Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live

‘ก้าวไกล’ เสนอแจ้งเหตุภัยพิบัติผ่านมือถือ ปชช.โดยตรง - ห่วงน้ำท่วมปนเปื้อนสารพิษโรงงานลักลอบทิ้งกาก

$
0
0
  • ‘ก้าวไกล’ เสนอไปให้ไกลกว่าทรานซิสเตอร์ด้วย Cell Broadcasting แจ้งเหตุภัยพิบัติผ่านมือถือประชาชนโดยตรง 
  • ส.ส.สัดส่วนสิ่งแวดล้อม ห่วง น้ำท่วมปนเปื้อนสารพิษโรงงานลักลอบทิ้งกาก อัด ‘สุริยะ’ หนีตอบสภาถี่คือไม่เคยเห็นหัวประชาชน

5 ต.ค.2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ (5 ต.ค.) ต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ใช้ ในการแจ้งเตือนประชาชนถึงภัยพิบัติอุทกภัย ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะกับรัฐบาลว่าวิทยุทรานซิสเตอร์อาจใช้ได้ในบางกรณี แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าคือ Cell Broadcasting ใช้ในส่งข้อความการแจ้งเตือนภัยพิบัติถึงโทรศัพท์มือถือประชาชนโดยตรง

ปกรณ์วุฒิ กล่าวว่าวิทยุทรานซิสเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นยามภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งในต่างประเทศมักใช้ในกรณีที่เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ เช่น แผ่นดินไหว พายุถล่มรุนแรง สงครามกลางเมือง หรือน้ำท่วมระดับภัยพิบัติ แต่สถานการณ์ภัยบิบัติของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงถึงขั้นนั้นหรือไม่ สำหรับประเทศไทยในปีนี้ ยังไม่มีรายงานจาก กสทช. หรือกระทรวง DE ถึงพื้นที่ที่น้ำท่วมรุนแรงมากจนถึงขนาดสัญญาณโทรศัทพ์ถูกตัดขาด

“ถ้าเราเคยดูภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่เมื่อมีเหตุแผ่นดินไหวแล้ว โทรศัพท์ของทุกคนดังขึ้นมาพร้อมกัน นั่นคือการเตือนภัยพิบัติ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการ แต่เป็นสิ่งที่ในหลายๆประเทศทั่วโลกนำมาใช้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา ฝรั่งเศส ฯลฯ ด้วยเทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่เรียกว่า Cell Broadcasting”

ปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า Cell Broadcasting คือระบบส่งข้อมูลโดยตรงจากเสาสัญญาณไปสู่โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ให้บริการพร้อมกันในรวดเดียว ซึ่งจะมีข้อดีคือ
- หน่วยงานรัฐสามารถส่งข้อมูลตรงได้เลยถึงโทรศัพท์มือถือของประชาชนโดยไม่ต้องผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (บริษัท AIS, Dtac, True) แบบที่ กสทช. ทำ
- ส่งข้อความจากเสาสัญญาณไปถึงโทรศัพท์ทุกเครื่องในรวดเดียวโดยไม่ต้องระบุเบอร์มือถือ ทำให้สะดวก รวดเร็ว และเจาะจงพื้นที่ได้ (ความเร็วระดับส่งได้หลายสิบล้านเครื่องในเวลาไม่ถึง 10 วินาที)
- ไม่กระทบกับการสื่อสารปกติเพราะใช้คนละช่องสัญญาณกับโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต 
- ประชาชนไม่ต้องดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นเพิ่มเติม 
- รองรับการให้บริการครบทั้งคลื่นความถี่ 2G, 3G, 4G, 5G สามารถรับประกันได้ว่าข้อความสามารถไปถึงทุกคนไม่ว่าโทรศัพท์จะรุ่นเก่าหรือใหม่อย่างไร

ปกรณ์วฒิกล่าวต่อว่าเทคโนโลยี Cell Broadcasting นี้สามารถแจ้งเตือนได้ทั้งทั้งสภาพอากาศ ระดับน้ำ และกรณีเกิดภัยพิบัติเพื่อให้ประชาชนรับมือและข้อแนะนำในการช่วยเหลือเยียวยาจากทางภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันหลายหน่วยงานมีการเก็บและรายงานข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้วแต่ยังไม่มีการนำมาสื่อสารถึงประชาชนอย่างเป็นระบบ

“นี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ล้ำสมัยอะไร เพราะที่มีมานานแล้ว และสามารถนำมาใช้ได้แล้ว แต่ 8 ปีที่ผ่านมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผ่านภัยพิบัติมาครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่เคยมีการผลักดันมีระบบ Cell Broadcast มาใช้เพื่อเตือนภัยพิบัติให้กับประชาชนเลย หากเพียงแค่ให้ กสทช. หารือกับผู้ให้บริการทุกรายให้หาหน่วยงานเจ้าภาพในการประสานระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกับทุกหน่วยงานทั่วประเทศหากเกิดภัยพิบัติ ประชาชนก็จะสามารถอพยพได้อย่างทันท่วงที ป้องกันการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้” ปกรณ์วุฒิกล่าวทิ้งท้าย

ห่วงน้ำท่วมปนเปื้อนสารพิษโรงงานลักลอบทิ้งกาก อัด ‘สุริยะ’ หนีตอบสภาถี่คือไม่เคยเห็นหัวประชาชน

ขณะที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลอีกคน นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ สิ่งที่น่ากังวลคือสารพิษและขยะพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ลักลอบทิ้งจะปนเปื้อนมากับน้ำท่วมด้วย ซึ่งสามารถสร้างอันตรายสะสมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนได้ 

ทั้งนี้ การลักลอบทิ้งกากดังกล่าวเกิดขึ้นมานานและหลายครั้งในหลายพื้นที่อุตสาหกรรม แต่หน่วยงานรับผิดชอบกลับทำตัวลอยเหนือปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ไม่ยอมมาตอบกระทู้สดของตนก่อนปิดสมัยประชุมสภาที่ผ่านมา รวมถึงในวันนี้ที่ คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียกมาชี้แจง ก็ไม่ยอมมาด้วยตนเอง โดยมอบหมายให้ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม มาชี้แจงแทน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ ต้องการความชัดเจนจากมาตรการเชิงนโยบายที่บุคคลระดับรัฐมนตรีจะต้องมีคำตอบให้กับประชาชน ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่จะตอบแทนได้ การที่ นายสุริยะ ในฐานะรัฐมนตรีหนีสภาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ จึงสะท้อนพฤติกรรมไม่ให้เกียรติสภา คณะกรรมาธิการฯ และไม่เห็นหัวประชาชนที่ได้รับผลกระทบเลย  

“ปัญหานี้ใหญ่มาก เพราะทำให้มีโรงงานขยะรวมถึงโรงงานที่สามารถสร้างมลพิษเกิดขึ้นมากมายและง่ายมากจากนโยบายของรัฐบาลนี้ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัย คสช. ทั้งยังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมดูแลอีกหลายด้านจนเกิดความหย่อนยาน เมื่อเกิดปัญหาหน่วยงานตรวจสอบก็ได้แต่บอกว่าไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ปัญหานี้จึงจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน เพราะจะส่งผลกระทบสืบเนื่องไปถึงในอนาคต ผมไม่อยากเห็นไทยเป็นอีกหนึ่งบทเรียนจากการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบไม่สนใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเหมือนกรณีโรคมินามาตะ ที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่น เป็นบทเรียนของโลกและเป็นหายนะครั้งใหญ่จนไม่อาจประเมิณค่าความเสียหายได้ ต้องบำบัดรักษาผู้ป่วย และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมกันเป็นสิบปี แต่ในน้ำมือของรัฐบาลนี้ ภายใต้การบริหารแบบนี้ ผมต้องยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย

“ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ผมจึงตั้งกระทู้ถามสดต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ต่อกรณีการลักลอบทิ้งกากขยะพิษ ในพื้นที่ชุมชนรอบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หลายแห่ง เช่น อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่พบว่า ตั้งแต่ปี 60-64 มีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมมากถึง 280 ครั้ง เมื่อไปตรวจสอบกลับบอกว่าไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ หรือถึงหาคนทำผิดได้โทษก็ต่ำมากจนแทบเรียกไม่ได้ว่าเป็นมาตรการเพื่อให้หยุดกระทำ กรณีแบบเดียวกันยังเกิดขึ้นที่ สมุทรสาคร สมุทรปราการ อยุธยา ปทุมธานี ราชบุรี  ซึ่งมีโรงงานจำนวนมากและมีชุมชนกระจุกตัวโดยรอบ ที่ขณะนี้หลายพื้นที่กำลังเจอกับน้ำท่วม ซึ่งพวกเขาทราบดีว่าสิ่งที่ลอยมากับน้ำและท่วมบ้านเขาก็คือกากของเสียโรงงานมาท่วมบ้านเขา เขาจึงต้องการคำตอบคือว่า สารพิษที่ลอยมาท่านจะจัดการอย่างไร และจะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วอย่างไรให้เขาบ้าง ท่านจึงสมควรเป็นผู้มาตอบด้วยตนเอง”

นิติพล ทิ้งท้ายว่า นายสุริยะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกือบ 4 ปีแล้ว แต่ไม่ทำไมจึงไม่สามารถมาตอบคำถามของประชาชนได้ หรือมัวแต่นั่งห้องแอร์ เอาใจเจ้าสัวนายทุน เห็นค่าเงินมากกว่าชีวิตของชาวบ้าน การมีรัฐมนตรีอุตสาหกรรมที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพิกเฉยต่อชีวิตประชาชนเช่นนี้ จึงต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งต่อปัจจุบันและอนาคต

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ธำรงศักดิ์'เปิดโพล Gen Z 63% ต้องการยกเลิกผู้ว่าฯ แต่งตั้ง ชี้มาจากเลือกตั้งกระตือรือร้นกว่า

$
0
0

'ธำรงศักดิ์'เปิดโพล Gen Z 63% ต้องการยกเลิกผู้ว่าฯ แต่งตั้ง ระบุส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้ว่าฯแต่งตั้งในปัจจุบันนี้ ไม่เห็นประโยชน์ที่จะมีอีกต่อไป, ไม่รู้จัก, เป็นผู้ว่าคอยเกษียณ ขณะที่ผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งจะกระตือรือร้นทำงานมากกว่า รวมทั้งเลือกตั้งผู้ว่าชัชชาติ ผู้ว่า กทม. ทำให้อยากได้ผู้ว่าเลือกตั้งทุกจังหวัด เป็นต้น

5 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก 'ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์'ของ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ รองศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต รายงานว่า งานวิจัยส่วนบุคคลของตน เก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคน Gen Z (ช่วงอายุ 18-25 ปี ทั้งประเทศมี 6.86 ล้านคน) ที่ศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯและทุกภาคของประเทศ จำนวน 707 คน  ข้อคำถามว่า “ท่านคิดว่า ต้องมี หรือ ต้องยกเลิก ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทย”

ผลการวิจัยพบว่า

1. คน Gen Z ส่วนใหญ่เห็นว่า ต้องยกเลิกผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง จำนวน 444 คน คิดเป็น 63% ต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง จำนวน 139 คน คิดเป็น 19% ไม่แสดงความเห็น 127 คน คิดเป็น 18%

2. สอดคล้องทัศนคติของนักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก ที่เป็นพระและฆราวาส ส่วนใหญ่เห็นว่า ควรต้องมีเลือกตั้งผู้ว่าจังหวัดทุกจังหวัด จำนวน 34 คน คิดเป็น 75.6% ยังไม่ควรมีเลือกตั้งผู้ว่าจังหวัดทุกจังหวัด จำนวน 2 คน คิดเป็น 4.4% ไม่แสดงความเห็น 9 คน คิดเป็น 20.0% (สำรวจเมื่อ 1 ตุลาคม 2565 ในเวทีการอภิปรายทางวิชาการ ที่ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วังน้อย จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 45 คน ส่วนใหญ่เป็นพระกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี)

3. จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก พบว่า คำอธิบายเบื้องต้นที่คน Gen Z ส่วนใหญ่เห็นว่าต้องยกเลิกผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งในปัจจุบันนี้ ไม่เห็นประโยชน์ที่จะมีอีกต่อไป, ไม่รู้จัก, เป็นผู้ว่าคอยเกษียณ, ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งจะกระตือรือร้นทำงานมากกว่า, เลือกตั้งผู้ว่าชัชชาติ ผู้ว่า กทม. ทำให้อยากได้ผู้ว่าเลือกตั้งทุกจังหวัด เป็นต้น

4. สอดคล้องกับทัศนคติต่อนายกรัฐมนตรีที่คน Gen Z ปรารถนา ซึ่งทั้งหมดคือนักการเมืองที่ต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยคน Gen Z ปฏิเสธผู้นำทหาร คสช. ที่เป็นนายกรัฐมนตรีโดยการรัฐประหารและการแต่งตั้งทุกแบบ

ข้อมูลพื้นฐาน

  • งานวิจัยทัศนคติของคน Gen Z ต่อ 5 ประเด็นคำถามนี้ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 7-16 กันยายน 2565  โดยเก็บจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ภาคกลางที่ปทุมธานี นครปฐม ชลบุรี อยุธยา ภาคเหนือที่พิษณุโลก เชียงใหม่ พะเยา เชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สกลนคร ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภาคใต้ที่นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี รวม 16 จังหวัด
  • เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 422 คน (59.7%) ชาย 200 คน (28.3%) เพศหลากหลาย 85 คน (12.0%)
  • โรงเรียนที่ท่านจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากเขตภูมิภาคใด : กรุงเทพฯ 173 คน (24.5%) ภาคกลาง 272 คน (38.5%) ภาคเหนือ 62 คน (8.7%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 75 คน (10.6%) ภาคใต้ 125 คน (17.7%)
  • มีผู้ไม่ตอบคำถามในข้อนี้รวม 2 คน ผู้ตอบคำถามข้อนี้ 705 คน

อ้างอิง : 

  • “เปิดผลวิจัย ม.รังสิต คนกรุงเทพฯ 93% ยี้ ‘รัฐประหาร’ ทุกเพศ วัย อาชีพ ไม่เว้น ขรก.” ใน มติชนออนไลน์ (15 พฤษภาคม 2565) <https://www.matichon.co.th/politics/news_3345039
  • “งานศึกษา นศ.ป.โท ม.รังสิต เผยคนกรุงฯ 93% ไม่เอารัฐประหาร ขอเลือกตั้ง ผอ.เขต - เอา ส.ข.คืนมา.” ใน ประชาไท (16 พฤษภาคม 2022) <https://prachatai.com/journal/2022/05/98631
  • “พล.อ.ประยุทธ์ มีอิทธิพลโน้มน้าว ปชช.ให้เลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ได้ ? อ่านงานวิจัย รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ มีคำตอบ!” ใน มติชนสุดสัปดาห์ออนไลน์ (7 เมษายน 2565) <https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_540960
  • “เปิด 3 งานวิจัย ม.รังสิต คนพังงา อยุธยา ปราจีนฯ ไม่เอาแล้วรัฐประหาร ทำชาติไม่พัฒนา.” ใน มติชนออนไลน์ (17 พฤษภาคม 2565) <https://www.matichon.co.th/politics/news_3348149
  • “งานศึกษา นศ.ป.โท ม.รังสิต 4 ชิ้น ชี้คนกรุง-คนต่างจังหวัด ไม่เอารัฐประหาร 57.” ใน ประชาไท (18 พฤษภาคม 2022) <https://prachatai.com/journal/2022/05/98665
  • ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. “ความนิยมต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กับเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ 2565.” ใน มติชน (7 พฤษภาคม 2565), หน้า 12.
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘ก็มันคาใจ’ นศ.มธ.ถามทำไมต้องปรับปรุงหน้าดินสนามฟุตบอลช่วงใกล้วันจัดงานรำลึก 46 ปี 6 ตุลา

$
0
0

ทีมจัดงานรำลึก 46 ปี 6 ตุลา จากพรรคคนธรรมศาสตร์ คาดทาง มธ.ไถหน้าดินสนามฟุตบอลช่วงคืน 3 ต.ค. ขอมหา'ลัยชี้แจง มีการขอใช้สนามฟุตบอลล่วงหน้า แต่ทำไมยังปรับปรุงหน้าดินช่วงใกล้วันจัดงาน มีเจตนาขวางหรือไม่  

 

สืบเนื่องจากวันนี้ (5 ต.ค.) เฟซบุ๊กของ ‘อานนท์ นำภา’ ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีการเผยแพร่ภาพบนโลกออนไลน์เมื่อช่วงเช้า ปรากฏสภาพสนามฟุตบอล ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ถูกไถพลิกหน้าดินขึ้นมา จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่าทำไมต้องมีการปรับปรุงสนามฟุตบอลช่วงใกล้งานรำลึก 46 ปี 6 ตุลา 

วันนี้ (5 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวสอบถามประเด็นดังกล่าวกับนักศึกษาจากกลุ่มพรรคคนธรรมศาสตร์หลายราย เช่น ‘ซิดนีย์’ และ ‘เฟิร์ส’ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานจัดงานรำลึก 46 ปี 6 ตุลา ทำให้ทราบความว่า ก่อนวันงานเมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการเอาสแลนสีเขียวมาล้อมรอบสนามฟุตบอล โดยอ้างว่าเป็นโครงการปรับปรุงหน้าดินสนามฟุตบอล ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นตัวเอกสารโครงการ และช่วงนั้นยังไม่มีการไถหน้าดิน  

กระทั่งเมื่อ 4 ต.ค. 2565 ทีมจัดงานพบว่า มีการไถหน้าดินสนามฟุตบอลไปแล้ว ซึ่งคาดว่าช่วงกลางคืนของวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา น่าจะเป็นช่วงที่มาการไถหน้าดินสนามฟุตบอล 

ทีมงานระบุด้วยว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่มีการมาแจ้งล่วงหน้าด้วยว่าจะมีการปรับปรุงหน้าดิน หรือไถพลิกหน้าดินของสนามฟุตบอล

นอกจากนี้ ทางทีมงานของพรรคคนธรรมศาสตร์ แสดงเอกสารให้ผู้สื่อข่าวดูด้วยว่า คณะผู้จัดงานมีการทำเอกสารขอทางมหาวิทยาลัยล่วงหน้า เมื่อ 5 ก.ย. 2565 และมีการอนุมัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าทางมหาวิทยาลัยทราบล่วงหน้าแน่นอนว่าจะมีการจัดงาน 6 ตุลา 

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่าทำไมทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องมีการปรับปรุงหน้าดินสนามฟุตบอลในช่วงใกล้วันจัดงานรำลึก 6 ตุลา ซึ่งมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี หรือต้องการขัดขวางการแสดงออกเหตุการณ์หรือเจตนารมณ์ของ 6 ตุลาฯ

“แก่นแท้ของ 6 ตุลา มันคือการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชน และมันก็เกิดความสูญเสียในมหาวิทยาลัยเรา เขา (ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) กลับทำให้มันลบเลือนหายไป โดยการล้อมสแลน”

“เราไม่คิดว่ามหาวิทยาลัยจะทำอย่างนี้ด้วยซ้ำตั้งแต่ตอนแรก เรารู้ว่าแบบจะมากั้นแต่ไม่คิดว่าจะไถหน้าดินวันนั้นเลย อาจจะรอหลัง 6 ตุลา” สมาชิกคนอื่นๆ ในพรรคคนธรรมศาสตร์ ระบุ

“อยากถามเขาว่าทุกปี มีการตั้งบอร์ดอะคิลิกใสที่สนามบอลทุกปี และทำไมปีนี้ถึงมีการล้อมสแลนกับไถหน้าดิน การล้อมตรงนั้นคุณมีกำหนดการเฉพาะเจาะจงรึเปล่า ถ้ามีขอเปิดให้ดูหน่อย มันเป็นคำสั่งไถหน้าดิน หรือเป็นกำหนดไว้อยู่แล้ว และทำไมเวลาไถต้องเป็นเวลากลางคืน ไม่ใช่เวลากลางวัน โครงการเมื่อไร เริ่มมาตั้งแต่เมื่อไร” ซิดนีย์ พรรคคนธรรมศาสตร์ กล่าว

ทางพรรคคนธรรมศาสตร์ ระบุว่า หลังจากนี้น่าจะต้องหาวิธีรับมือการจัดกิจกรรมวันพรุ่งนี้ (6 ต.ค.) พร้อมฝากทิ้งท้ายว่า อยากให้ทางมหาวิทยาลัยคำนึงถึงความสูญเสียของเพื่อนมนุษย์จากโศกนาฏกรรมดังกล่าว 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศาลยกฟ้องคดีม.112 ‘สุริยศักดิ์’ อดีตแกนนำ นปช.สุรินทร์ เหตุหลักฐานมีพิรุธ

$
0
0

ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ‘สุริยศักดิ์’ อดีตแกนนำ นปช.สุรินท์ คดีม.112 ที่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความโจมตีสถาบันกษัตริย์ทางไลน์ ศาลยกเหตุคำให้การพยานหลักฐานขัดแย้งมีพิรุธ

5 ต.ค.2565 iLaw รายงานว่าวันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา มีคำพิพากษาคดีของสุริยศักดิ์ ฉัตรพิทักษ์กุล อดีตแกนนำ นปช.สุรินทร์ ที่อัยการฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112และมาตรา 14(3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการถูกกล่าวหาว่ามีการส่งข้อความทางไลน์กล่าวถึง “ระบอบกษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองมาหลายร้อยปี” ในกลุ่มไลน์ชื่อ “คนนอกกะลา”

iLaw ระบุว่าศาลพิพากษายกฟ้องสุริยศักดิ์โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เนื่องจากพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์มีความขัดแย้งกันและพบพิรุธหลายประเด็นเช่น การเบิกความของพยานโจทก์ และการพิสูจน์ตัวตนของจำเลยในการใช้บัญชีไลน์

จากบันทึกสืบพยานในคดี ข้อความที่ใช้ดำเนินคดีกับสุริยศักดิ์ คือ “ประทานให้มีระบอบกษัตริย์XXนานจนเกินไปประเทศไทยจึงล้าหลังฉิบหายมานานหลายชั่วอายุคน เราต้องมาร่วมกันเอาระบอบกษัตริย์XXออกไปให้ได้ประเทศไทยจึงจะพ้นภัย ประชาชนชาวไทยไม่ได้เลวไม่ได้ทำลายประเทศแต่คนที่ทำลายประเทศทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ก็คือผู้นำได้แก่ระบอบกษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองมาหลายร้อยปี โจรสลัดมิใช่กษัตริย์ ความดีความชั่วทุกอย่างถูกเปิดโปงหมดเปลือกขนาดนี้แล้ว หากดำรงอยู่ได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วครับ” โดยพล.อ.วิจารณ์ จดแตง อดีตฝ่ายกฎหมายของ คสช. นำมาใช้แจ้งความดำเนินคดีนี้มีเพียงภาพจับหน้าจอข้อความจากไลน์ที่ทางตำรวจนำส่งให้

อย่างไรก็ตามในบันทึกการสืบพยานของ iLaw กลับพบว่าพยานฝ่ายโจทก์ที่มีทั้งตำรวจ ปอท. และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกลับไม่เคยมีคนพบตัวคนที่ส่งข้อความดังกล่าวในกลุ่มไลน์คนนอกกะลา อีกทั้งยังไม่เคยมีการส่งคำร้องขอข้อมูลกับทางบริษัทไลน์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ส่งข้อความเนื่องจากบัญชีถูกลบไปแล้วและใช้เวลานาน และมีเพียงภาพโปรไฟล์ในไลน์ที่เป็นภาพจำเลยยื่นถ่ายคู่กับรถยนต์ที่มีทะเบียนเป็นของจำเลย แต่เมื่อตรวจสอบมือถือของจำเลยไม่พบว่ามีบัญชีไลน์และภาพดังกล่าวอยู่ ซึ่งพยานเหล่านี้ยังเบิกความด้วยว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเอาภาพใส่ชื่อบุคคลอื่นเข้าไปในบัญชีไลน์

คดีนี้เริ่มขึ้นมาจากเมื่อ 24 มี.ค. 2560 สุริยศักดิ์ถูกทหารจับกุมตัวพร้อมคนอื่นๆ รวม 9 คนและถูกนำตัวไปควบคุมไว้ในมณฑลทหารบกที่ 11 ถนนนครไชยศรี กรุงเทพ เพราะถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายของ วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อคนแดงปทุมธานี และเกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้ายจากเหตุชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ก่อนถูกส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดี แต่นอกจากคดีดังกล่าวสุริยศักดิ์ยังถูกศาลทหารออกหมายจับคดี ม.112 ด้วย

อย่างไรก็ตามหลังจากพวกเขาทั้งหมดถูกขังระหว่างสอบสวนในคดีก่อการร้ายจนครบ 84 วัน อัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้องต่อศาล จึงได้รับการปล่อยตัว แต่สุริยศักดิ์กลับถูกอายัดตัวต่อในคดีม.112 คนเดียวและถูกส่งฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพแต่เขาไม่ได้รับสิทธิประกันตัวอยู่ 2 ปี แม้ว่าจะยื่นขอประกันถึง 3 ครั้ง และวางเงินประกันสูงถึง 8 แสนบาทแล้วก็ตามทำให้เขาถูกขังอยู่ในเรือนจำระหว่างพิจารณาคดีในศาลทหาร

จนกระทั่งหลังมีการเลือกตั้งในปี 2562 แล้วและใกล้จะมีรัฐบาลใหม่ เขาจึงได้รับสิทธิประกันในวันที่ 12 มิ.ย.2562 เพียง 1 เดือนก่อนที่ คสช. จะออกคำสั่งหัวหน้า คสช. 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค.2562 ให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งที่หมดความจำเป็นที่ทำให้คดีในศาลทหารทั้งหมดถูกย้ายมาอยู่ในศาลยุติธรรม แต่การสืบพยานในคดีก็เพิ่งจะเริ่มเมื่อ 16 ส.ค.2565 ที่ผ่านมาเท่านั้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: เผชิญหน้าปีศาจ

$
0
0

 

 

คนผู้ถูกบีบเค้นเป็นฝักฝ่าย
ขวากับซ้ายค่ายกลพาด้นดั้น
ขวาคือฝ่ายอนุรักษ์ปักเขตขัณฑ์
เฝ้ากีดกั้นกฎสกัดพัฒนา

อนุรักษ์ชักจูงใจในความหมาย
มีหลากหลายทั้งร้ายดีที่ปัญหา
อนุรักษ์ธรรมชาติดาษดา
ดูแลว่าป่าไม้มีกี่เปอร์เซ็นต์?!

อนุรักษ์โบราณสถานแห่งบ้านเมือง
ไว้ประเทืองประโยชน์ได้โดดเด่น
ใช้ศึกษาว่าประวัติจัดประเด็น
ได้ชัดเจนความเป็นมาประชาชน

วัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิตอิสระ
ถ้าปนอยุติธรรมก็คล้ำหม่น
เสรีภาพหยาบหยามตามรวยจน
ก็เกิดคน "เอียงซ้าย"หมายเปลี่ยนแปลง

ที่มาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์วิภาษวิธี
ความจริงที่มาร์กซิสม์คิดจะแจ้ง
มีวิถีการผลิตทิศจัดแจง
เข้าขันแข่งทุนนิยมข่มขี่คน

ความขัดแย้งทางชนชั้นนั้นเนิ่นนาน
แต่โบราณการผลิตถูกปลิดปล้น
เกษตรกรรมนำอุตสาหกรรมทำเครื่องยนต์
ชาวนาด้นดั้นทำเป็นกรรมกร

ชนชั้นปกครองผองเครือข่ายได้เป็นขวา
ฝ่ายก้าวหน้ามาเป็นซ้ายหมายถ่ายถอน
มหาช่องว่างระหว่างชั้นสร้างสันดอน
ราษฎรติดกับอยู่ยับเยิน

รวบรัดตัดตอนตระหนกกับ 6 ตุลา
2519 ร้าวรานคล้ายนานเนิ่น
อีกกี่ปีที่อยู่ในใจให้อยากเมิน
ได้เผชิญปีศาจร้ายอย่าหมายลืม

"สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง"คงยังเหลือ
ใครเคยเชื่อในมนต์ขลังยังปลาบปลื้ม
อาจไม่เหลือแล้วกระมังยังมียืม
ยังด่ำดื่มประธานเหมาเข้ากรุแล้ว

ในบริบทกฎเก่าเพื่อเอาชนะ
วิถีประวัติศาสตร์อาจคล่องแคล่ว
อำนาจรัฐจากปากกระบอกปืนดาษดื่นแนว
ยังมีแถวรัฐใกล้ ๆ ทิศใต้จีน!

               

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: 46 ปี 6 ตุลาฯ

$
0
0

 

 

ปลุกระดม บ่มกระแส แห่ปกป้อง
หมายปิดปาก ข้อเรียกร้อง นักศึกษา
ไทยฆ่าไทย ไฟจุดติด ฤทธิ์ศรัทธา
คำสั่งฆ่า ที่ปรากฏ บทบงการ

6 ตุลาฯ สนามหญ้า ธรรมศาสตร์
ขวาพิฆาต กราดกระสุน ทุ่งสังหาร
เซ่นสังเวย อมนุษย์ รุดสั่งการ
จิตวิญญาณ นักศึกษา ถูกคร่าไป

46 ปี ที่มิอาจ จะลบเลือน
ศพตายเกลื่อน ปล่อยเลือนหาย ได้ไฉน
ประวัติศาสตร์ มิอาจลบ จบสิ้นไป
คนรุ่นใหม่ เพียรไขข้อง ส่องความจริง

ถึงเวลา ประวัติศาสตร์ ชำระล้าง
ร่วมกันไข ความกระจ่าง สางทุกสิ่ง
สังคมเปลี่ยน คนเปิดตา อย่าประวิง
แม้ความจริง สิ่งปิดไว้ ใคร..สั่งการ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เขื่อน กับ ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก !!!!

$
0
0

ผมคิดว่าถึงเวลาที่ทุกภาคส่วน จะต้องเอาความจริงมาพูด มาถกเถียงกันอย่างจริงจัง ว่า ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งแทบจะเรียกว่าท่วมซ้ำซาก ท่วมแทบทุกปี และความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม มันมากมายมหาศาล ทั้งทางเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ทั้งยังต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ที่ต้องละลายไปกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และความเสียหายเหล่านี้ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก 

ปัญหาน้ำท่วม ในพื้นทีภาคอีสาน ช่วงหลังๆ มักเกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะปีนี้ (2565) ที่ดูเหมือนจะหนักหนาเอาการ โดยเฉพาะในปีนี้ที่น้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง และ ท่วมตั้งแต่ต้นฤดู ซึ่งสถานการณ์ที่วิกฤติอยู่นี้ จะยังอยู่ในช่วงฝนตกอยู่ไม่น้อยกว่า 2 เดือน นั่นหมายความว่า สภาพน้ำท่วมในปัจจุบัน ยังไม่ใช่จุดสูงสุด ซึ่งโอกาสที่น้ำจะเพิ่มระดับสูงขึ้นอีก ยังมีความเป็นไปได้มาก 

ในมุมมองส่วนตัว เห็นว่า สาเหตุน้ำท่วมหนัก และ ท่วมบ่อยนั้น มาจาก 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 

1. น้ำต้นทุนมีเยอะเกินไป : ลุ่มน้ำสำคัญในภาคอีสานตอนล่าง ประกอบไปด้วย แม่น้ำมูน แม่น้ำชี และ แม่น้ำเสียว และ ลำน้ำสาขาอีกจำนวนมาก ซึ่งแม่น้ำทุกสาย ลำน้ำสาขาทุกแห่ง มีการสร้างเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ กันจนเต็มทุกลำน้ำ 

ซึ่งน้ำในเขื่อน ในอ่างเก็บน้ำ เหล่านั้น ที่แทบทุกเขื่อน ทุกอ่างเก็บน้ำ จะเก็บน้ำไว้มากกว่า 50 % ของความจุ แต่ละเขื่อน แต่ละอ่างเก็บน้ำ เสมือนหนึ่งว่า เรามีน้ำต้นทุนไว้มากกว่า ครึ่งแก้ว แล้ว และเมื่อมีฝนตกลงมา ทำให้ระดับน้ำในเขื่อน และในอ่างเก็บน้ำ เพื่อขื้นอย่างรวดเร็ว และต่อมาเขื่อน และ อ่างเก็บน้ำแต่ละแห่ง ต่างพากันเร่งระบายน้ำออก และนี่คือ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดน้ำท่วมรวดเร็ว

2. ทุกข์อนันต์ ของเขื่อนเอนกประสงค์ : เขื่อนทุกแห่ง จะถูกอวดอ้างประโยชน์สารพัดประโยชน์ ทั้งแก้ปัญหาภัยแล้ง และแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แก้ไขปัญหาน้ำปะปา เพิ่มพื้นที่ทำนา มีปลามากมาย ซึ่งวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้นี้ขัดแย้งกันเองในทางปฏิบัติ เพราะเขื่อนทุกเขื่อน อ่างเก็บน้ำทุกแห่งจะมีวัตถุประสงค์ (ที่เขียนไว้เหมือนกัน) เหมือนกัน แต่หากเป็นเขื่อนของการไฟฟ้า ฯ ก็จะมีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า เพิ่มขึ้นมา 

เมื่อเขื่อนมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง เพื่อการประปา เพื่อการทำนา เพื่อการทำประมง นั่นจึงทำให้เขื่อนแต่ละแห่ง ต้องทำการกักเก็บน้ำไว้ ให้เต็มความจุและรักษาปริมาณน้ำในความจุของเขื่อนให้ได้มาก และนานที่สุด และนอกจากนี้ ผู้บริหารเขื่อนจะกังวลตลอดเวลาว่า ในปีหน้า น้ำในเขื่อนที่ตัวเองรับผิดชอบ จะมีน้ำไว้เต็มความจุอีก ซึ่งตรงนี้กลายเป็นจุดอ่อน เพราะทำให้เขื่อนแต่ละแห่ง อ่างเก็บน้ำแต่ละที่ จะไม่ยอมระบายน้ำออก ตราบใดที่ปริมาณน้ำใหม่ที่ไหลเข้าเขื่อน ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต 

จากสภาพการบริหารเขื่อนแบบนี้ เราจึงพบว่า ในช่วงที่มีฝนตกมาก มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนจำนวนมาก เขื่อนจึงเริ่มระบายน้ำออก และนั่นก็เป็นช่วงเดียวกัน กับ ที่น้ำได้กระจายทั่วพื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มต่ำไปแล้ว เราจึงเห็นน้ำเอ่อล้นท่วมรวดเร็ว และรุนแรง 

ขณะเดียวกัน เราไม่พบเลยว่า จะมีเขื่อนใด เขื่อนหนึ่ง ที่จะรองรับน้ำท่วมแม้แต่เขื่อนเดียว ทุกเขื่อน ทุกอ่างเก็บน้ำ ต่างเทน้ำออกแข่งกัน จนน้ำท่วมไปหมด

3. การบริหารจัดการน้ำไม่ได้จริง : รัฐบาล พยายามที่จะสร้างกระบวนการ และ กลไก ซ้อน เพื่อมาบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเรียกกันโก้หรูว่า “คณะกรรมการลุ่มน้ำ” เพื่อมาทำหน้าที่ในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำ แต่ในทางปฏิบัติ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ก็เป็นเพียงแค่ “เสือกระดาษ” เพราะในการดำเนินงานจริงๆ ผู้ที่ตัดสินใจ ในการ ปิด - เปิด เขื่อน ก็คือ ผู้บริหารเขื่อนแต่ละแห่ง เท่านั้น 

นอกจากนี้แล้ว หากเขื่อนที่มีอยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน มีเจ้าของเป็นคนละหน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน กับ การไฟฟ้า ฯ การบูรณาการ การทำงานด้วยกัน จึงยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย 

4. เขื่อนปากมูล “ซาตาน หน้าหยก” : เขื่อนปากมูล สร้างปิดกั้นลำน้ำมูน ตอนล่างสุดของแม่น้ำ ก่อนถึงแม่น้ำโขง เดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ต่อมาเปลี่ยนวัตถุประสงค์เป็นเขื่อนเพื่อการชลประทาน และ ต่อมาได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์เป็นเขื่อนเพื่อการประปา 

เขื่อนปากมูล ซึ่งตั้งอยู่ปลายแม่น้ำมูน จะทำการเก็บกักน้ำให้เต็มความจุ คือที่ ระดับ +107 ม.รทก. ต่ำกว่าระดับน้ำตลิ่งแม่น้ำมูน 5 เมตร (ระดับตลิ่งแม่น้ำมูนที่ M 7 อยู่ที่ +112 ม.รทก.) และจะเก็บกักน้ำในระดับนี้ไว้จนกระทั่งมีฝนตกหนักมาก หรือมีน้ำจากด้านบนไหลมาจำนวนมาก เขื่อนปากมูล จึงจะเริ่มทยอยระบายน้ำออก ในทุกปี เราจึงเห็นว่า เขื่อนปากมูล จะทำการระบายน้ำในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หรือ ช้ากว่านั่น ซึ่งเรียกว่า น้ำจะวิกฤติแล้ว เขื่อนปากมูล จึงจะทำการระบายน้ำ และในหลายปี รวมทั้งปีนี้ (2565) เขื่อนปากมูล ระบายน้ำช้า ขณะที่น้ำเหมือนมาเร็ว ทางจังหวัดอุบลราชธานี ก็จะขอให้เขื่อนที่อยู่ด้านบน “หน่วงน้ำไว้” เพื่อให้เขื่อนปากมูล พร่องน้ำออกให้ได้มากที่สุด เขื่อนราษีไศล จึงมักจะถูกขอร้อง ให้หน่วงน้ำไว้ จึงทำให้น้ำในเขื่อนราษีไศล รับกรรม เพราะหน่วงน้ำไว้ จนน้ำในอ่างเก็บน้ำมีจำนวนมาก และสุดท้าย ก็เอาไม่อยู่ 

นอกจากการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนปากมูล ที่ล้มเหลว และ ยังไปสร้างภาระ สร้างปัญหาให้พื้นที่ด้านบนแล้ว ตัวเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นเหมือนคอขวด ก็เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขง ในทุกปี เราจึงเห็นการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ในตอนปลายของแม่น้ำมูน ทั้งที่สะพานพิบูลมังสาหาร และ สะพานโขงเจียม เพื่อผลักดันให้น้ำลงสู่แม่น้ำโขง ให้เร็วขึ้น 

ดังที่กล่าวมาแล้ว ว่า เขื่อนในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ทั้งเขื่อนในแม่น้ำมูน และ แม่น้ำชี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมมาก น้ำท่วมเร็ว และ น้ำท่วมนาน เขื่อนจึงเป็นเสมือน “ระเบิดเวลา” ที่เมื่อเกิดการปะทุขึ้นมา ความพินาศย่อยยับ ก็เกิดขึ้น และขณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว 

ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะทบทวนการบริหารจัดการน้ำใหม่ ทดแทนการบริหารจัดการน้ำ แบบ เขื่อนๆ เพื่อจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ซ้ำๆ อีกต่อไป

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สปสช.เปิด 4 ช่อง ผู้ถือบัตรทอง 9 รพ.เอกชนที่ถูกยกเลิกสัญญา ลงทะเบียนใหม่ 10 ต.ค.นี้

$
0
0

สปสช.เตรียม 3 ช่องทางออนไลน์ให้ผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองที่ได้รับผลกระทบจาก สปสช.ยกเลิกสัญญากับ 9 โรงพยาบาลเอกชนใน กทม. ลงทะเบียนเลือกสถานพยาบาลประจำแห่งใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2565 เป็นต้นไปหรือไปลงทะเบียนที่ สปสช. ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ระหว่างที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนหน่วยใหม่ใช้สิทธิกับหน่วยบริการหรือคลินิกในเครือ สปสช.ได้ทุกที

6 ต.ค.2565 ฝ่ายสื่อ สปสช. รายงานว่า พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช.จะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองในพื้นที่ กทม. จำนวน 2.3 แสนรายที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาระหว่าง สปสช.กับโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำแห่งใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป

พญ.ลลิตยา กล่าวต่อไปว่า ประชาชนสามารถทยอยเลือกหน่วยบริการได้ 3 ช่องทาง ประกอบด้วย

1. แอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนูลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการ

2. ไลน์ สปสช. ไอดี @nhso เลือกเมนู เปลี่ยนหน่วยบริการด้วยตนเอง และ

3. สายด่วน สปสช. โทร. 1330

สุดท้ายหากไม่สะดวกช่องทางออนไลน์ ยังสามารถมาลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการด้วยตนเองได้ที่ที่ทำการของ สปสช. ชั้น 2 อาคารบี ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. โดยผู้ใช้สิทธิ์สามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยบริการใกล้บ้านได้ที่เว็บไซต์ สปสช. http://mscup.nhso.go.th/mastercup/

พญ.ลลิตยา กล่าวอีกว่า ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์สามารถใช้เวลาตรวจสอบและเลือกเฟ้นหาหน่วยบริการที่ถูกใจได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรีบร้อนลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจำ เพราะ สปสช. ได้เตรียมหน่วยบริการปฐมภูมิใน กทม. ไว้อย่างเพียงพอมากกว่า 700 แห่ง และผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองที่เคยลงทะเบียนหน่วยบริการประจำกับโรงพยาบาลเอกชนที่ถูกยกเลิกสัญญาไปนั้นมี 7 แห่งที่เป็นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิและประจำได้แก่ รพ.ประชาพัฒน์, รพ.นวมินทร์, รพ.เพชรเวช, รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2, รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางมด และ รพ.กล้วยน้ำไท

ทั้งนี้หลังจากถูกยกเลิกสัญญา ประชาชนกลุ่มนี้จะมีสถานะเป็น “สิทธิว่าง” ที่ระหว่างนี้หากเจ็บป่วยสามารถไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายของ สปสช. ที่ไหนก็ได้ ทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือสถานพยาบาลอื่นๆ ในระบบ เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาล ร้านยา ฯลฯ โดยตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลในเครือข่ายได้ที่ที่ https://map.nostramap.com/NostraMap/หรือแอปพลิเคชัน NOSTRA Map โดยกดเข้าไปดูชั้นข้อมูลที่ระบุว่า สถานพยาบาลในระบบ สปสช. ซึ่งหากผู้ใช้สิทธิได้ไปรับบริการแล้วเกิดความประทับใจถึงค่อยลงทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำก็ได้

“หรือหากท่านสุขภาพยังแข็งแรงดี ไม่เคยเจ็บป่วยแต่อยากลงทะเบียนหน่วยบริการประจำเตรียมพร้อมไว้ ขอแนะนำให้ท่านเลือกลงทะเบียนที่หน่วยบริการใกล้บ้านก่อนเพื่อความสะดวกในการไปรับบริการ แต่หากท่านไปรับบริการแล้วไม่ประทับใจหรืออยากเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ท่านสามารถเปลี่ยนได้ในภายหลัง โดย สปสช. เปิดให้ท่านย้ายหน่วยบริการประจำได้ตลอดเวลา เป็นจำนวน 4 ครั้ง/ปี”พญ.ลลิตยา กล่าว

อนึ่ง ในส่วนของผู้ใช้สิทธิ์ที่เดิมมี 9 โรงพยาบาลเอกชนเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อนั้น ทาง สปสช. ได้หารือกับกรุงเทพมหานครและกรมการแพทย์ ได้ข้อสรุปว่าในช่วงระยะเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ จะจัดหาหน่วยบริการหรือ รพ.รับส่งต่อให้เป็นการชั่วคราว เมื่อได้หน่วยบริการรับส่งต่อแห่งใหม่แล้วจะแจ้งให้ผู้มีสิทธิ์ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้หน่วยบริการรับส่งต่อชั่วคราวในขณะนี้ มีดังนี้

  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.มเหสักข์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เลิดสินและ รพ.ตากสินแทน
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.กล้วยน้ำไท เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เจริญกรุงประชารักษ์แทน
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.บางนา 1 เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เดอะซีพลัสแทน
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.นวมินทร์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.นพรัตน์ราชธานีแทน
  • ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.เพชรเวช เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.คลองตันและ รพ.กลางแทน
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.ประชาพัฒน์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ไอเอ็มเอช ธนบุรี แทน
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.แพทย์ปัญญา เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.สิรินธร รพ.ราชวิถี รพ.กลาง และ รพ.เดอะซีพลัส แทน,
  • ผู้มีสิทธิ์บัตรทองที่เคยมี รพ.บางมด เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ราชพิพัฒน์แทน

ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่ถูกส่งตัวจาก 9 โรงพยาบาลเอกชนนี้ไปรับการรักษาในโรงพยาบาลอื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า ยังคงไปรับการรักษาได้ตามปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวแต่อย่างใด

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: พรรคการเมืองกับปัญหา house arrest

$
0
0

เราคาดหวังได้ไหมว่า พรรคการเมืองควรจะใส่ใจปัญหา house arrest อย่างจริงจัง ถ้าคาดหวังไม่ได้ เราจะมีพรรคการเมืองไว้ทำไม ถ้ามีพรรคการเมืองไว้แก้ปัญหาปากท้องเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยและเสรีภาพก็ได้ พรรคคอมมิวนิสต์แบบจีนก็แก้ปัญหาปากท้องได้ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ ก็ชูนโยบายแก้ปัญหาปากท้องเป็น “จุดขาย” กันทั้งนั้น 

แล้วพรรคเพื่อไทย, ก้าวไกล เก่งเรื่องแก้ปัญหาปากท้องมากกว่าจริงหรือ ถ้าดูจากสมัยทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้นำรัฐบาลสองสมัย ก็ยอมรับกันว่ามีวิสัยทัศน์และฝีมือแก้ปัญหาปากท้องได้ดี โดยเริ่มนโยบายสวัสดิการ กองทุนหมู่บ้าน, 30 บาทรักษาทุกโรคที่จับต้องได้ ทำให้ในเวลาต่อมาพรรคการเมืองต่างๆ เน้นการแข่งขันเชิงนโยบายกันมากขึ้น 

แต่ความสำเร็จแบบทักษิณก็ไปต่อไม่ได้ ถูกพังลงด้วยมวลชนฝ่ายกษัตริย์นิยม และรัฐประหาร 2549, รัฐประหาร 2557 เพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อีกทั้งพรรคอนาคตใหม่ก็ถูกยุบไปด้วยกลุ่มอำนาจที่เคยทำกับทักษิณ ถึงวันนี้ก้าวไกลจะมีนโยบายด้านสวัสดิการต่างๆ และเพื่อไทยจะมีนโยบายแก้ปัญหาปากท้องที่เชื่อว่าดีกว่าพรรคคู่แข่ง แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่า สุดท้ายแล้วจะไม่จบแบบเดิมๆ หากประเทศนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพได้จริง

ประชาธิปไตยที่พูดถึงกันในโลกทุกวันนี้ ย่อมหมายถึง ประชาธิปไตยสมัยใหม่ หรือเสรีประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน มีเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก การชุมนุม และมีความยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐอย่างชัดเจน 

ปัญหา house arrest หรือการกักบริเวณให้อยู่ภายในบ้านของตนเอง ที่ศาลกระทำกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 คือปัญหาการไม่มีเสรีภาพ และการไม่ได้รับความยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐ เพราะประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย

หากจะว่าไป ปัญหา house arrest ที่เกิดขึ้นในสังคมเราเวลานี้ คล้ายกับกรณีกาลิเลโอในยุคกลางเลย เหตุผลของการกักบริเวณ ก็คือเหตุผลเดียวกัน นั่นคือ "ห้ามพูดความจริงที่ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ยอมรับ” หรือไม่อยากให้ประชาชนทั่วไปยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่ต้องพูดกันได้อย่างปกติในพื้นที่สาธารณะ

แต่ที่ต่างคือ "ศาลไต่สวนศรัทธา" (Inquisition) ของศาสนจักรคริสต์ยุคกลางตัดสินว่า "มีความผิด"แล้วจึงลงโทษกักบริเวณกาลิเลโอ ทว่าศาลไทยยังไม่ได้ตัดสินเลยว่าผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 มีความผิด ก็ลงโทษกักบริเวณก่อนแล้ว 

ในสังคมสมัยใหม่ที่ถือว่า ปัจเจกบุคคลเป็นเจ้าของ "เจตจำนงของตนเอง"และเป็นเจ้าของ "เสรีภาพแห่งมโนธรรม/ความคิดเห็น" (freedom of conscience) การลงโทษกักบริเวณเพียงเพราะพูดความจริง และเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม ย่อมเป็นการละเมิด “ความเป็นคน"อย่างรุนแรง และขัดกับแนวทางปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติรัฐอย่างชัดแจ้ง เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปยอมรับไม่ได้ และนักการเมือง พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน

เราต่างรู้ๆ กันหรือปฏิเสธความเป็นจริงไม่ได้ว่าปัญหา house arrest เกิดจากการไม่มีเสรีภาพตั้งคำถาม วิจารณ์ และตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของประชาชนแท้จริง ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองโดยเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ ผ่านการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพิ่มการผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองของฝ่ายตนมากขึ้นๆ ทำให้เกิดการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและเป็นธรรม เกิดระบบสภาที่ไม่สะท้อนการเป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน หรือไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยของประชาชน แต่ทำหน้าที่ปกป้องอำนาจสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายมากกว่า ขณะที่กองทัพ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็ทำหน้าที่ทำนองเดียวกัน

เมื่อเราอยู่ภายใต้ระบบผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองโดยเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ เราจะแก้ปัญหาปากท้องได้อย่างไร จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างความก้าวหน้าเรื่องสิทธิในสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างไร หากไม่สร้างเวทีประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพให้เราทุกคน ทุกฝ่ายได้พูดถึงปัญหาการผูกขาดอำนาจนำทางการเมือง และเสนอทางแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

คำถามข้างบนนี้ ย่อมเป็นคำถามสำคัญต่อพรรคการเมืองว่า มีนโยบายสร้างประชาธิปไตยที่ทุกคนทุกฝ่ายมีเสรีภาพอย่างแท้จริงได้อย่างไร เฉพาะหน้าเลยคือ นักการเมืองและพรรคการเมืองใส่ใจปัญหา house arrest ในปัจจุบันอย่างไร

บางคนมองว่า การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเป็นเรื่องของประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองไม่ได้มีหน้าที่ต่อสู้เช่นนั้น แต่มีหน้าที่สร้างนโยบายแข่งขันกันให้ประชาชนเลือกผ่านสนามเลือกตั้งเท่านั้น 

มุมมองดังกล่าว “ย้อนแย้ง” มาก ในเมื่อนักการเมือง พรรคการเมืองแยกขาดจากประชาชนไม่ได้แต่แรก เพราะความสำเร็จในการแข่งขันเข้ามามีอำนาจรัฐขึ้นกับการเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ แล้วพรรคการเมืองจะมีความสัมพันธ์กับประชาชนเฉพาะบนเวทีเลือกตั้งที่ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชนเท่านั้น โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนได้อย่างไร

พูดอีกอย่างคือ ความคาดหวังของประชาชนต่อนักการเมือง พรรคการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องปากท้องเท่านั้น เพราะปัญหาของประชาชนไม่ได้มีแค่เรื่องปากท้อง และถึงแม้ปัญหาปากท้องจะสำคัญมากที่สุด แต่มันแก้ไม่ได้จริง ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ผูกขาดอำนาจนำทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยกลุ่มคนยิบมือเดียว ซึ่งก็วนกลับไปที่ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีเสรีภาพได้จริงอีกนั่นเอง

ดังนั้น เราจำเป็นต้องเรียกร้องให้พรรคการเมืองใส่ใจปัญหา house arrest หรือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่มีเสรีภาพ พูดอีกอย่างคือ เราจำเป็นต้องตั้งคำถามมากขึ้นว่า พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายรูปธรรมอย่างไรในการสร้างประชาธิปไตย และให้หลักประกันเสรีภาพ

ซึ่งหนีไม่พ้นที่จะตั้งคำถามมากขึ้นว่า พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายรูปธรรมอย่างไรเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ประชาชนมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้มีนักโทษทางความคิด และ house arrest อีกต่อไป 

พรรคการเมืองมีนโยบายรูปธรรมอย่างไรที่จะปฏิรูปกองทัพให้ขึ้นต่ออำนาจของรัฐบาลจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ให้อำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมในแบบที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้องสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานต่างๆ ของประชาชน บนหลักความเสมอภาคทางกฎหมายตามหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

เพราะเมื่อพรรคการเมืองกับประชาชนไม่อาจแยกขาดจากกันได้ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่มีเสรีภาพ หรือปัญหาการที่ประชาชนถูกละเมิดเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก ก็ย่อมเป็นปัญหาของพรรคการเมืองด้วยเช่นกัน หรือพูดให้ชัดคือ นักการเมือง พรรคการเมืองก็ถูกละเมิดเสรีภาพดังกล่าวด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรละเลยหรือผลักภาระให้ประชาชนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องต้องแบกรับปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

“ฆ่า” อย่างไรก็ไม่ตาย: “คนรุ่นใหม่” ในความขัดแย้งทางการเมืองไทยร่วมสมัย

$
0
0

เนื้อหาการปาฐกถาเนื่องในโอกาสครบรอบ 46 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดย รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

ภาพจำของเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 คือการล้อมฆ่านิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมอย่างสงบภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนา ทั้งโดยเจ้าหน้าที่และประชาชน เป็นการปิดฉากขบวนการนิสิตนักศึกษาที่ขยายตัวอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในช่วงสามปีก่อนหน้า และเป็นความทรงจำร่วมของสังคมไทยว่าครั้งหนึ่งนิสิตนักศึกษาเคยเป็นหัวขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศนี้ ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาจากฝ่ายไหนก็ตาม  
 
ผ่านมากว่าสี่ทศวรรษ นักเรียนนิสิตนักศึกษากลับมาเป็นหัวขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ในด้านหนึ่ง การหวนคืนสู่สมรภูมิการเมืองของนิสิตนักศึกษาก่อให้เกิดความหวังและกำลังใจในฝ่ายที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มักถามไถ่แกมเรียกร้องว่า “นักศึกษาหายไปไหน” ในความขัดแย้งทางการเมือง “เสื้อสี” ในช่วงก่อนหน้า ขณะที่อีกด้าน การกลับมาของนิสิตนักศึกษาได้สร้างความหวาดวิตกให้กับผู้ปกครอง เพราะการชุมนุมเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นไปอย่างกว้างขวางอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน คือ ประมาณ 400 ครั้ง ในกว่า 60 จังหวัด จัดโดยกว่า 100 กลุ่ม ภายในช่วงหกเดือนหลังของปี 2563 หากแต่ที่สำคัญคือมีการเสนอข้อเรียกร้องที่มุ่งไปยังผู้ปกครองโดยตรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน  

อย่างไรก็ดี การชุมนุมใหญ่ที่เบาบางลงหลังการสลายการชุมนุมตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา รวมถึงการใช้มาตรการรุนแรงกับผู้ชุมนุมกลุ่มย่อยที่ตามมาอย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการตั้งข้อหาดำเนินคดีแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมจำนวนกว่า 1,800 คน ส่งผลให้ฝ่ายที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงบางส่วนเกิดความท้อแท้หรือกระทั่งสิ้นหวัง วิตกกังวลว่านิสิตนักศึกษาถูกกดปราบให้ราบคาบอีกครั้งแล้วหรืออย่างไร ขณะที่อีกฝ่ายอาจกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ ประเมินว่าเยาวชน “คนรุ่นใหม่” สร้างความระคายให้พวกเขาได้เพียงเท่านี้ แต่ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของฝ่ายไหน อาจเร็วเกินไปที่จะท้อแท้สิ้นหวังหรือกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ เพราะเยาวชน “คนรุ่นใหม่” ไม่ได้หายไปไหน พวกเขายังไม่ได้ “ตาย” ไปจากสมรภูมิการเมืองไทยยกใหม่นี้ ไม่ว่าจะมีความพยายาม “ฆ่า” พวกเขาด้วยวิธีใดก็ตาม   

นิสิตนักศึกษาหรือว่าเยาวชนจะยังไม่หายไปไหน เพราะสาเหตุที่พวกเขาลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวไม่ได้เกิดจากการชี้นำหรือจัดตั้งโดยกลุ่มหรือองค์กรใด หากแต่เป็นผลของการบรรจบกันของเงื่อนไขหรือปัจจัยร่วมสมัยหลายอย่าง ขณะเดียวกันพวกเขาไม่ได้ขึ้นต่อกลุ่มหรือองค์กรใดเป็นการเฉพาะ ไม่ได้ขึ้นต่อการนำหรือความคิดนำของใคร ฉะนั้น แม้กลุ่มหรือองค์กรหลักไม่ได้จัดการชุมนุมเคลื่อนไหวใหญ่ หรือบางกลุ่มสลายตัวไป หรือแกนนำอยู่ภายใต้เงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว ไม่สามารถนำการชุมนุมได้ แต่การที่เงื่อนไขปัจจัยที่ส่งผลให้พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวยังคงอยู่ค่อนข้างครบถ้วน นิสิตนักศึกษาจึงจะไม่หายไปไหน ยังคงเป็นพลังท้าทายผู้ปกครองเช่นเดิม   

เงื่อนไขเหล่านั้นมีอะไรบ้าง อย่างแรกคือความฉ้อฉลของผู้อยู่ในอำนาจ ถ้าย้อนกลับไป นิสิตนักศึกษาเริ่มขยับมาอยู่แถวหน้าการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเด่นชัดหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา เนื่องจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น นปช. หรือว่า กปปส. ได้สลายตัวลง 

อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มขนาดเล็ก มีจำนวนไม่มาก ยังไม่ได้รับการขานรับจากนิสิตนักศึกษาในสถานศึกษา และยังไม่ได้เป็นกระแสใหญ่ในหมู่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านรัฐประหารที่มีกลุ่มอย่างดาวดินค่อนข้างโดดเด่น การคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีกลุ่มอย่างขบวนการประชาธิปไตยใหม่เป็นกำลังหลัก หรือการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งที่มีกลุ่มอย่างคนอยากเลือกตั้งเป็นหัวขบวน จนกระทั่งหลังจากที่ผู้อยู่ในอำนาจเริ่มรุกล้ำชีวิตส่วนตัวของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการห้ามแชร์คลิปมิวสิควิดีโอเพลง ประเทศกูมี ที่วิพากษ์วิจารณ์การเมืองและสังคมไทยอย่างถึงราก และมีฉากหลังส่วนหนึ่งเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เยาวชนจึงได้แสดงการต่อต้านขัดขืนอย่างกว้างขวางจนเป็นกระแสใหญ่ มีการเข้าชมคลิปวิดีโอเพลงเพิ่มประมาณ 10 ล้านครั้งภายในเวลาสองวันหลังเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจออกมาข่มขู่ และส่งผลให้ยอดการเข้าชมคลิปวิดีโอสูงถึงเกือบ 20 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ และมีการแชร์คลิปวิดีโอดังกล่าวกันอย่างกว้างขวางในหมู่เยาวชน  

ขณะที่อีกด้านเยาวชนได้รับรู้เรื่องอื้อฉาวของคนที่อยู่ในอำนาจมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณี “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” ที่อื้อฉาวอย่างมาก พวกเขาได้ประจักษ์ว่าคนที่อ้างศีลธรรมความดีในการเข้ามายึดอำนาจและบงการชีวิตพวกเขา ไม่ได้เป็น “คนดี” อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด มิหนำซ้ำกลับมีความด่างพร้อยและรอยมลทินยิ่งกว่าบุคคลที่คนเหล่านี้ยึดอำนาจมาเสียอีก พวกเขาจึงไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของผู้มีอำนาจกลุ่มนี้ ที่มีเครือข่ายมหึมาอยู่ข้างหลัง ซึ่งยังอยู่กันพร้อมหน้ามาจนกระทั่งปัจจุบัน   

ในตอนแรกเยาวชนพยายามสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้การปกครองของผู้มีอำนาจกลุ่มนี้ผ่านกลไกรัฐสภา คือ การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกของพวกเขาส่วนใหญ่ พวกเขาส่วนใหญ่เลือกพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่และนำเสนอภาพเป็นตัวแทนความใฝ่ฝันของพวกเขา แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะนอกจากการประกาศผลการเลือกตั้งที่ล่าช้าและเต็มไปด้วยความสับสน
 
พรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส. มาเป็นลำดับสองกลับสามารถเสนอชื่ออดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรีและได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาทุกคนจนสามารถตั้งรัฐบาลได้ รัฐบาลคณะรัฐประหารยังคงสืบทอดอำนาจในคราบรัฐบาลพลเรือนได้ต่อไป และฟางเส้นสุดท้ายก็คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคที่พวกเขาสนับสนุน จนพวกเขาพร้อมใจกันเคลื่อนย้ายพื้นที่การต่อต้านท้าทายจาก โลกออนไลน์ มาสู่ โลกออฟไลน์ ในที่สุด 

ในแง่นี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ไม่ว่าข้อถกเถียงในเชิงกฎหมายจะเป็นเช่นไร แต่ก็เป็นการตอกย้ำว่าลำพังแต่กลไกรัฐสภาไม่สามารถนำพาให้พวกเขาหลุดพ้นจากผู้มีอำนาจกลุ่มนี้ได้ จำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อไป ดังที่พวกเขาแสดงให้เห็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา   

การที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาหรือว่าเยาวชนยังสามารถชุมนุมเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลักษณะการจัดรูปองค์กร ข้อเรียกร้อง และกลวิธีการเคลื่อนไหวของพวกเขา เพราะแม้จะมีกลุ่มหลักในการจัดการชุมนุมใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนปลดแอก แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ประชาชนปลดแอก หรือคณะราษฎร 2563 แต่กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้มีลักษณะเป็น “องค์กรนำ” ที่มีการ “จัดตั้ง” เหมือนเช่นขบวนการนักศึกษาในทศวรรษ 2510 หรือมีลักษณะเป็นกลุ่มการเมือง “กึ่งจัดตั้ง” เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ รวมถึง กปปส. ในช่วงการเมืองเสื้อสี ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มย่อยอีกจำนวนมากโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย ที่ทั้งเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ที่จัดโดยกลุ่มหลักและที่แยกกันจัดควบคู่กันไป ซึ่งมีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ ต่อมากลุ่มหลัก เช่น คณะราษฎร 2563 ได้ปรับแนวทางการจัดรูปกลุ่มเป็นในลักษณะไร้แกนนำ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น ราษฎร ให้สอดรับกัน ขณะที่กลุ่มที่เกิดขึ้นตามมาเน้นหลักการและแนวทางการจัดรูปกลุ่มในลักษณะ “ทุกคนเป็นแกนนำ” ส่งผลให้เยาวชนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ขึ้นต่อองค์กรนำหรือแกนนำคนใด พวกเขาสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่กลุ่มหรือบุคคลใดริเริ่มก็ได้ 

นอกจากการจัดรูปองค์กรที่ไม่เน้นการนำ สาเหตุที่เยาวชนเข้าร่วมการชุมนุมไม่ว่าผู้ริเริ่มในการจัดเป็นกลุ่มหรือบุคคลใด เป็นเพราะพวกเขามีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเด็นหรือวาระการเคลื่อนไหวร่วมกัน เพราะแม้ข้อเรียกร้องในการชุมนุมกำหนดโดยกลุ่มหรือองค์กรหลัก แต่ข้อเรียกร้องเหล่านี้ประมวลมาจากผู้เข้าร่วมชุมนุมอย่างสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่นายกรัฐมนตรี การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งปรากฏในเชิงสัญลักษณ์หรือในลักษณะเปรียบเปรยในหมู่ผู้ร่วมชุมนุมรวมถึงผู้ปราศรัย ก่อนจะพัฒนาเป็นข้อเสนออย่างเป็นระบบโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันกลุ่มย่อยและโดยเฉพาะกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ ที่มีประวัติศาสตร์และบริบททางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมเฉพาะ ได้ผนวกข้อเรียกร้องหรือประเด็นปัญหาของตัวเองเข้าไปด้วยในการเคลื่อนไหว ฉะนั้น แม้บางกลุ่มสลายตัวไปหรือไม่ได้มีการจัดชุมนุมใหญ่ แต่ตราบเท่าที่ข้อเรียกร้องหลักยังไม่ได้ได้รับการตอบสนอง รวมถึงยังมีประเด็นปัญหาของกลุ่มและในพื้นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาหรือว่าเยาวชนก็จะยังคงมีต่อไป   

นอกจากนี้ การที่เยาวชนมีกลวิธีการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ช่วยให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่กลุ่มหลักเน้นการปราศรัยบนเวที กลุ่มย่อยบางกลุ่ม เช่น REDEM และ ราษฎร เน้นการเคลื่อนที่แบบจรยุทธ์ บางกลุ่ม เช่น ทะลุแก๊ส เน้นการเผชิญหน้าท้าทาย ขณะที่บางกลุ่ม เช่น ทะลุฟ้า เน้นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สร้างสรรค์ และมีชีวิตชีวา พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมสามารถมีส่วนร่วมมากขึ้น อีกทั้งยังมีกลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องและมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปะหรือว่าเพศสภาวะ ฉะนั้น แม้จะการชุมนุมใหญ่ที่เน้นการปราศรัยเบาบางลง หรือการชุมนุมแบบเผชิญหน้าท้าทายหยุดชะงักไป แต่ด้วยความที่มีกลวิธีการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นหลากหลาย เยาวชนจึงสามารถปรับใช้กลวิธีเหล่านี้ในประเด็นและวาระต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่นับรวมการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ที่ยังคงปรากฏให้เห็นเช่นกัน     

นอกจากการจัดรูปองค์กร ข้อเรียกร้อง รวมถึงกลวิธีการเคลื่อนไหวของพวกเขาแล้ว สาเหตุที่นิสิตนักศึกษาจะยังคงเป็นพลังสำคัญในการเมืองไทยร่วมสมัยยังเป็นเพราะการออกมาอยู่แถวหน้าหรือว่า “การนำ” ของพวกเขาได้รับการตอบรับจากคนกลุ่มอื่นด้วย ทั้งพรรคการเมืองภายในรัฐสภาและประชาชนบนท้องถนน กล่าวในส่วนพรรคการเมือง แม้ร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยตัวแทนกลุ่มเยาวชนจะไม่ผ่านการพิจารณา แต่พรรคการเมืองที่มีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกับเยาวชนก็ได้ร่วมเสนอกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย และแม้กฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองเหล่านี้จะไม่ผ่านเช่นกัน แต่พรรคการเมืองเหล่านี้ก็ได้ผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อมาอีกหลายฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรวบรวมรายชื่อเสนอกฎหมายประชามติยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน สิ่งที่เยาวชนได้บุกเบิกแผ้วถางไว้จึงมีเส้นทางให้ก้าวเดินต่อไป และพวกเขาก็สามารถเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการเคลื่อนไหวผลักดันกฎหมายเหล่านี้ผ่านระบบรัฐสภาได้     

ในส่วนประชาชน แม้การเคลื่อนไหวโดยเฉพาะในช่วงแรกมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาหรือว่าเยาวชนเป็นองค์ประกอบหลัก แต่ก็มีประชาชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนช่วงวัยสูงกว่ารวมอยู่ด้วยตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีจำนวนและสัดสวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนชื่อกลุ่มจาก เยาวชนปลดแอก เป็น ประชาชนปลดแอก ในการชุมนุมครั้งที่สองของกลุ่ม รวมถึงการตั้งชื่อกลุ่มที่เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มต่างๆ ว่า คณะราษฎร 2563 ในการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ต่างชี้ให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการชุมนุมเคลื่อนไหวที่นำโดยเยาวชนไม่ได้มีเฉพาะคนรุ่นเยาว์ หากแต่ประกอบด้วยคนวัยที่สูงกว่าด้วย   

นอกจากนี้ หลังการสลายการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 และแกนนำเยาวชนถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีและคุมขัง รวมถึงไม่มีการชุมนุมใหญ่โดยกลุ่มเคลื่อนไหวหลักอีก คนสูงวัยกว่าที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้าได้เข้ามาเป็นแกนนำและกำลังหลักในการจัดการชุมนุมเคลื่อนไหวมากขึ้น ดังกรณี คาร์ม็อบ ที่ผู้ริเริ่มคืออดีต แกนนอน และ แกนนำ เสื้อแดง ขณะที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วยคนสูงวัยกว่าเป็นหลัก โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีการจัดกิจกรรมกว่า 40 ครั้งภายในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2564 และมีผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัยกว่า เพราะคนกลุ่มนี้เห็นว่าสะดวกในการเข้าร่วม สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่เสี่ยงหรือตกเป็นเป้าเหมือนการชุมนุมแบบเผชิญหน้าหรือกระทั่งการชุมนุมแบบเวทีปราศรัย 

เช่นเดียวกับกิจกรรม “ยืนหยุดขัง” เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง ก็ริเริ่มโดยนักกิจกรรมทางการเมืองที่สูงวัยกว่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม พลเมืองโต้กลับ ในกิจกรรม “ยืนหยุดขัง” ที่หน้าศาลฎีกา หรือกลุ่มปัญญาชนสาธารณะ ศิลปิน รวมถึงนักวิชาการในพื้นที่ ในกิจกรรม “ยืนหยุดทรราช” ที่ จ.เชียงใหม่ รวมถึงกิจกรรม “ยืนหยุดขัง” ที่ จ.อุบลราชธานี และด้วยความที่กลุ่มเยาวชนหลักไม่ได้จัดกิจกรรมใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ก็ส่งผลให้การชุมนุมเคลื่อนไหวโดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา ที่เน้นการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง กลายเป็นกิจกรรมที่จัดโดยและมีผู้เข้าร่วมเป็นคนสูงวัยกว่าเป็นส่วนใหญ่ ไม่นับรวมกองทุนราษฎรประสงค์ที่ใช้เป็นเงินประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง ที่ผู้บริจาคส่วนใหญ่คือประชาชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนวัยสูงกว่าเช่นกัน  

คนต่างช่วงวัยที่ร่วมกันเคลื่อนไหวภายใต้ “ขบวนการเยาวชนไทยร่วมสมัย” เหล่านี้ในด้านหนึ่งถูกยึดโยงเข้าด้วยกันจากการมีประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับปัญหาและความยากลำบากในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงความคับแค้นจากความอยุติธรรมที่ได้รับ และความโกรธเคืองที่ถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะมาตรการสลายการชุมนุมที่ไม่ได้สัดส่วน ขณะที่อีกด้านพวกเขาถูกเชื่อมร้อยด้วยแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งในระดับกว้างอย่างเช่นประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค และในระดับที่จำเพาะเจาะจงอย่างเช่นแนวคิดฝ่ายซ้าย เพราะเยาวชนจำนวนหนึ่งอ่านงานเขียนของนักคิดกลุ่มนี้ ขณะที่คนวัยสูงกว่าที่สนับสนุนเยาวชนจำนวนมากเป็น “สหายเก่า” 

ประสบการณ์และความคิดร่วมเหล่านี้ได้หลอมรวมคนต่างวัยอย่างพวกเขาให้เป็นคน “รุ่น” เดียวกันในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพลง “ให้มันจบที่รุ่นเรา” ของอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ ที่มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “เพราะโลกนี้มีคนอย่างเธอ คนหนุ่มสาว เพราะโลกนี้มีคนอย่างเธอ ประชาชน เพราะโลกนี้มีคนแบบเธอ ราษฎรทั้งหลาย ให้มันจบที่รุ่นเรา” สะท้อนให้เห็นว่า “รุ่นเรา” ไม่ได้มีเฉพาะคนหนุ่มสาว หากแต่มีประชาชนหรือราษฎรซึ่งเป็นคนช่วงวัยอื่นรวมอยู่ด้วยอย่างสำคัญ
ขณะเดียวกันคนรุ่นเยาว์ไม่ได้มีเพียงนักเรียนนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย หากแต่มีนักเรียนอาชีวศึกษารวมถึงเยาวชนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระบบรวมอยู่ด้วย คนรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เข้าร่วมการชุมนุมที่นำโดยนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย หากแต่ยังได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มและชุมนุมเคลื่อนไหวในแนวทางเฉพาะของตัวเองด้วย

เพราะเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของเยาวชน “คนรุ่นใหม่” ในระลอกนี้จึงมีฐานทางสังคมค่อนข้างกว้าง เพราะมีความหลากหลายทั้งช่วงวัยและสถานะทางเศรฐกิจและสังคม รวมไปถึงอัตลักษณ์ทางสังคมอื่น เช่น เพศสภาวะ และชาติพันธุ์ ที่ร้อยรัดด้วยประสบการณ์และความคิดร่วม เป็นเครือข่ายหรือกลุ่มก้อนที่ก่อตัวขึ้นใหม่ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปไม่หยุดยั้ง 

แม้การเคลื่อนไหวของเยาวชนที่ผ่านมายังไม่สามารถบรรลุข้อเรียกร้องใด แต่ก็ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง การไม่ยืนในโรงภาพยนตร์ การไม่รับปริญญา และผลการสำรวจความเห็นในที่สาธารณะ ต่างชี้ว่าสังคมไทยเปลี่ยนไปมากแล้ว คำถามคือผู้ปกครองจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างไร จะพอใจเพียงแค่ใช้กำลังขัดขวางหรือสลายการชุมนุม ใช้เจ้าหน้าที่ข่มขู่คุกคามหรือติดตามจับตาผู้เคลื่อนไหว หรือใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่างอย่างบิดเบี้ยวเพียงเท่านั้นหรืออย่างไร เพราะวิธีเหล่านี้อาจสยบความกระด้างกระเดื่องได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถลดความขุ่นเคืองในระยะยาวได้ หรือเห็นว่ายังสามารถหว่านล้อมกล่อมเกลานักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนด้วยวิธีการเดิมได้ต่อไปหรืออย่างไร แต่อย่าลืมว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ประวัติศาสตร์ฉบับท้าทายกลายเป็นหนังสือยอดนิยมแทนที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ และมีสื่อทางเลือกโดยเฉพาะในโลกเสมือนให้เข้าถึงนอกเหนือจากสื่อกระแสหลัก จนยากเกินกว่าจะยึดกุมความคิดจิตใจผู้คนเหมือนเก่าได้ ทั้งหมดนี้คือกระแสความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ตามใจ เป็นจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยที่ “ฆ่า” อย่างไรก็ไม่ตาย 

ในทางกลับกัน นิสิตนักศึกษาหรือว่าเยาวชนจะดำเนิน “การนำ” โดย “ไร้แกนนำ” ของตัวเองในการเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร จะดึงคนในช่วงวัยสูงกว่ามาเป็นคน “รุ่น” ทางการเมืองเดียวกันเพิ่มขึ้นอย่างไร และจะขับเคลื่อนความคิดนำหรือข้อเรียกร้องหลักต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะด้วยการอาศัยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นฐานและแนวทาง เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายแห่งในโลกนี้มีจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม    

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แด่สหายเอื้อนและผีที่หลอกหลอนสังคมไทย

$
0
0

:บทความนี้เขียนขึ้นจากความประทับใจหนังสือนิยายเรื่อง Comrade Aeon’s Field Guide in Bangkok ผู้เขียนบทความได้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของหนังสือ เนื้อความบางส่วนแปลจากจากหนังสือนิยาย เนื้อความบางส่วนเป็นความคิดเห็นและความรู้สึกของผู้เขียนบทความเอง

ปีนี้ฉันตั้งใจอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยและอุษาคเนย์ในสมัยสงครามเย็นให้มากขึ้น อ่านชดเชยให้กับความรู้ที่ถูกทำให้ตกหล่นหายไปในห้องเรียน อ่านให้มันสาสมกับที่สิ่งที่ “เขา” ไม่อยากให้คนไทยรู้ หนึ่งในหนังสือที่ฉันเพิ่งอ่านจบและยังหยุดคิดถึงมันไม่ได้คือ หนังสือนิยายเรื่อง Comrade Aeon’s Field Guide in Bangkok เขียนโดย เอ็มม่า ลาร์คิน (Emma Larkin) แม้จะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น แต่นิยายเล่มนี้สามารถเก็บรายละเอียดชีวิตความเป็นอยู่และความเป็นไปของสังคมไทยได้อย่างดีเยี่ยม  ตั้งแต่ความหวังที่ผู้คนฝากไว้กับหวยและผีในศาลพระภูมิ ความบันเทิงของละครหลังข่าวที่กล่อมให้ผู้คนหลับไหลยามค่ำคืน มายาคติของรอยยิ้มแบบไทยๆ การต่อสู้ดิ้นรนของประชาชนบนท้องถนน และความเงียบงันของผู้คนในเมืองหลวงที่อื้ออึงไปด้วยเสียงสะท้อนของอดีตและความทรงจำ เหล่านี้ต่างร้อยรัดตัวละครหลากหลายพื้นเพที่อาศัยในใจกลางกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่แม่ค้าปลาท่องโก๋ วินมอเตอร์ไซด์ ผู้คนในสลัม อดีตนักศึกษาที่เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) นักธุรกิจ ดาราชื่อดัง และหญิงคนขาวชาวต่างชาติ  พวกเขายืนอยู่บนเส้นสเปกตรัมทางการเมืองที่ต่างกัน แต่ชีวิตมาบรรจบกันเพราะซากกระดูกของผู้ชุมนุมในเหตุการณ์พฤษภาฯ 2535 โดยมี Comrade Aeon เป็นตัวละครหลักของเรื่อง 

ฉันไม่แน่ใจว่าควรออกเสียง Aeon ว่าอย่างไรดี เอื้อน? อ่อน? หรือควรออกเสียงว่า “อีออน” ตามคำภาษาอังกฤษ aeon ที่แปลว่า ช่วงเวลาที่ยาวนานไม่สิ้นสุด/ชั่วนิรันดร์ แต่สหายคนนี้เป็นลูกชาวบ้านคนไทยที่พ่อ “หาเช้ากินค่ำ” ฉันก็เดาว่าชื่อเขาคงออกเสียงเป็นคำภาษาไทยมากกว่า เนื่องจากชื่อ “เอื้อน” นั้นเพราะที่สุด และฉันคิดชื่อไทยอื่นไม่ออกแล้ว ดังนั้นในมโนสำนึกของฉัน เขาจึงเป็น สหายเอื้อน (ซึ่งไม่รู้ว่าออกเสียงตรงกับที่ผู้เขียนนิยายตั้งใจหรือไม่)

หากเราเดินผ่านสหายเอื้อนในกรุงเทพฯ ก็คงทึกทักเอาว่า เขาคือชายไร้บ้านคนหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมม ผมยาวเป็นสังกะตัง เดินเท้าเปล่า อันที่จริงสหายเอื้อนก็ไม่ถึงกับไร้ “บ้าน” เสียทีเดียว เพราะเขาอาศัย (และหลีกหนีจากโลกแห่งความจริง) อยู่ในกระท่อมเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในที่ดินรกร้างใจกลางกรุงเทพฯ เป็นสถานที่—คงจะไม่กี่แห่งในเมืองกรุง—ที่เขารู้สึกปลอดภัย แลคล้ายอาการโหยหาป่า แต่คงเป็นคนละป่ากับป่าในจิตนาการของคนเมืองกรุง เพราะเขาโหยหา “ป่า” แบบที่เขาเคยเข้าไปอยู่ในสมัยที่เข้าร่วมพคท.หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2619 และต่อมาภายหลังคำสั่ง 66/2523 สหายเอื้อยและภรรยา (ซึ่งพบและแต่งงานกันในป่า) ก็ออกจากป่ากลับสู่เมือง ภรรยาผู้ซึ่งเคยศรัทธาลัทธิเหมาอย่างแรงกล้า สามารถกลับมาเรียนจนจบ, หางานทำในบริษัทโฆษณา, และปรับตัวเข้ากับโลกทุนนิยมได้ดีอย่างน่าใจหาย ต่างกับสหายเอื้อนที่ดูเหมือนจะไม่สามารถก้าวผ่าน “อดีต” ไปได้ แถมยังปล่อยให้ตัวเองติดกับดักแห่งห้วงอดีตด้วยความเต็มใจ (แต่จะเขาให้ก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร ในเมื่อคนในสังคมยังไม่สามารถเอ่ยชื่อคนสั่งฆ่าออกมาดังๆ ได้เลย)

เขาไปสมัครงานเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง แต่เขาถูกไล่ออกภายหลังเนื่องจากเขาสอนประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ จากประสบการณ์จริงในฐานะของผู้รอดชีวิต เมื่อเขาไม่สามารถหางานสอนที่ไหนได้อีก เขาจึงเริ่มเดินเร่รอนไปในเมืองกรุง ตามหาพื้นที่สีเขียวที่นำพาเขากลับเข้า “ป่า” อีกครั้ง แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม ในขณะที่ภรรยาเขาได้ “เกิดใหม่” ในโลกทุนนิยม สหายเอื้อนเริ่มใช้เวลาใน “ป่า” ของเขามากขึ้น แล้ววันหนึ่งเขาก็ไม่กลับบ้านที่มีภรรยาและลูกชายสองคน... อีกเลย

ดูเหมือนสหายเอื้อนจะใช้เวลาในแต่ละนาทีที่ตื่นเพื่อสังเกตและจดจำการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาในกรุงเทพฯ—เมืองที่ผู้คนผ่านมา ผ่านไป และเหมือนจะไม่มีใครจ้องมองมันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนระดับน้ำในคลอง การจมลงทีละนิดของผืนแผ่นดินที่รองรับตึกระฟ้ามหาศาล ซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่หลับไหลใต้ชั้นดินเหนียว แมวที่ตายอย่างประหลาด หมาข้างถนน การผสมพันธุ์ของตัวเหี้ย บรรดางูสารพัดชนิด นกอพยพ รังผึ้งที่ซ่อนอยู่ตามซอกตึก รากของต้นไทรที่หยั่งลึกใต้ดิน ฯลฯ ในกระท่อมเล็กๆ ของเขาถึงเต็มไปด้วยตัวอย่างซากสัตว์ตายแล้วสารพัดชนิด—กบ งู ค้างคาว ฯลฯ รวมทั้งสมุดบันทึกกองโตที่เรียงร้อยเรื่องราวของระบบนิเวศในกรุงเทพฯ สหายเอื้อนได้พาผู้อ่านท่องไปในเมืองกรุงที่เราเองอาจเคยผ่านเข้าไปหรืออาศัยอยู่ แต่ไม่เคยได้มองมันอย่างเต็มตา สูดกลิ่นโมเลกุลและอนุภาคต่างๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างเต็มปอด หรือเงี่ยหูฟังทุกเสียงและความเงียบงันอย่างตั้งอกตั้งใจ 

ขณะที่เฝ้าดูธรรมชาติผ่านเลนส์และจินตนาการของสหายเอื้อน ฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน ละเมียดละไม และความงดงามบางอย่างที่ยังเหลืออยู่ของโลก แล้วบาดแผลต่างๆ ที่เกาะกินใจฉันมันก็ถูกรักษาอย่างประหลาด ฉันเองไม่แน่ใจว่านี่คือพลังของวรรณกรรมและตัวหนังสือ หรือเป็นเพราะการสัมผัสกับโลกธรรมชาติ—สายน้ำ ต้นไม้ เสียงนกร้อง—แม้เพียงแค่ในจิตนาการ ก็มีพลังเยียวยามนุษย์ นี่อาจเป็นเหตุที่สหายเอื้อยหมกมุ่นกับการจดบันทึกความเป็นไปของระบบนิเวศในกรุงเทพฯ เพื่อเยียวยาบาดแผลในใจของเขา เพื่อหาเหตุผล หรือสายใยอะไรสักอย่างที่ยึดเหนี่ยว/เกี่ยวชีวิตกระจ้อยร่อยของเขาไว้กับโลกใบนี้ 

นอกจากเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของเมืองกรุงที่ไม่มีใครสังเกตแล้ว สหายเอื้อนยังกลายเป็นคนเฝ้ากระดูกของผู้คน (ที่ถูกทำให้ไม่มีชื่อ/ไม่มีหน้า) อยู่หลายปีโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะเขาเลือกที่จะไม่รับรู้หรือไม่จดจำ แต่เพราะความเลือดเย็นและเหี้ยมโหดที่มนุษย์กระทำต่อกันนั้นหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จิตใจดวงหนึ่งจะรับไหว มันโหดร้ายเกินไปจนทำให้อะไรบางอย่างข้างในตัวเขาได้แตกสลายอย่างย่อยยับในคืนนั้น คืนที่เขาไปแอบเห็นร่าง—ศพแล้วศพเล่า—ที่เคยเป็นเจ้าของกระดูกเหล่านั้น ถูกโยนลงหลุมในป่ารกร้างกลางกรุง หลังเหตุการณ์การประท้วงรัฐบาลในเดือนพฤษภาฯ 2535  

แม้นี่จะเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่มันกลับสมจริงอย่างน่าเศร้าเหลือเกิน เพราะวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดคือสิ่งที่มีตัวตนอยู่จริงในสังคมไทย เพราะรัฐไทยไม่เคยรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่ผู้ชุมนุมทางการเมืองอย่างจริงใจเลย และเพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าจำนวนคนตายจากการสลายการชุมนุมแต่ละครั้งมีเท่าไหร่กันแน่? มีคนสูญหายกี่คนและเขาเหล่านั้นคือใคร? มีศพผู้ชุมนุมซุกซ่อนอยู่ที่ไหนบ้างหรือเปล่า?  

สำหรับฉัน สหายเอื้อนจึงเป็นตัวแทนของคนที่มองเห็นความรุนแรงโดยรัฐอย่างเต็มสองตาและรับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของมันอย่างเต็มอก เขาคือตัวแทนของมนุษย์ที่รู้สึกถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างซื่อสัตย์และซื่อตรง เขาคือตัวแทนของความแตกสลาย เป็นความแตกสลายเดียวดายของคนที่ต้องมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ปกคลุมด้วยความเงียบงัน ไม่ใช่ความเงียบเพราะความสงบ (ซึ่งฉันเชื่อว่าไม่เคยมีอยู่จริง และจะไม่วันมีอยู่จริง ตามใดที่มนุษย์ยังต้องปฏิสัมพันธ์กันอยู่) แต่เป็นความเงียบจากกฎหมายที่ปิดคาดปากคนเอาไว้ และเป็นความเงียบเพราะผู้คนพร้อมใจกันหุบปาก เพราะในบางครั้ง มนุษย์นั้นขลาดเขลาเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์เพื่อเรียนรู้จากมัน

เมื่อความไม่สมเหตุสมผล, คำโป้ปดมดเท็จ, และยากล่อมประสาทของรัฐถูกรับรองโดยคนส่วนใหญ่—ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ, ทั้งเชื่อในน้ำคำของรัฐอย่างบริสุทธิ์ใจ หรือเชื่อเพราะหลอกตัวเอง คนอย่างสหายเอื้อนจึงกลายเป็นคนบ้า เป็นคนบ้าเพราะรู้สึกมากเกินไป เป็นคนบ้าที่ไม่อาจใช้ชีวิตเชื่องๆ ไหลไปตามกระแสธารของสังคมโดยไม่ตั้งคำถามอะไร เป็นคนบ้าที่ปล่อยให้ตัวเองติดกับดักของห้วงอดีต ยังคงโกรธเกรี้ยว ยังคงหลั่งน้ำตา ...

แต่คนบ้าอย่างสหายเอื้อยนี่เองที่ใส่ใจความเป็นไปและความอยู่รอดของสังคมมนุษย์ คนบ้าแบบนี้เองที่คอยจดบันทึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างแข็งขัน—เพื่อกันลืม เพราะในสังคมรัฐเผด็จการที่คอยลบและเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา การบันทึกความทรงจำคืออาวุธอันทรงพลังไม่กี่อย่างที่ประชาชนอย่างเรามี

ในบทสุดท้ายของนิยาย สหายเอื้อนยังคงจดบันทึกไปเรื่อยๆ แม้ว่าวันหนึ่งกระท่อมหลังน้อยและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นถูกเผาลงจนเหลือแต่เถ้าถ่าน เขายังคงขีดเขียนตามผนังกำแพง ตามตั๋วรถเมล์ ด้านหลังของใบเสร็จ หรือวัสดุอะไรก็ตามแต่ที่จะสรรหามาได้ เขียนเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ตามแต่ใครจะสนใจอ่าน บางครั้งเขาก็เขียนเล่าเรื่องราวที่นักศึกษาถูกล้อมปราบในเช้าวันที่ 6 ตุลาฯ บ่อยครั้งเขาก็ขีดเส้นเล็กๆ ยี่สิบเจ็ดเส้นทิ้งไว้ด้วย ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับศพผู้ชุมนุมปี 2535 ที่เขาเคยพบเห็นเป็นพยาน เขายังเดินท่องไปในกรุงเทพฯ แม้ว่าป่ารกที่ให้เขาได้เข้าไปซ่อนตัวจะหายากขึ้นทุกวัน แต่เขาก็ไม่หยุดที่จะเขียนบันทึก แม้ว่าสิ่งที่เขาเขียนจะถูกลบหรือถูกกลบไปก็ตาม

…….
ในการต่อสู้อันยาวนานเพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตย บางทีสิ่งที่คนตัวเล็กๆ ทำได้ก็คือสิ่งนี้: 
สังเกต บันทึก จดจำ 
ก้าวเดิน
และมีชีวิตอยู่
มี ชีวิต อยู่
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชาญวิทย์ เกษตรศิรินำชมสถานที่ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 19 [คลิป]

$
0
0

6 ต.ค. 65 เมื่อเวลา 10.30 น. คณะผู้จัดกิจกรรม "รำลึก 46 ปี 6 ตุลา ตามหา(อ)ยุติธรรม"ได้จัด walking tour ชมสถานที่ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา โดยมี อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, กฤษฎางค์ นุตจรัส, ศาสตรา ชาตรีนันท์ และอัครพล สุธีภัทร ฯลฯ เป็นวิทยากรบรรยายสถานที่เกิดเหตุ 6 จุด ได้แก่ ประตูทางเข้า ด้านหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ตึก BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, สนามฟุตบอล, ตึก อมธ., คณะนิติศาสตร์ และกลับมาที่ลานประติมากรรม #46ปี6ตุลา

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เสวนา “เ(สื่อ)ม สั่ง ตาย” | 6 ต.ค. 65 [คลิป]

$
0
0

6 ต.ค. 65 ในกิจกรรมรำลึกในวาระ 46 ปี 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ช่วงบ่าย มีวงเสวนา “เ(สื่อ)ม สั่ง ตาย” วิทยากรโดย นิธินันท์ ยอแสงรัตน์, ปนัดดา เลิศล้ำอําไพ, ชนายุส ตินารักษ์ และฐปนีย์ เอียดศรีไชย ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ โดยเป็นการพูดถึงบทบาทสื่อมวลชนในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เปรียบเทียบกับสถานการณ์สื่อและการเมืองปัจจุบัน

ช่วงแรก นิธินันธ์ ยอแสงรัฐ กล่าวว่า ตนเองเข้ามาเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ในปี 2516 เรียนจบในปี 2519 เป็นช่วง 4 ปี ที่แทบจะไม่ได้เรียนหนังสือ ซึ่งหลังจากเรียนจบแล้วก็ไม่ได้หนีเข้าป่า เนื่องจากไม่เชื่อในพรรคการเมือง แต่จะกลับไปอยู่บ้านก็ไม่ได้ ต้องย้ายหนี มีทหารมาเฝ้าหน้าบ้าน ไม่มีสตางค์แต่อยากเรียนต่อ จึงเลือกที่จะมาเป็นนักข่าวก็ โดยหลังจาก 6 ตุลาหนังสือพิมพ์ถูกปิดหมด ตอนนั้นผ่านมาไม่นานจึงเลือกสมัครไปที่เครือเดอะเนชั่น และได้ทำงานที่นั่น

“กรอบคิดของคนทำงานข่าวรุ่นเก่า จะหลงตัวเอง ที่คิดว่าเราไม่รับเงินก็ดีแล้ว ไม่ได้รับซองขาวจากใคร แต่จริง ๆ เราสมยอมกับผู้มีอำนาจ ความเป็นสื่อภาษาอังกฤษทำให้เราจองหอง ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่ตื้นเขินมาก”

นิธินันท์ กล่าวต่อว่า สื่อสามารถเลือกข้างได้ แต่วารสารศาสตร์แบบโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำแบบนั้นไม่ได้ และต้องให้ความเที่ยงธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งส่งผลให้สื่อเข้าใจผิด และคิดว่าเลือกข้างแล้วไม่จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับสองฝ่าย แต่ในปัจจุบันด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่เข้าใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น สื่อเองก็ต้องปรับตัวด้วย ส่วนสื่อหัวเก่าก็อยู่แบบของเขา ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือของประชาชน และตนเองก็คัดค้านการมีสมาคมสื่อเสมอ เวลาพูดว่ารัฐลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อ สื่อเองก็ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเช่นกัน สื่อและประชาชนก็ต้องยืนหยัดต่อสู้ในความเชื่อของตนเองเช่นกัน

ปนัดดา เลิศล้ำอำไพ อภิปรายถึงชนวนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ว่าสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นตอนที่จอมพลถนอม กิตติขจร บวชเป็นสามเณรแล้วกลับเข้าประเทศ เมื่อนักศึกษาก็ไม่ยอมฝ่ายที่มีอำนาจ เหตุการณ์จึงได้เริ่มปะทุขึ้น “แล้วหลักวิชามารทั้งหลายในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา ให้ย้อนกลับไปดูว่ามีลักษณะคล้ายกันกับช่วงปี 2518 - 2519 ถูกจัดวางอย่างดี ว่าถ้าเกิดแบบนี้รัฐจะตอบโต้อย่างไร”

เธอกล่าวเปรียบเทียบกับการชุมนุมของเยาวชนในปี 2563 ว่าเป็นการชกที่ตรงจุด และตรงเกินไป ทำให้ฝ่ายรัฐต้องใช้ลูกแรงมาต่อสู้ ซึ่งภาครัฐก็ไม่เคยคำนึงว่าจะมาถึงจุดนี้ และส่วนตัวเชื่อว่าอำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในมือสื่อ การต่อสู้กับความซับซ้อนของอำนาจหลายชั้น ที่สังคมไทยมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ทั้งนี้ยังมีความหวังให้ประชาชนเติบโตด้วยตัวเอง คนไทยไม่ได้โง่ คงจะมีวันที่ประชาชนเติบโตได้ เพียงแต่ตอนนี้รัฐโตเร็วกว่า เพราะมีงบประมาณ และเครื่องมือทุกอย่าง

ด้านชนายุส ตินารักษ์ กล่าวว่า ในเวลานั้นเธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์ชั้นปีที่ 3 บาดเจ็บเพราะถูกยิงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และตกเป็นผู้ต้องหาถูกจับเข้าคุกหลายเดือน เมื่อถูกปล่อยออกมาก็มีเจ้าหน้าที่ทหารมาเฝ้าที่หน้าบ้าน จึงตัดสินใจหนีเข้าป่าในจังหวัดเชียงราย และออกมาในปี 2525 หลังจากออกมาก็กลับมาเรียนต่อจนจบ และได้ทำงานข่าวด้านการเมือง เศรษฐกิจ ปัจจุบันก็เกษียณแล้ว

เธอเปรียบเทียบการควบคุมสื่อของรัฐ ในเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมในอดีต กับปัจจุบันว่า แม้ตอนนี้เรามีข้อมูลมากขึ้นจากเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น แม้เราจะเชื่อว่าเรามีอำนาจอยู่ในมือจากจากการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ความจริงแล้วรัฐก็สามารถควบคุมสื่อได้อยู่ดี เพียงแค่ต้องใช้งบประมาณเยอะเท่านั้น

“การรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง นักข่าวลืมข้อห้ามที่รัฐห้ามเรารายงานไปหมดอยู่แล้ว เพราะสื่อควรรายงานความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แล้วค่อยมาวิเคราะห์ต่อ ผู้อ่านหรือประชาชนสามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะเชื่อหรือไม่ และจนถึงวันหนึ่งมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะรายงานความเปลี่ยนแปลง ก็ต้องชน จงอย่าลืมว่าอะไรคืออุปสรรคของเรา”

ส่วน ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวมากประสบการณ์จากสถานี ITV และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง The Reporter ระบุว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมาในฐานะนักข่าว ได้ซึมซับเหตุการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงอยู่ในเหตุการณ์ที่สำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะการอยู่ในห้วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงของสื่อ จากระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิทัล ซึ่งโซเชียลมีเดียส่งผลอย่างมากในการชุมนุมที่ผ่านมาเพราะทุกคนเป็นสื่อได้ การต่อสู้ของกลุ่มนักศึกษาจึงมีพลังอีกครั้ง

ถ้าเปรียบเทียบปี 2563 ก็คงไม่ต่างกับปี 2519 ในแง่ที่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เราที่เป็นสื่อก็รายงานเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เป็นสถานการณ์ที่สื่อเองก็อาจตั้งตัวไม่ทันว่าเราต้องรายงานอย่างไร ไม่ใช่สื่อไม่อยากรายงาน แต่ด้วยโครงสร้างสื่อในขณะนั้น เราไม่รู้ขีดจำกัดว่าอยู่ตรงไหน

ผู้ก่อตั้ง The Reporters กล่าวด้วยว่า เป็นหนึ่งในสื่อที่ถูกเพ่งเล็งจากทาง กสทช. ในขณะนั้น แต่เราก็เริ่มฉีกกฎ สามารถรายงานสถานการณ์สดตรงนั้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่คือบทพิสูจน์ว่าสื่อพร้อมใจกันรายงานข่าว ก็ไม่มีอะไรมากีดกันเราได้ โดยตั้งแต่เป็นนักข่าวมา ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสื่อมากขึ้น พอเจอเหตุการณ์หลายอย่าง ก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเรียนรู้ว่า การต่อสู้ทางการเมืองของไทยสื่อมีบทบาทสำคัญ สื่อที่รายงานข่าวตรงข้ามกับรัฐ ก็จะมีกระบวนการบางอย่างที่พร้อมคุกคาม หรือควบคุมเรา

"สื่อต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นเสียงสะท้อนให้ประชาชน และในที่สุดประชาชนจะมาปกป้องเราเอง สุดท้ายทุกการต่อสู้สิ่งสำคัญคือพลังของประชาชน ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นสู้ สื่ออย่างเราก็มารายงานไม่ได้ พลังของคนที่เคลื่อนไหวต่างหาก ที่จะผลักดันสื่อให้ทำหน้าที่ ถ้าสื่อไม่ทำหน้าที่ก็จะเสื่อมและตายในที่สุด” ฐปนีย์กล่าวอย่างตกผลึก

สำหรับงานรำลึกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ปีนี้ จัดภายใต้ชื่อ "46 ปี 6 ตุลา ตามหา(อ)ยุติธรรม 6 ตุลาคม 2565"โดยช่วงเช้ามีกิจกรรมที่ลานประติมากรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนช่วงสายและช่วงบ่ายมีกิจกรรมเสวนาที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

เสวนา “ความหวังที่ไม่ตาย: วิวัฒนาการอุดมการณ์นักศึกษาผ่านยุคสมัย” [คลิป]

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘ตะวัน’ แจงหวังแค่ใช้ #6ตุลาหวังว่าเสียงลมจะพาล่องไป พูดเรื่องเดียวกัน

$
0
0

"ตะวัน"แจงเหตุที่รณรงค์เลิกม.112 และชวนคนรำลึกถึงคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในที่จัดคอนเสิร์ต "6ตุลาหวังว่าเสียงลมจะพาล่องไป"เพราะเห็นว่าป้ายและการแสดงจำลองเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องเดียวกันจุดประสงค์ของคอนเสิร์ต แต่กลับถูกห้ามและถูกคนที่มาฟังดนตรีโห่ให้เอาป้ายลง "จ๋าย ไททศฯ" ยันไม่เคยพูดว่าจะไม่ขึ้นเล่นถ้าไม่เอาป้ายลง เพดานสูงกว่านี้ก็พูด 

ภาพจาก แมวส้ม

6 ต.ค.2565 ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพ มีกิจกรรมดนตรีในวาระครบรอบ 46 ปีการสังหารหมู่ 6 ต.ค.2519 ชื่อ "6ตุลาหวังว่าเสียงลมจะพาล่องไป"โดยมีวงดนตรีชื่อดังต่างๆ ขึ้นแสดง เช่น ไททศมิตร ค็อกเทล เซฟพลาเนต เป็นต้น

ทั้งนี้ขณะที่บนเวทีกำลังมีการแสดงเวลาประมาณ 17.00 น. มีกลุ่มนักกิจกรรมถือป้ายรณรงค์ที่มีข้อความเช่น "ยกเลิก 112""ล้างมรดก 6ตุลา ยกเลิกมาตรา 112""หวังว่าเสียงเพลงจะไม่กลบ วีรชนคน 6 ตุลา""ซ้ายพิฆาตขวา""จากลานคนเมืองถึงภูพาน" 

ภาพจาก แมวส้ม

แต่ระหว่างที่กลุ่มนักกิจกรรมดังกล่าวกำลังแสดงจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ อยู่นั้น บนเวทีมีการประกาศให้คนที่ทำกิจกรรมอยู่หยุดและเอาป้ายลง หากไม่เอาลงทางเวทีจะไม่แสดงต่อ ทำให้ประชาชนที่เข้ามาร่วมซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นแสดงความไม่พอใจกลุ่มนักกิจกรรมและตะโกนบอกให้เอาป้ายรณรงค์ต่างๆ ลง

ภายหลังเหตุการณ์ผู้สื่อข่าวประชาไทได้สัมภาษณ์ ตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แบม มวลชนอิสระวัย 23 ปี ที่ร่วมกิจกรรมการแสดงและชูป้ายรณรงค์ที่ลานคนเมืองเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ตะวันให้สัมภาษณ์ว่าอุปกรณ์ที่เตรียมไปแสดงที่ลานคนเมืองเป็นของที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แล้วก็มีเรื่อง ม.112 วีรชนคนหกตุลาคือคนที่โดน 112 เหมือนกัน แล้วหลังจากเหตุการณ์นั้น อัตราโทษของมาตรานี้ก็เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย 3-15 ปี

“เราพูดได้เต็มปากเลยว่า 6 ตุลาฯ กับ 112 เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะบอกว่าคอนเสิร์ตตรงนั้นเป็น 6 ตุลาฯ แสดงว่าคอนเสิร์ตของคุณและป้ายของเราเป็นเรื่องราวเดียวกัน” ตะวันกล่าว

ตะวันอธิบายขั้นตอนการทำกิจกรรมว่า หลังจากนั้นเราก็เอาป้ายเข้าไปในงานแล้วยังมีเพอร์ฟอแมนซ์อาร์ทที่มีหุ่นจำลองแล้วก็เก้าอี้ทุบซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่เกิดใน 6 ตุลาฯ ซึ่งเชื่อมโยงกับคอนเสิร์ตถ้าเป็นเรื่อง 6 ตุลาฯ พอเข้าไปถึงงานคนก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายกัน ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ ในงาน จนกระทั่งใกล้กับหน้าเวทีซึ่งตอนแรกเธอนึกว่าเป็นศิลปินต่อมาทรายภายหลังว่าเป็นผู้จัดจากการที่มีคนมาบอก ผู้จัดก็ประกาศว่าคอนเสิร์ตจะดำเนินการต่อไปไม่ได้

“ก็เลยมีการตะโกนคุยกับทางบนเวทีว่าป้ายของเรากับเรื่องราวที่คุณจะเล่ามันไม่เหมือนกันยังไง ทำไมเราชูป้ายของเราไปแล้วคุณแสดงไปด้วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันคือเรื่องราวเดียวกัน” ตะวันย้ำถึงสิ่งที่ต้องการเล่า ต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเขามาคุยให้เอาป้ายลง แล้วพอผู้จัดพูดว่าถ้าไม่เอาป้ายลงจะดำเนินการต่อไม่ได้ คนที่มาดูคอนเสิร์ตก็มีการโห่พวกเธอตะโกนให้เอาป้ายลง ซึ่งเธอรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เขาพูดว่าสงสารศิลปินหน่อย ตอนนั้นหนูช็อกมากแล้วคนที่ตายใน 6 ตุลา เราที่โดนคดี พี่(แบม) เขาที่โดน 112 เหมือนกัน พี่อีกคนก็โดน 112 แล้วคนที่ติดคุกโดน 112 แล้วเขายังอยู่ในคุกอะแล้วก็ยังมีเพื่อนคนอื่นในคุกเหมือนกันอะ แล้วเราต้องสงสารใคร เราต้องสงสารศิลปินใช่มั้ย แล้วเราที่โดนกระทำเพื่อนพี่น้องเราที่โดนกระทำละ”

“เราต้องพูดตามตรงว่าศิลปินมีกระบอกเสียงที่กว้างมากมีฐานเสียงแฟนคลับ แล้วทำไมถึงไม่สามารถพูดถึงปัญหาของ 112 ได้ เราไม่ได้ให้คุณพูดด้วยซ้ำ เราแค่ชูป้ายทำไมถึงไม่ได้” ทั้งนี้ตะวันก็บอกว่าไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเหตุจากตัวศิลปินเองหรือว่าเป็นที่ผู้จัดงานที่มีการทำข้อตกลงกับใครไว้หรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นก็อยากให้ศิลปินพูดปัญหาของ มาตรา 112 เหมือนกัน

“ก็อยากให้สงสารพวกเราหน่อยเถอะค่ะ อย่าให้เราสงสารพวกคุณเลย” นอกจากนั้นเธอเล่าว่าได้รู้จักกับคนที่ผ่านเหตุการณ์กราดยิงเมื่อ 6 ตุลาฯ มา เพื่อนของคนเหล่านี้ต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์แล้วเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์นี้ไปตลอดชีวิตตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่

ตะวันบอกว่าหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็เลยค่อยๆ เดินออกจากพื้นที่ถือป้ายแล้วเก็บป้าย แต่ระหว่างทางก็มีผู้จัดอีกคนขึ้นไปประกาศว่าให้ตบมือให้พวกเธอทำให้คนที่มาร่วมก็ตบมือด้วยแล้วก็มีคนที่เห็นด้วยกับพวกเธอเดินมาให้กำลังใจก็รู้สึกขอบคุณมาก

ผู้สื่อข่าวได้ถามตะวันว่านอกจากที่เวทีประกาศแล้วยังมีการให้เหตุผลอย่างไรบ้าง เธอตอบว่านอกจากบนเวทีแล้วยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาแจ้งว่ามีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ไว้แล้วถ้ายังชูป้ายต่อก็จะแสดงต่อไม่ได้ แล้วทางเจ้าหน้าที่ก็โทรศัพท์มาด้วยว่าให้เอาป้ายลง

แบมเพื่อนของตะวันที่ร่วมกิจกรรมด้วยกันเล่าเสริมว่าส่วนทางเวทีก็บอกว่าเราก็มีวิธีเล่าเรื่องของเราให้เกียรติกันหน่อย 

นอกจากนั้น แบมยังเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ถูกคนที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตทำร้ายว่า ตอนที่กำลังถือป้ายอยู่ ก็มีคนมองดู ขณะที่ไม่ทันระวังตัวก็มีชาย 2 คน วิ่งเข้ามาหาแล้วผลักดันพี่ที่ยืนข้างๆ แล้วก็มีอีกคนมากระชากแขนเธอแล้วก็บอกว่า “เอาป้ายลงดิวะ จะดูคอนเสิร์ตเว้ย” เธอเลยบอกกับคนที่มากระชากแขนว่าคุณไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายร่างกายกันคุณก็คนเราก็คน ซึ่งเธอก็ยอมรับว่ามีอารมณ์โมโหแล้วก็เจ็บใจไม่สนกันแล้วว่าใครจะมาขอยืมพื้นที่ที่คนจะมาฟังดนตรีกันในเวลาไม่นาน

“เราเห็นสายตารอบๆ มองเรา แล้วก็มีคนที่พูดออกมาว่า คุณไปใช้พื้นที่ตรงอื่นสิในการแสดงออก เราก็มีเสรีภาพเหมือนกันที่จะดูคอนเสิร์ต เราก็เลยบอกเขาไปว่าป้ายงานมันเขียนว่า 6 ตุลาฯ หวังว่าเสียงเพลงจะพาล่องไป” แบมตั้งข้อสงสัยว่าแล้วสิ่งที่พวกเธอทำกับคอนเสิร์ตที่จัดต่างกันอย่างไรทั้งที่พูดเรื่องเดียวกันและต้องการอาลัยให้กับวีรชนที่ถูกยิงตายไปเป็นเหยื่อของเผด็จการ ทำไมการแสดงคอนเสิร์ตกับการเรียกร้องเสรีภาพจะไปด้วยกันไม่ได้

“ในเมื่อคุณก็เป็นประชาชนโดนกดขี่เหมือนเรา สภาพทุกวันนี้เป็นยังไงพวกคุณก็รู้” แบมเล่าเสริมว่าความรู้สึกตอนนั้นทั้งที่อยู่ในพื้นที่แค่ไม่นานแต่ด้วยสายตาที่มองมาทำให้เกิดความรู้สึกหลายอย่างรวมถึงความรู้สึกเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงเมื่อ 6 ตุลาฯ ที่มีทั้งคนรุมมองคนถูกแขวนคอด้วยสายตาเหยียดหยามแล้วก็มีคนตายไปจริงๆ

“เราแค่อยากให้ทุกคนช่วยตระหนักถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แล้วก็การเมืองทุกวันนี้ด้วย อยากให้สนใจการเมืองกันหน่อย เราก็จะย้ำคำเดิมว่าช่วยสนใจการเมืองกันหน่อยไม่มากก็น้อย”

ทั้งนี้หลังเหตุการณ์ดังกล่าว Mob Data Thailand รายงานเพิ่มเติมว่าในเวลาประมาณ 20.00 น. ที่ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ยังมีนักกิจกรรมอีกกลุ่มมายืนถือป้ายข้อความเช่น “ยกเลิก 112” “6ตุลามีคนตาย พวกคุณลืมเขาหรือยัง” และ “46ปี 6 ตุลา คนสั่งฆ่ายังลอยนวล  พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า โหนกิจกรรมรำลึก 6 ตุลาหรือไม่ ระหว่างนี้มีการตะโกนว่า “เขาฆ่าพี่เรา”

จ๋าย ไททศมิตรยันยังไงก็ขึ้นเล่น 

อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี หรือ จ๋าย จากวงไททศมิตร โพสต์สเตตัสเฟซบุ๊กชี้แจงประเด็นที่ถูกระบุว่าถ้าไม่มีการเอาป้ายลงวงของเขากับวงค็อกเทลจะไม่ขึ้นแสดงว่า ต่อให้มีหรือไม่มีป้ายหรือป้ายจะพูดเรื่องอะไรอยู่ก็จะขึ้นแสดงเพราะที่ผ่านมาก็ทำมาตลอด และเขาไม่ได้พูดหรือขอร้องให้ทีมผู้จัดพูดในเรื่องนี้ อีกทั้งตอนที่เกิดเหตุก็เป็นช่วงที่วงอื่นเล่นยังไม่จบและเมื่อวงอื่นยังเล่นไม่จบก็ขึ้นไปแทรกไม่ได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ขึ้นแสดง

"เอาจริงเพดานสูงกว่านี้เราก็พูดมาตลอดนะ จนทุกวันนี้ก็ยังสู้อยู่ตลอด ตามคอนเสริตก็คอยให้กำลังใจและพูดเรื่องให้มันไม่หายไปเสมอ ขอให้อย่าเข้าใจเราผิด ถ้าเราพูดจริงเราก็จะยอมรับแต่โดยดีนะ แต่นี่มันไม่ใกล้เลยเพื่อน ไม่ใกล้เลย มีแค่เรื่องนึงที่เป็นเรื่องจริงก็คือ วงมีงานต่อที่ราชบุรีสแตนบายตอน 3 ทุ่ม 15 ที่โพสนี่พึ่งถึงเลย ถ้าวงที่เล่นอยู่เล่นไม่จบพวกผมก็คงไม่ได้เล่นเพราะต้องมาทำงาน อาจจะทำให้ทางผู้จัดสื่อสารผิดบอกว่าเราจะไม่ขึ้นเล่น" อิชณน์กรระบุในโพสต์ของเขา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'คนงานรังสิต'ร้อง ปธ.ศาลฎีกา ตั้งศาลแรงงานทุกจังหวัด หวังลูกจ้างเข้าถึงความยุติธรรมได้จริง

$
0
0

วันงานที่มีคุณค่า กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง ร้องประธานศาลฎีกา เรื่องขอให้พิจารณาจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดในทุกจังหวัด เพื่อเป็นการส่งเสริมลูกจ้างสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้จริง

7 ต.ค.2565 เนื่องในวันงานที่มีคุณค่า หรือ Decent work ที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) กำหนดและรณรงค์ให้มีการจ้างานที่สามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของคนได้นั้น ที่สำนักงานประธานศาลฎีกา กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง ยื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกา เรื่องขอให้พิจารณาจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดในทุกจังหวัด

โดยระบุว่าเนื่องจากศาลแรงงานจังหวัดในปัจจุบันมีอยู่จำนวนจำกัด และมีอยู่ในเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น เมื่อเกิดปัญหาการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมในจังหวัดพื้นที่ห่างไกล ส่งผลต่อการเดินทาง และไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เพื่อใเกิดความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดและยุติธรรม จึงมีความประสงค์ให้จัดให้มีศาลแรงงานขึ้นทุกจังหวัด เพื่อเป็นการส่งเสริมลูกจ้างสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้จริง

ซึ่งมีรายละเอียดตามหนังสือยื่นดังนี้ : 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เลขาฯ ครป.ชี้ 5 ประเด็น ถึงเวลาพอกันที ยกเลิกระบอบประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน

$
0
0

เมธา มาสขาว เลขาฯ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย เปิด 5 ประเด็น นำเวทีประชาชน ย้ำพอกันที 8 ปีระบอบประยุทธ์ เตรียมผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

 

7 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ว่า วันนี้ (7 ต.ค.) เครือข่าย 30 องค์กรประชาธิปไตย และภาคประชาชน จัดเวทีประชาชนแสดงพลัง "พอกันที! ยกเลิกระบอบประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน"

เมธา กล่าวว่าเปิดเวทีว่า เวทีนี้เป็นประชาชนสำแดงพลัง พอกันที! 8 ปี ยกเลิกระบอบประยุทธ์ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน โดยมี 5 ประเด็นสำคัญคือ

1. พอกันที 8 ปีประยุทธ์ ประชาชนต้องการหยุดรัฐบาลทหารกับการสืบทอดอำนาจ “รัฐราชการรวมศูนย์ที่มีกองทัพเป็นผู้นำ” สร้างการเมืองอำนาจนิยมครอบงำรัฐสภา และเศรษฐกิจทุนผูกขาดพรรคพวก ภายใต้การควบคุมบงการของ 3 นายพลอาวุโสจนเกิดการผูกขาด (Monopoly) ไปทั่วราชอาณาจักร กระทั่งการครอบงำองค์กรอิสระ

2. ระบอบประชาธิปไตยไทยไหลย้อนกลับไปสู่บรรยากาศเดือนตุลาคม 2516 และการขับไล่ 3 ทรราชในอดีต เกิดความคล้ายกันของเผด็จการ “ถนอม-ณรงค์-ประภาส” และเผด็จการ “ประยุทธ์-ประวิตร-อนุพงษ์” ที่สร้างเครือข่าย จปร.มารับใช้อำนาจของตนเอง

3. ประชาชนต้องการยกเลิกระบอบประยุทธ์ เพราะพวกเขาออกแบบและใช้รัฐธรรมนูญโดยปราศจากหลักการ รับใช้ตนเอง แต่กีดกันคนอื่น ดังตัวอย่างการบังคับใช้รัฐธรรมนูญในมาตรา 158

4. ประชาชนไม่พอใจคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ 6 เสียงที่ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผลพวงต่อเนื่องจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จัดทำร่างโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  นอกจากนี้

4.1 คำตัดสิน ไม่อ้างรายงานการประชุม กรธ. ที่ต้องนับอายุนายกฯ ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 และไม่อ้างเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไว้ 8 ปี เพื่อไม่ให้ผูกขาดอำนาจทางการเมือง 

4.2 คำตัดสิน ไม่แย้งกรณี ป.ป.ช. เคยอ้างประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อเนื่อง ไม่ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินรอบสอง

4.3 คำตัดสิน วินิจฉัย ม.264 แบบตัดตอน เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผลพวงต่อเนื่องจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จัดทำร่างโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

5. ต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน หลังล่าสุดรัฐสภาตีตกร่างแก้รัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ มี ส.ว.เพียง 14 คน ที่ ยอมตัดอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ ส.ส. จำนวน 333 คน ลงมติเห็นชอบ ตัดอำนาจ ส.ว. ยกเว้น พปชร.-ร.พ. และพรรคเล็ก ที่ผ่านมาตีตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 ไปแล้วทั้งสิ้น 24 ฉบับ รัฐสภาโหวตผ่านร่างเดียว เรื่องแก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. แต่รัฐสภาเคยรับหลักการให้มี ส.ส.ร. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร. ดังนั้นจะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ ที่จะเสนอให้มี ส.ส.ร.รอบใหม่ รวมถึงวิธีการเสนอผ่านกฎหมายการประชามติ พร้อมกันกับการเลือกตั้งทั่วไป ในคำถามให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร. น่าจะทำได้เลย ขณะที่ภาคประชาชนจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนคู่ขนานและนำเสนอต่อรัฐ ส.ส.ร. และสาธารณะ

เลขาฯ ครป. กล่าวว่า วันนี้คือเจตจำนงค์ของประชาชน ซึ่งจะแสดงผ่านการเลือกตั้งทั่วไป และข้อเสนอทางนโยบายต่อทุกสถาบันพรรคการเมือง เราไม่ต้องการรัฐทหารแบบพม่าอีกต่อไป

รายงานยังระบุด้วยว่า เครือข่ายที่ร่วมเวที นอกจากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)แล้ว ยังประกอบด้วย โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา นำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ โดย ส.ส.ร., พริษฐ์ วัชรสินธุ นำเสนอการประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต่อ ครม. รีเซ็ตประเทศไทย พร้อมการเลือกตั้ง, สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล สมาชิกราษฎร สุนี ไชยรส อดีต ส.ส.ร. 2540 สรุปบทเรียน 25 ปี รัฐธรรมนูญ 2540, จำนงค์ หนูพันธ์ ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move), ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net), สมยศ พฤกษาเกษมสุข  ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย, เยี่ยมยอด ศรีมันตะ กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย และสหภาพครูแห่งชาติ พะเยาว์ อัคฮาด  กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553 เป็นต้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1-7 ต.ค. 2565

$
0
0

วงเสวนาถอดบทเรียน แรงงานข้ามชาติถูกละเมิดสิทธิแรงงาน-ละเมิดทางเพศ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ และโครงการเพื่อหญิงย้ายถิ่นแม่สอดภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ Safe & Fair และ UN Women Thailand ได้สัมมนาเรื่อง “บทเรียนและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเข้าถึงความคุ้มครองของแรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรง”

น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธาน กสม. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า จากข้อมูล พบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกเคยประสบความรุนแรงในชีวิต ในประเทศไทย พบผู้หญิง 44% ถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือคนที่รู้จัก และ 87 % ของผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือใดๆ และมีอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แรงงานหญิงข้ามชาติเป็นกลุ่มที่เสี่ยงถูกกระทำความรุนแรง และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่าง ๆ และยิ่งมีอุปสรรคในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากปัญหาด้านภาษา และการไม่รู้สิทธิ อคติต่อแรงงานข้ามชาติ หรือสถานภาพการเข้าเมือง เป็นต้น การสัมมนาในวันนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย อันน่าจะนำไปสู่แนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานในการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่แรงงานหญิงข้ามชาติตามหลักการสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติต่อไป

นางสาวสุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน 1ในผู้ร่วมอภิปราย กล่าวว่า รัฐธรรมมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 กำหนดว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุต่างๆอาทิเชื้อชาติ สถานะของบุคคล จะกระทำมิได้ ดังนั้น สถานะการเข้าเมืองของผู้เสียหายในคดีอาญา จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาเป็นเงื่อนไขที่จำกัดการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการได้รับการเยียวยา และกล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐอเมริกามีแนวปฎิบัตืที่จะทำให้ผู้เสียหายสบายใจที่จะเช้าแจ้งความ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับสถานะการเข้าเมืองของตน ประกอบด้วย 3 Don’t ได้แก่ 1) Don’t Ask ไม่ให้ตำรวจสอบถามผูเสียหายเรื่องสถานะการเข้าเมือง 2) Don’t tell ไม่ให้ตำรวจส่งต่อข้อมูลสถานะการเข้าเมืองแก่หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง 3) Don’t Enforce ไม่ให้ตำรวจดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเมืองกับผู้เสียหาย ซึงถิอเป็นข้อท้าทายในการดำเนินการสำหรับประเทศไทย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สถิติการจับกุมคดีค้ามนุษย์ คดีความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กปี 2565 มีประมาณ 360 คดี มากกว่าการจับกุมตั้งแต่ปี 2561-2564 รวมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้ เป็นต้นไป จะเน้นทั้งการป้องกัน และการปราบปราม โดยตำรวจและ อัยการ จะทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็จะทำงานร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการเยียวยาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการตั้งศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี เพิ่มกระบวนการทำงานร่วมกันกับสหวิชาชีพ และล่ามในการคัดแยกเหยื่อด้วย โดยจะมีการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศให้ครบ 100% ภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่อบรมไปได้ 17-18 % ในช่วงท้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ตอบข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคม (NGO) ที่ต้องการให้ สตช. มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เรื่องการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องสถานะบุคคลของผู้เสียหาย ว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างร่างระเบียบ

นางกุสุมา พนอนุอุดมสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า หากเป็นผู้พักพิงอยู่ใต้ชายคาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือแรงงานต่างชาติ ถือว่าเป็นครอบครัว แรงงานข้ามชาติ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแล ดังนั้นเราจึงร่วมกับยูเอ็น จัดทำระเบียบขั้นตอนการปฏิบัติระดับชาติ เพื่อยุติและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง และแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะเหตุฉุกเฉิน ต้องได้รับการช่วยเหลือก่อนค่อยมาว่ากันเรื่องของการเข้าเมืองถูกหรือผิดกฎหมาย เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อไป

นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการดูแลสิทธิแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1111 กด 77, แอพพลิเคชั่น Justice Care และ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ซึ่งจะช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมายฟรี และน่ายินดีที่เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเห็นชอบให้จ่ายเยียวยา แก่จำเลยในคดีอาญา โดยให้จ่ายกับแรงงานข้ามชาติที่เป็นเหยื่อถูกกระทำความรุนแรงที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ และเยียวยาให้กับแรงงานข้ามชาติที่ตกเป็นแพะในคดีความ ไม่ว่าจะเข้าเมืองแบบถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมายก็ตาม และหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว จากเดิมที่ให้เฉพาะคนเข้าเมืองถูกกฎหมายเท่านั้น

นางสาวนภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยราวๆ 2.2 ล้านคน ในแง่ของการคุ้มครองสิทธิแรงงานจะมีมาตรการเชิงรุก คือลงพื้นที่ตรวจสถานประกอบการ โดยเฉพาะที่เสี่ยงจะละเมิดสิทธิแรงงาน เช่น ภาคเกษตร และประมง ปีที่ผ่านมามีการตรวจพบแรงงานข้ามชาติหญิงถูกละเมิดสิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานกว่า 2 หมื่นราย เช่น สิทธิวันหยุด วันลา ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดรับเรื่องร้องเรียนด้วย โดยไม่ดูว่าเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ หากถูกละเมิดก็จะคัดกรองระดับความเสียหาย และให้การช่วยเหลือก่อน จากนั้นค่อยว่ากันในเรื่องของความผิดหลบหนีเข้าเมือง

นพ.ปณิธาน รัตนสาลี รอง ผอ. กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดูแลรักษาแรงงานข้ามชาติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม เป็นการรักษาตามหลักสิทธิมนุษยชนไปก่อน เรื่องค่ารักษา และอื่นๆค่อยมาว่ากันทีหลัง ซึ่งเมื่อมีเคสเข้ามาจะมีเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ทำการประเมิน และระหว่างรักษาก็จะร่วมกับสหวิชาชีพในการตรวจสอบข้อมูล ว่าหากรักษาหายแล้วจะสามารถกลับเข้าไปอยู่ในครอบครัว หรือชุมชนได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำที่อาจจะรุนแรงขึ้น

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 7/10/2565

ชูมาตรการลดหย่อนภาษี 2.5 เท่า จูงใจเอกชนพัฒนาบุคลากรใน EEC

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพได้มาตรฐานรองรับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาดแรงงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 กลุ่มอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC เพื่อให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน

ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่ “มีงานทำ มีรายได้ดี สร้างสังคม EEC” โดยมีคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) เป็นกลไกลสำคัญที่ทำหน้าที่ประสาน และบูรณาการการพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ EEC อย่างใกล้ชิด และมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งร่วมผลักดันให้เกิดศูนย์เครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 14 ศูนย์

โดยมีแนวทางการพัฒนาบุคลากร 2 รูปแบบ ได้แก่

1) การผลิตบุคลากรพร้อมใช้ เอกชนร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียน 100% และรับนักศึกษาเข้าฝึกงานในสถานประกอบการ พร้อมทั้งรับเข้าทำงานด้วยอัตราเงินเดือนที่สูงกว่ามาตรฐาน (EEC Model Type A) ปัจจุบันได้ดำเนินไปแล้ว จำนวน 8,080 คน

2) การผลิตบุคลากรในระยะเร่งด่วน ด้วยการฝึกอบรมระยะสั้น Short Course เอกชนร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 50% และรัฐ 50% (EEC Model Type B) ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว จำนวน 7,927 คน และมีหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมระยะสั้น ที่สถานศึกษาจัดทำร่วมกับภาคเอกชนกว่า 100 แห่ง และผ่านการรับรองจากคณะทำงานพิจารณารับรองหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากร ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง จำนวน 169 หลักสูตร จากเป้าหมาย 200 หลักสูตร ในปี 2566

ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม สามารถนำหลักฐานไปหักภาษีเงินได้นิติบุคคล 2.5 เท่า เพื่อเป็นการจูงใจนักลงทุนให้มีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0

น.ส.รัชดา กล่าวว่า โครงการการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งเป้าเพื่อจะช่วยพัฒนาบุคลากรด้วยหลักสูตรระยะสั้น ที่ต้องการยกระดับทักษะของบุคลากร หรือนักศึกษาที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยได้ออกแบบหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 6/10/2565

ก.แรงงาน พร้อมช่วยเหลือแรงงานไทย ถูกเอาเปรียบในฟินแลนด์

วันที่ 5 ต.ค. 2565 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รับการประสานงานภายในจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีแรงงานไทย 17 คน ร้องเรียนไปยังตำรวจฟินแลนด์ว่ามีการบังคับใช้แรงงาน ให้กู้เงินจากไทย ที่พักไม่ดี และได้ค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม

ในวันนี้นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบให้ตนและคณะ มารับแรงงานไทยกลุ่มนี้ที่เดินทางกลับมากับผู้ประสาน เนื่องจากหมดฤดูกาลเก็บผลไม้ โดยถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 16.25 น. ด้วยสายการบินฟินแอร์ เที่ยวบินที่ AY 143 ซึ่งแรงงานที่ร้องเรียนมีทั้งหมด 17 คน จากจำนวนแรงงานที่เดินทางกลับมาทั้งหมด 209 คน

นายไพโรจน์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยแรงงานไทยทุกคนที่ไปทำงานในต่างประเทศ เนื่องจากแต่ละคนเป็นเสาหลักของครอบครัวและแต่ละปีมีรายได้ส่งกลับประเทศเป็นจำนวนมาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานจึงกำชับให้กรมการจัดหางาน ดูแลแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศเป็นอย่างดี พร้อมรับเรื่องร้องทุกข์ และอำนวยความสะดวกให้แก่คนงานที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศกรณีต้องการความช่วยเหลือด้วย

นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน ในฤดูกาลปี 2564 มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในประเทศฟินแลนด์ 3,201 คน มีรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่าย 110,541 บาท/คน คิดเป็นรายได้รวมก่อนหักค่าใช้จ่าย 703,832,250 บาท และเป็นรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 325,874,549 บาท มีการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าจ้าง หรือสภาพการจ้างการทำงาน 70 ราย คิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์จากผู้ที่เดินทางไปทำงานในฟินแลนด์ทั้งหมด ซึ่งกรมการจัดหางานได้แก้ไขปัญหาเสร็จทุกรายแล้ว สำหรับฤดูกาลปี 2565 แรงงานไทยเดินทางไปทำงานในฟินแลนด์ 3,966 คน เดินทางกลับมาแล้ว 1,666 คน ซึ่งพบว่ายังไม่มีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียน

กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน พยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มความคุ้มครองให้แก่แรงงานไทยที่จะไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ ทั้งในด้านรายได้และสวัสดิการต่างๆ ที่แรงงานไทยจะได้รับ โดยผลักดันให้ฟินแลนด์ ให้ความคุ้มครองแรงงานไทยแบบ Seasonal Worker เนื่องจากในปัจจุบันแรงงานไทยยังคงเดินทางไปทำงานด้วยวีซ่าประเภทท่องเที่ยว

ล่าสุด รมว.แรงงาน ได้นำคณะไปตรวจเยี่ยมแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์ และสวีเดน ระหว่างวันที่ 3-13 ก.ย. 2565 โดยเข้าเยี่ยมคารวะ นางตูล่า ฮาไตเนน รมว.การจ้างงานแห่งกระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงานสาธารณรัฐฟินแลนด์ เพื่อหารือประเด็นการผลักดันให้การเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ของแรงงานไทย ถูกต้องตามหลักมาตรฐานการจ้างงานสากล ผลักดันให้แรงงานไทยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ รวมทั้งผลักดันให้นายจ้างทั้งในไทยและฟินแลนด์จัดสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ อันพึงมีพึงได้ให้แก่แรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์

อย่างไรก็ดี กระทรวงแรงงานได้จัดทำมาตรการเดินทางไปทำงานในฟินแลนด์ ฤดูกาลปี 2022 โดยดูแลแรงงานตั้งแต่ก่อนเดินทาง ขณะทำงานอยู่ในต่างประเทศ และเมื่อกลับถึงประเทศไทย ดังนี้

1.มาตรการก่อนการเดินทางไปทำงาน กรมการจัดหางาน ได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการให้ความคุ้มครองแรงงานไทย โดยจัดทำมาตรการเดินทางไปทำงานในฟินแลนด์ ฤดูกาลปี 2022 ให้บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่า/บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทย ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการ เช่น จัดทำประกันการเดินทาง และต้องประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยไม่ต่ำกว่า 30,240 บาท โดยวางหลักประกันการเดินทาง (Bank Guarantee) ณ ธนาคาร ธกส. นอกจากนั้น ยังกำหนดมาตรการเกี่ยวกับสวัสดิการ เช่น การจัดเตรียมที่พักไม่เกิน 6 คน/ห้อง ห้องน้ำสำหรับแต่ละห้องพัก รถสำหรับเดินทางไปเก็บผลไม้คันละไม่เกิน 6 คน เป็นต้น

2.มาตรการคุ้มครองคนงานในระหว่างทำงานอยู่ในต่างประเทศ กรมการจัดหางานได้ประสานความร่วมมือประสานสถานทูต บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าในฟินแลนด์ และบริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทย ในการให้ความช่วยเหลือ ดูแล แรงงานไทยในระหว่างทำงานอยู่ในประเทศฟินแลนด์ และ 3.มาตรการหลังจากเดินทางกลับถึงไทย มีการหารือร่วมกันระหว่าง กรมการจัดหางาน ตัวแทนผู้รับซื้อ ผู้ประสานงาน และผู้แทนลูกจ้างเพื่อทราบปัญหา อุปสรรค ที่เกิดขึ้น โดยนำไปพิจารณาแนวทางดำเนินการในฤดูกาลถัดไป

นอกจากนี้ กรมการจัดหางานยังได้ดำเนินการสั่งการไปยังสำนักงานจัดหางานจังหวัด/สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 เพื่อสำรวจสภาพความเป็นอยู่ รายได้ และความพึงพอใจในกระบวนการเดินทางไปทำงาน รวมถึงรับคำร้อง ในกรณีที่แรงงานได้รับค่าจ้างต่ำกว่าที่ประกันรายได้ไว้ เพื่อดำเนินการหักจากหลักประกันต่อไป

ซึ่งจากข้อมูลของกรมการจัดหางานที่ได้สำรวจข้อมูลความพึงพอใจในการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์จากผู้ประสานงานฝ่ายไทยที่จัดส่งแรงงานไทยไป 300 คน ปรากฏว่า แรงงานแต่ละคนมีรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือ จำนวน 104,000 บาทต่อคน รายได้ต่ำสุดสำหรับแรงงานที่ไปทำงานครั้งแรก จำนวน 44,000 บาท และรายได้สูงสุดจำนวน 280,000 บาท ซึ่งแรงงานไทยมีความพึงพอใจและประสงค์ที่จะเดินทางไปทำงานในปีถัดไปอีกด้วย

“กรมการจัดหางานขอยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในทุกมิติ เพื่อให้การดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในตางประเทศ ให้ได้รับค่าจ้าง สิทธิ สวัสดิการ อย่างครบถ้วน ตามนโยบายของรมว.แรงงาน สำหรับกรณีที่มีแรงงานร้องเรียนนั้น กรมการจัดหางาน จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงจากแรงงานที่เดินทางกลับมาในวันนี้เพื่อจะรวบรวมข้อมูลหาแนวทางช่วยเหลือตามขั้นตอนต่อไป” นายไพโรจน์ กล่าว

ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ทางโทรศัพท์หมายเลข 02-245-0978 และ 02-245-9430 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

ที่มา: ข่าวสด, 5/10/2565

ฟินแลนด์จับประธานบริษัทเก็บเบอร์รี่ ฐานค้ามนุษย์แรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า

ไม่นานหลังแรงงานไทยราว 10 คน เดินทางกลับจากฟินแลนด์ หลังร้องขอความช่วยเหลือ ถูกค้ามนุษย์ไปเก็บเบอร์รี่ป่า แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ตอนนี้ ตำรวจฟินแลนด์เคลื่อนไหว จับกุมประธานบริษัทเบอร์รี่รายหนึ่ง และคนไทยที่เป็นนายหน้านำเข้าแรงงานไทยแล้ว

ตำรวจฟินแลนด์ได้ควบคุมตัวนาย จุกกา คริสโต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท โพลาริกาออย (Polalica Oy) บริษัทเบอร์รี่ ฐานต้องสงสัยค้ามนุษย์ และเตรียมนำขึ้นศาลแขวงสุดสัปดาห์นี้

สื่อฟินแลนด์คือ วายแอลอี นิวส์, เอสวีที, และอีกหลายสำนัก รายงานตรงกันว่า นายคริสโตดำเนินการนำแรงงานไทยมาฟินแลนด์ เพื่อเก็บเบอร์รี่ตามฤดูกาลมาหลายปีแล้ว

สำนักงานสืบสวนแห่งชาติฟินแลนด์ หรือ เอ็นบีไอ และตำรวจพิทักษ์ชายแดนฟินแลนด์ ยืนยันว่า ได้ดำเนินการสืบสวนนายคริสโต ฐานค้ามนุษย์แล้ว แม้ว่าทางบริษัท โพลาริกา จะออกแถลงการณ์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ รวมถึงข้อหาทางอาญาอื่น ๆ ต่อนายคริสโต

ทางบริษัทยืนยันว่า ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเก็บเบอร์รี่โดยแรงงานต่างชาติมาโดยตลอด รวมถึงได้ประสานกับทางการไทย เพื่อพัฒนาระบบจัดจ้างแรงงานเพื่อเก็บเบอร์รี่อย่าง “มีความรับผิดชอบ” พร้อมยืนยันว่า การสืบสวนคดีดังกล่าว จะไม่กระทบกับการปฏิบัติงานของทางบริษัทแต่อย่างใด

บริษัท โพลาริกาออย นำเข้าแรงงานไทยเพื่อมาเก็บเบอร์รี่ในฟินแลนด์ ปีนี้มากถึง 1,100 คน

สำนักข่าวเดอะ รีพอร์ตเตอร์ รายงานว่า นอกเหนือจากนายคริสตาแล้ว มีคนไทยอีก 1 รายถูกจับกุมด้วย ฐานค้ามนุษย์แรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า ทราบชื่อว่า น.ส.กัลยากร พงษ์พิศ ของบริษัทที่ประสานงานแรงงานไทยมาเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์

มีรายงานด้วยว่าตำรวจฟินแลนด์ ได้ช่วยเหลือแรงงานไทยอีก 46 คน อยู่ระหว่างการสอบสวนในที่ปลอดภัยแล้ว

นี่ถือเป็นคดีใหญ่ของตำรวจฟินแลนด์ ที่ขยายผลมาจากการสอบสวนการค้ามนุษย์ ที่นำแรงงานไทยมาเก็บผลไม้ป่าระหว่างปี 2563-2565 พุ่งเป้าไปที่บริษัทในพื้นที่ทางเหนือของประเทศ และบริษัทนายหน้าไทย ที่รับสมัครคนงานไปเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์

ที่มา: BBC Thai, 5/10/2565

"กองทุนเงินทดแทน"เปิด 4 อันดับ กิจการ เสี่ยงอันตรายเนื่องจากทำงานมากสุด

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยข้อมูล โดยทาง "กองทุนเงินทดแทน"ได้เปิดสถิติประเภทกิจการที่ เสี่ยงอันตราย เนื่องจากการทำงานมากที่สุด 4 อันดับ พร้อมเปิดเผยจำนวนการประสบ อันตราย หรือ เจ็บป่วย จากประเภทกิจการที่เสี่ยงอันตรายเนื่องจากการทำงานมากที่สุด 4 อันดับสูงสุดในปี 2564 ซึ่งพบว่า อาชีพ ก่อสร้างอาคาร เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงเป็นอันดับ 1 โดยมีอาชีพอื่นๆ ดังนี้

1️. ก่อสร้างอาคาร (4,516 ราย) ร้อยละ 5.77

2️. ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ (2,014 ราย) ร้อยละ 2.57

3️. การกลึงกัดไสโลหะ (1,623 ราย) ร้อยละ 2.07

4️. ก่อสร้างถนน สะพาน และอุโมงค์ (1,481 ราย) ร้อยละ 1.89

5 จังหวัดที่มีจำนวนการประสบ อันตราย หรือ เจ็บป่วย เนื่องจากการทำงานสูงสุด

1️. กรุงเทพมหานคร จำนวน 18,445 ราย (ร้อยละ 23.57)

2️. สมุทรปราการ จำนวน 9,191 ราย (ร้อยละ 11.75)

3️. ชลบุรี จำนวน 5,977 ราย (ร้อยละ 7.64)

4️. สมุทรสาคร จำนวน 5,916 ราย (ร้อยละ 7.56)

5️. ปทุมธานี จำนวน 3,869 ราย (ร้อยละ 4.94)

สรุป จังหวัด ที่มีจำนวนการประสบ อันตราย สูงสุด ในประเภทกิจการที่มีความเสี่ยงสูง

1️. ประเภทกิจการ ก่อสร้างอาคาร กรุงเทพมหานคร 1,835 ราย (40.63%)

2️. ประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ สมุทรปราการ 516 ราย (25.62%)

3️. ประเภทกิจการการกลึงกัดไสโลหะ สมุทรปราการ 487 ราย (30.01%)

4️. ประเภทกิจการก่อสร้างถนน สะพานและอุโมงค์ กรุงเทพมหานคร 572 ราย (38.62%)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประกันสังคม ได้ที่ www.sso.go.thหรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: สำนักงานประกันสังคม, 4/10/2565

ก.แรงงาน จับมือ บมจ.กสิกร หนุนจ้างงานคนพิการเชิงสังคม สร้างโอกาส ให้อาชีพ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ คุณสุนันท์ ศิริอักษร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย และคณะ ที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือเกี่ยวกับโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 2566 เพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุชาติ กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจของกระทรวงแรงงาน เราได้เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการ จัดทำโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม โดยประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการที่เคยใช้สิทธิตามมาตรา 34 ในการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้เปลี่ยนมาให้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทการจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับคนพิการโดยตรง เพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน โดยคนพิการสามารถปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่นสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนใกล้บ้าน เช่น หน่วยงานราชการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์บริการคนพิการท้องถิ่น เทศบาลองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น โดยปีงบประมาณ 2566 กระทรวงแรงงานกำหนดเป้าหมายที่จะขยายการมีงานทำให้คนพิการตามโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้น 20% จำนวน 1,800 คน

"ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสและส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของคนพิการอย่างยั่งยืนและครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความเสมอภาคอย่างยั่งยืน ด้วยการผลักดันและขับเคลื่อนให้คนพิการมีงานทำ สร้างอาชีพ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนพิการ"นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านคุณสุนันท์ ศิริอักษรผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายไว้ 1,000 คน โดยผลการดำเนินงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการ ร่วมโครงการ จำนวน 1,499 คน ปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่น สาธารณะประโยชน์ 1,032 แห่ง ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 9,520.4 บาท/คน = 114,245 บาท/ปี/คน ก่อให้เกิดมูลค่าการจ้างงาน จำนวน171,253,255 บาท/ปี ทั้งนี้บริษัท ธนาคารกสิกรไทย ได้ให้ความร่วมมือเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 2565 จำนวน 163 คน (ร้อยละ10.37) ก่อให้เกิดรายได้กับคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ จำนวน 18,621 935 บาท/ปีซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของนายจ้าง สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยมอบหมายให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ปฏิบัติงานสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ เช่นสำนักงานกิ่งกาชาด กาชาดจังหวัด เป็นต้น อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้สนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ จำนวน 26 ราย จากการให้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทช่วยเหลืออื่นใด และเนื่องจากโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 2566 มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จำนวน 1,800 คน ทางธนาคารกสิกรไทยก็มีความยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการและพร้อมสนับสนุนการจ้างงานคนพิการเพิ่มขึ้น

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 4/10/2565

‘สภาองค์การลูกจ้างฯ’ ขอรัฐบาลจัดสรรงบว่าจ้าง ‘พนง.ราชการเฉพาะกิจ’ ต่ออีก 1 ปี

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2565 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผ่านนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยขอให้รัฐบาลได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจ้างงานพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา ต่อไปอีก 1 ปี

"ด้วย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) และสมาพันธ์แรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย (สฮปท.) ได้รับแจ้งจากฝ่ายเลขานุการกรรมการบริหารพนักงานราชการสำนักงาน ก.พ กรณีการติดตามความคืบหน้ากรณีขอให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 1 ปี ในระดับปริญญาตรีจำนวน 10,000 อัตรา

โดยแจ้งว่าตามมติรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการจัดสรรกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉเพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID 19) ได้สิ้นสุดระยะเวลาของกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเฉพาะกิจไว้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 ดังนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้าง จึงต้องดำเนินการให้เป็นตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว นั้น

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID 19) แม้จะลดน้อยลงก็ตาม แต่ยังไม่ได้หมดไปอย่างสิ้นเชิง และเมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้าง (เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565) ลูกจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจกลุ่มนี้ยังไม่สามารถหางานทำใหม่ได้ เพราะเหตุที่สถานประกอบการของภาคเอกชนต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID 19) เช่นกัน

สภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว สถานประกอบการไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามสภาวะปกติ ยังไม่ต้องการจ้างกำลังคนหรือคนงานเข้าทำงาน แต่เนื่องจากบางหน่วยงานราชการยังมีความจำเป็นที่จะต้องการกรอบอัตรากำลังในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแล และอำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งสามารถช่วยเหลือแบ่งเบางานของเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานอยู่เป็นประจำที่มีจำนวนมาก

และหากภาครัฐมีการจ้างงานต่อก็จะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีที่อยู่ในวัยกำลังทำงานส่วนหนึ่ง โดยไม่ต้องตกงานทำให้มีรายได้มาช่วยเหลือตนเองและครอบครัว ช่วยให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจลดอัตราการว่างงานลงได้

ดังนั้น สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงานแห่งประเทศไทย (สพท.) เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) และสมาพันธ์แพงงานชอนคำาแห่งประเทศไทย (สอปท.) ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาจัดสรรบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม ให้มีการจ้างงานพนักงานราชการเฉพาะกิจ 1 ปี ในระดับปริญญาตรีจำนวน 10,000 อัตรา ตามหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่ต้องการตามกรอบอัตรากำลังและกลไกการบริหารจัดการพนักงานราชการเฉพาะกิจต่อไป” หนังสือระบุ

นายมนัส กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานราชการหลายแห่งยังมีความจำเป็นต้องจ้างงานพนักงานราชการเฉพาะกิจอยู่ ประกอบกับหน่วยงานเองก็มีงบประมาณที่จะดำเนินการอยู่แล้ว ตนจึงขอให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานราชการต่างๆ พิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อว่าจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจในหน่วยงานนั้นๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกจ้าง ซึ่งเคยเป็นพนักงานราชการเฉพาะกิจประมาณ 5,000-8,000 คน ที่ยังหางานทำไม่ได้

ที่มา: สำนักข่าวอิศรา, 4/10/2565

ก.แรงงาน เยี่ยมผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทย สถานประกอบการในญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางสาวสดุดี กิตติสุวรรณ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจแรงงานไทยจำนวน 35 คน ณ บริษัท Kanemi สาขามัสซึโดะ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมี นายอากิโยชิ โชโนเบะ ประธานบริษัท คาเนมิ และคณะผู้บริหารบริษัท Kanemi และองค์กร Aifamily Cooperative Society ซึ่งเป็นองค์กรที่รับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค ให้การต้อนรับ

สำหรับบริษัท Kanemi เป็นสถานประกอบการกิจการประเภทผลิตอาหารพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจการขายภายนอก ที่ผลิตและจัดส่งผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับร้านสะดวกซื้อ และรับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแบบบริการส่งถึงบ้านให้กับสหกรณ์ผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค โดยบริษัท Kanemi Foods Co., Ltd. เริ่มรับผู้ฝึกปฏิบัติงานต่างชาติครั้งแรกในปี 2556

ปัจจุบัน มีผู้ฝึกปฏิบัติงาน จำนวนทั้งสิ้น 781 คน ฝึกปฏิบัติงานในโรงงานที่เป็นสาขาย่อย 12 แห่งทั่วประเทศ โดยสาขาอำเภอมัสซึโดะ รับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค จำนวน 35 คน สำหรับแรงงานทักษะเฉพาะ บริษัท Kanemi Foods Co., Ltd. เริ่มรับแรงงานทักษะเฉพาะในปี 2563 และข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 2565 มีแรงงานทักษะเฉพาะทั้งสิ้น 13 คน

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านกำกับดูแล กระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยรวมทั้งผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคทุกคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ ที่เสียสละทุ่มเททำงานเพื่อนำความรู้และรายได้ไปพัฒนาประเทศและยกระดับฐานะของครอบครัว

ในวันนี้ท่านจึงมอบหมายให้ผมและคณะมาตรวจเยี่ยมพบปะพูดคุยและมอบของที่ระลึกเป็นขวัญกำลังใจกับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนายจ้างบริษัท Kanemi Foods Co., Ltd. ซึ่งพบว่าทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งได้ให้โอวาทแก่ผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจด้วย

"ขอขอบคุณบริษัท Kanemi Foods Co., Ltd. ที่เปิดโอกาสให้ได้มาพบปะพูดคุยและต้อนรับอย่างอบอุ่น และขอบคุณที่ให้ความสนใจรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และให้การดูแลผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคเป็นอย่างดี รวมทั้งขอให้พิจารณาเพิ่มการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค/แรงงานทักษะเฉพาะชาวไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศภายหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบของทั้งญี่ปุ่นและไทย"

"ซึ่งจากการพูดนายจ้างซึ่งมีความพึงพอใจและชื่นชมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยที่มีความขยันหมั่นเพียร เชื่อฟังคำสั่ง มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ำใจ เรียนรู้งานได้รวดเร็ว มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถหลากหลาย"นายสุชาติ กล่าวท้ายสุด

ด้าน นายอากิโยชิ โชโนเบะ ประธานบริษัท คาเนมิ กล่าวว่า บริษัทมีความต้องการผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยเพิ่ม เนื่องจาก แรงงานไทย มีทักษะฝีมือดี ขยันทำงาน และเรียนรู้เร็ว ส่วนเรื่องภาษาญี่ปุ่นนั้น ผู้ฝึกปฏิบัติงานแต่ละคนก็มีความพยายามเรียนรู้ภาษา และจะมีรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำ ขณะที่บริษัทเองจะคอยสนับสนุนความช่วยเหลือในทุกๆ ด้านเช่นกัน

ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ, 2/10/2565

กรุงเทพโพลล์แรงงาน 50.2% ดีใจปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

“กรุงเทพโพลล์” มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงาน เรื่อง “ชีวิตแรงงานไทยวันนี้กับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5%” เนื่องในโอกาสวันที่ 1 ต.ค.2565 จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใช้แรงงานที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 9 เขต จากทั้งหมด 50 เขต แบ่งเป็นเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ได้แก่ บางเขน, บางแค, บางกะปิ, ประเวศ, มีนบุรี, วังทองหลาง, สายไหม, หนองแขม, หลักสี่ และปริมณฑล 3 จังหวัด

นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ จำนวน 632 คน ระหว่างวันที่ 21-27 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ร้อยละ 60.9 ทราบข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่ร้อยละ 39.1 ไม่ทราบ

ทั้งนี้ แรงงานร้อยละ 50.2 รู้สึกดีใจกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 328 – 354 บาท/วัน และหวังว่าจะขึ้นทุกปี ขณะที่ร้อยละ 25.9 รู้สึกแย่ เพราะค่าแรงขึ้นไม่เท่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก ส่วนร้อยละ 23.9 รู้สึกเฉยๆ เพราะ ขึ้นไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น

ส่วนเรื่องที่กังวลมากที่สุดกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคือ ร้อยละ 22.0 กลัวโดนลดจำนวนวันทำงานลง ทำให้รายได้ลด ร้อยละ 18.2 กลัวหางานได้ยากขึ้น และ ร้อยละ 17.6 กลัวตกงาน ต้องหางานใหม่

สำหรับความหวังที่อยากบอกกับนายจ้างมากที่สุด ร้อยละ 36.0 อยากให้เพิ่มเงินรายวันให้มากขึ้น, ร้อยละ 23.7 อยากให้มีงานจ้างทุกวัน, ร้อยละ 10.6 อยากให้เพิ่มสวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล ส่วนเรื่อง ที่อยากขอจากรัฐบาล ร้อยละ 75.8 อยากให้ช่วยแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง ช่วยลดค่าครองชีพ, ร้อยละ 41.9 อยากให้มีการขึ้นแรงงานขั้นต่ำในทุกๆปี และร้อยละ 27.2 อยากให้มีสวัสดิการต่างๆ ที่ดีขึ้น

สุดท้ายเมื่อถามว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านเป็นอย่างไร ร้อยละ 50.5 เห็นว่าเหมือนเดิม ร้อยละ 44.0 เห็นว่าจะดีขึ้น ขณะที่มีเพียงร้อยละ 5.5 ที่เห็นว่าจะแย่ลง

ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 1/10/2565

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เพื่อไทย'เตรียมเปิดนโยบายแลนด์สไลด์ 9 ตุลาฯ นี้ - ฟื้น ‘ทำสงครามกับยาเสพติด’ 

$
0
0
  • 'เพื่อไทย'เตรียมเปิดนโยบาย เพื่อชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ 9 ตุลาฯ นี้
  • ประกาศฟื้นนโยบาย ‘ทำสงครามกับยาเสพติด’ ขจัดให้สิ้นจากสังคมไทย พร้อมปรับวิธีการให้ดีขึ้น  ชี้ถึงเวลาทบทวนครอบครองอาวุธปืน เข้มงวดรับบุคลากรเข้าสู่หน่วยงานที่ใช้อาวุธ
  • เตรียมยื่นเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเสนอญัตติด่วน กรณีเหตุการณ์หนองบัวลำภู หลังลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้สูญเสีย  ‘ประเสริฐ’ ชี้หากรัฐบาลสนใจปัญหา คงไม่เกิดเหตุเศร้าสลดนี้ 

 

7 ต.ค.2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานต่อสื่อมวลชนว่า พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย และ ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค และรองเลขานุการคณะนโยบายพรรคเพื่อไทย แถลงความพร้อมการเปิด ‘นโยบายมุ่งชนะแบบแลนด์สไลด์’ เพื่อไทย เพื่อคนไทยทุกคน ที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2565 เวลา 10.30-11.30 น. ห้อง ThinkLab ชั้น 1 พรรคเพื่อไทย

พรหมินทร์ กล่าวว่า การชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ จะเป็นก้าวแรกของการทวงคืนประชาธิปไตยให้กับฝ่ายประชาชน เพื่อไทยตั้งเป้าคว้าชัยชนะเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ คือ 250 เสียง เพื่อเป็นหลักประกันจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยพรรคเพื่อไทยขออาสาเป็นแกนนำ ขอประชาชนไว้วางไว้ใจเพื่อไทย ว่าเราจะทวงคืนอำนาจประชาชนกลับคืนมาด้วยยุทธศาสตร์ ‘3 ปัจจัย เพื่อชัยชนะแบบแลนด์สไลด์’ ดังนี้ (1) เสนอผู้แทนราษฎรที่ใกล้ชิดประชาชน ตอนนี้เราได้เริ่มเปิดตัวผู้สมัคร ซึ่งคัดเลือกแล้วว่าเข้าถึงพื้นที่ เข้าใจประชาชน และตลอดมา ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย เราก็ได้จำนวนผู้แทนมากที่สุด  (2) เสนอนโยบายที่สร้างความหวัง ชี้ทางออกพ้นวิกฤต มุ่งสู่แลนด์สไลด์ และ (3) มีผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี 3 ท่าน เพื่อแสดงความพร้อมในการนำพาประเทศ บริหารตามทิศทางนโยบาย

ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย เราได้ทำงาน รับฟัง และระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ในสภาวะการณ์นี้ เสมือนเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงขอประกาศให้ประชาชนทราบว่า การประกาศนโยบายมุ่งสู่แลนด์สไลด์ในชุดแรกนี้ มีผู้นำเสนอประกอบด้วย ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานด้านการขจัดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส. พรรค และประธานคณะทำงานด้านวางระบบเกษตรกรรม เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และคณะทำงานด้านยกเครื่องเศรษฐกิจ ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค และประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะทำงานด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม

“นโยบายของเพื่อไทย จะเป็นไปเพื่อชี้หนทาง แก้ปัญหาด้วยวิธีการที่แตกต่าง ที่ผ่านมาเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล ก็ได้ทำงานสร้างสุข พาประชาชนพ้นทุกข์ยาก สร้างสังคมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เชื่อว่าผลงานในอดีต จะเป็นหลักประกันให้ประชาชนเชื่อมั่นเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าเราคิดได้ ชี้ทางถูก และทำได้จริง ขอเชิญร่วมรับฟังการเปิดตัวนโยบาย 9 ตุลาคมนี้” พรหมินทร์ กล่าว

พรรคเพื่อไทย ประกาศฟื้นนโยบาย ‘ทำสงครามกับยาเสพติด’ ขจัดให้สิ้นจากสังคมไทย พร้อมปรับวิธีการให้ดีขึ้น  ชี้ถึงเวลาทบทวนครอบครองอาวุธปืน เข้มงวดรับบุคลากรเข้าสู่หน่วยงานที่ใช้อาวุธ

ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้สูญเสีย จากเหตุการณ์เศร้าสลดที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู มีผู้เสียชีวิต 38 ราย ขอวิญญาณผู้เสียชีวิตเดินทางไปสู่สัมปรายภพ  จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยได้ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด  ยืนยันว่ายาเสพติด คือบ่อนทำลายประเทศ   

พรรคเพื่อไทยจึงขอประกาศฟื้นนโยบาย ‘ทำสงครามกับยาเสพติด’  โดยยินดีที่จะปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่องในอดีต  เพื่อขจัดยาเสพติดให้สิ้นไปจากสังคมไทย  จะเอาจริงเอาจัง ไม่ปล่อยปละละเลยให้เเยาวชนกลายเป็นหนูทดลองยา  คืนลูกหลานสู่สังคม  และจะทำทุกวิถีทางที่จะดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้ประเทศไทยออกจากวิกฤตยาเสพติดให้ได้ 

สำหรับกระบวนการหลังจากนี้  รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรม  ต้องเร่งรัดกระบวนการเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสีย ต้องได้รับการเยียวยาจากการเสียชีวิต ค่าเลี้ยงดูและค่าปลงศพ รวมประมาณ 110,000 บาทต่อราย และต้องเร่งเยียวยาสภาพจิตใจ  ขวัญและกำลังใจของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย 

พรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องให้ ‘หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ หาแนวทางการแก้ไขปัญหา 4 ประเด็น ได้แก่ 

1.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีกำลังพลที่ถืออาวุธต้องให้ความสำคัญ ใส่ใจ ดูรายละเอียด หาสาเหตุของปัญหา และหาแรงจูงใจ กำหนดเป็นมาตรการแก้ไขออกมา 

2.มาตรการการคัดเลือกบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานที่สามารถครอบครองอาวุธ ต้องไม่มีความเสี่ยงในการก่อเหตุรุนแรง ต้องมีระบบประเมินสภาพทางจิตและสภาพแวดล้อมว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการก่อเหตุความรุนแรง   

3.สภาพแวดล้อมการทำงาน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะก่อเหตุร้าย หน่วยงานเหล่านี้ต้องไปพิจารณาปัจจัยเหตุเสริมและปัจจัยที่เอื้อต่อการก่อเหตุ

4.มาตรการระงับยับยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีกระบวนการแจ้งเหตุเตือนภัย ต้องวางโครงข่ายให้หมด อย่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ใน อบต .ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องวางระบบการเตือนภัยอย่างเข้มงวด 

ชลน่าน กล่าวอีกว่า จาก 8 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นชัดแจ้งอย่างน้อย 2 ครั้งมีผู้สูญเสียจำนวนมาก  พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหา  เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก  จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

1.ประกาศให้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียน เพื่อศึกษาถึงปัญหา สภาพ จิตใจ แรงจูงใจ วิธีการแก้ปัญหา และแนวทางปฏิบัติ  เพื่อหาทางแก้ปัญหาระยะสั้น  ระยะกลาง  และระยะยาว

2.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องในหลายมิติ ทั้งมิติในเชิงสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการติดตามเข้าไปช่วยเหลือ ดูแล ปัญหาอย่างต่อเนื่อง  โดยวานนี้ ส.ส.เขตพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู  ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ และครอบครัวผู้เสียชีวิตตลอดคืนที่ผ่านมา  รวมถึงในวันนี้ด้วย พร้อมนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฏร และคณะกรรมาธิการตำรวจ เพื่อทางแนวป้องกันปัญหา การชดเชยเยียวยา รวมทั้งดูแลสภาพจิตใจครอบครัวผู้สูญเสียด้วย 

ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุถูกไล่ออกจากราชการ  เพราะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการจงใจที่จะก่อเหตุอาชญากรรมร้ายแรงที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนในระดับโลก พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายด้าน ได้แก่

1.ยาเสพติด นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดนี้มีข้อผิดพลาดบกพร่อง มาตรการปราบปรามเสมือนว่ามีตัวเลขรายงานการจับกุมและยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องได้มากมาย แต่มาตรการป้องกันไม่ค่อยชัดแจ้ง  เพียงแต่ทราบว่ามียาเสพติดระบาดทุกหนแห่ง ยาบ้า 4 เม็ดร้อย พบเห็นในทุกส่วนของทุกภูมิภาคของประเทศไทย  ทั้งนี้จากการตรวจสอบว่ายาบ้ามีการแข่งกันผลิต 7 โรงงาน โดยรอบชายแดนประเทศ มีการใช้ความรู้ทางเคมีผลิตสารตั้งต้นออกฤทธิ์คล้ายอีฟีดีน ซึ่งต้นทุนต่ำเม็ดละ 7 บาท จำหน่ายเม็ดละ 20 บาท

2.รัฐบาลนี้ประกาศว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย ต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟู แต่ในข้อเท็จจริงกระบวนการฟื้นฟูหละหลวม  ผู้ป่วยไม่ได้รับการฟื้นฟูที่ดีพอ จนมีปัญหาสภาพจิตใจ  มีสภาพหลอนคุ้มคลั่งโดยเฉพาะผู้เสพเป็นระยะเวลายาวนาน  ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้คาดว่าเสพยายาวนาน สภาพจิตใจไม่ปกติ ส่งผลต่อการกระทำรุนแรงมีความเคียดแค้นชิงชังอย่างหนักหนาสาหัส  

3.เรียกร้องให้รัฐบาลมีระบบการบัดบัด รักษาผู้ติดยาเสพติดอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมาไม่มีสถานบำบัด ฟื้นฟู อย่างเข้มงวดจริงจัง  จึงเรียกร้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เจ้ากระทรวงให้เร่งแก้ปัญหานี้  ต้องเอาผู้เสพไปดูแล บำบัด รักษา ควบคุมพฤติกรรม  เช่น กรณีกัญชาเสรี ที่สังคมเข้าใจว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด  ทั้งที่เป็นพืชที่มีสารเสพติดที่ต้องมีการควบคุมการใช้ 

4.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของผู้ที่มีอาวุธประจำกาย ดังนั้นการครอบครองอาวุธปืนในไทยต้องมีการทบทวน ใครต้องถือครอง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ครอบครองอาวุธปืนถูกกฎหมาย มาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐกรณีที่ถูกไล่ออกจากราชการต้องมีมาตรการรองรับอย่างเข้มข้น และต้องมีมาตรการรองรับ โดยต้องมีการประเมินสภาพจิตใจด้วย เช่น กรณีกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ที่คับแค้น หรือเมื่อครั้งที่ตนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล จ.น่าน มีตำรวจนายหนึ่งถูกย้ายจากภาคใต้มาที่ จ.น่าน ด้วยประพฤติไม่เหมาะสมในทางราชการ  เกิดอาการคุ้มคลั่งจี้และยิงประชาชนบาดเจ็บสาหัส  เป็นตัวอย่างของการลงโทษข้าราชการโดยไม่มีมาตราการรอบรับ

5.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่าสังคมไทย เป็นสังคมที่มีภาวะกดทับ และภาวะกดดันอย่างมากมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก มีอารมณ์ร้อน จากการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนถูกขับไล่ออกจากระบบการศึกษา  จากยาเสพติดและการก่อความวุ่นวาย ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก  จึงจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ทีมนโยบายเพื่อไทย เพื่อหาทางนำเด็กและเยาวชนที่ถูกผลักออกจากระบบการศึกษา เข้าสู่ภาวะปกติ  และต้องมีวิธีการฟื้นฟูดูแลสภาพจิตใจ

ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ไม่ใช่ครั้งแรกที่การใช้ความรุนแรงเกิดจากคนที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีอาวุธปืนในครอบครอง อย่างน้อย 4 กรณี ทั้งเหตุการณ์ทหารคลั่งก่อเหตุกราดยิงที่โคราช มีผู้เสียชีวิต 31 ราย ทหารคลั่งกราดยิงที่โรงพยาบาลสนาม ผู้เสียชีวิต 2 ราย ทหารคลั่งกราดยิงสนค่ายทหาร มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และล่าสุดกับเหตุการณ์ในวันนี้ ที่นายตำรวจคลั่งกราดยิงศูนย์เด็กเล็ก จนทำให้เด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ต้องจากโลกนี้ไปวัยอันควร

ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า กรณีล่าสุดนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการปัญหาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  ใน 2 ประเด็น ได้แก่

1.ปัญหายาเสพติดระบาดหนัก และการปราบปรามที่ล้มเหลว  :  พรรคเพื่อไทยได้เตือนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาโดยตลอด  โดยชี้ให้เห็นถึงสาเหตุและทางออก ในการจัดการปัญหายาเสพติด แต่พลเอกประยุทธ์ไม่เปิดใจรับฟัง  จนทำให้ตัวเลขการจัดการปัญหายาเสพติดยังพุ่งสูงขึ้น  เช่น จำนวนผู้ถูกจับกุมจากปัญหายาเสพติดที่ในปี 2564 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 349,511 คน มากกว่าปี 2563 กว่าเท่าตัว ตัวเลขเหล่านี้ คือเครื่องยืนยันถึงความละเลย และไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์  และยิ่งตอกย้ำชัดเจน เมื่อผู้ก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ เคยรับราชการตำรวจและถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะพัวพันปัญหายาเสพติด ทั้งหมดสะท้อนว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่มากของสังคมไทยในขณะนี้  ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งควรเป็นผู้จับกุม ผู้ปราบปราม แต่กลับกลายทั้งผู้เสพเสียเอง

2.การครอบครองอาวุธปืน : ควรทบทวนการให้ใบอนุญาตการครอบครองปืนถูกกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น  เพิ่มการตรวจสอบการครอบครองปืนที่เข้มข้นมากขึ้น รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้มงวด และปราบปรามการลักลอบซื้อ-ขาย ปืนเถื่อน เพื่อป้องกันการก่อเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต  ทั้งนี้สื่อต่างประเทศรายงานว่า ประเทศไทยมีการครอบครองอาวุธปืนสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย โดยอ้างอิงจากกรณีกราดยิงที่นครราชสีมา ลพบุรี และ กทม.ที่ผ่านมา  และประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก 

“การที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ โดนระบุว่า ก็คนติดยาจะให้ทำอย่างไร ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบของคนเป็นฝ่ายบริหาร  มองปัญหาที่ตัวบุคคล  โดยละเลยข้อเท็จจริงและปัญหาเชิงโครงสร้างว่าแท้จริงเหตุใดยาเสพติดระบาดหนักขึ้น ราคายาบ้าเท่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งห่อ ประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เพราะอะไร” ลิณธิภรณ์ กล่าว

เตรียมยื่นเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเสนอญัตติด่วน กรณีเหตุการณ์หนองบัวลำภู หลังลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้สูญเสีย  ‘ประเสริฐ’ ชี้หากรัฐบาลสนใจปัญหา คงไม่เกิดเหตุเศร้าสลดนี้ 

พรรคเพื่อไทยยังรายงานด้วยว่า พรรคนำโดยประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู จนมีผู้เสียชีวิต 38 ราย  โดยได้ยืนไว้อาลัยและเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก่อนลงพื้นที่โรงพยาบาลนากลาง จ.หนองบัวลำภู เพื่อให้สอบถามอาการผู้บาดเจ็บและให้กำลังใจด้วย 

ประเสริฐ กล่าวว่า ขอตำหนิรัฐบาลที่ปล่อยปละละเลยปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดหนัก จนเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลด เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  หากรัฐบาลให้ความสนใจแก้ไขปัญหา เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น  จากลงพื้นที่ในครั้งนี้ทุกคนยังอยู่ในอาการช็อค เศร้าสลด ครอบครัวผู้เสียชีวิตเสียใจเป็นอย่างมากจนไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนชีวิตสูญเสียทุกอย่างแล้ว  ครอบครัวหนึ่งสูญเสียลูกแฝด และอีกหลายครอบครัวผู้สูญเสีย ทุกคนเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากจนแทบไม่อาจรับความจริงที่เกิดขึ้นได้  

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อเสนอญัตติด่วนในการแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ อบต.อุทัยสวรรค์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหายาเสพติดแพร่ระบาด  อยากให้ทางจังหวัดได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้สูญเสียและดำเนินการเยียวยาเพื่อให้กำลังใจบุคคลผู้สูญเสียในระยะยาวต่อไป  

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วงเสวนาถอดบทเรียน แรงงานข้ามชาติถูกละเมิดสิทธิแรงงาน–ละเมิดทางเพศ

$
0
0

วงเสวนาถอดบทเรียน แรงงานข้ามชาติถูกละเมิดสิทธิแรงงาน – ละเมิดทางเพศ เห็นตรงกันดูแลทุกคนเท่ากันไม่สนใจสถานะบุคคล  ตำรวจ จับมือ อัยการ พม. พื้นที่ แก้ปัญหาเชิงรุก พร้อมวางแนวทางป้องกัน สู่การเยียวยารวดเร็ว พร้อมเผยข่าวดีปรับหลักเกณฑ์ การจ่ายเยียวยาเหยื่อครอบคลุมทุกคน ทั้งเข้าเมืองถูก-ผิดกม. ด้านสธ.-ก.แรงงาน ดูแลเต็มที่ 

 

7 ต.ค.2565 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ และโครงการเพื่อหญิงย้ายถิ่นแม่สอดภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ Safe & Fair และ UN Women Thailand ได้สัมมนาเรื่อง “บทเรียนและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเข้าถึงความคุ้มครองของแรงงานหญิงข้ามชาติที่ประสบความรุนแรง”

พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธาน กสม. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า จากข้อมูล พบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกเคยประสบความรุนแรงในชีวิต ในประเทศไทย พบผู้หญิง 44% ถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือคนที่รู้จัก และ 87 % ของผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือใดๆ และมีอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม  แรงงานหญิงข้ามชาติเป็นกลุ่มที่เสี่ยงถูกกระทำความรุนแรง  และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่าง ๆ และยิ่งมีอุปสรรคในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากปัญหาด้านภาษา และการไม่รู้สิทธิ อคติต่อแรงงานข้ามชาติ หรือสถานภาพการเข้าเมือง เป็นต้น การสัมมนาในวันนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย  อันน่าจะนำไปสู่แนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานในการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแก่แรงงานหญิงข้ามชาติตามหลักการสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติต่อไป

สุภัทรา  นาคะผิว  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน 1ในผู้ร่วมอภิปราย  กล่าวว่า  รัฐธรรมมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 กำหนดว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน  การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุต่างๆอาทิเชื้อชาติ  สถานะของบุคคล จะกระทำมิได้  ดังนั้น สถานะการเข้าเมืองของผู้เสียหายในคดีอาญา จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาเป็นเงื่อนไขที่จำกัดการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการได้รับการเยียวยา และกล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐอเมริกามีแนวปฎิบัตืที่จะทำให้ผู้เสียหายสบายใจที่จะเช้าแจ้งความ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับสถานะการเข้าเมืองของตน  ประกอบด้วย 3 Don’t  ได้แก่ 1) Don’t Ask  ไม่ให้ตำรวจสอบถามผูเสียหายเรื่องสถานะการเข้าเมือง 2) Don’t tell  ไม่ให้ตำรวจส่งต่อข้อมูลสถานะการเข้าเมืองแก่หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง 3) Don’t Enforce  ไม่ให้ตำรวจดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเมืองกับผู้เสียหาย  ซึงถิอเป็นข้อท้าทายในการดำเนินการสำหรับประเทศไทย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สถิติการจับกุมคดีค้ามนุษย์ คดีความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กปี 2565 มีประมาณ 360 คดี มากกว่าการจับกุมตั้งแต่ปี 2561-2564 รวมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้ เป็นต้นไป จะเน้นทั้งการป้องกัน และการปราบปราม โดยตำรวจและ อัยการ จะทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็จะทำงานร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการเยียวยาที่เร็วขึ้น  นอกจากนี้ ยังมีการตั้งศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี เพิ่มกระบวนการทำงานร่วมกันกับสหวิชาชีพ และล่ามในการคัดแยกเหยื่อด้วย โดยจะมีการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศให้ครบ 100% ภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่อบรมไปได้ 17-18 % ในช่วงท้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ได้ตอบข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคม (NGO) ที่ต้องการให้ สตช. มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เรื่องการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องสถานะบุคคลของผู้เสียหาย ว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างร่างระเบียบ

กุสุมา พนอนุอุดมสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า หากเป็นผู้พักพิงอยู่ใต้ชายคาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือแรงงานต่างชาติ ถือว่าเป็นครอบครัว แรงงานข้ามชาติ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแล ดังนั้นเราจึงร่วมกับยูเอ็น จัดทำระเบียบขั้นตอนการปฏิบัติระดับชาติ เพื่อยุติและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง และแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะเหตุฉุกเฉิน ต้องได้รับการช่วยเหลือก่อนค่อยมาว่ากันเรื่องของการเข้าเมืองถูกหรือผิดกฎหมาย เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อไป

นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการดูแลสิทธิแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1111 กด 77, แอพพลิเคชั่น Justice Care  และ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ซึ่งจะช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมายฟรี และน่ายินดีที่เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเห็นชอบให้จ่ายเยียวยา แก่จำเลยในคดีอาญา โดยให้จ่ายกับแรงงานข้ามชาติที่เป็นเหยื่อถูกกระทำความรุนแรงที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์  และเยียวยาให้กับแรงงานข้ามชาติที่ตกเป็นแพะในคดีความ ไม่ว่าจะเข้าเมืองแบบถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมายก็ตาม และหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว จากเดิมที่ให้เฉพาะคนเข้าเมืองถูกกฎหมายเท่านั้น

นภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยราวๆ 2.2 ล้านคน  ในแง่ของการคุ้มครองสิทธิแรงงานจะมีมาตรการเชิงรุก คือลงพื้นที่ตรวจสถานประกอบการ โดยเฉพาะที่เสี่ยงจะละเมิดสิทธิแรงงาน เช่น ภาคเกษตร และประมง ปีที่ผ่านมามีการตรวจพบแรงงานข้ามชาติหญิงถูกละเมิดสิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานกว่า 2 หมื่นราย เช่น สิทธิวันหยุด วันลา ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดรับเรื่องร้องเรียนด้วย โดยไม่ดูว่าเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ หากถูกละเมิดก็จะคัดกรองระดับความเสียหาย และให้การช่วยเหลือก่อน จากนั้นค่อยว่ากันในเรื่องของความผิดหลบหนีเข้าเมือง

นพ.ปณิธาน รัตนสาลี รอง ผอ. กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดูแลรักษาแรงงานข้ามชาติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน  ไม่ว่าจะเข้าเมืองถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม เป็นการรักษาตามหลักสิทธิมนุษยชนไปก่อน เรื่องค่ารักษา และอื่นๆค่อยมาว่ากันทีหลัง  ซึ่งเมื่อมีเคสเข้ามาจะมีเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ทำการประเมิน และระหว่างรักษาก็จะร่วมกับสหวิชาชีพในการตรวจสอบข้อมูล ว่าหากรักษาหายแล้วจะสามารถกลับเข้าไปอยู่ในครอบครัว หรือชุมชนได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำที่อาจจะรุนแรงขึ้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วัน 'งานที่มีคุณค่า'สหภาพคนทำงานแสดงเจตจำนง 5 ข้อ ในนามของ 'ผู้ใช้แรงงาน'

$
0
0

สหภาพคนทำงาน จัดกิจกรรม 'วันงานที่มีคุณค่าสากล'ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี พร้อมปราศรัยสะท้อนปัญหาในการทำงานหลายภาคส่วน 'สมยศ'ปลุกใจ การต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานต้องไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ก่อนทิ้งท้ายด้วยการแถลงเจตจำนงแรงงาน 5 ข้อ 

 

7 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (7 ต.ค.) เมื่อเวลา 9.14 น. ที่หน้าอาคารสำนักงานสหประชาชาติ หรือ UN ถนนราชดำเนินนอก สหภาพคนทำงาน ร่วมด้วย ไบร์ท ฟิวเจอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานชาวพม่าในไทย แรงงานกัมพูชาในไทย และเครือข่ายแรงงานอื่นๆ ร่วมทำกิจกรรมเนื่องในวันแรงงานที่มีคุณค่า ซึ่ง ILO กำหนดให้ตรงกับวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี 

สำหรับกิจกรรมวันนี้ เริ่มต้นด้วยการแสดงจากกลุ่มราษดรัม และมีการปราศรัยจากนักสหภาพแรงงาน 

เวลา 10.36 น. สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมแรงงาน กล่าวปราศรัยถึงที่มาของวันงานที่มีคุณค่าสากล ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปี 2547 ขณะนั้นองค์กรแรงงานภายใต้ ILO ไปประชุมเมื่อ 7 ต.ค. และมีมติกำหนดให้เป็นวันงานที่มีคุณค่ามีความหมายสากล 

สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมแรงงาน

เมื่อประเทศกำลังพัฒนามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายทุนร่ำรวย องค์กรแรงงานต่างๆ จึงมองว่า หากเศรษฐกิจเติบโต ต้องมีการแบ่งปันรายได้ให้คนงานดีขึ้นไปด้วย ไม่ใช่การกดขี่ขูดรีดจนเกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง 

ดังนั้น เขาจึงกำหนดให้วันนี้ เป็นวันที่ทั่วโลกต้องมาสะท้อนถึงปัญหาการทำงานของตนเอง และเรียกร้องการทำงานที่มีคุณค่าและความหมาย บังคับให้ระหว่างประเทศกำหนดการจ้างงานให้เป็นตามหลักสากล เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำต้องพอเพียงต่อตนเองและครอบครัว และอื่นๆ 

สมยศ กล่าวต่อว่าในไทยตอนนี้ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 350 บาทโดยประมาณ ไม่เพียงพอให้แรงงานทั้งไทย พม่า เขมร จะประทังชีวิต และเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งสะท้อนว่า ประเทศไทยจะไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสากล 

สมยศ ย้ำว่า งานที่ดีมีคุณค่า ต้องไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ สีผิว และฐานะทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นใคร คนไทย คนพม่า คนเขมร หรือคนไทยในต่างประเทศต้องเติบโตควบคู่กับเศรษฐกิจที่ขยายตัว พร้อมขอบคุณแรงงานข้ามชาติที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 

นอกจากปัญหาเรื่องค่าแรงและสวัสดิการ สมยศ มองว่า ยังมีความเดือดร้อนทางการเมือง เสรีภาพการแสดงออก การชุมนุม และการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ต้องแก้ไข โดยทั้งไทย พม่า และเขมร กำลังเผชิญกับรัฐบาลเผด็จการด้วยกัน 

สมยศ กล่าวเรียกร้องให้แรงงานพม่ามีเสรีภาพในการชุมนุมในไทย เพื่อขับไล่กองทัพพม่า และเรียกร้องให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมให้แรงงานชาวเขมรด้วย 

"ผมอยากจะให้การทำงานที่มีคุณค่า มีความหมายถึงความร่วมมือ ความสามัคคี ความเป็นพี่น้องของผู้ใช้แรงงาน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่านี่คือเขมร นี่คือไทย ขอให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันที่จะต่อสู้เรียกร้อง ให้เกิดการทำงานที่มีคุณค่าและมีความหมาย"สมยศ กล่าว และปิดท้ายด้วยคำว่า 'แรงงานสร้างชาติ มิใช่มหาราชองค์ใด'

หลังจากนั้น มีการผลัดกันขึ้นมาปราศรัยสะท้อนปัญหาจากแรงงานภาคส่วนต่าง ๆ เช่น คนทำงานกลางคืน แรงงานข้ามชาติ แรงงานแพลตฟอร์ม และอื่นๆ 

ท้ายสุด เวลา 11.52 น. ตัวแทนสหภาพคนทำงาน ร่วมอ่านแถลงการณ์ วันงานที่มีคุณค่าสากล 4 ภาษา ไทย พม่า กัมพูชา และอังกฤษ

เนื่องด้วยทุกวันที่ 7 ตุลาคม นับเป็นวันงานที่มีคุณค่าสากล เพื่อย้ำเตือนความเป็นธรรม ให้กับแรงงานทั่วทุกแห่งหน ทุกสัญชาติ เชื้อชาติ และเพศสภาพ ให้ได้มีการจ้างงานที่มั่นคง มีความปลอดภัยในการทำงาน มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่ม เพื่อส่งเสียงร้องต่อรอง สร้างสรรค์ประชาธิปไตยในที่ทำงาน เราจึงมารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ เพื่อตอกย้ำความสำคัญดังกล่าว 

ปัจจุบันนี้ พวกเราเห็นว่าสภาพการจ้างงานของแรงงานในไทย ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบ นอกระบบ หรือแรงงานข้ามชาติก็ตาม โดยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเป็นไปตามบรรทัดฐานของงานที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในสถานการณ์โควิดล่าสุด แรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้างลอยแพ ส่วนผู้ที่ไม่ถูกเลิกจ้างก็พบกับสภาพการทำงานที่หนักหน่วง ไม่เป็นธรรม ไร้ทางเลือกการรวมตัว ไม่มีอำนาจต่อรอง 

ในสภาวะที่สิทธิแรงงานถดถอย ประชาชนเผชิญหน้ากับวิกฤติค่าใช้จ่าย นี่คือสภาพความเป็นอยู่ที่เราลยอมรับไม่ได้ สหภาพคนทำงานจอแสดงเจตจำนงทั้งหมด 5 ข้อ ในนามของผู้ใช้แรงงาน ทั้งสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในการจ้างงาน ซึ่งขาดคุณค่าและผู้ที่ต้องการให้มีคุณค่าและผู้ที่ต้องการให้งานที่มีคุณค่าของตนดำรงต่อไป 

1. รัฐบาลไทยต้องให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพการทำงาน 

2. รัฐบาลไทยต้องรับรองหลักการค่าจ้างเพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพโดยปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย 723 บาทต่อวัน เท่ากันทุกจังหวัดทั่วประเทศ 

3.รัฐบาลไทยต้องมุ่งมั่นผลักดันให้คนทำงานทุกภาคส่วนได้รับการคุ้มครองภายใต้กฏหมายแรงงานฉบับเดียวกัน 

4. รัฐบาลไทยต้องจัดให้มีการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมภายในปี 2565 และให้สิทธิแรงงานข้ามชาติเลือกตั้งผู้แทนคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน 

5. รัฐบาลไทยต้องหยุดละเมิดสิทธิแรงงานและต้องสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยทั้งในประเทศไทย ในอาเซียน และในประชาคมโลก

 
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51086 articles
Browse latest View live