10.6 ล้านปี โดยชายไทยสูญเสียปีสุขภาวะไปกับโรคเกี่ยวกับสุขภาพจิตมากที่สุด ในขณะที่หญิงไทยสูญเสียปีสุขภาวะจากโรคเกี่ยวกับสุขภาพจิตมากเป็นอันดับ 2 คิดเป็นร้อยละ 21 ของการสูญเสียปีสุขภาวะทั้งหมด สาเหตุสามอันดับแรกของการสูญเสียปีสุขภาวะในผู้ชาย เกิดจากภาวะการติดสุราหรือการดื่มแบบเป็นอันตราย โรคซึมเศร้า และโรคจิตเภท ส่วนในผู้หญิงเกิดจากโรคซึมเศร้า โรคความจำเสื่อม และโรคจิตเภท

สาเหตุนี้สอดคล้องกับข้อมูลผู้ป่วยจิตเวชรายโรคในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากระบบศูนย์กลางการให้บริการผู้ป่วยจิตเวชของประเทศไทยกรมสุขภาพจิต ซึ่งรายงานตัวเลขผู้ป่วยที่มารับบริการด้านจิตเวชจำแนกรายโรค ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรม พบว่า ระหว่างปี 2558-2559 มีผู้ป่วยจิตเภท วิตกกังวล และซึมเศร้ามากเป็น 3 อันดับแรก ต่อมาในปี 2560 นอกจาก 3 โรคนี้แล้ว ผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ ยังมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ติดแอลกอฮอล์ ติดสารเสพติดอื่นๆ สมาธิสั้น และโรคจิตเวชอื่นๆ

ตั้งแต่ปี 2560 โรคจิตเวชอื่นๆ ซึ่งรวมอาการและโรค 39 รายการตามบัญชีจําแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง (International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems) เข้าไว้ด้วยกัน มีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมด (ตัวอย่างของอาการที่ถูกนับรวมในกลุ่มนี้ เช่น ความผิดปกติทางจิตและอาการทางจิตที่เกิดจากโรคทางกาย ความผิดปกติทางบุคลิกภาพและพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ความผิดปกติของพัฒนาการทางจิต ความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรมที่มักเริ่มต้นในวัยเด็กและวัยรุ่น) ในปี 2562 เริ่มมีรายงานการติดยาบ้า (Amphetamine) โรคอารมณ์สองขั้ว และผู้ป่วยติดเกมในผู้ใหญ่ (15 ปีขึ้นไป) จนถึงปี 2564 โรคทางจิตเวชที่มีสัดส่วนมากเป็น 5 อันดับแรกได้แก่ จิตเภท วิตกกังวล ซึมเศร้า ติดสารเสพติดอื่นๆ และติดแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการตามสิทธิการรักษา จากระบบฐานข้อมูลกลาง กระทรวงสาธารณสุขระหว่างปี 2556-2564 อันได้แก่ สิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิของผู้ป่วยต่างด้าว และสิทธิอื่นๆ พบว่า จำนวนผู้เข้ารับบริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยผู้ป่วยที่เข้ารับบริการจาก 80,440 คนในปี 2556 เพิ่มเป็น 1,056,604 คนในปี 2559

ตัวเลขผู้ใช้บริการในทุกกลุ่มโรคเพิ่มขึ้น 3 เท่าระหว่างปี 2559 กับ 2560  จาก 1,056,604 คนในปี 2559 เป็น 3,491,365 คนในปี 2560 และหากดูโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า จำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็เพิ่มขึ้น 3 เท่า จาก 78,592 คนในปี 2559 เป็น 259,467 คนในปี 2560 

สำหรับสัดส่วนของโรค นอกจากโรคจิตเภท ความผิดปกติที่สัมพันธ์กับความเครียด และโรคโซมาโตฟอร์ม/วิตกกังวล กลุ่มอาการทางพฤติกรรมที่พบร่วมกับความผิดปกติทางสรีรวิทยาและปัจจัยทางกายภาพ ผู้ป่วยที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนคือ ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (เพิ่มขึ้นจาก 88,753 คน เป็น 436,012 คน) เสพสุรา และสูบบุหรี่

ทั้งนี้ ในปี 2564 โรคจิตเวชที่มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษามากที่สุดคือ ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมี 622,172 คน จากผู้ป่วยโรคจิตเวชทั้งหมด 3.99 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลมากขึ้น อาจมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิตอย่างจริงจังด้วย

จังหวัดภาคเหนือครองแชมป์อัตราฆ่าตัวตายสำเร็จ-อัตราผู้ป่วยจิตเวชสูงสุด

สำหรับสถานการณ์สุขภาพจิตของประชาชนโดยทั่วไป ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจิตเวชให้ความเห็นเนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่า เดิมทีอัตราคนฆ่าตัวตายในประเทศไทยนับว่าเกือบจะสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้อัตราคนฆ่าตัวตายในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นไปอีก ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาตกงาน ขาดรายได้จนอาจทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด

ขณะเดียวกันกรมสุขภาพจิตเปิดเผยข้อมูลล่าสุดของสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หนึ่งในช่องทางบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตว่า ระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึง สิงหาคม 2565 มีผู้รับบริการที่มีพฤติกรรมหรือมีความคิดฆ่าตัวตายถึง 1,554 ราย ซึ่งเฉลี่ยแล้วเท่ากับมีผู้รับบริการที่คิดฆ่าตัวตาย 141 รายต่อเดือน

เมื่อพิจารณารายงาน 10 จังหวัดที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงที่สุดระหว่างปี 2559-2563น่าสนใจว่า มี 2 จังหวัดที่ติด 10 อันดับแรกทุกปีคือ เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน โดยแม่ฮ่องสอนติดอันดับที่ 1 มากถึง 3 ปี จากทั้งหมด 5 ปี จังหวัดติดอันดับถี่รองลงมา คือ เชียงราย แพร่ ตาก น่าน และลำปาง ติด 10 อันดับแรกถึง 4 ปี

สำหรับปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีการเผยแพร่ข้อมูล จังหวัดที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงที่สุด อับดับที่ 1 คือ แม่ฮ่องสอน มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ 17.44 รายต่อแสนประชากร อันดับที่ 2 คือ ตาก 15.46 รายต่อแสนประชากร อันดับที่ 3 คือ เชียงใหม่ 14.61 รายต่อแสนประชากร จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 จังหวัดนี้มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าภาพรวมทั้งประเทศที่อัตรา 7.37 รายต่อแสนประชากร ประมาณ 2 เท่า

เมื่อสำรวจจำนวนผู้ป่วยจิตเวชประจำปีงบประมาณ 2564 พบว่า จังหวัดที่มีอัตราส่วนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคทางจิตเวชต่อประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ลำพูน เชียงใหม่ สกลนคร พะเยา และพิษณุโลก อยู่ระหว่าง 9,178.8-11,500.7 คนต่อแสนประชากร มากกว่านครปฐมที่มีอัตราส่วนน้อยที่สุดเกือบ 4 เท่า ที่ 2,719.5 ต่อแสนประชากร ตามมาด้วย กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี กระบี่ และปัตตานี

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์และโฆษกกรมสุขภาพจิต ได้ให้สัมภาษณ์อธิบายประเด็นนี้ว่า มีงานศึกษาในพื้นที่หลายชิ้น ส่วนใหญ่สรุปว่า พื้นที่ทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะส่วนที่คาบเกี่ยวกันภาคเหนือและภาคอีสาน สมาชิกในครอบครัวออกไปทำงานนอกพื้นที่ และมีผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังมาก ด้วยวัฒนธรรมและบ้านที่อยู่ห่างกัน ทำให้คนในชุมชนไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วมกันมากนัก ต่างจากในภาคอื่นๆ เช่น ภาคใต้ที่ปลูกบ้านใกล้กัน มีกิจกรรมทำร่วมกันบ่อย จึงทำให้ภาคเหนือมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าภาคอื่น

กรุงเทพฯ มีอัตราส่วนจิตแพทย์สูงที่สุด ในขณะที่ยโสธรไม่มีจิตแพทย์เลย


 

Rocket Media Lab รวบรวมข้อมูลจำนวนจิตแพทย์จากรายงานทรัพยากรสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564

ซึ่งสรุปจำนวนทรัพยากรสุขภาพ จำนวนแพทย์เฉพาะทางจิตเวชศาสตร์และจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่นรายจังหวัด พบว่า ประเทศไทยมีจิตแพทย์รวม 860 คน โดยเมื่อคำนวณอัตราส่วนเฉลี่ยจิตแพทย์เท่ากับ 1.30 ต่อแสนประชากร

การเข้าถึงการรักษาโรคทางจิตเวชแตกต่างกันมากในแต่ละจังหวัด เมื่อเปรียบเทียบจำนวนจิตแพทย์รายจังหวัด จากข้อมูลของรายงานทรัพยากรสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564พบว่า จากจำนวนจิตแพทย์ทั่วประเทศทั้งหมด 860 คน ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานครเข้าถึงทรัพยากรสาธารณสุขได้มากกว่าจังหวัดอื่นๆ อย่างชัดเจน โดยมีจิตแพทย์ 4.90 คนต่อแสนประชากร ขณะที่ข้อมูลในปี 2564 จังหวัดยโสธรไม่มีจิตแพทย์เลย (ปัจจุบัน ปี 2565 จากการสอบถาม มีจิตแพทย์แล้ว 2 คน) รองลงมาคือ นครนายก เชียงใหม่ นนทบุรี และปทุมธานี ที่น่าสนใจคือ มีเพียง 14 จังหวัดเท่านั้นที่มีอัตราส่วนจิตแพทย์ต่อประชากรสูงค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ

สำหรับนักจิตวิทยา หนึ่งในกลไกสำคัญต่อการรับมือกับผู้ป่วยจิตเวชไม่แพ้จิตแพทย์ จากข้อมูลของรายงานทรัพยากรสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลจำนวนนักจิตวิทยาสังกัด กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอื่นๆ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน รายจังหวัด พบว่า รวมทั้งประเทศมีนักจิตวิทยา 729 คน เท่ากับ 1.10 คนต่อแสนประชากร และมี 6 จังหวัดที่ไม่มีนักจิตวิทยาเลย ได้แก่ ตราด แพร่ สมุทรสงคราม สิงห์บุรี หนองบัวลำภู และอ่างทอง น่าสนใจว่า ปัตตานีซึ่งมีจิตแพทย์ต่อแสนประชากรที่ 0.54 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ กลับมีนักจิตวิทยาต่อแสนประชากรมากที่สุด คือ 3.83 คน ขณะที่กรุงเทพฯ มีมากเป็นอันดับที่ 2 ที่ 3.40 คนต่อแสนประชากร และมีเพียง 28 จังหวัดเท่านั้นที่มีอัตราส่วนนักจิตวิทยาต่อประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ

ลำพูนมีอัตราผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต่อประชากรมากที่สุด

เมื่อพิจารณาเฉพาะโรคซึมเศร้า ตัวเลขการประมาณการจากฐานข้อมูลของกรมสุขภาพจิต เมื่อเดือนมิถุนายน 2565พบว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยราว 1.35 ล้านคน อัตราการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาเทียบกับตัวเลขคาดประมาณผู้ป่วยในพื้นที่อยู่ที่ 88.33

ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากฐานข้อมูลกลาง กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2556 ผู้ป่วยนอกโรคซึมเศร้าอยู่ที่ 4,295 คน เพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็น 9,522 คนในปี 2557 หลังจากนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 78,592 คนในปี 2559 ก่อนที่จำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในปีเดียว ระหว่างปี 2559 กับ 2560 เพิ่มจาก 78,592 คน เป็น 259,467 คน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้อาจจะมาจากนโยบายเชิงรุกของกระทรวงสาธารณสุข

โรคซึมเศร้าได้รับความสนใจอย่างจริงจังในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายบูรณาการการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการรักษาโรคซึมเศร้า โดยใช้ระบบบริการปฐมภูมิคัดกรองผู้ป่วยซึมเศร้า และการประเมินความรุนแรงของโรคด้วยแบบประเมิน 2 คำถามและ 9 คำถาม มีการวิเคราะห์ว่านโยบายนี้ของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้าถึงบริการที่เป็นมาตรฐานเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 5.1 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 48.5 ในปี 2559 โดยในปี 2549 ที่ยังไม่มีการดำเนินการตามระบบนี้อัตราการเข้าถึงบริการอยู่ที่ร้อยละ 3.7

ในปี 2564 หากเปรียบเทียบรายจังหวัดจากระบบฐานข้อมูลกลาง กระทรวงสาธารณสุขจังหวัดที่มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ เชียงใหม่ 22,493 คน นครราชสีมา 19,158 คนกรุงเทพมหานคร 15,676 คน อุบลราชธานี 12,752 คน และขอนแก่น 10,684 คน จังหวัดที่มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน้อยที่สุดคือ สมุทรสงคราม 715 คน

โดยจังหวัดที่มีอัตราส่วนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต่อแสนประชากรมากที่สุดคือ ลำพูน 1,754.50 คน รองลงมาคือ สิงห์บุรี 1,366.57 คน เชียงใหม่ 1,257.02 คน แม่ฮ่องสอน 1,124.80 คน อุตรดิตถ์ 1,004.82 คน ส่วนจังหวัดที่มีอัตราส่วนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต่อแสนประชากรน้อยที่สุดคือ นครปฐม 236.72 คน รองลงมาคือ อุดรธานี 240.91 คน ปัตตานี 270.56 คน กรุงเทพมหานคร 283.57 คน และสมุทรปราการ 290.16 คน

นอกจากสถานการณ์โควิด-19 จะทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นอุปสรรคให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วย ทำให้ตัวเลขอาจไม่สะท้อนกับความเป็นจริง นพ.วรตม์กล่าวว่า อาจระบุตัวเลขที่แท้จริงสำหรับสถานการณ์โรคซึมเศร้าในประเทศไทยได้ยาก เนื่องจากต้องทำแบบสำรวจระดับชาติ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งใช้งบประมาณหลักร้อยล้านบาท เป็นคำถามพ่วงไปกับโรคอื่นด้วย ตัวเลขมาตรฐานจึงออกมาทุก 4-5 ปี แต่ประเมินว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น และเมื่อดูจากงานวิจัยย่อยๆ ก็พบว่า ตัวเลขผู้ป่วยทางจิตเวชสูงขึ้นจริง รวมถึงโรคซึมเศร้าที่เป็นส่วนหนึ่งของโรคทางจิตเวชด้วย

ทั้งนี้ นพ.วรตม์อธิบายว่า ตัวเลขที่สูงขึ้นมีตัวเลขแฝง 2 อย่าง หนึ่ง เพราะมีผู้ป่วยสูงจริงจากความเครียดและอาการเจ็บป่วยมากขึ้น หรือ สอง เพราะเข้ารับบริการและได้รับการวินิจฉัยมากขึ้น เช่น หลังจากโควิด-19 มีการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคทางจิตเวชมากขึ้น คนตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น ตัวเลขที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ก็จะมาโผล่ตอนนี้ เพราะเพิ่งเข้าสู่กระบวนการรักษา อย่างไรก็ตาม แม้จะประเมินว่าตัวเลขสูงขึ้นทั้งสองทาง แต่ตอบไม่ได้ว่าเป็นสัดส่วนเท่าใด

ภาระของบุคลากรสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วย : ศรีสะเกษ จิตแพทย์ 1 คนดูแลผู้ป่วยกว่า 30,000 คน

แม้จะปรากฏว่าเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชและซึมเศร้ามากที่สุด รองลงมากคือนครราชสีมาและกรุงเทพฯ แต่เมื่อเปรียบเทียบเทียบกับจำนวนจิตแพทย์และนักจิตวิทยา จะเห็นได้ว่า ในจังหวัดเหล่านี้ ภาระในการดูแลผู้ป่วยของบุคลากรสาธารณสุขยังถือว่าไม่หนักที่สุด

ในระดับภาค จะพบว่าภาคเหนือเป็นภาคที่มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชต่อประชากรสูงสุดอยู่ที่ 8.84% รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่แม้มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชสูงที่สุดถึง 1,495,210 คน แต่คิดเป็นอัตราส่วนต่อประชากรของภาคเพียง 6.85% ตามมาด้วยภาคใต้ที่ 5.83% แต่ในส่วนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสูงสุดและยังคิดเป็นอัตราส่วนต่อประชากรสูงสุดอีกด้วย อยู่ที่ 0.52% รองลงมาคือภาคตะวันตก 0.5% และภาคใต้ที่ 0.5% ใกล้เคียงกัน

เมื่อพิจารณาภาระความรับผิดชอบของบุคลากรสาธารณสุขต่อจำนวนผู้ป่วยในระดับภาค จะพบว่า จิตแพทย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นมีภาระสูงสุด โดยจิตแพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 10,994 คนเลยทีเดียว รองลงมาก็คือภาคตะวันตก ที่อัตราส่วน 1 : 6,540 คน และภาคใต้ 1 : 6,291 คน ในส่วนของภาระการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้น จิตแพทย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังมีภาระสูงสุดเช่นเดิม โดยจิตแพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 827 คน รองลงมาคือภาคเหนือ ที่อัตราส่วน 1 : 656 คน และภาคตะวันตก 1 : 639 คน

เมื่อพิจารณาจำนวนนักจิตวิทยา พบว่า นักจิตวิทยาในภาคเหนือนั้นมีภาระสูงสุด โดยนักจิตวิทยา 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 9,974 คน รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อัตราส่วน 1 : 9,646 และภาคตะวันตก 1 : 6,291 สำหรับภาระการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้น จิตแพทย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังมีภาระสูงสุดเช่นเดิม โดยจิตแพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 827 คน รองลงมาคือภาคเหนือ ที่อัตราส่วน 1 : 656 และภาคตะวันตก 1 : 639

หากดูระดับจังหวัดจะพบว่า จากข้อมูลรายงานทรัพยากรสาธารณสุข ปี 2564 จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดที่ยังไม่มีจิตแพทย์ประจำโรงพยาบาล จากการสอบถามแหล่งข่าวด้านสาธารณสุขในพื้นที่พบว่า ในช่วงที่ยังไม่มีจิตแพทย์มาประจำที่โรงพยาบาลในจังหวัด ยโสธรใช้แพทย์จากพื้นที่ใกล้เคียงมาช่วยดูแลผู้ป่วยจิตเวช ปัจจุบัน ในปี 2565 ยโสธรมีจิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลแล้ว 2 คน หรือเท่ากับจิตแพทย์ 1 คนต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวช 18,643.5 คน รองลงมาก็คือจังหวัดศรีสะเกษที่จิตแพทย์ 1 คนต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 34,811 คน ตามมาด้วยจังหวัดมุกดาหาร ในอัตราส่วน 1 : 27,997 สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จิตแพทย์ 1 คน มีภาระในการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสูงถึง 3,216 คน รองลงมาก็คือมุกดาหารในอัตราส่วน 1 : 2,640 และศรีสะเกษในอัตราส่วน 1 : 2,566

ภาระการดูแลผู้ป่วยของนักจิตวิทยานั้น จากข้อมูลรายงานทรัพยากรสาธารณสุข ปี 2564 พบว่า ตราด แพร่ สมุทรสงคราม สิงห์บุหรี หนองบัวลำภู และอ่างทอง เป็นจังหวัดที่ไม่มีนักจิตวิทยาเลย รองลงมาคือจังหวัดเลย ซึ่งนักจิตวิทยา 1 คนต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชสูงถึง 52,717 คน ตามมาด้วยกำแพงเพชร ที่อัตราส่วน 1 : 46,296 และเมื่อพิจารณาในส่วนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า นอกจากจังหวัดที่ไม่มีนักจิตวิทยาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็ยังพบว่าจังหวัดเลย นักจิตวิทยา 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสูงถึง 3,937 คน รองลงมากคือพระนครศรีอยุธยา ที่อัตราส่วน 1 : 3,708

จะเห็นได้ว่าในภาพรวมนั้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บุคลากรทางการแพทย์ยังคงต้องทำงานหนักในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและผ้ป่วยโรคซึมเศร้า อันเป็นผลมาจากทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วย และที่สำคัญก็คือจำนวนบุคลากรสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอ

ระบบการผลิตแพทย์เฉพาะทางติดขัด ส่งผลให้จิตแพทย์ไม่พอ

ในภาพรวมจะเห็นได้ว่า ทุกพื้นที่ในประเทศไทย ยังคงขาดแคลนจิตแพทย์ การกระจายแพทย์เฉพาะทางไปยังพื้นที่ต่างๆ คำนวณจากหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น สาธารณสุขจังหวัดจะต้องตัดสินใจว่า จะเลือกแพทย์เฉพาะทางสาขาใด เหตุใดจึงไม่เลือกอีกสาขาหนึ่งที่อาจจะเป็นที่ต้องการไม่ต่างกัน ซึ่งแต่ละพื้นที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน

ขณะเดียวกัน นพ.วรตม์อธิบายว่า เหตุที่จิตแพทย์ขาดแคลนมาจากการกระบวนการผลิตจิตแพทย์ทำได้ยากและใช้เวลานาน ต้องรอจนกว่าแพทย์เรียนจบหลักสูตร 6 ปี ใช้ทุนอีก 3 ปี จึงจะกลับมาเรียนแพทย์เฉพาะทางต่อ จิตแพทย์ผู้ใหญ่ใช้เวลาเรียน 3 ปี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น 4 ปี โดยผู้ที่ต้องการเป็นจิตแพทย์ต้องหาทุนมาเรียนเอง หรือมีต้นสังกัดออกทุนให้ ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่หรือหน่วยงานเหล่านี้เปิดรับ เช่น ตำแหน่งว่าง มีคนลาออก หรือเปิดหน่วยบริการใหม่ เมื่อได้รับคำยืนยันแล้ว แพทย์จึงจะเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนแพทย์ได้ เมื่อเรียนจบก็ต้องกลับไปทำงานที่ต้นสังกัด

อีกทางหนึ่ง บางโรงเรียนแพทย์อาจจะมีทุนให้ ซึ่งไม่มาก และแต่ละมหาวิทยาลัยต้องออกทุนฝึกอบรมเอง ซึ่งผู้ที่เรียนจบแล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ อีกเส้นทางหนึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิต ซึ่งมีทุนให้ปีละ 4-5 ทุน แพทย์จะมาสมัครเอง หากได้ทุนก็ต้องไปสมัครที่โรงเรียนแพทย์อีกขั้นหนึ่ง เมื่อเรียนจบ กรมสุขภาพจิตจึงจะกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดที่ขาดแคลนจิตแพทย์

นอกจากระยะเวลาในการเรียนแล้ว นพ.วรตม์มองว่า ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งมาจากการขาดแคลนอาจารย์ สำหรับจิตแพทย์ 1 คน ต้องใช้อาจารย์แพทย์ประมาณ 3 คน ด้วยอัตราแบบนี้ทำให้เพิ่มจำนวนได้ช้า เพราะคนที่อยู่ในระบบมีน้อย ไม่เหมือนกับสาขาอื่นๆ ที่ผลิตได้เยอะกว่า เช่น ศัลยศาสตร์ สถาบันหนึ่งผลิตได้ปีละ 30 คน ส่วนหนึ่งมาจากการที่สาขานี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในช่วงประมาณ 20 ปีก่อนหน้านี้ เพิ่งจะได้รับความสนใจในช่วง 4-5 ปีนี้เอง การเพิ่มจำนวนจิตแพทย์จึงมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

แต่นับว่าโชคดีที่สาขาจิตเวชมีวิชาชีพอื่นทำงานอยู่ขนานไปด้วย มีสหวิชาชีพที่ทำงานร่วมกัน ทั้งนักจิตวิทยาคลินิกและพยาบาลจิตเวช แต่ปัจจุบันนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งทำงานในโรงพยาบาลโดยตรง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ทำหน้าที่ได้เกือบเท่าจิตแพทย์ยกเว้นสั่งยา ก็กำลังประสบปัญหาไม่เพียงพอเช่นกัน มีสถาบันที่เปิดสอนน้อยลง ส่วนนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา ที่มีการเรียนการสอนในหลายสถาบัน อาจไม่ได้ทำงานกับคนไข้โดยตรง

ปัจจุบัน กรมสุขภาพจิตและสมาคมจิตวิทยาการปรึกษา อยู่ระหว่างการผลักดันมาตรฐานการให้บริการการให้คำปรึกษา ซึ่งจะนำไปสู่การรับรองวิชาชีพทางกฎหมาย แต่ต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะต้องฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย และมีหลายขั้นตอน นพ.วรตม์กล่าวว่า เพราะเห็นว่า ในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถผลิตจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกได้ทัน และกำลังต้องการนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาเพื่อเติมเต็มทุกส่วน แต่ก็จะใช้เวลานานพอสมควรในการสร้างกฎระเบียบใหม่

ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น บุคลากรสาธารณสุขไม่เพียงพอ ระเบิดเวลาปัญหาสุขภาพจิตไทย

จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่า นอกจากจำนวนผู้ป่วยจิตเวชและผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในสังคมไทย จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากหลายเหตุปัจจัย ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว แต่อีกหนึ่งปัญหาที่น่ากังวลไม่แพ้กัน คือความขาดแคลนการเข้าถึงการดูแลรักษาและการรองรับการดูแลรักษา เนื่องจากจำนวนบุคลากรสาธารณสุขด้านจิตเวชในไทยนั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการดูแลรักษาหรือได้รับการดูแลรักษาได้ไม่ดีพอ

ในภาพย่อย เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ระหว่างจังหวัดที่มีมากที่สุด กับจังหวัดอื่นๆ ของประเทศ จะพบว่าแตกต่างกันหลายเท่า สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสาธารณสุข สิ่งนี้ยิ่งซ้ำเติมผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่ที่มีทรัพยากรสาธารณสุขไม่เพียงพอ และเป็นโจทย์ใหญ่ในการแก้ปัญหาของภาครัฐ ที่ไม่เพียงต้องป้องกันและลดจำนวนผู้ป่วยจิตเวชและโรคซึมเศร้า แต่ยังต้องคำนึงถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำจากทรัพยากรสาธารณสุขที่ไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่อีกด้วย

 

* Disclaimer : ปัจจุบันยังไม่มีการเผยแพร่รายงานทรัพยากรสาธารณสุข 2565 ซึ่งจำแนกข้อมูลรายจังหวัด รายงานชิ้นนี้จึงอ้างอิงจำนวนจิตแพทย์และนักจิตวิทยาจากรายงานฯ ปี 2564

ดูข้อมูลพื้นฐานได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-psy-resource/

 

ข้อมูลจาก

จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการจำแนกรายกลุ่มโรค (คน) รายจังหวัด ปีงบประมาณ 2564 ทั้งในและนอกสธ. ทุกเครือข่ายบริการ จากฐานข้อมูล HDC     https://hdcservice.moph.go.th/hdc/reports/report.php          

จำนวนแพทย์เฉพาะทางจิตเวชศาสตร์และจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่นรายจังหวัด 2564 จากรายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข 2564 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://bps.moph.go.th/new_bps/sites/default/files/Report%20Health%20Resource%202021.pdf   

จำนวนนักจิตวิทยารายจังหวัด ปีงบประมาณ 2564 จาก รายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข 2564 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข             https://bps.moph.go.th/new_bps/sites/default/files/Report%20Health%20Resource%202021.pdf

อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ ปีงบประมาณ2564 จากฐานข้อมูล HDC           https://hdcservice.moph.go.th/hdc/reports                       

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แรงงานภาคเหนือเรียกร้อง 'สวัสดิการ'มองเห็น 'คุณค่าคนทำงาน'ในวัน 'งานที่มีคุณค่า'

$
0
0

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ และองค์กรเครือข่ายร่วมกันจัดงาน “คุณค่าของคน ≠ คุณค่าของงาน” ขึ้นที่เชียงใหม่ เนื่องในวัน 'งานที่มีคุณค่าสากล'หรือ Decent Work Day ชู 6 ข้อเรียกร้อง เพื่อชีวิตแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ ระบุ รัฐต้องปรับปรุงระบบประกันสังคมให้แรงงานทุกคน ทุกอาชีพ เข้าถึงระบบประกันสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ

 

10 ต.ค. 2565 เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2565 เวลา 11.00 – 16.30 น. เครือข่ายแรงงานภาคเหนือร่วมกับมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation), มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (Empower Foundation), มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) และ ตี่ตาง จัดงาน “คุณค่าของคน ≠ คุณค่าของงาน” เนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล หรือ Decent Work Day ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี ขึ้นที่โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้น จังหวัดเชียงใหม่

ภายในงานมีกิจกรรมการแสดงละคร เวที “เราต้องการสวัสดิการ” โดยตัวแทนแรงงานจากอาชีพต่างๆ อาทิ แรงงานแม่บ้าน แรงงานภาคเกษตร แรงงานก่อสร้าง ไรเดอร์ ฯลฯ เพื่อบอกเล่าปัญหาของแรงงานในแต่ละอาชีพ ต่อด้วยปาฐกถาพิเศษ “คุณค่าของคน คุณค่าของงาน” โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กิจกรรมการโต้วาที “คุณค่าของคนสำคัญกว่าคุณค่าของงาน” จากตัวแทนแรงงาน และการเวทีเสวนา “คุณค่าของคน ≠ คุณค่าของงาน” ร่วมเสวนา โดย อักษรสิริ ต้อยปาน จากสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส, ทรงพันธ์ ตันตระกูล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะมนุษยศาสตร์ มช. และ ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร, ชัชลาวัณย์  เมืองจันทร์ จากเครือข่ายแรงงานภาคเหนือ และศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน

ภาพขณะละครเวที “เราต้องการสวัสดิการ”

วัน 'งานที่มีคุณค่า'สหภาพคนทำงานแสดงเจตจำนง 5 ข้อ ในนามของ 'ผู้ใช้แรงงาน'

กลุ่มเครือข่ายแรงงานภาคเหนือมีการออกแถลงการณ์ เนื่องในวัน “งานที่มีคุณค่า” ระบุ สถานการณ์การจ้างงานปัจจุบันในพื้นที่ภาคเหนือแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติยังคงถูกละเมิดสิทธิแรงงานหลายประการ และมีการเลือกปฏิบัติในการจ่ายค่าจ้างระหว่างแรงงานหญิงและแรงงานชาย มีความรุนแรงทางเพศในที่ทำงาน รวมถึงแรงงานหลายภาคส่วนยังเข้าไม่ถึงสิทธิและสวัสดิการ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และส่งเสริมให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของคนทำงาน เครือข่ายแรงงานภาคเหนือจึงมีการเสนอ 6 ข้อเรียกร้อง เพื่อชีวิตคนทำงาน ดังนี้

  1. รัฐบาลต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน และอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการต่อต้านความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน
  2. รัฐบาลต้องนำหลักการการคำนวณค่าจ้างที่เป็นธรรมตามมาตรฐานแรงงานสากล มาใช้สำหรับการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
  3. รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาการจ้างงานยืดหยุ่น เสี่ยง และไม่มั่นคง (precarious work) รวมถึงการจ้างงานบนแพลตฟอร์มที่บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในฐานะนายจ้าง โดยรัฐต้องไม่ตีความแรงงานแพลตฟอร์มเป็นคนงานอิสระหรือแรงงานนอกระบบตามที่บริษัทพยายามกล่าวอ้าง เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการหมวดหมู่สถานะจ้างงานผิดประเภท (misclassification)
  4. รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายการบริหารจัดการด้านแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบและเป็นแผนนโยบายระยะยาว 5 ปี หรือ 10 ปี โดยต้องกำหนดนโยบายที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีความโปร่งใสและเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
  5. รัฐบาลต้องปรับปรุงระบบประกันสังคมโดยออกกฎกระทรวงกำหนดให้แรงงานทุกคน ทุกอาชีพเข้าสู่ระบบประกันสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ
  6. รัฐบาลต้องยกเลิกพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี  และให้แก้ไข พรบ.คุ้มครองแรงงาน 2541 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมแรงงานภาคบริการ

 

แถลงการณ์เนื่องในวัน “งานที่มีคุณค่า”

 

องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้ให้ความหมายของ “งานที่มีคุณค่า” คือ งานซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์ ประกอบด้วยหลักการสำคัญดังนี้

1.เสรีภาพในการสมาคม สิทธิการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของคนทุกคนและการเจรจาต่อรองเพื่อกำหนดสภาพการจ้างงาน การไม่ใช้แรงงานบังคับ การไม่ใช้แรงงานเด็ก และการไม่เลือกปฏิบัติในการจ้างงาน

2.การจ้างงานประจำ

3.การประกันสังคม

4.ระบบการปรึกษาหารือตามหลักมาตรฐานแรงงานสากล 5.การมีความเท่าเทียมทางเพศ

 

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือพบว่า สถานการณ์การจ้างงานปัจจุบันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยนั้น แรงงานในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติยังถูกละเมิดสิทธิแรงงานหลายประการ ได้แก่

คนงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังคงเผชิญปัญหา ทั้งเรื่องรายได้ที่ค่าจ้างที่ได้รับส่วนใหญ่อยู่ในฐานค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งแทบไม่พอในการดูแลตัวเองและครอบครัว นายจ้างตัดลดสวัสดิการต่าง ๆ และอุปสรรคในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน รวมถึงไม่มีส่วนร่วมในคณะกรรมการไตรภาคีชุดต่างๆ

คนงานทำงานบ้านและคนทำงานในภาคการเกษตรยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกองทุนเงินทดแทน  ไม่สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคม รวมถึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นต้น

แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับสิทธิเฉกเช่นแรงงานทั่วไปตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด เช่น ไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่มีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดและวันลาตามที่กฎหมายกำหนด ต้องทำงานล่วงเวลาโดยไม่สมัครใจ และเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องอาชีพ และเอกสารที่ใช้ในการขึ้นทะเบียน นายจ้างบางรายไม่ได้นำลูกจ้างไปขึ้นทะเบียนประกันสังคม และคนงานส่วนที่เข้าสู่ระบบประกันสังคมก็ยังมีปัญหาการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ เช่น การใช้สิทธิในกองทุนว่างงาน ทุพลภาพ และกรณีการรับเงินบำเหน็จชราภาพ

มีการเลือกปฏิบัติในการจ่ายค่าจ้างระหว่างแรงงานหญิงและแรงงานชาย

มีความรุนแรงทางเพศในที่ทำงาน

แรงงานในภาคบริการยังคงถูกเลือกปฏิบัติและตีตราจากสังคม ด้วยเหตุผลของความแตกต่างทางเพศ ยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพเฉกเช่นแรงงานทั่วไป

แรงงานที่ขับรถส่งอาหารในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังขาดการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการด้านต่าง ๆ ต้องแบกรับความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ และความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายจากการทำงานโดยต้องรับผิดชอบตนเอง

 

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของคนทำงาน เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ จึงมีความเห็น ดังนี้

1. รัฐบาลต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน และอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการต่อต้านความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน

2. รัฐบาลต้องนำหลักการการคำนวณค่าจ้างที่เป็นธรรมตามมาตรฐานแรงงานสากล มาใช้สำหรับการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราเดียวกันทั่วทั้งประเทศ

3. รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาการจ้างงานยืดหยุ่น เสี่ยง และไม่มั่นคง (precarious work) รวมถึงการจ้างงานบนแพลตฟอร์มที่บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในฐานะนายจ้าง โดยรัฐต้องไม่ตีความแรงงานแพลตฟอร์มเป็นคนงานอิสระหรือแรงงานนอกระบบตามที่บริษัทพยายามกล่าวอ้าง เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการหมวดหมู่สถานะจ้างงานผิดประเภท (misclassification)

4. รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายการบริหารจัดการด้านแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบและเป็นแผนนโยบายระยะยาว 5 ปี หรือ 10 ปี โดยต้องกำหนดนโยบายที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีความโปร่งใสและเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

5. รัฐบาลต้องปรับปรุงระบบประกันสังคมโดยออกกฎกระทรวงกำหนดให้แรงงานทุกคน ทุกอาชีพเข้าสู่ระบบประกันสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ

6. รัฐบาลต้องยกเลิกพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี  และให้แก้ไข พรบ.คุ้มครองแรงงาน 2541 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมแรงงานภาคบริการ

 

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ

9 ตุลาคม 2565

 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วงเสวนาถอดรหัสรักสู่ฆาตกรรม พบแนวโน้มสูงขึ้น เหตุหึงหวง ง้อไม่สำเร็จ

$
0
0

วงเสวนาถอดรหัสรักสู่ฆาตกรรมในไทย พบแนวโน้มสูงขึ้น เหตุหึงหวง ง้อไม่สำเร็จ บวกเหล้า-ยามากระตุ้น ความคิดชายเป็นใหญ่ มองผู้หญิงหรือลูกเป็นสมบัติ จะทำอะไรก็ได้ แนะบังคับใช้กฎหมายเข็มข้น ป้องกันเหตุซ้ำซาก แยกคดีฆ่าในครอบครัวออกจากคดีอื่น ชงเปิดหลักสูตรสอน “ความสัมพันธ์” ตั้งแต่ประถม ด้านอดีตสามีที่เคยพลั้งมือฆ่าคนรักเพราะฤทธิ์สุราและศักดิ์ศรีปลอมๆ เผยแม้ออกมาจากคุกแล้วแต่ตราบาปติดอยู่ในใจไม่ลืม  จึงอยากเอาเรื่องของตนเตือนใจผู้คน   

10 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า วันนี้ (10 ต.ค.65) ที่โรงแรมแมนดาริน สามย่าน กทม. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ “ถอดรหัสรัก...สู่ความรุนแรงและฆาตกรรม” พร้อมทำการแสดงเชิงสัญลักษณ์ ชุด “สมบัติ...รัก” โดยเครือข่ายละครเฉพาะกิจเธียเตอร์

อนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า พม.ได้มีการดำเนินการในหลายมาตรการ ซึ่งในการประชุมคณะอนุกรรมการรณรงค์การสื่อสารความเท่าเทียมระหว่างเพศ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ได้แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีการทำ MOU ระหว่างผู้เกี่ยวข้องเพื่อสร้างมาตรการร่วมกัน รวมถึงรณรงค์สร้างความตระหนักต่อสังคมให้มีความเข้าใจในประเด็นนี้ มีความตื่นตัว ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรง ซึ่งองค์กรภาคประชาสังคมเป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาทำงานด้วยกันพร้อมกับความตื่นตัวของ ประชาชนที่ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรง และหวังว่าเวทีวันนี้จะสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนทั้งด้านรูปแบบความรุนแรง และข้อกฎหมาย ตลอดจนทัศนคติ เคารพให้เกียรติระหว่างเพศ ไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ 

พม.มีภารกิจในการคุ้มครอง พิทักษ์สิทธิสตรีและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ  และมีกลไกหน่วยงานในการช่วยเหลือ เยียวยา คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว สามารถโทรเข้ามาได้ที่ 1300  ซึ่งจากปัญหาข้างต้นได้สร้างความบอบช้ำต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก การกระทำความรุนแรงในครอบครัว  ความรุนแรงในคู่รักถือเป็นภัยใกล้ตัวที่ลุกลามไปสู่ลูกหลาน ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำมายาคติโดยเฉพาะการมองปัญหาเป็นเรื่องครอบครัวหรือเป็นเรื่องส่วนตัว 

อังคณา อินทะสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการรวบรวมข่าวความรุนแรงในครอบครัวในหน้าหนังสือพิมพ์พบเหตุการณ์เพิ่มขึ้นทุกปี เฉพาะข่าวฆ่ากันตายในคู่รัก สามี-ภรรยา สูงเป็นอันดับ 1 โดยปี 2563 มี 323 ข่าว หรือ 54.5% เป็นสามีกระทำต่อภรรยา 105 ข่าว หรือ 60 % คู่รักแบบแฟน 18 ข่าว หรือ 47.4 % ขณะที่ปี 2561 มี 384 ข่าว หรือ 61.6 % ปี 2559 มี 226 ข่าว หรือ 48.5 %ปี 2557 มี 230 ข่าว หรือ 62.5 % และปี 2555 มี 197 ข่าว หรือ 59.1 % เมื่อพิจารณาสาเหตุพบว่ามาจากหึงหวง ระแวงว่านอกใจ ตามง้อไม่สำเร็จ และจะพบว่าตอนก่อเหตุส่วนใหญ่เมาเหล้า เสพยา และความขัดแย้งเรื่องหนี้สิน ตามลำดับ และอาวุธที่ใช้ส่วนใหญ่คือปืน

สำหรับสาเหตุที่ผู้หญิงถูกคนรักฆาตกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี มาจากปัจจัยโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และค่านิยมที่คาดหวัง หล่อหลอมให้ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ผู้หญิงมีบทบาทด้อยกว่า ความไม่เสมอภาค, ทัศนคติมองความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว, นิสัยส่วนตัว, ครอบครัวเคยมีการใช้ความรุนแรง และสุรา ยาเสพติดเป็นปัจจัยกระตุ้น เพราะทำให้ขาดสติ นิสัยและพฤติกรรมเปลี่ยนไป สอดคล้องกับการศึกษาของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบคดีฆ่าหั่นศพตั้งแต่ปี 2534 ถึงปัจจุบัน (เฉพาะทราบชื่อ) จำนวน 10 ราย ผู้ก่อเหตุเป็นเพศชาย 7 ราย เพศหญิง 3 ราย ส่วนใหญ่ไม่ได้ป่วยโรคทางจิตเวช แต่กระทำเพื่อทำลายหลักฐานอำพรางคดี ส่วนที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชมี 3 รายทำเพราะอาการกำเริบ ไม่ได้รับประทานยาจิตเวชต่อเนื่อง ไม่ได้รักษา หรือมีการใช้สารเสพติด ดื่มสุรา

“การแก้ปัญหาต้องบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครองผู้ถูกกระทำ  ลดการกระทำซ้ำ และมีมาตรการการแก้ไขเข้าถึง และครอบครองอาวุธปืนได้ยากขึ้น ควรให้ต่ออายุทุกๆสองหรือสามปีเพื่อการตรวจสอบบุคคลที่ครอบครอง  ส่วนครอบครัว ชุมชน สังคมต้องสอดส่องให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา  ไม่มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว การจับสัญญาณอันตรายเหล่านี้ให้ได้จึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อสื่อสารขอความช่วยเหลือ ระงับเหตุ” อังคณา กล่าว

ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาการทำร้าย หรือฆาตกรรมในครอบครัว ที่มีสามีหรือผู้ชายเป็นผู้ก่อเหตุ เกิดขึ้นในสังคมปิตาธิปไตย ที่ผู้ชายจะมองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า เป็นสมบัติ เป็นตุ๊กตา หรือของสะสมที่จะเก็บ หรือจัดการอย่างไรก็ได้ เช่นกรณีชายฆ่าหั่นศพแฟนสาวที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อฟังจากการให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงดูผู้หญิงคนนี้มาตลอด แต่กลับไม่ยอมเปิดเผยสถานะให้สังคมรู้ เลยลงมือฆ่า ซึ่งทั้งที่จริงตัวผู้ชายคนนี้ก็มีคนรักอยู่แล้ว ตรงนี้ก็จะสะท้อนว่ามองผู้หญิงเป็นเหมือนตุ๊กตา เป็นของสะสม ทั้งนี้แนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาคือ 1. แยกคดีฆาตกรรมในครอบครัวออกจากคดีฆาตกรรมอื่น ถอดบทเรียนวิเคราะห์จะได้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่และแก้ไขปัญหา 2.เพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องความสัมพันธ์ชาย หญิง การเข้าสู่ความสัมพันธ์ ที่ต้องเคารพความเสมอภาค เคารพสิทธิเนื้อตัวของผู้อื่น และรู้จักการถอยออกจากความสัมพันธ์ด้วยความเคารพต่อกันและกัน ทั้งนี้หากทำตรงนี้ได้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับเด็กๆ เมื่อเติบโตขึ้น สามารถแยกแยะความสัมพันธ์ และสามารถกลั่นกรองสื่อต่างๆ ที่อยู่ในยุคหาสื่อดีๆ ได้ยาก 

เอ (ชายนามสมมุติ) ผู้ที่เคยผิดพลาด และต้องชดใช้ด้วยการจองจำ กล่าวว่า ตนเกิดมาในครอบครัวคนมีสีพ่อแม่ทะเลาะ ทำร้ายร่างกายกันบ้าง แม้ไม่บ่อย แต่สุดท้ายก็แยกทางกัน ส่วนตัวรักสนุก เกเร คบเพื่อนที่มาจากครอบครัวบ้านแตกแยก ขี้โมโห อารมณ์ร้อน มีเรื่องชกต่อย พอมีแฟนก็คิดว่าเราต้องเป็นผู้นำ แฟนต้องยอม และเดินตามหลัง เมื่ออายุ 26 ปี ตนทำงานขายซีดีรายได้ประมาณเดือนละแสนบาท มีอำนาจมากในครอบครัว มีการทำร้ายร่างกาย จิตใจ นอกใจและคิดว่าแฟนต้องยอมรับเรื่องแบบนี้ให้ได้ จนกระทั่งคืนเกิดเหตุ ขณะที่นั่งกินเหล้าอยู่ที่บ้านเพื่อน  แล้วแฟนก็โทรมาหลายครั้งให้กลับบ้านเพราะมีคนมาเก็บเงินค่าเก็บขยะ และเดินมาตามถึงวงเหล้า จึงรู้สึกเสียหน้า เพื่อนก็แซว พอกลับถึงบ้านจึงทะเลาะกัน ตนทำร้ายจนแฟนแน่นิ่งไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย จนกระทั่งตนได้สติ รีบนำเธอส่งรพ.แต่สุดท้ายแฟนก็เสียชีวิต ถูกตัดสินให้ติดคุก 10 ปี ซึ่งผมสารภาพและยอมรับผิดทุกอย่างไม่มีการต่อสู้คดีแต่อย่างใด  ยอมรับกรรมจากสิ่งที่ตัวเองทำ  สิ่งที่เกิดขึ้นตนเสียใจมากที่กินเหล้าแล้วโมโหร้าย ทำเกินกว่าเหตุ แม้ติดคุกก็ไม่สาสม จึงอยากให้ความผิดพลาดของตนเป็นกรณีตัวอย่าง  เพื่อลดปัญหาลง ตอนนี้แม้สภาพจิตใจจะดีขึ้น แต่ตราบาปในใจไม่เคยหายไปไหน 

ขณะที่ บี (หญิงนามสมมติ) ผู้ถูกกระทำความรุนแรงจากคนรัก กล่าวว่า ตอนวัยรุ่นเรียนพาณิชย์ปี 1 มีแฟนที่ค่อนข้างเกเร พอคบได้ประมาณ 1 ปี เริ่มหึงหวง ไปไหนก็จะคอยตามตลอดเวลาจนรู้สึกอึดอัด พยายามบอกเลิก แต่ฝ่ายชายก็พยายามตามมาเจอ มาเฝ้าหน้าโรงเรียน ตนรำคาญจึงบอกว่ามีแฟนใหม่แล้ว คาดว่าสร้างแค้นเคืองไว้จึงสะกดรอยตามตนเองกว่า 3 เดือน กระทั่งวันหนึ่ง ตนกับเพื่อนไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ระหว่างเดินกลับบ้านผู้ชายคนนี้ก็มาดัก และสาดน้ำกรดใส่ ต้องเข้ารักษาตัวที่รพ.หลายเดือน โดยมีพี่สาวและแม่ คอยดูแลให้กำลังใจ ส่วนผู้ก่อเหตุหลบหนีไปจนคดีสิ้นสุด 20 ปี ไม่รู้ข่าวเขาอีกเลย ในขณะที่ตนต้องอยู่กับความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ  เก็บตัว และทำร้ายตัวเอง โชคดีที่มีแม่ และพี่ น้องคอยประคับประคอง ได้คุยกับเพื่อนที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ กับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จนเริ่มเปิดใจ และเริ่มทำงาน จนถึงวันนี้ผ่านมา 49 ปีตนเข้มแข็งและสามารถให้การช่วยเหลือ และบอกเล่าประสบการณ์ของตนเองได้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ถูกกระทำความรุนแรงคนอื่นๆ ให้ลุกขึ้นจัดการปัญหาของตนเอง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'พม่าที่ผลิกผัน' : วันวาน วันนี้ วันหน้า หน้าตาของพม่าจะเป็นอย่างไร

$
0
0

สรุปเสวนา “พม่าที่พลิกผัน” (Unpredictable Myanmar) หลังการรัฐประหารในพม่าเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนจนกลายเป็นวิกฤตมนุษยธรรมไปทั่วพม่าและประเทศรอบข้าง รัฐบาลทหารพม่าเผาบ้านเรือนประชาชนไปมากกว่า 30,000 หลังคาเรือน UN คาดการณ์ว่าปี 2565 นี้จะมีเด็กพม่ากว่า 33,000 คน เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ร่วมวิเคราะห์วันวาน วันนี้ วันหน้า ของพม่า

ภาพ รัศมิ์ลภัส กวีวัจน์

10 ต.ค. 2565 เฟซบุ๊กเพจ “The Mekong Butterfly”รายงานสรุปเสวนา “พม่าที่พลิกผัน” (Unpredictable Myanmar)ที่จัดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2565 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยากรโดยThomas H. Andrews. The UN Special Rapporteur on the situation of human rights in Myanmar, ชยันต์ วรรธนะภูติ ศูนย์ภูมิภาคเพื่อสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน (RCSD), พรสุข เกิดสว่าง มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน, ขวัญชนก กิตติวาณิชย์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) และกฤษณ์พชร โสมณวัตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หลังการรัฐประหารในพม่าเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางจนเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตมนุษยธรรมและถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ พรสุข เกิดสว่างจากมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน กล่าวว่า ประเทศพม่าก่อนรัฐประหารก็ไม่ได้สันติมากนัก เพราะการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสู้รบชายแดน และเสรีภาพสื่อ

ความพลิกผันในพม่าหลังเกิดการรัฐประหารคือการทำให้ประเทศกระโดดพลิกกลับไปข้างหลัง แม้ว่าก่อนหน้านี้กระบวนการสันติภาพจะยังไม่เกิดขึ้นในพม่ามากนัก แต่ที่ผ่านมาสิทธิมนุษยชนก็เริ่มมีทิศทางและก้าวไปข้างหน้าได้ การเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทำให้ประชาชนพม่ารู้จักโลกภายนอกและความเป็นไปของสังคมโลกมากกว่าที่เคยเป็น

การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน หลังการรัฐประหาร เป็นการโจมตีที่ไม่ได้มีการแยกแยะระหว่างคนที่ถืออาวุธหรือไม่ถืออาวุธ เป็นการโจมตีที่ไม่แยกแยะว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่สำคัญอย่างโรงพยาบาล โรงเรียน หรือบ้านเรือนประชาชนทั่วไป

นอกจากความรุนแรงแล้ว ยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา เช่น การควบคุมโรคติดต่อ การขาดแคลนอุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์ เกิดภาวะทุพภิกขภัย การปิดกั้นการเข้าถึงแหล่งอาหาร ประชาชนอดอยาก ทำมาหากินไม่ได้ เพาะปลูกไม่ได้ เพราะต้องหนีอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังมีการใช้ทหารเด็ก บังคับเกณฑ์ทหาร และบังคับใช้แรงงานอย่างกว้างขวาง ซ้ำร้ายยังมีการเกิดขึ้นอย่างมากของธุรกิจมืดตามแนวชายแดน

“ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงมองว่าวิกฤตของพม่าก็คือวิกฤตของเรา (ไทย)” พรสุข กล่าว

 

วิกฤตในพม่าส่งผลให้มีการอพยพลี้ภัยของผู้คนในพม่าเป็นจำนวนมากทั้งที่ตกเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและผู้ลี้ภัยการเมืองทะลักเข้ามาในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายวิธี

ไทยมีนโยบายที่ไม่มีนโยบายในการจัดการกับเรื่องนี้ กล่าวคือ ไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม และทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต่างจากเมื่อ 30 ปีก่อนที่แม้ว่ารัฐไทยจะไม่ปฏิบัติหรือยอมรับสถานะความเป็นผู้ลี้ภัยของประชาชนจากพม่า แต่ก็ยังมีที่หลบภัยที่ปลอดภัยสามารถเข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยได้ พร้อมปล่อยให้ UNHCR ดำเนินกระบวนการพิจารณาสถานะบุคคล ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองต่าง ๆ แก้ผู้ลี้ภัยก่อนเดินทางไปยังประเทศที่สามหรือกลับภูมิลำเนาได้ แต่ปัจจุบันไม่มีกระบวนการอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่แล้ว

การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการเป็นมหามิตรระหว่างกองทัพไทยและพม่าไม่อาจแก้ปัญหาใด ๆ ได้ในระยะยาวและจะยิ่งสร้างความลำบากและความทุกข์ให้กับประชาชนของทั้งในพม่าและประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนมากยิ่งขึ้น

รัฐไทยไม่นับว่าประชาชนที่ลี้ภัยสงครามเป็นผู้ลี้ภัย เพราะไทยไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย มีแต่คนที่หลบหนีภัยการสู้รบ ซึ่งกลุ่มนี้จะอยู่ตามแนวชายแดน ส่วนคนที่เป็นผู้ลี้ภัยการเมือง ก็ถูกรัฐไทยมองว่าเป็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายและคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย รัฐไม่สามารถแยกได้ว่าใครเป็นผู้ลี้ภัยหรือแรงงาน ทุกคนที่ถูกจับกุมจะถูกเรียกว่าแรงงานผิดกฎหมาย

การที่ไทยมองว่าวิกฤตในพม่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาและผู้ลี้ภัยก็ไม่ได้หายไป หรือตัวเลขผู้ลี้ภัยจะลดลงได้แต่อย่างใด แม้จะสามารถส่งกลับหรือผลักดันกลับไปได้ แต่สุดท้ายผู้ลี้ภัยก็จะกลับมาอีกอยู่ดีเพราะสถานการณ์ที่บ้านเขาไม่เอื้อให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย

ผู้ลี้ภัยต้องประสบกับความหวาดกลัว ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่สามารถเปิดเผยตัวได้ ส่วนหน่วยงานที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือก็ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย ต้องทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การช่วยเหลือเข้าไปถึงผู้ลี้ภัยได้ไม่มากนักและไม่ทั่วถึง

พวกเขาต้องหนีตลอดเวลา อยู่ฝั่งพม่าก็กลัวทหาร อยู่ฝั่งไทยก็กลัวตำรวจไทย ผู้ลี้ภัยไม่ใช่อาชญากร แต่ต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้ เด็ก ๆ ก็ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เด็กที่ข้ามมาเรียนในฝั่งไทยก็ถูกผลักดันกลับ

ในส่วนของเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและโรคระบาด ขณะนี้ได้เกิดโรคมาลาเรียระบาดบริเวณชายแดนมากขึ้น หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาหลายปี เราได้เห็นข่าวที่มีคนถูกจับขณะที่เดินทางเข้ามาลี้ภัยในเขตเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มาจากในพื้นที่สงครามและการสู้รบในพม่า ซึ่งไม่ได้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อหางานทำ แต่เพื่อเอาชีวิตรอดจากสภาวะสงครามและการปราบปรามของกองทัพพม่า ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ชายแต่มีทั้งผู้หญิงและเด็ก

อันดับแรกรัฐไทยต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นก่อน แล้วเอาศาสตร์ด้านการบริหารจัดการมาใช้ ถึงจะสามารถแก้ไขหรือบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้องมองว่าพวกเขาเป็นประชากรของภูมิภาค เพื่อรักษาชีวิตมนุษย์ และบรรเทาปัญหาความมั่นคงของเราและภูมิภาค ประเทศไทยมีโอกาสสร้างมิตรมากกว่าจะสร้างศัตรูแล้ว ก็ควรขยับหรือลงมือทำบางอย่าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้อีก

พรสุข เสริมว่าแม้การรัฐประหารเมื่อปี 2564 จะมีความคล้ายกันกับเหตุการณ์เมื่อปี 1988 แต่ก็มีหลายอย่างที่ต่างกันมาก เพราะการรัฐประหารในครั้งนี้มีผู้เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบกว้างขวางอย่างมากทั่วประเทศและเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ ซึ่งตรงนี้คือความแตกต่างที่ต้องเน้นย้ำ

การเกิดขึ้นของกองกำลังปกป้องประชาชน หรือ PDF นั้นมีเป้าหมายและการโจมตีที่กว้างขาวงมากกว่ากองกำลังนักศึกษาในช่วงปี 1988 มาก และเมื่อมีการกระจายกำลังของฝ่ายต่อต้านมากขึ้น การทำลายล้างจากฝ่ายกองทัพพม่าจึงกว้างขวางมากยิ่งขึ้น การโจมตีทางอากาศจึงเกิดขึ้นอย่างไม่เลือกหน้า และไม่สนว่าพื้นที่นั้น ๆ จะเป็นพ้นที่ของชาวบ้านทั่วไปหรือกองกำลัง

ในปัจจุบัน พื้นที่ชายแดนได้พ่วงเศรษฐกิจมืดหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งการค้ามนุษย์แบบข้ามพรมแดนที่มีตัวแสดงและประเทศต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องซับซ้อนยิ่งขึ้น บ่อนคิโน ยาเสพติด รวมถึงคอลเซ็นเตอร์และธุรกิจฟอกเงินต่าง ๆ  นอกจากนั้นแล้วในพื้นที่ชายแดน ตรงที่ได้รับระเบิดก็ระเบิดไป ตรงที่ไม่ถูกระเบิดก็ยังดำเนินการธุรกิจต่อไปได้ มีแสงไฟจากพื้นที่ให้เห็นประปราย

“เมื่อผู้ลี้ภัยในเขตเมืองเข้ามาในแม่สอดหรือกรุงเทพฯ ถูกตำรวจจับ พวกเขามักจะถูกเหมารวมไปในทันทีว่าเป็นแรงงานผิดกฎหมาย สถานะของพวกเขาพัวพันกันหลายระดับ ปัญหาต่าง ๆ แยกไม่ออก หลายอย่างทับซ้อนกันจนยากที่จะแก้ไขหากยังไม่มีมาตรการดำเนินการช่วยเหลือที่ชัดเจน” พรสุข กล่าว

ภาพ รัศมิ์ลภัส กวีวัจน์

ชยันต์ วรรธนะภูติจากศูนย์ภูมิภาคเพื่อสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ข้อสังเกตว่าปัญหาของวิกฤติสิทธิมนุษยชนในพม่านั้นเริ่มต้นจากการอ้างความชอบธรรมของคณะรัฐประหารด้วยการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลพลเรือนทำการโกงการเลือกตั้ง จากนั้นจึงมีการตั้งองค์กรอย่างสภาบริหารแห่งรัฐขึ้นมาเพื่อออกฎหมายและแก้กฎหมายต่าง ๆ ที่ทำให้คณะรัฐประหารมีอำนาจเต็มในการจัดการกับฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายประชาธิปไตย

การต่อต้านของภาคประชาชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วประเทศโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งในช่วงแรกแม้ว่าฝ่ายประชาชนจะต่อต้านด้วยวิธีการที่สันติแต่คณะรัฐประหารและกองทัพพม่ากลับตอบโต้ด้วยความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ประชาชนหลายรายเลือกที่จะลี้ภัยออกนอกประเทศ

เมื่อกลายเป็นผู้ลี้ภัย พวกเขาแทบทุกรายต้องประสบกับภาวะเครียด สิ้นหวัง มีภาวะ trauma รุนแรง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ลี้ภัยออกนอกประเทศมาแล้ว หลายคนตระหนักว่าตนเป็นหมอ วิศวกร อาจารย์มหาวิทยาลัย มีความสามารถเฉพาะด้าน ก็จะสามารถเอาตัวรอดได้บ้าง แต่หลายคนไม่มีอาชีพหรือทักษะเฉพาะด้านทำให้เขาต้องประสบกับความยากลำบากในการเอาชีวิตรอดในต่างแดน จึงต้องหางานทำ ซึ่งก็จะกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย

โดยสรุปก็คือหลังการรัฐประหาร คณะรัฐประหารใช้ระบบกฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความรุนแรงผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ชยันต์แนะนำว่ารัฐบาลไทยควรทบทวนนโยบายระหว่างประเทศเสียใหม่พร้อมระบุว่าไทยสูญเสียโอกาสจากสถานการณ์นี้มากน้อยแค่ไหน และต้องให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและสถานการณ์ตามชายแดนในด้านมนุษยธรรมให้มากขึ้น

 

ภาพ รัศมิ์ลภัส กวีวัจน์

สัณหวรรณ ศรีสดที่ปรึกษาจากคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล หรือ ICJ ระบุว่า คณะกรรมาการนักนิติศาสตร์สากล หรือ ICJ ได้ดำเนินการติดตามการใช้กฎหมายหลังรัฐประหารพม่ามาอย่างต่อเนื่อง 8 ปีก่อน หลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในประเทศไทยเองก็มีการใช้กฎหมายคล้าย ๆ กันกับที่เกิดขึ้นในพม่าในขณะนี้ ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนมากมายหลายประเด็น สัณหวรรณชี้ให้เห็นถึงความพลิกผันในระบบกฎหมายของพม่าหลังรัฐประหารที่ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศในหลายประเด็นด้วยกัน

การใช้กฎหมายในพม่าที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศหลายอย่างด้วยกัน เช่น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การใช้กฎอัยการศึก

ที่ปรึกษา ICJ รูปแบบและเงื่อนไขการประกาศไม่ตรงตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึกนั้นมีเงื่อนไขที่สำคัญคือต้องเป็นสถานการณ์ที่กระทบต่อความอยู่รอดของชาติ แต่เหตุผลในการประกาศใช้กฎหมายพิเศษต่าง ๆ นี้ของคณะรัฐประหารคือมีการโกงการเลือกตั้งหรือมีการเลือกตั้งที่ผิดปกติ ซึ่งไม่เข้าข่ายกฎหมายระหว่างประเทศ

หนึ่งในประเด็นที่สำคัญคือเมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก ได้ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามีบทบาทสำคัญในการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ อีกทั้งคณะรัฐประหารก็ไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดตามมา

ในส่วนของการแก้ไขกฎหมายนั้น มีหน่วยงานหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาหลังการรัฐประหารคือ สภาบริหารแห่งรัฐ หรือ State Administration Council: SAC ซึ่งมีอำนาจในการออกประกาศเพื่อแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายที่นำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชน ค้นตัวคนได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีพยานหรือหมายศาล มีกฎหมายที่ไม่ให้มีการให้ความเห็นที่สร้างความหวาดกลัว การแก้กฎหมายมาตรา 124C กำหนดโทษให้มีการจำคุกถึง 20 ปี หากมีการกระทำใด ๆ ที่เป็นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือการแก้กฎหมายมาตรา 124D ที่ระบุว่าหากพบว่ามีการกระทำใด ๆ ที่เป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล

มีการแก้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย โดยกำหนดให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา 505A, 124C, 124D ต่าง ๆ ไม่สามารถประกันตัวได้ และสามารถถูกจับโดยไม่มีหมายศาลได้

นอกจากนั้นยังมีการแก้กฎหมายการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปค้นข้อมูลส่วนบุคคลได้

ในประเด็นการจับกุมคุมขังผู้ต้องหา คณะรัฐประหารได้มีการถอนสิทธิที่ประชาชนจะสามารถท้าทายความชอบธรรมของเจ้าหน้าที่ในการจับกุมคุมขังได้ ซึ่งนี่เป็นสิทธิที่สำคัญมากในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งนี้เองนำไปสู่การจับกุมคนอย่างมหาศาลหลังรัฐประหารมากกว่าหมื่นราย คนเหล่านี้ไม่สามารถท้าทายเจ้าหน้าที่ได้ว่าการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

หลังไทยเกิดการรัฐประหาร ไทยใช้ศาลทหารกับพลเรือนด้วย ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นในพม่าเช่นกัน ผู้พิพากษาในศาลทหารก็เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร มีการตั้งศาลในเรือนจำ คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปฟังการไต่สวนหรือฟังคำตัดสินได้ ซึ่งขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะศาลต้องมีความเป็นสาธารณะ

มีทนายความที่จะเข้ากระบวนการทางกฎหมายของคณะรัฐประหารหลายคน แต่ก็ถูกข่มขู่ จับกุม และคุมขัง โดยเฉพาะทนายความที่ให้ความช่วยเหลือนักโทษทางการเมือง มีทนายความ 46 คนที่ถูกคุมขังและจับกุมหลังการรัฐ)ระหาร ซึ่งกรณีคล้ายกันนี้เกิดขึ้นในไทยเช่นกัน ปกติแล้วสภาทนายความใช้ระบบเลือกตั้ง แต่หลังไทยเกิดรัฐประหาร ทหารก็เป็นคนแต่งตั้ง  

สภาพความเป็นอยู่ในสถานที่คุมขังแย่มาก ทั้งแออัดและมีความเป็นอยู่ รวมถึงการปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งนี่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ

สัณหวรรณ เสริมว่า หลังการรัฐประหารมีการละเมิดสิทธิเด็กเกิดขึ้นมาก เด็กถูกจับกุมไปอยู่ในที่คุมขังเดียวกันกับผู้ใหญ่ เด็กถูกร่วมละเมิดทางเพศ ตอนเด็กถูกปล่อยตัวก็ถูกบังคับให้ลงนามข้อตกลงให้รับสารภาพ และที่แย่คือมีการสั่งประหารชีวิตเด็กอย่างน้อย 2 ราย

ข้อเรียกร้องสำคัญของตนคือให้มีรัฐบาลพลเรือนโดยเร็ว หยุดการใช้ศาลทหารและศาลพิเศษ กระบวนการยุติธรรมต้องเป็นไปโดยชอบธรรม ยกเลิกวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขกฎหมายในอนาคตต้องไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

“ส่วนตัวคิดว่าสถานการณ์การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว มีทนายความที่ยังต่อสู่อยู่ในศาลทุกวัน และเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมตามปกติจะสามารถฟังก์ชั่นได้ จะได้เห็นได้ว่ามีการปล่อยตัวผู้ถูกดำเนินคดีอยู่เป็นระยะจากการต่อสู้ของทนายความในชั้นศาล” สัณหวรรณ กล่าว

 

ภาพ รัศมิ์ลภัส กวีวัจน์

ขวัญชนก กิตติวาณิชย์อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนตั้งประเด็นคำถามว่าทำไมเราต้องพูดถึงเรื่องสันติวิธีเวลาพูดถึงหัวข้อเรื่องความขัดแย้ง โดยเฉพาะในประเด็นผู้ลี้ภัยจากเหตุการณ์ในพม่าทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร พร้อมชวนคิดว่าเราจะลดข้อจำกัดหรือข้อท้าทายอย่างไรได้บ้างโดยการใช้แนวทางสันติศึกษาหรือสันวิธีเข้ามามอง

ขวัญชนกกล่าวว่า นักสันติวิธีมักถูกตั้งคำถามทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์การสู้รบ และคำว่าสันติ หรือ Peace ก็เป็นคำที่มีปัญหา เพราะเมื่อเราเอาคำนี้ไปเติมในท้ายนโยบายต่าง ๆ มันจะทำให้สิ่งนั้นดูสวยงามและไม่ต้องตั้งคำถาม

คำว่าสันติวิธีถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศ โดย UN จะให้ความสำคัญมากต่อกระบวนการสันติภาพ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ๆ สามอย่างคือ การสร้างสันติภาพ (peacebuilding) การรักษาสันติภาพ (peacekeeping) และการทำให้เกิดสันติภาพ (peacemaking) โดยที่องค์กรที่มีบทบาทในส่วนนี้ไม่ได้มีแค่องค์กรโลกบาล แต่ยังมีองค์กรภาคประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรง เพื่อนำมาสู่การลดนโยบายแบบบนลงล่างมาเป็นล่างขึ้นบนสำหรับกระบวนการสันติภาพ โดยองค์กรสำคัญในกรณีพม่านั้นมีด้วยกันหลายภาคส่วน เพื่อผลักดันเสียงของคนชายขอบหรือชนกลุ่มน้อยที่มีความหลากหลายนั้นดังขึ้น

สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่ไปคานกับเรื่องอำนาจอธิปไตยของรัฐที่ส่งผลต่อการออกนโยบายต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐไทยเองโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. บอกว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาผู้ลี้ภัย เมื่อรัฐไม่มีนโยบายผู้ลี้ภัยและมองผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องภายนอกจึงทำให้นโยบายรัฐไม่ตอบสนองต่อผู้ลี้ภัยได้และเป็นไปอย่างเชื่องช้า

รัฐไม่เคยเอาหลักมนุษยธรรมเข้าไปใส่ในนโยบายของรัฐ เวลาเขียนนโยบายระหว่างประเทศและชายแดน รัฐมักจะนึกถึงความมั่นคงแห่งรัฐและความมั่นคงของคนที่อยู่ในเขตแดนไทยก่อน มันจึงทำให้นโยบายผู้ลี้ภัยนั้นขยับช้ามาก

เราจะทำอย่างไรให้เสียงของผู้ลี้ภัยถูกทำให้ดังและนำเสนอได้มากที่สุด ทั้งในกระบวนการรับผู้ลี้ภัยจนไปถึงส่งกลับหรือไปประเทศที่สาม

ชุมชนที่อยู่ชายแดนเป็นชุมชนที่พึ่งพาอาศัยกันทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แต่เมื่อมีการสู้รบและต่อสู้ยาวนานนับแต่ปี 2505 จนถึงปัจจุบัน ผู้ลี้ภัยก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐจัดการด้วยการนิยามผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นผู้หนีภัยสงคราม

ขวัญชนกให้ข้อสังเกตว่า ผู้ลี้ภัยในช่วงหลังมานี้ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยสงครามอย่างเดียวแล้ว แต่เขาเป็นผู้ลี้ภัยทางเศรษฐกิจด้วย อีกทั้งผู้ลี้ภัยต่าง ๆ ที่เข้ามาทั้งในค่ายและนอกค่ายก็ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ละกลุ่มมีภาษา ความคิดความเชื่อ ศาสนา ที่มา เพศ อายุ ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้รัฐต้องคิดต่อว่าจะมีนโยบายอย่างไรในการจัดการที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นรัฐไทยจึงไม่ควรเพิกเฉยต่อสถานการณ์ข้างบ้านและในบ้านที่เกิดขึ้น

“ปัญหาผู้ลี้ภัยนั้นลึกกว่าที่เราเข้าใจในตอนนี้ การจะสร้างสันติภาพต้องเป็นกระบวนการในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การจับคนเข้าไปอยู่ในค่ายและทำให้เขาไร้อนาคต เราต้องสร้างความหวังว่าในอนาคตจะไม่มีความรุนแรงและมีความหวังที่จะทำให้ผู้ลี้ภัยมีชีวิตต่อไปได้” ขวัญชนก กล่าว

 

 

โทมัส เอช. แอนดรูว์ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพม่า อธิบายว่า ตำแหน่งผู้รายงานพิเศษของ UN คือ กลไกผู้รายงานพิเศษเป็นกลไกอิสระของสหประชาขาติที่มีการตัดสินใจที่เป็นอิสระไม่ได้ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ UN หรือแม้กระทั่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน แต่ก็มีกฎที่ต้องทำตามอยู่ เช่น การวิจารณ์รัฐภาคีที่ถูกตรวจสอบทำไม่ได้ในทันที ต้องมีการแจ้งให้รัฐภาคีนั้น ๆ รับทราบล่วงหน้าถึงจะสามารถวิจารณ์ได้ แม้มีเสรีภาพในการวิจารณ์แต่ก็ยังอยู่ภายใต้กรอบบางอย่างเช่นกัน

หน้าที่หลักของผู้รายงานพิเศษในกรณีพม่าก็เช่นเดียวกับกรณีอื่นคือการรายงานข้อมูลให้กับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติรวมถึงวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่า และต้องมีการจัดทำรายงานและอัพเดทข้อมูลต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนั้นยังสามารถทำบทวิจารณ์ในประเด็นเฉพาะที่ปรากฎในรายงานเพิ่มเติมได้ด้วย

โทมัสกล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาได้ทำรายงานเกี่ยวกับพันธมิตรทางอาวุธหรือประเทศที่ขายอาวุธให้กับกองทัพพม่า ต่อมาได้จัดทำรายงานอีกฉบับที่พูดถึงผลกระทบหลังรัฐประหารที่เกิดขึ้นกับประชาชนโดยเน้นไปที่เด็กและเยาวชน

สิ่งที่สามารถพูดถึงและประเมินได้ในขณะนี้คือทหารพม่าจะยังคงดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชนและก่ออาชญากรรมต่อคนในชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป จนถึงตอนนี้รัฐบาลทหารพม่าเผาบ้านประชาชนไปแล้วมากกว่า 30,000 หลังคาเรือน อีกทั้งการรัฐประหารส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา ล่มสลาย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 นี้จะมีเด็กพม่ากว่า 33,000 คน เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต

โทมัสคาดว่า ประชาคมระหว่างประเทศจะยังคงสร้างความผิดหวังต่อกรณีพม่า เหตุเพราะขาดเจตจำนงทางการเมือง ซึ่งอาจจะสามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจนระหว่างกรณีพม่ากับสงครามยูเครน เพราะหลังสงครามยูเครนเพียง 4 วัน ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ UN ได้มีมาตรการเยอะมากเกี่ยวกับกรณียูเครน แต่พอเป็นพม่ากลับไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งที่ชาวพม่ารณรงค์มาเป็นปีแล้ว

ในกรณีพม่ายังไม่มีมติหรือการประชุมฉุกเฉินในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของ UN เกิดขึ้นเลย หรือแม้กระทั่งไม่มีการประกาศยึดทรัพย์ ปิดกั้นการเข้าถึงแหล่งทุนหรือบัญชีหรือเป็นการคว่ำบาตรในเชิงระหว่างประเทศต่อคณะรัฐประหารในระดับสากลแต่อย่างใด มีแต่มาตรการระดับประเทศแต่ละประเทศดำเนินการเอง

สิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศควรทำคือประชาคมระหว่างประเทศต้องปิดกั้นการเข้าถึงปัจจัยที่ทำให้ทหารพม่าสืบทอดอำนาจต่อไปได้คือ การเงิน อาวุธ และความชอบธรรม

ในเรื่องของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลทหารพม่าปิดกั้นไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพม่าได้ และคาดว่าในอนาคตจะมีคนที่เข้ามาหนีภัยในบริเวณชายแดนอีกเป็นจำนวนมาก

โทมัสให้ความเห็นว่า ไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ไม่ควรอยู่เฉย หนึ่ง มีหน้าที่ทางมนุษยธรรมในการช่วยเหลือเพื่อนบ้าน หากบ้านเพื่อนบ้านไหม้ บ้านเราก็จะไหม้ไปด้วย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไทยมีแรงจูงใจและทางศีลธรรมและประโยชน์ส่วนตัวในการที่ทำให้เราต้องช่วยเหลือเพื่อนบ้าน

วิธีการที่จะหยุดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในพม่าได้คือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC สามารถออกมติให้มีการแทรกแซงอย่างมีเป้าหมาย ห้ามการส่งอาวุธไปยังพม่า และส่งความช่วยเหลือระหว่างประเทศ แต่ในส่วนนี้ก็เกิดขึ้นได้ยาก เพราะคาดจะมีบางประเทศในคณะมนตรีดังกล่าวที่จะค้านหรือวีโต้การคว่ำบาตรนี้

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้หลายประเทศมีความเห็นร่วมกันว่าพวกเขามีความรับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือพม่าและสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน แต่สิ่งนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ยากหากขาดเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน

ขณะนี้ในการตอบสนองต่อกรณีพม่านั้น ปฏิกิริยาของนานาชาติเป็นเพียงการรับมือเฉพาะหน้า และมีมาตรการคว่ำบาตรที่ไม่เชื่อมโยงกัน เพราะเป็นเรื่องของแต่ละประเทศจะมีมาตรการออกมา เหตุเพราะยังขาดเจตจำนงทางการเมืองและขาดการประสานงานอย่างแท้จริง หากมีการประสานงานอย่างแท้จริงเกิดขึ้นอาจจะต้องเริ่มดูจากว่าอะไรเป็นจุดอ่อนของคณะรัฐประหารพม่า และร่วมมือกันจากจุดนั้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีเจ้าภาพในการประสานงาน

ผู้รายงานพิเศษกรณีพม่าวิเคราะห์เห็นเพิ่มเติมว่าปัจจัยอย่างที่หนึ่งที่ทำให้คณะเผด็จการทหารยังคงเดินหน้าปราบปรามประชาชนคือ เงินหรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปิดกั้นหรือการเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทางการเงินหรือทางบัญชีของกองทัพในระดับระหว่างประเทศ ปัจจัยที่สอง คือ อาวุธกับเทคโนโลยี ทำให้รัฐบาลทหารพม่าก่อกรรมทำเข็ญได้มากขึ้นและรวดเร็วรุนแรงขึ้น ปัจจัยที่สาม คือ แรงกดดันทางการทูต การที่หลายประเทศรวมตัวกันแถลงจุดยืนที่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทำให้เกิดแรงกดดันและทำให้เสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบได้รับการตอบสนอง และปัจจัยที่สี่ คือ เรื่องของความชอบธรรม หลายประเทศดำเนินนโยบายที่กลับไปสร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพพม่าทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ยกตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นนี้นับเป็นเรื่องตลกที่สุด มันไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่เป็นละครและเป็นเรื่องตลก มองไม่เห็นว่ามันจะเป็นการเลือกตั้งที่สร้างความเปลี่ยนแปลง เสรี และเป็นธรรมได้อย่างไร ในเท่องกองทัพยังคงปราบปรามฝั่งตรงข้ามและจับกุมนักข่าว และมีรายงานว่ามีบางประเทศส่งคณะทำงานไปช่วยเหลือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในพม่าเพื่อจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว

“ประชาคมระหว่างประเทศยังคงต้องมีบทบาทในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อชาวพม่าทั้งในและนอกประเทศ” โทมัส กล่าว

 

ผู้รายงานพิเศษของ UN กล่าว โทมัสให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการจัดทำรายงานต่าง ๆ ในฐานะผู้รายงานพิเศษกรณีพม่าเพิ่มเติมว่ารายงานที่จะจัดทำข้างหน้าจะไม่ได้พูดถึงปัญหาอย่างเดียว แต่จะพูดถึงการช่วยเหลือกันเองของผู้คนในพม่าด้วย

เรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือบรรดาภาคประชาสังคมที่ทำงานข้ามพรมแดนช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยจากพม่า ทุกวันนี้ก็ถูกตัดเงินให้ความช่วยเหลือ และเงินช่วยเหลือจาก UN ก็มายังพม่าเพียงน้อยนิด นอกจากนั้นแล้ว สภาพการณ์ที่แร้นแค้น ลำเค็ญในพม่าจะยังผลักดันให้ผู้คนข้ามพรมแดนมากขึ้น

“สถานการณ์ผู้ลี้ภัยจากพม่ายังคงน่าเป็นห่วงมาก คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดือดร้อนและข้ามมาเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ข้ามมาก็ถูกจับกุมและส่งกลับ หลายคนที่ถูกส่งกลับก็ถูกจับกุม ถูกทรมาน และทำให้เสียชีวิต และไม่ว่าจะมองจากมุมไหน สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือความล้มเหลวทั้งในเชิงศีลธรรมและกฎหมายที่เกิดขึ้นทั้งในพม่าและระดับระหว่างประเทศ” โทมัส กล่าว

 

 

 

อ้างอิงจาก

The Mekong Butterfly

“พม่าที่ผลิกผัน”: วันวาน วันนี้ วันหน้า หน้าตาของพม่าจะเป็นอย่างไร และเราทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่ 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สปสช.เตรียมสถานพยาบาลใน กทม.กว่า 800 แห่งให้ ปชช.เลือก หลังยกเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน 

$
0
0

สปสช. เปิดลงทะเบียนเลือกสถานพยาบาลประจำแห่งใหม่วันแรก จัด 4 ช่องทาง ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนใน กทม. ที่ได้รับผลกระทบกรณียกเลิกสัญญา รพ.เอกชน 9 แห่ง เผยล่าสุดมีหน่วยบริการให้เลือกมากถึง 858 แห่ง ทั้ง ศบส. คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยา และคลินิกเวชกรรม พร้อมมีเครือข่ายระบบส่งต่อรักษาต่อเนื่อง ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งเดินทางมาลงทะเบียนหน่วยบริการที่ สปสช. ยอมรับได้รับผลกระทบ แต่ยังดีที่มีหน่วยบริการรองรับ ใช้สิทธิรักษาต่อเนื่องได้      

10 ต.ค.2565 ทีมสื่อ สปสช. รายงานว่า พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า วันนี้ (10 ต.ค.65) เป็นวันแรกที่ สปสช.ได้เริ่มเปิดให้ผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองในพื้นที่ กทม. จำนวน 2.3 แสนรายที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาระหว่าง สปสช.กับโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำแห่งใหม่ได้ ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์สามารถใช้เวลาตรวจสอบและเลือกเฟ้นหาหน่วยบริการที่ถูกใจได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรีบร้อนลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจำ เพราะ สปสช.ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และสภาเภสัชกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมหน่วยบริการปฐมภูมิใน กทม. ไว้อย่างเพียงพอ  

ล่าสุดขณะนี้มีหน่วยบริการปฐมภูมิที่พร้อมร้องรับดูแลผู้มีสิทธิบัตรทองที่ได้รับผลกระทบแล้วจำนวน 858 แห่ง แยกเป็นประเภทหน่วยบริการศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) 69 แห่ง คลินิกชุมชนอบอุ่น 214 แห่ง ร้านยา 526 แห่ง และคลินิกเวชกรรม 49 แห่ง เพื่อให้ประชาชนได้เลือกหน่วยบริการที่ต้องการเข้ารับบริการเองตามความสะดวกของท่านเอง โดยหน่วยบริการปฐมภูมิทั้งหมดจะมีแม่ข่ายส่งต่อเข้ารับการรักษาในกรณีที่เจ็บป่วยรุนแรงหรือเป็นโรคซับซ้อน  

โดยเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการได้ในวันนี้ (10 ต.ค. 65) เป็นวันแรก ซึ่งสามารถเลือกผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้ 1.สายด่วน สปสช. 1330 กด 6 2.ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชั้น 2 อาคารบี ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. 3.ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6เลือกเมนู เปลี่ยนหน่วยบริการด้วยตนเอง 4.แอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนูลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการ 

อย่างไรก็ตาม ผู้มีสิทธิ์บัตรทองในกลุ่มดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องรีบลงทะเบียน ในระหว่างที่ยังไม่ได้เลือกหน่วยบริการ สปสช.ให้สิทธิเป็น VIP กล่าวคือสามารถไปรับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ในระบบ สปสช.  

ด้าน น.ส.สุนันท์ ศรีถนอมวงศ์ อายุ 67 ปี อาชีพรับจ้าง ชาว กทม. ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ได้รับผลกระทบกรณียกเลิกสัญญาหน่วยบริการ รพ.เอกชน 9 แห่ง กล่าวว่า ในวันนี้เดินทางมาที่ สปสช. เพื่อมาลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการใหม่ให้กับตัวเองและครอบครัว ซึ่งเรามีด้วยกัน 4 คน เดิมมีสิทธิรักษาที่ รพ.เพชรเวช ทุกคนที่บ้านรักษาที่นี่หมด แต่หลังจากที่ สปสช.ประกาศยกเลิกสัญญาเป็นหน่วยบริการ ก็รู้สึกตกใจ เพราะตัวเองและพี่สาวก็เป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ทั้งโรคเบาหวานและความดัน และก็มีนัดหาหมอในวันนี้ด้วย ทำให้ช่วงเช้าจึงลองเดินทางไปรับบริการที่ รพ.ราชวิถี แต่ได้รับแจ้งว่าสิทธิเต็มแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ รพ.ราชวิถีจึงได้แนะนำให้มาที่ สปสช.เพื่อเลือกหน่วยบริการใหม่ก่อน จึงนั่งรถประจำทางมาที่นี่ เพราะใจก็อยากทำเรื่องให้เสร็จ เวลาใช้สิทธิก็จะได้ใช้สิทธิไม่ยุ่งยาก   

“วันนี้ก็ได้เลือกลงทะเบียนที่คลินิกย่านลาดพร้าวที่อยู่ใกล้บ้าน หากอาการไม่ดียังไงก็จะส่งต่อไปที่ รพ.กลางรักษา ซึ่งส่วนตัวมองว่ายังดี เพราะอย่างน้อยเรายังใช้สิทธิบัตรทองได้ หากยาหมดก็ยังได้หาหมอได้รับยาต่อเนื่อง มาลงทะเบียนที่นี่ก็ดีมากๆ เจ้าหน้าที่ให้บริการและแนะนำดี ทำให้รู้สึกเบาใจได้” น.ส.สุนันท์ กล่าว  

ขณะที่ นางมะลิลา ธูปนนท์ อายุ 73 ปี ชาว กทม. กล่าวว่า วันนี้มากับสามีเพื่อมาลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยมาที่ สปสช. เพราะทำผ่านระบบออนไลน์ไม่เป็น ซึ่งเจ้าหน้าที่ สปสช. ก็ให้การดูแล โดยได้เลือกลงทะเบียนหน่วยบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 13 ที่ใกล้บ้าน จากเดิมทีเคยรับบริการที่ รพ.แพทย์ปัญญาตั้งแต่เริ่มใช้สิทธิบัตรทอง ซึ่งก็ได้รับการดูแลที่ดีและให้บริการดี สามีก็รับการรักษามาหลายโรคและก็ผ่าตัดที่นี่ ตัวเองก็รักษาที่นี่ด้วยภาวะปวดหลังโดยใช้สิทธิบัตรทอง แต่เมื่อ สปสช.ยกเลิกสัญญากับ รพ.ก็ยอมรับกว่ารู้สึกกังวลใจ เป็นห่วงการรักษาที่ต้องต่อเนื่อง 

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่   

1.สายด่วน สปสช. 1330   

2.ช่องทางออนไลน์  

• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 

• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand 

ตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาลด้วยตนเองที่ https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

น้ำท่วม แก้ได้ ต้องกระจายอำนาจ : คุยเรื่อง ‘น้ำท่วม 65’ กับ นักวิชาการด้านท้องถิ่น

$
0
0

สถานการณ์น้ำท่วมเชียงใหม่ที่วิกฤตหนักสุดในรอบ 10 ปีก็ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้หลายพื้นที่เกิดปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน รวมไปถึงกรณีกรุงเทพฯ-ปทุมธานี เผยให้เห็นแนวทางการจัดการน้ำของท้องถิ่นกับส่วนกลางที่ไม่ได้ประสานสอดคล้องกัน สะท้อนวิกฤตรัฐรวมศูนย์และระบบราชการ โอกาสนี้เราชวนถอดบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมหลากหลายพื้นที่ในปี 2565 กับ ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ นักวิชาการที่ศึกษาการปกครองส่วนท้องถิ่น ไล่เรียงตั้งแต่ กรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ-ปทุมธานี สู่เชียงใหม่ ความเหมือน-ความต่างของปรากฎการณ์น้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ บทบาทของรัฐบาลที่ควรจะเป็น รวมทั้งข้อเสนอการเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

 

ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ นักวิชาการที่ศึกษาการปกครองส่วนท้องถิ่น

น้ำท่วมเกิดจากหลายปัจจัย : ฝนตกหนัก - ผังเมืองแย่ - การรุกล้ำลำน้ำ

ณัฐกร เล่าถึงสเหตุของน้ำว่าสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัยประกอบเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ลักษณะภูมิประเทศของแต่ละพื้นที่ ปริมาณน้ำฝน ผังเมือง การรุกล้ำลำน้ำ นโยบายการจัดการทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยยกตัวอย่าง พื้นที่กรุงเทพฯ-ปทุมธานี ที่มีสภาพภูมิประเทศอยู่ปากแม่น้ำที่เอื้อต่อการเกิดน้ำท่วมอยู่แล้ว มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำทะเลหนุน หรือพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ลุ่มรับน้ำอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุผลด้านสภาพภูมิประเทศที่ถ้าหากฝนตกหนักก็จะเจอกับน้ำท่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“น้ำท่วมมันก็จะสัมพันธ์กับผังเมือง ยกตัวอย่างของเชียงใหม่ คือมันเป็นการถมที่รองรับน้ำเดิม อย่างบริเวณถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่ มันก็ทำให้บางทีที่ฝนหนักๆ ก็จะเกิดน้ำท่วมบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่บริเวณถนนห้วยแก้ว ซึ่งไปทางดอยสุเทพเนี่ย เพราะว่ามันสร้างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ขวางทางน้ำไว้ ถ้าน้ำมันลงมาจากดอยเนี่ย มันควรจะผ่าเข้าไปตามแหล่งน้ำต่างๆ ในเมืองลงคูเมือง ลงลำคลองต่างๆ ปรากฎว่าพอไปสร้างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์กั้น ทำให้น้ำไหลมาไม่ได้ มันก็เลยท่วมอยู่ อันนั้นก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง” นักวิชาการท้องถิ่นศึกษา ยกตัวอย่างเสริมในกรณีของเชียงใหม่ 

ณัฐกรยังกล่าวถึง ปัญหาการรุกล้ำลำน้ำที่เป็นอีกปัจจัยหนุนเสริมที่ทำให้เกิดน้ำท่วม ย้ำความสำคัญของการออกแบบผังเมืองที่ดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก เพราะครอบคลุมไปถึงกฎหมายควบคุมอาคาร ยังเกี่ยวกับรูปแบบการขยายตัวของเมือง รวมไปถึงแนวทางการพัฒนาเมือง เราจะเลือกเป็นทฤษฎีเมืองแนวดิ่งหรือขยายตัวแนวราบ หากเราเลือกที่จะขยายตัวแนวราบก็หมายความว่าพื้นที่ตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งรองรับน้ำจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรรด้วยการถมที่ ซึ่งก็สัมพันธ์กับการเกิดน้ำท่วมทั้งสิ้น

“เมื่อก่อนแม่น้ำปิงกว้างมาก ถ้าดูภาพที่เค้ารณรงค์งานสงกรานต์สมัยก่อน จะเห็นว่ามันกว้างมาก พอไปดูภาพปัจจุบัน ทางที่น้ำไหลผ่านมันหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง ผมลองไปขับรถดู พบว่าบริเวณที่เลยเขตเมืองไป พื้นที่ชนบทเลยไปทางตอนใต้ของเมืองเชียงใหม่ อ.สารภี อ.หางดง อ.สันป่าตอง น้ำก็ไหลมาเท่ากัน แต่ช่วงไหนที่แม่น้ำมันกว้าง น้ำก็จะสามารถไหลโฟลวไปได้ดี ไม่ขึ้นมาท่วมมาก มันอาจจะมีท่วมบ้างบริเวณที่ต่ำ แต่ถ้าเทียบกับในเมือง พอมันมีการรุกล้ำลำน้ำ ทางน้ำตีบแคบ มันก็เลยทำให้เอ่อล้นท่วม โดยเฉพาะร้านอาหารริมน้ำ แต่มันก็ไม่เสมอไป มันก็จะมีฝั่งที่เขาปกป้องเป็นพิเศษ เขาก็จะทำตลิ่งสูงๆ พนังกั้นน้ำ อย่างบริเวณกาดหลวง สถานทูตอเมริกา เทศบาล ซึ่งรอด เพราะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ” 

ภาพสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2565 (แฟ้มภาพ : ประชาไท)

น้ำท่วมเผยวิกฤต รัฐราชการรวมศูนย์

นักวิชาการด้านท้องถิ่น มองว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมนั้นแม้หน้าที่รับผิดชอบหลักจะเป็นของกรมชลประทานโดยตรง แต่ด้วยสาเหตุของน้ำท่วมที่มีหลายปัจจัยและการแก้ไขปัญหาประกอบกันหลายมิติ ทั้งในแง่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย การช่วยเหลือเยียวยา ฯลฯ จึงทำให้เกี่ยวกับข้องหน่วยงานในภาคส่วนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยความที่แต่ละหน่วยงานก็มีสายงานบังคับบัญชาคนละสาย จึงทำให้การทำงานมีลักษณะติดขัด ไม่ประสานสอดคล้องกัน

“ถ้าเป็นเรื่องน้ำท่วมเนี่ย หน่วยงานมันเยอะ ผมไล่ดูมีเป็นสิบๆ หน่วย แต่ถามว่าหน่วยงานไหนที่มีความรับผิดชอบหรือเกี่ยวพันกับเรื่องน้ำท่วมมากที่่สุด ผมคิดว่าไม่พ้นกรมชลประทาน ซึ่งกรมชลฯ เขาไม่มีส่วนราชการในระดับจังหวัด หมายความว่ากรมชลประทาน เขาจะเรียกว่าโครงการชลประทานสุโขทัย โครงการชลประทานกรุงเทพฯ โครงการชลประทานปทุมธานี ซึ่งโครงการชลประทานเหล่านี้มันจึงไม่ใช่ของส่วนภูมิภาค แต่เป็นของส่วนกลาง มันก็จะขึ้นอยู่กับอธิบดีกรมและก็ไปตั้งอยู่กับจังหวัดต่างๆ ”

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย (ภาพจากไทยพีบีเอส) 

นักวิชาการด้านท้องถิ่น มองว่า วิธีการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐไทยนั้นคล้ายกับการแก้ปัญหาเรื่องหมอกควัน ตรงที่แต่ละหน่วยงานก็จะรับผิดชอบแค่ในหน้างานของตัวเอง ตนมองว่าควรใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่ที่เกินกว่าอำนาจในระดับจังหวัดจะแก้ได้

“อย่างหมอกควันนี่ไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างจังหวัดนะ แต่มันเป็นปัญหาข้ามแดน ผู้ว่าฯ จะเอาอำนาจอะไรไปคุยกับเจ้าแขวงลาว หรือ ผู้ว่าฯ ฝั่งพม่า คือปัญหามันใหญ่กว่าที่ผู้ว่าฯ จะแก้ได้เอง รวมถึงปัญหาอย่างเรื่องน้ำ ที่เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะแก้ได้ด้วยจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ท้องถิ่นอาจจะรับบทบาทหนักได้ต่อเมื่อภัยมา แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอว่าจะทำยังไงให้ระบบชลประทานของประเทศมันโฟลว”

  • การกระจายอำนาจที่ไม่เพียงพอ: บทเรียนจากวิกฤติหมอกควันภาคเหนือตอนบน https://prachatai.com/journal/2012/03/39739
  • ชุมชนชาติพันธุ์สะท้อนภูมิปัญญาดับไฟป่า แนะรัฐกระจายอำนาจจัดการทรัพยากรคือทางออก https://prachatai.com/journal/2020/04/87070

ณัฐกร กล่าวเสริมถึงปัญหาโดยทั่วไปของระบบราชการโดยรวม คือการที่ข้าราชการมีการโยกย้ายไปที่ใหม่ๆ เสมอทำให้โอกาสที่จะแก้ปัญหาระยะยาวนั้นมักไม่ค่อยเกิดขึ้น โดยยกตัวอย่างประสบการณ์ของตน ที่เมื่อไปลงพื้นที่แล้วเจอข้าราชการ ก็มักจะพบกับบุคคลที่ออกตัวก่อนเลยว่าเพิ่งย้ายมา ซึ่งก็จะส่งผลให้พวกเขาจะตอบอะไรไม่ค่อยได้มากนัก กลายเป็นว่าตนก็ต้องไปคุยกับคนที่รู้เรื่อง ซึ่งคนที่ตอบคำถามเรื่องปัญหาในพื้นที่ได้ดีมักเป็นคนระดับรองๆ ที่ไม่มีอำนาจบริหาร เพราะเขาไม่ได้ย้ายไปไหนจึงรู้ปัญหาในพื้นที่มากกว่าคนในระดับที่มีอำนาจบริหาร ถ้าให้ท้องถิ่นแก้ปัญหา อย่างน้อยๆ คนทำงานก็ควรจะเป็นคนในจังหวัดนั้นเอง 

“ผู้ว่าฯ เนี่ยมันจะดูปัญหาในภาพรวมๆ ส่วนคนที่รู้จริงจะเป็นโครงการชลประทานในแต่ละจังหวัด แต่ด้วยอำนาจตัดสินใจหลายเรื่องที่หัวหน้าโครงการชลประทานไม่สามารถตัดสินใจเองได้ สุดท้ายก็ต้องไปจบที่อธิบดีอยู่ดี ถ้าจะแก้ปัญหาให้ทันท่วงที ก็ลำบากอยู่”

แก้น้ำท่วม ต่างพื้นที่ ต่างแนวทาง

ณัฐกรยกตัวอย่างการแก้ปัญหาน้ำท่วมในสุโขทัย เชียงใหม่ และน่านที่แสดงให้เห็นว่า แม้เป็นสถานการณ์น้ำท่วมเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีคำตอบสำเร็จตายตัว เพราะจะใช้วิธีไหนแก้แล้วจะเวิร์ค มันก็ต้องดูบริบทเฉพาะของพื้นที่นั้นๆ ด้วย 

“อย่างกรณีจังหวัดสุโขทัยที่เจอปัญหาน้ำท่วมตลอด เพราะอยู่ติดแม่น้ำยม จากการลงพื้นที่พบว่า วิถีชีวิตของคนไทยที่ทำการเกษตรเขาจะพึ่งพาน้ำ เขาจะชอบน้ำเยอะมากกว่าน้ำแห้งอยู่แล้ว คือเขาจะไม่ได้วิตกกังวลกับน้ำ ถ้าไปดูบ้านในสุโขทัยเขาก็จะสร้างแบบยกสูง และเขาก็ได้ปลาเพิ่มขึ้นในช่วงน้ำหลาก และน้ำมันจะไหลจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ เขาก็จะเจอปัญหานี้ไม่กี่วัน แต่ปัญหาของสุโขทัยก็คือน้ำมันไปท่วมส่วนเมือง ซึ่งเป็นหัวใจทางธุรกิจ ตึกรามบ้านช่องที่เป็นภาคธุรกิจเวลาเขาเจอน้ำท่วม เขาก็ไม่ได้แฮ้ปปี้เหมือนภาคเกษตร”

“คำถามคือสุดท้ายมันแก้ยังไง ก็แก้ในส่วนเมือง ตอนนี้สุโขทัยก็ยังเจอน้ำท่วมทุกปีแต่ไม่ได้ท่วมเมืองแบบที่ผ่านมา เขาก็ไปทำแก้มลิงที่เรียกว่าทุ่งทะเลหลวง คือเป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ การทำทางเบี่ยงน้ำไม่ให้น้ำไปท่วมเมือง รวมถึงแก้ปัญหาการไม่มีแหล่งน้ำทางการเกษตรและอุปโภคบริโภค ปัญหาก็ได้หมดไปเพราะนำน้ำจากตรงนี้มาเป็นแหล่งน้ำ อย่างนี้ถือว่าเป็นเมกะโปรเจกต์อย่างเงี้ย ถามว่าต้องอาศัยอำนาจของหน่วยงานราชการระดับไหนที่จะทำโปรเจกต์แบบนี้ได้ ต้องเป็นนโยบายจากการเมืองระดับชาติหรือเปล่าที่จะไปแก้ปัญหานี้ได้ ผู้ว่าเองก็ไม่ได้จะมีพาวเวอร์ที่จะทำโครงการมหึมาตรงนี้ได้ มันเกี่ยวข้องกับโครงการหลายหน่วย เราจะเห็นว่าเขาทำเป็นเกาะกลางแม่น้ำรูปหัวใจที่ให้คนไปพักผ่อนหย่อนใจ และอบจ.ก็ดูแลไป ส่วนตรงที่เป็นแหล่งน้ำก็ให้กรมชลประทานดูแล อันนี้เป็นตัวอย่างวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งที่สำเร็จ”

แผนที่ทางน้ำของโครงการชลประทานสุโขทัย 

แต่ในกรณีของเชียงใหม่นั้นแตกต่างจากสุโขทัย เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองติดดอย โอกาสที่จะไปสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่แบบสุโขทัยที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเชียงใหม่ก็ใช้แก้มลิงขนาดเล็กมาแก้น้ำท่วม ซึ่งมันก็ต้องทำจำนวนมาก เน้นทำกระจายหลายจุด จะช่วยได้ แต่ก็จะมีปัญหาในแง่คนดูแลที่กระจายออกไปเป็นหลายหน่วยงานเช่นกัน

“อีกตัวอย่างที่น้ำท่วมเป็นประจำคือน่าน ซึ่งค่อนข้างมีข้อจำกัด เขาไม่ได้มีหน่วยงานระดับใหญ่ เท่าที่ลงพื้นที่ก็เจอปัญหาตลอด อย่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าของพื้นที่คือเจ้าของพื้นที่คือเทศบาล แต่เทศบาลเขาไม่ได้มีแหล่งน้ำที่จะรับ น้ำมายังไงก็เผชิญ ถ้าน้ำมันไหลมา ยังไงมันก็คือท่วม แต่ที่ทำได้คือการเตรียมป้องกัน หมายความว่าจะมีระบบแจ้งเตือน มันจะมีหอคล้ายๆ กับหอสึนามิที่พอน้ำมันถึงจุดหนึ่งก็จะประกาศแจ้งเตือนว่าให้คนเก็บข้าวเก็บของหนีไปอยู่ที่สูงอะไรก็ว่าไป คือเทศบาลทำได้เพียงรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ว่ามันไม่สามารถจะไปแก้ที่ต้นตอได้ แต่โอเคในแง่ที่ว่าเขาก็มีแผนงานอยู่” 

ข้อเสนอการกระจายอำนาจกับรัฐไทย เป็นไปได้แค่ไหน

ณัฐกรกล่าวถึงข้อท้าทายในทางปฏิบัติ คือทัศนคติของส่วนกลางที่มีลักษณะเป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยยกตัวอย่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่กระทรวงสาธารณสุขกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งจะทำก็ต่อเมื่อเป็นภาระงานที่เกินกำลังของส่วนกลางจริงๆ 

เมื่อเป็นปัญหาน้ำท่วม นักวิชาการด้านท้องถิ่น ยกตัวอย่าง ดราม่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยกล่าวถึง การบริหารงานที่มีความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งที่สำคัญคือบทบาทของรัฐบาลในแง่ของการเป็นตัวกลางเพื่อประสานผลประโยชน์ในพื้นที่รอยต่อ รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นในแง่การรับมือน้ำท่วม ที่ไม่ใช่แค่ในทางกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ต้องปฏิบัติได้จริงด้วย ยกตัวอย่างเสริมเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่น เช่น การยกประตูน้ำให้ท้องถิ่นดูแล หรือในประเด็นการขุดลอกกำจัดผักตบชวาในแหล่งน้ำของท้องถิ่น (ณ ขณะนี้ท้องถิ่นทำเองไม่ได้ ต้องไปขอกรมเจ้าท่า) 

“มันต้องคุยกัน อย่างกรณีกรุงเทพรอด-ปทุมท่วม ท่วมพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งการตัดสินใจระดับนี้มันต้องเป็นระดับรัฐบาลที่จะมาตัดสินใจวางแนวทาง แต่ถ้าเราตัดสินใจในระดับจังหวัดใครจังหวัดมัน ทุกคนก็ต้องคิดบนผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่อยากให้พื้นที่ตัวเองท่วม ซึ่งแน่นอนมันจะมีปัญหาการบริหารจัดการน้ำทันที ถ้ามันไม่เกิดการประสานงานกัน ฉะนั้นมันต้องมีการต่อรอง ไม่ใช่แบบห้ามท่วมกรุงเทพเลย แล้วให้ปทุมรับไปเต็มๆ ถ้าจะให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัดจัดการกันเองมันก็ยากอยู่นะ มันต้องเป็นรัฐบาลที่ลงมาวางแนวทาง” 

ณัฐกรกล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมของส่วนกลาง อาทิ แผนแม่บทการบริหารทรัพยากรน้ำระดับชาติและคณะอนุกรรมการด้านการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติซึ่งตนมองว่าอาจยังไม่ตอบโจทย์ ทั้งในแง่การรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าเมื่อน้ำมา ทั้งนี้ยังเป็นการมองปัญหาจากข้างบนเสียมากกว่า ถ้าดูจากรายชื่อคณะอนุกรรมการก็จะเห็นว่ามีแต่คนจากส่วนกลางทั้งสิ้น ส่วนตัวแทนจากท้องถิ่นตนเห็นว่ารายชื่อจะไปอยู่ในคณะกรรมการ 22 ลุ่มน้ำแทน

“ในแผนแม่บททรัพยากรน้ำมันก็มีพูดเรื่องนี้อยู่ บอกหมดว่าเลยว่าหน่วยงานไหนมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร มันจะมียุทธศาสตร์ด้านที่ 3 ว่าด้วยการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย มีหน่วยงานเยอะมาก เป็นสิบๆ หน่วย มีทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่เห็นว่าทำอะไรไง” 

“มีคณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการน้ำ ผมไม่รู้ว่าเขาคุยกันเรื่องนี้ไหม จะประชุมกันบ่อยขนาดไหน สมมติว่าเกิดเหตุน้ำท่วม เขาประชุมด่วนเลยหรือเปล่า…แต่โดยโครงสร้างของหน่วยงาน มันสามารถคุยเรื่องการบริหารจัดการน้ำได้ทั้งหมด เพราะมันรวมเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาอยู่ด้วยกัน  

“ในภาคของราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ภาษาทางวิชาการเขาจะเรียกว่า รวมศูนย์แบบแยกส่วน หมายความว่าอำนาจส่วนใหญ่อยู่ที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคจะรับแบ่งอำนาจมา แต่ผู้ว่าไม่ได้มีอำนาจแก้ปัญหาตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจากอำนาจมันไปจบที่ข้างบน เวลาจะแก้อะไรมันก็ต้องไปตั้งกรรมการระดับชาติแล้วเอาหัวมานั่ง” นักวิชาการด้านท้องถิ่นกล่าวสรุป

อนึ่ง เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า มีการประชุมเพื่อขับเคลื่อนแผนแม่บทจัดการน้ำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานคณะอนุกรรมการด้านการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2565 และประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการประชุมทั้ง 2 คณะในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งแรก ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ชุดใหม่ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อพิจารณาขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีที่ได้วางไว้ 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ธนาธร'ชงข้อเสนอคืนความยุติธรรมให้สังคม ต้องนิรโทษกรรมคดีการเมือง-ปฏิรูปสถาบัน-ลงสัตยาบัน ICC

$
0
0

ธนาธร ชงข้อเสนอ นิรโทษกรรมคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2557 ทุกคดี รวม 112 พร้อมยืนยันการอภิปรายปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเสรีภาพที่พึงกระทำได้ พร้อมหนุนการให้สัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศ ยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวล ชี้ เป็นบันไดสามขั้นที่จะคืนความเป็นธรรมให้สังคม ให้คนไทยอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ

 

10 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก 'Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ'ถึงข้อเสนอทางการเมืองจากการร่วมวงเสวนา “ความยุติธรรมในยุคเปลี่ยนผ่าน” ในงานนิทรรศการ “6 ตุลา เผชิญหน้าปีศาจ” ซึ่งจัดขึ้นที่ Kinjai Contemporary เมื่อวานนี้ อันประกอบไปด้วย การนิรโทษกรรม การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และการให้สัตยาบันต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

ธนาธร ระบุว่าการคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เห็นต่างเท่านั้น ที่จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้าและหลุดพ้นจากความขัดแย้งแตกแยกได้ พร้อมยกตัวอย่างในกรณีของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งมีการบ่มเพาะให้คนไทยเกลียดชังนักศึกษา ป้ายสีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนนำไปสู่การปราบปรามอย่างโหดร้าย แต่ผ่านไปเพียง 4 ปี รัฐบาลยังออกนโยบาย 66/23 นิรโทษกรรมให้กับนักศึกษาและคนที่เคยจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล ได้

“การนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมดที่เกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา โดยเฉพาะนักโทษคดี 112 จึงถือเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกต่อการสร้างสังคมที่ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ไปสู่ความก้าวหน้าได้” ธนาธรกล่าว

ธนาธรยังระบุถึงข้อเสนอต่อไปว่าด้วยเรื่องของการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่าการมีความคิดเช่นนี้อยู่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และคนไทยทุกคนที่มีความคิดแตกต่างในเรื่องนี้ควรอยู่ร่วมกันได้ และประชาชนทุกคนต้องร่วมกันยืนยันว่าการพูดถึงประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นเสรีภาพที่ทำได้ “ถ้าพูดกัน 10 คน ก็จะติดคุกทั้ง 10 คน แต่ถ้ามีคนพูดเป็นพันหรือเป็นหมื่นคน จะไม่มีใครต้องติดคุกแม้แต่คนเดียว”

สุดท้าย ธนาธรยังเสนอด้วย ว่าการยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลเท่านั้น ที่จะทำให้อาชญากรรมของชนชั้นนำที่กระทำต่อประชาชนถูกนำมาลงโทษ และหากกระบวนการภายในไม่สามารถจัดการได้ สิ่งที่รัฐบาลชุดต่อไปต้องเร่งทำ ก็คือการให้สัตยาบัน อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อสอบสวนพิจารณาคดีและนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายสากล

“ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำเพื่อให้ใครคนใดคนหนึ่งพ้นผิด หรือใครคนใดคนหนึ่งต้องถูกลงโทษ แต่เป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับทั้งสังคม เพื่อให้เรากลายเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันได้ ชำระบาดแผลในอดีต และป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำๆ ในอนาคต” ธนาธรระบุทิ้งท้ายในโพสต์ดังกล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘เพื่อไทย’ ตั้งวอร์รูมเลือกตั้ง ‘พานทองแท้-แพทองธาร’ นั่งที่ปรึกษา - ไม่ติดใจหาก ‘กลุ่มธรรมนัส-บ้านริมน้ำ-สามมิตร’ กลับมา

$
0
0

‘พรรคเพื่อไทย’ ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง หวังชนะแลนสไลด์ ให้ ‘พานทองแท้-แพทองธาร’ เป็นที่ปรึกษาศูนย์ฯ ส่วนกระแสข่าวกลุ่มธรรมนัส-บ้านริมน้ำ-สามมิตร จะกลับเข้าเพื่อไทย ‘หัวหน้าพรรค’ ชี้เป็นเรื่องธรรมดา จะกลับมาก็ไม่ติดใจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจา 

10 ต.ค. 2565 ณ ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยรายงานว่ามีงานแถลงข่าวศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย นำโดย ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย เฉลิม อยู่บำรุง ที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชัยเกษม นิติสิริ​ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย จักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าว 

หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่เป้าหมาย เพื่อไทยชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์  นำพาพี่น้องประชาชนออกจากความทุกข์ยาก ขอยืนยันใน 3 เสาหลักของพรรคเพื่อไทย ข้อแรกคือการตั้งเป้าส่งผู้สมัคร ส.ส. เขตครบทั้งหมด 400 เขต ข้อที่สองคือนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่คำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยนำเอานโยบายเชิงพื้นที่ รายจังหวัด รายอาชีพ  รายภูมิภาค ให้กับพี่น้องประชาชน ข้อที่สามคือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและทีมบริหารพรรคที่มีความรู้ความสามารถ 

ศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้งมีสมาชิกศูนย์ฯ รวม 55 คน โดยมีคณะทำงานเป็นที่ปรึกษา ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ​ ชลน่าน ศรีแก้ว ​​สมพงษ์ อมรวิวัฒน์​​ วิโรจน์  เปาอินทร์​ เฉลิม อยู่บำรุง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล​ พานทองแท้ ชินวัตร​ แพทองธาร ชินวัตร​​ และมี ประเสริฐ จันทรรวงทอง​ เป็นผอ.ศูนย์ฯ ส่วนรองผอ.ศูนย์ฯ ประกอบด้วยประยุทธ์ ศิริพานิชย์​​ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ​​ สุทิน คลังแสง และ จักรพงษ์  แสงมณี​​ เป็นเลขานุการศูนย์ฯ 

โดยศูนย์ฯ ดังกล่าว ประกอบด้วย 6 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่มงานนโยบายและข้อมูลการเลือกตั้ง กลุ่มงานบริหารพื้นที่ แบ่งออกเป็น 5 ภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางกรุงเทพมหานคร ภาคใต้) กลุ่มงานกฎหมายและป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง กลุ่มงานรณรงค์และผลิตสื่อ กลุ่มงานสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กลุ่มงานปราศรัย

เฉลิม กล่าวในฐานะอดีตนายตำรวจและหัวหน้ากลุ่มงานปราศรัยว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่พรรคเพื่อไทยให้ความไว้วางใจดูแลการปราศรัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์สำคัญในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวดเหมือนที่เคยดำเนินการมาเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล แต่รัฐบาลนี้ไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหา จนเกิดเหตุน่าสลดใจอย่างที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหายาเสพติดรุนแรง มีปัญหาความยากจน และหากเราแก้ไขปัญหายาเสพติดและความยากจนได้ สังคมจะอุ่นใจ เข้มแข็ง และคนไทยจะมีโอกาสมากขึ้น  

ชัยเกษม ที่ปรึกษาศูนย์ฯ กล่าวว่า การชนะการเลือกตั้งแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากไม่ชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ เราจะไม่สามารถนำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้ เราจมอยู่กับการเมืองแบบนี้มา 8 ปี การเมืองที่ไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้พี่น้องเท่าที่ควร จึงมีความหวังว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะได้นำความหวัง ชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตที่ดีกลับมาให้พี่น้องประชาชนอีกครั้ง

ส่วนกระแสข่าว ส.ส. กลุ่มของธรรมนัส พรหมเผ่า กลุ่มสามมิตรของสมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มบ้านริมน้ำของสุชาติ ตันเจริญ จะกลับเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยนั้น ช่อง 7 ออนไลน์รายงานความคิดเห็นของเฉลิม อยู่บำรุงในประเด็นนี้ว่า การเมืองมักไม่มีความแน่นอนจึงยังไม่ขอฟันธงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ถ้าพูดแบบไม่โกหกก็ยอมรับว่าหากบุคคลเหล่านี้มาร่วมงานก็ถือว่าเป็นเกียรติ พร้อมสะกิดถามชลน่านว่าเห็นด้วยหรือไม่นั้น ชลน่านให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง ที่จะมีคนมาร่วมงานด้วย แต่ขณะนี้ ไม่มียังไม่มีการพูดคุยเจรจากัน แต่เท่าที่มองพฤติกรรมของกลุ่มคนที่ถูกเอ่ยถึง ก็ไม่ได้มีความเสียหายจนสมาชิกพรรคจะต่อต้าน

'เศรษฐกิจไทย'ปรับโครงสร้าง กก.บห.ยกชุด หลัง 'ธรรมนัส'ลาออกจากหัวหน้า

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคเศรษฐกิจไทย หลังเมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค วันนี้ (10 ต.ค.) สำนักข่าวไทยรายงานว่า พรรคเศรษฐกิจไทยจัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3/2565 มีคณะกรรมการบริหารของพรรคและสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยวาระสำคัญคือ การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่ สำหรับรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3/2565 ดังนี้ 1. เชวงศักดิ์ ใจคำ หัวหน้าพรรค 2. สัจจวิทย์ ลีลาวณิชย์ เลขาธิการพรรค 3. ชวาลี เดือนดาว เหรัญญิกพรรค 4. สุธี พงษ์เพียรชอบ นายทะเบียนสมาชิกพรรค 5. ประสิทธิ์ หนักตื้อ กรรมการบริหาร 6. พนัฐดา กันทา กรรมการบริหาร 7. วิชัย เป็นพนัสสัก กรรมการบริหาร 8. กิจภพ กัณฑมิตร กรรมการบริหาร 9. ธีระศักดิ์ สิทธิชัยธนะกิจ กรรมการบริหาร 10. ธัศชล บุญแสนไชย กรรมการบริหาร และ 11. คำแปง ทำนา กรรมการบริหาร

 

ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขข้อบังคับพรรคเศรษฐกิจไทย เปลี่ยนเครื่องหมายพรรค ยังให้ยกเลิกความในข้อ 6 ของข้อบังคับพรรคเศษฐกิจไทย พ.ศ. 2564 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2565 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ 6 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 269 หมู่ที่ 4 ถนนดอกคำใต้-เชียงคำ ตำบลดอนศรีชุม อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา รหัสไปรษณีย์ 56120”

 

   

 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักสิทธิฯ เสนอ 4 ขั้นยุติโทษประหาร เริ่มจากพักการใช้โทษนี้ในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที

$
0
0

เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต และนักสิทธิฯ ออกแถลงการณ์เนื่องในวันยุติโทษประหารสากล ย้ำสังคมไทยไม่ควรมีบทลงโทษที่มีความโหดร้ายนี้อีกต่อไป เสนอกระบวนการนำไปสู่ขั้นตอนการยุติโทษนี้ 4 ขั้นตอน เริ่มจากพักการใช้การประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที

10 ต.ค.2565 เนื่องในวันยุติโทษประหารสากล (World Day against the Death Penalty) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) และ เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต ออกแถลงการณ์เรียกร้องว่าสังคมไทยไม่ควรมีบทลงโทษที่มีความโหดร้ายนี้อีกต่อไป และขอเรียกร้องต่อทุกภาคส่วนของสังคม พร้อมขอเสนอกระบวนการนำไปสู่ขั้นตอนการยุติโทษนี้ อย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1. ประกาศพักการใช้การประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที และให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศ ICCPR ที่มีความมุ่งหมายที่จะยุติโทษประหารชีวิตในที่สุด 2. ขอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญาโดยในเบื้องต้นให้แก้ไขกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดโทษประหารชีวิตไว้สถานเดียว ให้มีการกำหนดโทษคุกตลอดชีวิตไว้ด้วย

3. สำหรับกฎหมายที่จะตราขึ้นใหม่ หากกำหนดให้มีโทษอาญา ให้โทษสูงสุดเป็นจำคุกตลอดชีวิต และ 4. สร้างหลักประกันให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของสากลอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและการไต่สวนที่เกี่ยวข้องกับโทษประหารชีวิต

ทั้งนี้มีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้ : 

วันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปีคือวันยุติโทษประหารสากล (World Day against the Death Penalty) ที่กำหนดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน วันยุติโทษประหารชีวิตสากล ถูกกำหนดจากการประชุมร่วมกันขององค์กรต่างๆ ที่กรุงโรมประเทศอิตาลีเมื่อปี 2543 และมีมติกำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ทั่วโลกรณรงค์เรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต สร้างการรับรู้ถึงข้อเสียของโทษดังกล่าวและเรียกร้องให้ทุกประเทศลงนามในพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ 2 เพื่อการยุติโทษประหารฯ (Second Optional Protocol to the ICCPR, aiming at the abolition of death penalty) ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่ยังไม่เข้าเป็นภาคี แต่เข้าเป็นภาคี ICCPR ฉบับหลัก โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2539 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2540

เนื่องในโอกาส วันยุติโทษประหารสากลนี้ เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต ประกอบด้วย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอคัดค้านการสังหารหรือเข่นฆ่าชีวิตมนุษย์ในทุกกรณี รวมทั้งว่าการประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์คือสิทธิในการมีชีวิตอยู่ การประหารชีวิตเป็นการกระทำที่โหดร้าย รุนแรง และเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด มีผลต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีความเสี่ยงที่จะตัดสินผิดพลาด ไม่มีระบบใดที่จะสามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม สม่ำเสมอ และโดยไม่มีข้อบกพร่อง การประหารชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้ แม้ในภายหลังจะมีการสอบสวนว่าผู้ที่ถูกประหารชีวิตนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม นักโทษที่ถูกประหารชีวิตส่วนใหญ่ คือ คนยากจนคนด้อยโอกาสซึ่งไม่สามารถว่าจ้างทนายความที่มีความสามารถเพื่อให้ความรู้และแก้ต่างให้กับตนเองได้ การประหารชีวิตไม่ได้ยับยั้งอาชญากรรมรุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคม

การที่รัฐอนุญาตให้มีการประหารบุคคลนั้น แสดงถึงการสนับสนุนการใช้กำลังและการส่งเสริมวงจรการใช้ความรุนแรง ถึงแม้ว่าโทษดังกล่าวจะไม่เป็นการป้องปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ยังมีการยกเหตุผลอื่น ๆ มาสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีก เช่น การรักษากฏหมายและความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการให้ความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย อย่างไรก็ดี มีหลายประเทศที่แม้จะคงโทษประหารชีวิตไว้ แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะบังคับโทษประหารชีวิต และเลือกที่จะพักการบังคับโทษในทางปฏิบัติ และใช้การจำคุกตลอดชีวิตแทนการประหารชีวิต

นอกจากนี้ การลงโทษด้วยวิธีการประหารชีวิตเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนอารมณ์คนในสังคม สามารถปลุกความรู้สึกร่วมอันรุนแรงของผู้คนในสังคมมาโดยตลอด และจะยังเป็นเช่นนี้ตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมอย่างสยดสยอง หรือการก่อการร้าย สร้างอารมณ์โกรธ แค้น ตื่นตระหนกจนขาดสติยับยั้งจนไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ หากมีการตัดสินคดีผิดพลาดก็จะไม่มีวันฟื้นชีวิตผู้ถูกประหารกลับคืนมาได้ รวมถึงยังเป็นการปิดโอกาสคนที่กระทำความผิดมิให้สำนึกในสิ่งที่กระทำลงไป และที่ตนต้องรับผิดชอบต่อเหยื่อและสังคม

ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิตประเทศไทย มีความเห็นร่วมกันว่าสังคมไทยไม่ควรมีบทลงโทษที่มีความโหดร้ายนี้อีกต่อไป และขอเรียกร้องต่อทุกภาคส่วนของสังคม พร้อมขอเสนอกระบวนการนำไปสู่ขั้นตอนการยุติโทษนี้ อย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้

1. ประกาศพักการใช้การประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที และให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศ ICCPR ที่มีความมุ่งหมายที่จะยุติโทษประหารชีวิตในที่สุด

2. ขอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญาโดยในเบื้องต้นให้แก้ไขกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดโทษประหารชีวิตไว้สถานเดียว ให้มีการกำหนดโทษคุกตลอดชีวิตไว้ด้วย

3. สำหรับกฎหมายที่จะตราขึ้นใหม่ หากกำหนดให้มีโทษอาญา ให้โทษสูงสุดเป็นจำคุกตลอดชีวิต

4. สร้างหลักประกันให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของสากลอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและการไต่สวนที่เกี่ยวข้องกับโทษประหารชีวิต

10 ตุลาคม 2565

เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทีวีอิหร่านถูกแฮ็กเปลี่ยนภาพผู้นำสูงสุด เป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุชุมนุม

$
0
0

ที่อิหร่านมีการประท้วงนัดหยุดงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านรัฐบาลรอบล่าสุด นอกจากนี้ยังมีมือดีแฮ็กรายการข่าวช่องของรัฐบาลที่กำลังนำเสนอกิจกรรมของผู้นำสูงสุด "อาลี คาเมเนอี"แล้วแทนที่ด้วยรูปเหยื่อที่เสียชีวิตจากตำรวจศีลธรรม และผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุประท้วง

ที่มา: The Times of Israel

10 ต.ค. 65 การประท้วงต่อต้านรัฐบาลอิหร่านดำเนินมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้ว ท่ามกลางตัวเลขความสูญเสียที่เพิ่มสูงขึ้น โดยที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนจากนอร์เวย์ที่ติดตามประเด็นอิหร่าน "อิหร่านฮิวแมนไรท์"แถลงเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า มีประชาชนอย่างน้อย 185 ราย ที่ถูกสังหารในเหตุการณ์ประท้วงในอิหร่านและในจำนวนนี้มี 19 ราย ที่เป็นเด็ก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนงานและนักเรียนหญิง นัดหยุดงาน-หยุดเรียน ประท้วงด้วย

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่มีคนคาดเดาว่า น่าจะเป็นปฏิบัติการแฮ็กช่องสื่อโทรทัศน์ของรัฐบาลอิหร่าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงคืนวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา เมื่อรายการประกาศข่าวเวลา 3 ทุ่ม ของ IRINN และ IRIB ถูกแฮ็กชั่วขณะหนึ่งโดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน

ในตอนนั้นสำนักข่าวสองแห่งกำลังนำเสนอเหตุการณ์ที่ผู้นำสูงสุด อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี เข้าร่วมการประชุมที่เมืองบูเชห์ทางตอนใต้ของอิหร่าน แต่การแพร่ภาพก็ถูกทำให้ขาดตอนและมีภาพแบบอื่นที่แทรกเข้ามาแทนที่ เป็นวิดีโอรูปหน้ากากการ์ตูนที่มีเครายาว คิ้วดกหนา อยู่บนพื้นหลังสีดำ จากนั้นก็ตามมาด้วยรูปภาพของคาเมเนอีจัดวางอยู่เหนือรูปภาพของผู้หญิง 4 คนที่เสียชีวิตในอิหร่านเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาคือ นิกา ชาห์คารามี, ฮาดิส นาจาฟี, มาห์ซา อามีนี และ ซารีนา เอสมาอิลซาเดห์

อามีนี อายุ 22 ปี เสียชีวิตหลังจากที่ถูกควบคุมตัวโดยตำรวจศีลธรรมของอิหร่าน จนกลายมาเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการประท้วงครั้งล่าสุด ซึ่งดำเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 สัปดาห์แล้ว ผู้หญิงอีก 3 รายที่ปรากฏในรูปเสียชีวิตในช่วงที่มีการประท้วง มีอยู่ 2 ราย ที่ยังคงเป็นวัยรุ่น

บนหน้าจอที่มีภาพของคาเมเนอีและผู้หญิงเหล่านี้ยังมีข้อความระบุุด้วยว่า "ร่วมกับพวกเราแล้วจงลุกฮือ"และ "เลือดเยาวชนของพวกเราไหลหยดออกมาจากกำมือของคุณ"นอกจากนี้ยังมีการระบุถึงโซเชียลมีเดียของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ชื่อ "Edalaat-e Ali"ที่แปลว่า "ความยุติธรรมของอาลี"ด้วย

รูปภาพดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นเวลาหลายวินาที ซึ่งกลุ่มแฮ็กเกอร์ Edalaat-e Ali อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ทำการแฮ็กรายการข่าวโทรทัศน์ โดยมีการโพสต์คลิปลงในโซเชียลมีเดียของพวกเขาเองระบุว่า "จากการที่ผู้คนเรียกร้องเข้ามา พวกเราได้ทำตามสัญญาที่พวกเราให้ไว้ และทำในสิ่งที่คนคิดไม่ถึงเพื่อปลดปล่อยอิหร่าน"

การประท้วงในอิหร่านรอบล่าสุดปะทุขึ้นหลังจากที่มีข่าวว่า อามีนี หญิงชาวเคิร์ดที่ถูกตำรวจศีลธรรมจับกุมและถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีเสียชีวิตในโรงพยาบาล ทำให้กลุ่มสตรีนิยมประท้วงด้วยการตัดผมตัวเองเพื่อแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อระบอบอำนาจนิยม นอกจากนี้ยังมีผู้คนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมที่ไม่พอใจรัฐบาลอิหร่านในเรื่องอื่นๆ ก็ออกมาประท้วงด้วย

อย่างไรก็ตามฝ่ายรัฐบาลอิหร่านก็พยายามนำเสนอเรื่องนี้ไปในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาพวกเขาประกาศว่ามีอามีนีเสียชีวิตเพราะ "อาการป่วยที่มีมานานแล้ว"ไม่ใช่เพราะ "ถูกฟาด"ที่ศีรษะ แต่ครอบครัวของอามีนีก็บอกว่าอามีนีสุขภาพดีมาโดยตลอด

นอกจากนี้ประธานาธิบดีของอิหร่าน เอบราฮิม ไรซี ยังพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับกลุ่มสตรีด้วยการเดินทางไปเยือนมหาวิทยาลัยหญิงล้วนอัลซาห์ราในกรุงเตหะราน เพื่อร่วมพิธีเปิดเทอมใหม่ แล้วถ่ายรูปหมู่ร่วมกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหญิงแห่งนี้

รัฐบาลอิหร่านบอกว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของศัตรูของอิหร่าน รวมถึงประเทศสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่ามีกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลและกลุ่มอื่นๆ ก่อความรุนแรงจนทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเสียชีวิตอย่างน้อย 20 นาย

ไรซี แถลงที่งานเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยหญิงอัลซาห์รา อ้างว่ากลุ่มศัตรูของอิหร่านเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุ "เป้าหมายอันชั่วร้าย"ของพวกเขาที่มหาวิทยาลัยได้เพราะ "นักศึกษาและคณาจารย์ของพวกเรามีความตื่นตัวและจะไม่ยอมให้ศัตรูทำเป้าหมายอันชั่วร้ายของพวกเขาได้สำเร็จ"

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเมือง ซาเกซ เมืองบ้านเกิดของอามีนีที่จังหวัดเคิร์ดดิสถาน มีนักเรียนหญิงเดินขบวนเหวี่ยงฮิญาบของตัวเองไปมาบนท้องถนนพร้อมประสานเสียงคำขวัญว่า "ผู้หญิง, ชีวิต, อิสรภาพ"มีการประท้วงของกลุ่มเด็กผู้หญิงในแบบเดียวกันโดยใช้คำขวัญเดียวกันที่โรงเรียนที่เมืองซานันดาจ เมืองหลักของจังหวัดเคิร์ดดิสถาน

นอกจากนี้หน่วยงานสิทธิมนุษยชนชาวเคิร์ดยังระบุอีกว่ามี "การนัดหยุดงาน-หยุดเรียน"ประท้วงในวงกว้างเกิดขึ้นที่เมืองต่างๆ ในจังหวัดเคิร์ดดิสถาน, ที่เมืองมาฮาบัด ของจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันตก รวมถึงที่นครอิสฟาฮาน กับที่เมืองทาบริซ ก็มีการนัดหยุดเรียนประท้วงด้วย

เรียบเรียงจาก

‘Not afraid anymore’: Iran protests enter fourth week, Aljazeera, 08-10-2022

Iran’s state broadcaster hacked during nightly news program, CNN, 10-10-2022

Protests continue across Iran as rights group reports 185 deaths, including 19 minors, Al Arabiya, 09-10-2022

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ก้าวไกล'ยังครองแชมป์เงินบริจาคภาษี กว่า 27 ล้าน จาก 6.2 หมื่นราย ทิ้งห่าง ปชป.-กล้า-เพื่อไทย-พลังประชารัฐ

$
0
0

กกต.เปิดยอดเงินบริจาคภาษี 64 ให้ 78 พรรคการเมือง พรรคก้าวไกลยังครองแชมป์ 27.5 ล้าน สูงกว่าปีที่แล้วเกินเท่าตัว จาก 6.2 หมื่นรายบริจาค ทิ้งห่าง ปชป.ที่ได้ 3.43 ล้าน กล้า 3.34 ล้าน ส่วน เพื่อไทย 2.92 ล้าน และ พปชร. 1.29 ล้าน 

10 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของสำนักงานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ข้อมูลพรรคการเมืองที่ได้รับอุดหนุนเงินภาษีจากผู้เสียภาษีที่แสดงเจตนาอุดหนุนเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2564 ตามมาตรา 69 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ล่าสุดวันที่ 8 ก.ค. 2565 ในจำนวน 81 พรรคการเมือง มี 78 พรรคการเมืองที่มียอดได้รับอุดหนุนเงินภาษี จำนวน 104,584 ราย วงเงินรวมทั้งสิ้น 43,220,970.83 บาท ซึ่ง 5 พรรคการเมืองที่ได้รับเงินอุดหนุนมากที่สุด อันดับ 1. พรรคก้าวไกล มีผู้บริจาค 62,634 ราย ได้รับเงินบริจาค 27,564,203.77 บาท ซึ่งปีที่แล้วได้รับบริจาคเงินภาษีปี 2563 จำนวน 12,695,738.77 บาท

2. พรรคประชาธิปัตย์ ผู้บริจาค 10,328 ราย ได้รับเงินบริจาค 3,435,342.03 บาท 3.พรรคกล้า ผู้บริจาค 8,090 ราย ได้รับเงินบริจาค 3,345,799.38 บาท 4. พรรคเพื่อไทย ผู้บริจาค 7,771 ราย ได้รับเงินบริจาค 2,926,584.71 บาท 5. พรรคพลังประชารัฐ จำนวนผู้บริจาค 4,062 ราย ได้รับเงินบริจาค 1,299,133.03 บาท 6. พรรคไทยภักดี ผู้บริจาค 3,234 ราย ได้รับเงินบริจาค 1,284,608.35 บาท 7. พรรคเสรีรวมไทย ผู้บริจาค 2,389 ราย ได้รับเงินบริจาค 973,702.58 บาท 8. พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ผู้บริจาค 495 ราย ได้รับเงินบริจาค 219,415.70 บาท 9. พรรคภูมิใจไทย จำนวนผู้บริจาค 593 ราย ได้รับเงินบริจาค 208,997.60 บาท และ 10. พรรคไทยสร้างไทย ผู้บริจาค 424 ราย ได้รับเงินบริจาค 192,554.77 บาท

โดยมีรายละเอียดดังนี้

ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว กกต. เผยแพร่ข้อมูลยอดบริจาคภาษีอุดหนุนพรรคการเมืองประจำปี 2563 พรรคก้าวไกลมียอดเงินบริจาคสูงกว่า 12 ล้านบาท เช่นกัน โดยมียอดผู้บริจาคสูงสุดคือ 29,249 คน ขณะที่อัดดับ 2. พรรคประชาธิปัตย์ 3,241,639.30 บาท 3. พรรคกล้า 2,532,740.71 บาท   4. พรรคพลังประชารัฐ 2,032,004.08 บาท และ 5.พรรคเพื่อไทย 1,422,517.81 บาท

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สถานีอนามัย-รพ.สต. ถ่ายโอนไป อบจ. ปีงบ 66 สปสช.จ่ายค่าบริการเหมือนเดิม

$
0
0

ที่ประชุม บอร์ด สปสช. รับทราบความคืบหน้ากรณีจัดสรรค่าบริการให้สถานีอนามัย-รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. ในปีงบประมาณ 66 โดยการดำเนินการยังคงเหมือนเดิม ขณะนี้รอข้อตกลงแต่ละจังหวัด โดย สปสช. พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยบริการ-ประชาชน  

 

11 ต.ค. 2565 ทีมสื่อ สปสช. รายงานวันนี้ (11 ต.ค.) ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 10/2565 เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นั่งเก้าประธาน มีมติรับทราบความคืบหน้าการจัดสรรค่าบริการสาธารณสุขแก่สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่จะถ่ายโอนไปยังองค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) ในปีงบประมาณ 2566 ทั้งหมด 49 จังหวัด จำนวน 3,264 แห่ง 

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สธ.

สำหรับการดำเนินที่ผ่านมาเป็นไปตามมติบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 2/2565 เมื่อ 7 ก.พ. 2565 ซึ่งได้เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามนโยบายการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข โดยมีหลักการว่า รพ.สต. ยังคงสถานะเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่เป็นเครือข่ายหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แม้มีการถ่ายโอนไปยัง อบจ.

นอกจากนี้ ทางเลือกรูปแบบการจัดสรรงบกองทุนฯ ให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิ ได้แก่ 1. จัดสรรงบผ่านหน่วยบริการประจำ (CUP) ซึ่งมีการดำเนินอยู่แล้วในขณะนี้ 2. โอนงบประมาณโดยตรงให้กับ รพ.สต. ภายใต้เงื่อนไขที่ตกลงกับหน่วยบริการประจำ 3. ทางเลือกอื่นๆ โดยแต่ละแห่งสามารถเลือกเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการเหมือนกันทุกแห่ง   

ทั้งนี้ โดยยึดหลักจากประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2564 ซึ่งได้กำหนดแนวทางไว้ว่า รายได้ของสถานีอนามัยและ รพ.สต. ที่ได้รับการถ่ายโอนให้แก่ อบจ. จะมีรายได้จากหน่วยบริการประจำแม่ข่ายที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้หน่วยบริการประจำแม่ข่ายจัดสรรให้ตามหลักเกณฑ์ที่แต่ละเครือข่ายได้ทำข้อตกลงที่กำหนดไว้ โดยต้องมีความเสมอภาค และเท่าเทียมกับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 

นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาทางคณะทำงานของ สปสช. ได้ขอให้ทางสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ทำการศึกษาและมานำเสนอ ซึ่งเมื่อได้รับทราบผลการศึกษาแล้ว ได้ขอให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มติม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำในอนาคต อย่างไรก็ดีทาง สปสช.จะยังคงดำเนินการตามที่ บอร์ด สปสช.มีมติเห็นชอบไว้แล้ว  

นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาฯ สปสช.

รวมถึง สปสช.ปรึกษากับคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายฯ และได้ความเห็นว่า แนวทางขณะนี้อาจไม่ต้องแก้ไขประกาศเพิ่มเติม เนื่องจากสามารถจ่ายได้ตามประกาศการบริหารงบกองทุนฯ ที่มีอยู่ ส่วนกรณีถ้าสามารถตกลงกับทางหน่วยบริการเพื่อจ่ายให้กับทาง รพ.สต.โดยตรง ก็สามารถทำได้ตามมติบอร์ด สปสช.ที่ผ่านมา รวมถึงหากในอนาคตมีแนวทางเพิ่มเติมสามารถดำเนินการเพื่อออกประกาศเพิ่มเติมได้  

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2565 ยังมีมติจากคณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระดับประเทศ ครั้งที่ 9/2565 โดยได้เห็นชอบให้มีการจัดสรรงบประมาณในปี 2566 ผ่านหน่วยบริการประจำ (CUP) โดยสามารถจ่ายต่อให้กับหน่วยบริการที่ถ่ายโอนตามความตกลงกับคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) ในแต่ละแห่ง รวมถึงให้ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ สปสช. กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) และ อบจ. ติดตามและประเมินผลเพื่อลดความความเสี่ยงของผลกระทบต่อบริการประชาชนและหน่วยบริการ

นพ.อภิชาติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ความคืบหน้าล่าสุดคือเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2565 ทาง สธ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ขอให้ดำเนินการภารกิจถ่ายโอนโดยให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด และดูแลสนับสนุนการแก้ไขปัญหา รวมถึงยังคงสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ตามความเหมาะสมเหมือนเดิม อีกทั้งจะมีการตั้งศูนย์เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น  

“เพราะฉะนั้นการดำเนินการในตอนนี้ยังเหมือนอยู่ เพียงแต่ว่ากำลังให้มีการตกลงมาจากแต่ละจังหวัด ถ้ามีการตกลงเพิ่มเติมอย่างไร ทาง สปสช. จะนำมาพิจารณาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งหนึ่ง และรายงานต่อที่ประชุมต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. ระบุ 
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘ฅนรักษ์บ้านเกิด’ ลงมือปลูกพืชซับสารพิษจากเหมืองเอง ท้วงรัฐสนแต่เรื่องกรรมการแต่ไม่ลงมือฟื้นฟู

$
0
0

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดร่วมกันนำพืชท้องถิ่นหลายชนิดมาปลูกหวังใช้ซับสารพิษจากเหมืองทองคำที่ยังมีอยู่เยอะแม้ว่าเหมืองจะปิดมาหลายปีแล้ว และท้วงติงฝ่ายรัฐว่าห่วงแต่ความพร้อมของคณะกรรมการแต่ไม่ได้ลงมือดำเนินการฟื้นฟูทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของชุมชนทำให้ต้องทำกันเอง

ฝ่ายสื่อสารของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ รายงานว่า 10 ต.ค. 2565 เวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านรอบเหมืองทองคำจังหวัดเลย ร่วมกันลงแปลงเพาะพันธุ์พืชพื้นถิ่นอย่าง บอน เฟิร์น ผักกูด และผักหนาม สำหรับนำไปปลูกลงแปลงทดลองฟื้นฟู เพื่อทดลองให้พืชดูดซับสารพิษโลหะหนักที่รั่วไหลออกมาจากเหมืองทองคำลงสู่ร่องน้ำ ที่โรงเพาะชำแปลงทดลองฟื้นฟูตรงประตูแดงถนนเข้า-ออกเหมืองแร่ทองคำ

รายงานระบุว่าการเพาะพันธุ์พืชพื้นถิ่นในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการฟื้นฟูภาคประชาชน หลังจากที่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านฯ ต่อสู้เรียกร้องปิดเหมืองทองคำได้สำเร็จ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการฟื้นฟูพื้นที่รอบเหมืองแร่ทองคำจนกว่าจะกลับสู่สภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีตามเกณฑ์มาตรฐานที่ราชการกำหนด

“เป้าหมายเรากำลังไปได้ดี เพราะเราคุยกันไว้ว่าเราจะฟื้นฟูฉบับชาวบ้าน นี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองจะยากมาก ขนาดว่าเราตั้งเป้าหมายว่าจะทำการฟื้นฟูด้วยตัวเราเอง หน่วยงานรัฐก็ไม่ได้เข้ามาสนใจที่จะทำการฟื้นฟูจริง ๆ รัฐสนใจแต่เรื่องคณะกรรมว่าพร้อมหรือยัง ซึ่งเราคิดว่าในส่วนนี้ไม่สำคัญด้วยซ้ำหน้าที่ของรัฐควรมาส่งเสริมการฟื้นฟูของชาวบ้าน ทุกวันนี้ชาวบ้านอยู่เหมืองตายผ่อนส่ง เพราะผลการตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐที่เอาไปตรวจสอบก็ยังพบว่ามีค่าสารโลหะหนักเกินค่ามาตราฐานทั้งที่เหมืองได้ปิดไปนานแล้ว การเพาะชำพืชพื้นถิ่นในครั้งนี้ทำเป้าหมายของเราที่ต้องการฟื้นฟูแบบไทบ้านเองชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ” รจนา กองแสน ตัวแทนกลุ่มกล่าว

หลังจากศาลได้มีคำสั่งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกลับแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมบริเวณในและรอบเหมืองแร่ทองคำ ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด โดยที่ให้กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านฯ ส่งตัวแทนเพียงไม่กี่คนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ ซึ่งกลุ่มมีความเห็นว่าไม่ได้สอดคล้องกับคำสั่งของศาลที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฉบับดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้ทำการฟื้นฟูทั้งบริเวณภายในและภายนอก รวมถึงต้องทำการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วยไม่ใช่ฟื้นฟูด้านเทคนิคทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว และกระบวนการฟื้นฟูต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่การให้ความสำคัญเฉพาะจำนวนงบประมาณในการฟื้นฟูเหมือง

กระบวนการการปลูกพืชเพื่อนำมาใช้ซับสารพิษจากเหมืองครั้งนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านฯ ใช้การเก็บพืชท้องถิ่นจากบริเวณที่ไม่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนมาเตรียมเพาะชำในเรือนเพาะชำที่จัดเตรียมไว้ และหลังจากนี้ทางกลุ่มจะนำพืชท้องถิ่นมาเพาะชำเพิ่ม และทำการดูแลพืชให้แข็งแรงเพื่อพร้อมสำหรับปลูกลงแปลงทดลองฟื้นฟูตามที่กลุ่มได้ตั้งเป้าหมายไว้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กสทช. เรียก 8 ‘ทีวีดิจิทัล’ เข้าแจง ปมเสนอข่าวสังหารหมู่ จ.หนองบัวลำภู ไม่เหมาะสม-อาจถูกลงโทษ  

$
0
0

อนุกรรมการด้านเนื้อหารายการฯ ของ กสทช. เรียกสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล 8 แห่ง เข้าชี้แจง เหตุนำเสนอข่าวสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภูไม่เหมาะสม อาจเข้าข่ายผิด ม.37 พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียงฯ

 

11 ต.ค. 2565 สำนักข่าว อิศรารายงานวันนี้ (11 ต.ค.) เผยว่า แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยกับอิศรา กรณีที่อนุกรรมการด้านเนื้อหารายการ การส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และการพัฒนาองค์กรวิชาชีพในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยมี ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. เป็นประธาน จะเรียกผู้รับใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล เข้าชี้แจงกรณีการนำเสนอข่าวการสังหารหมู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน อบต.อุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งมีเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและกระทบต่อความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ว่า จากการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. พบว่า ในเบื้องต้น มีสถานีโทรทัศน์ 8 แห่งได้แก่ 1.สถานีโทรทัศน์ช่อง 3HD 2.ไทยรัฐทีวี 3.อมรินทร์ ทีวี HD, 4.สถานีโทรทัศน์ช่อง 8, 5.เนชั่นทีวี 6.เวิร์คพอยท์ 7.สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) 8.ช่องวัน (ONE) ที่สำนักงาน กสทช.ได้เรียกตัวแทนผู้รับในอนุญาตเข้าชี้แจงในช่วงเช้าวันที่ 11 ต.ค.นี้ 

“ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากกรมสุขภาพจิต 2 คน คือ นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศาสนติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต และนายแพทย์ ดร.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิตเข้าร่วมด้วย” แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับหนังสือเรียกผู้รับใบอนูญาตเข้าชี้แจงที่เพิ่งส่งออกจากสำนักงาน กสทช.ในวันที่ 10 ตุลาคม 2565 มีเนื้อหาสรุปว่า ด้วยสำนักงาน กสทช. ได้ตรวจสอบพบการออกอากาศรายการ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ทางช่องรายการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลมีการนำเสนอข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดขึ้น ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดที่มีโทษทางปกครองตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบและเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงขอเชิญผู้รับใบอนุญาตเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ ในวันอังคารที่ 11 ต.ค.นี้ เวลา 9.30 น. ณ สำนักงาน กสทช.

ย้อนไปเมื่อ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา แหล่งข่าวใน กสทช. ให้สัมภาษณ์กับสื่ออิศราด้วยว่า เหตุที่มีการเรียก 8 สถานีโทรทัศน์ดิจิทัล เนื่องจากการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. พบว่ามีการเสนอภาพจำลองอย่างละเอียด บางแห่งได้สัมภาษณ์ญาติของผู้เสียชีวิต หรือผู้บาดเจ็บ หรือนำเสนอภาพข่าว ที่อาจสร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของญาติและสมาชิกครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งเรื่องดังกล่าวกลายเป็นกระแสถกเถียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการนำเสนอข่าวในเวลาต่อมา 

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในการพิจารณา จะเสนอให้มีการลงโทษปรับทางปกครองกับสถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวฝ่าฝืน มาตรา 37 ตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง อาจจะตักเตือนสถานีที่เพิ่งเสนอข่าวฝ่าฝืนเป็นครั้งแรก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของอนุกรรมการฯ

สำหรับมาตรา 37 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ บัญญัติว่า 

“ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง

“ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการที่มีลักษณะตามวรรคหนึ่ง หากผู้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการ ให้กรรมการซึ่งคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจสั่งด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือให้ระงับการออกอากาศรายการนั้นได้ทันที และให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยพลัน

“ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเกิดจากการละเลยของผู้รับใบอนุญาตจริง ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขตามที่สมควร หรืออาจพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้”

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชาวกะเหรี่ยงจากสะเมิง ค้านประกาศเขตอุทยานฯ ออบขานทับที่ชุมชน ขอให้เปิดฟังความเห็นก่อน

$
0
0

ชาวกะเหรี่ยง ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เข้ายื่นหนังสือถึง 5 หน่วยงาน ค้านประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบขานทับที่ชุมชน หลังสำนักอนุรักษ์ฯ ประกาศรับฟังความเห็น เกรงขาดการมีส่วนร่วม ด้านนายอำเภอสะเมิงย้ำเป็นการประชุม ไม่ใช่การชี้ขาด ให้เป็นไปตามขั้นตอน

11 ต.ค. 2565 เวลา 14.00 น. ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ลานคำ หมู่ที่ 6 และ บ้านป่าคา หมู่ที่ 11 ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ในนามของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และสมาชิกขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ประมาณ 50 คน ได้เดินทางไปยังที่ว่าการ อ.สะเมิง และเทศบาง ต.สะเมิงใต้ เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน ทับพื้นที่ชุมชน โดยได้ยื่นหนังสือทั้งสิ้น 5 ส่วน ได้แก่ นายอำเภอสะเมิง, ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่), ประธานสภาเทศบาลตำบลสะเมิงใต้, นายกเทศบาลตำบลสะเมิงใต้ และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในนามประธานคณะกรรมการพีมูฟ โดยได้มีการยื่นรายชื่อประชาคมหมู่บ้านคัดค้านการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขานด้วย

การยื่นหนังสือดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2565 ได้มีประกาศสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เรื่อง ขอเชิญชวนรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการกำหนดพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีเนื้อที่ 141,756.26 ไร่ โดยระบุว่าอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 6 และมาตรา 8 ประกอบกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ 25 พ.ย. 2564 เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียฯ ซึ่งหากดำเนินการรับฟังความเห็นแล้วจะได้เสนอไปยังคณะรัฐมนตรีประกาศกฤษฎีกาแนบท้าย ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติออบขานต่อไป โดยมีนัดหมายรับฟังความคิดเห็นที่ อ.สะเมิง ในวันที่ 18 ต.ค. นี้

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านแม่ลานคำและป่าคา เห็นว่า การเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขานทับพื้นที่ชุมชน จำนวน 24,513 ไร่ ซึ่งทับในพื้นที่ป่าชุมชนและพื้นที่ทำกินของชุมชนที่ใช้ประโยชน์ตามวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน โดยชุมชนเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อหลักสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ สร้างความไม่เป็นธรรมต่อชุมชน และขัดต่อการดำรงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนที่ได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

หนังสือของชาวบ้านแม่ลานคำและป่าคา ระบุว่า การขับเคลื่อนของชุมชนบ้านแม่ลานคำและบ้านป่าคาร่วมกับ สกน. และ พีมูฟนั้น นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาของพีมูฟ กรณีพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ โดยมีตัวแทนภาคประชาชนในระดับพื้นที่ อุทยานแห่งชาติออบขาน(เตรียมการ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและหาข้อเท็จจริง

นอกจากนั้น ที่ผ่านมาฝ่ายตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่บ้านแม่ลานคำ และบ้านป่าคา ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ และอุทยานแห่งขาติออบขาน (เตรียมการ) ได้มีการดำเนินการร่วมกันระหว่างวันที่ 16 – 28 ต.ค. 2562 โดยเดินสำรวจพื้นที่การใช้ประโยชน์ของชุมชนตามวิถีดั้งเดิมที่จะถูกทับซ้อนจากการเตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นร่วมกันว่า พบการใช้ประโยชน์ตามการเดินสำรวจร่วมกันในพื้นที่จิตวิญญาณกว่า 368 จุด กระจายรูปแบบการใช้ประโยชน์ทั้งพืชสมุนไพร เก็บหาของป่าตามฤดูกาล เลี้ยงสัตว์ตามวิถีชีวิตและพื้นที่พิธีกรรมทางความเชื่อบรรพบุรุษดั้งเดิม

ข้อเท็จจริงชุมชนได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่โดยอาศัย พึ่งพิง เกื้อกูลรักษาธรรมชาติควบคู่กับการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน เป็นข้อเท็จจริงและข้อสรุปเหตุผลที่จะนำไปสู่การขอให้กันพื้นที่ชุมชนออกจากการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งขาติออบขาน และให้ชุมชนได้บริหารจัดการที่ดินภายใต้สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร โดยหลังจากนั้นพีมูฟได้นำข้อเสนอดังกล่าวในระดับคณะทำงานส่งไปยังรัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อยืนยันตามข้อเสนอของชุมชนที่จะนำไปสู่การกันพื้นที่ออกจากการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน (เตรียมการ) โดยยังคงไว้ซึ่งสถานะทางกฎหมาย ภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ไว้ดังเดิม

ตาแยะ ยอดฉัตรมิ่งบุญ ชาวกะเหรี่ยงวัย 75 ปี บ้านแม่ลานคำ หมู่ที่ 6 ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า หวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยเรื่องการกันแนวเขตของชาวบ้านออกจากอุทยานแห่งชาติออบขาน หน่วยงานต้องดูแลคนสะเมิง ที่ผ่านมาชุมชนพึ่งตัวเอง ออกไปต่อสู้ หน่วยงานรัฐควรเข้ามาช่วยบ้าง เพราะชาวบ้านกำลังถูกละเมิดสิทธิ

“เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ชอบละเมิดสิทธิชาวบ้าน กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าเขาไม่เคารพวิถีของเราเลย เราเดินแนวเขตร่วมกันก็แล้ว เห็นแล้วว่าชาวบ้านทำกินอยู่จริง แต่ยังไม่ทำตามแล้วมาคุกคามเราตลอด เราไม่ค่อยสบายใจ” ตาแยะกล่าว

นอกจากนั้นยังย้ำว่า การต่อสู้ตลอด 30 ปี แต่วันนี้ก็ยังยืนยันว่าขอกันพื้นที่บ้านออกจากอุทยานฯ สิ่งที่กลัวที่สุดคือหากเป็นอุทยานฯ แล้ว จะไม่สามารถเลี้ยงวัว ควาย ในป่าได้ และกังวลเรื่องการทำกินในแบบไร่หมุนเวียนที่กฎหมายไม่ยอมรับ

“การตกอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยานฯ เราจะถูกคุกคามไปเรื่ออยๆ เราไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรกับการประกาศ การบังคับใช้กฎหมายเลย ไม่เปิดช่องอะไรให้ชาวบ้านอยู่อาศัยตามวิถีได้เลย” ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่ลานคำย้ำ

สำหรับอุทยานแห่งชาติออบขาน เตรียมการประกาศตั้งแต่ปี 2537 แต่จากข้อพิพาทที่มีแนวเขตทับพื้นที่ทำกินและพื้นที่ป่าชุมชนของชาวบ้าน จึงทำให้ยังคงมีการคัดค้าน และผลักดันกระบวนการแก้ไขปัญหาร่วมกับพีมูฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวแทนชาวบ้านได้ยืนยันข้อเรียกร้องตามหนังสือร้องเรียน 4 ข้อ ได้แก่

1. ชุมชนขอยืนยันให้กันพื้นที่ออกจาก การเตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน ที่จะทับซ้อนพื้นที่ออกจากชุมชน จำนวน 24,513 ไร่ ตามข้อเท็จจริงของคณะทำงานแก้ไขปัญหาของพีมูฟ กรณีพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน จ.เชียงใหม่ ในการใช้ประโยชน์ตามวิถีชีวิตของชุมชนบ้านแม่ลานคำ และบ้านป่าคา ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ชุมชนได้บริหารจัดการที่ดินภายใต้หลักสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรยังคงซึ่งสถานะทางกฎหมาย ภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ไว้ดังเดิม

2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้หลักการนำไปปฏิบัติตามแนวทางการแก้ไขปัญหา ตามมติ ครม. 3 ส.ค. 2553 และแนวทางการยกระดับรูปแบบโฉนดชุมชน

3. ชุมชนยืนยันแนวทางการแก้ไขปัญหารูปแบบโฉนดชุมชน ภายใต้ มติ ครม 1 ก.พ. 2565 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาพีมูฟ จำนวน 15 กรณี ในการยกระดับการจัดที่ดิน ภายใต้พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 10 (4) ในการบริหารจัดการที่ดินรูปแบบอื่นๆ ให้เกิดความชัดเจน ไม่รับเงื่อนไข แนวทางรถไฟ 5 ขบวนคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน

4. ขอให้สนับสนุนการเข้าถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ น้ำ ไฟ ถนนและคุณภาพชีวิตราษฎร ภายใต้มติ ครม. 1 ก.พ. 2565 เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาของพีมูฟ จำนวน 15 กรณี

ด้าน ณฐกร ภัทรวนนท์ นายอำเภอสะเมิง ได้มารับหนังสือจากชาวบ้าน และกล่าวว่า ทางอำเภอขอรับเรื่องไว้ และจะประสานงานไปยังอุทยานแห่งชาติออบขาน ขอดูรายละเอียดในหนังสือก่อนแล้วจะส่งต่อไปยังหน่วยงาน ตนเป็นประธานในที่ประชุม แต่อำนาจหน้าที่นั้นอยู่ที่อุทยานแห่งชาติออบขาน ส่วนชาวบ้านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ย้ำว่าเป็นการประชุม ไม่ใช่การชี้ขาด ต้องว่าไปตามขั้นตอน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>