'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ' เจรจาข้อเรียกร้องปี 2559 ครั้งที่ 1
พุทธะอิสระ ชี้ร่างรธน.ผ่านก็ช่าง ไม่ผ่านก็ได้ ขอคสช.ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้งก็พอ
22 ก.ค. 2559 พุทธะอิสระ อดีตแกนนำ กปปส. โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)' กล่าวถึงกรณีเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย เรียกร้องให้คสช.ตอบคำถาม ถึงการให้พื้นที่ของประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายได้แสดงออก ต่อร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งขอความชัดเจนหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะมีกระบวนการอย่างไรต่อไป
"ที่จริงฉันก็เห็นด้วยกับข้อกังวลที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใยกังวล ถือเป็นความกังวลที่คนไทยรักชาติทุกคนต่างมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ข้อห่วงใยกังวลที่พวกเรามีหาใช่กังวลว่าเมื่อไหร่จะมีประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะเลือกตั้ง พวกเรากังวลว่า การปฏิรูปบ้านเมืองยังไม่เรียบร้อย หากปล่อยให้มีการเลือกตั้งในเร็ววันบ้านเมืองคงต้องวุ่นวายอีก พวกเรากังวลว่าจะเสียของอีก" พุทธะอิสระ ระบุ
ขอใช้สิทธิของคนไทยบ้าง
21 กรกฎาคม 2559
เห็นข่าวเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย 16 องค์กร ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ มีทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ นักการเมือง อาชีพอิสระ ร่วมลงชื่อจำนวน 117 รายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้คสช.ตอบคำถาม
โดยพวกเขาอ้างว่ายังมีผู้สนับสนุนพวกเขาอีกมากที่มาสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขา เพื่อให้คสช.ตอบคำถามทั้ง 5 ข้อคือ
1. ให้เคารพในทุกสิทธิ์อันชอบธรรมของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่ต่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องมีพื้นที่แสดงออกให้ทั้ง 2 ฝ่าย
2. ต้องมีการเสนอทางเลือกที่ชัดเจนให้กับประชาชนว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะมีกระบวนการอย่างไร จะร่างฯ ใหม่หรือไม่
3. กรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติควรมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากฉันทามติของประชาชน
4. หากหลักการตามข้อเรียกร้องที่ 1-3 เกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายควรยอมรับในผลของการทำประชามติ และร่วมกันส่งเสริมให้สังคมมีเสถียรภาพ และ
5. รัฐธรรมนูญที่ได้ ไม่ควรจะถดถอยในด้านสิทธิมนุษยชน และประชาชน ส่งเสริมการถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ บัญญัติเรื่องการปฏิรูป และร่างรัฐธรรมนูญไม่ควรจะแก้ไขให้ยากเกินไปเพื่อให้สอดรับกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป รวมถึงต้องป้องกันความขัดแย้งที่นำมาสู่ความรุนแรงด้วย
ที่จริงฉันก็เห็นด้วยกับข้อกังวลที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใยกังวล ถือเป็นความกังวลที่คนไทยรักชาติทุกคนต่างมีอยู่ด้วยกันทุกคน
แต่ข้อห่วงใยกังวลที่พวกเรามีหาใช่กังวลว่าเมื่อไหร่จะมีประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะเลือกตั้ง
พวกเรากังวลว่า การปฏิรูปบ้านเมืองยังไม่เรียบร้อย หากปล่อยให้มีการเลือกตั้งในเร็ววันบ้านเมืองคงต้องวุ่นวายอีก
พวกเรากังวลว่าจะเสียของอีก
พวกเรากังวลว่า วังวนแห่งการกินรวบประเทศไทยจะย้อนกลับมาอีกรอบหนึ่ง
พวกเรากังวลว่า หากไม่มีรัฐบาลคสช.แล้ว การแก้ปัญหาของบ้านเมืองจะไม่เดินหน้า
มองผิวเผินที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย คือการหวังดีต่อบ้านเมือง
แต่หากจะมองอีกมุมหนึ่งก็คือบีบให้คสช.รีบๆ คืนอำนาจ พวกเขาจะได้รีบๆ เลือกตั้ง
ช่างน่าเห็นใจคสช.ยิ่งนัก สู้อุตส่าห์ทุ่มเททำงานรับใช้ประชาชน แก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยความจริงใจ สุจริตใจ แต่ต้องมาเจอคนไม่เห็นคุณค่า จ้องที่จะบ่อนทำลายการทำงานของคสช. ทั้งที่งานนั้นล้วนเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและคนทั้งประเทศ
ก็ถือว่าเป็นสิทธิของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้
และในฐานะของพญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ ผู้มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง รวมทั้งพี่น้องประชาชนผู้มีหัวใจรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกคนก็มีสิทธิจะคิด มีสิทธิจะห่วงใยกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้เหมือนกัน
ทุกคนต่างกังวลและคิดตรงกันว่า อยากให้คสช.อยู่ต่อ
เพื่อทำการสะสางปัญหาและปฏิรูปบ้านเมืองให้สำเร็จในทุกมิติ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย จึงเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ที่พวกเราต้องการให้คสช.อยู่ต่อจนกว่าจะปฏิรูปสำเร็จ เพราะพวกเราไม่เชื่อใจนักการเมือง
เหมือนที่พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมืองจะไม่โกงไม่กินงบประมาณที่พวกตนมีอำนาจอนุมัติ
พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะสามารถทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกได้สำเร็จ
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง กล้าออกกฎหมายเก็บภาษีมรดกได้
พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายได้
พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะแก้ปัญหาการบินพลเรือนที่เรื้อรังมานานจนต่างประเทศเขาตั้งข้อรังเกียจได้
พวกเราไม่เคยเชื่อว่านักการเมือง จะสามารถจัดโซนนิ่งเกษตรกรได้
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง จะทำให้บ้านเมืองนี้สงบสุขได้
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมืองและพรรคการเมือง จะทำให้สถาบันปลอดภัยได้
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง จะสามารถปราบปรามการโกงกินทุจริตคอรัปชั่นได้
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมืองและพรรคการเมือง จะปฏิรูปการศึกษาได้สำเร็จ
พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง จะสามารถปราบธุรกิจสีเทาที่แพร่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า
พวกเราไม่เคยเชื่อว่าพวกนักการเมือง จะสามารถปฏิรูปบ้านเมืองในทุกมิติได้
พวกเราไม่เชื่อว่ากลุ่มทุนการเมือง จะไม่มากินรวบประเทศไทย
พวกเราไม่เคยเชื่อเลยว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองจะกำจัดลัทธิกินรวบอาณาจักรและศาสนจักรได้
และพวกเราก็ไม่เคยเชื่อว่าพวกนักการเมือง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อยกเว้น
แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นถึงความจริงใจ ความตั้งใจ ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่หมักหมมมานานด้วยน้ำมือของพวกนักการเมืองและข้าราชการกระทำไว้
2 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.ได้ทำให้พวกเราอุ่นใจ ปลอดภัย และไว้วางใจ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกนักการเมืองมีอำนาจ
2 ปีกว่าที่ผ่านมาพวกเราเชื่อว่ารัฐบาลคสช.เขาตั้งใจที่จะทำเพื่อบ้านเมืองและอนาคตของลูกไทยหลานไทยอย่างแท้จริง
เช่นนั้นรัฐธรรมนูญจะผ่านก็ช่าง ไม่ผ่านก็ได้
แต่ขอให้รัฐบาลคสช.อยู่ต่อเพื่อทำการปฏิรูปในทุกมิติอันเป็นภารกิจหลักที่ต้องวางรากฐานอนาคตของประเทศให้แก่คนในชาติจนสำเร็จแล้วจึงคืนอำนาจสู่ประชาชน
แต่ถ้าหากจะต้องมีการเลือกตั้งจริงๆ ก็ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก เพื่อสานต่อภารกิจที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ
อำนาจของประชาชนอยู่ในมือของนักการเมืองมา 83 ปีแล้ว แต่ก็มิได้ทำให้ประชาชนอุ่นใจ ปลอดภัย มั่นคงได้เท่ากับรัฐบาลคสช.ที่อยู่มาแค่ 2 ปีกว่าเลย
พวกเราจึงใคร่ขอร้องพวกกระหายประชาธิปไตยอยากเลือกตั้งทั้งหลายว่า
ขอเวลาให้รัฐบาลคสช.เขาได้ทำหน้าที่ของลูกไทยหลานไทย ผู้มีหัวใจกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดไปก่อนจนกว่าจะปฏิรูปสำเร็จเถิด
หรือไม่ก็ให้คุณประยุทธ์กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งเพื่อทำการปฏิรูปให้แล้วเสร็จ
ไม่เช่นนั้นการเสียสละชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องที่เจ็บที่ตายอยู่บนถนนจะสูญเปล่า
พวกเราเบื่อและเหนื่อยกับการต้องออกไปสู้บนถนนอีกแล้ว
พุทธะอิสระจึงขอเรียกร้องให้คนไทยทุกหมู่เหล่าออกไปใช้สิทธิลงคะแนน
รับหรือไม่รับร่างตามแต่จะเห็นสมควรโดยไม่ให้ใครมาชี้นำ
พุทธะอิสระ
รอง ผบ.ทบ. แฮปปี้ ชี้ ปชช.เริ่มตื่นตัวเตรียมไปลงประชามติ
22 ก.ค.2559 พล.อ.วลิต โรจนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุการณ์มีผู้ฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องติดตามดูแลตามหน้าที่และตามนโยบายที่ได้รับมอบหมาย ตนไม่ได้มีความเป็นห่วงแต่อย่างใด
ส่วนการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นร่างรัฐธรรมนูญทุกพื้นที่ พล.อ.วลิต กล่าวว่า ขอให้ไปสอบถามจาก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาฯ คสช.โดยตรงว่า คสช.จะให้การสนับสนุนอย่างไร
“อย่างไรก็ตาม เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ประชาชนเริ่มมีความตื่นตัวในการเตรียมออกไปใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญมากขึ้นในช่วงใกล้วันลงประชามติ 7 สิงหาคมนี้ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของตนเอง” พล.อ.วลิต กล่าว
ปธ.กกต. ชี้ ฉีก-เผาบัญชีชื่อผู้มีสิทธิไม่ทำให้ประชามติล่ม
ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ถึงกรณีฉีก และเผาทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง ว่า กกต.ได้รับรายงานมีการ ฉีก เผาทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงใน 8 จังหวัด คือ ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร กาญจนบุรี สตูล สุพรรณบุรี และ กทม. ซึ่งในแต่ละจังหวัดได้มีการแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว ถือว่าเล็กน้อย ถ้าเทียบกับหน่วยเลือกตั้งที่มีเกือบแสนหน่วย
ศุภชัย กล่าวว่า ใน กทม. จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว ส่วนพื้นที่ จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากวัยรุ่นคึกคะนอง หรือการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากในท้องถิ่นดังกล่าวมีความขัดแย้งมายาวนาน การเผาบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิหรือทำลาย ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้น และมากกว่าครั้งนี้ บางทีหัวคะแนนไปดึงเอาบัญชีจากที่ติดประกาศไว้ เพื่อนำดำเนินการบางอย่าง
ศุภชัย กล่าวว่า ได้กำชับให้เร่งกวดขัน และกำชับเครือข่ายพลเมืองอาสาของเรา ให้ช่วยกันสอดส่องดูแล ถ้าพบเหตุให้รีบแจ้ง รวมถึง สามารถใช้แอพพลิเคชั่นตาสับปะรดแจ้งเข้ามาได้ การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย ถ้าตีความว่าก่อความวุ่นวาย จะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 61(1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ถ้ามีจำนวน 5 คนขึ้นไป ความผิดจะเพิ่มมากขึ้น คือจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 ถึง 200,000 บาท เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี นอกจากนี้ ยังอาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 57 ฐานขัดขวางการลงประชามติ
“การกระทำดังกล่าวอาจเป็นคึกคะนอง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลัทธิเอาอย่าง มันไม่มีประโยชน์ การฉีกบัญชีดังกล่าว เราสามารถไปก็ติดใหม่ได้ เรามีสำรองไว้ แต่ท่านทำผิดติดคุก อย่าไปทำเลย และคิดว่าไม่บานปลายจนทำให้ทำการทำประชามติต้องล้มเลิกไป” ศุภชัย กล่าว
เมื่อถามถึง กรณีมีรายชื่อผู้ใช้สิทธิเกินในบ้าน วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายศุภชัย กล่าวว่า ถ้ามีรายชื่อเกิน สามารถไปแจ้งให้เพิกถอนออกจากบัญชีได้เห็น และขณะนี้มีที่บ้านนายวีรพงษ์คนเดียวเท่านั้น
ที่มา : สำนักข่าวไทย
ศาลฎีกาสั่งจำคุก 27 ปีครึ่ง ‘เอนก สิงขุนทด’ จำเลยตาบอดหลังได้ใช้ชีวิตนอกคุกปีกว่า
ญาติของเอนกเดินทางมาจากต่างจังหวัด พากันร่ำไห้หลังทราบผลคำพิพากษาศาลฎีกา
22 ก.ค.2559 ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.2930/2553 หมายเลขแดงที่ อ.1876/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายเอนก สิงขุนทด จำเลยวัย 33 ปี โดยพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำคุก 5 ปี เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือ 25 ปี แต่เมื่อรวมโทษจำคุกในทุกกรรมแล้ว รวมโทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า แม้เหตุดังกล่าวจะก่อความเสียหายไม่มากและไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ก็นับเป็นความผิดร้ายแรงที่มีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิตและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ศาลเห็นควรให้ลงโทษสถานหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นๆ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ภายหลังฟังคำพิพากษาและออกมาภายนอกห้องพิจารณา เอนกก้มลงกราบเท้าป้าวัย 73 ปี และอาวัย 68 ปีที่มาจากต่างจังหวัดเพื่อมาร่วมรับฟังผลคดี ขณะที่ญาติทั้งหมดพากันร้องไห้
เขากล่าวว่า ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผลคำพิพากษาจะลงโทษสูงถึงเพียงนี้ และยังแอบหวังว่าศาลฏีกาจะพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ส่วนสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือ สภาพของตาข้างขวาที่ปัจจุบันมองเห็นราว 30% แต่ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้นั้นจะแย่ลงจนบอดสนิท เนื่องจากสภาพสุขอนามัยในเรือนจำอาจไม่ดีนักและการพบหมออาจไม่สะดวกเท่ากับตอนอยู่ภายนอก
อ่านสัมภาษณ์พิเศษ เอนก สิงขุนทด หลังออกจากเรือนจำก่อนหน้านี้
เหตุการณ์ในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 22 มิ.ย.2553 โดยเอนกได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียดวงตาข้างซ้ายขณะที่ข้างขวาเกือบบอดสนิท หลังจากเข็นรถเงาะซึ่งมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ไปวางไว้ข้างกำแพงพรรคภูมิใจไทยแล้วรถเกิดระเบิดขณะที่เขายังอยู่ที่รถ (อ่านข่าวที่นี่) เอนกรับสารภาพว่าเขาถูกจ้างวานให้เข็นรถเงาะดังกล่าวจริง หลังรักษาตัวจนพ้นขีดอันตรายเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อ 24 เม.ย.2555 ตัดสินจำคุก 35 ปีปรับ 50 บาท (อ่านที่นี่) ต่อมาวันที่ 9 เม.ย.2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 5 ปี (อ่านที่นี่) เอนกถูกควบคุมตัวจนครบ 5 ปีและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อเดือนมิถุนายน 2558 เขากลับไปอยู่บ้านญาติที่โคราชซึ่งมีอาชีพรับจ้างในภาคการเกษตร โดยที่ตัวเขาไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ได้เนื่องจากตาบอด จึงรับหน้าที่ดูแลปู่และย่าซึ่งอายุมากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จนต่อมาราวเดือนมิถุนายนได้รับจดหมายจากศาลให้มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเดินทางจากนครราชสีมามายังศาลอาญาในวันนี้
เขาถูกฟ้องว่าร่วมกับพวกทำระเบิดเพื่อให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สินและสถานที่ประชุม ซึ่งมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221 222 ประกอบมาตรา 218 371 และ 83 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 10 ปี ฐานมีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ และให้จำคุกตลอดชีวิตฐานทำระเบิดให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินฯ และสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 222 และ 218 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้จำคุกรวมทั้งสิ้น 35 ปี และปรับ 50 บาท
ขณะที่เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า สำหรับจำเลยร่วมในคดีนี้อีก 5 คน คือ นายเดชพล พุทธจง, นายกำพล คำคง, นายกอบชัย หรือ อ้าย บุญปลอด, นางวริศรียา หรือ อ้อ บุญสม และนายสุริยา หรือ อ้วน ภูมิวงษ์ กลุ่มที่ว่าจ้างนายเอนก นั้นแยกพิจารณาสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1007/2556 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธสู้คดี คดีอยู่ระหว่างฎีกา โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับ 66.666 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้อง นางวริศรียา หรือ อ้อ จำเลยที่ 4 จากนั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2558 แก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 4 ปี ปรับ 66.66 ส่วนนางวริศรียา จำเลยที่ 4 ที่ถูกยกฟ้องนั้นให้จำคุก 4 ปีและปรับ 66.66 จำเลยที่ 5 ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน แต่ปัจจุบัน จำเลยที่ 5 ถูกออกหมายจับ และสั่งปรับนายประกัน 500,000 บาท เพราะไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษา เชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนี
จับชีพจร (ไม่) ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ?
กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจนับถอยหลัง 15 วันก่อนลงประชามติ
อันวาร์และสหายร่วมชะตากรรม 1
ณ เรือนจำปัตตานี มีผู้คนไปใช้บริการเยอะมาก ทุกคนล้วนเป็นห่วงญาติพี่น้องบุคคลซึ่งเป็นที่รักของตัวเอง หลังจากวันหยุดยาวสุดแสนจะทรมาน นับวันเกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 15-20 กรกฎาคม 2016 ใครจะเป็นตายร้ายดีบาดเจ็บยังไงไม่อาจล่วงรู้ข้อเท็จจริงได้ ญาติพี่น้องปลอดภัยหรือถูกย้ายไปหรือไม่ บางคนรู้บางคนไม่รู้ และเป็นวันที่ทุกคนรอคอยรับรู้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้คนในเรือนจำย่อมเล่าเรื่องได้ดีกว่าคนนอกเรือนจำแน่นอน ..
7 วัน หลังเกิดเหตุจลาจลปัตตานี ตรงกับวันพฤหัส ที่ 21 กรกฎาคม ถือเป็นวันแรกที่เรือนจำได้เปิดทำการเยี่ยมเยียน ในขณะที่ฉันและครอบครัวอันวาร์ ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบกับอันวาร์เพื่อนที่น่ารักของทุกคน พี่ชายของอันวาร์ได้แว้นล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเข้าคิวและนำบัตรประชาชนไปแจ้งขอเข้าเยี่ยมก่อน ฉันกับแม่อันวาร์นั่งรถเมล์ตามหลังไป พี่ชายโทรมาบอกได้คิว 140 กว่าๆ เท่ากับได้เยี่ยมในรอบที่ 8 แต่ละรอบเยี่ยมได้ 15-19 คน เรายังพอมีเวลาที่ไม่ต้องเร่งรีบมากนัก ระหว่างรอเจออันวาร์เรามีเวลาทักทายญาติมิตรสหายร่วมชะตากรรม บางคนรอขึ้นรถที่เรือนจำบริการไปเยี่ยมญาติที่ถูกย้ายไปอยู่เรือนจำ 6 แห่ง
ทราบข้อมูลเบื้องต้นมีเรือนจำนาทวี 63 คน เรือนจำจังหวัดสงขลา 45 คน เรือนจำกลางสงขลา 158 คน เรือนจำทัณฑสถานบำบัดสงขลา 100 คน เรือนจำตรัง 45 คน และเรือนจำนครศรีธรรมราช 36 คน โดยที่ญาติสามารถมาเช็ครายชื่อที่เรือนจำปัตตานีได้ โดยเจ้าหน้าที่ผู้คุมเรือนจำได้อำนวยความสะดวกส่งคนขึ้นรถ และแนะนำความสะดวกต่างๆ ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. รถบริการได้เคลื่อนที่เดินทางเพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ มีบริการเพียงเที่ยวนี้เที่ยวเดียวเท่านั้น ใครไม่ทันหรือไม่รู้อาจจะต้องติดตามกันไปเอง ..
ระหว่างที่ฉันรอเข้าเยี่ยม มีญาติที่เข้าไปเยี่ยมก่อนได้ออกมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างใน บางคนร้องไห้ออกมา บางคนยิ้มดีใจ จนกระทั่งมีญาติพี่น้องคนหนึ่งเดินมาหาฉันและทักทายอย่างคุ้นเคย แต่หน้าตาไม่สู้ดีนัก แกจับมือและเล่าเรื่อง “ญาติก๊ะปลอดภัยดี แต่ 1 ใน 3 คนที่ตายนั่น มีโดนยิงคนหนึ่งน่ะ ไม่ได้ถูกแทงตายอย่างที่เป็นข่าว ญาติเล่าให้ฟังคนที่ตายอยู่ใกล้กับญาติมาก เห็นเหตุการณ์ ช่วงปราบจลาจลปิดไฟทั้งเรือนจำ มีประกาศให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเรือนนอน หมอบลง คนที่อยู่เรือนนอนอยู่แล้วจะไม่ถูกจับกุม แต่มีหลายคนวิ่งเข้ามัสยิดเพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว "ประกาศพลางปราบพลางใครจะวิ่งขึ้นเรือนนอนทัน" ญาติบอก "ประกาศมาพร้อมสาดกระสุนใครจะกล้าไปไหนไกลล่ะ" แต่ที่ไม่เข้าใจทำไมหน่วยปราบจลาจลต้องเล็งยิงมาทางเรือนนอน 4 ซึ่งเป็นที่พักของคดีความมั่นคงทั้งหมดอยู่รวมกันที่นั่น กระสุนจริงน่ะ ไม่ใช่กระสุนยางอย่างที่เป็นข่าว แล้วสาดรัวมานับร้อย เพื่ออะไร ??? แล้วคนที่ตายนั่นอยู่กับพวกเรา ชื่อนายสุอนันท์ ป้องเศร้า หรือชื่อมุสลิมว่า อาดือนัน บินซูรียา เขาถูกยิงขณะที่ทุกคนหมอบลงแต่สุอนันท์ยังอยู่ในท่านั่งไม่ทันหมอบ เสี้ยวนาทีกระสุนเจาะร่างตรงกลางหัวใจทันที ” ..
“สุอนันท์วิ่งมาหลบใต้อาคารเรือนนอน 4 เพราะไม่อยากมีส่วนเอี่ยวกับการก่อจลาจล” .. มาทราบภายหลังสุอนันท์ ป้องเศร้า โดนคดียาเสพติดติด อยู่เรือนนอนคดียาเสพติดที่อยู่ตรงข้ามเรือนนอน 4 แต่วันเกิดเหตุสุอนันท์ไปอยู่กับกลุ่มคดีความมั่นคงเพราะรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่วันที่ถูกยิงเสียชีวิต ได้ล้มลงบนตักญาติตัวเอง ..
ฉันนิ่งอึ้งตกใจ จากการคลายกังวลดีใจที่อันวาร์สามีที่รักปลอดภัย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้น เกี่ยวอะไรกับคดีความมั่นคง ช่วงปราบปรามเกี่ยวกับอะไรกับข่าวโคมลอยเรื่องอันวาร์หรือไม่ มันคืออะไร ???!!!??? “เด๊ะ!! สุอนันท์เป็นญาติก๊ะ ก๊ะรู้จักพ่อแม่เขา พ่อแม่เขาเอะใจตั้งแต่ไปรับศพที่โรงพยาบาลแล้ว รอยแผลไม่ได้ถูกแทงอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นรอยช้ำเหมือนถูกยิง พ่อเขาเป็นนายทหาร น้องชายเขาเป็นตำรวจ เขาดูเป็นน่ะ” ...
ฉันอยู่ไม่สุข แต่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี ได้แต่รอเวลาเจออันวาร์ “เกือบ 10 โมงครึ่ง ที่ฉันได้เจออันวาร์ .. อันวาร์ยังสบายดีอยู่ ปลอดภัยดีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสตามประสา แม่พูดยาวไม่ได้ รู้สึกสะอึกตื้นตันดีใจปนเศร้า แม่เลยได้แค่ทักทายถามไถ่ทุกข์สุขและอวยพรให้อัลลอฮ์คุ้มครองลูกชายคนดี พี่ชายอันวาร์ก็เช่นกัน พูดได้ไม่มากเล่าเรื่องกระแสข่าวอันวาร์จากข้างนอกให้ฟัง และแซวตัวเองไปว่า พี่ชายผู้ก่อการร้ายมาเยี่ยมน้องครับ ตลกร้ายที่ดูขำแต่เจ็บลึก ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกนำมาหยอกล้อระหว่างเราเสมอ จากนั้นก็เป็นเวลาของภรรยาที่ได้คุยกันตามลำพัง .. เรื่องราวพร่ำพรูเล่ากันไปมาปะติดปะต่อเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ หลายสิ่งก็เป็นเหมือนที่เป็นข่าว แต่มีสิ่งที่หลายคนอยากรู้ จะลองเรียบเรียงคำถามที่สงสัยดูน่ะ
จลาจลเกิดได้อย่างไรทั้งรอบแรกและรอบที่สอง ? คำตอบเหมือนที่เป็นข่าวคือจากการก่อเหตุเริ่มจาก 2 คนนั่นจริง และอื่นๆ ไม่แน่ใจ
รอบที่สองทำไมถึงลุกลามหนักยิ่งขึ้น ?? ครั้งแรกเจ้าหน้าที่ฟังข้อเรียกร้องผู้ต้องขังไม่หมด มีคำสั่งไม่ให้พูดต่อ บอกจะเอาแค่ 3 ข้อ ไม่ต้องพูดแล้ว อันวาร์ก็เลยเดินกลับเข้าไปละหมาดอีซาอ์(20.00 น.) กับอิหม่าม 2 คน คนอื่นละหมาดแล้ว ผู้ก่อจลาจลไม่พอใจ เผาสถานศึกษาทันที (ถ้าจำความไม่ผิด)
ทำไมอันวาร์ถึงเป็นตัวแทนเจรจา ? ผู้คุมขอช่วยเพราะถูกอ้างว่าพูดคุยรู้เรื่องที่สุดแล้ว กระดาษข้อเรียกร้องมาได้อย่างไร ? มีคนส่งต่อๆ มาให้ อันวาร์เป็นเพียงตัวแทนอ่าน ไม่รู้ใครเป็นคนเขียน (แต่ข้างนอกมีเจ้าหน้าที่ต่างหากที่ช่วยจดประเด็น และถามว่าใครเป็นตัวแทนอ่านสารนั่น ผู้คุมช่วยตอบ อันวาร์ หะยีเต๊ะ น่าจะเป็นที่มาที่ทำให้โลกออนไลน์และสังคมอคติทำงานกันว่อนเน็ต) ..
ช่วงเจ้าหน้าที่เข้าปราบจลาจลรอบที่ 2 มีการปิดไฟ ระหว่างที่เข้าปราบมีชุดปราบฯ ถามหาคนชื่ออันวาร์ แต่อันวาร์เลือกที่จะไม่แสดงตัวเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย สิ่งที่เป็นข้อกังขา ทำไมต้องเรียกหาชื่ออันวาร์ จะช่วยปกป้องให้ปลอดภัยหรือมีคำสั่งให้ปราบปรามเพราะชุดปราบฯ เชื่อข่าวโคมลอยนั่น(คิดต่างๆ นานาตามประสา)
..??? ..!!??!!.. ???
ระหว่างที่กำลังเยี่ยมพูดคุยกับอันวาร์อยู่ ฉันเห็นผู้ต้องขังที่ชื่อนายอุสมาน สาและ ที่ถูกแต่งตั้งเป็นตัวแทนผู้นำศาสนาในเรือนจำปัตตานีหรือเรียกว่าอิหม่าม ได้เดินผ่านม่านกระจกห้องขัง เดินตัวโก่ง อันวาร์หันมาบอกว่า อิหม่ามอุสมาน ปวดท้อง อ้วก ตาเหลือง ไม่สบายตั้งแต่หลังเกิดเหตุจลาจลและหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทางเรือนจำนำตัวไปส่งโรงพยาบาล ทราบมาว่า ก่อนหน้านี้นายอุสมานก็มีอาการเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ..
.. ..
ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมขัง ที่ติดอยู่ในเรือนจำ 5 คนสุดท้าย เขายืนยันฟันธงชัดเจนว่า คดีความมั่นคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับก่อเหตุจลาจล แถมเป็นผู้ช่วยให้เจ้าหน้าที่ฯ รอดพ้นจากเงื้อมมือก่อจลาจลนั่น ช่วยพูดคุยต่อรองคุ้มกันให้เจ้าหน้าออกจากเรือนจำอย่างปลอดภัย แต่ไม่เข้าใจข่าวที่แพร่สะพัดออกไปทำไมไปลงเรื่องความมั่นคงไปได้ ..
ข้อสงสัย :-
มีผู้ไม่หวังดีหรือเชื่อข่าวโคมลอยนั่น จะเล่นงานคดีความมั่นคงใช่มั้ย ??
ทำไมต้องสาดกระสุนจริงมาที่เรือนนอน 4 ซึ่งเป็นที่พักคดีความมั่นคง ??
ทำไมต้องมีสไนเปอร์ถึง 2 คน อยู่บนที่สูงนั่น จะรอเก็บใคร (นักข่าวให้ข้อมูลช่วงเกาะติดข่าววันเกิดเหตุ) ??
ทำไมข่าวโคมลอยพยายามยัดเยียดให้เป็นคดีความมั่นคง ??
หรือหากการก่อจลาจลเป็นเรื่องคดีความมั่นคง จะทำให้คนปฏิบัติหน้าที่มีความชอบธรรมในการปราบปรามหรือเปล่า ??
คนที่ถูกสั่งย้ายไปที่เรือนจำต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง ถูกทำร้ายหรือไม่ ถูกเล่นงานหนักรึเปล่า ??
เพราะโดยปกติจะทำการย้ายแต่ละคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่นี่ถูกย้ายด้วยเหตุจลาจลอย่างเร่งด่วน ตามรายชื่อที่ติดไว้ที่บอร์ดเรือนจำปัตตานีมีจำนวนถึง 447 คน มากกว่าที่มีในข่าว ชะตากรรมของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างถูกขนย้ายจนถึงปลายทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะถูกซ้อมต้อนเหมือนเหตุการณ์ตากใบหรือเปล่า จะมีใครบาดเจ็บสาหัส หรือเป็นอะไรมากมั้ย ??? ไม่มีใครตอบได้ คงต้องรอติดตามจากญาติ ผู้ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเจอและฟังเรื่องราวด้วยตัวเองในโอกาสต่อไป ..
.. .. ?? !! ?? .. คำถามพร่ำพรูกลับมาอีกครั้ง ?? !! ?? ..
เป็นห่วงสหายคดีความมั่นคง เป็นห่วงอันวาร์ที่สุดฮีโร่ของฉัน ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์อย่าได้เปิดโอกาสให้ผู้อธรรมเล่นงานคนดี ขอให้พลังศรัทธาดุอาอ์เป็นแรงต้านภัยร้ายทั้งปวง ขออัลลอฮ์คุ้มครองให้ทุกคนปลอดภัย .. ..
สารจากอันวาร์ ..
อัซซาลามูอากุมฯ อันวาร์ฝากสลามถึงเพื่อนพี่น้องทุกคน วันนี้วันศุกร์ครบ 1 สัปดาห์เกิดเหตุจลาจลเรือนจำปัตตานี ฝากเพื่อนๆ พี่น้องทุกมัสยิดร่วมกันละหมาดฮาญัติและทำอัรวะฮ์ให้กับนายสุอนันท์ ป้องเศร้า หรือชื่อมุสลิมนายอาดือนัน บินซูรียา 1 ใน 3 มุสลิมคนเดียวที่ตายในเรือนจำปัตตานี และช่วยกันขอดุอาอ์พรให้พี่น้องในเรือนจำปัตตานีและพี่น้องที่ถูกย้ายไปให้ปลอดภัยด้วย ขอบคุณทุกคนที่มีเราในดุอาอ์เสมอ
รอมือละห์ แซเยะ
ภรรยาอันวาร์ผู้บันทึกเรื่องราวหลังเหตุจลาจลเรือนจำปัตตานี
22 กรกฎาคม 2016
0000
หมายเหตุุ: ก๊ะ หมายถึง พี่สาว ,เด๊ะ หมายถึง น้องสาวหรือน้องชาย
'โคทม' ยืนยันไม่รับร่าง รธน. ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ภรรยาและลูก 'แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล' ออกจากไทยแล้ว
จับเด็ก ม.ต้น ทำลายบัญชีรายชื่อประชามติที่ระยองส่งสถานพินิจ
'กกต. สมชัย' แจงยังนับคะแนนหน้าหน่วย แนะ 'สุรพงษ์-ภูมิธรรม' เอาไก่กลับไปด้วย
23 ก.ค.2559 จากกรณีที่สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่ากกต.จะไม่มีการนับคะแนนหน้าหน่วยออกเสียงประชามตินั้น
สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว 'Srisutthiyakorn Somchai' ในลักษณะสาธารณะชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า มีไก่มาเพ่นพ่าน 2 ตัว การนับคะแนนประชามติ ของ กกต. ยังคงเป็นเช่นเดียวกับการนับคะแนนเลือกตั้ง คือการนับหน้าหน่วย ต่อหน้าประชาชน ไม่ได้มีมหัศจรรย์พันลึกใดๆ ตามที่ทั้งสองท่านจินตนาการ
“ท่านแรก เป็นถึงอดีต รมต.ต่างประเทศ บอกว่า กกต.จะเลิกนับคะแนนหน้าหน่วย มาจากไหน ท่านที่สอง เป็นเลขาธิการพรรคใหญ่ ลงลึกขนาดว่า จะไม่มีรายงานผลคะแนนหน้าหน่วย รู้ขนาดว่ามี fax 6 เครื่อง โทรศัพท์ 20 สาย เพื่อรายงาน 100,000 หน่วย ถ้าข่าวกรองไม่ห่วย ก็ถือว่า มีจินตนาการสุดขอบฟ้า”นายสมชัย ระบุ
สมชัย โพสต์อีกว่า ที่ต้องออกมาขี้แจง ไม่ใช่ต้องการตอบโต้ทุกเม็ด แต่ต้องการไม่ให้ใครมาทำลายความน่าเชื่อถือ บนพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครับ ก่อนที่จะโพสต์ทิ้งท้ายสั้น ๆ ว่า “เอาไก่กลับไปด้วยครับ”
ประสิทธิชัย หนูนวล: สิ่งที่เราต้องยอมรับคือ บทเฉพาะกาลมีเพื่อการสืบทอดอำนาจแน่นอน
คุยกับประสิทธิชัย หนูนวล แกนนำกลุ่มอดอาหารคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ หลังประกาศชัดคัดค้านไม่รับร่างรัฐธรรมนูญด้วยเหตุ 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรปฏิรูปจริงจัง แต่ยังเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสอบทอดอำนาจต่อไปอีก
หากพูดถึง ประสิทธิชัย หนูนวล หลายคนน่าจะรู้จักเขาดีในฐานะคนทำงานภาคประชาสังคม โดยเฉพาะประเด็นการต่อต้านคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดกระบี่ ซึ่งล่าสุดได้มีการเคลื่อนไหวไปในช่วงปีที่ผ่านมา โดยยึดถือหลักการแนวทางสันติวิธี คือการอดอาหารเพื่อประท้วงรัฐบาลให้ยุติโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้คนลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนคัดค้านไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินครั้งนั้น เป็นเพราะกระบวนการ และกลไกที่ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงความความคิดเห็น และไม่ได้พื้นที่ที่จะรับฟังความต้องการของพวกขาอย่างแท้จริง คงไม่ผิดมากไปนักหากเราจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า โครงสร้างทางอำนาจที่บิดเบี้ยว และไม่เป็นธรรมกับประชาชนผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
และแน่นอนว่า ประสิทธิชัย มองเห็นโครงสร้างทางอำนาจที่บิดเบี้ยวเหล่านั้นดี เขาจึงเป็นหนึ่งในกลุ่มคนทำงานภาคประชาสังคมที่ออกประกาศชัดเจนว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติครั้ง เป็นร่างที่ไม่อาจรับได้ เรื่องที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับงานภาคประชาชนของเขาอย่างไร และเขามองเห็นอะไรในร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดนี้คือคำตอบ
ทั้งตัวร่างรัฐธรรมนูญ และบทเฉพาะ มันมีความไม่ปกติอยู่ โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาล เห็นได้ชัดว่า คสช. มีเป้าหมายอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ที่เขียนบทเฉพาะกาลแบบนี้ไว้
คำถามก็คือ แผนยุทธศาสตร์ที่บังคับให้ร่างให้เสร็จหลังรัฐธรรมนูญผ่านคืออะไร ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า แผนยุทธศาสตร์คือ การเขียนแผนของกลุ่มประชารัฐ คสชมีหน้าที่จัดการโครงสร้างทางอำนาจให้เรียบร้อย และจะต้องจัดการให้ได้ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี
สิ่งที่เราต้องยอมรับก่อนคือ ในบทเฉพาะกาลเขียนเพื่อการสืบทอดอำนาจแน่นอน สืบทอดอำนาจแล้วจะดีหรือเปล่า ก็ต้องมาดูตามสถานการณ์ คสช. ประกาศปฏิรูปประเทศตั้งแต่รัฐประหาร จนปัจจุบันไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย แต่สิ่งที่ลงแรงหนักก็คือว่า ให้กลุ่มทุนที่เรียกว่า ประชารัฐ เดินหน้าเต็มที่ คสช. มีหน้าที่แก้กฎหมายเพื่อให้ทุนใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ครม.ชุดใหม่ก็ไม่มีทางที่จะแตกต่างไปจากนี้
ที่เขาโฆษณาว่า มันมีการการปราบโกง ผมว่ามีเหตุผลเดียวคือ การทำให้พรรคการเมือง และนักการเมืองเล็กลง แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่เข้ามากุมอำนาจรัฐอาจจะมีการคอรัปชั่นสูงขึ้น และกลายเป็นกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นไปได้บอกว่านักการเมืองจะไม่จับมือกับกลุ่มทุน เพราะเขาจะหันไปจับมือกับอำนาจใหม่แทน และไม่ต้องเดาเลยว่าจะจับหรือไม่เพราะตอนนี้เขาจับมือกันอยู่ และจับอย่างต่อเนื่อง
ภาพจากเฟซบุ๊กส่วนตัว ประสิทธิชัย หนูนวล
00000
คุณเป็นอีกคนหนึ่งในกลุ่มคนทำงานภาคประชาชน ที่ออกมาประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่าจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เหตุผลที่ไม่อาจรับได้กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ของคุณคืออะไร
ทั้งตัวร่างรัฐธรรมนูญ และบทเฉพาะ มันมีความไม่ปกติอยู่ โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาล เห็นได้ชัดว่า คสช. มีเป้าหมายอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ที่เขียนบทเฉพาะกาลแบบนี้ไว้ ขยายความก็คือ จะพบว่าที่มาของนายกรัฐมนตรี หรือ ครม. จะถูกจัดการมาเป็นพิเศษ เช่นเรื่องขอที่มาของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องถูกเสนอชื่อโดยพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็น ส.ส. หรือไม่ก็ได้ พอไปดูการเสนอชื่อ ไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากสุดจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีการเปิดช่องให้ใช้กลไกพิเศษในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้
พอมาพิจารณาคำถามพ่วง ก็แสดงเจตนาชัดเจนเรื่องการได้มาของนายกรัฐมนตรี ก็จะให้ ส.ว. 250 คน มาเลือกด้วย ซึ่งทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของ คสช. เพราะฉะนั้นโดยระบบทั้งหมด มันส่อให้เห็นว่า เขาอยากจะได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกเดียวกัน หรือสามารถกำกับควบคุมได้ สมมติว่าไม่มีนัยที่พูดถึง ทำไมเขาไม่เขียนร่างรัฐธรรมนูญให้มันเป็นไปตามปกติ คือไม่ต้องมีบทเฉพาะกาลแบบนี้
คำถามก็คือว่า บทเฉพาะกาลมีวัตถุประสงค์หลักคืออะไร ความเห็นส่วนตัวของผม บทเฉพาะกาลมีวัตถุประสงค์เพื่อ ทำยุทธศาสตร์ชาติ หรือการปฏิรูปประเทศ ถ้าเราไปอ่านบทเฉพาะกาลจะพบว่าให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มาก เช่นบอกว่าจะต้องเขียนแผนยุทธศาสตร์ให้เสร็จภายใน 1 ปี จะต้องมีกฎหมายที่รองรับแผนเรื่องยุทธศาสตร์ แล้วยังให้อำนาจของ ส.ว. ในการที่จะกำกับ เร่งรัด ติดตามเรื่องการทำยุทธศาสตร์ของประเทศด้วย ทั้งยังให้ ครม. ต้องรายงานความคืบหน้าต่อวุฒิสภา 3 เดือนครั้ง นี่คือเป้าหมายใหญ่ของ คสช. และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใหญ่ต้องได้นายกรัฐมนตรีที่ตัวเองคุมได้
ส่วนเรื่องของการจัดการทรัพยากร สิทธิชุมชน ก็จะกลายเป็นหน้าที่ของรัฐ ในความเชื่อส่วนตัวผมมองว่า แผนยุทธศาสตร์นี้จะนำไปสู่การผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงให้สิทธิในการจัดการทรัพยากรชุมชนเป็นหน้าที่ของรัฐ แล้วพอร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ก็จะต้องเขียนกฎหมายขึ้นมา เพื่อมาประกอบรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบังคับว่าต้องเขียนให้เสร็จภายใน 8 เดือน หลังจากที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ถ้าเขียนไม่เสร็จ หน่วยงานที่รับผิดชอบก็จะต้องถูกลงโทษ ครม. สามารถสั่งปลดหัวหน้าหน่วยงานได้ เขาต้องการที่จะทำให้แผนยุทธศาสตร์นี้เดินได้
ประเด็นถัดมาที่เป็นคำถามหลักก็คือว่า ในคำถามพ่วงเนี่ยที่ต้องการให้ ส.ว. มาเป็นส่วนสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรี เหตุผลคือ เพื่อให้แผนปฏิรูปประเทศหรือยุทธศาสตร์ชาติดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเวลาเราดูทั้งคำถามพ่วง บทเฉพาะกาล และหมวดปฏิรูปประเทศ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ทีนี้สิ่งที่มันลึกซึ้งก็คือ คำว่ายุทธศาสตร์ชาติกับการปฏิรูปประเทศมันคืออะไร รัฐบาลนี้พยายามอย่างมากที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็ต้องนำมาพิจารณา ปฏิบัติการตามนโยบายของ คสช. ในยุคปัจจุบัน ซึ่งให้อำนาจกับประชารัฐ คือบริษัทกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เข้ามาคุมสภาพประเทศ เพราะว่าเค้าทำ 12 เรื่อง แก้กฎหมาย การศึกษา การเกษตร ฯลฯ และเมื่อดูคำสั่งมาตรา 44 ที่ออกมาหลายๆคำสั่ง ก็ปรากฏว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุน กระบวนการทำนโยบายที่เกิดขึ้นแล้วในยุค คสช. มีผลบังคับใช้แม้ว่ารัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นกระบวนการต่อเนื่อง คำถามก็คือ แผนยุทธศาสตร์ที่บังคับให้ร่างให้เสร็จหลังรัฐธรรมนูญผ่านคืออะไร ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า แผนยุทธศาสตร์คือ การเขียนแผนของกลุ่มประชารัฐ คสชมีหน้าที่จัดการโครงสร้างทางอำนาจให้เรียบร้อย และจะต้องจัดการให้ได้ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี
เช่นเดียวกับ ส.ว. ที่มีอายุ 5 ปี ส.ว. ก็จะมีบทบาท มีอำนาจมาก ในบทเฉพาะกาลที่เขียนขึ้น อันนี้เป็นเหตุผลหลักที่ไม่สามารถยอมรับร่างรัฐธรรมนูญได้ เพราะมันจะนำไปสู่การกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของประเทศในช่วง 3ถึง 5 ปี
ประเด็นสำคัญเวลาผมมีความเห็นแบบนี้ ก็จะมีคนบอกว่า เพ้อเจ้อ วิเคราะห์เกินไปหรือเปล่า ถ้าพิจารณาจากปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องยอมรับก่อนคือ ในบทเฉพาะกาลเขียนเพื่อการสืบทอดอำนาจแน่นอน สืบทอดอำนาจแล้วจะดีหรือเปล่า ก็ต้องมาดูตามสถานการณ์ คสช. ประกาศปฏิรูปประเทศตั้งแต่รัฐประหาร จนปัจจุบันไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย แต่สิ่งที่ลงแรงหนักก็คือว่า ให้กลุ่มทุนที่เรียกว่า ประชารัฐ เดินหน้าเต็มที่ คสช. มีหน้าที่แก้กฎหมายเพื่อให้ทุนใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ครม.ชุดใหม่ก็ไม่มีทางที่จะแตกต่างไปจากนี้
ถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผ่าน ขึ้นมาจริงๆ มันจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาคประชาสังคม อย่าง เช่นการคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ หรือในพื้นที่อื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาจากโครงกรพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ และทุน
จริงๆ ด้วยความเชื่อส่วนตัวเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน มันก็จะมีเรื่องของการออกกลไก ที่เรียกว่าการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องตรากฎหมาย เขียนขึ้นมาใหม่ แล้วจะต้องทำให้เสร็จภายใน 8 เดือน หมายถึงว่าให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้เสร็จภายใน 2 เดือน
ก่อนหน้านี้มีตัวกฎหมายที่พูดถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอยู่แล้ว แต่ว่าจะมีการรื้อและทำใหม่อย่างนั้นเหรอ
บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาล เขียนว่าจะต้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องทำกฎหมายขึ้นมา อาจจะเอาตัวร่างกฎหมายเดิมมาแก้ไข หรือทำขึ้นมาใหม่ อันนี้ก็ไม่มีใครทราบ แต่ในเรื่องนี้ได้เขียนกำกับไว้ว่า ถ้าหัวหน้าหน่วยงานที่ ครม. ได้รับมอบหมาย ทำไม่เสร็จภายในระยะเวลา 8 เดือนที่กำหนด ครม.ต้ องสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานนี้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมันเป็นการบีบบังคับให้ เร่งร่างกฎหมายออกมา
ทีนี้ประเด็นนี้ที่จะกระทบก็คือ เดิมเรื่องการจัดการทรัพยากรในรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เขียนเป็นเรื่องสิทธิชุมชน หมายถึงว่า ชุมชุนมีสิทธิ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเป็นให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐ กฎหมายซึ่งเป็นหลักประกันของประชาชนก็จะถูกลิดรอนมากขึ้นตามหลักรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เราจะเป็นเพียงผู้มีสิทธิรู้ มีสิทธิรับทราบข้อมูล แต่ไม่ได้มีสิทธิกำหนดอนาคตตัวเอง
ในขณะเดียวกันฝั่ง กรธ. เองก็ออกมาชูว่าร่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นร่างรัฐธรรมนูญปราบโกง หรือมีการพูดถึงว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่าน จะไม่เกิดสภาวะที่นักการเมืองไปจับมือกับกลุ่มทุนแล้วก็มากระทำกับชาวบ้าน และพร้อมๆ กันมีกลุ่มการเมืองบ้างกลุ่มออกมาบอกว่า คนที่จะออกไปโหวตโนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ คนสนับสนุนให้มีการโกงเกิดขึ้น
ถ้าการเขียนรัฐธรรมนูญแล้วปราบโกงได้เนี่ย คิดว่าทั้งโลกคงเขียนรัฐธรรมนูญแล้วปราบการคอรัปชั่นกันได้หมดแล้ว ฉะนั้นโดยตรรกะพื้นๆ การเขียนรัฐธรรมนูญไม่ได้นำไม่สู่การปราบโกง สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อคือ กลับมาดูตัวเนื้อหาว่านำไปสู่การปราบโกงจริงหรือเปล่า ผมมองว่ามันมีการเขียนรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะการใช้อำนาจค่อนข้างเบ็ดเสร็จ คือองค์อิสระมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในการวินิจฉัยต่อ ครม. โดยใช้ มาตรฐานธรรมทางจริยธรรม ทีนี้ถามว่ามาตรฐานทางจริยธรรมใครเป็นคนเขียน
แต่ว่ามาตรการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อาจจะทำให้คนกุมอำนาจคนใหม่สามารถกระทำการใดก็ตามที่นำไปสู่การโกงได้ เหตุผลเพราะว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว 250 คนของ ส.ว. กลายเป็นตัวพลิกผันที่สำคัญ แล้ว ส.ว. มาจากการแต่งตั้งของ คสช. เพราะฉะนั้นในรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นก็อาจนำไปสู่การโกงได้มากขึ้น เพราะว่ามีเสียงที่ตัวเองถืออยู่ 250 เสียง ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะการเลือกครั้งนี้อาจไม่มีพรรคได้ได้เสียงแบบสุดโต่ง อาจจะอยู่ปริ่มๆ กัน เพราะว่ามันมีวิธีการเลือกแบบใหม่ เพราะฉะนั้น พรรค สว. 250 คนอาจเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาก็ได้
ที่เขาโฆษณาว่า มันมีการการปราบโกง ผมว่ามีเหตุผลเดียวคือ การทำให้พรรคการเมือง และนักการเมืองเล็กลง แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่เข้ามากุมอำนาจรัฐอาจจะมีการคอรัปชั่นสูงขึ้น และกลายเป็นกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นไปได้บอกว่านักการเมืองจะไม่จับมือกับกลุ่มทุน เพราะเขาจะหันไปจับมือกับอำนาจใหม่แทน และไม่ต้องเดาเลยว่าจะจับหรือไม่เพราะตอนนี้เขาจับมือกันอยู่ และจับอย่างต่อเนื่อง
สมาคมต้านโลกร้อนค้านตัดไม้สักมาสร้างรัฐสภาแห่งใหม่
ความเห็น ชาว 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่อร่างรธน. และ ประชามติ
ร่างรัฐธรรมนูญอาจไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการสันติภาพ
ชาวบ้านไม่ตื่นตัว ขาดข้อมูลและสับสนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ, ต้องจับตาการก่อเหตุช่วงใกล้ประชามติ
หวั่นศาสนาอิสลามไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าเดิม และวิถีชีวิตแบบมุสลิมจะถูกลิดรอน
หวั่น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจะไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กขาดโอกาสเรียน ม.ปลาย
บรรยากาศทางการเมืองที่ปิด ไม่เป็นผลดีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
นำร่อง 1 ส.ค.นี้ ย้ายวินรถตู้รอบอนุสาวรีย์ชัย สั่ง 4,205 คัน โยกไปอยู่หมอชิต-สายใต้-เอกมัย
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ดรุณ แสงฉาย รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังการประชุมจัดระเบียบรถตู้ร่วมกับทหาร ตำรวจ กรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องว่า เป็นการจัดระเบียบในระยะที่ 3 คือนำรถตู้โดยสารสาธารณะหมวด 2 ซึ่งให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในรัศมีไม่เกิน 300 ก.ม. ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน 4,205 คัน ย้ายออกจากที่จอดรถบริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัย สมรภูมิ โดยต้องไปจอดภายในสถานีที่บขส.จัดให้ 3 จุดเท่านั้น คือสถานีขนส่งจตุจักร สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และสถานีขนส่งเอกมัย
ดรุณ กล่าวอีกว่า กรมการขนส่ง ตำรวจและทหารจะเริ่มทดลองจัดระเบียบนำร่องก่อนในวันที่ 1-15 ส.ค. เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เช่น การจราจร เพื่อนำข้อมูลมาแก้ปัญหา จากนั้นจะประกาศดีเดย์ในวันที่ 25 ต.ค. โดยรถตู้หมวด 2 ทุกคันต้องไปจอดใน 3 สถานีเท่านั้น และห้ามจอดบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ อีก ซึ่งเจ้าหน้าที่จะออกตรวจจับปรับอย่างเข้มข้น
ดรุณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยอมรับว่าในช่วงแรกของการจัดระเบียบจะมีประชาชนที่เคยใช้บริการรถตู้โดยสารบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ อาจไม่ได้รับความสะดวกบ้าง กระทรวงคมมาคมจึงเตรียมหารือร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อบริการรถบัสรับผู้โดยสาร จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปยังสถานีขนส่งทั้ง 3 แห่ง โดยคาดว่าการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะภายในกรุงเทพฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบริการรถร่วม เพราะจะทำให้ บขส.สามารถควบคุมค่าโดยสาร ความปลอดภัย แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลและการจราจรแออัดได้ อีกทั้งยังเตรียมกำหนดใช้มาตรการดังกล่าวกับรถโดยสารสาธารณะในต่างจังหวัดอีกด้วย ซึ่งจะเร่งรัดให้หน่วยงานต้นสังกัดของรถโดยสารสาธารณะในต่างจังหวัดจัดทำแผนส่งมายัง บขส.ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน หากสามารถดำเนินการจัดระเบียบได้จะกำหนดให้เริ่มใช้เป็นทางการในวันที่ 25 ต.ค.นี้เช่นเดียวกัน
ที่มา ข่าวสดออนไลน์ไทยรัฐออนไลน์และโพสต์ทูเดย์
กองปราบจับผู้ต้องสงสัยส่งจม.ประชามติเชียงใหม่-ทหารจับพ่อแม่เข้าค่าย
23 ก.ค.2559 เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่นำตัวนายวิศรุต คุณนิติสาร อายุ 38 ปี อาชีพพนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาทำบันทึกการจับกุม กรณีตกเป็นผู้ต้องหาส่งจดหมายประชามติจำนวนมากไปยังประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่
นายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ว่า นายวิศรุตนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ที่เชียงใหม่แต่ลงมาเยี่ยมญาติที่กรุงเทพฯ และถูกจับกุมจากคอนโดของน้องที่ย่านลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวมาทำบันทึกการจับกุมที่กองปราบฯ ก่อนจะส่งตัวขึ้นเครื่องบินไปยังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อ 16.30 น.ที่ผ่านมาเพื่อไปดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงใหม่
การจับกุมในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ ออกหมายจับที่ 473/2559 ลงวันที่ 22 ก.ค.2559 ในข้อกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐาน “เผยแพร่จัดทำข้อความในสื่อสิ่งพิมพ์หรือช่องทางอื่นใดที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง โดยมุ่งหวังให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง” ตามมาตรา 61 วรรค 2 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำหมาย้นของศาลอาญาที่ 210/2559 ลงวันที่ 23 ก.ค.เข้าตรวจค้นห้องพักของน้องเมื่อพบนายวิศรุตจึงทำการจับกุม เบื้องต้นผู้ถูกจับกุมให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
กัณต์พัศฐ์ กล่าวด้วยว่า ครอบครัวของนายวิศรุตแจ้งว่า ขณะที่มีการจับกุมในวิศรุตที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวควบคุมตัวพ่อและแม่ของนายวิศรุตเข้าไปพูดคุยในค่ายกาวิละ และยังไม่มีรายงานการปล่อยตัวแต่อย่างใด
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจาก สกสส. กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้เป็นกรณีที่มีการส่งจดหมายเรื่องประชามติที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับจดหมายซองตราครุฑที่จังหวัดลำปาง พร้อมทั้งวิจารณ์การควบคุมตัวพ่อและแม่ของนายวิศรุตเข้าค่ายทหารโดยอ้างมาตรา 44 เป็นการใช้อำนาจซ้ำซ้อนและไม่ใช่หน้าที่ของทหาร
วิญญัติแสดงความเห็นว่า การดำเนินคดีครั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้กล่าวหานายวิศรุต เป็นกกต.หรือเป็นผู้ใด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะการกล่าวโทษหรือการกล่าวหาว่านายวิศรุตกระทำผิดตามมาตรา 61 วรรคสองนั้น จำเป็นต้องระบุข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่าข้อความในจดหมายที่อ้างว่านายวิศรุตเป็นผู้ส่งไปรษณีย์นั้นผิดอย่างไร ข้อความไหนที่ผิด เพราะเท่าที่ตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายพบว่าเป็นการตั้งประเด็นต่อร่างรัฐธรรมนูญแบบที่นักการเมือง นักวิชาการ กลุ่มภาคประชาสังคมอื่นๆ ก็มีการตั้งประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยแบ่งเป็นเรื่อง สวัสดิการเรียนฟรี, เบี้ยคนผู้สูงอายุ, การรักษาพยาบาล
“ผมอ่านเอกสารแล้วเป็นการตั้งประเด็นปกติ นักการเมืองก็พูดเรื่องพวกนี้กันหลายคน เอาจริงๆ จุลสารของ กกต.เองที่เผยแพร่ ยกตัวอย่างมาตรา 47 บอกว่า การได้รับสิทธิเรียนฟรี 12 อาจจัดมีการเรียนฟรีถึง 15 ปี เอกสารระบุคำว่า “อาจจัด” แบบนี้ถือว่าบิดเบือนตัวร่างรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่ ที่สำคัญ จดหมายมีเนื้อหาเพียงตั้งประเด็นให้คนคิดก่อนไปลงคะแนน ไม่ได้บอกให้ไปเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เท่าที่อ่านยังไม่เห็นการใช้ข้อความที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงของร่างรัฐธรรมนูญเลย” วิญญัติกล่าว
เขากล่าวต่อว่า การวิเคราะห์และการแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายหรือแชร์ข้อความออนไลน์ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและอยู่ในกรอบกฎหมาย ตามมาตรา 7 ของพ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งเป็นมาตราหลัก หากจะนำวรรคสองของมาตรา 61 มายกเว้นย่อมต้องระบุให้ชัดเจน
พบ 81% ของคนทำงานพาร์ทไทม์ในฝรั่งเศสเป็นผู้หญิง
พบ 81% ของคนทำงานพาร์ทไทม์ในฝรั่งเศสเป็นผู้หญิง ถือเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของผู้หญิงในฝรั่งเศสที่มีงานทำ และอัตราการว่างงานของผู้หญิงยังสูงกว่าผู้ชายด้วย
ผู้หญิงในฝรั่งเศสนอกจากที่ต้องดูแลลูกและครอบครัวแล้ว พวกเธอยังต้องหางานพาร์ทไทม์ทำควบคู่กันไป (ที่มาภาพประกอบ: flickr.com/polycola/CC BY 2.0)
23 ก.ค. 2559 สัดส่วนการจ้างงานแบบพาร์ทไทม์ในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากในปี ค.ศ. 1975 ที่มีเพียงร้อยละ 8 เพิ่มเป็นร้อยละ 10 ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และเพิ่มเป็นร้อยละ 19 ในปี ค.ศ. 2013 ส่วนค่าเฉลี่ยการจ้างงานแบบพาร์ทไทม์ของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) อยู่ที่ร้อยละ 19.4 ในปี ค.ศ. 2014
เว็บไซต์ RFIอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงานฝรั่งเศส ระบุว่าร้อยละ 81 ของคนทำงานชาวฝรั่งเศสที่ทำงานพาร์ทไทม์เป็นผู้หญิง และเมื่อพิจารณาสัดส่วนของผู้หญิงที่ทำงานทั้งหมดพบว่าร้อยละ 31 ทำงานพาร์ทไทม์อย่างเดียวและทั้งทำงานประจำพร้อมพาร์ทไทม์ควบคู่ไปด้วยกัน ส่วนค่าเฉลี่ยของ EU อยู่ที่ร้อยละ 32.2 ข้อมูลจาก รายงานของสหภาพยุโรประบุว่าผู้หญิงทำงานพาร์ทไทม์ในฝรั่งเศสเฉลี่ยสัปดาห์ละ 23.4 ชั่วโมง (ค่าเฉลี่ยของ EU อยู่ที่ 20.2 ชั่วโมง) ส่วนอัตราการจ้างงานจำแนกชายหญิงพบว่าในปี ค.ศ. 2012 ผู้ชายฝรั่งเศสมีอัตราการจ้างงานสูงกว่าที่ร้อยละ 68 ส่วนผู้หญิงมีเพียงร้อยละ 60 นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีอัตราการว่างงานสูงกว่าผู้ชาย โดยผู้ชายมีอัตราการว่างงานร้อยละ 9.8 แต่ผู้หญิงมีอัตราการว่างงานถึงร้อยละ 10.1
ทั้งนี้สาเหตุที่ผู้หญิงฝรั่งเศสทำงานพาร์ทไทม์ในสัดส่วนที่สูงเนื่องจากต้องดูแลเด็กและครอบครัวไปด้วย ทำให้โอกาสในการทำงานแบบสัญญาจ้างเต็มเวลาลดลง นอกจากนี้พบว่าคนทำงานพาร์ทไทม์เกือบ 1 ใน 3 ยังทำงานประจำไปด้วยโดยเฉพาะคนทำงานวัยหนุ่มสาวและคนทำงานวัยใกล้เกษียณ
อนึ่งปัจจุบันอัตราการว่างงานในฝรั่งเศสอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 แต่เฉพาะคนทำงานวัยหนุ่มสาวอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 24 ทั้งนี้หลายเดือนที่ผ่านมา ชาวฝรั่งเศสได้ออกมาต่อต้านร่างกฎหมายปฏิรูปแรงงานอย่างรุนแรง เพราะร่างกฎหมายนี้ได้เพิ่มอำนาจให้ภาคธุรกิจสามารถปรับลดชั่วโมงทำงานพร้อมกับลดค่าจ้างได้ รวมทั้งการเพิ่มชั่วโมงการทำงาน และลดอุปสรรคให้นายจ้างปลดพนักงานได้ง่ายขึ้น
ทหาร-ตร. บุกค้น 6 จุดเครือข่ายการเมืองเชียงใหม่ หาหลักฐานโยง จม.ไม่รับร่างรธน.
23 ก.ค.2559 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผบก.ภ.เชียงใหม่ ร่วมกับ พล.ต.โกศล ปทุมชาติ ผบ.มทบ.33 ได้สนธิกำลังตำรวจและทหาร เข้าตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 6 จุด ในพื้นที่ อ.เมือง เชียงใหม่ เพื่อหาหลักฐานเอกสารใบปลิวต่อต้านไม่รับร่าง รธน.และจดหมายบิดเบือนร่าง รธน.
เบื้องต้น พบ และตรวจยึดหลักฐานที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องต่อกระบวนการจดหมายบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้เป็นจำนวนมาก
ผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยวา ล่าสุด ช่วงสายวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่สำนักงานเทศบาลตำบลช้างเผือก ในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมี คเชน เจียกขจร ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยของ บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี อยู่ ทั้งนี้ ตามคำให้การของ สามารถ ขวัญชัย อายุ 63 ปี ซึ่งถูกจับกุมจากการแจกใบปลิวต่อต้านการออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
โดยได้เข้าตรวจค้นห้องทำงานของนายกเทศมนตรี และห้องทำงานสำนักปลัดเทศบาล นอกจากนี้ ยังได้เข้าทำการตรวจค้นบ้านพักส่วนตัวของ คเชน ด้วย เบื้องต้นรายงานระบุว่า สามารถตรวจยึดหลักฐานที่เชื่อว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงต่อจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญได้จำนวนหนึ่ง
รายงานข่าวระบุว่า การที่เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจเข้าทำการตรวจค้นเป้าหมายต่างๆ ในวันนี้ สืบเนื่องมาจากการแกะรอยตามหลักฐานกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุเผยแพร่จดหมายบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญไว้ได้ รวมทั้งการจับกุมตัว สามารถ หลังก่อเหตุแจกใบปลิวต่อต้านการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.59 นี้ ซึ่งถูกจับกุมตัวได้เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.ค.) และได้ให้ข้อมูลต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่จนนำไปสู่การตรวจค้นในครั้งนี้
ปชป.ปัดจับมือพท.ล้มร่าง รธน. แซะ พท.ตั้งธงไม่รับตั้งแต่ยังไม่เห็นเนื้อหา
ขอประชาชนพิจารณาเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญอย่างรอบคอบ วอน คสช. กรธ.และ กกต. แก้ไขให้การทำประประชามติอย่างถูกต้องตามหลักสากล โดยเปิดกว้างให้ข้อมูลครบถ้วนทุกด้าน คุณหญิงกัลยายัน จุดยืน ปชป.ต่างจากเพื่อไทย
ราเมศ รัตนะเชวง ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Democrat Party, Thailand
23 ก.ค.2559 ราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานฝ่ายกำหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงช่วงโค้งสุดก่อนลงประชามติ ว่า ส่วนกรณีที่มีการเหมารวมว่า พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทย หลังสมาชิกพรรคบางส่วนร่วมลงชื่อสนับสนุนกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย ว่า ขออย่าบิดเบือน หรือ ยัดเยียดว่า พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทย เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็เพราะได้พิจารณาจากเนื้อหาสาระของตัวร่างโดยละเอียดถี่ถ้วน ต่างจากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ตั้งธงประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตั้งแต่ยังไม่เห็นเนื้อหาสาระ
ราเมศ ยังเรียกร้องให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม โดยพิจารณาเนื้อหาสาระร่างรัฐธรรมนูญอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม ที่น่าตกใจ คือ กรณีที่ ประวิช รัตนเพียร กกต.ออกมายอมรับว่า ประชาชนจะไม่ได้รับสรุปสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญทุกครัวเรือน เพราะตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ไม่ได้ระบุให้ต้องแจกจ่ายทุกครัวเรือน จึงขอถามว่าเป็นการทำหน้าที่ของ กกต.ที่สมบูรณ์แล้วหรือไม่
“ดังนั้น ในเวลาที่เหลือ ขอเรียกร้องให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)และ กกต. แก้ไขให้การทำประประชามติอย่างถูกต้องตามหลักสากล โดยเปิดกว้างให้ข้อมูลครบถ้วนทุกด้าน” ราเมศ กล่าว
ขณะที่ วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ กกต. ชี้แจงเนื้อหาที่จัดพิมพ์ในจุลสารการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่แจกจ่ายให้กับประชาชน หลังพบว่าเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนฟรีและสิทธิรับบริการด้านสาธารณสุข มีการโฆษณาชวนเชื่อเกินความจริง และไม่ตรงกับเนื้อในที่เขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการจูงใจให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่
“ยืนยันว่า วิรัตน์ ร่มเย็น วิลาศ จันทร์พิทักษ์ และผม จะไปใช้สิทธิลงประชามติในวันที่ 7สิงหาคม แต่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึง คำถามพ่วงประชามติ” วัชระ กล่าว
วัชระ ย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้จับมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต จากกรณีที่สมาชิกพรรคบางส่วนร่วมลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ของกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใยประชามติ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยทิศทางประเทศ หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ และเปิดเวทีแสดงความคิดเห็น ที่สำคัญ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดจับมมือกับพรรคที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก่อตั้ง ตั้งแต่ยุคไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย
คุณหญิงกัลยายัน จุดยืน ปชป.ต่างจากเพื่อไทย
วานนี้ (22 ก.ค.59) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีร่วมลงชื่อใน 117 คนดัง ที่สนับสนุนแถลงการณ์ของกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย เรียกร้องให้รัฐบาล คสช.เปิดเผยแนวทางที่ชัดเจน หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ไม่ผ่านการทำประชามติว่า เป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องมาตลอด โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถามเรื่องนี้ต่อผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง มาตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านการทำประชามติ รัฐบาลหรือ คสช.จะใช้รัฐธรรมนูญฉบับไหนเป็นหลัก หรือจะร่างใหม่ หรือมีทิศทางนำพาประเทศไปอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการทำประชามติ ที่ประชาชนเจ้าของอำนาจมีสิทธิ์ที่จะรับรู้รับทราบ ทิศทางเดินของประเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ ยืนยันว่ารายละเอียดและจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต่างจากพรรคเพื่อไทย เราต่อสู้ในหลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ พิจารณารายละเอียดของสาระในร่างรัฐธรรมนูญ แยกแยะข้อดี ข้อด้อย ไม่ได้ตั้งธงว่าไม่รับตั้งแต่ต้น ทั้งที่ยังไม่เห็นรายละเอียดของเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนทิศทางของพรรคต่อร่างรัฐธรรมนูญนี้ ต้องรอให้หัวหน้าพรรคกลับจากต่างประเทศหลังวันที่ 24 ก.ค. นี้
ที่มา : สำนักข่าวไทยและเฟซบุ๊กแฟนเพจ Democrat Party, Thailand
โจชัว หว่อง ถูกศาลตัดสินมีความผิดฐาน 'ชุมนุมผิดกฎหมาย'
ศาลตัดสินให้ โจชัว หว่อง ผู้นำนักศึกษาในฮ่องกงที่ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อ 2557 และเพื่อนอีก 2 คนคือ อเล็ก โช และนาธาน ลอ มีความผิดจากการมีส่วนร่วมการประท้วง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าผิดกฎหมาย
จากกรณีที่ในปี 2557 มีการประท้วงบนท้องถนนในฮ่องกงที่เรียกว่า "การยึดครองย่านใจกลาง" หรือ "การปฏิวัติร่ม" โดยที่ประชาชนในฮ่องกงปักหลักชุมนุมเป็นเวลา 79 วัน เพื่อต่อต้านอำนาจของจีนแผ่นดินใหญ่ในการคัดเลือกตัวแทนลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคนต่อไป ซึ่งชาวฮ่องกงส่วนหนึ่งมองว่าจีนแผ่นดินใหญ่พยายามแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในฮ่องกง การประท้วงในครั้งนี้จบลงด้วยการที่ตำรวจใช้แก็สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมยังไม่ได้รับการตอบสนองข้อเรียกร้อง
ในการประท้วงดังกล่าวเจ้าหน้าที่สร้างรั้วกั้นจัตุรัสสาธารณะในฮ่องกงซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่มักจะใช้เป็นที่ชุมนุมประท้วง พนักงานอัยการกล่าวหาว่าการที่โจชัว หว่อง และผู้นำนักศึกษาคนอื่นๆ พากันปีนรั้วเข้าไปในจัตุรัสเป็นเรื่องผิดกฎหมายและการประท้วงมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก ศาลตัดสินให้การปีนรั้วของหว่องถือเป็นความผิดฐาน "ก่อกวนความสงบเรียบร้อย" อย่างไรก็ตามทนายความโต้แย้งว่าทางการไม่ควรจะตั้งรั้วกั้นลานสาธารณะตั้งแต่แรกแล้ว
หว่องต้องเข้าออกศาลหลายครั้งตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วจากการที่เขาถูกตั้งข้อหาหลายข้อหาที่เกี่ยวกับการประท้วง ในการตัดสินคดีล่าสุดนี้อาจจะทำให้หว่องถูกจำคุกเป็นเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตามหว่องกล่าวว่า "ไม่ว่าจะมีการลงโทษเช่นไร ...พวกเราจะต่อสู้กับการกดขี่ของรัฐบาลต่อไป"
เพื่อนของเขานาธาน ลอ กล่าวว่า "พวกเราเชื่อว่าพวกเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่เสียดายที่ทำลงไป"
จำเลยทั้งสามคนได้รับการประกันตัวและต้องเข้ารับฟังการพิพากษาของศาลต่อไปในวันที่ 15 ส.ค.นี้
หลังจากที่ฮ่องกงถูกส่งมอบจากอาณานิคมของอังกฤษคืนสู่จีนในปี 2540 โดยมีสัญญาว่าจะต้องให้เสรีภาพกับฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปี แต่ในช่วงไม่นานมานี้จีนเริ่มพยายามแทรกแซงสื่อ การศึกษา และการเมืองในฮ่องกงมากขึ้นเรื่อยๆ
เรียบเรียงจาก
Hong Kong 'Umbrella Revolution' leader Joshua Wong convicted for democracy protests, ABC, 21-07-2016