Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live

รัฐประหาร 'บูร์กินาฟาโซ' 2 ครั้งในปีเดียว สะท้อนปัญหากลุ่มหัวรุนแรง-อิทธิพลรัสเซียและฝรั่งเศส

$
0
0

ประเทศบูร์กินาฟาโซ เพิ่งจะเกิดการรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ภายในปีเดียว ในขณะที่กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) เพิ่งจะเจรจากับคณะรัฐประหารของบูร์กินาฟาโซ แล้วแถลงว่าผลการเจรจาเป็นที่น่าถึงพอใจ แต่ผู้นำองค์กรต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงก็บอกว่า ECOWAS ยังทำได้ไม่ดีพอในการช่วยยับยั้งรัฐประหาร นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในประเทศนี้จะเอื้อต่อกลุ่มติดอาวุธหรือกลายเป็นเวทีให้รัสเซียแผ่อิทธิพลมาแทนที่อิทธิพลเดิมของฝรั่งเศสหรือไม่

 

7 ต.ค. 2565 บูร์กินาฟาโซ เพิ่งจะเกิดการรัฐประหารซ้อนเมื่อไม่นานนี้ นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ภายใน 1 ปี ท่ามกลางความวิตกกังวลเรื่องกลุ่มหัวรุนแรง เรื่องการที่ต่างประเทศฉวยใช้เป็นพื้นที่แย่งชิงอิทธิพล และ เรื่องที่องค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกปล่อยให้บูร์กินาฟาโซ ไร้เสถียรภาพอยู่เสมอมา โดยไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นนวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา เมื่อ ร.อ. อิบราฮิม ทราโอเร ทำการรัฐประหารต่อ พันโท พอล-เฮนรี ดามีบา ผู้นำกองทัพและรักษาการประธานาธิบดี และมีการยุบรัฐบาลเปลี่ยนผ่านของดามีบารวมถึงระงับการใช้รัฐธรรมนูญ ดามีบาลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมาแล้วหนีไปยังประเทศโตโกที่อยู่ใกล้ๆ กัน

ทราโอเรอ้างถึงเหตุผลที่เขานำกองกำลังเข้าก่อเหตุรัฐประหารว่า พวกเขาโค่นล้มดามีบาเพราะดามีบาไร้ความสามารถในการจัดการกับปัญหากลุ่มติดอาวุธในประเทศ ซึ่งมีความรุนแรงขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 24 ม.ค. 2565 ดามิบาเคยเป็นฝ่ายนำกองทัพของบูร์กินาฟาโซ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจประธานาธิบดี รอช มาร์ก กาโบเร ผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งผ่านการเลือกตั้ง 2 สมัย โดยที่ดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลารวมแล้ว 6 ปี ดามีบาอ้างเหตุกลที่ก่อการรัฐประหารต่อรัฐบาลพลเรือนว่า กาโบเรล้มเหลวในเรื่องการบริหารประเทศให้เป็นปึกแผ่นและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ด้านความมั่นคงของประเทศที่กำลังย่ำแย่ลงได้

นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาบูร์กินา ฟาโซ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มที่ติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับทั้งอัลกอดิดะฮ์และกับไอซิส มีผู้คนถูกสังหารหลายพันคนและทำให้เกิดผู้พลัดถิ่นมากขึ้น 2 ล้านราย มีนักวิเคราะห์ประเมินว่าปัจจัยนี้ทำให้บูร์กินาฟาโซ กลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งใหม่ในภูมิภาคซาเฮล คือภูมิภาคเขตรอยต่อทะเลทรายซาฮาราที่แบ่งทวีปแอฟริกาเป็นเหนือและใต้

ถึงแม้ว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้จะทำให้กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเฉลิมฉลอง แต่กลุ่มองค์กรต่างประเทศหลายกลุ่มก็แสดงความกังวลต่อการรัฐประหารที่เกิดขึ้น รวมถึงประเทศสหรัฐฯ และประเทศฝรั่งเศสด้วย นอกจากนี้กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ก็สั่งระงับสถานะบูร์กินาฟาโซ ออกจากการเป็นสมาชิกขององค์กรและเรียกร้องให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ECOWAS ได้ทำการหารือกับกลุ่มคณะรัฐประหารของบูร์กินา ฟาโซ และเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา มาฮามาโด อิสโซโฟ ผู้แทนเจรจาของ ECOWAS แถลงหลังจากที่เขาได้เข้าพบปะหารือกับทราโอเรและกลุ่มผู้นำศาสนาว่า ผลการเจรจาเป็นที่น่าพอใจ มีการ "แลกเปลี่ยนกันอย่างลึกซึ้ง และอย่างตรงไปตรงมามาก"

ทาง ECOWAS ได้ย้ำอยู่เสมอว่าเผด็จการทหารบูร์กินาฟาโซ จะต้องเคารพในแผนการที่วางไว้ในการทำให้ประเทศคืนสู่การปกครองตามหลักการรัฐธรรมนูญภายในเดือน มิ.ย. 2567

อย่างไรก็ตาม มูตารู มูมูนี มุกตาร์ ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์แอฟริกาตะวันตกเพื่อการต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรง (WACCE) กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับบูร์กินาฟาโซ มาตลอด 6 ปีที่ผ่านมานั้นถือว่าน่าเป็นห่วง และมองว่าการที่  ECOWAS ประณามการรัฐประหารนั้นยังไม่มากพอ จากเรื่องที่ภัยคุกคามจากการก่อเหตุของกลุ่มหัวรุนแรงในพื้นที่เหล่านั้นอาจจะลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ ใกล้เคียงกันอย่างกานาได้

"ผมไม่พึงพอใจกับวิธีการของ ECOWAS"มุกตาร์กล่าว "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเราได้เห็นวิธีการที่ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาการรัฐประหารและปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคนี้มาแล้ว"

มุกตาร์เรียกร้องให้ ECOWAS มีมาตรการมากกว่านี้ต่อการรัฐประหารที่เกิดขึ้นกับบูร์กินาฟาโซ โดยเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรและขอให้ ECOWAS ใช้กฎบัตรในทุกข้อต่อกรณีการเมืองการปกครองเช่นนี้

 

การขับเคี่ยวอิทธิพลระหว่างรัสเซียกับฝรั่งเศส?

นอกจากเรื่องกลุ่มหัวรุนแรงแล้ว สิ่งที่สื่อต่างประเทศวิเคราะห์และจับตามองคือกรณีการรัฐประหารในบูร์กินา ฟาโซ เป็นเรื่องของการที่อิทธิพลจากต่างประเทศอย่างรัสเซียกับฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทด้วยหรือไม่?อย่างไร?

การรัฐประหารรอบที่สองของปีนี้โดยทราโอเร ดูเหมือนจะได้รับการชื่นชมจากนักธุรกิจรัสเซีย เยฟเกนี พริโกชิน ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย พริโกชิน เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทกองทัพเอกชนสัญชาติรัสเซียที่ชื่อ "แวกเนอร์ กรุ๊ป"เขาได้กล่าวชื่นชมผู้ก่อรัฐประหารว่า "ผมขอแสดงความเคารพและแสดงการสนับสนุนต่อ ร.อ. อิบราฮิม ทราโอเร ... ผู้ที่เป็นบุตรผู้กล้าหาญแห่งมาตุภูมิ"

ประชาชนในบูร์กินาฟาโซ ผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหารในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากความไม่พอใจฝรั่งเศส มีชาวบูร์กินาฟาโซ ที่ชุมนุมแสดงความยินดีต่อการรัฐประหารโค่นล้ม ดามีบา ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกับฝรั่งเศส และถึงขั้นกล่าวหาว่าฝรั่งเศสกำลังวางแผนร่วมกับดามีบาในการก่อรัฐประหารซ้อนอีกรอบหนึ่ง มีผู้ชุมนุมบางส่วนที่โบกธงรัสเซียและขว้างปาก้อนหินใส่สถานทูตฝรั่งเศส มีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งที่โจมตีศูนย์วัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย

ทางการฝรั่งเศสพยายามตีตัวออกห่างจากเหตุการณ์รัฐประหารในบูร์กินา ฟาโซ ระบุว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิด

ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะแสดงความพึงพอใจต่อการรัฐประหารในครั้งนี้โดยบอกว่าเป็นเพราะในยุคสมัยของดามีบา "ประเทศมีการบริหารแย่ๆ"และมีประชาชนอีกรายหนึ่งที่บอกว่า "ประธานาธิบดีดามีบาไม่เคารพในอาณัติ"แต่นักวิเคราะห์ด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง ซานี แอดดิบ จากกานาก็กล่าวเตือนว่า การรัฐประหารไม่ใข่ "ไม้คทาวิเศษ"ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชั่วข้ามคืนได้

แอดดิบบอกว่าคนๆ หนึ่งอย่าง ร.อ. บราโอเร ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ชั่วข้ามคืน การเปลี่ยนแปลงบูร์กินาฟาโซ มันต้องใช้วิธีการแบบที่มีอาศัยการประสานงานร่วมมือจากนานาชาติ ดังนั้นแล้วแอดดิบจึงเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ช่วยเหลือด้านทรัพยากรต่อบูร์กินาฟาโซ ตรงจุดนี้ด้วย อย่างไรก็ตามรัฐประหารซ้ำซ้อนในบูร์กินาฟาโซ เช่นนี้จะกลายเป็นชัยชนะของผู้ก่อการร้าย

ในช่วงที่ดามีบาปกครองประเทศหลังทำรัฐประหาร วิกฤตการก่อการร้ายกลับยิ่งรุนแรงขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะให้สัญญาว่าจะทำให้ความมั่นคงในประเทศดีขึ้นก็ตาม โครงการข้อมูลด้านตำแหน่งและเหตุการณ์การสู้รบกลุ่มติดอาวุธ (ACLED) ระบุว่าเหตุโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธเกิดเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 ในช่วง 5 เดือนหลังจากที่ดามีบาทำการยึดอำนาจ ผู้แทนเจรจาระหว่าง ECOWAS กับบูร์กินา ฟาโซ เปิดเผยเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า รัฐบาลบูร์กินา ฟาโซ ควบคุมพื้นที่ในประเทศร้อยละ 60 เท่านั้น พื้นที่นอกเหนือจากนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ

นอกจากนี้ดามีบายังถูกวิจารณ์เรื่องที่ว่า เขาดูมีท่าทีสนับสนุนฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศอดีตเจ้าอาณานิคม โดยพยายามร่วมมือกับฝรั่งเศสในการต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธในประเทศ แต่ทว่าในหมู่ประชาชนชาวบูร์กินาฟาโซ บางส่วนก็มีความรู้สึกในเชิงต่อต้านฝรั่งเศสอยู่

ในการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ นักวิเคราะห์จับตามองว่าทราโอเร ผู้ก่อการรัฐประหารจะพยายามขอความช่วยเหลือทางการทหารจากรัสเซียแบบเดียวกับที่ประเทศมาลีเคยทำหรือไม่ คนบางกลุ่มในบูร์กินาฟาโซ ได้เสนอให้รัฐบาลขอความช่วยเหลือจากรัสเซียในการสู้รบกับผู้ก่อการร้าย แบบเดียวกับที่ประเทศมาลีเคยอาศัยความช่วยเหลือจากกองทัพเอกชนแวกเนอร์กรุ๊ปให้เข้าไปสู้รบภายในประเทศของพวกเขา

ในแง่เศรษฐกิจแล้ว ทางสหประชาชาติระบุว่า บูร์กินาฟาโซ กำลังประสบปัญหาความอดอยาก "ในระดับที่น่าตระหนก"เช่นเดียวกับหลายประเทศในแอฟริกาตะวันตก มีการประเมินว่าบูร์กินา ฟาโซ กำลังเผชิญวิกฤตความอดอยากร้ายแรงที่สุดในรอบ 6 ปี มีประชาชนมากกว่า 630,000 ล้านคน จากทั้งหมด 16 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการอดตาย การที่กลุ่มติดอาวุธทำการปิดล้อมเมืองต่างๆ ยิ่งทำให้การส่งความช่วยเหลือไปสู่ประชาชนทำได้ยากขึ้น

 

 

เรียบเรียงจาก

Burkina Faso: Is the coup a boost for Russian influence in Africa?, DW, 04-10-2022
https://www.dw.com/en/burkina-faso-is-the-coup-a-boost-for-russian-influence-in-africa/a-63332163

Burkina Faso’s coup and political situation: All you need to know, Aljazeera, 05-10-2022
https://www.aljazeera.com/news/2022/10/5/coup-in-burkina-faso-what-you-need-to-know

West Africa bloc mediator ‘satisfied’ after meeting Burkina Faso new military leader, CNN, 05-10-2022
https://edition.cnn.com/2022/10/05/africa/ecowas-mediator-burkina-faso-intl/index.html

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เก็บตก' 46 ปี รำลึก 6 ตุลา ที่ ม.เกษตร บางเขน 'รำพัน สานฝันอุดมการณ์'

$
0
0

‘นายกองค์การนิสิตฯ’ เผยจัดรำลึก 46 ปี 6 ตุลา เป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ ภายในงานมีการปราศรัยโดย ‘สมยศ’ จุดเทียนรำลึก และชมวิดีทัศน์ ‘ต่างความคิด ผิดถึงตาย’

 

7 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (6 ต.ค.) ณ ลานแดง หน้าอาคารเทพศาสตร์สถิตย์ ซึ่งเป็นอาคารทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มีการจัดงานรำลึก 46 ปี 6 ตุลา ภายใต้ชื่อ "เกษตรรำพัน สานฝันอุดมการณ์"เริ่มเมื่อเวลา 18.00 น. 

'พีม'นายกองค์การบริหาร องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน (อบก.) กล่าวว่า สำหรับเขาแม้ว่า 6 ตุลา ไม่ได้เกิดที่ทุ่งบางเขน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของความตระหนักต่อความเป็นมนุษย์ เขาเลยอยากจัดรำลึกให้นักศึกษาในธรรมศาสตร์เมื่อวันนั้น

พีม ระบุว่าภายในงาน ประกอบด้วยกิจกรรม พูดคุยเรื่องที่มาที่ไปของ 6 ตุลา ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงโดยทำเป็นแนวปราศรัย โดยมีการปราศรัยทั้งนิสิต มก. และได้แขกรับเชิญพิเศษอย่าง สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมการเมือง มาร่วมให้ความรู้ด้วย

เวลา 18.30 น. เป็นพิธีจุดเทียนรำลึก 6 ตุลา จัดโดยเครือข่ายของ 6 ตุลา จากนั้น เป็นการฉายวิดีทัศน์ "ต่างความคิด ผิดถึงตาย"ก่อนยุติการทำกิจกรรม

ภาพบรรยากาศกิจกรรม

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ในหลวงและพระราชินีเสด็จเยี่ยมผู้สูญเสีย เหตุกราดยิง จ.หนองบัวลำภู

$
0
0

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมผู้สูญเสีย เหตุกราดยิงในจังหวัดหนองบัวลำภู

7 ต.ค. 2565  บีบีซีไทยรายงานว่า เวลาประมาณ 21.00 น. ที่ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์กราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บีบีซีไทย รายงานว่า กองทัพภาคที่ 1 เปิดเผยกำหนดการ มีรายละเอียดดังนี้

  • 18.00 น. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังลานจอดเครื่องบินพระที่นั่ง หน้าพระตำหนักที่ประทับ
  • 18.30 น. – ประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จฯ ออกจากลานจอดเครื่องบินพระที่นั่ง ไปยังท่าอากาศยาน กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
  • 19.15 น. – เสด็จฯ ถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี โดยมี พลตรี ยุวัต ขันธปรีชา ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 นายทหารราชองครักษ์ กราบบังคับทูลถวายรายงาน และมีนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าฯ อุดรธานี เฝ้าฯ รับเสด็จ ก่อนประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จฯ ไปยังโรงพยาบาลหนองบัวลำภู 
  • 20.00 น. - เสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลหนองบัวลำภู ทรงเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิต ณ ห้องโถงโรงพยาบาล ตามชั้นต่าง ๆ ของโรงพยาบาล ก่อนเสด็จฯ ไปยังโรงพยาบาลอุดรธานี จ.อุดรธานี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่และเยี่ยมผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิต ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้ มีกำหนดเข้าเฝ้าและรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครทันที
  • ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานด้วยว่า อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะมีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมีกำหนดการดังนี้
  • เวลาประมาณ 15.20 น. นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์และเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต ณ อบต.อุทัยสวรรค์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมสรุปสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมกราดยิง ณ โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
  • เวลาประมาณ 19.30 นายกรัฐมนตรีเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

บีบีซีไทย รายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ สำนักพระราชวังแถลงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใย และทรงเสียพระราชหฤทัยต่อเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ประธานองคมนตรี และองคมนตรี ไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

บีบีซีไทย รายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับผู้บาดเจ็บไว้ เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ กับรับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และจะพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

BRN ‘สู้ไป คุยไป’ จนกว่าฝ่ายไทยจะ ‘ลงนามหยุดยิง’

$
0
0

นิมะตุลเลาะ คณะพูดคุยสันติภาพ BRN ระบุว่า การเหยียดเชื้อชาติและการกดขี่ข่มเหงเป็นสาเหตุความขัดแย้งในปาตานี/ชายแดนใต้ พร้อมสู้ไปคุยไป เพราะการพูดคุยเป็นแนวทางญีฮาดและมองเห็นทางออกจากความขัดแย้ง ไม่ใช่การยอมจำนน ยก 2 หลักนิติศาสนาอิสลามมาอธิบาย แม้การพูดคุยจะล้ม แต่การญีฮาดยังอยู่ ถึงจะช้าแต่ก้าวหน้ามาตลอด พร้อมเผยความสำเร็จสำคัญ ขอฝ่ายไทยลงนามหยุดยิง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและศักดิ์ศรี ถามจะกลัวอะไรกับการลงนาม คนละเรื่องกับเอกราช ส่วนอนาคตของปาตานีให้ประชาชนเป็นผู้กำหนด

7 ต.ค.2565 Nikmatullah bin Seri หรือ นิมะตุลเลาะ บิน เสรี คณะเจรจาสันติภาพของแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani : BRN) หรือ ขบวนการบีอาร์เอ็นในกระบวนการบูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมสนทนาไลฟ์สดผ่านทางเพจ People's Collegeและ The PENเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาในหัวข้อ “มุมมอง BRN ยุติการเหยียดเชื้อชาติ สร้างสันติภาพร่วมกัน ว่าด้วยแคมเปญ UN เนื่องด้วยวันสันติภาพโลก มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้

เหยียดเชื้อชาติและการกดขี่ข่มเหงเป็นสาเหตุความขัดแย้ง

นิมะตุลเลาะ ได้ยกคำสอนของศาสนาอิสลามว่า การเหยียดเชื้อชาติครั้งแรกเกิดขึ้นจากไซตอน นั่นคืออิบลิส(สิ่งถูกสร้างที่ปฏิเสธพระเจ้า) เมื่อครั้งพระเจ้าบังคับให้อิบลิสกราบไหว้ศาสดาอาดำ (มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้าง) แต่อิบลิสปฏิเสธเพราะรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าศาสดาอาดำที่ถูกสร้างมาจากดิน ต่อมาในยุคของท่านศาสดามูฮัมมัดเมื่อกว่า 1,400 ปีที่แล้วได้นำอิสลามมาเพื่อที่จะล้มล้างความรู้สึกเหยียดดังกล่าว ก่อนที่สหประชาชาติ(UN) จะรณรงค์ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติเสียอีก ดังนั้น บีอาร์เอ็นที่ต่อสู้ในทางศาสนาอิสลามจึงต้องการทำลายการเหยียดเชื้อชาติด้วย

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า เนื่องจากต้นเหตุของความขัดแย้งในโลกนี้ มาจากความรู้สึกหยิ่งยโส รู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามของศาสนาอิสามนั้น บีอาร์เอ็นจึงยึดมั่นในหลักคำสอนนี้ เพราะการเหยียดนั้นขัดกับหลักของความยุติธรรม และสหประชาชาติเองก็มองว่า การที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกนี้ได้นั้น จำเป็นต้องกำจัดความรู้สึกเหยียดเชื้อชาติออกไปให้ได้ ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกเหยียดเชื้อชาติยังมีอยู่ความสงบสุขและสันติภาพจะไม่เกิดขึ้น

“เช่นเดียวกับที่แผ่นดินเกิดของเรา ในบริบทของเรา ปรัชญาการต่อสู้ของบีอาร์เอ็นเกิดขึ้นเพราะมีการยึดครองของคนเชื้อชาติหนึ่งเหนืออีกเชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งบีอาร์เอ็นสำนึกอยู่ตลอดว่า สาเหตุของความขัดแย้งในบ้านเรานั้น มันไม่ใช่อื่นใดนอกจากการกดขี่ข่มเหงของคนเชื้อชาติหนึ่งต่อคนอีกเชื้อชาติหนึ่ง” คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าว

สู้ไป คุยไป การพูดคุยเป็นแนวทางญีฮาด

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า  บีอาร์เอ็นได้วางแนวทางการต่อสู้ คือ การต่อสู้ด้วยอาวุธ-สันติภาพ ต่อสู้แล้วพูดคุย แต่ไม่ใช่จะสู้รบกันอย่างเดียว เพราะแนวทางการญีฮาด(การต่อสู้ในทางศาสนา) ไม่ได้มีแค่การต่อสู้ด้วยอาวุธ การพูดคุยเจรจาก็เป็นแนวทางญีฮาดด้วย การญีฮาดบางครั้งก็ด้วยลิ้น เป็นการญีฮาดด้วยความจริง แต่ในสายทหารของบีอาร์เอ็นนั้นเขาญีฮาดด้วยการใช้อาวุธ แต่การต่อสู้ด้วยอาวุธนั้นก็เพื่อให้เกิดสันติภาพ

“ถ้าคุณกระตือรือร้นที่จะสร้างสันติภาพ คุณก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธด้วย” นิมะตุลเลาะ ระบุว่าเป็นคำกล่าวภาษาลาตินเก่าเมื่อ ค.ศ.400 และเป็นแนวทางที่ผู้นำโลกในวันนี้ยึดถือ

คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าวว่า เพราะการต่อสู้ด้วยอาวุธนั้นก็เพื่อรักษาความสงบสุข ถ้าไม่มีการต่อสู้ด้วยอาวุธก็ไม่มีสันติภาพ แม้จะมีความสงบแต่ก็ไม่มีสันติภาพ เช่นกลุ่มโรฮิงญาที่ละทิ้งแนวทางการญีฮาดพวกเขาจึงถูกสังหาร ซึ่งบีอาร์เอ็นสำนึกดีในเรื่องเหล่านี้

ยึด 2 หลักนิติศาสนาอิสลาม

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อตั้ง บีอาร์เอ็นได้จับอาวุธสู้และได้สร้างความเข้มแข็งด้านการทหารและด้านอื่นๆ เพื่อรักษาความสงบและสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อการเข่นฆ่ากัน ดังนั้นเพื่อแสวงหาสันติภาพ บีอาร์เอ็นจึงเขาร่วมโต๊ะพูดคุยเพื่อเจรจาสันติภาพ แม้ฝ่ายไทยจะไม่เรียกว่าการเจรจาก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งสำคัญคือต้องมุ่งไปสู่การสร้างสันติภาพ แต่ถ้าฝ่ายไทยยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีกบีอาร์เอ็นก็จะต้องต่อสู้อีกต่อไป

คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าวถึงหลักการต่อสู้ของบีอาร์เอ็นว่า การสู้รบนั้นจะพิจารณาหลักนิติศาสตร์อิสลามทั่วไปเหมือนหลักการปฏิบัติศาสนกิจไม่ได้ แต่ต้องใช้หลักนิติศาสตร์อิสลามอื่นประกอบนั่นคือ ฟิกห์ญีฮาด(หลักนิติศาสตร์อิสลามว่าด้วยการญีฮาด) และฟิกห์ว่าด้วยความเปราะบางทางสังคม/ฟิกห์ว่าด้วยผู้ที่อ่อนแอ (فقه الاستضعفين) (ความหมายโดยผู้แปล) ที่ให้ต่อสู้โดยใช้อาวุธได้แค่เพียงเพื่อ “ส่งสัญญาณต่อคู่ขัดแย้งเท่านั้น ไม่ใช่ใช้จนเกินเลยขอบเขต เป็นการส่งข้อความให้ทราบว่าที่นี่มีเจ้าของ และแผ่นดินนี้ถูกยึดครองโดยคนอื่น”

แม้การพูดคุยจะล้ม แต่การญีฮาดยังอยู่

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า บีอาร์เอ็นต้องการสร้างสันติภาพและหาทางออกด้วยสันติวิธี จึงเข้าร่วมการพูดคุยอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่การยอมจำนนหรือการมอบตัว แต่เพราะการพูดคุยมีทางออกบีอาร์เอ็นจึงเข้าร่วม แม้ว่าเมื่อครั้งการพูดคุยเมื่อปี 2013 ที่นำโดยอุสตาซฮาซัน ตอยิบ ที่ล่มไปนั้นบีอาร์เอ็นก็ไม่ได้นิ่งเฉย ยังคงทำงานทั้งในทางเปิดและทางลับ เพื่อให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งเกิดฉันทมติหรือข้อตกลงต่างๆ เช่น การริเริ่มเบอร์ลิน (Berlin Initiative) ซึ่งเป็นแนวทางของการเจรจาในปัจจุบัน

“หากโต๊ะพูดคุยครั้งนี้ล่มอีกจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากฝ่ายไทย ฝ่ายบีอาร์เอ็น หรือฝ่ายผู้อำนวยความสะดวก ก็ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลวหรือบีอาร์เอ็นแพ้ เพราะหลักการต่อสู้ของบีอาร์เอ็นยังอยู่ อย่างที่ท่านนบีกล่าวว่า การญีฮาดนั้นจะดำเนินต่อไปจนวันสิ้นโลก หมายความว่าเราต้องพร้อมกับการญีฮาด” คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าว

ขอฝ่ายไทยลงนามหยุดยิง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและศักดิ์ศรี

นิมะตุลเลาะ ยังได้กล่าวถึงการหยุดยิง (ceasefire)ด้วยว่า เป็นไปได้ที่จะมีการพักการต่อสู้ด้วยอาวุธไว้ เมื่อมีการประกาศหยุดยิง (ceasefire) ซึ่งที่ผ่านมาบีอาร์เอ็นเคยหยุดยิงฝ่ายเดียวเมาแล้วเป็นเวลานาน 15 วัน โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรใดๆ เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับรัฐไทย และบีอาร์เอ็นได้ใช้ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมาประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวเพื่อเป็นการแสดงสปิริตถึงพี่น้องประชาชนคนปาตานีที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยโควิดอีกด้วย โดยไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหาร ไม่ว่าจะเป็นการยิงหรือการวางระเบิด

นิมะตุลเลาะ เปิดเผยด้วยว่า สิ่งที่บีอาร์เอ็นขอต่อฝ่ายไทยก็คือการลงนามในเอกสารเกี่ยวกับการพูดคุยด้วย เพื่อสร้างความไว้วางใจต่อกันและทดสอบความจริงจังของการพูดคุยว่ามีมากน้อยเพียงใด

“สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเลือดเนื้อของคนและศักดิ์ศรีที่เราต้องขอให้มีการลงนาม”  คณะเจรจาสันติภาพของ BRN ย้ำถึงการลงนามดังกล่าวนั้นเกี่ยวข้องกับการหยุดใช้กำลังและความรุนแรง

จะกลัวอะไรกับการลงนาม คนละเรื่องกับเอกราช

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐไทยไม่ยอมลงนามในข้อตกลงหยุดยิง ทางบีอาร์เอ็นก็ยากที่จะดำเนินการหยุดยิงได้ เพราะหากไม่มีการลงนามก็เท่ากับว่ารัฐไทยไม่ได้มีเจตนาที่จะหยุดยิง

คณะเจรจาสันติภาพของ BRN อธิบายว่า ในเมื่อรัฐไทยยังไม่ต้องการจะหยุดยิง ทางบีอาร์เอ็นก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องหยุดยิงเช่นกัน เพราะเรื่องการหยุดยิงนั้น เป็นเรื่องของคู่สงครามหรือคู่ขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธจะต้องมีความต้องการร่วมกันจริงๆ จึงจะสามารถมีความเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องการแสวงหาทางออกด้วยแนวทางการเมือง ทางรัฐไทยต้องการหารือกับบีอาร์เอ็นในเรื่องความเป็นไปได้ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจให้เป็นออโตโนมี หรือการกระจายอำนาจในรูปแบบต่างๆนั้น ทางบีอาร์เอ็นพร้อมจะพูดคุยและนำไปพิจารณา ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องมีการลงนามเหมือนกับเรื่องการหยุดยิง

“มันจะผิดอะไรหรือ การลงนามไม่ใช่เรื่องเอกราช แต่ถ้าฝ่ายไทยกลัวว่า ถ้าลงนามไปแล้วบีอาร์เอ็นจะได้เอกราชนั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ดังนั้น ทุกสิ่งที่ทำไปเพื่อต้องการแสดงความมั่นใจด้วยต้องลงนาม” นิมะตุลเลาะ กล่าว

คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าวว่า ที่ผ่านมาฝ่ายไทยไม่ยอมลงนามในเอกสารใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยนั้นยังเป็นปริศนา ทั้งที่ในสนธิสัญญาแองโกล-สยาม เมื่อปี ค.ศ.1909 ฝ่ายไทยลงนามมาแล้ว อาจเป็นเพราะไทยถือว่าตนเองเป็นประเทศใหญ่ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใคร เพราะความหยิ่งยโสของตนเอง โดยที่ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นของพระเจ้าที่สามารถจะทำให้อ่อนแอเมื่อไหร่ก็ได้ เช่น โซเวียตก็เคยแตกเป็นประเทศเล็กมาแล้ว

ถึงจะช้าแต่ก็ก้าวหน้า พร้อมเผยความสำเร็จสำคัญ

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า เอกราชเป็นเรื่องต้องช่วงชิงไม่ใช่การขอ เพราะฉะนั้นบีอาร์เอ็นจึงใช้ทั้งอาวุธและการเจรจา เพราะเอกราชนั้นเป็นไปได้ด้วยการช่วงชิง คนที่ไม่แข็งแรงแต่ต้องการเจรจาด้วยอันนั้นเรียกว่าขอทาน ก็มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์โลก

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า การพูดคุยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้วแต่ก็ยังหมุนวนอยู่ที่เดิม แต่กระบวนการพูดคุยก็ยังดำเนินต่อ ไม่ได้ยุติ แม้จะช้าแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะความพยายามที่ยาวนานและไม่หยุดจึงทำให้ได้รับการสนับจากนานาชาติ ซึ่งก็มีผลสำเร็จทีละน้อยก็ตาม เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะมีแนวทางที่รวดเร็วกว่านี้ ด้วยเหตุนี้การพูดคุยจึงต้องมีคนรุ่นใหม่ๆเข้ามาสนับสนุนแนวทางนี้ด้วย

นิมะตุลเลาะ กล่าวว่า ในความช้าก็มีความสำเร็จอยู่ เพราะตั้งแต่การพูดคุยเมื่อปี 2013 ทำให้โลกได้รู้ว่าพื้นที่นี้มีเจ้าของ ต่อมาในยุคมาราปาตานี(MARA PATANI) ได้แสดงให้เห็นถึงพลวัตของการพูดคุย จนมาถึงการพูดคุยยุคนี้ก็มีความสำเร็จหลายอย่างในหลายๆ แง่มุม เช่น เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่พูดถึงปาตานีทั้งในพื้นที่และต่างประเทศ แม้แต่ชาวพุทธก็ลุกขึ้นมาพูดถึงการแสวงหาสันติภาพ รวมถึงหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมาด้วย

อนาคตปาตานีให้ประชาชนกำหนด

“ถ้าไม่มีการพูดคุย เราก็ไม่สามารถแสดงความยิ่งใหญ่ของเราได้ การแสดงออกดังกล่าวทำให้ไม่ถูกมองเห็นแต่เรื่องรุนแรง อย่างเช่น กลุ่มอาบูซายับหรือกลุ่มไอเอสที่คนเห็นเป็นกลุ่มหัวรุนแรง แต่บีอาร์เอ็นคนกลับเห็นเป็นกลุ่มต่อสู้เพื่อเอกราช นั่นคือความสำเร็จที่สำคัญ”

คณะเจรจาสันติภาพของ BRN กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้เป้าหมายของบีอาร์เอ็นยังไปไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเอกราช หรือปกครองตนเอง หรือในระดับที่ต่ำกว่านั้นลงมาก็ตาม แต่บีอาร์เอ็นก็ไม่ใช่กลุ่มที่จะมากำหนดอนาคตของปาตานี แต่จะมอบหมายให้ทุกคนได้ร่วมกันกำหนดอนาคตของตัวเองของคนปาตานี

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

มอง 6 ตุลา จากสถานที่จริงกับกิจกรรม Walking Tour

$
0
0

6 ตุลาคม 2556 ในงานรำลึก 46 ปี 6 ตุลาคมตามหา (อ)ยุติธรรม มีกิจกรรม Walking Tou เดินดูสถานที่จริงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กับทนายด่าง กฤษฎางค์ นุตจรัส ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และผู้ร่วมเหตุการณ์ในวันนั้น

ชมไลฟ์ Walking Tour

บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่

จุดเริ่มต้นของการเดินทางเริ่มต้นณบริเวณลานปฏิมากรรมหน้าหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชาญวิทย์เล่าถึงประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์วัดดังเดิมเคยเป็นวังหน้ามาก่อน และเมื่อกลายเป็นมหาวิทยาลัยมีการจัดสร้างอาคารเรียนต่างๆล้อมรอบสนามฟุตบอลมีลักษณะเป็นป้อมปราการ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นพื้นที่มหาวิทยาลัยจึงมีลักษณะเป็นป้อมปราการให้ผู้ชุมนุมได้เข้ามาใช้พื้นที่เพื่อความปลอดภัยเสมอตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา 6 ตุลาก็ใช้พื้นที่ดังกล่าวจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธหนักจนเกินกว่าที่จะป้องกันได้ ชาญวิทย์เล่าถึงสิ่งที่ จรัล ดิษฐาอภิชัย นักศึกษาในเวลานั้นเล่าให้ฟังว่ามีการคุยกันว่าจะสลายตัวในช่วงวันที่ 5 และ 6 ตุลา แต่ก็ถูกปราบปรามลงเสียก่อน

กฤษฎางค์ นุตจรัส

ทนายด่าง กฤษฎางค์ เล่าถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าตรงนี้เป็นจุดที่เจ้าหน้าที่และฝ่ายขวา บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยจากบริเวณด้านหน้าของหอประชุมใหญ่ ในช่วงเช้า ซึ่งจะทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของนักศึกษาของการชุมนุมเสียชีวิตหลายร้ายรายในบริเวณนี้

ชูศิลป์ หนึ่งในผู้ที่เคยเป็นการ์ดในยุคนั้นเล่าว่า เห็นเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบอยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์ด้านข้าง ก่อนที่ต่อมาจะมีการระดมยิงจากอาวุธปืนทั้งฝั่งหน้ามหาวิทยาลัยและฝั่งพิพิธภัณฑ์

บริเวณสนามหญ้ามหาวิทยาลัย

ทนายด่างเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการชุมนุมในครั้งเมื่อ 6 ตุลาคมว่า ตุลาคมว่ามาต่อต้านกิตติขจร ซึ่งพยายามกลับมาไทยหลังจากนี้ออกไปในช่วง 14 ตุลาคม 2516 และได้บวชอยู่ที่วัดบวร จึงเกิดการเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับจอมพลถนอม ในช่วงเวลาที่ใกล้กันของการขับไล่นักกิจกรรมสหภาพแรงงาน 2 คนที่จังหวัดนครปฐมถูกฆ่าแล้วแขวนคอในขณะที่ติดป้ายประท้วง และเชื่อมโยงมาถึงนักศึกษาในกรุงเทพฯที่จะเล่นละครเพื่อพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ช่วง 5:00 น ของวันที่ 6 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามาบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกบัญชี ทำให้ผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นเสียชีวิตทันที 4 คน และมีคนบาดเจ็บจำนวนมาก และหลังจากระเบิดลูกแรกก็มีการยิงปืนเข้ามาในบริเวณพื้นที่ชุมนุมจึงทำให้ผู้ชุมนุมต้องหนีเข้าไปในอาคารเรียนทั้งสองฝั่ง ทนายด่างเล่าถึงเกร็ดประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งก็คือหลังการชุมนุม 6 ตุลาคมมีนักศึกษาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในอาคารสังคมสงเคราะห์อยู่ถึง 2 วัน คือจรัล ดิษฐาอภิชัย

ภาพหนึ่งที่ควรจดจำกันได้มากคือภาพของนักศึกษาที่ถูกผ้าขาวม้าผูกคอแล้วลากไปตามสนามฟุตบอลบริเวณนี้ก็คือภาพของจารุพงษ์ ทองสินธุ์ ซึ่งเป็นกรรมการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะนั้น ซึ่งเขาทำหน้าที่ดูแลคนให้หลบหนีออกจากมหาวิทยาลัยขณะนั้นก่อนที่จะถูกฆ่า ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฏว่าศพของจารุพงษ์ทองสินธุ์หายไปไหน

หลังจากที่นักศึกษาบางส่วนหลบขึ้นไปในตามอาคารเรียนซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาคารคณะบัญชี ซึ่งจะถูกตำรวจตระเวนชายแดนบางส่วนตามขึ้นไปแล้วใช้อาวุธปืนกราดยิงส่งผลให้นักศึกษาหลายคนเสียชีวิตในตึก

สาโรจ นักศึกษาในเหตุการณ์ครั้งนั้นเล่าว่า บริเวณตึกบัญชีถูกยิงตั้งแต่เช้าจนถึง 9 โมงกว่า เวลายิงเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตั้งเป็นสองแถว แถวหน้ายิงแล้วแถวหลังจะนั่งเพื่อบรรจุกระสุนใหม่ก่อนที่จะสลับกันยิงไปมา จนกระทั่งช่วง 11:00 น จึงยอมเดินลงมามอบตัว ก่อนที่จะถูกบังคับให้ถอดเสื้อบริเวณสนามหญ้า เหมือนกับคนอื่นๆทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางคนถูกเหยียบถูกทำร้าย รวมถึงล้วงเอาทรัพย์สินมีค่าในตัวและนักศึกษาทั้งหมดก็จะต้องนอนถอดเสื้ออยู่บริเวณนั้นจนถึงช่วงบ่าย 3 โมงก่อนจะถูกจับตัวขึ้นรถเมล์ และถูกส่งไปขังที่โรงเรียนตำรวจจังหวัดนครปฐม

ลานโพธิ์

ชาญวิทย์เล่าถึงที่มาของบริเวณลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าจุดนี้ดังเดิมเป็นหน้ามหาวิทยาลัยนักศึกษาส่วนใหญ่ในยุคนั้นจะใช้ประตูบริเวณท่าพระจันทร์ในการเดินทางเข้ามาในมหาวิทยาลัย และในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็ถูกใช้เป็นบริเวณพื้นที่ของการชุมนุมด้วยในยุคนั้นนักศึกษาจะใช้การสื่อสารผ่านการใช้กระดาษเขียนใส่กระป๋องนมแล้วผูกเชือกโยงลงมาจากตึกเพื่อสื่อสารกันระหว่างคนบนตึกและด้านล่าง เพื่อสื่อสารว่าตอนนี้ในสนามกำลังประท้วงกันเรื่องอะไรบ้าง เพราะในตอนนั้นยังไม่มีมือถือและเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

อรวรรณ พิธีกรในเหตุการณ์ช่วงการชุมนุม 6 ตุลาคม 2519 พูดถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่ากิจกรรมการชุมนุมเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 แล้ววันนั้นก็ได้มีการแสดงการล้อเลียนการแขวนคอที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งถูกฆ่าแขวนคอ โดยหน้าที่หนึ่งของตนในวันนั้นคือการปราศรัย เชิญชวนเพื่อนนักศึกษาไม่ให้เข้าห้องสอบในเวลานั้น จนกว่าฆาตกรในเหตุการณ์ 14 ตุลาคมจะได้รับการลงโทษ แล้วต่อมาในเวลา 14:00 น วันเดียวกันก็มีการประกาศงดสอบ

ทนายด่างเล่าว่าละครวันที่ 4 ตุลาคม เป็นละครที่มีจุดประสงค์เพื่ออยากจะเล่าเหตุการณ์การถูกแขวนคอของพนักงานการไฟฟ้าจังหวัดนครปฐมหนึ่งในกิจกรรมคือการที่มีนักศึกษาแต่งตัวเป็นศพผู้เสียชีวิตนอนอยู่ตามพื้นและบริเวณอาคารเรียนเพื่อชี้ให้เห็นว่าก่อนที่นักศึกษาจะขึ้นไปสอบได้นั้นก็ต้องข้ามศพของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ไปสอบ ละครวันนั้นก็จบไปได้ด้วยดีโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งถูกสื่อนำไปตีข่าวว่าเป็นละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

อภินันท์ บัวหภักดี นักแสดงในกิจกรรมแขวนคอ เล่าว่าในตอนนั้นตนก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเล่นละครในการแสดงครั้งนี้ในตอนแรกตั้งใจจะไปชมภาพยนตร์แต่บังเอิญว่าผิดนัดกับเพื่อน แล้วไปเจอกับกลุ่มกิจกรรมที่เขากำลังซ้อมละครจึงอาสาเข้าไปร่วมการแสดงในครั้งนั้น

อภินันท์ บัวหภักดี

อภินันท์กล่าวว่าตนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความตั้งใจของเขาคือการแสดงเพื่อพูดถึงนักกิจกรรมที่ถูกฆ่าแขวนคออย่างโหดเหี้ยม แต่กลับถูกอีกฝ่ายนำไปบิดเบือนจนกลายเป็นอีกทางหนึ่งซึ่งนำมาซึ่งความสูญเสีย เขาใช้เครื่องมือสื่อสารของรัฐเพื่อมาทำร้ายประชาชน เป็นการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ คนที่บิดเบือนข่าวสารในวันนั้นเป็นคนที่สมควรจะต้องถูกลงโทษ

ตนและคณะกรรมการนักศึกษาถูกจับออกมานอกการชุมนุมในวันที่ 6 ตุลาคมเพื่อนำตัวไปบ้านเสนีย์ปราโมชหรือนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นแต่พอไปถึงหน้าบ้านก็ถูกจับและติดคุกอยู่ที่เรือนจำบางขวาง 2 ปี

ลานปรีดี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ทนายด่างเล่าว่าบริเวณนี้เป็นจุดที่นักศึกษาหลายคนพยายามใช้หนีออก หลายคนต้องกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาแต่ไปจากทางจุดนี้ก็ไม่พ้นเพราะเนื่องจากมีตำรวจน้ำรออยู่บริเวณนี้ มีการใช้อาวุธปืนยิงเข้ามา และคอยห้ามเรือที่จะเข้ามารับนักศึกษา ส่วนศึกษาบางคนก็พังตะแกรงเหล็กแล้วว่ายน้ำไปที่ท่าพระจันทร์บ้าง บางส่วนก็หลบหนีไปทางวัดมหาธาตุแถวศูนย์พระเครื่อง

ข้างอาคารศูนย์ภาษา

บริเวณข้างอาคารศูนย์ภาษาทนายด่างเล่าว่า บริเวณนี้ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นจุดที่ตำรวจตระเวนชายแดน ระดมยิงอาวุธสงครามมายังบริเวณข้างเวทีปราศรัยและทำให้เกิดผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนด้านประตูบริเวณอาคารโดมมีนักศึกษาบางส่วนพยายามพังประตูเข้าไปในอาคาร

อาคารคณะวารสารศาสตร์

บริเวณนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่มีคนหนีขึ้นไปเยอะ และก็ถูกระดมยิงใส่เหมือนตึกบัญชี บริเวณดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตเป็นตำรวจ 1 คน เนื่องจากนำอาวุธปืนกระแทกใส่หัวนักศึกษาแล้วปืนลั่นใส่เสียชีวิต ส่วนภายในอาคารก็มีการกราดยิงเข้าไปข้างในจนมีเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกัน

หนึ่งในผู้เข้าร่วมเหตุการณ์และเป็นหน่วยพยาบาลในเวลานั้นเล่าว่า บริเวณใต้ตึกบัญชีมีหน่วย พมช. หรือแพทย์เพื่อมวลชน โดยหลายคนเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งรับผิดชอบเรื่องการรักษาพยาบาลในการชุมนุมครั้งนั้น พอเริ่มเกิดการปะทะขึ้นก็มีการหาผู้บาดเจ็บเข้ามาอยู่ใต้ตึกบัญชี แม้กระทั่งหน่วยพยาบาลเองก็ถูกยิงเสียชีวิตเนื่องจากเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ สุดท้ายหน่วยแพทย์พยาบาลและผู้บาดเจ็บทั้งหมดก็ถูกกวาดลงมาบริเวณสนามหญ้าแล้วถูกจับถอดเสื้อ นอกจากนี้ยังมีหน่วยพยาบาลที่ประจำจุดอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาถูกยิงเสียชีวิตด้วย เป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดกลายเป็นบาดแผลในความรู้สึกจนถึงปัจจุบัน

ภาพบรรยากาศกิจกรรม : 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

FCC สหรัฐฯ ประกาศจะบล็อกผู้ให้บริการมือถือที่ไม่จัดการกับปัญหาบ็อตโทรอัตโนมัติ-ต้มตุ๋นผู้คน

$
0
0

คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ หรือ FCC ประกาศจะบล็อกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ไม่ยอมทำดำเนินการตามกฎหมายที่บังคับห้ามไม่ให้มีระบบบ็อตโทรหาผู้คนอัตโนมัติแบบที่เรียกว่า "โรโบคอล"ซึ่งเป็นระบบที่ผิดกฎหมายของสหรัฐฯ และเป็นระบบที่เสี่ยงจะทำให้แก็งต้มตุ๋นใช้หลอกลวงผู้คนได้


ที่มาภาพประกอบ: Federal Communications Commission

คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ (FCC) ขู่ว่าจะสั่งบล็อกผู้ให้บริการเสียงทางโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้ดำเนินมาตรการใดๆ ต่อการใช้ "โรโบคอล"ซึ่งหมายถึงระบบโทรศัพท์ที่โทรไปหาผู้คนโดยอัตโนมัติซึ่งกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่างๆ เช่น "แก็งคอลเซนเตอร์"มักจะนำมาใช้ โดยที่โรโบคอลเป็นระบบที่ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ

ทาง FCC ของสหรัฐฯ ประกาศในเรื่องนี้เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาระบุว่าพวกเขากำลังเริ่มทำการถอดผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่มีชื่อระบุไว้ใน "ฐานข้อมูลการบรรเทาปัญหาโรโบคอล"ออกจากระบบเนื่องจากว่าผู้ให้บริการเหล่านี้ไม่ได้นำมาตรการต่อต้านโรโบคอลที่เรียกว่า STIR/SHAKEN มาใช้อย่างครบถ้วนในโครงข่ายการให้บริการของพวกเขา

FCC ระบุอีกว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีมาตรการสั่งบล็อกการโทรของผู้ให้บริการเหล่านี้ภายในอีก 2 สัปดาห์ถัดจากนี้ ถ้าหากว่าผู้บริการเหล่านี้ไม่ทำตามข้อกำหนดที่วางไว้

เจสสิกา โรเซนวอร์เซล ประธานของ FCC สหรัฐฯ กล่าวว่า "ในยุคสมัยใหม่นี้ ถ้าหากผู้ให้บริการไม่ทำให้เป็นไปตามข้อผูกมัดภายใต้กฎหมาย พวกเขาก็จะต้องเผชิญกับการถูกถอนออกจากเครือข่ายโทรคมนาคมของอเมริกา แค่การสั่งปรับอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ"

โรเซนวอร์เซลกล่าวอีกว่า "ผู้ให้บริการที่ไม่ทำตามกฎหมายของพวกเราและทำให้ง่ายต่อการที่จะหลอกลวงผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์จากการกระทำของพวกเขาอย่างรวดเร็ว"

คำสั่งของ FCC มีการดำเนินการต่อผู้ให้บริการ 7 บริษัทในสหรัฐฯ ลอยยาน เอ อีกัล รักษาการหัวหน้าฝ่ายบังคับใช้มาตรฐานของ FCC กล่าวว่าผู้ให้บริการเหล่านี้ดำเนินการได้แย่และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการที่พวกเขาจะอยู่ในระบบการโทรคมนาคมของสหรัฐฯ ต่อไป และถึงแม้ว่าทาง FCC จะพิจารณาสิ่งที่บริษัทผู้ให้บริการเหล่านี้เสนอโต้ตอบกลับมา แต่ทาง FCC ก็จะไม่ยอมรับ "การแสดงออกผิวเผิน"จากบริษัทเหล่านี้เมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

สื่อด้า ไอที เดอะ เวิร์จ ระบุว่า คำประกาศของ FCC ในวันที่ 3 ต.ค. นับเป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการใช้ระบบโรโบคอลไปในทางผิดกฎหมาย นับตั้งแต่ที่มีข้อกำหนดที่ชื่อว่า STIR/SHAKEN ออกมาบังคับใช้

เมื่อปี 2563 ทาง FCC ของสหรัฐฯ ได้อนุมัติกฎหมายในเรื่องนี้ ทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมด้วยเสียงทั้งหมดต้องตรวจเช็กว่าการโทรมาจากบุุคคลจริงไม่ใช่จากบ็อตหรือเครื่องมืออัตโนมัติใดๆ ทาง FCC ได้กำหนดเส้นตายการบังคับใช้เป็นเดือน ก.ค. 2564 ในตอนนั้นบริษัทผู้ให้บริการรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง AT&T, T-Mobile และ Verizon ต่างก็ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้อย่างครบถ้วน

ถึงแม้ว่า FCC จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาแก็งคอลเซนเตอร์ผ่านการโทรด้วยการวางมาตรการต่อต้านโรโบคอลไปแล้ว แต่ก็เพิ่งจะมีการริเริ่มแก้ไขปัญหาการหลอกลวงต้มตุ๋นผ่านการส่งข้อความมือถือแบบที่เรียกว่าสแปมเมื่อไม่นานนี้เอง ในสัปดาห์แล้ว FCC ได้อนุมัติให้มีการร่างกฎหมายใหม่ ที่จะกำกับให้ผู้ให้บริการต้องคอยบล็อกข้อความจากหมายเลขที่เคยถูกนำมาใช้อย่างผิดกฎหมาย เช่น เคยถูกนำมาใช้หลอกลวงต้มตุ๋นผู้บริโภคมาก่อน มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่ร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการจะแล้วเสร็จ

เรียบเรียงจาก
FCC threatens to block calls from carriers for letting robocalls run rampant, The Verge, 04-10-2022

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ยก ‘จ.เพชรบุรี’ ต้นแบบสุขสุดท้ายที่ปลายทางทำพินัยกรรมชีวิต-รักษาประคับประคอง

$
0
0

ผู้ว่าฯ เพชรบุรี หนุนประชาชนใช้สิทธิตาม ม.12 พ.ร.บ.สุขภาพฯ แสดงเจตจำนงค์การดูแลรักษาตนเองในระยะสุดท้าย พร้อมเปิดตัว “ศูนย์เกล้าการุณย์” รพ.พระจอมเกล้า ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่เลือกจบชีวิตใน รพ.อย่างมีคุณภาพ ด้าน สช.ยกเป็น 1 ใน 2 จังหวัดต้นแบบพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคองของประเทศ

กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช. แจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2565 นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย นพ.พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า ร่วมกันเปิดงานสัปดาห์ PALLIATIVE WORLD ปี 2022 และเปิดตัว ศูนย์เกล้าการุณย์ ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี ตามโครงการสุขสุดท้ายที่ปลายทางกับมาตรา 12 โดยมีแพทย์ พยาบาล ทีมงานการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง และผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน

สำหรับกิจกรรมสำคัญในช่วงของการเปิดงาน ได้มีการร่วมกันทำพินัยกรรมชีวิต หรือหนังสือแสดงเจตนาไม่รับบริการทางสาธารณสุขที่เป็นเพียงการยื้อชีวิต (Living will) ซึ่งเป็นสิทธิตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกสิทธิการรักษาของตัวเองล่วงหน้า รวมถึงการแสดงเจตจำนงในการรับหรือไม่รับบริการรักษาใด ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถทำได้

นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เปิดเผยว่า งานสัปดาห์ PALLIATIVE WORLD ปี 2022 และการเปิดศูนย์เกล้าการุณย์ รพ.พระจอมเกล้า มีขึ้นตามโครงการสุขสุดท้ายที่ปลายทางกับมาตรา 12 ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของระบบบริการสุขภาพ ที่จะมีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้ความสำคัญและสนใจในสิทธิด้านสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะการได้วางแผนดูแลตัวเองล่วงหน้า (Advance Care Plan) หรือการทำหนังสือ Living will ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“กฎหมายได้รับรองสิทธิของประชาชนเมื่อเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายไว้แล้ว ดังนั้นการสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจถึงสิทธิการดูแลรักษาตัวเองของประชาชน รวมไปถึงการพัฒนาทัศนคติ ความรู้ของบุคลากรทั่วไป เพื่อสร้างความเข้าใจในทัศนคติต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ จึงนับว่ามีความจำเป็นในสังคมปัจจุบัน” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นพ.พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี กล่าวว่า สถานการณ์ระบบบริการสุขภาพของไทยกำลังเข้าสู่สังคมที่ผู้สูงวัยมีอายุยืนยาวมากขึ้น แต่ก็อาจส่งผลให้เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ รวมทั้งเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยก็อาจไม่สามารถช่วยให้หายจากโรคได้ หากแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานที่ส่งผลต่อคุณภาพในระยะสุดท้ายของชีวิต

“ฉะนั้นการที่เราสามารถวางแผนการดูแลตนเองล่วงหน้า หรือการทำ Advance Care Plan (ACP) ตลอดจนหนังสือแสดงเจตนา Living will ถือว่าเป็นการแสดงความต้องการที่แท้จริงของตัวเราเองได้ ในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์” นพ.พิเชษฐ กล่าว

ขณะที่ พญ.ปริยชาต์ สธนเสาวภาคย์ ประธานงานการดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลพระจอมเกล้า กล่าวว่า ในส่วนของศูนย์เกล้าการุณย์ รพ.พระจอมเกล้า จะทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative Care) ที่ต้องการดูแลรักษาตัวเองระยะท้ายภายในโรงพยาบาล ซึ่งรูปแบบการดูแลของบุคลากรจะเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายในศูนย์เกล้าการุณย์ดีที่สุด รวมถึงจะเป็นคลินิกระงับปวด ด้วยการให้ยากับผู้ป่วยระยะท้ายเพื่อไม่ให้เจ็บปวดจากอาการป่วย

พญ.ปริยชาต์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีประชากรที่ต้องการดูแลแบบประคับประคองจาก รพ.พระจอมเกล้า ประมาณเกือบ 400 คน โดยครึ่งหนึ่งต้องการกลับไปดูแลรักษาในช่วงระยะท้ายที่บ้านพัก ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะขอเข้ารับการดูแลจากศูนย์เกล้าการุณย์แห่งนี้

“กลุ่มผู้ป่วยระยะท้ายส่วนใหญ่จะป่วยมะเร็ง หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาได้แล้ว แต่ต้องการได้รับการดูแลจากโรงพยาบาล และเลือกจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ก็จะเข้ารับการดูแลผ่านศูนย์เกล้าการุณย์” พญ.ปริยชาต์ กล่าว

ด้าน นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สช.พร้อมร่วมสนับสนุนการดำเนินงานด้านสิทธิตามมาตรา 12 ของ จ.เพชรบุรี หลังจากได้หารือกับผู้ว่าว่าราชการจังหวัด โดยเตรียมที่จะให้ จ.เพชรบุรี เป็น 1 ใน 2 จังหวัดของประเทศไทย ที่จะศึกษา วิจัย และพัฒนาการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือสุขสุดท้ายที่ปลายทางของประชาชน โดยที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดยินดีที่จะร่วมเป็นทีมวิจัย

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เรื่องของการใช้สิทธิตามมาตรา 12 นี้เชื่อว่าจะสามารถไปถึงประชาชนได้มากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติไว้ให้ประชาชนได้แสดงเจตนา หรือมีสิทธิเลือกรับบริการทางการแพทย์ในระยะท้ายของชีวิต ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะสามารถพูดคุยในเรื่องของการดูแลระยะท้ายได้อย่างเป็นปกติ อันเป็นการแสดงออกถึงความมีอารยะ มีความเจริญทางด้านจิตใจ และสะท้อนถึงการดูแลประชาชนของประเทศนั้นๆ ได้ดีอีกด้วย

อนึ่ง วัตถุประสงค์ของการจัดงาน “สัปดาห์ PALLIATIVE WORLD ปี 2022 สุขสุดท้ายที่ปลายทางกับมาตรา 12” จะ มีการจัดขึ้นที่ รพ.พระจอมเกล้า ตลอด 3 วัน เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ถึงการดูแลแบบประคับประคองและบริการจัดทำพินัยกรรมชีวิตของ รพ.พระจอมเกล้า รวมถึงระบบบริการศูนย์เกล้าการุณย์ โดยภายในงานจะเปิดให้มีการทำสมุดเบาใจ และการทำพินัยกรรมชีวิต รวมทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิสุขภาพในมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ ให้กับประชาชนทั่วไป บุคลากร รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยประคับประคอง
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เตรียมเสนอ ครม. และ ก.พ. ยกเลิกกำหนด 'โรคจิต-อารมณ์ผิดปกติ'ออกจาก 'ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค'

$
0
0

อนุ กมธ.กิจการคนพิการ วุฒิสภา เตรียมเสนอ ครม. และ ก.พ. ยกเลิกการกำหนดโรคจิต หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ ออกจากร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค ชี้เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ขัดรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ป่วยจิตเวชปฏิเสธการเข้าสู่กระบวนการรักษา


ที่มาภาพประกอบ: christopher catbagan (Unsplash)

สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภารายงานเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2565 ว่านายมณเฑียร บุญตัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสวุฒิสภา พิจารณาร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... โดยเชิญผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)  เข้าชี้แจงถึงเหตุผลในการจัดทำร่างกฎ ก.พ. ก่อนคณะอนุกรรมาธิการมีมติที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ขอให้ทบทวนการอนุมติร่างกฎ ก.พ.ดังกล่าว ด้วยการยกเลิกข้อ 4.2 ซึ่งเป็นการยกเลิกกำหนดโรคจิต (Psychosis) หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorder) ที่ปรากฏอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรังและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ออกจากร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรคเนื่องจากเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ 

โดยเฉพาะคนพิการทางจิตสังคมขัดต่อรัฐธรรมนูญอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ อีกทั้งเห็นว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการยกร่างกฎ ยังไม่ครบถ้วนรอบด้าน การตรวจประเมินวินิจฉัยโรคว่าเป็นผู้ป่วยอาการเด่นชัดยังถือเป็นเรื่องยากในทางการแพทย์ไม่สามารถใช้การวัดทางชีวภาพได้ รวมทั้งหาก ก.พ.จะใช้กฎตามลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดการซ้ำเติมตีตราคนพิการทางจิตสังคมว่าไม่สามารถทำงานได้ภาคเอกชนและประชาสังคมจะนำไปใช้เป็นแนวทางรับสมัครงาน ซึ่งย่อมส่งผลกระทบในวงกว้างทำให้ผู้ป่วยจิตเวชไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ถูกปฏิเสธการจ้างงาน และยังส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ป่วยจิตเวชปฏิเสธการเข้าสู่กระบวนการรักษา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กป.อพช. ชวนร่วมจับตาประชุม APEC ที่จะนำไปสู่การยึดกุมระบบเศรษฐกิจและฐานทรัพยากร

$
0
0

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เชิญชวนองค์กรภาคประชาชน ร่วมจับตา ติดตาม และแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยต่อการประชุมของกลุ่มประเทศ APEC ที่จะนำไปสู่การยึดกุมระบบเศรษฐกิจและฐานทรัพยากร

8 ต.ค. 2565 คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง เชิญชวนองค์กรภาคประชาชน ร่วมจับตา ติดตาม และแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยต่อการประชุมของกลุ่มประเทศ APEC ที่จะนำไปสู่การยึดกุมระบบเศรษฐกิจและฐานทรัพยากร

เวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ที่ประเทศไทยกำลังจะจัดให้มีการประชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งในครั้งนี้ได้มีการนำแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular- Green- Economy Model (BCG) มาเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อเสนอต่อประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมทั้งหมด 

หากพิจารณาสาระสำคัญของแนวคิดนี้ที่อาศัยสถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโควิด -19 อันเป็นวิกฤติร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งต่างพยายามหาวิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศตัวเองในขณะนี้ รวมไปถึงการอ้างถึงปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก หรือ Climate Change ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงผลเสียจากการพัฒนาที่ไม่ทั่วถึง และกำลังสร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง จึงคิดไปว่าแนวคิดของเศรษฐกิจ BCG น่าจะเป็นทางออกของโลกใบนี้ได้ ประเทศไทยจึงพยายามโน้มนำให้ประชาคมเอเปคยอมรับผ่านการประชุมในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าจะตอบโจทย์การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้ภาวะวิกฤติดังกล่าว ซึ่งแนวคิดนี้จะมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ เพิ่มมูลค่า ลดความสูญเสีย และอ้างว่าจะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความสมดุลเท่าเทียมและทั่วถึงให้มากยิ่งขึ้น บนหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ กป.อพช. ไม่เชื่อว่าประชาชนไทยและประชาคมโลกจะได้ประโยชน์จากการประชุมในครั้งนี้ และยังไม่เชื่อด้วยว่า แนวคิด BCG จะถูกนำมาปรับใช้อย่างเอาจริงจัง และคงเป็นเพียงวาทกรรมอันสวยหรูและขายฝันเพื่อโน้มน้าวให้สังคมโลกได้เห็นแต่เฉพาะข้อดีของการประชุมดังกล่าว เพราะในอีกด้านหนึ่ง ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเวทีการประชุมกลุ่มเอเปค คือช่องทางหรือเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มประเทศที่ได้เปรียบทางการค้าการลงทุน อันเป็นกลไกของระบบทุนนิยมเสรีใหม่ที่สมคบกับกลุ่มอิทธิพลการเมืองและรัฐราชการ  ที่จ้องกอบโกยฐานทรัพยากรและผลประโยชน์อื่นๆจากกลุ่มประเทศที่ด้อยกว่าในทุกมิติ ที่ล้วนจะต้องแลกด้วยการสูญเสียทั้งสิ้น ซึ่งที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิชุมชน และการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศเหล่านั้น ที่ไม่คล้อยตามแนวทางการขับเคลื่อนของกลุ่มประเทศเอเปคตามข้อเท็จจริงดังกล่าว

โอกาสนี้ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน จึงขอประกาศเชิญชวนองค์กรภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และอื่นๆที่มีความห่วงกังวลต่อการประชุมในครั้งนี้ ได้มาร่วมกันจับตา ติดตาม และแสดงออกถึงการไม่ยอมรับการประชุมดังกล่าว ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้ ที่กำลังจะอ้างความชอบธรรมผ่านสถานการณ์วิกฤติของโลกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก เพื่อจะนำไปสู่การสร้างความชอบธรรมในการคุกคามและยึดกุมระบบเศรษฐกิจและฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยและประชาคมโลกอย่างเบ็ดเสร็จของคนบางกลุ่มเท่านั้น
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รองโฆษก รบ.แนะ 'เพื่อไทย'สร้างมาตรฐานยื่นญัตติด่วนปมกราดยิงหนองบัวลําภู

$
0
0

รองโฆษก รบ. แนะเพื่อไทยสร้างมาตรฐานยื่นญัตติด่วนปมกราดยิงหนองบัวลําภู ไม่คาดเดาและด่วนสรุปโดยไม่มีหลักฐาน เผย 'ประยุทธ์'กำชับทุกหน่วยเข้มกวดขันคุมยาเสพติด พร้อมกางผลปราบยาเสพติดรัฐบาล ยึดทรัพย์ได้เกินเป้าถึง 7 พันล้าน วอนอย่าเปรียบรัฐบาลยุคที่ฆ่าตัดตอนทำเสียชีวิต - รองโฆษกเพื่อไทยชี้เหตุโศกนาฏกรรมคนมีสีเป็นผู้ก่อเหตุ เกิดในรัฐบาล 'ประยุทธ์'หลายกรณี ประจานความล้มเหลวแก้ยาเสพติด

8 ต.ค. 2565 เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอญัตติด่วนในการแก้ไขปัญหาเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูว่า ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาดังกล่าว และนำประเด็นนี้เข้าไปสอบถามคณะรัฐมนตรี ตามกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนและนำไปสู่ความเข้าใจ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาร่วมกันของสังคมไทยจากคณะรัฐมนตรี เพราะเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นถือเป็นวาระแห่งชาติที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขเพียงลำพังไม่ได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน เอกชน ภาคประชาสังคมต่างๆ และที่สำคัญคือพี่น้องประชาชน​

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่ควรด่วนสรุป ในการกล่าวหาว่ารัฐบาลบกพร่องในเรื่องของการแก้ไขปํญหายาเสพติด เนื่องจากสาเหตุของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ที่ล่าสุด ผลผ่าชันสูตรศพผู้ก่อเหตุร้ายไม่พบสารเสพติด ซึ่งจะต้องมีกระบวนการทางนิติเวชในการดำเนินการต่อไป จึงขอให้ระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็น ควรรอให้กระบวนการได้ข้อยุติ เช่นเดียวกับกระบวนการในการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน อย่ารีบร้อนจนเกินไป เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ฝ่ายการเมืองต้องแสดงให้เห็นถึงความมีวุฒิภาวะ ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้​“ฉะนั้น ข้อมูลที่จะนำมาพูดคุยกันในสภาผู้แทนราษฎร ควรต้องสร้างมาตรฐานในการยืนญัตติในครั้งนี้ โดยไม่สร้างหรือตอกย้ำให้เกิดความหดหู่ กับครอบครัวผู้เสียชีวิต และไม่ควรคาดเดาหรือด่วนสรุปโดยไม่มีหลักฐานในสภาฯอังทรงเกียรติ” น.ส.ทิพานัน กล่าว​

น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับนโยบายป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและให้ปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการปรับปรุงกฎหมาย พระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งเน้นการตัดวงจรยาเสพติดด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดทรัพย์ เพิ่มแรงจูงใจปฏิบัติหน้าที่ คือให้รางวัลนำจับที่มีมากถึง 30% ของมูลค่าทรัพย์ที่ยึดได้ โดย 25% เป็นของเจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนและทำคดี และ อีก 5% เป็นของผู้แจ้งเบาะแสเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามยาเสพติด ให้ช่วยแจ้งเบาะแสรัฐบาล ได้ตั้งเป้าหมาย เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ด้วยการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ในกระบวนการยึด โดยในปี 2564 รัฐบาลตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท แต่สามารถยึดทรัพย์ได้กว่า 7,000 ล้านบาท กับผู้เกี่ยวข้องกับนาเสพติดอย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ก็ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการควบคุมยาเสพติด​

“ส่วนที่มีความพยายามนำไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่มีการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงนั้น ขออย่าได้นำไปเปรียบเทียบกัน เพราะจากปัญหาการฆ่าตัดตอนสมัยของรัฐบาลทักษิณนั้น ผลคือทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน เป็นเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างปัญหาสั่งสมให้เกิดความไม่สงบมาจนถึงปัจจุบัน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

‘ตรีชฎา’ ชี้เหตุโศกนาฏกรรมคนมีสีเป็นผู้ก่อเหตุ เกิดในรัฐบาล 'ประยุทธ์'หลายกรณี ประจานความล้มเหลวแก้ยาเสพติด

ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยแจ้งข่าวว่า น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุโศกนาฏกรรมที่ จ.หนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2565 โดยเฉพาะผู้ปกครองของบุตรหลาน บิดา มารดา ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรหลานอันเป็นที่รักยิ่ง และขอประณามการก่อเหตุที่ใช้ความรุนแรง ไร้จิตสำนึก ไร้มนุษยธรรม และไม่สมควรอย่างยิ่งที่เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นในสังคมไทย หลายเหตุการณ์ความรุนแรงในลักษณะเจ้าหน้าที่รัฐ หรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธปืนทำร้ายประชาชนเช่นนี้ เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เคยประกาศไว้หลังยึดรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ว่าจะปฏิรูปตำรวจ พลเอกประยุทธ์ กำกับดูแลทั้งกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับนโยบาย ไม่สามารถที่จะหนีความรับผิดชอบไปได้

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังพลเอกประยุทธ์ ปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง จริงใจ และเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ก่อนหมดสิ้นอายุขัยของรัฐบาลและขอเรียกร้องให้เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ระบาดหนักในขณะนี้ เพราะปัญหาสังคมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ล้วนมาจากยาเสพติด ต้นเหตุบ่อนทำลายสังคมไทยทั้งสิ้น ยาบ้าแม้เพียงเม็ดเดียวก็สร้างปัญหา

“ถ้ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศดี มีประสิทธิภาพ เอาใจใส่เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะเรื่องคนถืออาวุธซึ่งเป็นคนมีสี ได้แก่ ทหาร ตำรวจ คอยสั่งการให้มีการสอดส่องดูแล กวดขันตั้งแต่ระดับบนลงมาถึงระดับล่างอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยปละละเลย โอกาสที่จะเกิดตำรวจ ทหารนอกแถว หรืออดีตข้าราชการฝ่ายความมั่นคง ไปก่อเรื่องวุ่นวายจะน้อยลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าจะยอมรับหรือให้อภัยได้ ท่านเป็นนายกฯต้องใช้อำนาจที่มีเร่งแก้ปัญหา” น.ส. กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผู้ว่าฯ ขอนแก่น เผยระดับน้ำ 'เขื่อนอุบลรัตน์'อยู่ในระดับวิกฤตแล้ว

$
0
0

ผู้ว่าฯ ขอนแก่น เผยระดับน้ำ 'เขื่อนอุบลรัตน์'อยู่ในระดับวิกฤตแล้ว ปัจจุบันปริมาณน้ำอยู่ที่ 3,010 ล้าน ลบ.ม. หรือ 124 % คาดภายใน 5 วันนี้น้ำจะสูงขึ้นอีก 80 ซม.ในพื้นที่เหนือเขื่อนใน จ.ขอนแก่น และ จ.หนองบัวลำภู

8 ต.ค. 2565 Thai PBSรายงานว่านายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักชลประทานที่ 6 ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บินสำรวจสถานการณ์น้ำท่วมลุ่มน้ำพองในเขต อ.อุบลรัตน์ อ.น้ำพอง และ อ.เมืองขอนแก่น พบว่า

น้ำพองได้เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรเป็นบริเวณกว้าง และบ้านเรือนประชาชนบางพื้นที่ ระดับน้ำเริ่มนิ่งและทรงตัว บางแห่งน้ำเริ่มเน่าเหม็น

บางจุดระดับน้ำใกล้ล้นตลิ่งเจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งเสริมแนวคันดินเพื่อไม่ให้น้ำพองไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนแบะพื้นที่ทางการเกษตรในเขตอำเภอเมือง

ผู้ว่าฯขอนแก่น กล่าวว่าจากการบินสำรวจอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์พบว่า ขณะนี้น้ำในอ่างอยู่ในระดับวิกฤติ โดยพื้นที่เหนือเขื่อนในเขต จ.ขอนแก่น และ จ.หนองบัวลำภู น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนทางเข้าหมู่บ้าน

คาดว่าภายในระยะ 5 วันนี้น้ำจะท่วมสูงขึ้นอีก 80 ซม.ด้วยเขื่อนอุบลรัตน์ได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมและพายุ "โนรู"ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีมวลน้ำไหลหลากเข้าจนเต็มความจุอ่างเก็บน้ำ ในวันที่ 2 ต.ค.2565 จนถึงปัจจุบันยังคงมีมวลน้ำไหลเข้าถึง 187 ล้าน ลบ.ม.

ขณะที่ระบายออกได้เพียง 41 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีระดับน้ำ 3,010 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 124 เกินระดับเก็บกัก 1.49 เมตร เกินความจุ 578.93 ล้าน ลบ.ม.

ท่วมพื้นที่เหนือเขื่อนหนัก ล่าสุดบ้านโนนสวรรค์ถูกน้ำท่วมจนมีสภาพกลายเป็นเกาะกลางน้ำ

วันเดียวกันนี้ (8 ต.ค.) ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าหลังจากฝนตกหนัก มีน้ำป่าและมวลน้ำจากลำน้ำสาขาไหลเข้าเขื่อนอุบลรัตน์ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำเกินความจุกักเก็บ ทำให้น้ำล้นอ่างเก็บน้ำเอ่อท่วมพื้นที่ทางตอนเหนือของเขื่อน ซึ่งหมู่บ้านโนนสวรรค์ หมู่ที่ 8 ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักน้ำท่วมเกือบทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องย้ายขึ้นมาอยู่บริเวณริมถนน บริเวณใกล้กับสถานีควบคุมไฟป่าขอนแก่น ใช้เป็นที่พักชั่วคราว และการเข้าออกหมู่บ้านต้องใช้รถยกสูงเท่านั้น เนื่องจากถนนถูกน้ำท่วมสูงประมาณ 30 ถึง 50 เซนติเมตร

นายบุญชู โผใจอาน อายุ 63 ปี ชาวบ้านโนนสวรรค์ กล่าวว่า ตนมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ 23 ปีแล้ว แต่สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้หนักกว่าปี 2560 เพราะน้ำได้เอ่อท่วมเกือบทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องย้ายออกจากหมู่บ้านเกือบทั้งหมด ซึ่งน้ำได้ท่วมมาแล้วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ขณะนี้ชาวบ้านกำลังประสบปัญหาน้ำกัดเท้า ส่วนการให้ความช่วยเหลือ มีทางอำเภออุบลรัตน์มาแจกถุงยังชีพไปแล้ว

ขณะที่ทางหลวงชนบทขอนแก่นได้นำป้ายประกาศมาปิดถนนสาย 2036 บริเวณบ้านภูเขาวง ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ หลังน้ำท่วมสูง 50-80 เซนติเมตร ระยะทางยาว 1.2 กิโลเมตร รถทุกชนิดห้ามผ่าน ทำให้การสัญจรจากอำเภออุบลรัตน์มุ่งหน้าอำเภอหนองเรือถูกตัดขาด ต้องไปใช้ถนนมะลิวัลย์แทน

ทั้งนี้ ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์มีจำนวน 5 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านท่าเรือ (คุ้มหินเพิง) หมู่ที่ 3 บ้านภูคำเบ้า หมู่ที่ 7 บ้านโนนสวรรค์ หมู่ที่ 8 บ้านแก่งศิลา หมู่ที่ 9 และบ้านภูเขาวง หมู่ที่ 10 รวมไปถึงพื้นที่การเกษตร ปศุสัตว์ ประมง ได้รับความเสียหาย ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน 342 ครัวเรือน

 

*ที่มาภาพปก: I Am Khonkaen

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เผยสภาฯ ส่งคำชี้แจงร่างกฎหมายเลือกตั้งให้ศาล รธน. แล้ว

$
0
0

เผยสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำชี้แจงร่างกฎหมายเลือกตั้งให้ศาล รธน. แล้ว แจงรายละเอียดตั้งแต่เริ่มพิจารณากฎหมายจนลงมติเห็นชอบ คาดศาลถกวางกรอบคดี 12 ต.ค. 2565 นี้

8 ต.ค. 2565 สำนักข่าวไทยรายงานว่า นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องพิจารณาวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่าขณะนี้ทางสภาฯได้จัดส่งคำชี้แจงและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเย็นของวันศุกร์ที่ 7 ต.ค. 2565 เบื้องต้นเป็นการชี้แจงรายละเอียดของกระบวนการตั้งแต่ชั้นของการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. จนถึงกระบวนการให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีเอกสารบันทึกการประชุมต่างๆ รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวทุกครั้ง รวมทั้งรายงานการประชุมและบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทุกครั้ง และเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับเอกสารและคำชี้แจงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามกรอบระยะเวลา 15 วันครบถ้วนแล้ว โดยกระบวนการหลังจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะนำเอกสารและคำชี้แจงที่ได้รับมาพิจารณาเพื่อวางกรอบแนวทางการพิจารณาคดี หากศาลพิจารณาจากเอกสารและคำชี้แจงที่ได้รับแล้วสิ้นข้อสงสัย เนื่องจากเป็นประเด็นทางข้อกฎหมาย ทางคณะตุลาการฯจะกำหนดวันเพื่อพิจารณาลงมติได้เลย แต่หากยังเห็นว่าข้อมูลยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะลงมติวินิจฉัยได้ อาจมีคำสั่งให้แสวงหาพยานเพิ่มเติมหรือให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมภายหลังได้ ทั้งนี้ มีรายงานว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะนัดประชุมเพื่อพิจารณาวางกรอบการพิจารณาคดีในพุธที่ 12 ต.ค. 2565 นี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สวนดุสิตโพลชี้คนส่วนใหญ่ 77.32% คิดว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาคนจนไม่ได้

$
0
0

สวนดุสิตโพลสำรวจ 1,067 คน เรื่อง "ของแพงกับคนจน"พบว่า 54.54% ระบุรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 77.32% คิดว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาคนจนไม่ได้

9 ต.ค. 2565 ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและสินค้าแพง ส่งผลให้คนไทยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรายได้ รายจ่ายไม่สัมพันธ์กัน และจากการเปิดรับลงทะเบียน "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"หรือ "บัตรคนจน"รอบใหม่ในปี 2565 พบว่า "คนจน"ในประเทศไทยเพิ่มเป็น "20 ล้านคน"หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลต่อสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,067 คน จากทั่วประเทศ เรื่อง "ของแพง กับ คนจน"พบว่า

ณ วันนี้ รายได้ของประชาชนเพียงพอกับรายจ่ายหรือไม่
ร้อยละ 54.54 ระบุ ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
ร้อยละ 45.46 ระบุ เพียงพอกับรายจ่าย

สินค้าประเภทใดที่คิดว่า "แพง"เกินกว่าที่จะรับได้
อันดับ 1 ร้อยละ 82.96 ระบุ ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง
อันดับ 2 ร้อยละ 71.19 ระบุ ค่าน้ำ ค่าไฟ
อันดับ 3 ร้อยละ 66.38 ระบุ แก๊สหุงต้ม
อันดับ 4 ร้อยละ 53.67 ระบุ อาหารจานเดียว อาหารตามสั่ง
อันดับ 5 ร้อยละ 52.64 ระบุ วัตถุดิบสำหรับทำอาหาร

ประชาชนอยากให้รัฐบาลดำเนินการอย่างไรเพื่อช่วยเหลือกรณีของแพง
อันดับ 1 ร้อยละ 85.73 ระบุ ควบคุมราคาสินค้า ลดราคาสินค้า
อันดับ 2 ร้อยละ 68.43 ระบุ ลดภาษีน้ำมัน
อันดับ 3 ร้อยละ 56.52 ระบุ นำเสนอข้อมูลความจริง ไม่ปิดบัง
อันดับ 4 ร้อยละ 54.35 ระบุ จัดโครงการสินค้าราคาถูกช่วยเหลือประชาชน
อันดับ 5 ร้อยละ 52.36 ระบุ เร่งออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น คนละครึ่ง ช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ

ประชาชนคิดอย่างไรกับกรณี "คนจน"ในประเทศเพิ่มเป็น "20 ล้านคน"หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
อันดับ 1 ร้อยละ 80.38 ระบุ ของแพงทำให้คนมีเงินไม่พอใช้
อันดับ 2 ร้อยละ 74.72 ระบุ คนตกงานมากขึ้น ไม่มีรายได้
อันดับ 3 ร้อยละ 70.47 ระบุ เงินจำนวนเท่าเดิม ซื้อของให้น้อยลง
อันดับ 4 ร้อยละ 67.64 ระบุ คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
อันดับ 5 ร้อยละ 65.57 ระบุ เศรษฐกิจไม่ดีเป็นเวลานาน

ประชาชนอยากให้รัฐบาลดำเนินการอย่างไรเพื่อช่วยเหลือกรณี "คนจน"
อันดับ 1 ร้อยละ 78.32 ระบุ สร้างโอกาส สร้างรายได้ เน้นการพุ่งตนเองได้ในระยะยาว
อันดับ 2 ร้อยละ 77.19 ระบุ แก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
อันดับ 3 ร้อยละ 66.54 ระบุ ยอมรับและหาต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง
อันดับ 4 ร้อยละ 63.15 ระบุ ทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
อันดับ 5 ร้อยละ 59.10 ระบุ เพิ่มสวัสดิการช่วยเหลือดูแลด้านสุขภาพ

ประชาชนคิดว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหา "คนจน"ได้หรือไม่
ร้อยละ 77.32 ระบุ แก้ไขไม่ได้
ร้อยละ 22.68 ระบุ แก้ไขได้

ประชาชนคิดว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหา "ของแพง"ได้หรือไม่
ร้อยละ 59.23 ระบุ แก้ไขไม่ได้
ร้อยละ 40.77 ระบุ แก้ไขได้

นางสาวพรพรรณ บัวทองนักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่าสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,067 คน ระหว่างวันที่ 3-6 ตุลาคม 2565 พบว่า ณ วันนี้รายได้ของประชาชนไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 54.54 เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 45.46 โดยสินค้าที่คิดว่า “แพง” เกินกว่าที่จะรับได้ อันดับ 1 คือ ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ร้อยละ 82.96 รองลงมาคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ร้อยละ71.19 สิ่งที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการ คือ ควบคุมราคาสินค้า ลดราคาสินค้า ร้อยละ 85.73 ลดภาษีน้ำมัน ร้อยละ 68.43  กรณี “คนจน” เพิ่มเป็น 20 ล้านคน มองว่าเพราะของแพงทำให้คนมีเงินไม่พอใช้ ร้อยละ 80.38 รองลงมาคือ คนตกงานมากขึ้น ไม่มีรายได้ 74.72 สิ่งที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือ คือ สร้างโอกาส สร้างรายได้ เน้นการพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ร้อยละ 78.32 รองลงมาคือ ควรแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ร้อยละ 77.19 ในภาพรวมประชาชนคิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหา “คนจน” ได้ ร้อยละ 77.32 ส่วนปัญหา “ของแพง” ก็ไม่น่าจะแก้ไขได้เช่นกัน ร้อยละ 59.23
    
จากผลการสำรวจเชิงลึก พบว่า กลุ่มอาชีพที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 3 อันดับแรก คือกลุ่มอาชีพรับจ้าง รองลงมา คือ นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำธุรกิจส่วนตัวและค้าขาย อาจเป็นเพราะทั้งสามกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำที่แน่นอน จึงเกิดปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยปัญหาของแพงเข้ามากระทบต่อการใช้จ่ายประชาชนเป็นอย่างมาก คนมีเงินไม่พอใช้ ช่วงโควิด-19 ยิ่งทำให้เกิดภาวะตกงาน ว่างงาน ต้องหยิบยืมมาใช้จ่ายทำให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้น อัตราคนจนหรือคนรายได้น้อยก็เพิ่มสูงขึ้น เสียงสะท้อนจากผลโพลจึงต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดภาระของประชาชนโดยเร็ว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิตต์วิมล คล้ายสุบรรณ  อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่าในปัจจุบันประชาชนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจและการจ้างงาน ทำให้คนตกงานมากขึ้น ไม่มีรายได้ หรือบางคนถูกลดเงินเดือน จึงส่งผลให้คนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายของค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็หมายถึงมีจำนวนคนจนมากขึ้นนั้นเอง เมื่อ “รายได้น้อยลง” แต่ “ของแพงขึ้น” จึงทำให้เงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงปากท้องในแต่ละวัน จากปัญหาถึงแม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนอยู่หลายโครงการ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยเฉพาะวางแผนในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบเป็นเรื่องที่ท้าทายรัฐบาลชุดนี้เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน โดยสิ่งสำคัญจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยมีการปรับเปลี่ยนกลไกและวิธีการในการแก้ไขปัญหาให้สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และสำหรับความตั้งใจของรัฐบาลที่ว่า “30 กันยายน 2565 คนจนจะหมดไป” ณ วันนี้ก็ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่จะต้องหาวิธีการแก้จนกันต่อไป
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ชลน่าน'ไม่เชื่อมีดีลลับดึงกลุ่ม 'ธรรมนัส'เข้า 'เพื่อไทย'

$
0
0

'ชลน่าน'หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เชื่อข่าวลือมีดีลลับดึงกลุ่ม 'ธรรมนัส'เข้าพรรค แทงกั๊กมีโอกาสหรือไม่โยนต้องรับฟังความเห็นประชาชนทุกฝ่าย - คาดมีความชัดเจน 10 ต.ค. นี้ในงานประชุมพรรคเศรษฐกิจไทยที่ จ.พะเยา


นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (แฟ้มภาพ)

9 ต.ค. 2565 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค กล่าวถึงกรณี “ดีลลับดูไบ” เพื่อให้ครอบครัวร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคเพื่อไทย ว่า ไม่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ในฐานะหัวหน้าพรรค ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาข่าวลักษณะนี้มีตลอด ไม่ทราบว่าใครมีความประสงค์ร้ายกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่เราเองก็ระมัดระวังเรื่องนี้มาตลอด โดยยึดถือข้อกฎหมายเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการทำหน้าที่ของพรรค

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน การที่ใครจะเข้ามาร่วมงานกับพรรค ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกพรรคหรือผู้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกับพรรค ดังนั้น ไม่ว่าพรรคจะทำกิจกรรมอะไร เราจะยึดแนวทางเหล่านี้และนำเข้าสู่ที่ประชุมของพรรคเพื่อไทย สุดท้ายกรรมการบริหารพรรคก็จะต้องมาพิจารณาด้วยความรอบคอบ

เมื่อถามว่ามีโอกาสที่กลุ่มร้อยเอกธรรมนัส จะเข้ามาสังกัดพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความเห็น เพราะพรรคการเมืองแต่ละพรรค ก็มีแนวทางของตัวเอง เพื่อแสวงหาโอกาสที่จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมากที่สุด ดังนั้น จะเลือกแนวทางไหนก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรค

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ยังไม่ได้ปิดประตูตายใช่หรือไม่ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชนและรอรับฟังความเห็นของประชาชนทุกฝ่าย ส่วนจะเป็นการโยนหินถามทางหรือไม่ ตนไม่แน่ใจ

นายแพทย์ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีที่ปรากฏชื่อของร้อยเอกธรรมนัส และทำให้มวลชนที่สนับสนุนพรรคส่วนหนึ่งไม่พอใจ ว่าเราก็รับฟังทุกฝ่าย เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน ไม่ใช่แค่คนที่เห็นด้วยหรือต่อต้าน ต้องฟังเสียงประชาชนทั้งหมด

ส่วนกังวลหรือไม่ ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกเชื่อมโยงทางการเมือง เพราะร้อยเอกธรรมนัส ก็เป็นคนสนิทของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า มิติการเมืองเราต้องคิดอย่างรอบด้านและรอบคอบ เลือกทางที่มีประโยชน์กับพี่น้องประชาชนมากที่สุดซึ่งเรายึดแนวทางนั้น

สะพัด 'ธรรมนัส'ต่อสายดีลคนไกล พาครอบครัวซบ ‘เพื่อไทย’ โดยเตรียมชี้ขาดชัดเจนในงานประชุมพรรคเศรษฐกิจไทย 10 ต.ค. นี้ ที่ จ.พะเยา

เมื่อวันที่ 8 ค.ค. 2565 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่ามีรายงานข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส ที่มีความสนิทสนมกับคนแดนไกล รวมถึง อดีตตำรวจใหญ่ ได้มีการติดต่อเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า โดยฝาก ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย จำนวนหนึ่งให้พิจารณาลงสมัคร ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้ว

ขณะที่ ส.ส.บางคน ยังขอตัดสินใจว่าจะกลับมาอยู่พรรคพลังประชารัฐหรือไม่ โดยความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคเศรษฐกิจไทย จะมี ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้ให้ข่าวและแสดงความชัดเจน เพียงคนเดียว

สำหรับ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ที่เป็นครอบครัวธรรมนัส มี จำนวน 14 คน ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร เลขาธิการพรรค นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา นายเกษม ศุภรานนท์ ส.ส.นครราชสีมา นายสถิระ เผือกประพันธุ์ ส.ส.ชลบุรี นายพรชัย อินทร์สุข ส.ส.พิจิตร นายปัญญา จีนาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน

พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.สมุทรสาคร นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข ส.ส.ตาก นายยุทธนา โพธสุธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น

ขณะที่ 3 ส.ส. ที่คาดว่าย้ายไปสังกัด พรรคภูมิใจไทย ได้แก่ นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ส.ส.ตาก นายณัฏฐพล จรัสรพีพงษ์ ส.ส.สุรินทร์ นายธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ ส.ส.อุบลราชธานี

ทั้งนี้พรรคเศรษฐกิจไทยภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรค ได้เตรียมนัดประชุมใหญ่พรรคในวันที่ 10 ต.ค. เวลา 14.00 น. ที่สโมสรเทศบาลเมืองพะเยา เพื่อหารือในหลายวาระ ทั้งการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ การปรับเปลี่ยนโลโก้พรรค เพื่อขับเคลื่อนการทำงาน และเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เผย ตม.เตรียมเพิกถอนวีซ่าทีมข่าว CNN หากพบว่าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

$
0
0

สื่อ Thai PBS รายงาน ตม.เตรียมเพิกถอนวีซ่าทีมข่าว CNN กรณีเข้าไปรายงานข่าวจุดเกิดเหตุในศูนย์เด็กเล็กฯ จ.หนองบัวลำภู ขณะที่ตำรวจนำตัวสอบปากคำที่ สภ.นากลาง ด้าน CNN ถอดสกู๊ปที่มีประเด็นออกจากเว็บไซต์แล้ว

9 ต.ค. 2565 Thai PBSรายงานว่าตำรวจนำตัวผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศมาสอบปากคำที่ สภ.นากลาง หลังเข้าไปรายงานข่าวภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู

พร้อมเตรียมดำเนินการเพิกถอนวีซ่า หากพบว่าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง ก็จะดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย และผลักดันออกนอกประเทศ นอกจากนี้ หากพบว่ามีใครที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปในพื้นที่ก็จะตรวจสอบและดำเนินคดีด้วย

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเดินทางไปที่ สภ.นากลาง เพื่อติดตามคดีนี้ในเวลา 13.30 น. 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายก อบต.แจ้งความทีมข่าว CNN บุกรุกจุดเกิดเหตุ

ก่อนหน้านี้ นายก อบต.อุทัยสวรรค์ ได้เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุว่า เพิ่งทราบเรื่องจากทางสื่อวันนี้ ยังไม่ได้สอบถามรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงในสื่อเท่านั้น โดยได้สั่งการไปยังฝ่ายป้องกันและประสานตำรวจ ห้ามเข้าใกล้จุดที่เกิดเหตุนี้เด็ดขาด เพราะกระบวนการต่าง ๆ ยังไม่เสร็จสิ้นและรู้สึกกังวลใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น นายก อบต.ได้เดินทางไปที่ สภ.นากลาง เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากได้รับการประสานจากตำรวจในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ โดยเบื้องต้นได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาบุกรุกสถานที่ราชการ ก่อนจะหาหลักฐานเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม

ผู้สื่อข่าว BBC ทวีตบอกห้ามไม่ให้สื่ออีกรายทำตาม

ขณะที่ โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าว BBC ซึ่งได้ลงพื้นที่ติดตามข่าวนี้เช่นกัน ทวีตแถลงการณ์ของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย พร้อมกับระบุข้อความ ที่มีใจความว่า ตัวเองยังได้ห้าม ไม่ให้สื่ออีกรายที่กำลังปีนรั้วเข้าไปยังศูนย์ดูแลเด็กเล็กที่เกิดเหตุ การเข้าไปภายในจุดที่เกิดเหตุอาชญากรรมไม่ใช่พฤติกรรมของผู้สื่อข่าวที่จะสามารถยอมรับได้

CNN ถอดสกู๊ปที่มีประเด็นออกจากเว็บไซต์

ทั้งนี้จากการตรวจสอบของ Thai PBS พบว่าแม้ในเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างประเทศรายดังกล่าว จะยังคงมีประเด็นการฆาตกรรมหมู่ในไทย ที่ติดเทรนจำนวนผู้เข้าชมสูง แต่ล่าสุดได้มีการนำรายงานข่าวที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ออกไปจากหน้าเว็บไซต์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาแล้ว เช่นเดียวกับในสื่อสังคมออนไลน์ช่องทางอื่นๆ ด้วย
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักวิชาการชี้มาตรการเข้มกำหนดเพดานดอกเบี้ยของ สคบ. จำกัดวงเงินสินเชื่อผลักผู้มีรายได้น้อยสู่หนี้นอกระบบ

$
0
0

นักวิชาการชี้มาตรการเข้มงวดทางการเงินกำหนดเพดานดอกเบี้ยของ สคบ. จำกัดวงเงินสินเชื่อผลักผู้มีรายได้น้อยสู่หนี้นอกระบบ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในระบบอาจพุ่งสูงกว่า 30% หากยกเลิกนโยบายเปิดเสรีทางการเงินและการปล่อยดอกเบี้ยลอยตัวตามกลไกตลาด การกำหนดเพดานดอกเบี้ยต้องสอดคล้องกับภาวะตลาดจึงไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ติดตามมา 

9 ต.ค. 2565 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบธนาคารแห่งประเทศไทย แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนกล่าวถึงมาตรการเข้มงวดทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเพดานดอกเบี้ย จำกัดวงเงินสินเชื่อของสินเชื่อบางประเภท การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนำมาสู่มาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน แม้นมาตรการเข้มงวดทางการเงินเหล่านี้จะมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินและป้องกันไม่ให้มีการก่อหนี้เกินตัว รวมทั้งไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบของเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่อลูกหนี้ก็ตาม มาตรการเข้มงวดทางการเงินบางส่วนอาจไม่ได้ช่วยบรรเทาปัญหาในปัจจุบัน แต่อาจทำให้เกิดปัญหาในบางมิติเพิ่มขึ้น การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสัญญาเกี่ยวกับเรื่องเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่กำลังประกาศออกมาบังคับใช้อาจส่งผลผลักดันให้ผู้มีรายได้น้อยและมีความเสี่ยงทางการเงินสูงเข้าสู่หนี้นอกระบบมากขึ้น ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบหนักกว่าหนี้ในระบบ เจ้าหนี้นอกระบบสามารถขูดรีดดอกเบี้ยได้อย่างเต็มที่ ในหลายกรณีการทวงหนี้ก็ใช้ความรุนแรง

อัตราดอกเบี้ยสำหรับรถยนต์ใหม่เพดานไม่เกิน 10% ต่อปี รถใช้แล้ว ไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 23% ต่อปี นั้นอาจทำให้ สถาบันการเงินลดการปล่อยกู้ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือ อาจเพิ่มจำนวนเงินดาวน์สูงขึ้นจนทำให้กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงบริการสินเชื่อในระบบได้ และ ต้องหันไปกู้เงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ามากและยังมีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเวลามีการทวงหนี้อีกด้วย อัตราการขยายตัวของสินเชื่อหรือหนี้นอกระบบจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อมีประกาศคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมา ผู้ประกอบการทั้งหมดก็ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย เพดานปรับลดลงมาจากเดิมเฉลี่ยอยู่ประมาณ 30% ลงมาเหลือเพียง 23% เชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีการทบทวนเกณฑ์และมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เช่น การเพิ่มวงเงินดาวน์เฉลี่ย 10-20% และกลุ่มที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์รายได้อาจเพิ่มเงินดาวน์มากกว่า 20% กระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของผู้ประกอบการหรืออาชีพอิสะที่มีรายได้ไม่แน่นอน การกำหนดเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อ จะกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยทั้งฝั่งผู้ปล่อยกู้หรือบริษัทสินเชื่อขนาดเล็นและนาโนไฟแนนซ์และลูกหนี้ธุรกิจขนาดย่อมหรือลูกหนี้ผู้มีรายได้น้อยทั่วไป ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ (reject rateในระบบสถาบันการเงินอาจพุ่งสูงมากกว่า 30% โดยเฉพาะสินเชื่อจักรยานยนต์ที่มีต้นทุนการดำเนินการและความเสี่ยงสูง หากยกเลิกนโยบายเปิดเสรีทางการเงินและการปล่อยดอกเบี้ยลอยตัวตามกลไกตลาด การกำหนดเพดานดอกเบี้ยต้องสอดคล้องกับภาวะตลาดจึงไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ติดตามมา 

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงมาตรการรีไฟแนนซ์และการรวมหนี้ของแบงก์ชาติที่ได้ดำเนินการมาในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิด 19 ไม่ว่าจะเป็น การห้ามเรียกเก็บค่าปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนครบกำหนด (Prepayment fee) การรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับสินเชื่อประเภทอื่นๆ (Debt Consolidation) นั้นว่าเป็นมาตรการที่บรรเทาปัญหาให้กับลูกหนี้ได้ดีพอสมควร ทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยลดลงเมื่อนำมารวมหนี้ ชำระหนี้ง่ายขึ้นและลูกหนี้ไม่เสียเครดิตไม่เสียประวัติ ลดการเป็นหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม มาตรการรวมหนี้นี้ลูกหนี้สามารถรวมหนี้ได้ไม่เกินมูลค่าหลักประกัน ขณะที่มาตรการคุมเพดานดอกเบี้ย เพดานค่าธรรมเนียม ลดวงเงินสินเชื่อของบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของแบงก์ชาติถือว่าได้ผลในการควบคุมการก่อหนี้เกินตัวหรือใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อยในกลุ่มคนอายุน้อยได้ดี ทำให้ผู้ใช้บริการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลมีเงินออมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นบ้าง ปัญหาหนี้เสียหรือก่อหนี้สินเกินฐานะลดลงบ้าง อย่างไรก็ตาม ทำให้ลูกหนี้บางส่วนหันไปใช้เงินกู้นอกระบบหรือสินเชื่อจำนำทะเบียนมากขึ้น ซึ่งมีดอกเบี้ยสูงกว่า
  
งานวิจัย เรื่อง “ปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศ: ข้อมูลสถิติ เศรษฐมิติ และ Machine Learning” ของธนาคารแห่งประเทศไทยโดย Pim Pinitjitsamut และ วิศรุต สุวรรณประเสริฐ 2022 ได้บ่งชี้ว่า ครัวเรือนตัดสินใจก่อหนี้กู้นอกระบบทั้งที่ดอกเบี้ยแพงมากและการทวงหนี้โหดร้ายนั้นเป็นผลจากติดขัดเงื่อนไขของสถาบันการเงินในระบบ และ มักเกิดจากความจำเป็นเร่งด่วน และครัวเรือนเหล่านี้มักมีรายได้ไม่แน่นอน จากการทำสำรวจโดยการลงพื้นที่สัมภาษณ์โดยตรงมากกว่า 4,800 ครัวเรือนในพื้นที่ 12 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพฯ อัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะอยู่ที่ราว 30-31% (เป็นเจ้าหนี้นอกระบบนอกพื้นที่และแก็งหมวกกันน็อค) กลุ่มที่เป็นลูกหนี้นอกระบบเป็นสัดส่วนสูงที่สุด คือ ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป สะท้อนว่า สวัสดิการผู้สูงวัยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ค่ามัธยฐานของมูลค่าหนี้อยู่ที่ 11,000-20,000 บาทต่อคน มีข้อน่าสังเกตจากงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และมูลค่าหนี้นอกระบบไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป ซึ่งอาจมาจากปัจจัยความสามารถในการใช้คืนหนี้นอกระบบโดยผู้ที่มีรายได้น้อยจะกู้ได้ไม่มากเพราะไม่มีความสามารถจะหารายได้มาใช้หนี้ ขณะที่ผู้มีรายได้สูงสามารถกู้หนี้นอกระบบได้ในวงเงินที่มากขึ้นแต่มีความจำเป็นในการกู้เงินน้อย การกู้ยืมเงินนอกระบบสามารถแบ่งสาเหตุของการกู้ยืมออกเป็น สี่สาเหตุ คือ หนึ่ง การลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ สอง ค่าใช้จ่ายจำเป็น สาม ชำระหนี้เก่า สี่ ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นเกินฐานะ การกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนประกอบอาชีพและใช้จ่ายที่จำเป็นคิดเป็นสัดส่วน 50-70% ของหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและพ่อค้าแม่ค้าประกอบกิจการขนาดย่อม สัดส่วนการกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายไม่จำเป็นมีสัดส่วนที่ต่ำมาก โดยกลุ่มผู้อายุน้อย 20-24 ปี มีสัดส่วนสูงที่สุดก็มีเพียง 16% และ อายุ 25-29 ปี อยู่ที่ 6% ที่กู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น   

จากข้อมูลที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบในไทย ไม่ใช่ ปัญหาการขาดวินัยทางการเงินที่จะแก้ด้วยมาตรการเข้มงวดทางการเงิน แต่ต้องแก้ด้วยการทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเต็มศักยภาพ รายได้มวลรวมสูงขึ้น คนมีงานทำมีรายได้สูงขึ้น และ รายได้และผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องกระจายไปยังคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีฐานะยากจน นอกจากนี้ ต้องทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบเพื่อการประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น ทั่วถึงขึ้น การพัฒนาระบบการเงินและปล่อยสินเชื่อระดับย่อยและระดับไมโครหรือระดับนาโน ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเพื่อนำไปลงทุนประกอบอาชีพเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และ ควรพัฒนาระบบที่ครัวเรือนสามารถนำเอาสวัสดิการในอนาคตมาใช้เป็นหลักค้ำประกันเพื่อขอสินเชื่อในระบบเพื่อการประกอบอาชีพได้ นอกจากนี้ควรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการค้นหา ครัวเรือน หรือ บุคคล ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน หรือ ต้องการสินเชื่อ การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะทำให้ต้นทุนการปล่อยหรือบริหารจัดการสินเชื่อถูกลง 

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติจำเป็นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยมาตรการผ่อนคลายเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่ปัจจัยที่จะกดดันเงินเฟ้อ คือ ราคาพลังงานในตลาดโลก ราคาพลังงานแพงระลอกใหม่อาจทะลุ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากการลดกำลังการผลิต โอเปคพลัส 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 2% ของอุปทานน้ำมันโลก ขณะที่น้ำท่วมเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท พืชผลเกษตรและปศุสัตว์ได้รับความเสียหาย อาจทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น กระทบประชาชน กดดัน SMEs และ เศรษฐกิจ จึงควรมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และ ประชาชนในพื้นที่อุทกภัย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ยืนยันไทยยังไม่พบโอไมครอนสายพันธุ์ BQ.1.1-XBB

$
0
0

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันไทยยังไม่พบสายพันธุ์ BQ.1.1 และ XBB รวมทั้งไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ใช้ชีวิตโดยการป้องกันตนเองตามปกติ

9 ต.ค. 2565 สำนักข่าวไทยรายงานว่า นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวในต่างประเทศ ตรวจพบโอไมครอนกลายพันธุ์ตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “BQ.1.1” และ “XBB” สามารถแพร่เชื้อได้เร็ว และดื้อภูมิคุ้มกันมากกว่าทุกสายพันธุ์นั้น ขอชี้แจงว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายทั่วประเทศ ยังไม่มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เชื้อโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็น “โอไมครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.5

จากฐานข้อมูล GISAID ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ประเทศไทยพบ BA.4 จำนวน 218 ราย ในส่วน BA.2.75 และลูกหลาน BA.2.75.1, BA.2.75.2 พบ 24 ราย สายพันธุ์ BA.5 และลูกหลาน พบ 2,152 ราย โดยสายพันธุ์ย่อยหลักที่พบมากในประเทศไทย ได้แก่ สายพันธุ์ BA.5.2 พบรายงานจำนวน 1,709 ราย ซึ่งแนวโน้มสอดคล้องกับทั่วโลก คือ BA.5 ยังเป็นสายพันธุ์หลัก ส่วน BA.4, BA.2.75 และลูกหลาน เช่น BA.2.75.1, BA.2.75.2 และ BA.2.75.x พบเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า การกลายพันธุ์เป็นเรื่องธรรมชาติของไวรัส สำหรับสายพันธุ์ BQ.1.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.5 ที่มีการกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งบนส่วนหนาม ได้แก่ R346T, K444T และ N460K ช่วยให้สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ยังไม่พบรายงานในประเทศไทย

ส่วนสายพันธุ์ XBB ซึ่งมีต้นตระกูลมาจาก BA.2 นั้น เป็นลูกผสมระหว่างโอไมครอน สายพันธุ์ BJ.1 และ BA.2.75 ปัจจุบันทั่วโลกรายงานสายพันธุ์ XBB จำนวน 260 ราย BJ.1 จำนวน 114 ราย และ BA.2.75 จำนวน 9,047 ราย สำหรับประเทศไทยรายงานพบเฉพาะสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 18 ราย โดยยังไม่พบสายพันธุ์ BJ.1 และ XBB

“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมมือกับเครือข่ายเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ และติดตามดูสายพันธุ์ที่อาจมีปัญหาอย่างใกล้ชิด หากพบสัญญาณว่าตัวใดมีปัญหาจะจับตาเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ควรตื่นตระหนกจากข้อมูลบางส่วนในสื่อโซเชียล ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน เน้นย้ำว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็น ขอให้ฉีดกระตุ้นอย่างน้อย 4 เดือน จากเข็มล่าสุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ควรรับถึงเข็มที่ 4 เมื่อใดที่พบการระบาดเพิ่มขึ้น มาตรการป้องกันตนเอง ทั้งการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังใช้รับมือการแพร่ระบาดได้ทุกสายพันธุ์” นพ.ศุภกิจ กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'อนุทิน'ทักท้วงร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับใหม่ทำให้ประกาศใช้ CL ยาในภาวะวิกฤตยากขึ้น

$
0
0

9 ต.ค. 2565 เครือข่ายภาคประชาสังคมที่รณรงค์และติดตามการเข้าถึงยา แจ้งข่าวว่าจากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ทักท้วง ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ที่เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผ่านการเห็นชอบอนุมัติหลักการจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ดังกล่าวจะสร้างปัญหายาราคาแพง

ทั้งนี้ นายอนุทินได้แสดงจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งให้ความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกัน หรือบรรเทาปัญหาการขาดแคลนยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อชีวิตผู้ป่วย และต้องประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ (CL) ร่าง พ.ร.บ. สิทธิบัตร ฉบับนี้ ได้เพิ่มกระบวนการและสร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อความรวดเร็วในการเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อประโยชน์สาธารณะ และประวิงเวลาในการประกาศใช้ CL ออกไปโดยไม่สมควร โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องพึ่งพายาในการรักษาโรค เช่น favipiravir, remdesivir ซึ่งเป็นยาที่มีผู้ผลิตรายเดียว ทำให้เกิดการขาดแคลน ผู้ป่วยโควิด-19 ไม่สามารถเข้าถึงยาได้ ประเทศไทยพยายามดำเนินการประกาศใช้ CL ยา แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากยาดังกล่าวมีการยื่นจดสิทธิบัตรและอยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา

จากบทเรียนในครั้งนี้ เห็นได้ว่ายังมีช่องว่างของกฎหมายที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการเพื่อรักษาชีวิตและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะวิกฤต ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีบทบัญญัติที่เอื้อต่อการผลิตยาและเวชภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้สามารถประกาศใช้ CL ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดภาวะฉุกเฉินในอนาคต และไม่เป็นเหตุให้ถูกฟ้องย้อนหลังได้

นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ควรจะรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาสังคมให้มากกว่านี้ ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตรฉบับแก้ไข นี้ควรปรับปรุงให้มีสมดุลในเรื่องการเข้าถึงยาให้มากขึ้น เพราะสถานการณ์การเข้าถึงยาและวัคซีนโควิด 19 แสดงให้เห็นแล้วว่าระบบสิทธิบัตรมีปัญหาอย่างไร และควรยึดหลักการของปฏิญญาโดฮาว่าด้วยการสาธารณสุขและความตกลงทริปส์ ที่ให้ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกควรตีความและใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชนมาก่อนการค้า แต่การแก้ไขในหลายมาตรา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรการ CL เรากำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม”

เครือข่ายภาคประชาสังคมที่รณรงค์และติดตามการเข้าถึงยา เช่น มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย นักวิชาการด้านสิทธิบัตรและการเข้าถึงยา รวมถึงสภาองค์กรของผู้บริโภค เคยมีจดหมายแสดงความคิดเห็นต่อร่าง พรบ. สิทธิบัตรฉบับแก้ไขในช่วงที่เปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น และแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิโดยรัฐหรือมาตรการ CL ที่จะทำให้การประกาศใช้มาตรการ CL ไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ เพราะกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้เสนอให้เพิ่มข้อความที่ระบุให้การประกาศมาตรา CL ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ซึ่งในกฎหมายฉบับปัจจุบัน กระทรวง ทบวง กรม สามารถประกาศใช้ CL ได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมยังเสนอให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพสามารถประกาศใช้มาตรการ CL ได้ด้วย และมาตรการ CL ต้องครอบคลุมสิทธิบัตรและคำขอรับสิทธิบัตรทั้งที่ประกาศโฆษณาแล้วและที่ยังไม่ประกาศโฆษณา เพราะมีบทเรียนจากคำขอรับสิทธิบัตรยาสำหรับรักษาโควิด 19 เป็นอุปสรรค ทำให้ประกาศใช้มาตรการ CL ไม่ได้

เครือข่ายภาคประชาสังคมยังมีความคิดเห็นอีกว่า ร่าง พ.ร.บ. สิทธิบัตรดังกล่าว ยังมีช่วงโว่และจะเป็นปัญหาต่อการเข้าถึงยา เช่น การไม่กำหนดระยะเวลาว่าจะประกาศโฆษณาครั้งที่ 2 การแก้ไขถ้อยคำจาก “ผู้ใด” เป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ที่มีสิทธิยื่นคำคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตร เป็นต้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ประชาชน ใส่แว่นดำไว้อาลัยให้ความยุติธรรม รณรงค์บนสถานี BTS สยาม-หมอชิต

$
0
0

บก.ลายจุด จัดกิจกรรม #วันอาทิตย์สีดำ ตีม 'รถไฟฟ้าสายสีดำ'ประชาชนใส่แว่นดำไว้อาลัยให้ความยุติธรรม รณรงค์บนสถานี BTS สยาม-หมอชิต

เวลา 13.00 น. สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด จัดกิจกรรม 'รถไฟฟ้าสายสีดำ'รณรงค์ให้ประชาชนใส่แว่นดำ ไว้อาลัยให้ความยุติธรรมที่ได้ตายจากไปในประเทศนี้ 

โดยรูปแบบกิจกรรมประชาชนจะร่วมใส่แว่นดำ และนั่งรถไฟฟ้า BTS จากสถานีสยาม รณรงค์ไปตามทางรถไฟฟ้าจนถึงสถานีห้าแยกลาดพร้าว และกลับมาที่สยามอีกครั้ง 

เวลา 13.34 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน ประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมเดินทางออกจากสถานี BTS พญาไท มาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว

เวลา 14.05 น. ผู้สื่อได้รับแจ้งว่า มีการเปลี่ยนกำหนดการ จากสิ้นสุดที่สถานี ห้าแยกลาดพร้าว เปลี่ยนเป็นสิ้นสุดที่สถานีหมอชิต (เก่า) และเดินทางกลับไปที่สถานีสยาม 

ล่าสุด ประชาชนผู้เข้าร่วมกิจกรรมเดินทางถึงสถานีหมอชิต และกำลังนั่ง BTS กลับไปที่สถานีสยาม 

ทั้งนี้ กิจกรรมนี้สืบเนื่องจาก เมื่อ 30 ก.ย. 2565 ศาล รธน. มีคำวินิจฉัยเสียงข้างมาก 6:3 เริ่มนับวาระตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ 6 เม.ย. 2560 โดย บก.ลายจุดระบุว่าจะจัดกิจกรรม #วันอาทิตย์สีดำ ในทุกวันอาทิตย์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แรงงานไทยในไต้หวันหลบหนีมากขึ้น มีจำนวนมากที่หนีหนี้

$
0
0

เผยแรงงานไทยในใต้หวันหลบหนีมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโรงงานโอทีน้อย แต่มีจำนวนมากที่หนีหนี้ ส่วนใหญ่หนีไปทำงานก่อสร้าง งานเกษตรในชนบท ภูเขา ซึ่งชีวิตลำบากและแย่กว่าเดิม

9 ต.ค. 2565 เว็บไซต์ Radio Taiwan Internationalรายงานเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 2565 ว่าสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย ของประเทศไต้หวัน ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2565 ยอดจำนวนแรงงานต่างชาติที่หลบหนีกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและยังไม่ถูกตรวจพบ 74,268 คน ในจำนวนนี้ เป็นแรงงานเวียดนาม 43,667 คน ตามด้วยแรงงานอินโดนีเซีย 26,571 คน ฟิลิปปินส์ 2,537 คน ส่วนแรงงานไทย 1,492 คน เป็นเพศชาย 1,260 คน หญิง 232 คน แรงงานไทยแม้จะมีจำนวนหลบหนีน้อยสุด แต่เมื่อเทียบกับต้นปี 2564 ที่มีจำนวน 900 คน เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 66% ส่งกว่าทุกชาติ

สาเหตุที่การหลบหนีกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายของแรงงานต่างชาติ ยังไม่มีแนวโน้มลดน้อยลง โดยเฉพาะแรงงานไทยที่พุ่งพรวดมากขึ้น มาจากจากมีที่ไป โดยเฉพาะไซต์งานก่อสร้างของผู้รับเหมารายเล็ก ฟาร์มหรือไร่สวนในชนบทหรือบนภูเขา ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ผู้รับเหมาหรือเกษตรกรทั่วไปนำเข้าแรงงานต่างชาติยุ่งยาก ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานผิดกฎหมาย ประกอบกับในการเดินทางมาทำงานที่ไต้หวัน แรงงานไทยเสียค่าหัวคิวแพง มาแล้วโรงงานไม่มีโอที หรือมีแต่มีคนมาชักชวนว่าที่อื่นเงินดีกว่า และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ แรงงานไทยที่หลบหนีในปัจจุบัน มีจำนวนมากที่หนีหนี้ โดยติดหนี้สินจากการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีวินัย หนี้เก่ายังไม่หมดกู้หนี้ใหม่ หนี้จากเล่นการพนัน เล่นหวย เจ้าหนี้เร่งรัดทวงเงิน เมื่อมีแรงกดดัน จึงเลือกใช้วิธีหลบหนีออกจากโรงงานไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย ส่งผลให้ยอดจำนวนการหลบหนีกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายของแรงงานต่างชาติ ยังไม่มีแนวโน้มลดลง กระทรวงแรงงานและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องเพิ่มมาตรการลงโทษ ตรวจจับอย่างเข้มข้น หวังสกัดได้ในระดับหนึ่ง

กระทรวงแรงงานและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกล่าวเตือนว่า แรงงานผิดกฎหมายไร้หลักประกัน รายได้ไม่มั่นคง ยังต้องกังวลถูกจับ ทำให้เสียสุขภาพจิต และจากการวิเคราะห์คำให้การของแรงงานต่างชาติที่ถูกจับ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่ไม่มีเงินเก็บ เพราะการทำงานไม่ต่อเนื่อง วันไหนไม่สามารถทำงานจะขาดรายได้ และงานหมดต้องหาที่ใหม่ ทำให้รายได้ไม่มั่นคง สู้ที่เดิมไม่ได้ ในส่วนของแรงงานไทยพบว่า มีจำนวนมากที่เกิดจากปัญหาส่วนตัว เช่นรายได้ที่โรงงานเดิม เดือนละ 30,000-40,000 เหรียญ แต่เนื่องจากติดเล่นการพนัน เล่นหวย ต้องกู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า ทนต่อแรงกดดันการทวงของเจ้าหนี้ไม่ไหว จึงหนีหนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>