Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

สนทนากับสุรพศ ทวีศักดิ์: ความดีกับการมีชนชั้น (วรรณะ): ควรมองอย่างไร?

$
0
0

อ่านบทความของสุรพศ ทวีศักดิ์ เรื่อง“กางคัมภีร์พุทธศาสนาเห็น ‘ความดีมีชนชั้น’"(Tue, 2016-09-20) ทำให้ต้องหวนกลับมานั่งทบทวนอย่างช้าๆ ว่า “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” อีกทั้งผู้เขียนก็เชิญชวนให้แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวด้วย

ความพยายามของสุรพศ ทวีศักดิ์ ที่ดึงและแบคัมภีร์ออกมานั้นทำให้เห็นภาพที่น่าสนใจหลายภาพ บางภาพชัดเจนในตัวเอง บางภาพต้องใช้จินตนาการทำนองศิลปินที่ต้องผนวกเรื่องสุนทรียะเข้าไปด้วยจึงจะช่วยให้เห็นภาพว่าชัด-ไม่ชัด งาม-ไม่งาม

ภาพที่หนึ่งคำสอนของพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอิสระจากการตีความ คำสอนที่ “ดำรงความถูกต้อง” โดยปราศจากหรือเป็นอิสระจากการตีความ การปรับคำสอนมาสอนคน แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นอิสระจากการตีความแต่อย่างใด แม้กระทั่งการจดจำแบบปากต่อปาก (มุขปาฐะ) การสังคายนา กระทั่งมาถึงยุคการจารจารึกบันทึกเป็นอักษรก็ถือว่านั่นเป็นรูปแบบที่ “ไม่เป็นอิสระ” แบบหนึ่ง เพราะในที่สุดแล้วสิ่งเหล่านั้นหาใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงทำด้วยพระองค์เอง (การเขียน การบันทึก) ไว้ตั้งแต่แรก

ภาพนี้ขอขยายเพิ่มเติมว่าการตีความคำสอนเป็นเรื่องปกติในวงวิชาการ แต่การกล่าวอ้างว่าเพราะไม่มี “ต้นฉบับ” (พระพุทธเจ้า) ที่ทรงบันทึกเอาจึงเป็นเรื่องของการตีความล้วนๆ นับตั้งแต่การทรงจำ การสังคายนา สิ่งเหล่านี้หากจะจัดว่าเป็นการ “ตีความ” อาจอาจด่วนเข้าใจไปหน่อย เช่น การทรงจำด้วยวิธีปากต่อปาก เจตนาคือไม่ต้องการให้เกิดความผิดเพี้ยน หรือการสังคายนา หากเรียกว่า “การตีความ” จริงก็คงเกิดความหมายใหม่ หรือใช้วิธีทำให้เข้าใจในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่การสังคายนาโดยเฉพาะการทำครั้งแรก มติของสงฆ์โดยพระมหากัสสปะนั้นไม่ได้มีการยก เลิก ถอด ถอนสิกขาบทใดๆ เลยจะเรียกว่าเป็นการตีความได้อย่างไร ส่วนสังคายนาที่เรียกในชั้นหลังก็อาจเป็นเพราะวัตถุประสงค์อื่นได้ เช่น เพื่อรวบรวมจัดหมวดหมู่เป็น “พระไตรปิฎก” ดังกล่าวแล้ว

ภาพที่สอง คำสอนของพระพุทธเจ้าหนีไม่พ้นเรื่องดี-ชั่ว สูง-ต่ำ  นี่คือสิ่งที่นำไปสู่วิธีคิดว่า “ความดีมีชนชั้น” ของผู้เขียน ภาพนี้ไม่ต้องขยายเพราะเป็นธรรมชาติของคำสอนในพุทธศาสนาอยู่แล้ว

ภาพที่สามสืบเนื่องจากภาพที่สอง เมื่อปลูกฝังสั่งสอนมากเข้าจะกลายเป็น “การสร้างสำนึกชนชั้นที่ฝังลึกระดับจิตวิญญาณ”  ภาพนี้ใคร่ชวนให้พิจารณาว่าแม้คำสอนจะชี้ว่าทำดีแล้วจะได้เกิดในภพภูมิที่ดี (สูง) หรือถ้าทำชั่วจะได้เกิดในภพภูมิที่เลว (ต่ำ) แต่คำสอนพุทธศาสนาไม่ได้จบที่การได้เกิดมาเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำคือ “การกระทำปัจจุบัน” แม้คุณจะเกิดมาในชั้นวรรณะที่สูง แต่คุณก็ต้องพัฒนาปรับปรุงตัวตนโดยการปรับลดระดับความสูง-ต่ำด้วยเพื่อให้ตนเข้าถึงมนุษยภาพที่แท้จริง ข้อนี้พิจารณาเทียบเคียงได้จากการที่พระพุทธองค์ทรงประทานการอุปสมบทแก่นายอุบาลีซึ่งเป็นพนักงานภูษามาลาประจำราชวงศ์ศากยะ ในคราวที่เจ้าศากยะทั้ง 6 ซึ่งประกอบด้วยภัททิยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภัคคุ กิมพิละ และเทวทัต ขอบวชแต่ด้วยเจ้าศากยะเองรู้ตัวว่าความเป็นกษัตริย์นั้นหนาแน่นไปด้วยมานะ จึงพร้อมใจกันใช้วิธีการอุปสมบทเป็นเครื่องมือขัดเกลาเพื่อลดทิฐิมานะจึงได้ทูลต่อพระพุทธเจ้าเพื่อให้อุบาลีผู้รับใช้ได้บวชเป็นลำดับแรก ทั้งนี้โดยระบบอาวุโสนี้ก็ให้ผู้บวชภายหลังหรือพรรษาอ่อนกว่าได้ทำความเคารพ ลุกรับกราบไหว้พระภิกษุที่มีพรรษามากกว่าหรือในที่นี้หมายรวมเอาตั้งแต่ลำดับก่อนหลังเมื่อบวชในคราวเดียวกัน (ขุ.อป.32/8/4๐; วิ.จู.7/342-344/131-132) ดังนั้นสถานะหรือชั้นทางสังคมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดจึงไม่ได้เป็นตัวกำกับชนชั้นแต่อย่างใด การดูเพียง “ส่งให้เกิด” จึงยังไม่เพียงพอในแง่คำสอนในพระไตรปิฎก จึงต้องดูไปถึง “เกิดแล้วทำอะไรต่อ” ต่างหาก

ภาพที่สุดท้ายการทิ้งโจทย์ให้แก้ โจทย์ที่ตั้งเป็นประเด็นสำคัญคือ ไม่มีชุดความคิดที่แสดงให้เห็นว่าความดีแบบพุทธส่งเสริมให้สังคมมีความเสมอภาค เช่น 1) ความดีแบบพุทธ ที่ปฏิเสธชนชั้นและสนับสนุนความเสมอภาค แท้จริงแล้วยังไม่เห็นชัดแจ้ง (ไม่มีคำสอนพุทธที่ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปสู่ความเสมอภาค –การเลิกทาสไม่ได้อ้างหลักพุทธ (เลิกระบบทาสอันเนื่องมาจากคำสอนทางพุทธ) 2) การเทศน์มหาชาติ ที่มีนัยว่าให้พระเวสสันดรต้อง “บริจาคลูกให้เป็นทาส” 3) ถ้ามีคำสอนแบบนั้น (สอนให้เป็นคนดีแล้วสนับสนุนให้เกิดความเสมอภาค) อยู่จริง ทำไมจึงยังมีเรื่องยศช้างขุนนางพระ และระบบชนชั้นในวงการสงฆ์

หากพูดให้สั้นอาจพูดได้ว่าผู้เขียนใช้เหตุผลเพื่อชวนให้ขบคิดว่าคำสอนพุทธที่สอนความดีนั้นก็เพื่อส่งเสริมให้เห็น “คนมีสถานะต่างกัน” โดยยกหลักฐานในคัมภีร์มาอ้างหลายแห่ง เช่น ในพาลบัณฑิตสูตรที่เสนอข้อมูลให้เห็นว่า “การทำดีทางกาย วาจา และใจ ผลที่ได้คือการมีตระกูล มีสถานะที่สูงส่งทางสังคม มีความมั่งคั่ง” กลายเป็นว่าความดีแบบพุทธนั่นแหละเป็นตัวยืนยันหรือรองรับสถานะของมนุษย์ ผู้เขียนกล่าวรวมไปถึงระบบชนชั้นในวงการสงฆ์ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ “ติดตัวมาตั้งแต่เกิด”

คำถามคือ “ความดีกับชนชั้น” ทำไมผู้เขียนจึงเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน หรือที่ระบุว่าแท้จริงแล้วไม่มีคำสอนใดที่ชัดเจนในพุทธศาสนาที่สอนหรือส่งเสริมให้เห็น “สมภาพ” หรือความ “เสมอภาค” เชิงสังคม พุทธพจน์หลายแห่งชวนให้เห็นตามนั้น และเห็นตามจารีตที่ว่าทำดีได้ดี ดีที่ได้เพราะทำดี ดีที่ได้จึงรวมเอาทั้งตระกูลสูงส่งที่นำพาตัวเองมาเกิด ความมั่งคั่งที่ได้รับ รวมถึงยศถาบรรดาศักดิ์ที่มี หรือแม้ภพภูมิทั้ง 31 ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจาก “ศีลธรรมความดี” ส่วนบุคคลที่ทำไว้ในปัจจุบันภพ

คำถามนี้อาจใคร่ครวญดังนี้ว่าชั้นของความดีมีอยู่จริง หากพิจารณาจากคำสอนพุทธเชิงแสดงกายภาพคือภพภูมิ แต่ชั้นความดีเหล่านั้นไม่ได้บอกว่าเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับ “สถานะทางสังคม” แต่ความดีที่มีชั้นนั้นเป็น “ความดีที่กำกับชั้น” ต่างหาก หรือพูดให้ง่ายคือ คำสอนพุทธไม่ได้มีเพียงด้านเหตุเท่านั้น แต่ให้คำนึงถึงด้านผลด้วย (ดูหลักอิทัปปัจยจตาประกอบ และพิจารณาทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมคือสืบจากเหตุไปผลและสืบจากผลไปเหตุ) แม้ว่าเราจะเกิดมาสูงส่ง หรือต่ำต้อย ก็ไม่ควร “หยุดอยู่” กับผลนั้นหรือพอใจกับผลลัพธ์นั้น หรือพร้อมที่จะใช้ผลนั้นโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลอื่นๆ เช่น เกิดมามั่งคั่งก็หยามหรือย่ามใจ คอยเหยียดหรือรังแกคนต่ำต้อย นี่จึงควรเรียกว่า “ชนชั้น” ในทางสังคม แต่ชั้นความดีในพุทธศาสนาเป็นการกำกับเพื่อมิให้คนๆ นั้นตกอยู่ในความประมาท เพื่อมิให้คนที่เป็นกษัตริย์มหาศาลก็ดี คหบดีก็ดี คนที่เกิดมาในตระกูลสูงส่งก็ดีเที่ยวหักหาญทำร้ายทำลายคนอื่น นี่จึงควรเรียกว่า “ชนชั้น” ที่พระพุทธองค์ทรงแย้งคำสอนเดิมเรื่องวรรณะ

กล่าวคือแม้จะพิสูจน์ตามหลักฐานได้ว่าคนที่ทำดีแล้วไปเกิดในตระกูลที่สูง ร่ำรวย เป็นการพิจารณาในแง่ของ “เหตุที่ทำให้เกิด” แต่ไม่ได้พิจารณาในแง่ของ “ผลลัพธ์และการสืบต่อ” การชี้ว่าทำอะไรแล้วจะเป็นอะไร หรือจะได้อะไรนั้นเป็นเพียงการชี้เป้าด้านเหตุ แต่กระบวนการแห่งธรรมในพุทธศาสนานั้นเป็นการประสานสัมพันธ์กันทั้งด้านเหตุและผล และคำนึงถึงการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์

ดังนั้น เมื่อพูดถึงชนชั้น สำหรับพระพุทธศาสนาจึงอาจพิจารณาได้มากกว่าหนึ่งเงื่อนไข เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุ ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นกระบวนการที่สิ้นสุดมาแล้ว เป็นส่วนของ “อดีตเหตุ” เช่น การเกิดเป็นคน เป็นการเสวยผลไปแล้ว (เป็นปัจจุบัน) และพุทธศาสนาได้บอกว่ามนุษย์ไม่ควรหยุดอยู่แค่ตนได้เกิดมาเป็นคนแล้ว และเป็นใครบ้าง (กษัตริย์ เศรษฐี ยาจกฯลฯ) มิเช่นนั้นจะเข้าทางลัทธินอกศาสนา แต่พุทธศาสนาสนใจต่อว่าเกิดมาแล้วนั่นคือจุดตั้งต้นให้ทำ “ปัจจุบันเหตุ”ทำงานอย่างสำคัญ (ม.อุ.14/527/297) คือการระลึกว่า “อดีตผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตยังไม่มาถึง แต่ปัจจุบันนั่นแหละคือสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริง” อีกทั้งคำสอนเรื่องดี-ชั่วก็หาได้มีเจตนาชี้ว่าเป็นการ “ทำให้คนมีวรรณะติดตัวมาตั้งแต่เกิด” เฉกเช่นศาสนาอื่น ชาวพุทธอาจคิดว่าเพราะทำดีจึงเกิดมาในที่ดีดังกล่าวแล้ว แต่ก็เพียงชั้นกิเลสกามอยู่ คือว่ายวนอยู่ในภพกามาวจร แต่เป้าหมายที่สูงกว่านั้นคือการทำลายกามภพให้ได้เพื่อขึ้นสู่ภพที่สูงและดับภพภูมิ (นิพพาน) ได้ในที่สุด ซึ่งนัยนี้ไม่ได้มุ่งว่าใครสูงใครต่ำ แต่เป็นการเอาชนะภพภูมิในแง่ที่เป็นกิเลสตัณหาต่างหาก


ชื่อบทความเดิม: ความดีกับการมีชนชั้น (วรรณะ) : ควรมองอย่างไร?

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองปลัดมหาดไทย เผยได้ประสานสถานศึกษาทุกแห่ง เปิดศูนย์บริการย้อมผ้าสีดำ

$
0
0

ชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุหากประชาชนไม่เสื้อสีดำใส่ สามารถใส่ชุดสีสุภาพ ไม่ฉูดฉาด ไม่มีลายดอก และติดริบบิ้นดำที่แขนเสื้อหรือหน้าอกแทนได้ พร้อมประสานสถานศึกษาต่างๆให้เปิดศูนย์บริการย้อมผ้าสีดำ

20 ต.ค. 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่า ชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง การร่วมแต่งกายเพื่อแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ในกรณีที่ประชาชนไม่สามารถหาเสื้อผ้าที่มีสีดำล้วนหรือสีขาวได้ว่า สามารถใส่เสื้อสีสุภาพ ไม่ฉูดฉาด ไม่มีลายดอก และสามารถติดริบบิ้นสีดำที่แขนหรือหน้าอกแทนได้

ชยพล กล่าวว่า  กระทรวงมหาดไทยได้ประสานผู้ผลิต และผู้ประกอบการ OTOP กลุ่มสตรีและองค์กรชุมชน ที่สามารถจัดย้อมผ้าสีดำให้กับประชาชน ในราคาย่อมเยาหรือ บริการโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และยังได้ประสานกับสำนักงานการศึกษานอกระบบ (กศน.) และการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด (กศน.จังหวัด) สถานศึกษาและวิทยาลัยอาชีวศึกษาทุกแห่งให้เปิดบริการเป็นศูนย์ย้อมผ้าสีดำ

ชยพล ยังย้ำถึงการลงนามแสดงความอาลัย ของประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัด ว่า สามารถเดินทางไปที่ศาลาว่าการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศและที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง พร้อมขอเชิญชวนประชาชน ร่วมพิธีสวดพระพิธีธรรม หรือพิธีทางศาสนาของแต่ละศาสนาตามแต่ละพื้นที่จัดขึ้น 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“รู้เพื่อให้คิด”: ธงชัย วินิจจะกูล สะท้อนวิธีคิดว่าด้วยการแสวงหาความรู้ ในการประชุม “ไทยศึกษาในภูมิภาคอีสาน”

$
0
0

ในการประชุมไทยศึกษาในภูมิภาคอีสาน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล กล่าวสรุปในช่วงท้ายของงาน โดยได้สะท้อนสะท้อนวิธีคิดว่าด้วยการแสวงหาความรู้โดยเริ่มจากเกริ่นนำเรื่องความเป็นไทยของตนเองว่า “พ่อกับแม่ของผมเป็นคนจีนที่โตมาในสังคมไทยที่ไม่มีความผูกพันกับประเทศจีน เราโตมาในสังคมตามนิยามความเป็นไทยไม่มากนักเพราะคนชั้นล่างในยุคของผมเอื้อมไม่ถึง ภายในหนึ่งชั่วคนผมไปอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง ลูกชายและลูกสาวของผมเกิดขึ้นมาในความเป็นไทยขนาดไหน หนึ่งเขาเป็นจีน พอโตมาเราก็ไม่ได้บังคับเขา เขาก็รู้ภาษาไทยเท่าที่เราพูดคุยกันในบ้าน แต่ในด้านหนึ่งเขาเป็นอเมริกา ในประมาณหนึ่งชั่วคนก่อนภาวะที่เราเป็นอยู่มีไม่มากนัก สุดท้ายเรามีกี่สัญชาติกี่วัฒนธรรมผมก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่า ภาวะที่เราเป็นอยู่ขณะนี้เป็นเรื่องปกติของโลกสมัยใหม่ ไม่ใช่เรื่องประหลาด โลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ประมาณปีที่แล้วผมพบอาจารย์ท่านหนึ่งที่ออสเตรเลีย Peter A. Jackson เขาศึกษาเรื่องเครื่องรางของขลัง พยายามศึกษาเรื่องโลกสมัยใหม่มีความเป็นศาสนาน้อยลง คือลดความศรัทธา (Disenchanted) ต่อมานักมานุษยวิทยาก็ศึกษาเรื่องนี้ พอมาดูเมืองไทยก็อาจจะมีสภาวะแบบนี้ ผมก็แย้งว่าเมืองไทยไม่เคย Disenchanted เพราะมัน Enchanted อยู่ตลอดเวลาเพียงแต่ว่าเปลี่ยนเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา”

อาจารย์ตั้งคำถามต่อว่าทั้งหมดนี้เรามีความรู้ในระดับลึกเพื่ออะไร? โดยอธิบายต่อว่า “ผมสนใจว่าความรู้ที่ผมศึกษานี้ เช่นประวัติศาสตร์ เป็นความรู้ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ในความหมายว่าในแง่การเป็นกลไกในการกำหนดนโยบายให้ประเทศเจริญก้าวหน้าไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้น สังคมไหนจะให้คุณค่าความรู้ในระดับนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสังคม”

อาจารย์ได้สะท้อนว่า “โดยรวมความรู้มีสองสามแบบ สองสามจุดมุ่งหมาย ในแง่หนึ่งมีประโยชน์ในการสร้างมนุษยชาติให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ทำให้สุขภาพดีขึ้น สุขสบายมากขึ้น มีเงินมากขึ้น มีเทคโนโลยีต่างๆ หรือความรู้เชิงนามธรรมจะมีประโยชน์ เช่น ในการกำหนดนโยบายได้ เช่น คนสองสัญชาติที่มีมากขึ้นทำอย่างไร คนข้ามชาติข้ามวัฒนธรรมที่มีมากขึ้นในโลกจนเป็นปกติจะทำอย่างไร ภาวะที่มีความเชื่อแตกต่างมากมาย ทั้งเชื่อได้เชื่อไม่ได้ เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร พวกนี้ต้องมีนโยบายซึ่งสังคมทุกรัฐทุกสังคมต้องจัดการ ความรู้พวกนี้ผมถือว่ามีประโยชน์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชิงประยุกต์มีประโยชน์ทั้งสิ้น ความรู้ทางสังคมศาสตร์ในเชิงนโยบายมีประโยชน์ทั้งสิ้น แล้วความรู้ทางวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ล่ะ? Pure Science, Pure Chemistry, Physic รู้ไปเพื่ออะไรที่ว่าโลกมันเกิด Big Bang เป็นต้น? หรือความรู้อีกขั้วหนึ่งเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ เราจะรู้ไปเพื่ออะไร?

"บางคนก็ตอบว่า เราพยายามรู้ให้มากที่สุด สักวันหนึ่งความรู้จะได้สมบูรณ์ บอกได้เลยว่ามันไม่จริง คนที่พูดแบบนี้เพราะเขายังไม่รู้เท่าไหร่ เพราะความรู้ไม่มีทางสมบูรณ์ เมื่อเราศึกษาความรู้ในอดีต เราก็ขยับไปอีกสองปีสามปี ความรู้ไม่มีทางสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นนอกจากความรู้ที่มีประโยชน์ แล้วเราจะมีความรู้ไปเพื่ออะไร?”

“รู้เพื่อต้องการให้คุณคิด”

อาจารย์อธิบายว่า “ความรู้ทั้งหลายที่เรามองว่าไม่มีประโยชน์ มันมีประโยชน์ตรงนี้ (ชี้ไปที่หัว) ความรู้มีไว้เพื่อให้เซลล์สมองโต ยิ่งสังคมไทย เซลล์สมองมันโตช้า เพราะเราถูกสอนให้เชื่อและทำตามที่คนบอก... ความรู้เหล่านี้มีไว้ให้คุณคิด แล้วคุณคิดว่าคุณจะเชื่อ เช่น เรื่องเครื่องราง หรือไม่เชื่อ ก็ตามใจคุณ ขอเพียงว่าคุณต้องคิด กรุณาอย่าเชื่อเพราะอาจารย์บอกว่ามันควรเชื่อ กรุณาไม่เชื่อเพราะอาจารย์บอกว่ามันไม่ควรเชื่อ ให้คิดด้วยตนเองว่าคุณต้องการเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร เรียนรู้ให้มากขึ้นแล้วรู้จักคิดสองชั้นสามชั้น คิดสังเคราะห์สองทางสามทาง คุณอยากจะเชื่ออีกด้านก็แล้วแต่ คุณอาจจะเชื่อบวกสองบวกสามจากหลายทาง แล้วรู้จักคิดอย่างรวดเร็ว สมัยก่อนมนุษย์เคยวิ่ง 100 เมตร ภายในเวลา 11 วินาที ทุกวันนี้มนุษย์วิ่ง 100 เมตร ได้ภายในเวลาน้อยกว่า 10 วินาที แล้วทำไมมนุษย์ในปัจจุบันจะคิดซับซ้อนในเวลาอันรวดเร็วมากกว่ามนุษย์ในสมัยก่อนไม่ได้ ทำไมรุ่นอาจารย์ใช้เวลา 3 วินาทีในการวิเคราะห์จาก 3 แหล่ง แล้วรุ่นต่อไปจะคิดวิเคราะห์จาก 5 แหล่งไม่ได้ มันต้องได้

"สุดท้ายความรู้จะเติมเต็มโลกในนี้หรือไม่? มันไม่เต็ม โลกมันหมุนไปเรื่อยๆ เติมให้ตายก็ไม่เต็ม แต่ความรู้ทำให้ความสามารถของเราในการคิดดีขึ้น ซับซ้อนขึ้น

"เพื่ออะไร? เพื่อให้ได้ “ประชากรที่มีคุณภาพที่สุด” ไม่ใช่พลเมืองดีที่เชื่อฟังคนอื่น แต่เป็นประชากรที่รู้จักฟังหูไว้หูแล้วตัดสินใจด้วยตนเอง

"ไม่ใช่ว่าไม่ให้เชื่ออะไรสักอย่าง แน่นอนว่าสุดท้ายมนุษย์ต้องเชื่ออะไรสักอย่าง แต่ต้องรู้จักฟังหูไว้หู ทุกวันนี้เรามีข้อมูลมากมายแต่เราจะรู้จักใช้ข้อมูลอย่างไร เช่น อ่านไปหนึ่งย่อหน้าแล้วรู้ว่าจะต้องอ่านต่อไปไหม หรืออันนี้น่าสนใจควรอ่าน ซึ่งแต่ละคนจะมีการตัดสินใจ (Judgment) ในการใช้ข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน เราเรียนรู้สิ่งที่หลายคนบอกว่าไม่มีประโยชน์เหล่านี้ สุดท้ายมันฝึกให้เรารู้จักคิดๆๆ ไปเรื่อยๆ การคิดไปเรื่อยๆ นอกจากจะไม่เป็นอัลไซเมอร์ตอนแก่แล้ว การคิดจะช่วยให้เรามีวิจารณญาณที่เร็วมากในการรับข้อมูล และจะช่วยในการตัดสินใจในชีวิตปกติว่า อันนี้เรื่องเล็ก อันนี้เรื่องสำคัญ อันนี้เรื่องไม่สำคัญ อันนี้เชื่อได้เชื่อไม่ได้ เป็นต้น

"การคิดจะช่วยให้มีวิจารณญาณในการรับข้อมูล สังคมที่ประชากรมีคุณภาพแบบนี้ คือสิ่งที่มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ต้องการ”

 

 


* ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ เป็นอาจารย์สาขาสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ขออย่าดึงสถาบันลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเห็นต่าง ย้ำบ้านเมืองมีกฎหมายให้ จนท.ดำเนินการ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายคำนึงถึงบรรยากาศที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการแสดงความอาลัย ระลึกเสมอว่าต้องไม่ดึงสถาบันลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเห็นต่าง อีกทั้งบ้านเมืองมีกฎหมายให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาดำเนินการ ชวนรวมพลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี 22 ต.ค.นี้ 

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่สนามหลวงประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้กำลังใจอาสาสมัครร่วมทั้งกำลังพลในการดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพิธี (ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

 

20 ต.ค. 2559 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการใช้กำลังรุมทำร้ายผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งที่ตั้งใจหรือเข้าใจผิด ว่า รัฐบาลขอให้ทุกคนทุกฝ่ายคำนึงถึงบรรยากาศที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการแสดงความอาลัย ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีจิตใจเศร้าโศก จึงต้องการพลังรักสามัคคี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันก้าวผ่านจุดนี้ไปให้ได้

“นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด แต่ขอให้ทุกคนระลึกเสมอว่าต้องไม่ดึงสถาบันลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเห็นต่าง อีกทั้งบ้านเมืองมีกฎหมาย และรัฐบาลจะไม่ละเว้นการบังคับใช้กฎหมายทุกกรณีหากมีการฝ่าฝืน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาดำเนินการ จะเหมาะสมที่สุด” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อความสงบสุขเรียบร้อยของประเทศ และไม่ต้องการให้เกิดภาพของความขัดแย้ง หรือการใช้ความรุนแรง โดยขอความร่วมมือไปยังทุกภาคส่วน ทั้งสื่อมวลชนไทย สื่อมวลชนต่างประเทศ ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ไม่เผยแพร่ภาพและเสียงเหตุการณ์ที่อาจกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความรู้สึกไม่พอใจและใช้กำลังเข้าทำร้ายกัน จนทำลายภาพลักษณ์ประเทศ บั่นทอนความรู้สึกของคนไทย หรือเกิดการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องของต่างประเทศ

“หลายคนรู้สึกกังวลใจต่อการเผยแพร่ หรือส่งต่อข่าวและภาพ อย่างไม่มีวิจารณญาน ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะทางสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดความขุ่นมัวในจิตใจ เข้าใจผิด หรือสร้างความสับสนวุ่นวาย เช่น ข่าว ม.พัน 1 รอ.เตือนการวางระเบิดตามจุดสำคัญต่าง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง โดยยืนยันว่าหากเรื่องใดเป็นเรื่องจริง เจ้าหน้าที่จะออกประกาศอย่างเป็นทางการ และไม่ใช้การชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดีย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายหยุดเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข้อมูลผิด ๆ ทางโซเชียลมีเดีย หากประชาชนเกิดความสงสัยควรตรวจสอบโดยตรงจากหน่วยงานที่ถูกอ้างอิง หรือติดต่อศูนย์บริการประชาชน 1111 และศูนย์ดำรงธรรมในแต่ละจังหวัด สายด่วน 1567” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ชวนรวมพลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี 22 ต.ค.นี้ 

พล.ท.สรรเสริญ เปิดเผยด้วยว่า สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้รับการประสานจาก ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัย แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยการรวมพลังร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคมนี้ เวลา 13.00 น. ณ บริเวณถนนหน้าพระลาน กำแพงพระบรมมหาราชวัง และท้องสนามหลวง

พล.ท.สรรเสริญ ระบุด้วยว่า การรวมพลังครั้งสำคัญนี้ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และทีมงาน จัดขึ้นเพื่อบันทึกภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ความผูกพัน และความอาลัย ของประชาชนผู้จงรักภักดีทุกหมู่เหล่า จัดทำเป็นภาพยนตร์และวิดีทัศน์สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ และสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ การถ่ายทำภาพยนตร์นี้ จะเป็นการบันทึกเสียงเพลงที่ประชาชนขับร้องสด ร่วมกับวงดนตรี Siam Philharmonic Orchestra และคอรัส 100 คน โดยมี อ.สมเถา สุจริต เป็นผู้ควบคุมการบรรเลง และทีมงาน ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เป็นผู้ถ่ายทำภาพยนตร์

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะดูแลอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ จะต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำและนำเทียนสีขาวไปด้วย โดยนัดหมายให้ไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อซักซ้อมความเข้าใจ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในเวลา 10.00 น. ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 9949 5629

 

ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลและ สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลื่อนสืบพยานนัดแรก คดีปิดสนามบิน ปี 51 เป็น 24 พ.ย.นี้

$
0
0

ศาลอาญาเลื่อนสืบพยานปากแรก คดีพันธมิตรฯ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2551 ไปวันที่ 24 พ.ย.นี้

20 ต.ค. 2559 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า วันนี้ ศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์ ในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ฟ้องกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากกรณีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างการชุมนุมเมื่อปี 2551 โดยมีจำเลยประกอบไปด้วยแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมด้วยมวลชนรวม 98 คน ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

โดยการสืบพยานโจทก์ปากแรก เป็นว่าที่ร้อยโทอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร อดีตผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งได้เดินทางมาพร้อมให้การในวันนี้ แต่เนื่องจากมีจำเลย 4 คน ที่มีปัญหาสุขภาพ และอีก 1 คน คือนายไทกร พลสุวรรณ ต้องโทษจำคุกอยู่ไม่สามารถเดินทางมาได้ ศาลจึงเห็นควรให้เลื่อนการสืบพยานในนัดแรกออกไปอีก เป็นวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลภูเก็ตอนุมัติหมายจับลูกร้านน้ำเต้าหู้ ถูกกล่าวหาผิด ม.112 - พ.ร.บ.คอมฯ พร้อมชาวถลางอีกราย

$
0
0

ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต เผยศาลภูเก็ตอนุมัติหมายจับลูกร้านน้ำเต้าหู้ ถูกกล่าวหาผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จนท.จะตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป รวมไปถึงผู้กระทำความผิดอีก 1 รายในพื้นที่ อ.ถลาง ที่เข้าข่ายความผิดในลักษณะเดียวกัน 

20 ต.ค. 2559 จากกรณีกลางดึกคืนวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการรวมตัวชุมนุมของประชาชนในจังหวัดภูเก็ตจำนวนมากราวพันคน ปิดล้อมบริเวณหน้าร้านเต้าหู้สามกอง ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังจากที่มีการส่งต่อข้อมูลในไลน์ซึ่งเป็นภาพสเตตัสบนเฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อว่า ‘สุธี xxxx’ (เซ็นเซอร์โดยประชาไท) ซึ่งผู้ชุมนุมเชื่อว่าเขาเป็นลูกชายของเจ้าของร้านเต้าหู้สามกองและกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงได้มีการนัดรวมตัวไปดำเนินคดี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุด ข่าวสดออนไลน์รายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 10.45 น. วันนี้ (20 ต.ค. 59) พ.ต.อ.วิฑูรย์ กองสุดใจ รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากพล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ให้กำกับดูแลคดีนี้ เปิดเผยว่า การรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆได้เสร็จสิ้นแล้ว และได้เสนอต่อศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาหลักฐานต่างๆ อนุมัติออกหมายจับผู้โพสต์ดังกล่าวแล้วในฐานความผิดตามมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากนี้จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป รวมไปถึงผู้กระทำความผิดอีก 1 รายในพื้นที่ อ.ถลาง ที่เข้าข่ายความผิดในลักษณะเดียวกัน ศาลจังหวัดภูเก็ตอนุมัติออกหมายจับแล้วเช่นกัน

สำหรับการชุมนุมปิดล้อมหน้าร้านเต้าหู้ กลางดึกคืนวันที่ 14 ต่อเนื่องวันที่ 15 ต.ค.นั้น เหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพยายามเจรจาทำความเข้าใจและขอให้สลายการชุมนุม โดยที่ประชาชนที่โกรธแค้นต่อการกระทำดังกล่าวมีการโห่ร้องเป็นระยะ รวมถึงเขียนป้ายข้อความในลักษณะด่าทอแขวนไว้ด้านหน้าร้านด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มหนึ่งขวางปาสิ่งสกปรกเข้าไปในบริเวณดังกล่าวด้วย จนกระทั่ง พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทัพเรือภาคที่ 3 และ มทบ.41 กว่า 30 นายรุดเคลียร์ปัญหา โดยมี สุรทิน เลี่ยนอุดม อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลรัษฎา เข้าร่วมเจรจาพูดคุยกับผู้ชุมนุมนานนับชั่วโมง จนกระทั่งได้ข้อยุติส่งตัวแทนประชาชน 4 คน เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผู้โพสต์เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยฐานะการคลังปีงบประมาณ 59 ยังเข้มแข็ง มีเงินคงคลังกว่า 4 แสนล้าน

$
0
0

 

20 ต.ค. 2559 กฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดประจําปีงบประมาณ 2559 (ต.ค.2558 – ก.ย. 2559) ว่า รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น 2,411,525 ล้านบาท ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีจํานวน ทั้งสิ้น 2,807,373 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 390,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนก.ย. 2559 มีจํานวนทั้งสิ้น 441,300 ล้านบาท

“ฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2559 ยังมีความเข้มแข็งโดยมีระดับ เงินคงคลังที่มากกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล ในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะต่อไป” โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรชี้การข่าวแจ้งเตือนกลุ่มไอเอสเข้าไทย มีมานานแล้ว ย้ำเฝ้าระวังมาตลอด

$
0
0

พล.อ.ประวิตร ระบุการแจ้งเตือนกระแสข่าวกลุ่มไอเอสหลบหนีเข้าไทย มีมานานแล้ว ย้ำติดตามละเฝ้าระวังมาตลอด สถานการณ์โดยรวมขณะนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชี้มีบางกลุ่มที่จงใจสร้างสถานการณ์ แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด 

แฟ้มภาพ (ที่มาเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

20 ต.ค. 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง การแจ้งเตือนกระแสข่าวกลุ่มไอเอสหลบหนีเข้าประเทศไทย ว่า เป็นการแจ้งเตือนที่มีมานานแล้ว ซึ่งประเทศไทยได้ติดตามละเฝ้าระวังมาตลอด ขณะที่สถานการณ์โดยรวมขณะนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การข่าวยังไม่แจ้งเตือนให้เฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษ
 
“มีบางกลุ่มที่จงใจสร้างสถานการณ์ แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนแก๊สน้ำตา วัตถุต้องสงสัยที่พบในซอยเจริญกรุง 36 ที่พบเมื่อเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อีโอดี ได้เก็บวัตถุต้องสงสัยไปตรวจสอบแล้วคาดว่าจะได้ผลที่ชัดเจนเร็ว ๆ นี้” พล.อ.ประวิตร  กล่าว
 
ต่อกรณีคำถามว่าการข่าวมีเหตุใดที่น่าวิตกหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยอมรับว่ามีเรื่องความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบ แต่เรารู้ความเคลื่อน ไม่เป็นไร ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เราติดตามมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดในช่วงนี้ เราติดตามมาตลอดในเรื่องความไม่สงบในทุกๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวต่างๆ เราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้นักท่องเที่ยวเกิดความปลอดภัย รวมถึงประชาชนมากที่สุดที่จะไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
 
ที่มา สำนักข่าวไทยและเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.แนะวิธีรายงานข้อความ 'ไม่บังควร' ในโซเชียลมีเดีย

$
0
0


ที่มา: เพจ กสทช.

 

20 ต.ค. 2559 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เผยแพร่ภาพในเพจเฟซบุ๊ก แนะนำช่องทางสำหรับแจ้งหน่วยงานรัฐ เมื่อพบข้อความ "ไม่บังควร" ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยแนะนำให้แจ้งลิงก์หรือยูอาร์แอลไปที่ 1212@mict.go.th, mm@rta.mi.th หรือ web_report@nbtc.go.th พร้อมแนะนำไม่ให้กดไลก์ กดแชร์ หรือแสดงความเห็น

นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำวิธีรายงานเนื้อหาไม่เหมาะสมไปยังเฟซบุ๊กและยูทูบด้วย

 

ให้ไอเอสพีมอนิเตอร์เนื้อหาโลกออนไลน์ พบไม่เหมาะสมระงับทันที

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายให้ดำเนินการดังต่อไป นี้

1. ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์โดยเคร่งครัด

2. นอกจากการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลข้างต้นแล้ว ให้ติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และหากตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที รวมทั้งประสานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยูทูบ, ไลน์ ฯลฯ ให้ดำเนินการระงับหรือยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันที ทั้งนี้ หากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในทันทีแล้ว ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ กสทช. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

3. ให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบขึ้นภายในองค์กรหรือหน่วยงานท่านเพื่อติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง และหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสมแล้วให้ดำเนินการตาม 2. โดยทันที และให้แจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงาน กสทช. ทราบโดยเร็ว  

4. สำนักงาน กสทช. จะร่วมติดตามและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหากพบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่เหมาะสม จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อผู้กระทำผิดโดยตรงกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ต่อไป ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้ประสานช่องทางการดำเนินการดังกล่าวกับ ปอท. ไว้แล้ว

ทั้งนี้ หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดไม่ปฏิบัติตามดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต สำนักงาน กสทช. จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป
 

กระทรวงดิจิทัล เผยระดม 100 คนมอนิเตอร์เว็บหมิ่น 24 ชม.

ขณะที่วานนี้ (19 ต.ค.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างใกล้ชิด ด้วยการใช้ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 26 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคง ยั่วยุ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รัฐบาลสามารถปิดเว็บหมิ่นได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่เว็บที่ถูกปิดจะเป็นเว็บในประเทศ แต่หากเป็นเว็บที่ต้องเข้ารหัส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเว็บในต่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับลามก อนาจาร หมิ่นสถาบัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาหลักฐาน ซึ่งปกติใช้เวลา 15 วัน กว่าจะส่งเรื่องมาให้รัฐมนตรีดีอี ตรวจสอบ ลงนาม และส่งเรื่องต่อไปยังศาล เพื่อขอหมายศาล และแจ้งไปยังผู้ให้บริการในต่างประเทศ โดยกระทรวงจะพยายามเร่งรัดขั้นตอนนี้ให้เร็วที่สุด

พล.อ.อ.ประจิน ระบุด้วยว่า กระทรวงฯ มีศูนย์ตรวจสอบเว็บหมิ่น 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ได้เพิ่มกำลังบุคลากรที่ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSOC) เพื่อคอยตรวจสอบเว็บไม่เหมาะสมที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จำนวน 28 คน ผลัดหมุนเวียนตลอด 24 ชม. รวมกับศูนย์กองป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดีอี จำนวน 30 คน และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ของ สตช. จำนวน 60 คน รวมกว่า 100 คน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สมานฉันท์แรงงาน' ค้านมติบอร์ดค่าจ้าง ชี้ปรับขึ้นไม่สอดคล้องค่ากินค่าอยู่

$
0
0

'บอร์ดค่าจ้าง' จ่อเสนอครม.ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 4 กลุ่มจังหวัด ตั้งแต่ 'ไม่ขึ้น' ถึง 10 บ. ด้าน 'สมานฉันท์แรงงาน' ค้านมติบอร์ดค่าจ้าง ชี้ปรับขึ้นไม่สอดคล้องค่ากินค่าอยู่ วอนรัฐบาลทบทวน ก.แรงงานมั่นใจปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล

20 ต.ค. 2559 จากกรณีที่วานนี้ ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 19 ครั้งที่ 9/2559 ว่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ประชุมพิจารณาการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2560 โดยใช้สูตรการคำนวณใหม่ ซึ่งเพิ่มปัจจัยชี้วัดทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมกว่า 10 รายการ โดยได้แบ่งค่าจ้างเป็น 4 กลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มที่ไม่ขึ้นเลย จนถึงขึ้น 10 บาท ซึ่งจะนำผลสรุปของคณะกรรมการค่าจ้างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2560 ต่อไป (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น

วันนี้ (20 ต.ค.59) มติชนออนไลน์รายงานว่า ชาลี ลอยสูง รักษาการประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงผลการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ ของคณะกรรมการค่าจ้างว่า ทาง คสรท.และพี่น้องแรงงานต่างไม่พอใจ เพราะผลที่ออกมาทำให้เสียความรู้สึก เนื่องจาก 1.มีจังหวัดที่ไม่ได้ปรับค่าจ้าง หนำซ้ำจังหวัดที่ได้ปรับสูงสุดเพียง 10 บาท ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน และจังหวัดที่ไม่ปรับก็หนักไปอยู่ทางภาคใต้ ความจริงไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะภาคใต้มีความเป็นอยู่ลำบาก ไม่ควรไปกดค่าจ้าง ไม่เพิ่มเลย

“รัฐบาลบอกว่าจะพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และจะเอาเศรษฐกิจไปลงสามจังหวัดภาคใต้ แต่กลับไม่เพิ่มค่าแรงให้คนในจังหวัด แสดงว่าจะทำให้เป็นจังหวัดที่มีค่าแรงต่ำสุดหรือไม่อย่างไร  แบบนี้มองได้หลายมุม เราจึงสงสัยว่าทำไมไม่ปรับให้เท่ากันทั่วประเทศ หากจะปรับ 10 บาท ก็ควรทุกจังหวัดเท่ากันก็ยังดีกว่าปรับขึ้น 5 บาท 8 บาท 10 บาท ไม่เท่ากันแต่ละจังหวัดอีก ปรับแบบนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ค่าครองชีพ ค่ากินค่าอยู่ จะทำอะไรได้” ชาลี กล่าว

ชาลีกล่าวอีกว่า 2.น่าสังเกตว่ามีการพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ 10 รายการระบุกว้างๆ แต่ไม่มีรายละเอียด ซึ่งหากเป็นไปได้ควรจะชี้แจงว่า จังหวัดที่ไม่ปรับได้คะแนนเท่าไร และเกณฑ์คืออะไร และแต่ละข้อใครเป็นผู้พิจารณา นักวิชาการคนไหน ไปเอาตัวไหนเป็นตัวตั้งในการพิจารณา ซึ่งเรื่องแบบนี้มีคนตั้งข้อสังเกตเยอะ คนก็มองเรื่องความยุติธรรมหรือไม่ 3.ในเมื่อใช้คณะอนุกรรมการจังหวัดเป็นเครื่องมือมาตั้งแต่ต้น และมีการเสนอก่อนหน้านั้นว่าควรปรับ 13 จังหวัดในอัตรา 4 บาทไปจนถึง 60 บาท แต่พอมาถึงขั้นคณะกรรมการค่าจ้างกลับไม่ได้เอาข้อเสนอจากคณะอนุกรรมการจังหวัดเลย แบบนี้จะมีไปทำไม

“อย่างกรณีปรับขึ้น 5 บาท หากคิดจริงๆ ผ่านมา 5 ปีเพิ่งจะมาปรับค่าจ้าง ดังนั้น เราคิดเฉลี่ยแล้วตกปีละ 1 บาทเอง  ถามว่าปรับเพิ่มปีละ 1 บาท ถูกต้องหรือไม่ เครือข่ายแรงงานจะมีการหารือกัน และจะทำหนังสือร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อแรงงานทุกคน” ชาลี กล่าว

ก.แรงงานมั่นใจปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล

ด้าน สุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน ยันว่า ขั้นตอนการพิจารณาการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2560 ทุกขั้นตอนภายใต้คณะกรรมการค่าจ้าง ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบด้านแล้ว ซึ่งข้อมูลทุกอย่างได้ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดแต่ละจังหวัด ที่มีผู้แทนทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างด้วยแล้ว รวมทั้งผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง สำหรับการพิจารณาครั้งนี้ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจไปกำหนดแนวทางเพื่อใช้สูตรการคำนวณใหม่ ซึ่งเพิ่มเติมตัวชี้วัดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัดค่าครองชีพ อัตราค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อในปี 2558 - 2559 มาตรฐานค่าเฉลี่ยค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิตราคาสินค้าและบริการ ความสามารถในการประกอบธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ (จีดีพี) คำนวณจากปี 2553 - 2557 รวมทั้งคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ขณะเดียวกันได้ศึกษาค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศเพื่อนบ้านด้วย

ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปกระทรวงแรงงานจะนำผลสรุปของคณะกรรมการค่าจ้างดังกล่าว เสนอ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จากนั้นรัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2560 ต่อไป จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2560 นี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม.ชี้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นฯถือว่าละเมิดสิทธิ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นฯ

$
0
0

ปธ.คณะกรรมการสิทธิฯ เตือนด่าหรือทำร้าย ใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเป็นการละเมิดสิทธิฯ แนะหากคิดว่าผิดก็ไปแจ้งความ ขณะที่ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

20 ต.ค. 2559 วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ประชาชนใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นสถาบันนั้นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นเพราะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ใครทำผิดก็ไปแจ้งความ หรือจะช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา สิ่งเหล่านี้ขอให้ประชาชนช่วยระมัดระวัง เพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกจะทำให้เกิดปัญหาได้

ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์และ ข่าวสดออนไลน์รายงานด้วยว่า จากกรณีที่ศูนย์ 191 ตำรวจสระแก้ว ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน จึงตรวจสอบและพบว่ามีการกระทำดังกล่าว ก่อนประสานไปยัง สภ.วัฒนานคร และส่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเจ้าของเฟซบุ๊คดังกล่าว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 19 ต.ค. หลังจากโพสต์ข้อความไปเพียง 4 ชม. โดยเป็นเยาวชน อายุ 18 ปี 

จากการสอบถามเบื้องต้นยังให้การปฎิเสธ โดยอ้างว่า มีคนอื่นแอบเอาไปเล่น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้นภายในห้องพักพบกัญญา จำนวน 26 ห่อเล็ก น้ำหนัก 25.44 กรัม จึงได้ควบคุมตัวมาสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.00 น. ผู้ต้องหาจำนนต่อหลักฐานจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “เคี๊ย อ๊อฟ” จริง โดยอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภจว.สระแก้ว จึงนำส่ง พ.ต.ท กตัญญู พงเกาะ สว.(สอบสวน) สภ.วัฒนานคร ดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 

ต่อมาเช้าวันที่ 20 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว พื้นที่ที่พบการกระทำผิดดำเนินคดีหมิ่นฯ ตามข้อความมีโพสข้อความในเฟซบุ๊กหลายข้อความ โดยได้ประชุมแนวทางดำเนินคดีร่วมฝ่ายทหาร ตาม ม.112  ที่ สภ.เมืองสระแก้ว ต่อไป 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ธนะศักดิ์ โชว์ตัวเลขท่องเที่ยวครึ่งปีนี้โต 12-16% คาดปมทัวร์จีนกระทบระยะสั้น

$
0
0

พล.อ.ธนะศักดิ์ระบุท่องเที่ยว ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายตัว 12-16% ช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาไทยตามปกติ มั่นใจจะมีนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 32 ล้านคน ยันจัดงานลอยกระทงปกติแต่งดการแสดงคอนเสิร์ต มหรสพและการจัดประกวดนางนพมาศ 

<--break- />

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี

20 ต.ค. 2559 พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ระบุที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายตัว 12-16% ดีขึ้นตามลำดับ และช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาไทยตามปกติ โดยทั้งปียังมั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 32 ล้านคน 

สำหรับการจัดระเบียบบริษัททัวร์จีน พล.อ.ธนะศักดิ์ มองว่า จะส่งผลกระทบในระยะสั้น ที่ทำให้บริษัททัวร์ชะลอการขายแพ็คเกจทัวร์ เนื่องจากกำลังปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานด้านราคาและคุณภาพการให้บริการใหม่ จึงมีผลทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง 
 
พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ในการประชุมในวันนี้ยังได้ติดตามความก้าวหน้าการประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยวไทย-จีน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2559 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน แนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนา Digital Tourism กับ Alibaba Group รวมถึงการจัดระเบียบด้านการท่องเที่ยว การจัดทำระบบประกันภัยสำหรับท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for all) 
 
ส่วนการขับเคลื่อนงานด้านนโยบายและยุทธศาตร์ที่สำคัญในวันนี้ที่ประชุมจะพิจารณาแผนปฏิบัติการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเชื่อมโยง 2 ฝั่งแม่น้ำโขงเลย-ลาว หรือ สี่เหลี่ยมวัฒนธรรมล้านช้าง และพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2564) ซึ่งคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ได้มีมติเห็นชอบตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา

พล.อ.ธนะศัก ยืนยันด้วยว่า การจัดงานเทศกาลลอยกระทงประจำปีนี้ ยังคงดำเนินไปตามปกติทุกพื้นที่ เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของไทยในการขอขมาพระแม่คงคา เพียงแต่ขอความร่วมมือให้งดจัดการแสดงคอนเสิร์ต มหรสพและการจัดประกวดนางนพมาศ ส่วนการแสดงแสงสีและบรรยากาศของเทศกาลลอยกระทงยังคงจัดได้ตามปกติ

 

เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จันทบุรี ปชช.ล้อมหญิงวัยกลางคน หลังถูกกล่าวหาว่าเขียนหมิ่นฯ ในสมุดลงนาม

$
0
0

20 ต.ค. 2559 ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจาก ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 ว่า จับหญิงวัยกลางคนหลังเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
       
หลังรับแจ้ง ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ได้รุดไปที่เกิดเหตุ เมื่อเดินทางไปถึงพบชาวบ้านได้ยืนล้อมกรอบหญิงวัยกลางคนเอาไว้ พร้อมกับนำหลักฐานที่หญิงวัยกลางคนได้เขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ชาวชุมชนย่อยที่ 4 ได้ตั้งสมุดลงนามถวายความอาลัยให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยไว้ภายในชุมชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ซึ่งสร้างความไม่พอใจ และความโมโหให้แก่ชาวบ้านชุมชนย่อยที่ 4 เป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ควบคุมตัวหญิงวัยกลางคนไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
       
ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 กล่าวว่า ตนเองได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมายังจุดที่ลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งเขียนข้อความอยู่ในสมุดลงนามพอดี ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเป็นประชาชนทั่วไปมาลงนามเฉยๆ จากนั้นตนเองก็ไปเลือกผ้า หลังไปไม่นานก็ได้มีเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้กับจุดลงนามว่า มีใครไม่รู้ที่ลงนามคนสุดท้ายมาเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตนเองจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามหา และก็พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่จึงได้เข้าไปสอบถามชื่อหญิงวัยกลางคน แต่หญิงวัยกลางคนไม่บอก กับบอกแก่ตนเองว่า จะทำไม ซึ่งตนเองเลยถามว่าคุณเขียนอะไรไปที่สมุดลงนาม หญิงวัยกลางคนบอกแล้วจะทำไม ตนเองจึงได้เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันจับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะโทร.แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกัน ที่ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวเยาวชน อายุ 18 ปี พร้อมตั้งข้อหาโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง รวมทั้งดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเจ้าตัวอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อังกฤษอนุมัติข้อตกลงขั้นสุดท้ายของ Brexit ต้องผ่านขั้นตอนรัฐสภา

$
0
0

หลังจากการเรียกร้องของนักการเมืองในอังกฤษ ทางการอังกฤษก็ยอมรับให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการอภิปรายและลงมติข้อตกลงการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในขั้นตอนสุดท้าย แต่นายกฯ อังกฤษก็ประกาศว่าไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ถึงขั้นลงมติยกเลิกไม่ออกจากอียู แต่เป็นแค่การอภิปรายเนื้อหาข้อตกลง กระนั้นก็ทำให้ฝ่ายสนับสนุนอียูสามารถแก้ข้อตกลงที่ไม่พอใจได้

(ซ้าย) ผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรเรื่องการแยกตัวจากสหภาพยุโรป เมื่อ 23 มิถุนายน 2559 โดยแบ่งตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ (ขวา) ธงยูเนียนแจ็กของสหราชอาณาจักร คู่กับธงของสหภาพยุโรป ที่อาคารแห่งหนึ่งของลอนดอน ที่มาของภาพประกอบ: 1) Mirrorme22/Nilfanion/Wikipedia และ 2) Dave Kellam/Flickr/Wikipedia (CC.BY-SA 2.0)

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา ส.ส. อาวุโสของอังกฤษที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการจัดการเรื่องการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษหรือ 'เบร็กซิท' (Brexit) เปิดเผยว่ารัฐสภาของอังกฤษมีสิทธิในการลงมติเพื่ออนุมัติหรือคัดค้านข้อตกลงการออกจากสมาชิกภาพอียูของอังกฤษในขั้นตอนสุดท้าย

ดิอินดิเพนเดนต์รายงานว่าเป็นครั้งแรกที่ทางการอังกฤษออกมาเปิดเผยว่ารัฐสภาอังกฤษมีสิทธิ์ในการปฏิเสธข้อตกลงเบร็กซิทซึ่งทางการอังกฤษระบุว่ามี "ความเป็นไปได้สูง" ที่ ส.ส. อังกฤษจะได้โหวตลงมติในสภาในประเด็นนี้ถ้าหากการเจรจาให้ถอดถอนข้อตกลงนี้

เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษปฏิเสธมาโดยตลอดในเรื่องที่จะให้รัฐสภาอังกฤษลงมติในเรื่องนี้ได้ เมย์เปิดเผยว่าเธอจะประกาศใช้กฎหมายมาตรา 50 ภายในช่วงเดือน มีนาคม ปี 2560 เพื่อดำเนินการให้มีกระบวนการอภิปรายกันถึงเรื่องกระบวนการออกจากสมาชิกภาพอียูในระหว่าง 2 ปีหลังจากนั้น แต่ก็ปฏิเสธว่าการลงมติในสภาจะไม่เป็นไปเพื่อล้มเลิกข้อตกลงการออกจากสมาชิกภาพอียู เราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ

ส.ส. อาวุโสจากพรรคอนุรักษ์สายสนับสนุนอียูนิยมรายหนึ่งกล่าวว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการโหวตเรื่องนี้ในสภาถือเป็น "ชัยชนะสำหรับผู้ที่เชื่อในสิทธิของรัฐสภาในฐานะผู้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง"

ทางด้านฮิลลารี เบนน์ ส.ส. ฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานอังกฤษผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการพิจารณาเรื่องเบร็กซิทกล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่ "ไม่สามารถเข้าใจได้" ถ้าหากส.ส.อังกฤษจะไม่มีการลงมติในข้อตกลงสมาชิกภาพอียู เบนน์ยังให้สัมภาษณ์กับวิทยุบีบีซีอีกว่ารัฐสภาอังกฤษจะเป็นผู้พิจารณาแผนการหารือเรื่องเบร็กซิทและจะมีบทบาทในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของข้อตกลงด้วย

"มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าหากรัฐสภาจะไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตย... ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงซึ่งเป็นการต่อรองที่ซับซ้อนหลังมีการบรรลุข้อตกลงแล้ว" เบนน์กล่าว

ก่อนหน้านี้ยังมีการดำเนินการทางกฎหมายในเรื่องที่รัฐบาลอังกฤษไม่อนุญาตให้รัฐสภาลงมติกันก่อนที่จะมีการใช้กฎหมายมาตรา 50 ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ส.ส. อังกฤษอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเบร็กซิทในบางด้านที่พวกเขาไม่พอใจได้

 

เรียบเรียงจาก

British parliament must have vote on final Brexit deal: senior lawmaker, Reuters, 20-10-2016

Brexit could be halted after Government admits MPs likely to have final say, The Independent, 20-10-2016

Parliament will get a vote on Brexit treaty, Theresa May confirms, The Telegraph, 18-10-2016

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์ห่วงคดีจำนำข้าว คิดถึงเรื่อง 'กำไร-ขาดทุน' รัฐบาลต่อไปจะดูแลปชช.ยากขึ้น

$
0
0

ยิ่งลักษณ์ เข้ารับฟังการสืบพยานจำเลยนัดที่ 5 ในคดีข้อกล่าวหาทุจริตจำนำข้าว พร้อมปฏิเสธจ่ายค่าเสียหายคดีละเมิด 3 หมื่นล้านยืนยัน ไร้ความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ 

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก TV24 สถานีประชาชน

21 ต.ค. 2559 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนาย เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตส.ส. และสมาชิกพรรค ร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย ทั้งนี้ทันทีที่ ยิ่งลักษณ์ มาถึง ประชาชนซึ่งวันนี้ได้แต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ โดยไม่ได้ส่งเสียงเชียร์

มติชนออนไลน์รายงานว่า  ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าศาลกรณีกระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ขอเรียนว่าในช่วงที่คนไทยกำลังโศกเศร้าจะยังไม่ขอแถลงการณ์ใดๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับตนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องนโยบายและยังไม่เคยมีใครถูกกระทำในเวลาอันเร่งรีบมาก่อน

“ดิฉันขอยืนยันจะใช้สิทธิทุกช่องทาง ทางกฎหมายที่มีในการต่อสู้ครั้งนี้ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงการใช้คำสั่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม และจะเปิดแถลงการณ์ในเวลาอันควร เพราะเป็นช่วงที่คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้า เราคิดว่าเราคงจะไม่พูดอะไรมากในตอนนี้” ยิ่งลักษณ์ กล่าว

ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการดำเนินคดีนี้จะทำให้การบริหารนโยบายเพื่อชาวนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง การคิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุน รัฐบาลต่อไปคงจะดูแลประชาชนและชาวนาได้ยากขึ้น และมาตรการต่างๆ คงจะไม่สามารถมีได้อีกต่อจากนี้

ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาค่าเสียหายตั้งแต่ต้น หลังจากนี้จะแถลงการณ์ในวัน และเวลาที่เหมาะสม

Voice TVรายงานด้วยว่า สำหรับวันนี้ ทนายความจำเลยเบิกตัวพยาน 2 ปากขึ้นแก้ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ขึ้นเบิกความยืนยันกระบวนการประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่ออดีตคณะรัฐมนตรี และ เกษม มกราภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบาย และกำกับการบริหารหนี้สาธารณะในขณะนั้น ขึ้นเบิกความการควบคุมวินัยทางการคลัง ในช่วงที่รัฐบาลกู้เงินในทุกฤดูกาลผลิต
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจรจานัด 8 'สหภาพฯ-ธ.กรุงเทพ' ขอ พนง.มีโอกาสเท่าเทียมเลือกตั้ง กก.ลูกจ้าง

$
0
0
สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพขอธนาคารให้การเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย เปิดกว้างให้พนักงานทั่วประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย

 
21 ต.ค. 2559 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพแจ้งต่อสมาชิกสหภาพแรงงานว่าในการเจรจาเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างประจำปี 2559 ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่  19 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมานั้น สืบเนื่องจากการเจรจาครั้งที่ 7 เรื่องที่ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงาน ให้ธนาคารเปิดเผยผลตอบแทนจากการจำหน่าย Product ต่าง ๆ ของธนาคาร ยังเป็นประเด็นที่ทีมเจรจาฝ่ายธนาคารรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนและนำมาแจ้งให้พนักงานทราบต่อไป
 
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับตัวเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโบนัส, เงินช่วยเหลือหลังเกษียณ 200,000 บาท, ปรับฐานเงินเดือน 10%, และเพิ่มเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายนายจ้าง 10% ได้รับการยืนยันจากตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคารว่าต้องรอรายละเอียดของข้อมูลให้รอบด้านเพื่อนำเสนอต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจ อันจะมีผลการเจรจาได้รวดเร็วขึ้น ส่วนกรณีที่มีประกาศเรื่อง เลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ซึ่งลงนามโดยกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ฉบับลงวันที่ 10 ต.ค. 2559 ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงาน ได้ท้วงติงว่าการเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างนั้นควรดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและเปิดกว้างให้พนักงานทั่วประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างในครั้งนี้ด้วย
 
นอกจากนี้ในการเจรจาตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานได้เสนอให้ตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคาร พิจารณาแจกเสื้อสีดำให้แก่พนักงานทุกคน เพื่อแสดงความไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
 
 
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

เจรจานัด 6-7 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพระบุปัญหา OT ยังไม่ได้แก้
เจรจานัด 5 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ' ไม่อยากให้ พนง. ซื้อผลิตภัณฑ์เองหากไม่เข้าเป้า
'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' เจรจานัด 4 สหภาพชี้ควรเพิ่มค่าตอบแทนให้ 'พนง.ตัวแทนซื้อขายกองทุน' ด้วย
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ เผยธนาคารจะเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานหญิงใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูเตอร์เตประกาศแยกทางความสัมพันธ์ฟิลิปปินส์-สหรัฐอเมริกา

$
0
0

ในระหว่างการเยือนจีนของผู้นำฟิลิปปินส์ 'โรดริโก ดูเตอร์เต' ประกาศแยกทางจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นชาติพันธมิตรยาวนาน ขณะที่จีนเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ 15 ล้านเหรียญจะใช้บำบัดผู้ใช้ยาเสพติด ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการคำอธิบายจากคำกล่าวของดูเตอร์เต

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พบกันเมื่อ 20 ตุลาคม 2559 (ที่มาของภาพ: Xinhua/Li Xueren)

21 ต.ค. 2559 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้นำฟิลิปปินส์ประกาศระหว่างเยือนจีนว่า เขาแยกจากสหรัฐที่เป็นพันธมิตรยาวนานกับฟิลิปปินส์ โดยถ้อยแถลงของประธานาธิบดีดูเตอร์เตมีขึ้นภายหลังได้พบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งวันนี้ ซึ่งผู้นำทั้งสองให้คำมั่นจะเพิ่มความเชื่อมั่น และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น

โดยดูเตอร์เตกล่าวว่า เขาขอประกาศการแยกตัวจากสหรัฐ สหรัฐไม่ได้ควบคุมชีวิตของพวกเรา

ในรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยการออกมากล่าวในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการเดินทางเยือนจีน 4 วันของ ดูเตอร์เตเพื่อเข้าพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการยืนยันการแยกตัวจากรัฐบาลสหรัฐไปเข้าหาจีน ด้านสี จิ้นผิง เรียกฟิลิปปินส์ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่อีกฝั่งของทะเล และไม่มีเหตุผลที่จะต้องเป็นปฏิปักษ์กันหรือเผชิญหน้ากัน

ด้าน จอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถอธิบายถึงการกล่าวของ ดูเตอร์เตได้ และกำลังหาคำอธิบายของ ดูเตอร์เตว่า ทำไม ดูเตอร์เตถึงใช้คำว่าแยกตัวออกจากสหรัฐ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาวุโสในรัฐบาลสหรัฐกล่าวว่า ทางการฟิลิปปินส์ยังไม่มีการส่งคำขออย่างเป็นทางการเพื่อปรับเปลี่ยนความร่วมมือกับทางรัฐบาลสหรัฐ

ในรายงานของอัลจาซีราโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ฮวา ชุนยิง แถลงว่าทั้ง 2 ประเทศมีการลงนามข้อตกลงทวิภาคี 13 ฉบับ

ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของฟิลิปปินส์ รามอน โลเปซ ระบุว่า ในสัปดาห์นี้จะมีการลงนามความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย คิดเป็นมูลค่า 1.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ขณะที่สำนักงานโทรคมนาคมฟิลิปปินส์ระบุว่า ฝ่ายจีนเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดย 1 ใน 3 จะเป็นแหล่งเงินกู้จากธนาคารเอกชน นอกจากนี้เงินกู้มูลค่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้บำบัดผู้ป่วยยาเสพติด 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลิกมโน ผู้ว่าฯนนท์ แจงหญิงสาวเสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยเป็นผู้ป่วยทางจิต

$
0
0

หลังกระแสวิจารณ์ความเหมาะสมหญิงสวมเสื้อสมลงนามไว้อาลัย รวมทั้งจินตนาการเป็น 'ลูกเกด NDM' ไปจนถึงแผนล่อให้คนมาทำร้าย ล่าสุด ผู้ว่าฯ นนทบุรี แถลงยืนยันจากการตรวจสอบ เธอเป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน

21 ต.ค. 2559 จากกรณีมีผู้นำภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยในหลวง ที่ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดนนทบุรี โพสต์ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม รวมทั้งมีผู้พยายามเชื่อมโยงว่าเธอเป็น ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) จน ชลธิชา ต้องเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว (อ่านรายละเอียด) นั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี นิสิต จันทร์สมวงศ์ ผวจ.นนทบุรี สุธี ทองแย้ม รอง ผวจ. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี และ นพ.สรวุฒิ เกษมสุข จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งจิตแพทย์ได้ไปยังบ้านหญิงสาวรายนี้ที่บ้านพัก พบว่า เป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorders) โรคจิตในกลุ่มนี้มีลักษณะหลากหลายแตกต่างกัน (Heterogenous) โดยอาการทางจิตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย อาการหลงผิด ประสาทหลอน การรับรู้ผิดปกติและพฤติกรรมผิดปกติ เบื้องต้นทางจังหวัดนนทบุรีได้ส่งคณะจิตแพทย์ติดตามดูแลบุคคลดังกล่าวแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรณีผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มนี้นอกจากมีการพยายามโยงกับ ชลธิชา แล้ว ยังมีความพยายามโยงว่า เธอ เข้ามากระทำการดังกล่าวเพื่อหวังให้คนมาทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเธอ โดย เพจการ์ตูนอย่าง 'เผาหัว' ยังมีการวาดภาพในลักษณะนี้ด้วย

ที่มา เพจ เผาหัว

  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองสงขลาสั่งสำนักนายกฯ ชดเชย 'รายู ดอคอ' 3 แสน กรณีถูกซ้อมทรมาน-ละเมิด

$
0
0

ศาลปกครองสูงสุดสงขลาพิพากษาคดีให้สำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล กอ.รมน.จ่ายเงินสินไหมทดแทนจำนวน 348,588 บาทแก่ผู้ฟ้องคดีรายู ดอคอ กรณีถูกซ้อมทรมาน-ละเมิด-ทำให้หวาดกลัว ซึ่งขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องมีอายุเพียง 18 ปี

19 ต.ค. 2559 ศาลปกครองสงขลาอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณี รายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จากกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1, กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 กรณีการละเมิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากไปปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมและควบคุมตัวน รายู ดอคอ พร้อมกับอิหม่ามยะผา กาเซ็ง นำตัวไปแถลงข่าวว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ และแถลงว่ารายู ฆ่าผู้อื่น โดยไม่เป็นความจริง ซึ่งในขณะนั้นผู้ฟ้องคดีมีอายุเพียง 18 ปี

โดยศาลปกครองสูงสุดพิจารณายกฟ้อง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 โดยให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เป็นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นจำนวนรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 303,120 บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ทำละเมิดตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2553 คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 45,468 บาท รวมเป็นเงินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องชดใช้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิ้น 348,588 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 303,120 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งค่าสินไหมชดเชยทั้งหมดมีรายละเอียดดังนี้

  • ค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย ผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทำร้ายร่างกายในระหว่างการควบคุมตัว โดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 คดีนี้การที่ผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จับกุมและร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซ้อมและทรมานผู้ฟ้องคดีที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 18 ปี เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบฯ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่เห็นชอบด้วยกฎหมาย ทั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 ทำร้ายร่างกายผู้ฟ้องคดีจริงในระหว่างควบคุมตัว เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และสภาพความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ กำหนดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 100,000 บาท
     
  • ค่าเสียหายจากการได้รับทุกขเวทนาต่อจิตใจ ระหว่างการควบคุมตัวนั้นเจ้าหน้าที่ได้มีการร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซ้อมและทรมานผู้ฟ้องคดีเป็นเวลาหลายชั่วโมงทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำที่หน้าอก เอว หลัง ข้อเท้า มีเลือดคั่งที่ซอกเล็บ ปัสสาวะขัด เจ็บบริเวณหน้าอก ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลแพทย์ รพ.ค่ายอิงคยุทธบริหาร และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ไม่ได้โต้แย้งในข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องได้กล่าวอ้าง ประกอบกับยะผา กาเซ็งที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันกับผู้ฟ้องคดีได้ถูกทำร้ายร่างกายและต่อมานายยะผาถึงแก่ความตายในระหว่างควบคุมตัว ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีความหวาดกลัวต่อชีวิต ทั้งมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ฟ้องคดีที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้เยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะศาลพิจารณาให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 50,000 บาท
     
  • ค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และร่างกาย ตามมาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีถูกควบคุมตัวจนถึงได้รับการปล่อยตัวเป็นจำนวน 26 วัน นั้นเป็นการควบคุมตัวที่เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่มีเหตุจำเป็นและการควบคุมตัวผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้เยาว์ร่วมกับผู้ใหญ่ ตลอดจนมีการทำร้ายร่างกาย ทรมาน ทารุณกรรม หรือลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายไร้มนุษยธรรมต่อผู้ฟ้องคดีและบุคคลอื่นที่ควบคุมพร้อมกัน โดยที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองตลอดจนการจับกุมควบคุมตัวผู้ฟ้องคดี เมื่อเทียบกับความเสียที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรับรองไว้ เจ้าหน้าที่ของรัฐพึงต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายแรง ดังนั้นศาลพิจารณาให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท
     
  • สำหรับค่าเสียหายต่อชื่อเสียง เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดแจ้งหรือมีคำพิพากษาของศาลว่าผู้ฟ้องคดีกระทำความผิดตามที่กล่าวหาจริง แต่การลงข่าวโดยระบุว่าผู้ฟ้องคดีกับพวกที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันเป็นผู้ต้องสงสัยกลุ่มก่อความไม่สงบ และมีพยานผู้เสียหายชี้ตัวผู้ฟ้องคดีว่าเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงนายธนากร ภูรัตนโรจน์ และสื่อมวลชนนำความดังกล่าวไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันเผยแพร่ไปทั่วประเทศ มีผลต่อสิทธิส่วนบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ เมื่อผู้ฟ้องคดีถูกปล่อยตัวแล้ว ก็ไม่สามารถกลับไปรับจ้างกับนายจ้างคนเดิมและไม่มีผู้ใดว่าจ้าง ด้วยเหตุที่มีการลงข่าวแพร่หลาย และไม่ปรากฏว่าหลังจากการปล่อยตัวผู้ฟ้องคดี เจ้าหน้าที่ได้มีการแก้ข่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี กรณีนี้ศาลพิจารณาให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 50,000 บาท
     
  • ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ ก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะถูกควบคุมตัว ผู้ฟ้องคดีมีอาชีพรับจ้างกรีดยางและรับจ้างทั่วไป รายได้วันละประมาณ 120 บาท นับแต่วันที่ถูกกระทำละเมิดวันที่ 19 มีนาคม 2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี จากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีถูกจับเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2551 ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2551 มารดาผู้ฟ้องคดีได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ ว่าผู้ฟ้องคดีถูกทำร้าย และถูกควบคุมตัวอีกเป็นระยะเวลา 22 วัน รวมระยะเวลาผู้ฟ้องคดีถูกควบคุมตัว 26 วัน ถือเป็นระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ เห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 3,120 บาท

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเดย์ 25 ต.ค.นี้ รถตู้วิ่งกรุงเทพฯ-ตจว. เข้าใช้สถานีขนส่งฯ

$
0
0

คณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ฯ ย้ำดำเนินงานตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ วิ่งเส้นกรุงเทพฯ – ต่างจังหวัด ไม่เกิน 300 กม. เข้าใช้สถานีขนส่งฯ ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ มีชัตเตอร์บัสบริการ BTS จตุจักร – หมอชิต2, อนุสาวรีย์ฯ –  หมอชิต2, เอกมัย และ ปิ่นเกล้า ฝ่าฝืนโทษปรับถึงเพิกถอนใบอนุญาต

21 ต.ค. 2559 พ.อ.สุวิทย์ เกตุศรี รองผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะเข้าใช้สถานีขนส่งจตุจักร ,สายใต้ ,เอกมัย  กล่าวว่า การดำเนินงานจัดระเบียบรถตู้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้รถตู้ประจำทาง หมวด 2 วิ่งเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัด ระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตร เข้าใช้พื้นที่สถานีขนส่งฯ ทั้ง 3 แห่ง ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ และเพื่อให้การจัดระเบียบรถตู้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้จัดตั้งศูนย์ติดตามการปฏิบัติในการนำรถตู้โดยสารสาธารณะ หมวด 2 เข้าสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้ง 3 แห่ง อำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการรถตู้ จำนวน 5 ศูนย์ โดยศูนย์หลักตั้งอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) 

นพรัตน์ การุณยะวนิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารการเดินรถ บขส. กล่าวว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ และเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบรถร่วม บริษัท ขนส่ง จำกัด พ.ศ. 2547 ข้อ 42,75 ขอให้ผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะ (รถร่วม) ทุกราย ที่จำหน่ายตั๋วอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และบริเวณอื่น ๆ นอกสถานีขนส่ง ย้ายเข้ามาจำหน่ายตั๋วบริเวณที่กำหนด และนำรถเข้ารับ-ส่งผู้โดยสารภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร, เอกมัย, สายใต้ปิ่นเกล้า) ภายในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ พร้อมห้ามจำหน่ายตั๋วบริเวณใต้ทางด่วน ด้านหน้าสถานีฯ และพื้นที่โดยรอบสถานีฯ หากไม่ปฏิบัติหรือละเลยการปฏิบัติตาม บขส. จะพิจารณาลงโทษตามระเบียบขั้นสูงสุดต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรถตู้ที่จะนำรถเข้ามาวิ่งให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องนำหลักฐานประกอบด้วย บัตรประจำรถและบัตรประจำตัวผู้ขับขี่ ซึ่งออกโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด มาแสดงเพื่อซื้อใบเวลา ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะนำรถออกวิ่งให้บริการได้ ซึ่งการออกใบวิ่งจะช่วยให้ บขส. สามารถควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัย ทั้งพนักงานขับรถ และตัวรถได้ 

สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการเดินทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้ง 3 แห่ง องค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้นำรถ ชัตเตอร์บัส มาวิ่งให้บริการรับส่ง เส้นทาง อนุสาวรีย์ – หมอชิต 2 , รถไฟฟ้า BTS จตุจักร – หมอชิต 2 จำนวน 9 คัน ,เส้นทางอนุสาวรีย์ – เอกมัย จำนวน 4 คัน และเส้นทางอนุสาวรีย์ – ปิ่นเกล้า จำนวน 4 คัน โดย ขสมก. พร้อมปรับเปลี่ยนจำนวนเที่ยวรถรถโดยสารเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการต่อไป

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายมีโทษตั้งแต่ปรับ 5,000 บาท หรือถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการเดินรถ เพื่อให้เป็นไป ตามนโยบาย คสช.

 

ที่มา เพจ บขส. และ สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live


Latest Images