Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

หมายเหตุประเพทไทย #127 ตามหาอนุสาวรีย์รำลึก 6 ตุลา 19

$
0
0

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ยังอยู่ในชุดรำลึก 40 ปี 6 ตุลาคม 2519 โดย ชานันท์ ยอดหงษ์ และเจนวิทย์ เชื้อสาวะถี ออกตามหาตำแหน่งแห่งที่ของความทรงจำรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้พบว่านอกจากประติมากรรมด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และป้ายชื่อห้อง 'จารุพงษ์ ทองสินธุ์' เพื่อรำลึกถึงนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอนุสาวรีย์ หรือความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับ 6 ตุลาคม 2519 ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล

นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาของเยอรมนี ที่มีอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป และอนสุรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงการข่มเหงคนรักเพศเดียวกันในยุคนาซี โดยอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นนี้เกิดขึ้นในบริบทที่รัฐบาลเยอรมนีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยอมรับผิดในสิ่งที่รัฐบาลยุคนาซีก่อขึ้นด้วย ในขณะที่กรณีของไทย รัฐบาลยังไม่เคยยอมผิดต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และยังมีการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ด้วย

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่

https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ

https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรเพชร สัมมนาแนะนำบทบาท 33 สนช.ใหม่ รอง.ปธ.ชี้ทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน

$
0
0

ประธาน สนช. เปิดสัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ 33 สนช. ใหม่ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ รองประธาน สนช. ระบุถึงการเข้ามาทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย 

<--break- />

ภาพจาก  วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

21 ต.ค. 2559 พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ สนช.ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จำนวน 33 คน ซึ่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ สนช. จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ จริยธรรมของสมาชิก การดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการ การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริงในวันที่เข้ารับตำแหน่งหรือวันที่พ้นจากตำแหน่งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์และการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สนช.

พรเพชร ยังได้กำชับต่อสมาชิกถึงภารกิจสำคัญด้านนิติบัญญัติ โดยเฉพาะการเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงนี้ที่จะต้องพิจารณากฎหมายจำนวนมาก ทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป กฎหมายที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้

ขณะที่ พีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช. คนที่ 2 ปาฐกถาพิเศษเรื่องจริยธรรมของสมาชิก โดยระบุถึงการเข้ามาทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย รับผิดชอบงานด้านนิติบัญญัติ และแม้ที่ผ่านมาทุกคนมาจากหน้าที่ที่หลากหลาย แต่สามารถดำเนินงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย แต่ทุคนล้วนมีความรับผิดชอบ ส่วนการเข้าทำหน้าที่ของ สนช.ใหม่ในคณะกรรมาธิการสามัญ 16 คณะนั้น ไม่จำเป็นต้องแก้ไขข้อบังคับการประชุม สมาชิกใหม่สามารถเข้าไปเพิ่มจำนวนในคณะกรรมาธิการที่มีอยู่แล้วได้ทันที

 

ที่มา วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประจิน' หารือผู้บริหาร Google -Youtube ประจำภูมิภาค ปมเว็บ-คลิปหมิ่นกษัตริย์

$
0
0

พล.อ.อ.ประจิน เผย ผู้บริหาร Google และ YouTube ยืนยันให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย จัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นในไทย ที่สหรัฐอเมริกา และทีมงานดังกล่าวมีคนไทยรวมอยู่ด้วย จ่อคุยกับ LINE และ Facebook เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการต่อไป

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี

21 ต.ค. 2559  วันนี้ (21 ต.ค.59) เมื่อเวลา 16.30  แอน เลวิน (Ann Lavin) ผู้บริหารระดับสูงของ Google และ Youtube ประจำภูมิภาคเอเชีย เข้าพบและหารือกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

โดย เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลสรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของ Google หารือถึงวิธีการสกัดกั้นและยุติเว็บไซต์และคลิปวิดีโอที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และสร้างความสับสนให้กับสังคมไทย โดยทางผู้บริหารระดับสูงของ Google กล่าวว่า ทาง Google ได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทยในช่วงระยะเวลานี้ โดยยินดี Google ปรับแนวทางเพิ่มเติม โดยจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจในประเทศสหรัฐที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับประเทศไทย และได้ปรับแบบฟอร์มร้องเรียนเว็บไซต์และคลิปวีดีโอที่ไม่เหมาะสมในรูปแบบภาษาไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกับ Google โดยตรง รวมถึงทีมงานเฉพาะกิจในประเทศสหรัฐยินดีเร่งดำเนินการสกัดกั้นเว็บไซต์ที่และคลิปวีดีโอที่ไม่เหมาะสมให้ไทย หากทางฝ่ายไทยส่งข้อมูลเบื้องต้นไปให้ Google อาทิ ที่อยู่ของเว็บไซต์ เวลาที่โพสต์คลิปวีดีโอ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีรายละเอียดของเว็บไซต์หรือคลิปวีดีโอและคำสั่งศาล ทาง Google ขอให้ไทยส่งตามไปภายหลังได้

สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า พล.อ.อ.ประจิน เปิดเผยภายหลังผู้บริหาร Google และ Youtube เข้าพบดังกล่าวว่า ขณะนี้มีการทำให้เกิดความสับสนในสังคมว่ารัฐบาลต้องการสกัดกั้นและยุติ โดยผู้บริหาร Google และ YouTube ยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาจึงตัดสินใจปรับแนวทาง โดยจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่สหรัฐอเมริกา และทีมงานดังกล่าวมีคนไทยรวมอยู่ด้วย พร้อมทั้งปรับแบบฟอร์มข้อร้องเรียนให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการส่งข้อมูลจากประเทศไทย และให้ทีมงานเฉพาะกิจเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็วเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้จะมีการแบ่งแบบฟอร์มเป็นประเภท ที่อยู่ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและเวลาในการตรวจพบ ซึ่งหากส่งข้อมูลไปทางทีมงานดังกล่าวก็จะดำเนินการให้ ขณะที่ไทยได้จัดตั้งทีมงานเพื่อประสานโดยตรงกับ Google และ YouTube เพื่อให้ครอบคลุม และให้การแจ้งข้อมูลร้องเรียนดำเนินการได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ซึ่งประเทศไทยจะมีหมายศาลแจ้งไปภายใน 15 วันตามข้อกำหนดของศาล ซึ่งอาจเร็วกว่านั้น

ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ส่วนตัวได้ตั้งทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ภาษาและเทคนิค ติดต่อไปยัง LINE และ Facebook เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดทำมาตรการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น หน่วยงานดังกล่าวรับทราบถึงความรู้สึกของคนไทยที่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ส่วนการขอ User หรือ ID ผู้กระทำความผิดนั้น ตามกระบวนการระหว่างประเทศ ต้องปรับข้อตกลงซึ่งในวันพรุ่งนี้ จะยื่นเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศขอสิทธิ์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาให้พิจารณาตกลงให้ข้อมูลซึ่งถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Google ขณะที่การตรวจพบผู้กระทำความผิดในระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นพบว่ามีผู้กระทำความผิด 120 ราย และไม่ค่อยพบว่าเป็นชาวต่างชาติ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะกนพ.ไฟเขียว ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษนราฯ 1,730 ไร่

$
0
0

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียฯ 

31 ต.ค. 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 3/2559 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ภายหลังการประชุม ปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ ร่วมกันแถลงผลการประชุม กนพ. ซึ่งมีมติที่สำคัญ 5 เรื่อง โดยเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ไว้ ดังนี้

1. ที่ประชุมเห็นชอบผังการจัดพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี พร้อมรับทราบแผนการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี (ฉบับปรับปรุง) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2564 และเห็นชอบโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้าม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. 2481 โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลางฯ และทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป

2. เห็นชอบผลการคัดเลือกของคณะทำงานสรรหา คัดเลือก และเจรจาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่ให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาที่ราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ 895-0-44 ไร่ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด ตามที่กรมธนารักษ์เสนอ และให้กรมธนารักษ์พิจารณาจัดให้บริษัทฯ เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าว ตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนของทางราชการต่อไป

3. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามข้อเสนอของกรมธนารักษ์สำหรับใช้เป็นแนวทางสรรหา ผู้ลงทุนในระยะต่อไป อาทิ ผ่อนคลายระยะเวลาจัดทำข้อเสนอการลงทุนจาก 60 วัน เพิ่มเป็น 90 วัน และเปิดกว้างให้ผู้เสนอการลงทุนสามารถเสนอผลงานย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี ครอบคลุมประสบการณ์ในลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่น การค้า การลงทุน โลจิสติกส์ บริการ หรือภาคการผลิต (อุตสาหกรรมทั่วไป/นิคมอุตสาหกรรม) เป็นต้น

4. เห็นชอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดซื้อที่ดินเอกชน เนื้อที่ประมาณ 1,730 ไร่ จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส เพื่อสนับสนุนให้เกิดโครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับเป็นแหล่งแปรรูปผลผลิตและจ้างงานประชาชนในพื้นที่

5. รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (1) ปัจจุบันมีเอกชนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สระแก้ว มุกดาหาร หนองคาย เชียงราย สงขลา กาญจนบุรี และตราด จำนวน 40 โครงการ วงเงินรวม 7,211.55 ล้านบาท โดยผ่านการอนุมัติแล้ว 28 โครงการ วงเงิน 5,574.66 ล้านบาท (2) แรงงานกัมพูชาและแรงงานเมียนมาได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานลักษณะไป-กลับหรือตามฤดูกาลได้แล้ว (3) โครงการโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรที่ได้รับงบประมาณปี 2559 สามารถดำเนินการได้ตามแผนงาน (4) การจัดหาที่ดินของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่สองจะดำเนินการในนครพนมและกาญจนบุรีก่อน (5) การได้รับจัดสรรงบประมาณแผนงบประมาณบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยในปีงบประมาณ 2558 ได้รับจัดสรรงบกลาง 2,377.76 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2559 ได้รับจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 6,168.91 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2560 ได้รับจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 3,305 ล้านบาท

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายผีและจิตร ภูมิศักดิ์ กับการ ‘แยกศาสนาจากรัฐ’

$
0
0


 

หลังปฏิวัติสยาม 2475 ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสนอให้ “แยกศาสนาจากรัฐ” เสียทีเดียว เพราะ “นายผี” หรืออัศนี พลจันทร (2461-2532) เคยเสนอผ่านบทความ “ศาสนาถูกกระชากไปสู่ตะแลงแกง” ในนามปากกา “อินทรายุธ” เผยแพร่ในอักษรสาส์น ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน 2492 ว่า

อันที่จริงศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม จึงควรแยกกันให้เด็ดขาดจากรัฐ และจากการอบรมสั่งสอนประชากรของประเทศ ไม่ควรที่ใครจะถูกกีดกันหวงห้ามหรือรังแก ในการที่จะนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

ข้อเสนอดังกล่าวสะท้อนแนวคิดโลกวิสัย (secularism) และขบวนการทำให้เป็นโลกวิสัย (secularization) ที่ถือเป็นสิ่งบ่งบอก “สภาวะสมัยใหม่” (modernity) อย่างหนึ่งในโลกตะวันตก นั่นคือการแยกศาสนาจากรัฐ-การเมือง ไม่นำความจริงสูงสุดหรือความดีสูงสุดตามความเชื่อทางศาสนามาเป็นอุดมการณ์ในการปกครอง และแยกศาสนาออกจากปริมณฑลของพื้นที่สาธารณะ ให้ศาสนาอยู่ในปริมณฑลของพื้นที่ส่วนตัวเป็นต้น

รูปธรรมคือ ต้องแยกศาสนจักรออกจากสถาบันการปกครอง คือให้องค์กรทุกศาสนาเป็นเอกชน รัฐต้อง “เป็นกลางทางศาสนา” (religion neutral) ไม่มีหน้าที่อุปถัมภ์ศาสนาใดๆ มีหน้าที่เพียงรักษาเสรีภาพและความเสมอภาคในการที่ปัจเจกบุคคลจะนับถือหรือปฏิเสธศาสนาใดๆ รัฐไม่ส่งเสริมและไม่ต่อต้านศาสนาใดๆ แต่ให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนที่จะนับถือ อุปถัมภ์ศาสนาใดๆ หรือปฏิเสธไม่นับถือศาสนาใดๆ โดยรัฐต้องปฏิบัติต่อคนมีศาสนาและไม่มีศาสนาเสมอภาคกัน

แต่ข้อเสนอของนายผีนอกจากสะท้อนแนวคิดโลกวิสัยดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการวิพากษ์บนจุดยืนแบบมาร์กซิสม์ (Marxism) ที่โจมตีว่า “ศาสนาเป็นดังยาฝิ่นของประชาชน ดังนั้นการจัดการศาสนาในทางที่ถูกต้องแล้ว ประชาชนทุกคนย่อมจะมีความเสรี”ขณะเดียวกันเขาก็ยืนยันว่า “ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน” ซึ่งแปลว่าเขาไม่ได้เสนอให้รัฐ “ไม่มีศาสนา” เพราะศาสนาที่เป็นยาฝิ่นหมายถึงศาสนาที่ถูกชนชั้นนำ (elites) ใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนสถานะและอำนาจของชนชั้นตัวเองเท่านั้น

ข้อเสนอแยกศาสนาจากรัฐของนายผีเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2490 ซึ่งเป็นช่วงอำนาจของคณะราษฎรถูกทำลายลง และเป็นช่วงที่ชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมตีความพุทธศาสนาสร้าง “อำนาจนำทางวัฒนธรรม” (cultural hegemony) เพื่อสนับสนุน “อำนาจนำทางการเมือง” (political hegemony) ของฝ่ายตนที่สถาปนาขึ้นในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา

ขณะที่ชนชั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้าง “ความทรงจำร่วม” ทางประวัติศาสตร์ว่าพุทธศาสนากับสถาบันการปกครองและวิถีชีวิตของชนชาติไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาโดยตลอด ทำให้ประเทศชาติอยู่รอดมาได้ เป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นของตัวเองที่เราควรภาคภูมิใจ

ฉะนั้น โดยความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว จึงไม่มีเหตุผลที่สังคมไทยต้องแยกศาสนาจากรัฐ เพราะนอกจากสังคมเราจะไม่มีการใช้ศาสนากดขี่ประชาชนเหมือนประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกแล้ว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพุทธศาสนากับสถาบันการปกครอง ยังช่วยให้ชนชั้นปกครองทำการปกครองโดยธรรมและหล่อหลอมจิตใจคนไทยให้เปิดกว้างต่อศาสนาอื่นๆที่เข้ามาเผยแผ่ในไทยได้อย่างเสรี โดยไม่มีความขัดแย้งจนเกิดสงครามศาสนาและระหว่างนิกายศาสนาดังที่เคยเกิดขึ้นในโลกตะวันตก 

ทว่าในทศวรรษ 2490 จิตร ภูมิศักดิ์ (2473-2509) ได้เสนอข้อโต้แย้งบนกรอบคิดแบบมาร์กซิสม์ที่มีนัยสำคัญสนับสนุนข้อเสนอแยกศาสนาจากรัฐของนายผีชัดเจนขึ้น ในบทความที่เขียนขึ้นขณะที่ยังเป็นนิสิตจุฬา ปี 2 ชื่อยาวว่า “พุทธปรัชญาแก้สภาพสังคมตรงกิเลส วัตถุนิยมไดอะเลคติคแก้สภาพสังคมตรงตัวสังคมเองและแก้ไขด้วยการปฏิวัติ มิใช่ปฏิรูปตามแนวทางของสิทธารถ ปรัชญาวัตถุนิยมไดอะเลคติคกับปรัชญาของสิทธารถผิดกันอย่างฉกรรจ์ที่ตรงนี้” ชื่อสั้นของบทความนี้คือ “ผีตองเหลือง” ซึ่งได้กลายเป็นบทความประวัติศาสตร์ เพราะจิตถูกนิสิตหัวอนุรักษ์นิยมจับ “โยนบก” และถูกสั่งพักการเรียน

แต่สาระสำคัญจริงๆ ในบทความนี้มี 2 ส่วนหลักๆ คือ การเสนอข้อโต้แย้งที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเชิงปรัชญาสังคม

ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จิตรชี้ให้เห็นคือ ระบบสงฆ์ไทยไม่ได้ช่วยให้พระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักการที่แท้จริงของพุทธศาสนา หากเป็นระบบที่รองรับอภิสิทธิ์ของคนจำนวนหนึ่งที่อาศัยผ้าเหลืองบวชเข้ามาเพื่อยกระดับทางชนชั้นของตนเอง และทำให้คนจำนวนหนึ่งใช้ “ผ้าเหลือง” บังหน้าทำมาหากินเอาเปรียบสังคม

ส่วนปัญหาเชิงปรัชญาความคิด เป็นการโต้แย้งความคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ทั้งตีความพุทธศาสนาสนับสนุนอุดมการณ์จารีตและประชาธิปไตยแบบไทย รวมทั้งมีฝ่ายก้าวหน้าพยายามเสนอว่าพุทธศาสนาเป็นสังคมนิยม จิตรชี้ให้เห็นความแตกต่างว่า พุทธปรัชญาแม้จะคล้ายกับมาร์กซิสม์ในแง่ที่ต้องการยกระดับสังคมให้ยุติธรรมขึ้น แต่ก็แตกต่างอย่างสำคัญตรงที่พุทธปรัชญามุ่งแก้ปัญหาสังคมที่กิเลสคน ทว่ามาร์กซิสม์มุ่งแก้ปัญหาที่ตัวระบบหรือโครงสร้างทางสังคม

อีกอย่าง สิทธารถ(พุทธะ) เป็นเพียง “นักปฏิรูป” ไม่ใช่ “นักปฏิวัติ” วิธีการของสิทธิธารถจึงเป็นการ “ประนีประนอม” ที่ยังไงๆ ชนชั้นนำยุคเก่าก็สามารถดำรงสถานะที่ได้เปรียบในโครงสร้างสังคมอยู่เสมอไป แต่มาร์กซิสม์มุ่งให้เกิดการปฏิวัติประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมอย่างถึงราก

แม้จะถูก “ประชาทัณฑ์” เพราะบทความดังกล่าว แต่พลังความคิดที่ “ตกผลึก” ของจิตรก็ไม่มีอำนาจใดหยุดยั้งได้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเขาได้เขียนหนังสือ “โฉมหน้าของศักดินาไทย” ในนามปากกา “สมสมัย ศรีศูทรพรรณ” เนื้อหาเป็นการเสนอโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาที่มีความหมายตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมปลูกฝังประชาชน

งานของจิตรชี้ให้เห็นว่า ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐตามที่เป็นมาและเป็นอยู่ สถาบันการปกครองและสถาบันศาสนา หรือชนชั้นปกครองกับศาสนจักรมีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ค้ำจุนกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันตลอดมา

ภายใต้ความสัมพันธ์เช่นนี้ศาสนาย่อมจะถูกใช้เป็นเครื่องมือมอมเมาประชาชนให้ยอมสยบ จงรักภักดีอยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองมากกว่าจะมีสำนึกลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคม และเป็นผลเสียต่อพุทธศาสนาเอง เพราะทำให้ “คงเหลืออยู่แต่เฉพาะร่างของพุทธศาสนาที่กลายเป็นยาฝิ่นมอมเมาประชาชน” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจิตรปฏิเสธหลักปรัชญาพุทธศาสนา

แต่สิ่งที่จิตรรวมทั้งนายผีปฏิเสธคือ ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างสถาบันการปกครองกับสถาบันศาสนา ที่ผลิตสร้างศาสนาในรูปของความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมสนับสนุนการปกครองที่ไม่ให้สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคแก่ประชาชน และสร้างสำนึกของผู้ใต้ปกครองให้ยอมสยบต่ออำนาจของชนชั้นบน เพราะถูกปลูกฝังให้เชื่อในบุญบารมีและคุณธรรมผู้ปกครองตามคำสอนทางศาสนา

กล่าวโดยสรุป ข้อเสนอ “แยกศาสนาจากรัฐ” ตามความคิดของนายผีและจิตร ก็คือข้อเสนอให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของรัฐโลกวิสัยในยุคสมัยใหม่ และสอดคล้องกับหลักปรัชญาพุทธเองที่มุ่งแก้กิเลสหรือความทุกข์ทางจิตใจของปัจเจกบุคคล

เพราะ “ร่าง” ของพุทธศาสนาที่รับใช้รัฐเป็นร่างที่ไร้ “จิตวิญญาณ” แห่งความพ้นทุกข์ แม้แต่พลังจิตสำนึกที่อยากเห็นสังคมเสมอภาคมากขึ้นตามตามเจตนารมณ์ของพุทธะก็ถูกบิดเบือนไป เพราะรัฐได้สถาปนาศาสนจักรให้พระสงฆ์มีระบบชนชั้นหรือฐานันดรศักดิ์ขึ้น เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนอำนาจและอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมมายาวนาน

ข้อวิพากษ์ของนายผีและจิตรได้เผยให้เราได้เห็นว่า ประวัติศาสตร์สยามไทยในแง่การใช้ศาสนาครอบงำกดขี่ประชาชนก็ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์สังคมตะวันตก เพียงแต่อาจมีระดับและรายละเอียดต่างกัน แต่การครอบงำก็เหมือนกันคือ ทำให้สังคมไม่สามารถจะมีเสรีภาพ ความเสมอภาคในความหมายสมัยใหม่ได้จริง

การแยกศาสนาจากรัฐจึงเป็นทางเดียวที่จะปลดปล่อยศาสนาจากการตกเป็นเครื่องมือครอบงำของรัฐ และยกระดับสังคมให้มีเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

0000

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ฟลุค เดอะสตาร์' เตรียมควักเงินแสน ช่วยยิ่งลักษณ์ หากถูกเรียกชดใช้ปมจำนำข้าว

$
0
0

ฟลุค เดอะสตาร์ ยันเตรียมสละเงินส่วนตัว 100,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้น ช่วยเหลือ 'ยิ่งลักษณ์' หากถูกเรียกเก็บค่าเสียหาย คดีจำนำข่าว พร้อมชวนประชาชนรวมระดมทุน จ่อยื่นนายกฯ เปิดช่องให้ประชาชนร่วมจ่ายได้

ที่มา เฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon

22 ต.ค. 2559 จากกรณีเมื่อปีที่แล้ว พชร ธรรมมล หรือ ฟลุค เดอะสตาร์ โพสต์เฟซบุ๊กตนเองระบุข้อความว่าจะขอบริจาคเงินหนึ่งหมื่นบาทให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากถูกตัดสินให้ต้องเรียกร้องชดใช้ความเสียหายในคดีทุจริตจำนำข้าว ขณะนี้คดีดังกล่าวไศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้สืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 แล้ว รวมทั้ง ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยด้วยว่ากระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาแล้วนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวานนี้ ฟลุค ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon' อีกว่า ยังคงยืนยันเหมือนเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ว่าขอเป็นส่วนหนึ่งช่วยนายกยิ่งลักษณ์ จ่ายค่าเสียหาย 35,000 กว่าล้านบาท จากโครงการที่ทำเพื่อชาวนาไทย

"พวกเรามีเวลาไม่ถึง 30 วันแล้วครับ พวกเราคงต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด ตอนนี้ขอผู้ที่คิดเหมือนกันติดต่อเข้า มาช่วยกันหาช่องทางเอาเงินให้ นายกยิ่งลักษณ์กันครับถ้าต้องไปยื่น หนังสือให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดช่อง ให้ประชาชนร่วมจ่ายได้ ผมก็จะไปครับ ผมขอสละเงินส่วนตัวที่มีจำนวน 100,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้นครับ ขอบพระคุณมากครับ" ฟลุค โพสต์
 
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คดีที่ 3 'ทนายศูนย์ทนายสิทธิ' เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และ ม.116

$
0
0

ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ฝืนนคำสั่งหัวหน้าคสช.และ ม. 116 โยง 'ประชาธิปไตยใหม่' ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์

ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์การเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของ ศิริกาญจน์

22 ต.ค. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ ทนายจูน ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.สำราญราษฏร์ ในข้อหาชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 บันทึกแจ้งข้อหาระบุเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.58 อ้างทนายความมีพฤติการณ์ “กระทำผิด” ร่วมกับนักกิจกรรมกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ โดยนำสิ่งของของนักกิจกรรมไปเก็บในรถยนต์

โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ศิริกาญจน์ เพิ่งได้ทราบว่ามีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวส่งมาที่บ้านพัก ขณะเดินทางกลับจากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.2559 เพื่อร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council) ทนายความของ ศิริกาญจน์ จึงเข้ายื่นหนังสือต่อพนักงานสอบสวน เพื่อขอเลื่อนวันเข้ารับทราบข้อกล่าวหาออกไป และพนักงานสอบสวนให้เลื่อนนัดมาในวันนี้ 

พ.ต.ท.มานิตย์ ทองขาว พนักงานสอบสวนสน.สำราญราษฎร์ ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ ศิริกาญจน์ ระบุว่าเหตุจากเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2558 มีการชุมนุมของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ โรม และพวก จากการกระทำดังกล่าวในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ยั่วยุปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร และร่วมกันชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ไว้แล้ว

บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาระบุว่าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.58 พ.ท.พงศฤทธิ์  ภวังค์คะนันท์ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้มาร้องทุกข์เพิ่มเติมให้ดำเนินคดีกับ ศิริกาญจน์ เจริญศิริ โดยอ้างว่า ศิริกาญจน์ ได้ร่วมกันกระทำความผิดกับนายรังสิมันต์และพวก จากการที่เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.58 พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายรังสิมันต์และพวก ไปร้องฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพฯ ระหว่างที่รอคำสั่งเวลา 22.00 น. พ.ท.พงศฤทธิ์พบเห็น ศิริกาญจน์ นำสิ่งของบางอย่างไปที่รถยนต์ รู้สึกผิดสังเกตในพฤติการณ์ของ ศิริกาญจน์ สงสัยว่าจะมีสิ่งของเกี่ยวกับการกระทำผิดของนายรังสิมันต์และพวก อีกทั้งจากการนำภาพถ่ายของ ศิริกาญจน์ ไปให้ชุดสืบสวนฝ่ายทหารตรวจสอบ ทราบว่า ศิริการญจน์ มีพฤติการณ์ร่วมกับรั งสิมันต์ โรม และพวกมาโดยตลอด ประกอบกับเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.58 ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว พบโทรศัพท์มือถือจำนวน 5 เครื่อง จึงเชื่อว่า ศิริกาญจน์ มีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดกับ รังสิมันต์ และพวก

เพจ 'European Union in Thailand' รายงานด้วยว่า ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆได้มาร่วมรับฟังการแจ้งข้อกล่าวหาต่อ ศิริกาญจน์ ที่สถานีตำรวจสำราญราษฎร์ โดยทางตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าได้ไปร่วมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปและได้ร่วมกันกระทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ข้อหาที่ถูกตั้งขึ้นจากการที่ ศิริกาญจน์ได้ปฏิบัติหน้าที่ของทนายในการให้ความช่วยเหลือทางกฏหมายต่อนักกิจกรรมทางการเมือง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บก.จร.แจ้งปิด 27 เส้นทางรอบสนามหลวง 22-24 ตุลาคม พร้อมแนะนำวิธีเดินทาง

$
0
0

รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร แจ้งว่ามีการปิดการจราจร 27 เส้นทาง รอบสนามหลวงและถนนที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคมนี้ ขณะที่ ขสมก. เพิ่มเที่ยววิ่ง 25 เส้นทาง และร่วมกับภาคเอกชน บริการรถโดยสารเชื่อมต่อ 4 มุมเมือง มายังพระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวงเพื่อถวายสักการะพระบรมศพ

22 ต.ค. 2559 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร เปิดเผยว่า เนื่องจากมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระบรมมหาราชวัง และบริเวณสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ทำให้การจราจรหนาแน่นในหลายพื้นที่ จึงขอแจ้งปิดการจราจรตลอดเวลาระหว่างวันที่ 22 – 24 ตุลาคมนี้ ใน 27 เส้นทางรอบสนามหลวง และเส้นทางต่อเนื่อง ได้แก่

- ถนนหน้าพระลาน ตลอดสาย
- ถนนหน้าพระธาตุ ตลอดสาย
- ถนนราชดำเนินใน จากแยกผ่านพิภพ ถึงแยกป้อมเผด็จฯ
- ถนนสนามชัยจากแยกป้อมเผด็จถึงหน้าสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง
- ถนนหับเผย

- ถนนหลักเมือง
- ถนนกัลยาณไมตรี ถึง สะพานช้างโรงสี ซอยสราญรมย์
- ถนนพระจันทร์ ถนนมหาราชตลอดสาย
- ถนนท้ายวัง ตลอดสาย
- ถนนเชตุพน

- ถนนเศรษฐการ
- ถนนเจริญกรุง จากวงเวียน รด. ถึง แยกสะพานมอญ
- ถนนพระพิพิธ
- ถนนราชดำเนินนอก จาก แยก จปร. ถึง แยกผ่านฟ้า
- ถนนนครสวรรค์ จากแยกจักรพรรดิพงษ์ ถึง แยกผ่านฟ้า

- ถนนหลานหลวง จากแยกหลานหลวง ถึงแยกผ่านฟ้า
- ถนนราชดำเนินกลาง (ตลอดสาย)
- ถนนพระสุเมรุ จากแยกวันชาติ ถึงแยกป้อมมหากาฬ
- ถนนมหาชัยจากแยกสำราญราษฎร์ ถึง แยกป้อมมหากาฬ
- ถนนดินสอจากแยกวันชาติ ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

- ถนนดินสอ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถึง แยกมหรรณพ
- ถนนตะนาว จากแยกตัดถนนข้าวสาร ถึงแยกคอกวัว
- ถนนตะนาว จากแยกศาลเจ้าพ่อเสือ ถึงแยกคอกวัว
- ถนนจักรพงษ์ จากแยกตัดถนนข้าวสาร ถึงถนนราชดำเนินกลาง
- ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า จากแยกอรุณอัมรินทร์ ถึงแยกผ่านพิภพ

โดยขอแนะนำให้ใช้เส้นทางเลี่ยง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ดังนี้

- กรณีรถที่มาจากทางด่วนยมราชให้ใช้เส้นทางถนนพิษณุโลก
- กรณีที่ใช้รถบนทางพิเศษที่มาจากแจ้งวัฒนะจะไปทางงามวงศ์วาน ให้ซ้ายออกคู่ขนานตรงทางด่วนประชาชื่น เพื่อออกไปทางถนนรัชวิภา และถนนวิภาวดีรังสิต
- ที่มาจากทางด่วนประชาชื่นลงทางด่วนพระราม 6
- ที่มาจากทางด่วนมักกะสัน ให้ลงทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
- ที่มาจากทางด่วนพระราม 4 ให้ลงทางด่วนหัวลำโพง
- ที่มาจากต่างระดับศรีนครินทร์ให้ลงด่วนพระราม 9 และใช้ทางพื้นราบ
- ส่วนกรณีมาจากทางคู่ขนานขาเข้า ให้ใช้ถนนสิรินธร –บางพลัด – สะพานกรุงธน (ซังฮี้)
- กรณีมาจากฝั่งธนบุรีขอให้ใช้บริการเรือข้ามฟาก มาท่าพระจันทร์ และท่าช้าง

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานด้วยว่า ขณะเดียวกัน องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เพิ่มเที่ยววิ่งรถโดยสารผ่านบริเวณสนามหลวงอีก 25 เส้นทาง และร่วมกับภาคเอกชนให้บริการจุดจอดรถยนต์ฟรีเชื่อมต่อ Shuttle Bus ทุก 4 มุมเมือง รวม 40 เส้นทาง

โดยนายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า ขสมก.ได้เพิ่มเที่ยววิ่งรถโดยสารผ่านบริเวณสนามหลวง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เดินทางไปร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ได้แก่ สาย 1, 2 ,3, 12, 15, 25, 32, 42, 47, 53, 59, 60, 68, 70, 79, 80, 82, 91, 203, 503, 508, 509, 511 , 516 และ สาย 556 จำนวน 25 เส้นทาง โดยรถโดยสารธรรมดาให้บริการฟรี ยกเว้นรถโดยสารปรับอากาศ

นอกจากนี้ ขสมก.ได้จัดรถ Shuttle Bus อำนวยความสะดวกแต่ละจุดปลายทางสนามหลวงให้บริการฟรี รวม 15 เส้นทาง ดังนี้ 1. เส้นทางหมอชิต 2 - สนามหลวง 2. เส้นทางสายใต้ใหม่ - สนามหลวง 3. เส้นทางหัวลำโพง - สนามหลวง 4. เส้นทางเอกมัย - สนามหลวง 5. เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยฯ - สนามหลวง 6. เส้นทางวงเวียนใหญ่ - สนามหลวง 7. เส้นทางบางใหญ่ (Central Westgate) - สนามหลวง 8. เส้นทางเมืองทองธานี - สนามหลวง 9. เส้นทางเซ็นทรัลพระราม 2 - สนามหลวง 10. เส้นทางเซ็นทรัลศาลายา - สนามหลวง 11. เส้นทางเมกะบางนา - สนามหลวง 12. เส้นทางลานพุทธมณฑลสาย 4 - สนามหลวง 13. เส้นทางสโมสรตำรวจ - สนามหลวง 14. เส้นทางฟิวเจอร์พารค์รังสิต - สนามหลวง 15. เส้นทางแอร์พอร์ตลิ้งค์มักกะสัน - สนามหลวง รวมทั้งสิ้น 40 เส้นทาง

โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดรจุดจอดรถยนต์ฟรี เพื่อเชื่อมต่อรถ Shuttle Bus จาก 4 มุมเมืองไปสนามหลวง จำนวน 9 จุด ดังนี้ เมืองทองธานี จอดรถได้ 5,000 คัน 2. เซ็นทรัลพระราม 2 จอดรถได้ 3,700 คัน 3. เซ็นทรัลศาลายา จอดรถได้ 1,800 คัน 4. ลานพุทธมณฑลสาย 4 จอดรถได้ 5,000 คัน 5. เมกะบางนา จอดรถได้ 1,000 คัน 6. สโมสรตำรวจ จอดรถได้ 400 คัน 7. บางใหญ่ (Central Westgate) จอดรถได้ 1,000 คัน 8. ฟิวเจอร์พารค์-รังสิต จอดรถได้ 1,500 คัน 9. แอร์พอร์ตลิ้งค์ มักกะสัน จอดได้ 1,000 คัน ให้บริการระหว่างเวลา 06.00 – 24.00 น.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักปั่นจักรยานไทย-กัมพูชาไว้อาลัยถวายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

$
0
0

นักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ปั่นเชื่อมสัมพันธ์ 2 แผ่นดินไทย-กัมพูชา โดยร่วมกันไว้อาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี ผวจ.สุรินทร์ พร้อมด้วยรอง ผวจ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ร่วมปั่นนำขบวน

22 ต.ค. 2559 ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา นายอรรถพร สิงหวิชัย  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายเรียม โซ๊ะดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้ร่วมกันลงนามและกล่าวไว้อาลัยถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก่อนนำนักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 9 นาที เพื่อไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำนักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ปั่นจักรยานออกจากหน้าที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ในโครงการปั่นเชื่อมสัมพันธ์ 2 แผ่นดินไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 1  เพื่อร่วมไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โดยปั่นจักรยานตามเส้นทางกาบเชิง-ด่านถาวรช่องจอม ระยะทาง 15 กิโลเมตร จากนั้นได้ผ่านประตูด่านถาวรช่องจอมลงไปยังจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา อีกเป็นระยะทาง 45 กิโลเมตร ตามถนนสายหลักโอร์เสม็ด-อำเภอสำโรง ผ่านหมู่บ้านต่างๆ ของชาวกัมพูชา จากนั้นจะปั่นกลับมาที่อำเภอกาบเชิงเช่นเดิม รวมระยะไปกลับ 120 กิโลเมตร  โดยมีนักปั่นทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาร่วมปั่นจักรยานในครั้งนี้จำนวนกว่า 2 พันคน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาชนรวมร้องเพลง 'สรรเสริญพระบารมี' เต็มท้องสนามหลวง

$
0
0

22 ต.ค. 2559 เมื่อเวลา 13.00 น. ประชาชนพร้อมใจรวมพลังร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณท้องสนามหลวง 

โดย สำนักข่าวไทยรายงานด้วยว่า พล.ต.อ.อำนาจ อันอาตม์งาม กรรมการบริษัทฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) คาดว่า จำนวนผู้โดยสารเดินทางในช่วงแสดงอาลัยวันนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยจะมียอดประมาณ 140,000 คน โดย บขส.ได้จัดเตรียมเที่ยววิ่งไว้รองรับประชาชนอย่างพอ และสามารถปรับเที่ยววิ่งได้ตามความต้องการที่ใช้จริง จึงมั่นได้ว่าจะไม่ปัญหาผู้โดยสารตกค้างที่สถานีขนส่งอย่างแน่นอน ส่วนสถิติการเดินทางของประชาชนที่จัดเก็บเมื่อวานนี้(21 ต.ค.) ซึ่งบขส.จัดเก็บข้อมูลจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร ,เอกมัย, สายใต้) ซึ่ง บขส จัดรถโดยสาร ซึ่งประกอบด้วยรถโดยสารของ บขส. รถร่วมบริการ และรถตู้ร่วมบริการบขส. พร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทาง แบ่งเป็นเที่ยวไป จำนวน 7,444 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้ จำนวน 135,199 คน เที่ยวกลับ จัดเที่ยวรถเสริม จำนวน 7,270 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้ จำนวน 116,254 คน

ไทยพีบีเอสรายงานว่า ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้จัดสร้างภาพยนตร์เพลง "สรรเสริญพระบารมี" นี้ เปิดเผยว่า ที่มาที่ไปของการทำโครงการนี้ สืบเนื่องมาจากวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเห็นว่าในโรงภาพยนตร์มีเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงอยากทำเวอร์ชันใหม่เพื่อร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะใช้เวอร์ชันนี่เผยแพร่ในโรงภาพยนตร์ภายสัปดาห์หน้า 

“โครงการนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณอะไร และไม่ได้ขอสนับสนุนจากภาครัฐเลยสักบาท แต่เป็นความร่วมมือร่วมใจของทุกคน เรียกว่าแบบลงขันหรือทอดกฐินกัน ตอนแรกคิดว่ามีเครื่องดนตรี 2-3 ชิ้นเท่านั้น แต่พอรวมๆ แล้ว กลับพบว่ามีเครื่องดนตรี 400 ชิ้น และนักร้องในวงออร์เคสตร้าอีก 200 คน” ม.จ.ชาตรีเฉลิม ระบุ

ม.จ.ชาตรี กล่าวต่ออีกว่า ขอบคุณประชาชนที่เดินทางมาร่วมร้องเพลงในวันนี้ ไม่คิดว่าจะมากันมากขนาดนี้ ซึ่งเพลงนี้อาจเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีที่อาจทำลายสถิติโลก ที่มีจำนวนคนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีมากเป็นประวัติศาสตร์ โดยไม่มีแบ่งแยกแบ่งฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ไม่มีสังกัดค่ายเพราะดาราแต่ละคนมาช่วยกันโดยที่ไม่ได้ไปบังคับ รวมทั้งผู้สร้างหนังเกือบ 1,000 คน ที่มาช่วยกัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Google จับมือกรมประชาสัมพันธ์เปิดปักริบบิ้นดำอาลัยบนแผนที่ทั่วโลก

$
0
0

บันทึกภาพเมื่อ 23.00 น. 22 ต.ค.2559 

22 ต.ค. 2559 กรมประชาสัมพันธ์และ Google เชิญชวนปวงชนชาวไทยร่วมลงนามแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลก โดยสามารถลงชื่อแสดงความอาลัยได้ที่ https://sites.google.com/site/mapofmemory/sign และชมแผนที่ได้ที่ https://sites.google.com/site/mapofmemory/map

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.เปิด 5 ยุทธศาสตร์ จัดเลือกตั้งสุจริต สนองพระยุคลบาท 'ส่งเสริมคนดี สกัดคนชั่ว'

$
0
0
 
สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมาว่านายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปลี่ยนมาทำหน้าที่บริหารกลางได้ดูแลเกี่ยวกับการทำแผนการวางยุทธศาสตร์  การจัดสรรงบประมาณและกลไกการตรวจสอบการทำงานให้ประสบความสำเร็จ จึงได้หารือกับหลายฝ่ายกระทั่งมีแนวทางในการทำงานของ กกต.ในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้  เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมโดยนำแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ตัวชี้วัดในการทำงาน  ว่าเมื่อทำแล้วมีความสำเร็จเพียงไร และสร้างหลักกิโลการตรวจสอบหรือไมล์สโตน กำหนดเป็นห้าไมล์สโตนทุกสามเดือนจนครบ 12 เดือน ต้องรายงานผลการทำงานว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่
 
นายสมชัย กล่าวว่า หลังจากนั้นจะมีการวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมอย่างไร  โดยได้นำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนองแนวพระยุคลบาทในตอนหนึ่งว่า  “การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” ดังนั้นยุทธศาสตร์ของ กกต.จึงมุ่งไปที่การกลั่นกรองบุคคลก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง  ป้องกันไม่ให้คนไม่ดี คนทุจริตหรือซื้อเสียง ใช้เงินเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมียุทธศาสตร์สำคัญห้าเรื่อง
 
นายสมชัย กล่าวว่า 1 ยุทธศาสตร์การสร้างเครือข่ายป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง โดยร่วมมือกับเครือข่ายศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตยตำบล (ศส.ปชต.) เครือข่าย รด.จิตอาสา เครือข่ายลูกเสือ กกต.และเครือข่ายองค์กรเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาเหลือเพียงไม่ถึง 25 % ถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจึงต้องสร้างโครงสร้างในการจัดการและกลไกในการประสานงานเพื่อกำหนดทิศทางให้เครือข่ายเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการทำงานของกกต.ในการสอดส่องดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยตั้งเป้าว่าจะต้องมีองค์กรเอกชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ครบทุกจังหวัดจากเดิมในพื้นที่ภาคใต้ไม่มีเลยและต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของหน่วยเลือกตั้งทั้งประเทศ
 
2 ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพนักจัดการเลือกตั้งมืออาชีพ โดยหนึ่งปีจากนี้ไปจะเตรียมบุคลากรประมาณหนึ่งแสนคนให้เป็นผู้ที่รู้จริง เข้าใจจริง ปฏิบัติได้จริงอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะมีการออกประกาศนียบัตรให้เพื่อทำหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งหนึ่งแสนหน่วยเป็นหลักในหน่วยเลือกตั้ง โดยจะเป็นกลไกที่ช่วยแก้ปัญหาที่หน่วยเลือกตั้งเคยถูกวิจารณ์ในเชิงลบว่าทำหน้าที่ไม่ถูกระเบียบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นไม่เกินร้อยละ 0.01 หรือไม่เกิน 10 หน่วยจากหนึ่งแสนหน่วย
 
3 ยุทธศาสตร์จัดตั้งหมู่บ้านปลอดการซื้อสิทธิขายเสียง โดยตั้งเป้าหมายก่อนการเลือกตั้งส.ส.ในช่วงปลายปี 60 ประเทศไทยจะมีหมู่บ้านปลอดการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างน้อยหนึ่งหมู่บ้านต่อหนึ่งอำเภอ เป็นการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่หมู่บ้านอื่นในการรณรงค์ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่จะมีการเลือกตั้งเท่านั้น    4 ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกประชาชน โดยกำหนดให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเลือกตั้งคุณภาพ เช่น การพัฒนาแอพพลิเคชั่น ฉลาดเลือกผู้แทน ให้ข้อมูลผู้สมัครและนโยบายพรรคการเมืองแก่ประชาชน การพัฒนาระบบการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดและนอกราชอาณาจักร ตั้งเป้าหมายมีผู้ลงทะเบียนอย่างน้อยสี่แสนคน อีกทั้งจะมีการทดลองนำร่องการลงคะแนนเลือกตั้งทางอินเทอร์เน็ตสำหรับคนไทยในต่างประเทศจำนวน 3 ประเทศ และมีการเตรียมเครื่องต้นแบบลงคะแนนอีเล็คทรอนิกส์แบบหน้าจอสัมผัสทัชสกรีนซึ่งจะแล้วเสร็จภายในหกเดือนนี้
 
5 ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพสืบสวนสอบสวน การวินิจฉัย และการดำเนินคดีในศาล ซึ่งจะมีการจัดทำหลักสูตรอบรมวิชาชีพ พนักงานสืบสวนสอบสวนและประมวลจริยธรรมจำนวน 3 รุ่น รุ่นละ 110 คน รวม 330 คน เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพรองรับกับกฎหมายที่ให้อำนาจกกต.มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าหลังอบรมเสร็จสำนวนคดีจากทุกจังหวัดต้องจบในระดับจังหวัดภายใน 60 วัน สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญใหม่จากเดิมที่เคยใช้เวลา 6-7 เดือน และการจัดทำคำวินิจฉัยต้องแล้วเสร็จสามารถยื่นคำร้องต่อศาลก่อนครบกำหนดได้ภายในหกเดือน โดยสิ่งที่กำหนดไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของเอกสารแต่เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้จริงและวัดผลลัพธ์ได้ เป็นการกำกับดูแลการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.มมส.ร่วมเรียนรู้ศึกษาวิถีชีวิตชุมชนโคกยาว

$
0
0

นศ.ชมรมสิงห์น้ำตาลอาสา มมส.ลงพื้นที่ชุมชนโคกยาว ศึกษาเรียนรู้ถีการดำเนินชีวิต และการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกินด้านภรรยานายเด่นเผย 6 เดือนแล้ว ยังคงรอคอยพ่อกลับมา ไม่ว่าจะกลับมาในสภาพไหน ก็รับได้ทั้งหมด เพราะการรอคอย โดยที่ไม่พบเบาะแสอะไรเลยมันทรมานมากกว่า

เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2559 นางสาวปวีณา โคตรมี และนางสาวพรทิพย์ กองการ นิสิตชั้นปีที่ 4 เอกการเมืองการปกครอง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมลงพื้นที่ชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อศึกษาเรียนรู้วิถีการดำเนินชีวิต และด้วยความสนใจในการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกินของคนในชุมชน

นางสาวปวีณา โคตรมีเผยความรู้สึกว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ลงพื้นที่ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในเรื่องที่ดินทำกิน ต่างจากที่ก่อนหน้านี้เพียงได้รับรู้ตามสื่อต่างๆ แต่ทั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีในการได้ลงมาสัมผัสด้วยตนเอง ทำให้เกิดความเข้าใจ และพอเห็นภาพได้บ้างว่าชาวบ้านมีความทุกข์ยากจากนโยบายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรบ้าง  และเพราะเหตุใดจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินทำกินมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ประกาศนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” และมีการส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และทหารเข้ามาปิดประกาศขับไล่ชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่หลายครั้ง แต่ชาวบ้านก็เดินทางไปยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และเจรจากับผู้เกี่ยวข้องอยู่หลายรอบ กระทั่งมีมติให้ชะลอการไล่ชาวบ้านชุมชนโคกยาวออกนอกพื้นที่ไปก่อน จนกว่าจะมีกระบวนการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินของชาวบ้านที่ถูกต้อง

ปวีณา บอกอีกว่า จากที่ได้ร่วมพูดคุยกับชาวบ้าน โดยส่วนตัวมีความรู้สึกเหมือนจะถูกผสมไปด้วยความเงียบ สะเทือนใจตามชาวบ้านไปด้วย บรรยากาศช่างเป็นช่วงที่มองดูเยือกเย็น หม่นหมอง เช่น เมื่อได้พูดคุยเรื่องราวชีวิตของแม่สุภาพ คำแหล้ ชาวบ้านชุมชนโคกยาว ที่เอ่ยถึงความรู้สึก ที่มีต่อ “นายเด่น คำแหล้” ผู้เป็นสามี ที่แม่สุภาพบอกว่า พ่อเด่น หายตัวไปภายหลังเข้าไปหาหน่อไม้และไม้หวาย บริเวณสวนป่าโคกยาว รอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมาเสียงของแม่สุภาพยังแว่วอยู่ในความรู้สึกตลอดเวลา ว่า นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แม้จะมีการช่วยกันระดมตามหามาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดได้พบเห็นชายผู้เป็นสามีอีกเลย แม้แต่ร่องรอยก็ไม่ปรากฏทำให้ตัวเองที่ได้รับรู้ รู้สึก หดหู่ สะเทือนจิตใจไปด้วย

“แม่สุภาพ เล่าให้ฟังด้วยว่า ถึงจะผ่านมากว่า 6 เดือนแล้ว แต่ยังรอคอยการกลับมาของพ่อเด่นแม้ความหวังที่จะกลับมานั้นคงไม่มีแล้ว แต่สิ่งที่แม่ยังหวังที่สุดคือ อยากรู้ความชัดเจนว่าพ่อเด่นหายไปไหน อะไรทำให้ต้องสูญหายไปแม่บอกด้วยว่า แม้พ่อจะกลับมาในสภาพไหน ก็รับได้ทั้งหมด ขอเพียงอย่าให้การรอคอยเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ เพราะการรอคอย โดยที่ไม่พบเบาะแสอะไรเลยมันทรมานมากกว่าและนั่นคือสิ่งที่แม่สุภาพและชาวบ้านชุมชนโคกยาว ยังไม่ละความพยายามที่จะค้นหาพ่อเด่น ที่ได้หายตัวไปอย่างปริศนา และต้องการที่จะนำตัวพ่อเด่นกลับคืนสู่ผืนดินที่เรียกว่าบ้าน ไม่ว่าจะกลับมาในสภาพใดก็ตาม  และสิ่งนี้คือการได้รับรู้ถึงความรู้สึกโดยตรงกับชาวบ้านที่ได้รับปัญหาผลกระทบด้วยตนเอง มันมากมายเกินกว่าที่วาดหวังไว้ ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นนักศึกษาได้มีโอกาสมาเห็นได้มาสัมผัสกับพื้นที่ที่เกิดปัญหาจริงๆ ก็มีความรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างมาก เสมือนเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กลับคืนสู่ชุมชน เพื่อที่ชาวบ้านจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นปกติสุขขึ้นมาได้อีกครั้ง” ปวีณาเล่าถึงความรู้สึก ทิ้งทาย

ขณะที่นายบุญมี วิยาโรจน์ รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาว บอกถึงวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชนโคกยาวว่า ชาวบ้านได้ยึดอาชีพทำการเกษตรกรเรื่อยมา กระทั่งช่วงปี 2528 รัฐได้เข้ามาดำเนินโครงการ “หมู่บ้านรักษ์ ประชารักษ์สัตว์” กระทำการอพยพชาวบ้านทั้งหมดในชุมชนโคกยาวให้ออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่าจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินรองรับ แล้วก็นำพื้นที่ชุมชนโคกยาวไปปลูกเป็นสวนป่ายูคาลิปตัส แต่เมื่อชาวบ้านเดินทางไปถึงพื้นที่ใหม่ ปรากฏว่ามีคนทำกินอยู่แล้ว ผู้สูญเสียที่ดินทำกิน จึงตกอยู่ในสภาพ ถูกลอยแพ กลายเป็นผู้ที่ต้องสูญเสียที่ดินทำกินมานับแต่นั้น

รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาวบอกถึงเส้นทางการต่อสู้เพื่อที่ดินทำกิน ด้วยว่า โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 2539-2542ได้มีการชุมนุมที่หน้าที่ว่าการอำเภอคอนสารหลายครั้ง กระทั่งมีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินป่าไม้ระดับอำเภอ” เพื่อตรวจสอบการถือครองที่ดินแต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข คือยังไม่สามารถกลับเข้าไปทำกินในที่ดินเดิมได้ ผู้เดือดร้อนจึงเข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องในสิทธิที่ดินทำกินเรื่อยมาคือให้ ยกเลิกสวนป่า แล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้กับประชาชนผู้เดือดร้อน

ต่อมาในปี 2552 ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับผู้เดือนร้อนจากปัญหาที่ดินทำกินทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อ “เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.)” โดยผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการที่ดินโดยชุมชน ในรูปแบบ “โฉนดชุมชน” จนรัฐบาลขณะนั้นได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553และต่อมาได้รวมตัวกัน ในนาม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟเพื่อร่วมเรียกร้อง ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน กระทั่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของชาวบ้านตามข้อเสนอของพีมูฟและเป็นจุดเริ่มต้น ของการกลับมาทำกินในที่ดินผืนเดิมของชาวชุมชนโคกยาว

“ที่ผ่านมชุมชนโคกยาวถูกกดดันให้ออกจากพื้นที่มาโดยตลอด กระทั่งปี 2554เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังกันบุกเข้าควบคุมตัว และแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม มีการแยกสำนวนฟ้อง ออกเป็น 4 คดี 10 รายในช่วงที่ผ่านมาได้มีการต่อสู้คดีความในชั้นศาลจังหวัดภูเขียวคดีที่ชาวบ้านโคกยาวตกเป็นจำเลยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ยกเว้นในส่วนคดีที่ 4 คือนายเด่น และนางสุภาพ คำแหล้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 นางสุภาพ เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาได้ยื่นคำร้องความว่าอยู่ระหว่างการเข้ารักษาตัวจากอาการป่วยด้วยโรคเนื้องอกในมดลูก ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น  โดยแพทย์นัดตรวจรักษาโรคอีกครั้งในวันที่ 26 กันยายน 2559 จึงขอเลื่อนการคำพิพากษาศาลฏีกาออกไป ส่วนจำเลยที่ 1(นายเด่น) ได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2559  ซึ่งมีการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อติดตามตัวจำเลยที่ 1 แล้ว แต่ยังไม่พบตัว โดยเจ้าพนักงานตำรวจได้แจ้งผลการสืบสวนและสอบสวนการติดตามตัวของจำเลยที่ 1 ได้ใจความว่ายังไม่พบตัวศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 เวลา 9.00 น.” รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาวกล่าวทิ้งท้าย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมควบคุมมลพิษแนะย้อมผ้าดำเทน้ำเสียอย่ารดพืชสวนครัวเด็ดขาด

$
0
0
อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แนะประชาชนที่ต้องการกำจัดน้ำเสียจากการย้อมผ้าดำ ให้เทน้ำเสียผ่านอิฐแดง หรือปล่อยน้ำระเหยแล้วทิ้งตะกอนเป็นขยะอันตราย เตือนถ้าจะรดน้ำต้นไม้ อย่ารดพืชผักที่นำไปรับประทานเด็ดขาด ด้าน กทม.ขอความร่วมมือ ไม่ทิ้งสีย้อมผ้าลงแหล่งน้ำ-ท่อระบายน้ำ

 
23 ต.ค. 2559 ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่านายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่าการจัดการน้ำเสียอย่างง่ายจากการย้อมผ้า เนื่องจากขณะนี้ประชาชนจำนวนมากมีความต้องการเสื้อผ้าสีดำเพื่อสวมใส่แสดงความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงได้นำเสื้อผ้ามาย้อมให้เป็นสีดำ ซึ่งการย้อมดังกล่าวมีการใช้สีย้อมรีแอคทีฟ (Reactive dyes) ทำให้เกิดน้ำเสียหลังการย้อมผ้า เพราะสีย้อมบางชนิดมีส่วนผสมของโลหะหนัก เช่น ทองแดง ตะกั่ว โครเมียม เป็นต้น
       
กรมควบคุมมลพิษจึงขอแนะนำทางเลือกในการจัดการน้ำเสียอย่างง่ายจากการย้อมผ้า ดังนี้ 1. เทน้ำเสียจากการย้อมผ้าผ่านอิฐแดง เพื่อช่วยดูดซับโลหะหนักในน้ำเสีย 2. ปล่อยน้ำทิ้งให้ระเหยแห้งแล้วนำตะกอนไปฝังดิน หรือนำไปทิ้งในถังรับขยะอันตราย 3. เติมโซดาไฟ เติมสารส้มเพื่อให้สีตกตะกอน ใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยก่อน แล้วนำน้ำใสไปรดต้นไม้ที่เป็นไม้ประดับหรือสนามหญ้า ส่วนตะกอนที่เหลือนำไปฝังดิน หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำไปรดต้นไม้ แต่ควบคุมให้อยู่ในปริมาณน้อย อย่านำไปรดต้นไม้หรือพืชผักที่นำไปรับประทานเด็ดขาด 
 
กทม.ขอความร่วมมือ ไม่ทิ้งสีย้อมผ้าลงแหล่งน้ำ-ท่อระบายน้ำ
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายสมพงษ์ เวียงแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กทม. กล่าวว่า ในช่วงการถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีประชาชนบางส่วนยังขาดแคลนเสื้อผ้าสีดำ ประกอบกับหาซื้อยากและมีราคาสูง จึงมีการนำเสื้อผ้าไปย้อมสีดำเพื่อสวมใส่ แต่สีย้อมผ้ามีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง หากไม่มีการกำจัดอย่างถูกวิธี ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนได้ ซี่งสำนักการระบายน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมการจัดการน้ำเสีย โดยประสานความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมูลนิธิตาวิเศษ ร่วมมือกันเพื่อให้ความรู้และจัดการบำบัดน้ำเสียจากการย้อมผ้าไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 
 
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับน้ำทิ้งในการย้อมผ้าจะมีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ หากปล่อยลงดินจะทำให้เกิดการสะสมในดินซึ่ง จะกระทบต่อพืช หากทิ้งลงแหล่งน้ำธรรมชาติ จะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ พืชน้ำ และลักษณะทางกายภาพของน้ำ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อระบบบำบัดน้ำเสียของกทม. เนื่องจากระบบบำบัดน้ำเสียออกแบบมาเพื่อรองรับการบำบัดทางชีวภาพ แต่ไม่สามารถบำบัดสารประกอบของสีย้อมผ้าได้ หากมีน้ำทิ้งจากการย้อมผ้าเข้าระบบบำบัดจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบำบัดน้ำเสียของกทม. 
 
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนไม่ทิ้งน้ำจากการย้อมผ้าลงดิน คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ และท่อระบายน้ำโดยตรง ขอให้เก็บน้ำที่เกิดจากการย้อมผ้าใส่ภาชนะไว้ และแจ้งสำนักงานเขตหรือสำนักการระบายน้ำเพื่อจัดรถมารับน้ำเสียจากการย้อมผ้ารวบรวมไปบำบัดอย่างถูกวิธี 
 
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า หากสะดวกที่จะนำส่งน้ำเสียดังกล่าวด้วยตนเอง ให้ส่งไปที่โรงควบคุมคุณภาพน้ำช่องนนทรี บริเวณถนนพระราม 3 เขตยานนาวา โทร. 0 2295 1148 - 52 ต่อ 1202 หรือ โรงควบคุมคุณภาพน้ำห้วยขวาง ซอยประชาสงเคราะห์ 36 โทร. 08 9156 3062 จากนั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะประสาน บริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือ GENCO ให้นำไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป ขณะเดียวกัน กทม.ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เตรียมจัดรถเคลื่อนที่ไปให้บริการบำบัดน้ำจากการย้อมผ้า ที่บริเวณท้องสนามหลวง นอกจากนี้ สำนักงานเขตจะมีการสำรวจจุดให้บริการย้อมผ้าในแต่ละพื้นที่ของกรุงเทพฯ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเตรียมการให้บริการจัดเก็บน้ำทิ้งจากการย้อมผ้าในบริเวณต่างๆ ต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรธ.ยืนยันไม่มีเซตซีโร่พรรคการเมือง

$
0
0
โฆษกระบุ กรธ. ในการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่เคยคิดเรื่องการเซตซีโร่พรรคการเมืองแต่อย่างใด ระบุดูผลกระทบและฟังเหตุผลจากทุกฝ่าย หากอะไรที่ไม่ดีเราก็ไม่เขียนลงไปอยู่แล้ว

 
เว็บไซต์โลกวันนี้รายงานเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมาว่านายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการทำงานของ กรธ.ว่า ขณะนี้ กรธ.แต่ละคนกำลังศึกษาและรวบรวมข้อมูลในการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับ โดยในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ กรธ.จะประชุมเพื่อหารือการสัมมนารับฟังความเห็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่มีกำหนดจะไปรับฟังประชาชนทั้ง 4 ภาคของประเทศว่าจะดำเนินการอย่างไร จะเลื่อนไปจัดได้ในวันไหนบ้างซึ่ง กรธ.ได้ให้อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ ที่มีนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ เป็นประธานไปพิจารณาอยู่ เพราะ กรธ.เองก็มีความกังวลว่า หากเลื่อนนานไปอาจจะกระทบกับตารางเวลา เพราะเราต้องนำข้อมูลการรับฟังนั้นมาประกอบการร่างพ.ร.บ.ด้วย
 
นายอุดม กล่าวอีกว่า อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กรธ.มีธงในการเซตซีโร่พรรคการเมืองนั้น ตนยืนยันว่า กรธ.ไม่มีธงจากใครทั้งนั้น เรายึดหลักการตามที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดและรับฟังความเห็นจากทุกๆฝ่าย ไม่เคยคิดเรื่องการเซตซีโร่พรรคการเมืองแต่อย่างใด เราพูดยืนยันมาหลายครั้งแล้วว่า กรธ.ต้องการเพียงแค่ทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนจริง ๆ และให้สมาชิกพรรคทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารพรรค เพราะพรรคการเมืองเปรียบเสมือนตัวแทนของประชาชนที่จะมี ส.ส.เข้ามาทำงานบริหารประเทศ และในการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เราก็จะดูผลกระทบและฟังเหตุผลจากทุกฝ่าย หากอะไรที่ไม่ดีเราก็ไม่เขียนลงไปอยู่แล้ว
 
“ส่วนตัวคิดว่า พรรคใหญ่เองไม่น่าจะต้องกังวลในประเด็นการรีเซ็ตสมาชิกพรรคด้วยซ้ำ ผิดกับพรรคเล็ก ๆ ที่ต้องกังวลมากกว่า เพราะพรรคใหญ่นั้นมีเครือข่ายอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว”
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ: ส่องความโปร่งใส 4 บรรษัทข้ามชาติไทย จากรายงานสำรวจ 100 บรรษัทปี 2016

$
0
0

ส่อง 4 บรรษัทข้ามชาติสัญชาติไทย 'อินโดรามา-ไทยยูเนียน-ปตท.-ซีพี' ในรายงานความโปร่งใสประจำปี 2016 ของ 100 บรรษัทข้ามชาติชั้นนำจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ พบ 3 บรรษัทอยู่ในกลุ่ม 25 อันดับแรก ส่วน 'ซีพี' อยู่กลุ่มรั้งท้ายเรื่องความโปร่งใส

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมา องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้เผยแพร่‘รายงานความโปร่งใสประจำปี 2016 ของบรรษัทข้ามชาติในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Transparency in Corporate Reporting: Assessing Emerging Market Multinationals)’ ซึ่งเป็นการสำรวจ 100 บรรษัทข้ามชาติในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 15 ประเทศ โดยบรรษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำธุรกิจในประเทศตัวเอง แต่ยังออกไปทำธุรกิจนอกประเทศ ทั้งนี้ในรายงานฯ ระบุว่าหลายบรรษัทในรายงานฉบับนี้ มีความล้มเหลวในด้านการสร้างความโปร่งใส และมีการคอร์รัปชั่น

‘รายงานความโปร่งใสประจำปี 2016 ของบรรษัทข้ามชาติในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Transparency in Corporate Reporting: Assessing Emerging Market Multinationals)’

ภาพรวมจากการสำรวจพบว่ากว่า 75 ของ 100 บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้ทำคะแนนได้น้อยกว่า 5 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 ) หรือได้คะแนนเฉลี่ยรวมกันเพียงแล้ว 3.4 เท่านั้น ซึ่งดัชนีความโปร่งใสเฉลี่ยนี้ได้ลดลง 0.2 คะแนน เมื่อเทียบกับการสำรวจก่อนหน้านี้เมื่อปี 2013

การสำรวจซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากบรรษัทข้ามชาติ 100 แห่ง ใน 15 ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้แก่ จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, บราซิล, อินโดนีเซีย, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อียิปต์, รัสเซีย, ชิลี, เม็กซิโก, ฮังการี, ตุรกี, มาเลเซีย และอาร์เจนตินา โดยประเมินจากวิธีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะซึ่งประกอบไปด้วย 1. การพิจารณาองค์ประกอบสำคัญของโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นของบริษัท (Anti-corruption programs: ดัชนี ACP ในรายงาน) 2. การพิจารณาการเปิดเผยโครงสร้างของบริษัทและรายละเอียดการถือหุ้น (Organizational transparency: ดัชนี OT ในรายงาน) และ 3. การพิจารณาเรื่องการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในแต่ละประเทศ (Country-by-country reporting: ดัชนี CBC ในรายงาน)

จากรายงานพบว่า มีถึง 75 บรรษัทที่ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 5 คะแนน, มี 72 บรรษัท ที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีในประเทศที่ไปลงทุน, มี 81 บรรษัทที่ไม่มีนโยบายเปิดเผยการจ่ายเงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ชัดเจน และมีถึง 41 บรรษัทที่ล้มเหลวในการปฏิบัตินโยบายการรับเรื่องร้องเรียนเรื่องทุจริต

ทั้งนี้กว่า 77 บรรษัทในรายงานฉบับนี้อยู่ในกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้) โดยบรรษัทจากอินเดียและแอฟริกาใต้มีคะแนนความโปร่งใสเฉลี่ยถึงร้อยละ 64 ตามมาด้วยรัสเซียร้อยละ 62 บราซิลร้อยละ 55  ส่วนบรรษัทจากจีนนั้นมีคะแนนความโปร่งใสเฉลี่ยแค่ร้อยละ 26 เท่านั้น

บรรษัทอันดับ 1 ในด้านความโปร่งใสจากรายงานชิ้นนี้คือ Bharti Airtel บรรษัทคมนาคมจากอินเดีย ได้คะแนนความโปร่งใส 7.3 คะแนน นอกจากนี้บรรษัททั้ง 19 แห่งของอินเดียในการจัดอันดับครั้งนี้ทำคะแนนรวมได้ถึงร้อยละ 75 ในเรื่องของการเปิดเผยโครงสร้างของบรรษัทและรายละเอียดการถือหุ้น ส่วนบรรษัทที่ได้อันดับสุดท้ายคือ Chery Automobile บรรษัทผลิตรถยนต์จากประเทศจีน, Galanz Group บรรษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน และ Wanxiang Group บรรษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากจีน ทั้ง 3 บรรษัทนี้ได้คะแนนความโปร่งใส 0 คะแนน เมื่อเจาะลึกลงในรายละเอียดพบว่าบรรษัทข้ามชาติสัญชาติจีนหลายแห่งมีปัญหาด้านความโปร่งใส และรั้งท้ายเรื่องปัญหาการปกปิดข้อมูลมากที่สุด บรรษัทจากประเทศจีนสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ทำคะแนนได้น้อยเฉลี่ยเพียง 1.6 คะแนน (จาก 10 คะแนน) รวมทั้งกลุ่ม 25 บรรษัทที่รั้งท้ายนั้นเป็นบรรษัทสัญชาติจีนเป็นส่วนใหญ่  มีเพียงบรรษัทสัญชาติจีนบรรษัทเดียวคือ ZTE ซึ่งทำธุรกิจเที่ยวกับอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ติดอยู่ในกลุ่ม 25 อันดับแรกที่มีความโปร่งใสมากที่สุด

ทั้งนี้ มีบรรษัทจากไทย 3 แห่งติดกลุ่ม 25 อันดับแรกที่ถือว่าโปร่งใสที่สุด ประกอบด้วย บรรษัทอินโดรามา เวนเจอร์ (Indorama Venture) ได้ 5.6 คะแนน, ไทย ยูเนียน โฟรเซน โพรดัคส์ (Thai Union Frozen Products) 5.5 คะแนน และ ปตท. (PTT) 5.4 คะแนน ติดอันดับที่ 20, 21 และ 22 ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Groups) ได้  0.6 คะแนนเท่านั้น และยังอยู่ในกลุ่มสิบอันดับสุดท้าย คือได้อันดับที่ 93 จากทั้งหมด 100 บรรษัท (ดูการจัดอันดับทั้ง 100 บรรษัทได้ที่ ‘จับตา: 100 อันดับความโปร่งใสของบรรษัทข้ามชาติในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่’)

อนึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดยมีความมุ่งมั่นที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การปราศจากการคอรัปชั่นในโลก

3 บรรษัทสัญชาติไทยในกลุ่ม 25 อันดับแรก

บรรษัทข้ามชาติของไทยที่สามารถทำอันดับติดกลุ่ม 25 อันดับแรกของรายงานชิ้นนี้ได้แก่ อินโดรามา เวนเจอร์ส  (Indorama Venture), ไทย ยูเนียน ฟรอสเซน โปรดักท์ (Thai Union Frozen Products) และ ปตท. (PTT)

อินโดรามา เวนเจอร์ส (Indorama Venture) ในรายงานฉบับนี้ อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้คะแนนด้านองค์ประกอบสำคัญของโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นของบรรษัท (ACP) ที่ร้อยละ 81 ด้านการเปิดเผยโครงสร้างของบรรษัทและรายละเอียดการถือหุ้น (OT) ร้อยละ 88 และด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในแต่ละประเทศ (CBC) ร้อยละ 0 รวมคะแนนเฉลี่ยที่ 5.6 คะแนน

อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นบรรษัทระดับโลกสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง และขนสัตว์ ผลิตภัณฑ์ของบรรษัทฯ แบ่งได้เป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ สารตั้งต้น (Feedstock) พลาสติกโพลีไธลีน เทเรฟธาเลท (PET), และ เส้นใยโพลีเอสเตอร์ ปัจจุบัน อินโดรามา เวนเจอร์ส เป็นเจ้าของบริษัทย่อยในกลุ่มจำนวน 66 แห่ง ใน 21 ประเทศ ใน 4 ทวีป ได้แก่ ยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และเอเชีย

ไทยยูเนียน โฟรเซน โพรดัคส์ (Thai Union Frozen Products) ได้คะแนนด้านองค์ประกอบสำคัญของโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นของบรรษัท (ACP) ที่ร้อยละ 88 ด้านการเปิดเผยโครงสร้างของบรรษัทและรายละเอียดการถือหุ้น (OT) ร้อยละ 75 และด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในแต่ละประเทศ (CBC) ร้อยละ 1 รวมคะแนนเฉลี่ยที่ 5.5 คะแนน

ไทยยูเนียน โฟรเซน โพรดัคส์ เป็นบรรษัทเป็นผลิตทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญด้านอาหารทะเลโดยมีแบรนด์ชั้นนำระดับโลก มีฐานการผลิตที่ประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส ปาปัวนิวกินี ซีเซลล์ และกาน่า

"การทำธุรกิจด้วยความโปร่งใสอย่างแท้จริงและการมุ่งเน้นที่ความยั่งยืน มีความสำคัญพอๆ กับการมอบผลิตภัณฑ์และการบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและผู้บริโภค" ดร.แดเรียน แม็คเบน  ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืนของบรรษัท ไทยยูเนียน กล่าวหลังจากที่รายงานชิ้นนี้เปิดเผยออกมา และไทย ยูเนียน ถูกจัดอันดับอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร  "เราได้ประกาศพันธะสัญญาด้านความโปร่งใส ธรรมาภิบาล และความยั่งยืนในจรรยาบรรณทางธุรกิจและแนวปฏิบัติด้านแรงงาน (Business Ethics and Labor Code of Conduct) รวมถึงกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของเราหรือที่เรียกว่า Sea Change เราดำเนินธุรกิจตามค่านิยมและแนวทางปฏิบัติของเรา โดยมุ่งมั่นทำงานเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีและเกิดขึ้นได้จริง ในอุตสาหกรรมและชุมชนของเรา"

แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ไทยยูเนียน ถูกกลุ่มองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและองค์กรสิทธิมนุษยชนจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อกรณีที่มีความเชื่อมโยงกับการใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง และความเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมง (อ่านเพิ่มเติม: กรีนพีซหยิบยกความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานก่อนหน้าการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของไทยยูเนี่ยน และ ไทยยูเนี่ยน กับอุตสาหกรรมประมงทูน่าที่กำลังล้างผลาญมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น)

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ได้คะแนนด้านองค์ประกอบสำคัญของโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นของบรรษัท (ACP) ที่ร้อยละ 77 ด้านการเปิดเผยโครงสร้างของบรรษัทและรายละเอียดการถือหุ้น (OT) ร้อยละ 75 และด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในแต่ละประเทศ (CBC) ร้อยละ 10 รวมคะแนนเฉลี่ยที่ 5.4 คะแนน

เป็นบรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานสัญชาติไทย ที่เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจกิจการพลังงานของรัฐ ปตท.ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น ปตท. ลงทุนผ่านบริษัท ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PTTI)  และบริษัท พีทีที กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด (PTTGE) โดยถือหุ้นร้อยละ 100 ในทั้งสองบริษัท ปัจจุบัน PTTI ได้ลงทุนในธุรกิจท่อก๊าซธรรมชาติในประเทศอียิปต์ ธุรกิจถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว และ PTTGE ดำเนินธุรกิจปลูกปาล์มในประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น ในปี 2012 ปตท. ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบรรษัทยักษ์ใหญ่อันดับที่ 95 จาก 500 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune

'เครือซีพี' อยู่กลุ่มรั้งท้ายเรื่องความโปร่งใส

ส่วนบรรษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ‘ซีพี’ (Charoen Pokphand Group - CP) ได้คะแนนด้านองค์ประกอบสำคัญของโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นของบรรษัท (ACP) ที่ร้อยละ 0 ด้านการเปิดเผยโครงสร้างของบรรษัทและรายละเอียดการถือหุ้น (OT) ร้อยละ 13 และด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญในแต่ละประเทศ (CBC) ร้อยละ 4 รวมคะแนนเฉลี่ยที่ 0.6 คะแนน

ซีพีถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีธุรกิจหลักคืออาหารและการเกษตร รวมทั้งสินค้าบริโภคอุปโภคต่าง ๆ ทั้งนี้ซีพีถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่คนไทยภาคภูมิใจมากที่สุด และถูกตั้งข้อสงสัยในหลาย ๆ ด้านมากที่สุดด้วยเช่นกัน ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากความมั่งคั่งและการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายของซีพี จึงมีความหวาดหวั่นต่อการผูกขาดของซีพีในสังคมไทย รวมทั้งการร่วมมือกับภาครัฐหลังรัฐประหารในนโยบาย ‘ประชารัฐ’ ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของซีพี (อ่านเพิ่มเติม: วิพากษ์ประชารัฐ-เกษตร เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาด ส่งเสริมเกษตรเคมี?) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าซีพีพยายามที่จะครอบงำสื่อ โดย TCIJ เคยนำเสนอรายงานไปก่อนหน้านี้อีกด้วย (อ่านเพิ่มเติม: หลุด! เอกสารฝ่าย PR ธุรกิจยักษ์ใหญ่ จ่ายสื่อ-ลบกระทู้-อ้างชื่อนักวิชาการ)

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือน มิ.ย. 2559 ได้จัดอันอับให้ตระกูลเจียรวนนท์ เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยในปี 2559 มีทรัพย์สิน 6.603 แสนล้านบาท และระบุว่า "มูลค่าทรัพย์สินของสี่พี่น้องผู้กุมบังเหียนเครือเจริญโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นตามข้อมูลการถือครองหุ้นล่าสุด เครือซีพีภายใต้การนำของประธาน ธนินทร์ เจียรวนนท์ ซึ่งเราเคยจัดอันดับในชื่อของเขา ยังมีดีลธุรกิจขนาดยักษ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีที่แล้ว (2558) ทรู ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมในเครือที่บริหารโดยศุภชัยลูกชายของเขา ประมูลใบอนุญาตคลื่น 4G ได้ที่ราคาทุบสถิติกว่า 3 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตามชื่อของซีพีถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักเมื่อเกิดเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายในเพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัท" (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีใช้ข้อมูลภายในเพื่อซื้อขายหุ้น: ก.ล.ต. เปรียบเทียบปรับผู้บริหารเครือซีพี “ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์” 30 ล้าน – “อธึก อัศวานันท์” 1.4 ล้าน ทำผิดใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น MAKRO และ ซีพี ออลล์ แถลงการณ์ให้ “ก่อศักดิ์-พิทยา-ปิยะวัฒน์”อยู่ต่อ หลังก.ล.ต.ลงโทษใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นสยามแม็คโคร ระบุผลงานโดดเด่นหาคนทดแทนยาก)

อ่าน '100 อันดับความโปร่งใสของบรรษัทข้ามชาติในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่"
http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=6488

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยปิดประกาศเรียกค่าเสียหายจำนำข้าวที่หน้าบ้านครบ 6 รายแล้ว

$
0
0
เผยความคืบหน้าเรียกร้องค่าเสียหายข้าวจีทูจี 4 สัญญา มูลค่า 20,000 ล้านบาท ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 6 ราย ระบุได้ปิดประกาศหนังสือบังคับทางปกครองที่หน้าบ้าน 4 ใน 6 ราย เมื่อช่วงเดือน ก.ย. และอีก 2 รายช่วงเดือน ต.ค. ผู้รับจะต้องลงนามเพื่อแสดงว่าได้รับหนังสือแล้ว หากครบ 30 วันไม่มาชำระจะทำหนังสือเตือน หากภายใน 15 วันไม่จ่ายค่าเสียหายจะทำหนังสือแจ้งกรมบังคับคดี โดยผู้เสียหายมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองใน  90 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือเรียกค่าเสียหาย

 
23 ต.ค. 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่านางดวงพร  รอดพยาธิ์  อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ  กล่าวถึงความคืบหน้าการเรียกร้องค่าเสียหายกรณีข้าวจีทูจี 4 สัญญา จำนวน 6.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหาย  20,000 ล้านบาท  ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 6 ราย  หลังจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามในคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายดังกล่าวแล้ว  ขณะนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ปิดประกาศหนังสือบังคับทางปกครองที่หน้าบ้านของผู้เกี่ยวข้องจำนวน 4 ใน 6 ราย เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา อีกรายปิดเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม  และอีก 1 รายปิดประกาศหนังสือวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา  โดยผู้รับจะต้องลงนามเพื่อแสดงว่าได้รับหนังสือฯ แล้ว หากครบ 30 วันไม่มาชำระจะทำหนังสือเตือน หากภายใน 15 วันไม่จ่ายค่าเสียหายจะทำหนังสือแจ้งกรมบังคับคดี โดยผู้เสียหายมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองใน  90 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือเรียกค่าเสียหาย
 
ส่วนคดีจำนำข้าว กระทรวงการคลังออกคำสั่งเรียกค่าเสียหายประมาณ 35,000 ล้านบาท จากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ส่วนความเสียหายที่เหลืออีกร้อยละ 80  เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องชดใช้ความเสียหายในส่วนนี้ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการและอยู่ระหว่างการนัดหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน  ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศร่วมประชุมด้วย โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการเชิงนโยบายมีข้าราชการระดับสูงทั่วประเทศเกี่ยวข้องทั้งคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และข้าราชการส่วนภูมิภาคเป็นต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตือน ตร. ห้าม 'ไลค์-แชร์ภาพ-ข้อความ' หมิ่นสถาบัน

$
0
0
รักษาราชการแทนผู้ช่วย ผบ.ตร. ประชุม ศปก.ตร. สั่งการให้ตำรวจอย่ามีส่วนร่วมในกระบวนการการกระทำความผิด ม.112 หากพบภาพหรือข้อความข้อทางสื่อสังคมออนไลน์ อย่ากดไลค์ แชร์ หรือส่งลิงค์ของโพสต์นั้น แต่ให้กดรายงานแจ้งความไม่เหมาะสมต่อเฟซบุ๊กหรือกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อดำเนินการระงับการเผยแพร่ต่อไป 

 
23 ต.ค. 2559 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี รักษาราชการแทนผู้ช่วยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วยผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุม ศปก.ตร.โดยได้มีข้อสั่งการในการประชุมให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติดังนี้ คือ 1.ให้ข้าราชการตำรวจทุกนายสังกัด ตร. อย่ามีส่วนร่วมในกระบวนการการกระทำที่เข้าข่ายความผิดอาญาตามมาตรา 112 โดยหากพบภาพหรือข้อความข้อทั้ง 2 อย่างทางสื่อสังคมออนไลน์ อย่ากดไลค์, แชร์ หรือส่งลิงค์ของโพสต์นั้น แต่ให้กดรายงานแจ้งความไม่เหมาะสมต่อเฟซบุ๊ก หรือ กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอี เพื่อดำเนินการระงับการเผยแพร่ต่อไป นอกจากนี้ให้ผู้บังคับบัญชาของ ภ.1, 2, 7 และ บก.ทล. ทุกระดับชั้น                          
 
2. ให้ดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรในช่วงท้ายของวันหยุดยาวที่มีประชาชนจากต่างจังหวัดจะเดินทางกลับจากการสักการะพระบรมศพและถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและร่วมกิจกรรมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นจำนวนมากให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหนังสือเวียนของ ตร. ที่เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการดูแล ความมั่นคง ทั้งในเรื่องการตั้งจุดตรวจและจุดรักษาความเรียบร้อยเพื่อป้องกันการก่อเหตุต่าง ๆ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ฟลุค เดอะสตาร์' โวยถูกขู่ 'ไส้แตก' หลังวิจารณ์การเรียกเก็บเงินยิ่งลักษณ์ปมจำนำข้าว

$
0
0

ฟลุค เดอะสตาร์ โวยถูกขู่ 'ไส้แตก' พร้อมตั้งคำถามผิดกฎหมายหรือไม่ หลังประกาศสละเงินแสนช่วยยิ่งลักษณ์ หากถูกเรียกเก็บค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว พร้อมจ่อไปยื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดช่อง ให้ประชาชนร่วมจ่ายได้ 

ที่มา เฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon

23 ต.ค. 2559 จากกณี  พชร ธรรมมล หรือ ฟลุค เดอะสตาร์ โพสต์เฟซบุ๊กตนเองระบุข้อความว่าจะสละเงินส่วนตัวที่มีจำนวน 100,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้น พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมสมทบทุนให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากถูกตัดสินให้ต้องเรียกร้องชดใช้ความเสียหายในคดีทุจริตจำนำข้าว รวมทั้งระบุด้วยว่าอาจไปยื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดช่อง ให้ประชาชนร่วมจ่ายได้ (อ่านรายละเอียด) นั้น

ล่าสุดวันนี้ (23 ต.ค.59) ฟลุค โพสต์ภาพการข่มขู่ที่เขาถูกแชร์วิดีโอคลิปที่พูดถึงกรณีการเรียกเก็บเงินความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวกับยิ่งลักษณ์ ผ่านเฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon' ของตัวเอง โดย ฟลุค กล่าวด้วยว่า "ข่มขู่กันแบบนี้เข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ครับ? ถ้าการที่ผมเพียงแสดงความคิดเห็นแล้วถึงขั้นจะใช้ความรุนแรงกัน ก็น่าเสียใจแทนลูกหลานเรานะครับ ต่อไปคงอยู่กันอย่างอึดอัดน่าดูประเทศไทย"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กูเกิลปัดไม่ได้มอนิเตอร์ข้อความ-ยันใช้นโยบายส่งคำขอลบเนื้อหาเหมือนกันทั่วโลก

$
0
0

กรณีมีการให้ข่าวว่ากูเกิลให้ความร่วมมือรัฐบาลไทยในการมอนิเตอร์ข้อความผู้ใช้ ล่าสุด กูเกิลปฏิเสธไม่ได้มอนิเตอร์โพสต์ใดๆ ของผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กไทย ยันใช้นโยบายแจ้งลบเนื้อหาเหมือนกันทั่วโลก 

23 ต.ค. 2559 กรณี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อหลังการหารือกับ แอน เลวิน (Ann Lavin) ผู้บริหารระดับสูงของ Google และ Youtube ประจำภูมิภาคเอเชีย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กูเกิลจะช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการตรวจสอบโพสต์ที่มีความละเอียดอ่อน ในช่วงการถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ล่าสุด (22 ต.ค.)เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น รายงานว่า กูเกิลได้ส่งแถลงการณ์มายังเดอะเนชั่น โดยปฏิเสธว่ากูเกิลไม่ได้มอนิเตอร์โพสต์ใดๆ ของผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กไทย

"เรามีนโยบายต่อคำร้องให้ลบเนื้อหาของรัฐบาลทั่วโลกที่ชัดเจนและคงเส้นคงวามาตลอด เราจะไม่เปลี่ยนนโยบายเหล่านี้กับประเทศไทย" แถลงการณ์ระบุ

"เราวางใจรัฐบาลทั่วโลกให้แจ้งเตือนเราถึงเนื้อหาที่พวกเขาเชื่อว่าผิดกฎหมายโดยผ่านกระบวนการที่เป็นทางการ และจะจำกัดมันอย่างเหมาะสมหลังการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คำขอทั้งหมดจะถูกติดตามผลและรวมไว้ในรายงานความโปร่งใสขององค์กร" กูเกิลระบุ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images