Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50704 articles
Browse latest View live

คสช.ยัน ทหาร-ตำรวจ ไม่ได้จับกุม ไม่รู้เห็นกับการหายตัวไปของ 'ดีเจเบียร์'

0
0

20 ก.ค.2559 จากการหายตัวของอิทธิพล สุขแป้น (ดีเจเบียร์ หรือ ดีเจซุนโฮ) เสื้อแดงที่ลี้ภัยในต่างประเทศ พร้อมกับมีกระแสข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมไปหลายวันแล้วนั้น 

ล่าสุดวันนี้ (20 ก.ค.59) วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร โพสต์รายงานผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Wassana Nanuam' ในลักษณะสาธารณ์ว่า พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบข่าวสารความเคลื่อนไหว กรณี อิทธิพล สุขแป้น หรือ ดีเจเบียร์ นั้น ทั้งฝ่ายทหาร และฝ่ายตำรวจ รับทราบเบื้องต้นว่า ฝ่ายทหารมณฑลทหารบกที่36 (มทบ.36) จ.เพชรบูรณ์ ก็ไม่ได้ควบคุมตัว เขาไว้ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ มีรายงานจาก คสช. ระบุว่า จนท.ตำรวจกองปราบปราม ได้ประสานให้องค์กรหรือหน่วยงานอื่นๆ ในพื้นที่ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องนี้ด้วย

"ข้อมูลที่ยืนยันตรงกันว่า ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายทหารในพื้นที่ ไม่รู้เห็นกับการหายตัวไปของ " ดีเจ เบียร์" และไม่ได้ควบคุมตัวดีเจเบียร์ ไว้ แต่อย่างใด"

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ทาง คสช.กำลังติดตาม/ตรวจสอบ แต่มีข้อพิจารณาว่า อาจจะเป็นการปล่อยข่าวของฝ่ายตรงข้าม เพื่อเร่งเร้าสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไป เกิดความหวาดระแวงทหาร  อีกทั้งเป็นการปลุกกระแสต่อต้าน การลงประชามติที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ด้วย. เพราะทราบว่า ดีเจ.เบียร์ ได้หนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน นานแล้ว

เช่นเดียวกับ มติชนออนไลน์และโลกวันนี้รายงานตรงกันว่า แหล่งข่าวในคสช. ปฏิเสธกระเเสข่าวทหารจับกุมตัว อิทธิพล สุขแป้น หรือ ดีเจเบียร์ แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ว่า ทั้งฝ่ายทหารและตำรวจรับทราบเบื้องต้น ฝ่ายทหาร มทบ.36 จ.เพชรบูรณ์ ไม่ได้ทำการควบคุมตัวแต่อย่างใด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้ประสานให้องค์กรหรือหน่วยงานอื่นๆในพื้นที่ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเช่นกัน ข้อมูลที่ยืนยันตรงกัน คือ ฝ่ายตำรวจและฝ่ายทหารในพื้นที่ ไม่รู้เห็นกับการหายตัวไปและไม่ได้ควบคุมตัวดีเจเบียร์แต่อย่างใด

 
 
 
 
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทรัมป์เสียงท่วมท้นขึ้นชิง ปธน.-ทีมงานยอมรับสุนทรพจน์ภริยาทรัมป์ลอกมาจากมิเชล โอบามา

0
0

ประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันชู 'โดนัลด์ ทรัมป์' ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่ปม 'เมลาเนีย ทรัมป์' ลอกสุนทรพจน์ 'มิเชล โอบามา' 8 ปีก่อน - โดยทีมร่างสุนทรพจน์ระบุมีการแก้ไขเกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่ทราบ ขณะที่ในเวลาต่อมาทีมงานส่วนตัวของทรัมป์แถลงขออภัย ชี้แจงว่าได้พูดคุยกับเมลาเนียเพื่อร่างสุนทรพจน์จากผู้คนที่สร้างแรงบันดาลใจ 'มิเชล โอบามา' เป็นหนึ่งในผู้ที่เมลาเนียชื่นชอบ ทีมงานจึงนำข้อความไปเติมโดยไม่ได้ตรวจสอบว่ามาจาก 'มิเชล โอบามา' จึงเกิดเรื่องขึ้น

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากพรรครีพับลิกัน และ เมลาเนีย ทรัมป์ ภริยาเชื้อสายสโลวีเนีย (twitter.com/@realDonaldTrump)

ในรายงานล่าสุด ระหว่างการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรครีพับลิกัน เพื่อเลือกตัวแทนพรรคเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้นั้น ปรากฏว่าโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มหาเศรษฐีชาวสหรัฐ ได้รับเลือกจากคณะผู้แทนออกเสียง 1,543 คน ขณะที่คู่แข่งซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส เท็ด ครูซ (Ted Cruz) ได้คะแนน 559 คะแนน ทำให้ทรัมป์ได้คะแนนเกินเกณฑ์ขั้นต่ำ 1,237 คะแนนที่ต้องการแล้ว

โดยทรัมป์ได้เผยแพร่ข้อความในทวิตเตอร์ด้วยว่า เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่จะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  พร้อมย้ำว่า "จะทำงานหนักและไม่ทำให้พวกคุณผิดหวัง อเมริกาต้องมาก่อน!"

 

 

อย่างไรก็ตามมีกรณีวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันด้วย เนื่องจากสุนทรพจน์ของภริยาเชื้อสายสโลวีเนียของโดนัลด์ ทรัมป์ คือ เมลาเนีย ทรัมป์ (melania trump) มีข้อความหลายตอนตรงกับ สุนทรพจน์ของมิเชล โอบามา ภริยาของประธานาธิบดีบารัก โอบามา เมื่อคราวหาเสียงเมื่อปี 2551

โดยตอนหนึ่งเมลาเนีย ทรัมป์ กล่าวว่า

"My parents impressed on me the values: that you work hard for what you want in life. That your word is your bond and you do what you say and keep your promise. That you treat people with respect. They taught me to show the values and morals in my daily life. That is the lesson that I continue to pass along to our son.

And we need to pass those lessons on to the many generations to follow. [Cheering] Because we want our children in this nation to know that the only limit to your achievements is the strength of your dreams and your willingness to work for them."

(คำแปล) "พ่อแม่ของดิฉันเน้นย้ำในค่านิยมที่ว่า เธอจะต้องทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ต้องการในชีวิต คำพูดของเธอเป็นเครื่องผูกมัดเธอ และเธอทำในสิ่งที่พูดและรักษาสัญญาของเธอ ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเคารพ พวกเขายังสอนดิฉันให้เปิดเผยค่านิยมและศีลธรรมในชีวิตประจำวัน นี่เป็นบทเรียนที่ฉันส่งต่อไปยังลูกของดิฉัน

และพวกเราจำเป็นต้องส่งต่อบทเรียนนี้ไปยังคนอีกหลายรุ่นที่จะตามมา (เสียงปรบมือ) เพราะว่า พวกเราต้องการให้ลูกหลานของพวกเราในประเทศนี้รู้ว่า ข้อจำกัดเดียวที่จะจำกัดการบรรลุผลสำเร็จของเธอก็คือความเข้มแข็งในความฝันของเธอและความเต็มใจที่จะทำเพื่อสิ่งนั้น"

ขณะที่ข้อความท่อนนี้ตรงกับที่ มิเชล โอบามา กล่าวเมื่อปี 2008 ว่า

"And Barack and I were raised with so many of the same values: that you work hard for what you want in life; that your word is your bond and you do what you say you're going to do; that you treat people with dignity and respect, even if you don't know them, and even if you don't agree with them.

And Barack and I set out to build lives guided by these values, and pass them on to the next generation. Because we want our children — and all children in this nation — to know that the only limit to the height of your achievements is the reach of your dreams and your willingness to work for them."

"และบารักและดิฉันได้รับการเลี้ยงดูมาในค่านิยมเดียวกันที่ว่า เธอจะต้องทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ต้องการในชีวิต คำพูดของเธอเป็นเครื่องผูกมัดเธอ และเธอทำในสิ่งที่พูดว่าจะทำ ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยศักดิ์ศรีและความเคารพ ไม่ว่าเธอจะรู้จักเขาหรือไม่ และไม่ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม

และบารักและดิฉันก็ได้สร้างคำแนะนำด้วยค่านิยมเหลานี้ และส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดไป เพราะเราต้องต้องการให้ลูกหลานของพวกเรา และลูกหลานทั้งหมดในประเทศนี้รู้ว่าข้อจำกัดเดียวที่จะจำกัดการบรรลุผลสำเร็จของเธอก็คือการไปให้ถึงความฝันของเธอและความเต็มใจที่จะทำเพื่อสิ่งนั้น"

000

ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์กับ NBC ก่อนกล่าวสุนทรพจน์ เมลาเนีย ทรัมป์ ระบุว่าเตรียมสุนทรพจน์ด้วยตัวเอง และได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังระบุว่าคืนกล่าวสุนทรพจน์นี้จะเป็นคืนที่ตื่นเต้น

โดยทั่วไปแล้วการกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมใหญ่จะต้องได้รับการขัดเกลาจากทีมงาน ทั้งนี้ในรายงานของ CNN ก่อนหน้านี้ระบุว่า เมลาเนีย ทำงานกับทีมงานร่างสุนทรพจน์มาแล้ว 5-6 สัปดาห์

ขณะที่อดีตทีมงานร่างสุนทรพจน์ของมิเชล โอบามา จอน ฟาวโร (Jon Favreau)ได้ทวิตเตอร์ว่า "ซารา ฮูร์วิตซ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมร่างสุนทรพจน์ของมิแชล เคยช่วยงานฮิลลารี ดังนั้นทีมงานของทรัมป์กำลังลอกผลงานมาจากผู้ร่างสุนทรพจน์ของฮิลลารี" นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า "ควรกล่าวด้วยว่าเหมือนกับสามีของเธอ มิแชลเองก็ร่างสุนทรพจน์ในปี 2008 ด้วยตัวของเธอเอง"

 

ทีมร่างสุนทรพจน์ไม่ทราบมาก่อนว่าถูกแก้ไข จนเมื่อได้ยินมาจากเมลาเนีย ทรัมป์

ขณะที่ในรายงานของ USUNCUT รายงานว่า แฮลลี แจ็คสัน (Hallie Jackson) ผู้สื่อข่าว NBC News ระบุว่า สุนทรพจน์เวอร์ชันที่เมลาเนีย ทรัมป์ อ่านนั้น ไม่ใช่ร่างสุดท้ายจากทีมงานร่างสุนทรพจน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ คือแมตต์ สคูลลี (Matt Scully) โดยเขาระบุว่าสุนทรพจน์ส่วนที่ถูกหาว่าลอกเลียนมาจากมิเชล โอบามา ถูกเพิ่มเติมภายหลังจากที่สคูลลี ส่งร่างสุนทรพจน์ไปแล้วเมื่อหนึ่งเดือนก่อน โดยเขาไม่ทราบมาก่อนว่ามีการแก้ไข จนกระทั่งได้ยินสุนทรพจน์เมื่อคืนที่ผ่านมา

 

รีพับลิกันปกป้องสุนทรพจน์ของภริยาทรัมป์เต็มที่

ทั้งนี้ คริส คริสตี (Chris Christie) ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี ฝ่ายพรรครีพับลิกัน ยังยืนยันว่าสุนทรพจน์ดังกล่าวไม่ได้ลอกเลียนใครและเป็นร่างดั้งเดิม 93% ขณะที่หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการระดับชาติ พรรครีพับลิกัน ฌอน สไปเซอร์ (Sean Spicer)ก็แก้ต่างเช่นกัน โดยอธิบายความเหมือนกันของสุนทรพจน์ว่าเหมือนกับข้อความในการ์ตูนเด็กเรื่อง "My Little Ponny" มากกว่า

ส่วนกรณีที่นางเมลาเนีย ทรัมป์ ภรรยาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และอดีตนางแบบชาวสโลวีเนีย ถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนสุนทรพจน์ของนางมิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ขณะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีในวันแรกของการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน ทีมงานฝ่ายสื่อสารของนายทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าร่างสุนทรพจน์ของนางทรัมป์เป็นการนำแรงบันดาลใจต่าง ๆ จากชีวิตจริงของเธอมาเขียนเป็นสุนทรพจน์ และไม่ได้ลอกเลียนนางโอบามาแต่อย่างใด

 

ล่าสุดทีมงานส่วนตัวทรัมป์ยอมรับว่าเติมข้อความลงสุนทรพจน์โดยไม่ทราบว่าเป็นของมิเชล โอบามา

ล่าสุด เมเรดี แมคอีเวร์ ( Meredith McIver)ทีมงานของทรัมป์ ซึ่งระบุว่าเป็นเพื่อนเก่ากันมานานและชื่นชมครอบครัวทรัมป์ ได้ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 20 กรกฎาคม โดยใช้หัวจดหมายจาก "The Trump Organization"ขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อการยกข้อความจากสุนทรพจน์เมื่อปี 2551 ของมิเชล โอบามา โดยแมคอีเวร์ นับเป็นคนแรกๆ จากผู้เกี่ยวข้องกับการหาเสียงของทีมโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวขอโทษ

แมคอีเวร์ชี้แจงว่า ในการทำงานกับเมลาเนีย ทรัมป์ เพื่อร่างสุนทรพจน์ "พวกเราพูดคุยกันถึงผู้คนจำนวนมากที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอ และข้อความที่เธอต้องการแบ่งปันกับชาวอเมริกา" "ผู้หนึ่งที่เธอชื่นชอบเสมอคือ มิเชล โอบามา"

แมคอีเวร์ ชี้แจงต่อไปว่า ในการสนทนาผ่านโทรศัพท์ เมลาเนีย ทรัมป์ "ได้อ่านข้อความจากสุนทรพจน์ของ มิเชล โอบามา เป็นตัวอย่าง ดิฉันได้เขียนเอาไว้และเติมลงไปในร่างสุนทรพจน์ที่กล่าวเป็นร่างสุดท้ายในที่สุด โดยที่ดิฉันไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นสุนทรพจน์จากมิเชล โอบามา นี่เป็นความผิดพลาดของดิฉัน และดิฉันรู้สึกแย่มากที่ไปสร้างความยุ่งเหยิงให้กับ เมลาเนีย ทรัมป์ และโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้ง มิเชล โอบามา โดยมิได้มีเจตนาร้าย"

ทั้งนี้เธอระบุด้วยว่าได้แจ้งขอลาออกจากทีมงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ และครอบครัว แต่พวกเขาปฏิเสธคำขอลาออก "มิสเตอร์ทรัมป์บอกดิฉันว่าผู้คนทำผิดอย่างไร้เดียงสา และพวกเราเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์เหล่านี้"

 

มีข่าวปลอมว่ามิเชล โอบามาก็ลอกมาอีกที แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีเรื่องดังกล่าว

อนึ่งมีข่าวปลอมอีกชั้นหนึ่งด้วยว่า สุนทรพจน์ข้อความดังกล่าวของมิเชล โอบามา เมื่อปี 2551 ก็ลอกมาจากหนังสือของ สตีเฟน อาร์ โคเวย์ (Stephen R. Covey) เรื่อง " The 7 Habits of Highly Effective People" อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ snopes.com ได้ตรวจแล้วไม่พบข้อความที่อ้างว่าเหมือนกันแต่อย่างใด โดยข้อความที่ยกมาอ้างว่าเป็นส่วนที่สุนทรพจน์ของมิเชล โอบามาคัดลอก ก็เพิ่งปรากฏเผยแพร่ภายหลังจากที่มีข่าวสุนทรพจน์ซ้ำของเมลาเนีย ทรัมป์

 

แปลและเรียบเรียงจาก

It's official: Trump is Republican nominee, Stephen Collinson and Tal Kopan, CNN Updated 0204 GMT (1004 HKT) July 20, 2016

It sure looks like Melania Trump plagiarized a Michelle Obama speech from 2008 Updated by Brad Plumer, Vox, July 19, 2016, 11:01 a.m. ET

NEWSBreaking: Plagiarized Parts of Melania Trump’s Speech Not in Speechwriter’s DraftNathan Wellman , Usuncut, July 20, 2016

https://assets.donaldjtrump.com/MeredithStatement.pdf

Who Stole First?, David Emery, Snopes, 20 July 2016

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แนวหน้า' ลาออกสภาการ นสพ. ชี้ยังมีสื่อเลือกข้าง-ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรม ทำสังคมแตกแยก

0
0

นสพ.แนวหน้า ลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุตลอด 19 ปีของการก่อตั้งสภาการฯ ยังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ เหตุมีสื่อเลือกข้าง ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมการเสนอข่าว ทำสังคมแตกแยก มีผลทันที 21 ก.ค. นี้เป็นต้นไป

21 ก.ค. 2559 หน้าแรกของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า เผยแพร่ประกาศเรื่องแจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยหนังสือดังกล่าว ระบุว่า ตลอด 19 ปีของการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการฯ หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ประพฤติปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมและธรรมนูญของสภาการฯ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งยังให้ความร่วมมือกับสภาการฯ ด้วยดีตลอดมา แต่เมื่อย้อนไปพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาการฯ ซึ่งต้องการให้องค์กรควบคุมกันเอง และยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้นนั้น เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้ เพราะหนังสือพิมพ์แต่ละองค์กร มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมในการนำเสนอข่าว เป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยกจนถึงทุกวันนี้ และยังคงเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ ขณะที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ไม่สามารถจะเข้าไปควบคุม หรือให้คุณให้โทษได้

หนังสือดังกล่าวระบุต่อว่า ขณะที่ตลอดระยะเวลา 36 ปี หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการยอมรับอย่างสูงจากประชาชน มีความเป็นมืออาชีพ นำเสนอข่าวอย่าง "ตรงไป ตรงมา" ตามปณิธานของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งยังไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียทั้งด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณ

ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวระบุว่า หนังสือพิมพ์แนวหน้าขอลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิก ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป พร้อมยืนยันว่า แม้จะมิได้เป็นภาคีสมาชิกแล้ว แต่จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่สื่อมวลชนที่ดี ยึดมั่นในกรอบจริยธรรมและจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้ารายงานด้วยว่า หนังสือพิมพ์แนวหน้ากำลังพิจารณาที่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ในลำดับถัดไปด้วย

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2554 เครือมติชน ประกอบด้วย นสพ.มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ ได้แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยระบุว่าหวังให้เกิดการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ และการเปลี่ยนแปลงที่จะนำสภาการฯ กลับสู่มาตรฐานของเจตนารมณ์ครั้งก่อตั้ง (อ่านข่าวที่นี่)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรยันไม่เลื่อนประชามติ ขออย่ากังวลหากไม่ผ่านมีแผนรับไว้ สั่งเปิดเวทีถกทุกจังหวัด

0
0

20 ก.ค.2559 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด และ กกต.ทั่วประเทศ เปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ กกต.เป็นผู้ควบคุมและผู้ว่าฯ เป็นผู้กำกับดูแล ยืนยันไม่เลื่อนการออกเสียงประชามติ หากไม่ผ่าน มีแผนรองรับไว้แล้ว

โดย พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า วันที่ 7 ส.ค. นี้ จะต้องมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่มีการส่งจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญให้กับประชาชน ขณะนี้ มีความก้าวหน้าในการตรวจสอบ  กระทรวงมหาดไทยทราบดีว่าต้องทำอย่างไร

“ผมได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดูแล ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดจะควบคุมกำกับอีกชั้นหนึ่ง” พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าว ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับอื่น แต่ยังไม่ทราบจะดำเนินการแบบใด เพราะรัฐบาลและ คสช. จะเป็นผู้ดำเนินการ

NDM เชิญ โฆษกกรธ.ร่วมเวทีถก เจ้าตัวพร้อมดีเบตร่างรธน.กับทุกฝ่าย

12.53 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDMและสำนักข่าวไทยรายงานว่า ตัวแทนของ NDM  นำโดย ชนกนันท์ รวมทรัพย์ ได้ยื่นจดหมายต่อ อมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อเชิญ อมร ให้เข้าร่วมการอภิปรายเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญกับ NDM ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ ซึ่งจะแจ้งเวลาและสถานที่ให้ทราบในภายหลัง โดย อมร กล่าวว่า พร้อมดีเบตกับทุกฝ่าย เพียงแต่ต้องนำหนังสือเชิญนี้กลับไปหารือกับที่ประชุมกรธ.ในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) ก่อน เนื่องจากการร่วมดีเบตต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่การแลกหมัดต่อหมัด เพราะจะสร้างความขัดแย้งได้

"ส่วนที่ผมกล่าวในเวทีเสวนาว่าการประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติมีความอ่อนแอ เพราะตนเองยังไม่ได้รับเอกสารจากกกต. แต่การตีพิมพ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์ น่าจะทำให้การรับรู้ของประชาชนกว้างขวางขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เอกสารส่งถึงบ้านเรือนประชาชนล่าช้า เพราะขั้นตอนการจัดพิมพ์ของโรงพิมพ์ล่าช้า และกกต.ต้องรอผลการลงทะเบียนใช้สิทธินอกเขตก่อน เพื่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้องตามครัวเรือน ในกรธ.ได้พูดกันเล่น ๆ คลายเครียด โดยเปรียบเทียบการลงประชามติกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็สามารถเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้” โฆษกกรธ. กล่าว
 
ส่วนกรณีกลุ่มนักวิชาการร่วมลงชื่อผลักดันให้เปิดพื้นที่การแสดงความเห็นของประชาชนและให้ประชาชนรับรู้ทางเลือกกรณีร่างรัฐธรมนูญไม่ผ่านประชามติ นายอมร กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของกลุ่มนักวิชาการ  ยืนยันว่า คสช. ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออก โดยกรธ.กำลังรวบรวมเวทีเสวนาในรอบเดือนที่ผ่านมาว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อให้ทราบว่ามีการจัดเวทีการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งคสช.ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ที่กรธ. ไม่ได้ไปร่วมพูดคุยเนื่องจากมีประสบการณ์ว่ามีการบิดเบือนและไม่เป็นธรรม อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อาจทำให้เสียเวลาพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ได้
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไพศาล พืชมงคล ประกาศโหวตโน ชี้หากไม่ผ่านเป็นชัยชนะปชช. ต้องปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง

0
0

กรรมการผู้ช่วยรองนายกฯ ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ระบุคสช.ไม่ได้บังคับ ชี้ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็อ้างได้ว่าเป็นชัยชนะของประชาชน ที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ระบุเป็นโอกาส ที่จะให้ สนช. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 

21 ก.ค.2559 ไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

"ผมขอประกาศว่า ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครับ ถามกันจริงถามกันจัง โทรถามทั้งที่บ้านทั้งที่ทำงาน เขียนมาถามสารพัด ว่าผมจะเอาอย่างไร ความจริงถ้าติดตามกันจริงๆ ก็คงจะอ่านได้ตั้งนานแล้ว ว่าผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มาวันนี้ ก็ต้องประกาศกันให้ชัดๆ ว่าผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยจะได้เข้าใจร่วมกันว่า ข้อแรก รัฐบาลและคสช. ไม่ได้บังคับใครให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คง ให้เป็นเอกสิทธิ์ของประชาชน ผมก็สามารถใช้เอกสิทธิ์นั้นได้ ข้อ 2 ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็เป็นไปตามโรดแมป ใครอย่ามาอ้างแพ้ชนะ และถ้าจะอ้างอย่างนั้น ก็ต้องอ้างว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน เป็นชัยชนะของประชาชน ที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อน ให้สมกับที่ได้ต่อสู้กู้ชาติมาเป็น 10 ปีแล้ว"  ไพศาล ระบุ

ไพศาล กล่าวด้วยว่า ยังมีอีกมากกลุ่ม ที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศไปอีก 5 ปีถึง 20 ปี แม้จะยังคงโต้แย้งกันบ้างว่าจะเป็น 5 ปีหรือ 20 ปี ก็เป็นเรื่องปลีกย่อย หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน เราต่างก็เป็นคนไทยด้วยกัน ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็หวังแต่ให้บ้านเมืองสงบสุข ปวงประชาสามัคคีกัน ทำมาค้าขายได้ ก็พอใจแล้ว

ชี้ รธน.ไม่ผ่านปฏิรูปประเทศไทยง่ายกว่า

ก่อนหน้าที่ไพศาลจะโพสต์ประกาศนี้ ไพศาล ได้โพสต์ว่า ถ้าถามว่าระหว่างกรณี ร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านและไม่ผ่านประชามติ อย่างไหน นักหมากรุกจะเดินสนุกกว่ากัน  ก็ตอบได้ว่า กรณีไม่ผ่านประชามติ จะเดินสนุกและง่ายกว่า และจะทำให้ การปฏิรูปประเทศไทย ทำได้ง่ายกว่า เพราะว่า 

1. เป็นโอกาส ที่จะให้องค์กรในนิติบัญญัติคือ สนช. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่บัญญัติว่า จะต้องสร้างกลไกการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่สอดคล้องกับสังคมไทย 

2. ได้รู้ได้เห็น อะไรกันมา 2 ปีแล้วว่า อะไรเกื้อกูล ต่อการปฏิรูป อะไรที่เป็นอุปสรรคเสี้ยนหนามของการปฏิรูป ก็จะได้ ปรับปรุงแก้ไขเสีย เพื่อทำให้การปฏิรูปเดินหน้า สอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชน 

3. จะได้เริ่มต้น ความสามัคคีกับประชาชนทั่วประเทศที่เขาต่อสู้กู้ชาติกันมา 12 ปีแล้วเพื่อฟื้นฟูชาติ แทนที่จะถูกกีดกัน ออกไปเป็นพวกมีปัญหา เหมือนที่ผ่านมา

"ส่วนในกรณี ที่รัฐธรรมนูญผ่าน ก็ไปสู่การเลือกตั้งตามร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะต้อง ร่างกฎหมายลูก 4 ฉบับก่อน โดยคณะ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง จะมีความเข้มข้น อยู่ที่กฎหมาย พรรคการเมือง กฎหมายการเลือกตั้ง และกฎหมายปราบปรามการทุจริต เดินได้สนุกทั้งนั้นแหละครับ เพราะอย่างนี้ นักเลือกตั้งจึงผวา ไม่ว่าออกสูงออกต่ำ ก็เป็นไฮโลทั้งนั้น ดังนั้นนักเลือกตั้งและพวกอาจมจึงต้องสุมหัวร่วมกันป่วน เพื่อนำไปสู่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม จึงโผล่กันออกมา คึกคักไงละครับ" ไพศาล ระบุ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประธานสภาการ นสพ. แจง 'แนวหน้า' ลาออก ไม่กระทบเจตนารมณ์กำกับดูแลกันเอง

0
0

กรณี นสพ.แนวหน้าลาออกจากการเป็นสมาชิก ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุเป็นสิทธิที่ทำได้ แจงพยายามจัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมภายในองค์กรสมาชิก-อยู่ระหว่างทบทวนข้อบังคับจริยธรรมวิชาชีพให้ทันสมัยขึ้น เสียดายแนวหน้าไม่ได้อยู่ร่วมดันเจตนารมณ์ต่อ

21 ก.ค. 2559เว็บไซต์สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เผยแพร่ข่าวกรณีหนังสือพิมพ์แนวหน้าแจ้งลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาการฯ โดย ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า กรณีที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยให้มีผลทันทีตั้งแต่วันนี้ (21 ก.ค.) เป็นต้นไปนั้น เป็นสิทธิของหนังสือพิมพ์แนวหน้าที่สามารถจะลาออกจากการเป็นสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ เนื่องจากระบบการทำงานของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติในประเทศไทยเป็นระบบการควบคุมกันเองแบบสมัครใจ หนังสือพิมพ์ที่เป็นสมาชิก ก็สามารถสมัครหรือขอลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในธรรมนูญและข้อบังคับของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

ส่วนกรณีที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าแจ้งเหตุผลในการลาออกว่า เป็นเพราะตลอดระยะเวลา 19 ปีของการก่อตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ไม่สามารถบรรลุเจตนารมณ์ในการควบคุมกันเองและยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดีขึ้นได้นั้น ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ถือเป็นมุมมองที่แตกต่างไปของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ในขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ อีกกว่า 50 ฉบับทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เพื่อกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรม รวมทั้งส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบ และยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดีขึ้นต่อไป

“ปัจจุบัน สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ดำเนินการแก้ไขธรรมนูญเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมภายในองค์กรสมาชิก รวมทั้งยกระดับคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ขึ้นมาเป็นคณะกรรมการจริยธรรม เพื่อให้สามารถพิจารณาเรื่องร้องเรียนให้รวดเร็วขึ้นและมีการทำงานเชิงรุกในการกำกับดูแลจริยธรรมของสมาชิกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งอยู่ระหว่างการทบทวนข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ฯ ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าลาออกจากการเป็นสมาชิก ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะร่วมกันผลักดันเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติต่อไป” ชวรงค์กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

3 ชาวบ้านเปิดศูนย์ปราบโกงหนองบัวลำภูมาศาลทหาร อีสานโดนคดีอย่างน้อย 14 ราย

0
0

อัยการทหารขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้องไม่ฟ้อง 3 ผู้ต้องหาเปิดศูนย์ปราบโกงเป็น 11 ส.ค. ชาวบ้านสูงวัยจากหนองบัวลำพูยืนยันสู้คดี เชื่อไม่ได้ทำสิ่งผิด บางคนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แกนนำอีสานระบุ ชาวอีสานโดนคดีจากเปิดศูนย์แล้วอย่างน้อย 14 ราย

21 ก.ค.2559 ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 (มทบ.24) จังหวัดอุดรธานี อัยการทหารนัดผู้ต้องหา 3 รายคดีฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กรณีเปิดป้ายศูนย์ปราบโกงประชามติ จ.หนองบัวลำภู ฟังผลการพิจารณาสั่งคดี

ทนายความจำเลยแจงว่า อัยการทหารขอเลื่อนฟังผลการพิจารณาสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ ไปเป็นวันที่ 11 ส.ค.2559 เวลา 8.30 น.เนื่องจากยังพิจารณาสำนวนคดีไม่แล้วเสร็จ

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า จำเลยทั้ง 3 รายได้แก่ นายสนิท สมงาม, นายสุวาจิตร คำป้อง และนางจิตตรา จันปุย ซึ่งเป็น 3 คนที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี จากทั้งหมดที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา 15  คน เหตุเกิดจากกรณีที่กลุ่มสตรีศรีหนองบัวเปิดป้ายศูนย์ปราบโกงฯ ที่ศาลาวัดในวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามคนที่มีรูปถ่ายกับป้ายศูนย์ปราบโกงฯ ตามที่ทหารเข้าแจ้งความ รวม 15 รายซึ่งมีบางคนไม่อยู่ในภาพหรือในที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ดี ผู้ต้องหา 12 คน รับว่าอยู่ร่วมในกิจกรรมจริง ตำรวจจึงส่งตัวเข้า ‘อบรม’ หรือปรับทัศนคติที่กองร้อยอาสารักษาดินแดงที่ 1 จ.หนองบัวลำภู โดยเซ็นเงื่อนไขว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ขัดต่อคำสั่งหัวหน้า คสช. อีก และถือว่าเป็นอันยกเลิกคดี ขณะที่อีก 3 คนให้การปฏิเสธเนื่องจากไม่ปรากฏในภาพถ่าย และไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนก็เรียกให้เข้าพบกะทันหันอีกในวันที่ 6 ก.ค. และนำตัวส่งอัยการศาล มทบ.24 โดยแจ้งผู้ต้องหาว่า ทหารเร่งรัดมา

ประชาไทสัมภาษณ์ผู้ต้องหาสูงวัยทั้ง 3 รายที่มาศาลทหารจังหวัดอุดรธานีในวันนี้ 


จิตตรา จันปุย

จิตตรา จันปุย วัย 61 ปี คนเสื้อแดงชาวหนองบัวลำภู อาชีพค้าขายในตลาดนัด เล่าเหตุการณ์ว่าเธอได้ร่วมอยู่ในกิจกรรมดังกล่าวจริง แต่เธอคิดว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ผิดกฎหมาย เนื่องจากจัดโดยเจตนาบริสุทธิ์์เพราะต้องการาณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เยอะๆ และเป็นการตรวจสอบเพื่อให้กระบวนการทำประชามติ 7 สิหาคมมีความโปร่งใส ถือเป็นการช่วยเหลือรัฐบาล

เมื่อถามเธอว่า ทราบหรือไม่ว่าข้อหาที่เธอถูกแจ้งความดำเนินคดีมีโทษหนักแค่ไหน เธอบอกว่าไม่ทราบ ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

สนิท สมงาม คนเสื้อแดงชาวหนองบัวลำภู วัย 73 ปี อาชีพทำนา เล่าเหตุการณ์ว่า เขาไม่ได้อยู่ในกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถูกเรียกตัวปรับทัศนคติก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีโดยถูกเจ้าหน้าที่ระบุว่าอยู่เบื้องหลังการจัดกิจกรรม

“ผมไม่ได้จัด แต่มวลชนจะจัด ผมบอกมวลชนว่าผมเปิดไม่ได้แล้วนะ ถูกเอาไปปรับทัศนคติแล้ว ทีนี้พวกคุณผู้หญิงก็บอกว่า ถ้าคุณไม่เปิด พวกฉันจะเปิด เขาเลยดำเนินการเปิดศูนย์ปราบโกงวันที่ 19 มิถุนายนได้ แต่ก็ยังโดนดำเนินคดี ข้อหาเป็นแกนนำหรือยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง ทั้งที่ไม่เข้าไปอยู่ที่นั่นหรือร่วมอะไร” สนิทกล่าว

สุวาจิตร คำป้อม อดีตผู้ใหญ่บ้านและหมอดินอาสา บ.นามะเฟือง ตำบลนามะเฟือง. อ. เมือง วัย 68 ปี อาชีพเกษตรกรชาวสวนยาง

"บอกไม่ให้เปิดก็ไม่เปิด ในเมื่อขอกันแล้วก็จะไม่เปิด” สุวาจิตรกล่าว


สนิท สมงาม


สุวาจิตร คำป้อง

สุวาจิตรกล่าวว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ได้มีการประกาศเปิดศูนย์ปราบโกงขึ้นที่ ต. โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ตัวเขาก็ไม่ได้ไปร่วม วันนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชื่อ ร.ต.ท.ถาวร แสงพา ไปหาที่บ้าน และตำรวจคนดังกล่าวยังได้ต่อโทรศัพท์ให้เขาได้คุยกับ พ.ต.ท.อำนาจ ฉิมมา ซึ่งเมื่อได้คุยกันเขาก็ยืนยันว่าจะไม่ไปเข้าร่วม และเมื่อถูกสอบถามว่ามีใครเข้าร่วมบ้างก็ไได้บอกไปว่าไม่รู้ รุ่งขึ้น วันที่ 20 มิ.ย. ทาง ร.ต.ท. ถาวรได้นำหมายเรียกมาให้เขาไปพบที่ สภ.อ.เมืองเพื่อทำการสอบสวนแต่เช้า เขาไปตามหมายเรียกและนั่งรอทั้งวันก็ไม่ได้มีการสอบปากคำแต่อย่างใด จนถึงตอนเย็นจึงได้รับอนุญาตให้กับบ้าน ต่อมาวันที่ 21 มิ.ย. ร.ต.ท. ถาวร ได้นำหมายมาให้เพื่อให้เขากลับมาที่ สภ.อ. เมืองอีกครั้งจากนั้นจึงได้รับแจ้งข้อกล่าวหาว่า ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. มีการกระทำอันถือว่าเป็นการมั่วสุมทางการเมือง 5 คนขึ้นไป ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

เมื่อถามว่าจะสู้คดีหรือไม่ สุวาจิตรวัย 68 ปี ยืนยันว่าจะต่อสู้คดี เพราะเชื่อว่าไม่ได้ทำผิด

“ในวันเกิดเหตุก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่กับเราตลอด แล้วก็ไม่รู้ว่าเอาข้อหามาให้เราได้อย่างไร กิจกรรมพ่อก็ไม่ได้ไปทำกับเขา”สุวาจิตกล่าว


ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ

ผู้สื่อข่าวสอบถาม ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ เลขาธิการ นปช. ภาคอีสาน 20 จังหวัด ซึ่งติดตามคดีจัดตั้งศูนย์ปราบโกงทั้งหมดในภาคอีสานว่ามีคดีจำนวนเท่าไร ศักดิ์ระพี ตอบว่า ปัจจุบันได้มีการแจ้งข้อหาแล้ว ที่จังหวัดสกลนคร 5 คน นครพนม 1 คน อุดรธานี 4 คน หนองบัวลำภู 3 คน สุรินทร์ 1 คน รวมเป็น 14 คน นอกจากนี้จากกิจกรรมเปิดศูนย์ปราบโกงเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมามีคนเสื้อแดงในภาคอีสานถูกเรียกรายงานตัวทั้งสิ้นประมาณ 600 คน

ศักดิ์ระพี เป็น 1 ในผู้ต้องหาทั้งจากคดีเปิดศูนย์ปราบโกงจังหวัดสกลนคร และที่ กทม. กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุเขาอยู่ที่สถานี Peace TV ที่ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว กรุงเทพฯ แต่กลับโดนแจ้งข้อหาที่สกลนครด้วย ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนคนเสื้อแดงในพื้นที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนนำเสื้อและอุปกรณ์การทำกิจกรรมเปิดศูนย์ปราบโกงมาให้ จึงแจ้งข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนที่จังหวัดสกลนครด้วย

ศักดิ์ระพีกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ต้องให้เครดิตตำรวจในหลายพื้นที่ที่ไม่เอาเรื่องและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่ก็เข้าใจได้ว่าหลายจังหวัดที่ดำเนินคดีกับชาวบ้านเป็นเพราะเกรงกลัวอำนาจรัฐ เพราะไม่อยากเดือดร้อนต้องถูกโยกย้าย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ขอนแก่น-สตูล' มือมืดลักลอบเผาบัญชีรายชื่อหน่วยออกเสียงประชามติ

0
0

21 ก.ค.2559 จากกรณีมีมือมืดฉีกบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หน่วยที่ 5 โรงเรียนวชิรสารศึกษา หมู่ที่ 5 บ้านเหนือ ต.สลกบาตร อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร เมื่อวันนี้ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าเกิดจากความซุกซนของเด็กหญิง 2 คน อายุเพียง 8 ขวบไปวิ่งเล่นกันที่บริเวณกระดานติดรายชื่อดังกล่าว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ค.59) สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นและไทยรัฐออนไลน์รายงานตรงกันว่าว่า เกิดเหตุมีผู้ลักลอบเผาบัญชีรายชื่อหน่วยออกเสียงประชามติที่ จ.ขอนแก่น และ จ.สตูล

พันธุ์เทพ เสาโกศล นายอำเภอชุมแพ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สรายุทธ์ ฉ่ำผิว ผกก.สภ.ชุมแพ และ ร.ท.ชัยยัน ศรีระบุตร หัวหน้าชุดเฉพาะกิจ ร้อย รส.ร.8 พัน 2 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุคนร้ายลอบทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่ทำการติดตั้งอยู่ภายในหน่วยเลือกตั้งที่ 36 ชุมชนใหม่สามัคคี เขตเทศบาลเมืองชุมแพ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น หลังได้รับแจ้งจากผู้นำชุมชนว่าเกิดเหตุคนร้ายบุกเข้ามาก่อเหตุเมื่อช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมา (20 ก.ค.) ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบเอกสารประกาศกำหนดหน่วย หรือใบ อ.ส.4 และ บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ หรือ อ.ส.6 ถูกแกะลงมาจากกระดานที่ติดไว้ก่อนถูกคนร้ายเผาทำลายทั้งชุดขณะที่บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิถูกเผาไป 4 แผ่น

นายอำเภอชุมแพ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งสอบปากคำพยานแวดล้อมรวมไปถึงผู้ที่พบคนแรก ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่มาพบเอกสารสำคัญดังกล่าวถูกทำลายและเผาทิ้งไว้ ทั้งนี้คาดว่า คนร้ายน่าจะก่อเหตุกลางดึก ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไป-มา อีกทั้งหน่วยเลือกตั้งที่ 36 นี้ได้กำหนดใช้เป็นสถานที่สำหรับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานงานไปยัง กกต.จังหวัด ในการส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมตรวจสอบพร้อมทั้งเร่งทำเอกสารชุดใหม่มาทำการติดตั้งแทนเพื่อให้การดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ นั้น ดำเนินการต่อไป

สตูล ผวจ.เร่งล่า

ภัทรพนธ์ รัตนพิเชฏฐชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ด้วยว่า เมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา (20 ก.ค. 59) ได้เกิดเหตุคนร้ายเข้าไปลอบฉีกทำลาย และเผาบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงประชามติ ที่ติดตั้งไว้บริเวณจุดลงทะเบียน บ้านเจ๊ะบิลัง ต.เจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ส่งผลให้เอกสารได้รับความเสียหายบางส่วน ล่าสุด ตนได้กำชับไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้เกี่ยวข้องให้เพิ่มมาตรการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยตามจุดเลือกตั้งทุกหน่วยที่เหลือทั่วทั้งจังหวัดสตูล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก นอกจากนี้ ยังได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งดำเนินการติดตามตัวมือมืดมาดำเนินคดี เบื้องต้นได้มีการแจ้งความไว้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างสอบสวนหาต้นเหตุ ว่าเป็นการกระทำโดยหวังผลทางการเมือง หรือ เป็นฝีมือของกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: ถอดบทเรียน BBC ปรับทัพสื่อรับยุค New Media สะท้อนอะไรต่อสื่อไทย

0
0

ย้อนรอยดูการปรับตัวของ BBC ในครึ่งปีแรกของปี 2559 ที่ผ่านมา สิขเรศชี้เมื่อภูมิทัศน์ของสื่อเปลี่ยนแปลงไป BBC ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง พร้อมตั้งข้อสังเกต “สื่อทั่วโลกหลอมรวม สื่อไทยขยายออก”

ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา หากสังเกตข่าวในเว็บไซต์ต่างประเทศ ข่าวหนึ่งที่เป็นประเด็นในวงการสื่อของสหราชอาณาจักร หรือ UK ในหลายๆ สำนักข่าว คงหนีไม่พ้นการปรับตัวของสื่อใหญ่อย่าง BBC ที่มีความเคลื่อนไหว มีการปรับเปลี่ยนองค์กรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ปูพื้นความรู้จักกับสื่อระดับโลกอย่าง BBC [1]

BBC เกิดขึ้นภายใต้พระราชกฤษฎีกา (Royal Charter) ในสมัยพระเจ้าจอร์จที่ 5 เมื่อปี 2463 เพื่อจัดตั้งองค์การกระจายเสียงเพื่อสาธารณะที่มีชื่อเต็มๆ ว่า British Broadcasting Corporation มีสถานะพิเศษอยู่ภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีความเป็นอิสระปลอดจากอำนาจทางการเมือง มีอธิปไตยสูงสุดทั้งในฐานะองค์กรกระจายเสียง (Broadcaster) และเป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองด้วย (Regulator) โดยมีทั้งคณะกรรมการนโยบาย (BBC Trust) และคณะกรรมการบริการ (BBC Executive) ตรวจสอบถ่วงดุลกันอยู่

BBC ยังขึ้นตรงต่อกฎหมายอีก 2 ฉบับคือ Wireless Telegraphy ACT 1949 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้สัมปทานคลื่นวิทยุแก่ผู้ประกอบการทุกรายรวมทั้ง BBC รวมถึงการควบคุมทางเทคนิค เช่น กำลังส่ง, ที่ตั้ง, คุณภาพสัญญาณ ฯลฯ และอีกฉบับหนึ่งคือ License and Agreement ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง BBC กับรัฐสภาในทางปฏิบัติ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องของการเงิน การบริหารและการควบคุมเนื้อหารายการ

BBC มีรายได้จากการเก็บการรับชมจากครัวเรือน บริษัท และองค์กรทุกแห่งในสหราชอาณาจักร ที่ใช้อุปกรณ์ใดๆ ก็ตามในการรับชมการแพร่ภาพโทรทัศน์เพียงทางเดียว แต่ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ไม่ได้ตกแก่ BBC โดยอัตโนมัติ จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อนเป็นรายปี

เมื่อดูสถานการณ์สื่อสาธารณะทั้งในสหราชอาณาจักรและยุโรปในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ต่างประสบปัญหาต่างๆ นานา เพราะต้องต่อสู้กับสื่อเอกชนหรือสื่อใหม่ (New Media) ที่เกิดขึ้นมามากมาย ทำให้ปัจจุบันสื่อสาธารณะในความหมายดั้งเดิมและรูปแบบเดิมแทบจะไม่เหลือเค้าให้เห็นแล้ว ยกเว้นกรณี BBC ของสหราชอาณาจักร กับ NHK ของญี่ปุ่นที่ยืนหยัดรักษาสถานะของสื่อที่มีรายได้จากประชาชนเช่นเดิม แต่ก็ต้องยอมประนีประนอม ปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติบางอย่างเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ

แต่สำหรับกรณีที่เราพูดถึงอย่าง BBC นั้น อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กร เพื่อความอยู่รอดอีกรอบ...


ส่องอาณาจักรสื่อ BBC


ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.bbc.co.uk/aboutthebbc/insidethebbc/whatwedo ทำให้เราสามารถแบ่งหมวดหมู่บริการที่ BBC ดำเนินการกิจการอยู่ได้หลักๆ อยู่ 3 อย่าง คือ ทีวี, วิทยุ และสื่อออนไลน์

ในส่วนของทีวีแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) ทีวีระดับชาติ ได้แก่ ช่อง BBC One, BBC Two, BBC Four, BBC News, CBBC, CBeebies, BBC Parliament, BBC Alba, S4C, 2) ทีวีระดับภูมิภาค ได้แก่ BBC One และ BBC Two ในไอร์แลนด์เหนือ สกอตแลนด์ และเวลส์, 3) ทีวีระดับท้องถิ่น อีก 12 สถานี และ 4) ทีวีระดับสากล ในการดำเนินการของ BBC Worldwide และความร่วมมือกับบริษัททั่วโลก เช่นบริษัทในอเมริกา แคนาดา เอเชีย ตะวันออกกลาง เป็นต้น เพื่ออกอากาศรายการจาก BBC

นอกจากนี้ BBC ยังมีบริการ BBC Red Button+ เพื่อให้บริการ Interactive TV ที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์ได้

ทางฝั่งวิทยุแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) วิทยุระดับชาติ แบ่งเป็นสองส่วน คือวิทยุระบบ FM ได้แก่ BBC Radio 1, 2, 3, 4 และวิทยุระบบ AM, ระบบดิจิทัล และ Online ได้แก่ BBC Radio 1 Xtra, 4 Xtra, 5 Live, 5 Live Sport Extra, 6 Music, Asian Network และ World Service 2) วิทยุระดับภูมิภาค ได้แก่ Radio Wales, Ulster, Foyle, Scotland, Nan Gàidheal และ 3) วิทยุระดับท้องถิ่น อีก 40 สถานี

สื่อออนไลน์มีมากมายหลายเว็บไซต์ แต่ส่วนหลักๆ ที่เห็นได้ชัด จะเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยส่วนแรกใน BBC.com มี BBC Britain ซึ่งแตกออกเป็น section ย่อยๆ อย่าง Capital, Autos, Earth, Future, Travel และ Culture ส่วนที่สอง BBC.co.uk แตกอออกเป็นมากมายหลาย section เช่น News, Sport, Weather, Arts, Food, Music, CBBC, CBeebies เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบริการ iPlayer ที่สามารถดูทีวี-ฟังวิทยุได้แบบสดๆ และย้อนหลังได้อีกด้วย รวมไปถึงการให้บริการใน Social Media อย่าง Facebook, Twitter, Instagram และ YouTube อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีส่วนอื่นๆ อีกอย่างเช่น BBC News, BBC Music, BBC Learning, BBC Genome Project, BBC Big Screen, BBC Monitoring เป็นต้น


ย้อนรอยการปรับตัวของ BBC ในรอบปี 2559

16 กุมภาพันธ์ 2559
BBC ประกาศหยุดออกอากาศ BBC Three ที่เป็นช่องรายการที่มีเนื้อหาเจาะกลุ่มเด็กและครอบครัว และออกบริการผ่านระบบออนไลน์ในชื่อ BBC iPlayer อย่างเดียว ซึ่ง BBC ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทประหยัดงบได้ถึง 30 ล้านปอนด์ [2]

12 พฤษภาคม 2559
John Whittingdale รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม สื่อ และกีฬาของสหราชอาณาจักร เปิดเผยรายละเอียดแผนร่าง (White Paper) ของพระราชกฤษฎีกา (Royal Charter) ฉบับใหม่สำหรับ BBC โดยมีรายละเอียดสำคัญๆ อย่างเช่น

1) ไม่มีใครจะสามารถดูรายการออนไลน์ของ BBC โดยไม่จ่ายค่าธรรมเนียมเครื่องรับโทรทัศน์ โดยจะปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย ไม่ให้ชมรายการได้ฟรีอีกต่อไป

2) ในแง่การผลิตเนื้อหา BBC จะมีหน้าที่ใหม่ คือผลิตเนื้อหาที่มีลักษณะเฉพาะ (Distinctive Content) มากกว่าทำเพื่อวิ่งตามเรทติ้ง ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถของบริษัทที่จะซื้อรายการยอดนิยมจากต่างประเทศอย่างเดอะวอยซ์ (ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศฮอลแลนด์ --ผู้เขียน)

3) BBC จะมีหน้าที่ใหม่ คือ ส่งเสริมความหลากหลาย โดย 15% ของตัวนำในบทละคร จะต้องเป็นคนดำ หรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อย ภายในปี 2563 และ 50% ของตัวนำในบทละครจะเป็นผู้หญิง

4) เปิดโอกาสให้บริษัทผลิตเนื้อหาจากภายนอกเข้ามาประมูลเพื่อผลิตเนื้อหารายการใน BBC ได้ทั้งหมดเป็นครั้งแรก ครอบคลุมไปถึงส่วนที่เคยถูกกันไว้อย่างรายการข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน

5) รายได้ของดาราทุกคนที่มากกว่า 450,000 ปอนด์ ต้องถูกเปิดเผย ในขณะที่การเงินของ BBC จะถูกตรวจสอบโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (National Audit Office) ของสหราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก

6) มีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลองค์กร (Unitary Board) ขึ้นมาใหม่ แทนที่คณะกรรมการนโยบาย (BBC Trust) และคณะกรรมการบริการ (BBC Executive) เดิม

นอกจากนี้ ภายใต้ข้อตกลงกับรัฐบาล BBC จะระดมนักข่าวท้องถิ่น 150 คน โดยจะทำข่าวจากศาลและการประชุมสภาในแต่ละพื้นที่ เพื่อป้อนเนื้อหาให้กับหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ท้องถิ่นด้วย ซึ่งยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก สามารถอ่านรายละเอียดแผนร่างโดยสรุปได้ที่ http://www.bbc.com/news/uk-36276570

ด้าน Maria Eagle รัฐมนตรีเงากระทรวงวัฒนธรรม สื่อ และกีฬากล่าวว่าข้อเสนอของ Whittingdale ส่วนใหญ่ เป็นข้อเสนอแบบกว้างๆ ที่อาจทำให้ BBC อ่อนแอลง นอกจากนี้เธอบอกให้เขาหยุดการแทรกแซงอันเกิดจากแรงขับเชิงอุดมการณ์ และปล่อยให้ BBC ทำงานต่อไป [3]

17 พฤษภาคม 2559
BBC ประกาศปิดและยุบรวมหลายๆ ส่วนงาน เริ่มจาก News Magazine นิตยสารยอดนิยมของ BBC ที่เน้นข่าวและไลฟ์สไตล์ จะถูกปิดตัวลง และกิจกรรมโซเชียลมีเดียของ Digital Radio และเนื้อหารายการอื่นๆ ที่ไม่ใช่แกนหลักจะถูกลดขนาดลง

ส่วนเว็บไซต์ iWonder เว็บไซต์ตอบข้อสงสัยตามหัวข้อที่มี ก็จะถูกปิด เช่นเดียวกับเว็บไซต์ Newsbeat ของ BBC Radio One จะถูกรวมเข้ากับ BBC News Online รวมไปถึงในส่วนของข่าวท่องเที่ยวก็จะปิดตัวลง และแอปพลิเคชัน BBC Travel ก็จะหยุดการพัฒนาลงด้วย

และสุดท้ายเว็บไซต์ BBC Food จะถูกปิดและยุบรวมไปอยู่กับ BBC News แต่เมนูบนเว็บไซต์ก็ยังเข้าถึงได้ผ่านเสิร์ชเอนจินต่างๆ อย่างกูเกิล เป็นต้น ส่วน BBC Good Food ยังเปิดให้บริการตามปกติ แต่หากต้องการดูบางเมนูจะต้องเสียค่าบริการ

BBC กล่าวว่าแผนดังกล่าวจะช่วยให้ BBC ประหยัดงบประมาณได้ถึง 15 ล้านปอนด์ [4]

ในวันเดียวกัน แหล่งข่าวจาก BBC กล่าวว่า BBC กำลังจะตัดสินใจรวม 2 ช่องข่าวอย่าง BBC News และ BBC World News ให้กลายเป็นช่องข่าว 24 ชั่วโมงเพียงอย่างเดียว

โดย BBC คาดการณ์ว่าแผนดังกล่าวจะช่วยประหยัดงบประมาณถึง 80 ล้านปอนด์ ซึ่งบริษัทมองว่าราวปี 2563-2564 จะประหยัดงบประมาณได้ถึง 800 ล้านปอนด์ ตามที่ได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาเงินทุนกับรัฐบาลเมื่อปีที่แล้ว [5]


มิถุนายน 2559
หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลต่อ BBC ที่กำลังจะรวมช่องข่าว 2 ช่อง อย่าง BBC News และ BBC World News อย่าง Halen Goodman ส.ส.พรรค Labour และประธานสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนประจำรัฐสภาสหราชอาณาจักรยื่นญัตติเรียกร้องให้ BBC เร่งตีกลับแผนดังกล่าว โดยมองว่าจะทำให้เส้นแบ่งระหว่างเก็บค่าธรรมเนียมจากเครื่องรับโทรทัศน์และการทำกำไรจะไม่ชัดเจน เพราะว่าช่อง BBC News มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมเครื่องรับโทรทัศน์ในสหราชอาณาจักร ส่วนช่อง BBC World News ก็มีรายได้ในเชิงพาณิชย์และออกอากาศให้ผู้ชมทีวีนอกสหราชอาณาจักรด้วย นอกจากนี้ญัตติดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจาก Chris Matheson ส.ส.พรรค Labour และคณะกรรมาธิการกลั่นกรองด้านวัฒนธรรม สื่อ และกีฬา อีกด้วย [6]

ส่วน Roger Mosey อดีตผู้บริหาร BBC News ก็ออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนเลยว่าเป็นการยุบรวม 2 ช่องนี้อาจเป็นการแสดงออกว่า BBC ตั้งใจทำร้ายองค์กรตัวเอง เพราะการยุบรวม 2 ช่องนี้จะสร้างความเสี่ยงให้ผู้ชมทีวีในสหราชอาณาจักรพลาดเรื่องราวในประเทศที่สำคัญไป และเป็นการลดคุณภาพของบริการด้านข่าวที่ BBC เคยทำได้ดีอีกด้วย [7]

กรกฎาคม 2559
ในที่สุด BBC ก็ตัดสินใจปฏิเสธแผนยุบรวม 2 ช่องข่าว อย่าง BBC News และ BBC World News ไป ซึ่งยืนยันจาก Tony Hall ผู้อำนวยการใหญ่ BBC ผ่านการตอบคำถามนักข่าวว่า “ใช่ ช่องข่าวจะยังคงอยู่ พวกเราทั้งหมดรับรู้ถึงความสำคัญของการทำให้ทีวีได้รับการยอมรับ และทำให้มองเห็นสิ่งที่เราเผยแพร่ออกมา”

แต่ข้อมูลจากพนักงาน BBC ระบุถึง James Harding ผู้บริหาร BBC ได้กล่าว 2 ช่องข่าวถูกคาดหวังว่าจะทำให้การประหยัดงบประมาณขึ้น 10% เป็นรูปธรรม และคาดว่าจะถูกชดเชยจากงบประมาณของบรรณาธิการ

และโฆษก BBC ออกมาระบุว่าการคง 2 ช่องข่าวไว้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ชมใน สหราชอาณาจักรและต่างประเทศว่าจะได้รับบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้ชมได้มากที่สุด แต่ก็ต้องตัดสินใจดำเนินนโยบายประหยัดงบไปด้วย โดยตั้งเป้าให้ประหยัดได้ 10% สำหรับทั้ง 2 ช่อง

นอกจากนี้ BBC สรุปค่าใช้จ่ายของทีวีที่มีอยู่ตอนนี้อยู่ที่ 62.3 ล้านปอนด์ และรวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสูงเกินกว่า 110 ล้านปอนด์ แต่งบประมาณที่ใช้ไปส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ในส่วนฝ่ายข่าว ถ้าหากฝ่ายข่าวถูกปิดจริงๆ ฝ่ายข่าวจะถูกโอนย้ายไปยังแผนกต่างๆ ใน BBC [8]

 


สิขเรศชี้สองสาเหตุที่ BBC ต้องปรับตัว


ภาพจากเพจ ดร.สิขเรศ ศิรากานต์

คำถามที่น่าสนใจก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับ BBC และมีผลสะท้อนมายังสื่อสาธารณะ หรือสื่ออื่นๆ ในไทยอย่างไร ทางประชาไทได้สอบถามข้อมูลจาก สิขเรศ สิรกานต์ นักวิชาการด้านทีวีดิจิทัล ผู้ทำวิทยานิพนธ์ Digital TV in Thailand ได้ให้ข้อสังเกตว่าหากมองปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อย่างเข้าใจ จะพบว่ามี 2 สาเหตุสำคัญด้วยกัน

ข้อแรก โครงสร้างที่กำกับดูแลด้านบน (Regulator) มีการดำเนินการเพื่อต่อพระราชกฤษฎีกา (Royal Charter) ในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อทำให้ BBC ดำเนินการต่อไป เปรียบเทียบได้กับ พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ของ ThaiPBS ฉะนั้นการต่อพระราชกฤษฎีกา จึงเกี่ยวกับการเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมจากเครื่องรับโทรทัศน์มาจุนเจือบริการสาธารณะ เพราะฉะนั้นการเพิ่มจำนวนเงินหรือลดจำนวนเงินในปีนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ฉะนั้นภายในองค์กรหรือผู้บริหารเองก็ต้องมีการบริหารจัดการในเงินตรงส่วนนี้

ข้อที่สอง สิขเรศ อธิบายว่าเรื่องภูมิทัศน์ของสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป BBC คงไม่สามารถมีองค์กรที่ใหญ่โต มีสายการบริหารงานที่ใหญ่และกว้าง โดยไม่มีการปรับสภาวะภูมิภาวะของสื่อให้เท่าทันโลกยุคปัจจุบัน เพราะตอนนี้มีสื่อใหม่ๆ ที่ท้าทายสื่อยุคเก่า ยกตัวอย่างทีวีออนไลน์ ทีวีที่ชมจากสมาร์ทโฟนหรือแอปพลิเคชัน หรืออื่นๆ อีกอย่างหนึ่งคือ BBC มีวิทยุจำนวนเยอะมากในปัจจุบัน ฉะนั้นการปรับภูมิทัศน์สื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ

“สื่อทั้งโลกใบนี้ต้องปรับหมด และ ถ้าจะมองในเชิงเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดเราก็เห็นแล้วว่าการรับทีวีภาคพื้นดิน ประเทศไทยมันเปิดช้าไปประมาณ 5-12 ปี อย่างที่ผมเคยบอกแล้ว มันคือช่วงรอยต่อของทีวีดิจิทัลในรูปแบบอื่นๆ อาจจะเป็นรูปแบบการดูย้อนหลังผ่านแอปพลิเคชัน หรืออะไรก็แล้วแต่” สิขเรศกล่าว

“ผมพูดในมุมกว้างๆ ว่าทีวีสาธารณะในประเทศเราก็มีประมาณ 4 ช่อง (ช่อง ททบ.5, NBT, ทีวีรัฐสภา และ ThaiPBS) ที่มีลักษณะคล้ายกับ BBC ก็ต้องไปย้อนคิดว่าถ้าเราเอาสหราชอาณาจักรเป็นกรณีศึกษางบประมาณ สื่อที่ได้รับเงินทุนจากสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณจากรัฐบาล หรืองบประมาณจากแผ่นดิน ทางตรง ทางอ้อม อะไรก็แล้วแต่ที่ชี้วัดประโยชน์ที่นำไปใช้ในทางสังคมด้วย เพราะว่าใช้เงินภาษีในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกัน ผมย้ำว่าความจำเป็นของทีวีสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นช่องไหนหรือรูปแบบไหน ก็ยังคงมีอยู่ เราก็ต้องปรับให้สมดุล โดยให้สอดคล้องสภาพสังคมและสภาพปัจจุบัน” สิขเรศกล่าว

สิขเรศยังยอมรับว่า โซเชียลมีเดีย หรือโลกออนไลน์นั้นมีผลผูกพันกันทั้งหมดในแง่ของการจัดการบริหารสื่อ โดยยกตัวอย่างช่อง BBC Three ที่ย้ายไปอยู่แฟลตพอร์มออนไลน์โดยเฉพาะ ฉะนั้นช่อง BBC Three จึงเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในช่วงอายุ 18 ปี ถึง 20 ปีปลายๆ ซึ่ง BBC เล็งเห็นว่าการรับชมโทรทัศน์ในวิถีเดิมๆ จะไม่มีอิทธิพลมากเหมือนแต่ก่อน และ BBC ได้รับการใช้เงินจำนวนมากในการทำสื่อสาธารณะแบบนี้ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ BBC ปรับในหลายๆ ส่วน และกรณีของช่อง BBC Three ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า BBC ก็กลับมาสู่โลกออนไลน์และสื่อใหม่มากยิ่งขึ้น ไม่ออกอากาศทางภาคพื้นดินอีกต่อไป


ตั้งข้อสังเกตทีวีเมืองไทย เอาทีวีพาณิชย์นำทีวีสาธารณะ

สิขเรศยังตั้งข้อสังเกต ผ่านการมองประวัติศาสตร์ของทีวีดิจิทัลของสหราชอาณาจักร โดยยกตัวอย่างกรณีเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว มีการล้มหายตายจากของทีวีดิจิทัล แล้ว BBC ก็ร่วมมือกับทีวีบริการสาธารณะและทีวีพาณิชย์ ช่วยกันกอบกู้ขึ้นมา เพราะต้องยอมรับว่าอย่างน้อยๆ 1 ใน 4 ของผู้ผลิตเนื้อหารายการ (Content Provider) หลักของทีวีดิจิทัลในสหราชอาณาจักร คือ BBC เมื่อดูผลสำรวจทุกสำนักจะพบว่า BBC ยังครองใจผู้บริโภคชาวสหราชอาณาจักร ถึงแม้ว่าจะถูกติชมมามากแค่ไหนก็ตาม

สิขเรศยังกล่าวถึงกรณีศึกษาของทีวีดิจิทัลเมืองไทย มีข้อสังเกตว่าอาจจะเสียสมดุลอยู่เล็กน้อย เนื่องจากเอาทีวีพาณิชย์มานำ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการสร้างสมดุลที่ว่าทีวีบริการสาธารณะที่ใช้เงินรัฐอยู่ เราจะทำอย่างไรให้ content ดึงดูดใจ แล้วก็สามารถนำพาทีวีดิจิทัลเมืองไทยให้เดินไปต่อได้

“เพราะฉะนั้นผมคิดว่าในโครงสร้าง ไม่ว่าโครงสร้างของช่อง ททบ.5, NBT, ทีวีรัฐสภา และ ThaiPBS ก็ตาม ผมคิดว่ามีโครงสร้างที่ดี ไม่ต้องมีค่าลงทุนจากคนอื่นเขา ค่าประมูล ค่างวด ก็ไม่ต้องจ่าย คนอื่นเขาจ่ายกันทุกงวดในจำนวนเยอะมาก 50,000 กว่าล้าน อันนี้ทีวีบริการสาธารณะก็ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า เมื่อคุณไม่ได้จ่ายในส่วนนี้ คุณจะทำยังไงให้ตอบโจทย์ทีวีดิจิทัลได้” สิขเรศกล่าว


สื่อทั่วโลกหลอมรวม สื่อไทยขยายออก

สิขเรศยังมองว่าทีวีเมืองไทยมีโมเดลที่ย้อนแย้งกับโลกในปัจจุบัน โดยกรณีอย่าง BBC แผนกต่างๆ แทบจะโดนยุบเกือบทั้งหมด เนื่องจากต้องการให้เกิดการผสมผสาน (integrate) เข้าด้วยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานข้ามพรมแดนสื่อ ข้ามแพลตฟอร์ม ซึ่งหมายถึงการผสมผสานระหว่าง วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อใหม่ (New Media) ให้เป็นส่วนเดียวกันอีกด้วย รวมเน้นย้ำให้สื่อสาธารณะ สื่อภาครัฐ หรือสื่อที่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วย

“แต่ทีวีของประเทศเราพยายามบานออก ทำให้คนมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็ประจักษ์แล้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าประเทศไทยของเรากำลังจะบานออก เป็นฟองสบู่ทีวีดิจิทัล แต่ประเทศอื่นๆ เขากำลังรัดเข็มขัด บูรณาการให้สื่อดิจิตอลให้มันไปในทางทศวรรษใหม่หรือภายใน 10 ปีใหม่ได้” สิขเรศกล่าว

นอกจากนี้สิขเรศยังกล่าวว่าเมื่อพฤติกรรมคนดูเปลี่ยน เทคโนโลยีก็ถูกเปลี่ยน ถึงเวลาที่ทีวีดิจิทัลควรมาดูว่าอันไหนที่ควรปรับปรุงคุณภาพ อันไหนที่ควรปรับโครงสร้าง อันไหนที่ควรปรับแนวคิดเชิงนโยบาย เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถโทษผู้ประกอบการได้อย่างเดียว เมื่อดูในระดับนโยบายของไทย ไม่มีโรดแมป ไม่มีพันธกิจร่วมกัน ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันว่าจะบูรณาการสื่อตรงนี้อย่างไร

 


ข้อมูลประกอบจาก
[1]  http://www.oknation.net/blog/adisak/2007/03/21/entry-1
http://www.sarakadee.com/blog/oneton/?p=842
https://en.wikipedia.org/wiki/BBC

[2]  https://www.blognone.com/node/75251
http://www.bbc.com/news/entertainment-arts-35578867

[3]  http://www.bbc.com/news/uk-36276570
http://www.independent.co.uk/news/media/tv-radio/bbc-reforms-is-the-new-royal-charter-ideologically-driven-meddling-or-a-clear-pathway-for-the-future-a7026781.html

[4] http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1463486788
http://www.bbc.com/news/uk-36308976
http://www.independent.co.uk/news/media/bbc-confirms-online-closures-in-bid-to-save-15-million-a7033566.html#gallery
http://www.independent.co.uk/news/media/thousands-of-recipes-to-be-removed-from-bbc-website-a7033146.html#gallery


[5] http://www.theguardian.com/media/2016/may/17/bbc-news-channel-bbc-world
[6]  http://www.theguardian.com/media/2016/jun/07/bbc-urged-to-reject-proposal-to-merge-news-operations
[7]  http://www.theguardian.com/media/2016/jun/21/bbc-news-merger-needless-act-self-harm-roger-mosey
[8] https://www.theguardian.com/media/2016/jul/14/bbc-news-channel-world-news-cuts-merger

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิกิลีกส์แฉอีเมลพรรครัฐบาลตุรกี 2.9 แสนฉบับ-ตอบโต้การล้างบางผู้เห็นต่าง

0
0

เว็บไซต์จอมแฉวิกิลีกส์เปิดเผยว่าพวกเขาจะเผยแพร่ข้อมูลอีเมลที่ได้จากรัฐบาลตุรกีในช่วงปี 2553 - 2559 เร็วขึ้นเพื่อตอบโต้หลังรัฐบาลแอร์โดอัน ฉวยโอกาสปราบฝ่ายตรงข้ามหลังรัฐประหารเหลว ทั้งการจับกุมและปลดข้าราชการ และนักวิชาการ และเรียกร้องประชาชนตุรกีเตรียมเครื่องมือทะลวงการเซ็นเซอร์ของรัฐบาล

21 ก.ค. 2559 เว็บไซต์วิกิลีกส์ประกาศว่าจะเผยแพร่ข้อความและไฟล์ที่ส่งผ่านอีเมลล์ 294,546 ฉบับ ที่ติดต่อกับประธานาธิบดี เรเซป ไทยิป แอร์โดอัน หัวหน้าพรรคยุติธรรมและการพัฒนา หรือ เอเคพี หลังจากที่เมื่อไม่นานมีนี้เกิดเหตุรัฐประหารนองเลือดในตุรกีส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200 ราย

องค์กรจอมแฉวิกิลีกส์เปิดเผยว่าพวกเขาได้รับข้อมูลอีเมลทั้งหมดของแอร์โดอันตั้งแต่ช่วงปี 2553 จนถึงวันที่ 6 ก.ค. 2559 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นอีเมลที่เกี่ยวกับการทำข้อตกลงในระดับโลกมากกว่าจะเป็นเรื่องกิจการภายในที่อ่อนไหว อีกทั้งวิกิลีกส์ยังได้รับอีเมลรั่วไหลเหล่านี้หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา และยืนยันว่าข้อมูลที่รั่วไหลดังกล่าวไม่มีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับการพยายามทำรัฐประหารที่ผ่านมาหรือเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเลย

อย่างไรก็ตามที่วิกิลีกส์ระบุว่าพวกเขาต้องการจะเผยแพร่เรื่องนี้เร็วขึ้นเพื่อโต้ตอบกับสถานการณ์ที่แอร์โดอันกำลังพยายามล้างบางผู้ที่ต่อต้านตัวเขาหลังการรัฐประหารที่ผ่านมาล้มเหลว ก่อนหน้านี้วิกิลีกส์ยังระบุเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่ารัฐบาลตุรกีอาจจะพยายามเซ็นเซอร์การเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้วิกิลีกส์แนะนำให้ประชาชนชาวตุรกีเตรียมโปรแกรมทะลุทะลวงการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลให้พร้อม

หลังจากประกาศในเรื่องนี้วิกิลีกส์ก็อ้างว่าระบบโครงสร้างเว็บไซต์ของพวกเขา "ถูกโจมตีในระดับที่สามารถรับมือได้" โดยระบุว่าพวกเขาไม่ทราบแหล่งที่มาว่าการโจมตีมาจากแหล่งไหนแต่พวกเขาประเมินว่าการที่ถูกโจมตีในเวลานี้อาจจะมาจากฝ่ายที่ดำรงอำนาจอยู่ในตุรกีหรือพรรคพวกของรัฐบาล

 

เรียบเรียงจาก

Turkey: WikiLeaks releases thousands of AKP emails, Aljazeera, 20-07-2016 http://www.aljazeera.com/news/2016/07/turkey-wikileaks-releases-thousands-akp-emails-160719204637732.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปล่อยแล้วภรรยาแอนดรูว์ ตำรวจแจงแค่เชิญมาคุย หวังภรรยาบอกสามีให้หยุดหมิ่นสถาบัน

0
0


นพวรรณ บันลือศิลป์ และลูกชายวัยสามขวบ (10.30 น.) 
 


พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ และนพวรรณ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังปล่อยตัว

22 ก.ค. 2559 กรณี แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20 นาย บุกไปที่บ้านของภรรยาคือ นพวรรณ บันลือศิลป์ ที่กรุงเทพฯ โดยนำตัวเธอไปที่กองบังคับการปราบปราม ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวภรรยาของแอนดรูว์ มาร์แชล ถึงกองปราบฯ แล้ว โดยเธอให้สัมภาษณ์สื่อสั้นๆ ขณะที่อุ้มลูกชายวัยสามขวบว่า เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของสามี และยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ 

ตร. แถลง หากพบความเกี่ยวข้องจะดำเนินคดีต่อ 

10.30 น. ที่กองปราบปราม พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เดินทางมาที่กองปราบฯ และให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงกรณีการควบคุมตัว นพวรรณ บันลือศิลป์ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับ แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล โดยเป็นภรรยา จึงมีเหตุให้สงสัยว่าอาจจะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ซึ่งการเข้าไปค้นและยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เมื่อเช้านี้ได้มีการออกหมายศาลตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม หากสืบสวนแล้วไม่พบความเกี่ยวข้องก็จะไม่มีความผิด แต่หากพบว่ามีการร่วมมือกัน เช่นการส่งต่อข้อมูล ก็จะมีการดำเนินคดีต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่เป็นมูลเหตุที่ให้นำตัว นพวรรณ มาครั้งนี้เป็นภาพจริง หรือภาพตัดต่อ พล.ต.ท. ฐิติราช ตอบว่าเป็นภาพตัดต่อ และทราบว่ามีคนอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามกระทำการในลักษณะดังกล่าว ซึ่งตอนนี้รู้ตัวหมดทุกคนแล้ว

"คนหกสิบกว่าล้านคน มีคนพวกนี้อยู่สามสิบคน ที่ผลิต และส่งต่อเรื่องพวกนี้ในโซเชียลมีเดีย ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ และก็รู้หมดแล้วว่าอยู่ที่ไหน ก็เลิกซะ" พล.ต.ท. ฐิติราช กล่าว

ด้านแอนดรูว์ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า นอกจากภรรยา ยังมีพ่อของภรรยาที่ถูกควบคุมตัวด้วย

ยังไม่ให้ทนายความพบภรรยาแอนดรูว์ ตร.ระบุแค่ซักถามยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา

เวลา 14.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่อนุญาตให้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และ คิงสลีย์ แอ๊บบอต คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เข้ารับฟังการพูดคุยซักถาม นพวรรณ บันลือศิลป์ ภรรยาของแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ซึ่งถูกควบคุมตัวมาที่กองปราบตั้งแต่ช่วงสายวันนี้

คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ตำรวจปฏิเสธไม่ให้ทนายเข้าไปในห้องด้วย โดยระบุว่ายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาและไม่ได้ทำการสอบสวนใดๆ เพียงแต่เป็นการพูดคุยซักถามนพวรรณเท่านั้น

คุ้มเกล้ากล่าวด้วยว่า ตามหลักกฎหมาย ผู้ต้องหามีสิทธิพบทนายความและทนายความต้องอยู่ด้วยในขณะทำการสอบสวน แต่กรณีนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยซ้ำ สิทธิที่มีก็ควรจะมากกว่าการตกเป็นผู้ต้องหา ทนายความควรต้องอยู่ด้วยได้

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 8.13 น. แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า มีตำรวจกว่า 20 นาย เดินทางไปที่บ้านของภรรยาของเขาที่กรุงเทพฯ พร้อมชี้แจงว่า ภรรยาของเขาและครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวของเขา และหวังว่าพวกเขาไม่คงต้องถูกรังควานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นจากศาลอาญาธนบุรี ลงวันที่ 22 ก.ค.2559  ให้ค้นบ้านหลังดังกล่าว ในเวลา 6.00 น. พร้อมลายมือกำกับ "หลังพระอาทิตย์ขึ้น" เพื่อยึดคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ภรรยาของแอนดรูว์ถูกนำตัวไปที่กองปราบฯ

แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ระบุในแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนผ่านทางเฟซบุ๊กด้วยว่า นพวรรณ บันลือศิลป์ หรือพลอย ภรรยาของเขาเป็นผู้สื่อข่าวให้กับรอยเตอร์และเอ็นบีซี โดยอยู่ระหว่างกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่กรุงเทพฯ กับลูกชายวัยสามขวบ เขายืนยันว่าเธอไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับการทำงานข่าวของเขา เนื่องจากเป็นงานที่มีความเสี่ยง และเธอก็มีความเห็นต่อการเมืองไทยไม่เหมือนกับเขา

"ไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะคุมตัวเธอ หากตำรวจไทยเชื่อว่าผมละเมิดกฎหมายไทย พวกเขาควรขอให้มีการส่งผมในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศไทยผ่านทางช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การคุกคามผู้หญิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะเธอแต่งงานกับผมเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้" เขาระบุ

ปล่อยตัว เรียกมาคุยทำความเข้าใจ หวังภรรยาบอกสามีหยุดพฤติกรรม

เวลาประมาณ 16.00 น. พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย นพวรรณ  บันลือศิลป์ ภรรยานายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ได้ออกมาร่วมกันให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจำนวนมากที่รอติดตามทำข่าวนี้ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยพล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า การเชิญตัวนพวรรณมาในวันนี้ ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด เพียงต้องการพบปะพูดคุย ส่วนการยึดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารนั้นกระทำการตามหมายศาลและมีการตรวจสอบแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด ทางตำรวจเองเชื่ออยู่แล้วว่านพวรรณไม่มีความผิด แต่เชิญตัวมาเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ผิดจริง และคาดหวังว่านพวรรณจะพยายามพูดคุยกับสามีเพื่อให้ยุติการกระทำความผิดหมิ่นสถาบัน

พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวด้วยว่า ได้ติดตามเฟซบุ๊กของแอนดรูว์มาตลอด 4-5 ปี กลุ่มคนที่กระทำความผิดลักษณะนี้มีอยู่ประมาณ 30 คน และมีแอนดรูว์เป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียว สำหรับแอนดรูว์นั้นพบว่ามีการกระทำความผิดหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเมื่อวานนี้เพิ่งเกิดเหตุอีกครั้ง จึงคิดว่าถึงเวลาต้องเชิญตัวภรรยามาพบปะพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ ซึ่งวันนี้ได้เชิญภรรยาและพ่อของภรรยามาร่วมพูดคุยด้วย

“ตลอด 4-5 ปีมานี้ คุณแอนดรูว์มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันมาตลอด และไม่เลิก ในขณะที่คน 60 ล้านคนกราบไหว้บูชาสถาบัน มีเพียงคุณแอนดรูว์ซึ่งเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวที่พฤติกรรมลักษณะนี้” พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวและว่าแอนดรูว์ทำอะไรควรห่วงลูกและภรรยาบ้างเพราะสิ่งที่ทำนี้เป็นสิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง

ด้านนพวรรณ ภรรยาของแอนดรูว์ ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า จะพูดคุยกับแอนดรูว์ให้หยุดการโพสต์ลักษณะนี้

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่ไม่ให้ทนายเข้าห้องสอบสวนด้วย พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า เนื่องจากเป็นการพูดคุยธรรมดาและนพวรรณไม่ได้ร้องขอทนายความ การที่มีคนเข้ามาร่วมเยอะๆ อาจสุ่มเสี่ยงต่อการเผยแพร่ความผิดซ้ำได้

อย่างไรก็ตาม ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยืนยันว่า เหตุที่ทนายจะขอเข้าร่วมรับฟังด้วยนั้นเนื่องจากญาติของนพวรรณร้องขอทนายความมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการฟ้องหนังสือพิมพ์เยอรมันที่เผยแพร่ภาพหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช ตอบว่า คงไม่มีการฟ้อง เพียงแค่ต้องการให้นพวรรณพูดคุยกับสามีให้หยุดการกระทำผิด

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีหมายเรียกแอนดรูว์หรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่มี เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าภาพดังกล่าวเป็นการตัดต่อ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ก็เป็นสิ่งไม่ควร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ School: ผ่าเครือข่าย ‘บริษัทประชารัฐรักสามัคคี’ การตลาดเพื่อสังคมฉบับ ‘ลายพราง’

0
0

‘บริษัท ประชารัฐรักษามัคคี’ คืออะไรและจะทำอะไรกันแน่ ?  ใครอยู่เบื้องหลังความคิดและนโยบายนี้ ?  ใครเป็นผู้ผลักดันขับเคลื่อน ? ใครได้ใครเสีย ? เอื้อประโยชน์สิ่งใดให้เอกชนบางกลุ่มเข้ามากำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนหรือไม่ ? แท้จริงแล้วชาวบ้านและประชาชนทั่วไปต้องการอะไร ? ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทางของนโยบายนี้เป็นอย่างไร ? หรือท้ายที่สุด ต้องพับเก็บโครงการแบบที่แล้วๆ มา ?

ผุด ‘บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี’

29 เมษายน 2559  วันที่ใครหลายคนเพิ่งเคยได้ยินคำว่า‘ประชารัฐ’ หลังจากนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นสักขีพยานคลอดวิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise) นามมงคล ‘บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีประเทศไทย จำกัด’ พร้อมเปิดตัววิสาหกิจเพื่อสังคมนำร่องระดับจังหวัด 5 จังหวัด ได้แก่ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีบุรีรัมย์ จำกัด, บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีเชียงใหม่ จำกัด, บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีอุดรธานี จำกัด, บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี เพชรบุรี จำกัด และ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ภูเก็ต จำกัด โดยตั้งเป้าเปิดครบ 76 จังหวัดสิ้นปีนี้

‘ประชารัฐ’ คืออะไร ใครเข้ามาขับเคลื่อน ใครได้หรือเสียอะไร ประชาชนคนทั่วไปต้องทำอะไรบ้าง คำถามเหล่านี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสับสนของประชาชนผ่านคำบอกเล่าของ บุญสิทธิ์ บุญผล ผู้นำชุมชนและประธานเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดภูเก็ต หลังจากชุมชนเห็นข่าวเปิดตัวบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด และ มีคนมาติดต่อตนให้เป็นผู้ประสานงานตัวแทนชาวบ้านเพื่อร่วมทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม ภายใต้ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ทั่วประเทศเป็นยุทธศาสตร์ของ ‘คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก’ มีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา  เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายฐานปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเบียร์ช้าง นั่งเก้าอี้เป็นแม่ทัพภาคเอกชน

‘คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก’ เป็นหนึ่งใน 12 คณะ ขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ ใน 12 ด้าน แบ่งเป็น 7 คณะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 7 D ( ได้แก่  D1การยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ  D2 การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง  D3 การส่งเสริมการท่องเที่ยวและ MICE  D4 การส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ  D5 การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve)  D6 การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ และ D7 การสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ ) และ 5 คณะสนับสนุน ( 5E ได้แก่ E1การดึงดูดการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ  E2 การยกระดับคุณภาพวิชาชีพ E3 การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ E4 การปรับแก้กฎหมายและกลไกภาครัฐ  และ E5 การศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ)

‘คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก’ หรือ E3 ดูแล ‘รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ ทั่วประเทศ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ประเทศไทย ส่วนกลาง ที่มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ส่วน ระดับจังหวัดทุนจดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นของ ‘รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ แต่ละสาขาประกอบด้วยบุคคลจาก 5 ภาคส่วนคือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชนโดยไม่ว่าจะถือกี่หุ้นก็มีสิทธิ์ลงคะแนนเท่ากันคือฝ่ายละ 20%

น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป หนึ่งในผู้ริเริ่มใช้คำว่าประชารัฐ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีประเทศไทย ได้เคยระบุไว้ว่าในทุนจดทะเบียน 100 ล้าน 76 ล้านมาจาก บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) 76 จังหวัด จังหวัดละ 1 ล้านบาท อีก 24 ล้านบาท มาจากภาคเอกชน เช่น ทรู เซนทรัล เบียร์สิงห์ เอไอเอส มติชน เครือเนชั่น เป็นต้น โดยจะเริ่มทยอยเข้ามาเป็นเจ้าหุ้นกันหลังจากนี้

ไทยเบฟหัวหอกสำคัญ ด้าน ‘ซีพี’ ส่งแค่ ‘ทรู’ มาถือ 1 หุ้น

ข้อมูลเอกสารผู้ถือหุ้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่สำนักข่าวอิสรา นำมาเปิดเผยพบว่า บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ประเทศไทย ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 5 คนในสัดส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยนายฐานปน สิริวัฒนภักดี จากไทยเบฟ ถือหุ้น 99,996 หุ้น จาก 100,000 หุ้น คิดเป็น 99.99% ราคาหุ้นละ 1,000 บาท ชำระแล้วหุ้นละ 250 บาท ขณะที่อีก 4 ผู้ถือหุ้น ที่ถือคนละ 1 หุ้น ได้แก่ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ กรรมการที่ปรึกษา บ. น้ำตาลมิตรผล จำกัด นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และนายมีชัย วีระไวทยะ อดีตนักการเมือง และผู้ก่อตั้งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนและมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ

โดยบุคคลเหล่านี้เป็นเครือข่ายที่รู้จักมักจี่ดำเนินงานร่วมกันมาแล้วทั้งสิ้น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เคยร่วมสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน นอกจากนี้ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กลุ่มมิตรผล มูลนิชุมชนไทย และนายมีชัย เองก็เป็นเครือข่ายคณะทำงานร่วมกับ ดร.สมคิด และ น.พ.ประเวศ วะสี อยู่แล้วผ่านมูลนิธิสัมมาชีพ ที่ น.พ.ประเวศ เป็นประธานกรรมการที่ปรึกษา และ ดร.สมคิด เป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษา

เป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใดบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ถึงเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่แต่ไม่มีนายทุนรายใหญ่อย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ (หรือซีพี) เข้ามาร่วมวงเป็นทัพหน้าและมีบทบาทร่วมด้วยมากนัก แม้จะมี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นถือหุ้นรายใหญ่สุดนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าร่วมกับโปรเจคต์นี้แค่เชิงสัญลักษณ์เท่านั้น โดยตัวแทนของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นเพียง 1 หุ้น ซึ่งแหล่งข่าวใกล้ชิดมูลนิธิสัมมาชีพ บอกกับ TCIJ ว่าเป็นเพราะแนวทางการทำงานเพื่อสังคมของเครือเจริญโภคภัณฑ์ แตกต่างกับแนวทางของโครงการประชารัฐ ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์เองต้องการพัฒนาชุมชนตามแผนและแนวทางของบริษัทฯ แต่ประชารัฐเน้นพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามแผนแม่บทของชุมชนที่ชาวบ้านคิดขึ้นเอง อีกทั้งภาพลักษณ์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์เองก็ไม่เป็นมิตรกับบางชุมชนนัก

แหล่งข่าวเสริมต่อว่าไทยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ขานรับแนวทางของประชารัฐ ซึ่งนายฐาปนได้รับมอบหมายให้ดูแลคณะทำงาน E3 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จึงเข้ามาถือหุ้นนำร่องเอกชนรายอื่น ๆ

ที่มาภาพ : Facebook BIOTHAI

ผลักดันผ่าน‘ประเวศคอนเนคชั่น’  ยันแตกต่าง‘กองทุนหมู่บ้าน’ สมัย‘ทักษิณ’

‘มูลนิธิสัมมาชีพ’ ที่ก่อตั้งเมื่อ 2552 นั้น ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน คือ น.พ.ประเวศ วะสี ซึ่งเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาและ ดร.สมคิด เป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษา ได้เคยพยายามดำเนินโครงการด้วยแนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนโดยดึงเอกชนตัวแทนเศรษฐกิจมหภาคเข้ามาช่วยเหลือชุมชน ให้ชุมชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภายใต้โครงการ 1 บริษัท 1 ตำบลสัมมาชีพ โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดมูลนิธิสัมมาชีพเปิดเผยกับ TCIJ ว่า ตั้งแต่ปี 2555 ทางมูลนิธิสัมมาชีพได้จับคู่ (matching) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) มาพัฒนาชุมชนนำร่อง 6 ชุมชนใน 6 จังหวัด โดยเน้นการพัฒนาตามแผนแม่บทที่ชุมชนร่างขึ้นเอง เอกชนเข้ามาให้คำแนะนำ เช่นว่าถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำแล้วต้องใช้นวัตกรรมอะไร เข้ามาช่วยเรื่องทุน หากชุมชนต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน เอกชนก็จะให้ความรู้เรื่องการพัฒนาเพิ่มมูลค่าสินค้าและหาแหล่งตลาดให้ แหล่งข่าวจากชุมชนใน จ. น่าน กล่าว

ด้าน น.พ.พลเดช  ให้สุมภาษณ์ว่าแนวคิดประชารัฐ ครั้งนี้แตกต่างกับ โครงการกองทุนหมู่บ้านสมัยรัฐบาลอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เพราะกองทุนหมู่บ้านเป็นการร่วมมือกันระหว่างรัฐและชาวบ้าน ไม่มีเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนครั้งนี้

ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจฐานรากและอดีตรองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ เล่าว่าหลังจากโครงการ 1 บริษัท 1 ตำบลสัมมาชีพประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ดร.สมคิด เล็งเห็นถึงศักยภาพของยุทธศาสตร์จึงนำมาปรับใช้เป็นนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง ชาวบ้านมีรายได้มากกว่ารายจ่าย จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรงตามมา

น.พ.พลเดช เสริมว่า ดร.สมคิด ได้ปรึกษากับ น.พ.ประเวศ ว่าจะขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานรากทั่วทั้งประเทศ น.พ.ประเวศ จึงมาปรึกษาตน ตนจึงคิดและนำแสนอแนวทาง ‘ประชารัฐ’ แก่คณะทำงานฝั่งรัฐบาล เมื่อฝ่ายรัฐบาลนำโดย    พลเอกประยุทธ์ ไฟเขียวสั่ง ดร.สมคิด เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐแล้ว 12 คณะทำงานข้างต้นจึงเกิดขึ้น

“ทางคณะทำงานประชารัฐเห็นว่า ชุมชนมีภูมิปัญญาแต่ขาดความรู้ด้านการตลาดและการจัดการ ‘รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ จึงดำเนินกิจการลักษณะบริษัทพี่เลี้ยงให้ชาวบ้าน เข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาปัญหาการจัดการธุรกิจชุมชนให้มีรายได้มากขึ้น เพราะเรื่องการตลาดและการจัดการเป็นสิ่งที่เอกชนถนัดกว่าภาคอื่น ๆ” ดร.อนุรักษ์ กล่าว

วิธีการช่วยเหลือครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เช่น เริ่มจากพาไปหาแหล่งทุนกู้ธนาคารดอกเบี้ยต่ำอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ที่ปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ นายสมชัย สัจจพงษ์ เปิดเผยกับ TCIJ ว่าจะปล่อยวงเงินกู้ดอกต่ำ เอื้อประชารัฐเป็นโครงการ ๆ ไป

หลังจากพาไปกู้เงิน ก็จะให้คำแนะนำศึกษาความต้องการตลาดให้ ให้ความรู้เรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำอย่างไรจะผลิตได้เยอะโดนใจลูกค้า ช่วยหาตลาดให้ อะไรที่ชาวบ้านไม่เป็นไม่รู้อ ย่างการเจรจาธุรกิจกับห้างสรรพสินค้าที่มีเงื่อนไขเยอะ ‘รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ ก็เข้าไปทำช่วยเจรจาเป็น ‘คนกลาง’ ให้

แหล่งข่าวน่าเชื่อถือของโครงการประชารัฐยกตัวอย่างให้เห็นชัดคือ สับประรดภูเก็ตหนึ่งในสินค้าชุมชนที่ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต เข้าไปส่งเสริม เกษตรกรผู้ปลูกสับประรดต้องการส่งขายให้ห้างสรรพสินค้าแต่ชาวบ้านไม่เข้าใจเรื่องการหักเปอร์เซ็นต์การขาย ‘ค่าตะกร้า’ ขนาดของสับประรดที่ห้างฯ กำหนด และเงื่อนไขอื่นทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ชาวบ้านขายสับประรดได้ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จะเข้าไปรับซื้อ

จาก เอกสารผู้ถือหุ้น บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด ที่สำนักข่าวอิสรา นำมาเปิดเผยพบว่ามีทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท นางอรสา โตสว่าง Market Intelligence Director ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เป็นผู้ถือหุ้น 1,600 หุ้นจาก 4,000 หุ้น นางวราลี ฐิติวร 1,200 หุ้น และนายโกศล แดงอุทัย 1,200 หุ้น โดยแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจากภาคเอกชนเป็นกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะทำงานที่เหลือ จากภาครัฐ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และชาวบ้าน มาร่วมทีม โดยมีเงินให้แค่ 2 ตำแหน่งคือ ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ และฝ่ายการเงิน

นายวีระชัย ปรานวีระไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด กล่าวกับ TCIJ ว่า บริการครบวงจรเหล่านี้ เกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือกลุ่มอาชีพชุมชน สามารถเข้าถึงได้ เพียงมาลงทะเบียน ทาง บริษัทฯ จะจัดกลุ่มธุรกิจหรือ คลัสเตอร์ (cluster) และนัดประชุมพร้อมกันเป็นคลัสเตอร์ เพื่อให้คำปรึกษาพร้อมกันเป็นกลุ่ม

นายวีระชัยกล่าวว่า บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ภูเก็ต ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้าน 10 ล้านบาท ภายในสิ้นปี โดยพุ่งเป้าไปที่ 5 คลัสเตอร์ คือ กุ้งมังกรภูเก็ต (Phuket lobster) สับประรดภูเก็ต แพะนม ผ้าบาติก และการท่องเที่ยวชุมชน โดยขั้นแรกจะประสานไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอข้อมูลเบื้องต้นประกอบการศึกษาของแต่ละคลัสเตอร์ เช่น สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด กรมการพัฒนาชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานเกษตรจังหวัด และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมกันนั้นก็เข้าหาชุมชนเช่นชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร เครือข่ายผู้ประกอบการโรงแรม เครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนและกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงเข้ามาเป็นผู้ประสานงานทำงานร่วมกัน 

นายวีระชัยเปิดเผยว่า แผนการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ เช่นเทศกาลกุ้งมังกร ที่หวังสร้างชื่อกุ้งมังกรภูเก็ตให้เป็นที่รู้จักและเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกำลังจะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ได้มีการเตรียมการไว้พร้อมแล้ว

ในขณะที่นายทรงสิทธิ ประธานเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนเปิดเผยว่า เบื้องต้นตนได้ให้ข้อมูลเรื่องธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่นลักษณะธุรกิจ ลักษณะการทำงานผู้ประกอบการในชุมชน ข้อกำจัดต่าง ๆ แก่ วิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ โดยมี นายฐาปนเข้าร่วมประชุมด้วย

สื่อสารคลุมเครือ-ไม่ทั่วถึง  ชาวบ้านขยาดโครงการของรัฐ

อย่างไรก็ตาม การสื่อสารระหว่าง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี กับชาวบ้านยังไม่ชัดเจนและทั่วถึง ชาวบ้านยังไม่เข้าใจว่าตนจะต้องทำอะไร และยังรู้สึกระแวงเคลือบแคลงใจว่า เอกชนและรัฐที่เข้ามาหาชาวบ้านจะแสวงหาประโยชน์อะไรจากชาวบ้านหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้ นายทรงสิทธิ์เสริมว่า ยุครัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอดีตนายกทักษิณ มีโครงการต่าง ๆ มากมายทั้งจากรัฐและเอกชน แต่รัฐเข้ามาเอาเงินมาทิ้งให้แล้วจากไป เช่นเคยเข้ามาสนับสนุนโครงการเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนแต่เมื่อชาวบ้านปรับปรุงพัฒนามีการอบรมผู้ประกอบการบริการท่องเที่ยว แต่จากนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทางรัฐก็ไม่เข้ามาดูแลเช่นกัน จึงเหมือนนำเงินมาทิ้งเสียเปล่า

ส่วนเอกชนที่ชุมชนเคยเคยเจอ ก็เข้ามาในลักษณะหวังแต่กำไรไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตชาวบ้าน เช่นต้องการให้ชาวบ้านผลิตสินค้าให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการวันละ 100 ชิ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการตลาด แต่ชาวบ้านมีข้อกำจัดผลิตได้เพียงวันละ 30 ชิ้น วิธีการทำงานของเอกชนแตกต่างกับชาวบ้าน ขณะที่เอกชนหรือบริษัทคำนึงกำไรขาดทุนและเรื่องความเร็วเป็นหลัก แต่ชาวบ้านไม่เร่งรีบและมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปอะลุ่มอล่วย เมื่อต้องทำงานร่วมกันจึงเกิดปัญหาในท้ายที่สุดต้องพับเก็บโครงการ วัฏจักรเช่นนี้เป็นมานับสิบปี ทำให้ชาวบ้านขยาดกับโครงการของรัฐและเอกชน

ธุรกิจเอกชนได้ ‘สิทธิ์ประโยชน์’ อะไรบ้าง ?

ขณะที่ชุมชนยังมองไม่เห็นทางสว่างว่าประชารัฐจะไปทางไหน และจะช่วยให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ตัวโครงการ“วิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ” แต่ละจังหวัดรวมถึงส่วนกลางเอง ก็ได้สิทธิ์ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพกล่าวกับ TCIJ ว่า ‘วิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ จะอยู่ภายใต้ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกำลังพิจารณา โดยกำหนดไว้ว่า ‘วิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ’ ต้องไม่เอากำไรเข้ากระเป๋า ได้กำไรเท่าไหร่เอาไปต่อยอดทำกิจกรรมให้ชุมชนเพิ่ม

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 15 มี.ค. 2559 กำหนดให้ วิสาหกิจเพื่อสังคมต้องคืนกำไรไม่ต่ำกว่า 70% กลับไปลงในกิจการหรือใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม วิสาหกิจเพื่อสังคมใดคืนกำไรทั้งหมด 100% กลับไปลงทุนต่อ (ไม่มีการปันผล) วิสาหกิจชุมชนนั้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

ถ้ามีการปันผล สามารถทำได้แต่ไม่เกิน 30% และวิสาหกิจชุมชนนั้นจะต้องจ่ายภาษีเงินได้ บริษัทหรือนิติบุคคลใด ๆ ที่ถือหุ้นหรือบริจาคเงิน สิ่งของ หรือทรัพย์สินให้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถนำค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไปลดหย่อนภาษีได้ นอกจากสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีที่เป็นตัวเงินแล้ว บริษัทที่เข้ามาช่วยเหลือวิสาหกิจเพื่อสังคมยังได้หน้าได้ภาพลักษณ์อีกด้วย

จากคำบอกเล่าของ น.พ.พลเดช บริษัทต่าง ๆ ต้องมีการทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR อยู่แล้วเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทเอง แต่แทนที่จะเอาเม็ดเงินใส่กิจกรรม CSR ก็นำมาลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐ

นั่นหมายถึงเอกชนสามารถเข้าถึงชุมชนและกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เป็นโอกาสในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจพันธมิตรหรือธุรกิจของตนเอง 

เอกชนเข้าร่วมบริษัทประชารัฐฯ ได้ลดหย่อนภาษี

จากมติ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2559 ที่ผ่านมา เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม และร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่…) พ.ศ… ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิของวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) รวมถึงให้สิทธิประโยชน์กับบริษัทที่ไปลงทุนตั้งกิจการเพื่อสังคม หรือไปถือหุ้นในกิจการเพื่อสังคม ให้สามารถนำเงินลงทุนดังกล่าว ไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลปีนั้น ในสัดส่วน     100 % ของเงินที่ได้ลงทุนไป ส่วนกิจการที่บริจาคเงินให้เปล่าแก่กิจการเพื่อสังคม ให้สามารถนำเงินบริจาคนั้นไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ในสัดส่วน 100 % ของเงินที่บริจาคเช่นกัน

นอกจากนี้แหล่งข่าวใกล้ชิดบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ยกตัวอย่างว่า เช่นการให้ความรู้แก่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ชุมชนหรือการให้คำปรึกษาด้าวนวัตกรรมทางบริษัท ไทยเบฟ อาจจะเชิญบริษัทพันธมิตรมาช่วยเสริม หรือแม้แต่การหาตลาดให้สินค้าชุมชน ตลาดดังกล่าวอาจเป็น บริษัทพันธมิตรก็เป็นได้ 

ในเมื่อมองเห็นได้ชัดเจนว่า ช่องทางการรับผลประโยชน์ของเอกชนและเครือข่ายคณะทำงาน มีมากกว่าประโยชน์ของชาวบ้าน รัฐบาลจะมั่นใจได้อย่างไรว่า รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมประชารัฐจะสามารถทำให้ชาวบ้านรากหญ้ามีรายได้เพิ่มและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ ‘ซ้ำรอยเดิม’ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเศรษฐกิจฐานรากจะเข้มแข็งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศมั่นคง

หลักการ ‘ระเบิดจากข้างใน’ ของรัฐบาล คสช. จะเป็นการระเบิดในเชิงเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น หรือเป็นระเบิดจากความคับข้องใจที่สะสมมายาวนาน ?  เพราะชาวบ้านและชุมชนก็ยังคงถูกมองเห็นเป็น’ผู้ถูกพัฒนา’ในกระดานโครงการประชารัฐ นี้อยู่ดี 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'พีเน็ต' ชี้เสรีภาพมีส่วนร่วม-แสดงความเห็นประชามติ ต่ำกว่าปี 50

0
0
มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-NET) ระบุพร้อมสังเกตการณ์ประชามติ ตั้งข้อสังเกต เสรีภาพในการมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นต่ำ เมื่อเทียบกับปี 2550 ขณะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการจัดการของ กกต. เช่น แจกจ่ายร่าง รธน.ทั่วถึงหรือไม่  ครู ก ข ค ทำงานอย่างไร มีประสิทธิภาพหรือไม่ ชี้นำอย่างไร


22 ก.ค. 2559 มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-NET) เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ระบุว่า มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-NET) ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในหลายจังหวัดทั่วประเทศพร้อมทำการสังเกตการณ์การออกเสียงประชามติในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นกลางที่ทำการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกตั้งและการลงประชามติในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี โดยหวังว่าการสังเกตการณ์การออกเสียงประชามติในครั้งนี้จะสามารถสะท้อนภาพการมาใช้สิทธิออกเสียงลงประชามติของผู้มีสิทธิว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน  พร้อมทั้งประเมินประสิทธิภาพในการจัดการการออกเสียงประชามติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นอย่างไร

โดยการสังเกตการณ์ในครั้งนี้มูลนิธิองค์กรกลางฯได้พัฒนาระบบออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือมาใช้ในการสังเกตการณ์เพื่อใช้ในการรายงานผลการสังเกตการณ์แบบเรียลไทม์ในช่วงเวลาต่างๆ โดยมีประเด็นให้อาสาสมัครร่วมสังเกตการณ์รายงานข้อมูลจำนวน 66 ประเด็น โดยแบ่งเป็น 3 ห้วงเวลา คือ 2 สัปดาห์ก่อนวันออกเสียงประชามติ วันออกเสียงประชามติ และสิ้นสุดการออกเสียง

องค์กรกลางและเครือข่ายภาคประชาชนในหลายจังหวัดได้มีติดตามกระบวนการออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 และได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลบรรยากาศของการออกเสียงประชามติในพื้นที่ พร้อมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ปัจจุบันองค์กรกลางมีผู้ประสานงานถาวรประจำภาคจำนวน 9 คน แบ่งเป็น 9 ภูมิภาคในการดำเนินงานร่วมกับผู้ประสานงานถาวรประจำจังหวัดอีกจังหวัดละ 1 คน พร้อมผู้ประสานถาวรระดับอำเภออีกอย่างน้อย 2 คนในการดำเนินงานในด้านการสังเกตการณ์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมือง โดยมูลนิธิองค์กรกลางฯได้มีการนำแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายภาคประชาชนในการตรวจสอบการเลือกตั้งที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลในการทำงาน

สำหรับบรรยากาศการออกเสียงประชามติในช่วงนี้ องค์กรกลางฯและเครือข่ายมีข้อห่วงใยหลายประการ ที่สะท้อนจากศูนย์ติดตามการลงประชามติทั้งจากส่วนกลาง จากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และจากการได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานทางการทูตในหลายประเทศ มีข้อสังเกตดังนี้

ประการที่ 1 เสรีภาพในการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ อยู่ในระดับต่ำ หากเทียบกับการออกเสียงประชามติในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งนี่อาจเป็นการสะท้อนภาพจากเครือข่ายของภาคประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ที่ยังมีความกังวลถึงกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน ถึงแม้จะมีความพยายามในการทำความเข้าใจกับประชาชนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งในบางพื้นที่ภาคประชาชนไม่อยากเข้ามาร่วมสังเกตการณ์กับมูลนิธิองค์กรกลางฯเนื่องจากกังวลในข้อกฎหมายต่างๆ ถึงแม้ว่ากระบวนการตรวจสอบหรือสังเกตการณ์เป็นสิทธิของประชาชนในการดำเนินงานภาคประชาชน อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กกต. ก็มีการจัดทำแอปพลิเคชันตาสับปะรดให้ประชาชนได้ใช้งาน

ประการที่ 2 การจัดการออกเสียงประชามติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในด้านต่างๆ เช่นการแจกจ่ายร่างรัฐธรรมนูญ การประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการของการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการสร้างการรับรู้ความเข้าใจของประชาชนในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงท้าย ที่ในปัจจุบันมีเสียงสะท้อนการจัดการการออกเสียงจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องผ่านสื่อมวลชนที่มีข้อกังวลในหลายประเด็น เช่น การแจกจ่ายร่างรัฐธรรมนูญทั่วถึงหรือไม่ หรือการทำงานของครู ก ข ค เป็นอย่างไรมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีการชี้นำอย่างไร โดยทาง องค์กรกลางจะทำรายงานอย่างเป็นทางการมีหลักวิชาการโดยประมวลผลการจากสังเกตการณ์ของอาสาสมัครหลังจากวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เป็น 2 รายงาน คือหนึ่งรายงานฉบับเบื้องต้นในวันที่ 9 สิงหาคม 2559 และรายงานฉบับสมบูรณ์ในวันที่ 7 กันยายน 2559 ต่อไป

ในการสังเกตการณ์ในครั้งนี้ มีประเด็นชี้วัดภาพรวมในการออกเสียงประชามติจำนวน 66 ประเด็น เพื่อสะท้อนคุณภาพของผู้ที่ใช้สิทธิออกเสียง บรรยากาศ ประสิทธิภาพของการจัดการ และการทำผิดกฎหมาย โดยประเด็นการสังเกตการณ์นั้นทางมูลนิธิองค์กรกลางฯ ได้จัดทำขึ้นจากการศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด โดยแบ่งเป็นหัวข้อในการสังเกตการณ์ดังนี้ ขั้นตอนการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชนรับรู้ มีความเข้าใจเรื่องเนื้อหาหรือไม่ กระบวนการจัดการเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ การกระทำที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ สภาพทั่วไปของหน่วยออกเสียงก่อนเวลาออกเสียง การใช้สิทธิออกเสียง และ กระบวนการนับคะแนน โดยในครั้งนี้มีภาคประชาสังคม หน่วยงาน สถานบันการศึกษา ประชาชน และนักศึกษา ใน 20 จังหวัดเป็นอย่างน้อยในการเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งทำงานแบบจิตอาสาไม่มีค่าตอบแทนในรูปแบบตัวเงินแต่อย่างใด

ในการจัดการการสังเกตการณ์ในครั้งนี้ องค์กรกลางได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเป็นการพัฒนาร่วมกับองค์กรภาคเอกชนที่มีประสบการณ์มาพัฒนาระบบสังเกตการณ์ที่สามารถประมวลผลแบบเรียลไทม์ จากการรายงานข้อมูลของอาสาสมัครจากทั่วประเทศผ่านโทรศัพท์มือถือ และเป็นระบบปิด อาสาสมัครที่จะมาร่วมสังเกตการณ์ในแต่ละพื้นที่ต้องใส่รหัสผ่าน ที่ได้รับจากผู้ประสานงานถาวรประจำจังหวัด หลังจากที่ได้รับการอบรมและศึกษาคู่มือ และเข้าใจบทบาท หน้าที่ของอาสาสมัคร (Code of conduct) สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในครั้งนี้ก็สามารถเข้าร่วมได้ โดยติตต่อมาที่ทางมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (PNET) โทรศัพท์เคลื่อนที่เบอร์ 091 734 4125 ทางอีเมล info@pnetforum.org ซึ่งจะมีการส่งแบบฟอร์มอาสาสมัครให้กรอกเพื่อทำการสมัคร

มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (PNET) ระบุด้วยว่า หวังว่าการร่วมสังเกตการณ์ขององค์กรและภาคประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งที่เป็นผู้ประสานถาวรในระดับต่างๆ และอาสาสมัครสังเกตการณ์นั้น จะเป็นเครื่องสะท้อนการดำเนินการจัดการออกเสียงประชามติในภาพรวม ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ในฐานะองค์กรภาคประชาชนที่ทำหน้าที่นี้มาอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นกลาง ไม่เลือกฝ่าย มีใจอาสา และ ใฝ่หาคุณธรรม
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.กำแพงเพชร แจ้งความ 2 เด็กป.2 ฉีกบัญชีรายชื่อประชามติ

0
0

22 ก.ค. 2559 จากกรณีมีมือมืดฉีกบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หน่วยที่ 5 โรงเรียนวชิรสารศึกษา หมู่ที่ 5 บ้านเหนือ ต.สลกบาตร อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร เมื่อวันนี้ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าเกิดจากความซุกซนของเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวชิรสารศึกษา 2 คน อายุเพียง 8 ขวบไปวิ่งเล่นกันที่บริเวณกระดานติดรายชื่อดังกล่าว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

วานนี้ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา Nation TVรายงานว่า สุรพงษ์ ธนสังข์นุชิต ผู้อำนวยการ กกต.จังหวัดกำแพงเพชร  เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.ขาณุวรลักษบุรี เพื่อดำเนินคดีกับเด็กหญิงทั้ง 2 คน ที่ก่อเหตุฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติดังกล่าว โดยยืนยันว่า ถึงแม้เด็กทั้ง 2 คนจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่กฏหมายอาญามาตรา 157 ได้ระบุโทษจำคุกและปรับเจ้าหน้าที่ ที่ละเว้นการปฏบัติหน้าที่เอาไว้ ส่วนจะสั่งฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับตำรวจ และอัยการ

ด้าน พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร  บอกว่า ผู้ก่อเหตุอาจกระทำไปโดยไม่มีเจตนา และทั้ง 2 คนมีอายุไม่ถึง 10 ปี ตามกฎหมายจึงยกเว้นโทษ เบื้องต้นได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลต่อแล้ว

พล.ต.ตรี ดำรงค์ ย้ำด้วยว่า ผู้กำกับ สภ.ขาณุวรลักษบุรี พ.ต.อ.อิทธิ ชำนาญหมอ ที่ถูกสั่งย้ายเมื่อวานนี้ มีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ เพราะไม่รายงานเหตุฉีกบัตรรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงประชามติ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับทราบ ก่อนที่ตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร จะส่งชุดสืบสวนลงตรวจสอบจนได้ตัวผู้ก่อเหตุ

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

DSI เผยสหรัฐฯ จับ 'เณรคำ' ไว้แล้ว กำลังประสานความร่วมมือ

0
0

22 ก.ค.2559 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ทางสหรัฐอเมริกาว่า ได้จับตัว วิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด, กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ของทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งในเร็วๆ นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหรัฐฯ ประกาศโครงการริเริ่มให้คนรายได้ต่ำ-ปานกลางเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น

0
0

สหรัฐอเมริกาประกาศโครงการมุ่งเอื้อคนรายได้ต่ำ-ปานกลางสามารถเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น และจะได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่ลดลงและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ซึ่งองค์กรสิ่งแวดล้อมมองว่าเป็นการ win-win ได้ประโยชน์ทั้งประชาชนและสิ่งแวดล้อม

แฟ้มภาพประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา และรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชมแผงโซลาร์เซลของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติที่เดนเวอร์ มลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2552 (ที่มา: The White House/Wikipedia)

22 ก.ค. 2559 รัฐบาลบารัก โอบามา ของสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (19 ก.ค.) โดยการจัดตั้งโครงการริเริ่มกองทุนพลังงานสะอาดเพื่อชาวอเมริกัน (Clean Energy Savings for All Americans Initiative) ซึ่งมีกลุ่มสิ่งแวดล้อมกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นชัยชนะของทั้งประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ราเชล คลีตัส นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำและผู้จัดการนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศจากสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์ผ้ห่วงใยปัญหากล่าวว่าโครงการในครั้งนี้มีเป้าหมายที่น่าสนใจอย่างการนำพลังงานแสงอาทิตย์ 1 กิกะวัตต์ให้ครอบครัวคนรายได้ตำและรายได้ปานกลางสามารถเข้าถึงได้ภายในปี 2563 และเป็นก้าวสำคัญในการช่วยให้ผู้คนได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ถ้วนทั่ว

ฟิลิป เฮนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของสภาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติระบุว่าข้อเสนอในโครงการดังกล่าวมีส่วนที่น่าสนใจดังนี้คือ โครงการริเริ่มพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้ผู้ที่ซื้อหรือกู้ยืมเพื่อการจำนองบ้านที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการเคหะแห่งชาติ (Federal Housing Administration) และกรมกิจการทหารผ่านศึก สามารถกู้ยืมเงินเพื่อแต่งเติมบ้านใหม่ได้รวมถึงการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย

ส่งที่น่าสนใจประการต่อมาคือการที่หลายชุมชนจะได้รับการช่วยเหลือในโครงการริเริ่มพลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนทำให้ครอบครัวผู้อยู่อาศัยและผู้เช่าอาศัยในชุมชนร่วมใช้งานโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้โดยไม่ต้องลงทุนติดตั้งแผงพลังงานเองที่บ้าน และรัฐต่างๆ จะมีความคล่องตัวในการใช้เงินทุนจากโครงการช่วยเหลือด้านพลังงานแก่บ้านที่มีรายได้ต่ำหรือ LIHEAP เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำสามารถซ่อมบำรุงบ้านและอพาร์ทเมนต์ในทางที่จะป้องกันไม่ให้ค่าสาธารณูปโภคสูง แทนการใช้เงินทุนแบบดั้งเดิมที่ช่วยจ่ายค่าสาธารณูปโภคให้ครอบครัวชาวอเมริกันส่วนหนึ่งเท่านั้น

คลีตัสกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อชาวอเมริกันและต่อสิ่งแวดล้อมในแง่ที่เสริมประสิทธิภาพให้กับพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมกับช่วยประชาชนประหยัดเงินไปด้วย รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนการทำให้เกิดผลดีต่อการสาธารณสุข การขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดแก่ผู้มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจึงถือเป็นสิ่งที่ฉลาดในทางเศรษฐกิจ แโลกร้อน, พลังงานสะอาด, พลังงานหมุนเวียน, พลังงานแสงอาทิตย์, โครงการริเริ่มกองทุนพลังงานสะอาดเพื่อชาวอเมริกัน, สหรัฐอเมริกาละถ้าหากมีการดำเนินการไปในทางที่ดีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานครั้งนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการสร้างงานและสร้างดอกาสทางธุรกิจใหม่ๆมากขึ้น่อชุมชนที่เคยเสียเปรียบมาตลอด

จิลลื เทาเบอร์ ทนายผู้จัดการรณรงค์พลังงานสะอาดจากองค์กรเอิร์ธจัสติสกล่าวว่าการลดเพดานเพื่อให้คนติดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ได้นั้นทำให้คนสามารถเข้าถึงพลังงานได้และนโยบายอื่นๆ ที่ช่วยให้คนลดค่าไฟต่างก็เป้นประโยชน์ทั้งต่อประชาชนและสภาพภูมิอากาศ

อย่างไรก็ตามประะานาธิบดีโอบามาก็ยังอยู่ภายใต้การกดดันของประชาคมสิ่งแวดล้อมที่เรียกร้องว่าโครงการเพื่อลดโลกร้อนของโอบามาจะเป็นจริงได้ในอนาคตก็ต้งหยุดโครงการพลังงานเชื้อเพลิงจากถ่านหินเท่านั้น

มีข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์ต่างๆ รวมถึงองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) ระบุว่าโลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และในบางแห่งของสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "โดมความร้อน" ในช่วงสัปดาห์นี้ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่คลื่นความร้อนบวกกับความชิ้นสูงทำให้สภาพความกดอากาศสุงเก็บกักคลื่นความร้อนไว้ ซึ่งคลีตัสระบุว่าถ้าหากแต่ละครัวเรือนสามารถปรับสภาพสิ่งก่อสร้างหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลดการใช้พลังงานอื่นๆ ได้ ก็จะทำให้โลกได้รับผลกระทบน้อยลงจากปัญหาสภาพอากาศเลวร้าย

เรียบเรียงจาก

In 'Win-Win for People and Climate,' Obama Announces Solar-Boosting Initiative, CommonDreams, 20-07-2016 http://www.commondreams.org/news/2016/07/20/win-win-people-and-climate-obama-announces-solar-boosting-initiative

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

DSI สรุปเบนซ์ 'สมเด็จช่วง' ผิดกฎหมายจ่ายภาษีไม่ครบ

0
0

21 ก.ค.2559 เมื่อเวลา 11.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีการแถลงผลตรวจสอบรถเบนซ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี DSI ระบุว่า พบพยานหลักฐานชัดเจนว่าการได้มาของรถดังกล่าวมีการกระทำผิดกฏหมาย  ตั้งแต่การนำเข้าเครื่องยนต์ผิดกฏหมาย  ใช้เอกสารปลอม  แจ้งเท็จในการขอจดทะเบียน   โดยมีการปลอมลายมือชื่อ  แสดงมูลค่ารถยนต์เสียภาษีไม่ครบถ้วน  ตั้งแต่ ขอชำระภาษีสรรพสามิต ราคา 570,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงที่รถมีการซื้อขายกันที่ราคา 4 ล้านบาท  จึงเป็นการจ่ายภาษีไม่ครบถ้วน

นอกจากนี้ยังพบการกระทำผิดในขั้นตอนขอจดทะเบียนที่แจ้งว่าซื้อขายรถกันที่ราคา 1 ล้านบาท ทั้งที่ราคาจริง 4 ล้านบาท ทำให้รัฐได้อากรไม่ครบ ถ้วน ส่วนกลุ่มผู้ครอบครองรถ  พบการกระทำผิดเกี่ยวกับการครอบครองรถที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ซึ่งผู้ครอบครองมีการร่วมกันครอบครอง ต่อเนื่อง ตั้งแต่การประกอบรถยนต์ เสร็จสิ้นจนถึงปัจจุบัน  โดยพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ครอบครองย่อมรู้ว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่ได้มาโดยไม่ชอบตามกฎหมาย จึงเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันครอบครอง ซึ่งสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน ผิด พ.ร.บ.สรรพสามิต 2527 มาตรา 161 (1) และกฏหมายอาญามาตรา 83 มีโทษปรับ 2-10 เท่าของค่าภาษีที่ต้องเสียต่อกรมสรรพสามิต และข้อหาที่ 2  ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสารราชการและแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่  ผิดกฏหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา267 ประกอบมาตรา 83  มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ซึ่ง DSI จะร่วมกับกรมสรรพสามิตดำเนินการแจ้งข้อหาต่อไป

 

นอกจากนี้ อธิบดี DSI ได้แถลงผลตรวจสอบรถยนต์ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม พบเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีตั้งแต่ต้น โดยรถทะเบียน กก 1177 ของหลวงพี่น้ำฝน  มีการจดทะเบียนรถทั้งคันยี่ห้อ  PANTHER  ที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นซื้อขายต่อกันโดยคนไทยในสหรัฐ  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำแล้ว และเมื่อหลวงพี่น้ำฝนมีการซื้อขายรถดังกล่าว  ได้ถอดแยกชิ้นส่วน นำเข้ามาประกอบใหม่เป็นคันเดิม แต่แจ้งเป็นยี่ห้อจากัวร์ แทน จึงมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร  ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 6 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเรียกเก็บอากรในส่วนที่ขาด จากกรมศุลกากร เมื่อได้รับผลแล้วจะได้ดำเนินการเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหาต่อไป

สำหรับรถหลวงพี่น้ำฝน นั้น ความผิดตั้งแต่การจงใจเลี่ยงภาษีมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ส่วนผู้ครอบครองมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

สุวพันธุ์ ปัดตอบปมดีเอสไอ-สมเด็จช่วง

ขณะที่ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณี DSI แจ้งข้อข่าวหาสมเด็จช่วง เลี่ยงภาษีกรณีครอบครองรถหรูว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียด จึงไม่สามารถพูดได้ จึงต้องขอดูรายละเอียดก่อน

ต่อกรณีคำถามว่าการถูกแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวจะนำไปประกอบการพิจารณาก่อนเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ต่อนายกรัฐมนตรีหรือไม่  สุวพันธุ์ กล่าวว่า “ผมขอเรียนว่าขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดอะไรทั้งหมด จึงไม่สามารถตอบอะไรได้สมบูรณ์ ต้องเห็นรายละเอียดก่อนแล้วจะมีคำตอบให้” ถามย้ำว่า การที่บุคคลถูกแจ้งข้อกล่าวจะต้องสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้จบกฎหมายก็ไม่รู้จะตอบยังไง แล้วพระธัมชชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ขาดจากความเป็นพระไหม ไม่รู้จะถามทำไม ก็ถามอย่างนี้นายกฯถึงโกรธ”

 

ที่มา : สำนักข่าวไทยและโพสต์ทูเดย์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการทหารฟ้องคู่ ‘แม่จ่านิว-บุรินทร์’ คดี 112

0
0

อัยการทหารสั่งฟ้อง บุรินทร์ จำเลยที่ 1 ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ และแม่จ่านิว จำเลยที่ 2 แม้ก่อนหน้านี้ ผบ.ตร.จะทำความเห็นไม่ฟ้องแม่จ่านิวก็ตาม ทนายเผยตำรวจแจ้งแม่จ่านิวกะทันหันเลื่อนนัดส่งตัวให้อัยการเป็น 1 ส.ค. 10.30 น. 


แฟ้มภาพ (ภาพจากเพจ Banrasdr)

22 ก.ค.2559 ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ซึ่งเป็นวันครบฝากขังผัดที่ 7 ของนายบุรินทร์ อินติน อัยการทหารจึงมีคำสั่งฟ้อง บุรินทร์ อินติน จำเลยที่ 1 และ น.ส.พัฒน์นรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแม่ของสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในข้อหาควาผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาและตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องพัฒน์นรีหรือแม่จ่านิวในคดีนี้

ภาวิณี กล่าวด้วยว่า ตำรวจเพิ่งโทรแจ้งพัฒน์นรีเมื่อเช้านี้อย่างกะทันหัน  ทำให้เธอไม่สามารถมาศาลได้ แต่เนื่องจากทนายมาศาลทหารในคดีอื่นด้วยพอดี จึงได้ขอเลื่อนนัดส่งตัวจำเลยให้อัยการทหาร เป็นวันที่ 1 ส.ค.2559 เวลา 10.30 น.ที่ศาลทหาร สำหรับกรณีของพัฒน์นรี ส่วนกรณีของบุรินทร์นั้น ไม่มีการเบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำแต่อย่างใดและอัยการศาลทหารได้ยื่นฟ้องแล้วในวันนี้ กระบวนการถัดจากนี้ศาลทหารจะนัดสอบคำให้การอีกครั้งหนึ่งว่าจำเลยจะยอมรับสารภาพหรือจะปฏิเสธเพื่อต่อสู้คดี คาดว่าจะใช้เวลานานนับเดือน

“การนัดสอบคำให้การของศาลทหารหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับศาลเลย อาจเป็น 1 เดือน 2 เดือนหรือ 3 เดือน ที่ผ่านมาเคยเจอกรณีที่นัดห่างออกไปอีกหลายเดือน กระบวนการพิจารณาคดีของศาลทหารนั้นกว่าจะนัดหมายแต่ละนัดยาวนานกว่าศาลอาญา ทำให้ผู้ต้องหาที่ประกันตัวไม่ได้และอยู่ในเรือนจำไม่สามารถรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดกระบวนการต่อสู้เมื่อไร” ภาวิณีกล่าว

ภาพจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ คดีนี้เจ้าหน้าที่ทหาร ได้แก่ ร.ท.ชวิน ชยาวิวัฒนาวงศ์ ได้แจ้งความเอาผิด พัฒน์นรี ต่อพนักงานสอบสวน ปอท. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.59 โดยกล่าวหาว่า พัฒน์นรี ไม่ได้ห้ามปราม ตำหนิ หรือต่อว่าให้ บุรินทร์ อินติน ซึ่งได้ส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ให้หยุดการกระทำดังกล่าว จึงถือว่ามีส่วนร่วมกับนายบุรินทร์ในการโพสต์ข้อความ พนักงานสอบสวนจึงได้ออกหมายจับ และต่อมาศาลทหารกรุงเทพได้อนุญาตให้ประกันตัว พัฒน์นรี ด้วยหลักทรัพย์เงินสด 5 แสนบาท ขณะที่บุรินทร์นั้นถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.2559 จนปัจจุบัน ที่ผ่านมายื่นประกันแล้ว 5 ครั้งด้วยหลักทรัพย์เงินสด 5 แสนบาท แต่ศาลทหารไม่อนุญาตให้ประกันตัว

สำหรับ บุรินทร์ อินติน ได้ถูกจับกุมระหว่างทำกิจกรรม “ยืนเฉยๆ” ร่วมกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.59 ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ทหารบุกควบคุมตัวไปจาก สน.พญาไท และนำตัวไปควบคุมไว้ 1 คืน ก่อนนำตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 โดยคดีอยู่ในช่วงระหว่างการฝากขัง และยังไม่ได้รับประกันตัว (ดูเรื่องราวของบุรินทร์)

ภายหลังเกิดเหตุจับกุมและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม จากปอท. ได้เคยแถลงข่าวชี้แจง ยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสองมีการกระทำที่เข้าข่ายกระทำผิด ไม่ได้แค่พิมพ์คำว่า “จ้า” ตอบรับบทสนทนาเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่อาจให้รายละเอียดของคดีได้ ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ยืนยันว่าการจับกุมดังกล่าวเพราะกระทำความผิดจริง มีหลักฐานชัดเจน และไม่ได้จับกุมเพราะประเด็นการเมือง และประเด็นการทำประชามติ

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เป็นเพียงรับฟังเท่านั้น เผย 'ป๋าเปรม' รับฟัง คปป. ร้องปม ม.178 ในร่างรธน. แต่ไม่มีอำนาจ

0
0

หัวหน้า สนง.ประธานองคมนตรี เผย 'ป๋าเปรม' รับฟัง คปป. ร้องเรียนปม ม.178 ในร่างรธน. เท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจ ด้านหมอกมลพรรณ ชี้มาตราดังกล่าว สุ่มเสี่ยงเสียดินแดน-ทรัพยากร เสี่ยงโยกย้ายสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้น

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Kamolpan Cheewapansri'

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ (คปป.) นำโดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ผู้ประสานงานพร้อมคณะ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเรื่องและนำส่งสำนักงานประธานองคมนตรีต่อไป สำหรับเอกสารดังกล่าว ระบุว่า ต้องการสอบถามความเห็นในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ มีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างฯ มีเนื้อหาในตามมาตรา 178

โดยระบุว่าหนังสือสัญญาเกี่ยวกับดินแดนการให้สัมปทานทรัพยากร หรือหนังสือสัญญาต้องยื่นผ่านรัฐสภา ซึ่งต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน หากพิจารณาไม่เสร็จให้ถือว่ารัฐสภาเห็นชอบ ซึ่งการบัญญัติดังกล่าว สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนและทรัพยากรของแผ่นดิน อีกทั้งเสี่ยงต่อการโยกย้ายสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้นหรือไม่ 

ด้าน พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้ ก็จะส่งเรื่องมาที่สำนักงานฯ เพื่อส่งต่อให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ต่อไป แต่ในเบื้องต้นขอเรียนให้ทราบว่า เป็นการบริหารจัดการของฝ่ายบริหาร เราไม่น่าจะเกี่ยวข้อง พล.อ.เปรม ไม่ได้มีอำนาจตรงนั้น คงเป็นการรับฟังจากเอกสารเท่านั้น

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Kamolpan Cheewapansri'

สำหรับจดหมายของ คปป. ยังระบุว่า ม. 178 ตามร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ยังเสี่ยงต่อการโยกสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้น นอกจากนั้น ทีมรัฐมนตรีและผู้บริหารพลังงานเป็นกลุ่มเดิมซึ่งสนับสนุนการแบ่งปันผลผลิตให้กับเอกชนมากกว่า

“ในมาตรา 178 ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน ทางองมนตรีซึ่งเป็นผู้ถวายคำปรึกษา หรือถวายความเห็นต่อพระเจ้าอยู่หัวมีความเห็นอย่างไรต่อมาตรานี้ และจะมีการแก้ไขอย่างไร และ อยากทราบว่าองคมนตรีมีอำนาจเสนอปลดรายชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งคณะกรรมการร่าง รธน. ครม. ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ชาติได้หรือไม่ ทั้งนี้เครือข่ายมีความจำเป็นต้องมาร้องต่อท่าน เพราะไปทุกที่ก็ไม่ได้รับคำตอบ นอกจากนั้น การแสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวในการเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของชาติก็ถูกปิดกั้นด้วย พรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะ คำสั่งคสช เป็นต้น” เอกสาร ระบุ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปริงนิวส์สั่งยุติรายการ ’เผชิญหน้า’ ชั่วคราว พร้อมตั้งกก.สอบหลังนำเสนอตอนดราม่าเนติวิทย์

0
0

22 ก.ค.2559 สปริงนิวส์ ทำหนังสือแจ้งสำนักงาน กสทช. ว่าได้สั่งห้ามนำรายการเผชิญหน้า ตอน “ดราม่าเนติวิทย์ เด็กเกรียนหรือหัวก้าวหน้า ไม่หมอบกราบพิธีถวายสัตย์” เผยแพร่ย้อนหลังทางสื่อออนไลน์แล้ว พร้อมสั่งงดการดำเนินรายการเผชิญหน้าของ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ด้วย

วันนี้ (22 ก.ค.59) ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ได้รับหนังสือแจ้งจากสถานีโทรทัศน์สปริงส์นิวส์ว่า สถานีฯได้สั่งห้ามนำรายการเผชิญหน้า (Face Time) ตอน “ดราม่าเนติวิทย์ เด็กเกรียนหรือหัวก้าวหน้า ไม่หมอบกราบพิธีถวายสัตย์” ที่ได้ออกอากาศไปเมื่อวันพุธที่ 20 ก.ค. 2559 ระหว่างเวลา 20.25 – 20.55 น. ไปเผยแพร่ย้อนหลังทางสื่อออนไลน์โดยทันที และสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงพร้อมกับทบทวนแนวทางหาข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไขการผลิตรายการเผชิญหน้า และรายการอื่นๆ ของสถานีต่อไป ภายหลังจากพบว่าเนื้อหารายการดังกล่าวมีความไม่เหมาะสม และอาจขัดกฎหมายตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พร้อมกันนี้ทางสถานีฯได้สั่งงดการดำเนินรายการเผชิญหน้าโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ผลการสอบข้อเท็จจริง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50704 articles
Browse latest View live