Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

เดือนเด่น นิคมบริรักษ์: Fair Use Policy ในการใช้บริการ 3G

$
0
0

 

1. ความเป็นมา

ในช่วงปีที่ผ่านมา  กลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (รท.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แบบ 3G ว่า  ผู้ให้บริการจำกัดปริมาณข้อมูลที่สามารถดาวน์โหลดได้แม้ผู้ใช้บริการจะสมัครแพ็กเก็จแบบ “ไม่จำกัด (unlimited)” ก็ตาม  โดยการปลดผู้ใช้บริการออกจากระบบ 3G เมื่อมีการดาวน์โหลดข้อมูลในปริมาณเกินกว่าที่ผู้ประกอบการกำหนดไว้  ทำให้ผู้ใช้บริการต้องใช้ระบบ edge ซึ่งอัตราความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลต่ำกว่ามาก   

ผู้ให้บริการได้ชี้แจงว่า  การจำกัดปริมาณข้อมูลที่ผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดได้ในอัตราความเร็วสูงสุดที่โฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของ Fair Use Policy ซึ่งเป็นนโยบายการบริหารจัดการอุปสงค์ของการใช้โครงข่ายการสื่อสารเพื่อที่จะเกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ใช้บริการทุกราย  นโยบายดังกล่าวมีการใช้อย่างแพร่หลายในต่างประทศ  นอกจากนี้แล้ว  ผู้ประกอบการได้ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดดังกล่าวแก่ผู้บริโภคก่อนที่จะมีการสมัครจึงมิได้เป็นการโฆษณาที่หลอกลวง
  
เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการพัฒนาระบบโครงข่าย 3G ทั่วประเทศในระยะเวลาอันใกล้หลังจากที่มีการประมูลคลื่นความถี่ 3G แล้ว  เรื่องร้องเรียนดังกล่าวจึงควรที่จะได้รับการพิจารณาในรายละเอียดเพื่อที่จะสามารถกำหนดแนวทางหรือมาตรการที่จะป้องกันมิให้ปัญหาดังกล่าวแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต  ทั้งนี้ มาตรา มาตรา 52 มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ได้ให้อำนาจหน้าที่แก่ กสทช. ในการกำกับดูแลการให้ข้อมูลเงื่อนไขการให้บริการ และ การโฆษณาบริการโทรคมนาคมของผู้รับใบอนุญาต (มาตรา 52 ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีการเผยแพร่แบบสัญญาและการกำหนดเงื่อนไขในการให้บริการของตนเป็น การทั่วไปตาม วิธีการที่คณะกรรมการกำหนด และต้องแสดงไว้ในที่เปิดเผย เห็นได้ง่าย ณ ที่ทำการของผู้รับใบอนุญาตเพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบได้

มาตรา 53 ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตได้โฆษณายืนยันมาตรฐานคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมของตนไว้ ให้เป็น หน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้โฆษณาไว้นั้น   ถ้าผู้รับใบอนุญาตให้บริการ) จึงควรมีการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางในการกำกับดูแลของ กสทช. ในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับ Fair Use Policy

 

 

2. ข้อเท็จจริง

การศึกษาที่มาที่ไปของปัญหาดังกล่าว  พบว่า Fair Use Policy เป็นนโยบายในการบริหารจัดการอุปสงค์ในการใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในนานาประเทศจริง และผู้ประกอบการในประเทศก็ได้ระบุปริมาณข้อมูลที่ผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดได้ในอัตราความเร็วของ 3G ในแต่ละแพ็คเกจซึ่งมีราคาที่ต่างกันในการโฆษณาบริการอย่างชัดเจน  รวมทั้งมีเอกสารที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับความเร็วที่ผู้ใช้บริการสามารถใช้ได้จริงซึ่งอาจแตกต่างจากความเร็วสูงสุดที่โฆษณาไว้  เนื่องจากปัจจัยที่หลากหลาย เช่น เครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ ระยะห่างจากเสาสัญญาณ จำนวนผู้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ ฯลฯ การชี้แจงรายละเอียดดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสากล 

อย่างไรก็ดี การศึกษาพบว่า  Fair Use Policy ในต่างประเทศมีรูปแบบที่แตกต่างจากในประเทศไทย  กล่าวคือ แม้จะมีการจำกัดปริมาณข้อมูลที่สามารถดาวน์โหลดได้ในอัตราความเร็วสูงดังเช่นในประเทศไทย  หากแต่เมื่อผู้ใช้บริการดาวน์โหลดข้อมูลในปริมาณที่เกินเกณฑ์แล้ว  จะถูกจำกัดสิทธิในการใช้ระบบบรอดแบนด์ เฉพาะในส่วนของการใช้ที่มีการส่งข้อมูลปริมาณสูง เช่น  streaming video และ file-sharing และ มีการจำกัดการใช้ดังกล่าวเฉพาะในช่วงที่มีปริมาณการใช้สูงสุด (peak hours) เท่านั้น   ในขณะที่การใช้บริการทั่วไป เช่น web search และ อีเมล ยังสามารถใช้ระบบ 3G ต่อไปได้  การที่ประเทศไทยยังไม่มีรูปแบบ Fair Use Policy  ที่หลากหลายสะท้อนว่าการแข่งขันในตลาดยังมีจำกัดทำให้ผู้บริโภคไทยไม่มีทางเลือกดังเช่นผู้บริโภคในต่างประเทศ

Fair use policy ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาร้องเรียนของผู้บริโภคจำนวนมากในต่างประเทศ  ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

ประเด็นที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับ Fair use policy  (FUP)  คือ
1. มีการใช้คำว่า unlimited หรือ “ไม่จำกัด” ในการโฆษณาบริการบรอดแบนด์ที่มีข้อจำกัดของปริมาณข้อมูลที่สามารถดาวน์โหลดได้ในความเร็วที่โฆษณา  แม้ผู้ประกอบการจะได้ให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคแต่
  (1)  ตัวอักษรเล็กกว่าข้อความที่โฆษณาอัตราความเร็วสูงสุด และ คำว่า unlimited ทำให้ผู้บริโภคบางรายไม่ได้อ่าน
  (2) ไม่มีการระบุรายละเอียดดังกล่าวในการโฆษณา  หากแต่เป็นการให้ข้อมูลเมื่อผู้บริโภคได้เดินทางมาที่สถานที่ทำการของผู้ประกอบการเพื่อสมัครเป็นสมาชิกแล้วซึ่งสายเกินไป 

 

2. การโฆษณาโดยใช้ “อัตราความเร็วสูงสุด” (เช่น ในประเทศไทย คือ 42 mbps) เป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนแก่ผู้บริโภค  เนื่องจากในทางปฏิบัติ  อาจไม่มีผู้บริโภครายใดที่สามารถใช้บริการในอัตราความเร็วดังกล่าวได้เลยยกเว้นผู้บริโภครายนั้นจะใช้อินเทอร์เน็ตเวลาตีสามและนั่งอยู่ข้างเสาส่งสัญญาณ  การโฆษณาในลักษณะดังกล่าวนอกจากเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคแล้ว  ยังเป็นพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมอีกด้วย  เนื่องจากผู้ประกอบการที่โฆษณาอัตราความเร็วสูงสุดที่ต่ำกว่า  อาจมีอัตราความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลจริงโดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่าผู้ประกอบการที่โฆษณาว่ามีอัตราความเร็วสูงสุดที่สูงกว่า เช่น ในอังกฤษพบว่า ผู้ประกอบการที่โฆษณาความเร็วสูงสุด 10 mbps มีอัตราความเร็วเฉลี่ยที่ผู้บริโภคใช้ได้จริงที่ 9.6 mbps ในขณะที่ ผู้ประกอบการที่โฆษณาความเร็วสูงสุด 20-24 mbps มีอัตราความเร็วเฉลี่ยที่ผู้บริโภคใช้ได้จริงเพียง 5.4  mbps เท่านั้น

 

3. แนวทางในการแก้ไขปัญหา

  (1) สำหรับปัญหาการโฆษณาโดยใช้คำว่า unlimited หรือ “ไม่จำกัด”

เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้แพ็คเกจที่เหมาะสมกับปริมาณการใช้  ผู้ให้บริการต้องระบุข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณข้อมูลที่สามารถดาวน์โหลดได้ในอัตราความเร็วที่โฆษณาทุกครั้ง โดยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อจำกัดดังกล่าวจะต้องมีขนาดของตัวอักษรที่เท่ากับข้อความที่ระบุว่าเป็นการใช้บริการแบบ “ไม่จำกัด” หรือ ห้ามใช้คำว่า “ไม่จำกัด” สำหรับแพ็คเกจที่มี Fair Use โดยอาจกำหนดให้ใช้คำโฆษณาว่า “ 3G/3GB”  สำหรับบริการ 3G ที่จำกัดปริมาณข้อมูลที่ดาวน์โหลดได้ที่ 3 กิกะไบต์ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน แนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางที่หน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในอังกฤษ หรือ Ofcom เสนอแนะ

  (2) สำหรับปัญหาการโฆษณาอัตราความเร็วสูงสุด

เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับอัตราความเร็วของบริการ 3G ของผู้ประกอบการแต่ละรายที่แท้จริง  ควรมีข้อกำหนดดังนี้

  • หากมีการระบุความเร็วสูงสุดจะต้องระบุสัดส่วนจำนวนผู้ใช้บริการที่สามารถดาวน์โหลดบริการในอัตราความเร็วดังกล่าวได้จริงในทางปฏิบัติจากข้อมูลเชิงประจักษ์  เช่น ร้อยละ 1  อนึ่ง  ในประเทศที่หน่วยงานกำกับดูแลมีความเข้มแข็ง  ผู้ประกอบการจะต้องรายงานข้อมูลดังกล่าวให้แก่ผู้กำกับดูแลอยู่แล้ว  ในประเทศไทยยังไม่มีการรายงานข้อมูลดังกล่าว หรือ
  • เมื่อมีการโฆษณาอัตราความเร็วสูงสุดทุกครั้งต้องแสดงข้อมูลอัตราความเร็วที่ดาวน์โหลดได้จริง หรือ ที่เรียกว่า Typical Speed Range (TSR) ซึ่งหมายถึงช่วงความเร็วของอัตราความเร็วที่ผู้บริโภคร้อยละ 50 ที่อยู่ส่วนกลางของการกระจายตัว (inter-quartile) ของอัตราความเร็วที่สามารถดาวน์โหลดได้จริง เช่น 2 – 5 mbps เป็นต้น หรือ อาจใช้อัตราความเร็วเฉลี่ยหากต้องการความง่าย ในกรณีที่อัตราความเร็วที่ผู้บริโภคแต่ละรายสามารถดาวน์โหลดได้ไม่ต่างกันมากนัก และ
  • ต้องมีการระบุความเร็วเฉลี่ยที่สามารถใช้ได้จริงเมื่อผู้ใช้บริการถูกปลดออกจากระบบ 3G มิใช่ความเร็วสูงสุด  เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถประเมินและเปรียบเทียบคุณภาพของบริการของผู้ให้บริการแต่ละรายได้ทั้งภายใต้ระบบ 3G และระบบ edge

ที่ผ่านมา  มีข้อร้องเรียนจากทั้งภาควิชาการและกลุ่มผู้บริโภคให้มีการกำกับดูแลอัตราค่าบริการ 3G เพื่อชดเชยกับการประมูลคลื่นความถี่ที่มีข้อครหาว่าเป็น “มวยล้ม”  ที่ทำให้รัฐสูญเสียเงินนับหมื่นล้านบาท  ผู้เขียนเกรงว่า  การกำกับราคาที่ไร้กลไกในการควบคุมมาตรฐานของบริการดังที่ผ่านมาจะทำให้ผู้บริโภคไทยได้บริการที่ “ถูกแต่ช้า” ซึ่งอาจดีกว่าสภาพปัจจุบันที่ “แพงและช้า” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  กสทช. ควรแสดงให้สาธารณชนเห็นว่า  ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการเท่านั้น ผู้บริโภคก็อยู่ในสายตาของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งนี้ด้วย.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ต เป็นอันตรายกับวัยรุ่นหรือไม่?

$
0
0

เว็บไซต์ Mashable นำเสนอรายงานการวิจัยเรื่องการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ต หรือ Cyberbullying ที่บอกว่าการรังแกกันทางเน็ตไม่ได้แพร่หลายมากเท่าที่คิด แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังเตือนว่าเป็นอันตรายได้หากไม่มีการสอดส่องดูแล

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2012 - เว็บไซต์ Mashable ได้นำเสนอข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับกรณีการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตหรือ Cyberbully ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับพ่อแม่ของเด็กโต-วัยรุ่น โดยผลการสำรวจล่าสุดเปิดเผยว่าการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้มีมากเท่าที่คิด
 
จากผลการวิจัยระดับประเทศของสมาคมจิตวิทยาสหรัฐฯ 2 งานวิจัย เปิดเผยว่ามีเพียงร้อยละ 15 ของกลุ่มตัวอย่าง 5,000 คน ที่ถูกรังแกทางอินเตอร์เน็ต มิเชลล์ อิบาร์รา ผู้อำนวยการงานวิจัยของศูนย์วิจัยนวัตกรรมสาธารณสุขกล่าวว่า งานวิจัยในอดีตแสดงให้เห็นว่าระดับการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ร้อยละ 30-72 ซึ่งมากกว่าผลของงานวิจัยปัจจุบันมาก
 
จากกรณีที่โด่งดังกรณีหนึ่งคือกรณีของ ไทเลอร์ คลีเมนติ ที่ฆ่าตัวตายหลังจากเพื่อนร่วมห้องของเขาใช้เว็บแคมแอบถ่ายกิจกรรมรักร่วมเพศของเขาไว้ รวมถึงกรณีเด็กถูกรังแกทางอินเตอร์เน็ตรายอื่นๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อว่าลูกหลานของเขาถูกรังแกทางอินเตอร์เน็ต แต่อิบาาร์รากล่าวว่าการรังแกทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้แพร่หลายมากขนาดนั้น
 
"เพราะเราพบเห็นเรื่องราวที่ดูรุนแรงมาก" อิบาร์รากล่าว "มันถึงทำให้เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นทั่วไปหมด"
 
Mashable ตั้งคำถามว่า แต่พ่อแม่ผู้ปกครองควรโล่งใจและไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลยหรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ายังไม่ควรรีบโล่งใจในตอนนี้
 
 
Cyberbully คืออะไร?
 
ดร.โจเอล ฮาเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตกล่าวว่างานวิจัยเช่นของที่อิบาร์รานำเสนอออกมาไม่ได้สะท้อนอันตรายที่เด็กวัยรุ่นต้องเจอเวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ต
 
ฮาเบอร์บอกว่า การรังแกกันในโลกจริงคือการที่คนๆ หนึ่งใช้อำนาจข่มเหงต่อเหยื่อซ้ำๆ ส่วนในโลกออนไลน์นั้น อำนาจที่ว่าขึ้นอยู่กับว่าเด็กวัยรุ่นคนนั้นเป็นที่นิยมมากแค่ไหนในโลกดิจิตอล ยกตัวอย่างเช่นในเฟสบุ๊ค การที่คนๆ หนึ่งมีเพื่อนมากหมายความว่าพวกเขามีสถานะที่ดีกว่า
 
คนจำนวนมาก รวมถึงเหยื่อที่โดนรังแกเองคิดว่าการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตต้องเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งถึงจะเรียกว่าเป็นการข่มเหงรังแก แต่ในบางกรณีแล้วเมื่อมันเกิดขึ้นแค่เพียงครั้งเดียวก็มีผลต่ออีโก้และความการเห็นคุณค่าในตัวเองของคนๆ หนึ่งได้
 
และการเกิดกรณีดังกล่าวก็เกิดขึ้นหลายครั้งมากกว่าที่คิด อาจเป็นไปได้ว่าวัยรุ่นหรือพ่อแม่ไม่เห็นว่ามันเป็นภัยที่รุนแรงพอจะต้องแจ้งให้ทราบ ในการวิจัยชิ้นล่าสุด แม้จะมีการบอกว่ากรณีรายงานการข่มเหงทางอินเตอร์เน็ตหลายกรณีเป็นการรายงานเกินจริง แต่ก็พบว่ามีวัยรุ่นเกือบครึ่งหนึ่งรายงานว่าตนเป็นเหยื่อของการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
 
 
Cyberbully เกิดขึ้นอย่างไร?
 
การเติบโตของเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์ทำให้วัยรุ่นเชื่อมต่อกันได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเมื่อมีระบบโทรศัพท์มือถือรองรับให้พวกเขาอยู่ในโลกออนไลน์ได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่บ้าน
 
ขณะเดียวกันระบบเชื่อมต่อจากโทรศัพท์มือถือก็เป็นความฝันของเหล่าผู้ข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ต เมื่อคนใช้คอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านพวกเขาต้องปักหลักอยู่ที่จุดๆ เดียวในบ้าน ซึ่งพ่อแม่อาจสามารถมองเห็นพฤติกรรมการใช้ของเด็กได้
 
นี่หมายความว่า ไม่เพียงแค่พ่อแม่ของเด็กจะสามารถปกป้องเด็กๆ จากการถูกข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ต แต่พวกเขายังสามารถสอดส่องไม่ให้พวกเขากระทำไม่ดีต่อเด็กคนอื่นๆ ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อด้วยโทรศัพท์หมายความว่าวัยรุ่นจะอยู่ในโลกออนไลน์นานขึ้น และอยู่นอกสายตาผู้ใหญ่ และถ้าหากวัยรุ่นไม่พูดเรื่องนี้กับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่ได้คอยสอดส่องพฤติกรรมทางอินเตอร์เน็ตของพวกเขา บางครั้งผู้ข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตก็จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม และอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้หากยังไม่มีใครทำอะไรกับมัน
 
 
อย่างไรถึงจะเรียกว่า 'ล้ำเส้น'
 
วัยรุ่นเป็นวัยที่ชอบเยาะเย้ยถากถางกันเป็นปกติอยู่แล้ว มันอาจเริ่มจากการล้อเลียน ไปเป็นการก่อกวนและลามไปเป็นการข่มเหงกันทางอินเตอร์เน็ต ฮาเบอร์กล่าวว่าสิ่งที่พูดกันบนอินเตอร์เน็ตจะถูกตีความตามตัวอักษร เนื่องจากมันปราศจากน้ำเสียงและบริบท หมายความว่าแม้กระทั่งคำที่ดูไร้เดียงสาที่สุดอาจถูกมองว่าเป็นการข่มขู่สำหรับคนที่ไม่รู้ความได้
 
"มีเด็กจำนวนมากรายงานว่าเด็กคนอื่นกล่าวคำพูดที่เลวร้ายหรือทำให้เจ็บใจบนโลกออนไลน์ หรือให้พวกเขาออกจากกลุ่มออนไลน์บางกลุ่ม" ฮาเบอร์กล่าว "แต่เพราะว่ามันไม่มีบริบท พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือเปล่า"
 
การข่มเหงในโลกอินเตอร์เน็ตมีศูนย์กลางอยู่ที่อำนาจเช่นเดียวกับพวกชอบรังแกคนอื่นในชีวิตจริง บางครั้งการโดนต่อยสักหมัดหรือการทำให้ระบบล่มก็เพียงพอที่ทำให้คนชอบรังแกถอยห่างออกไป
 
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ตำรวจได้จับกุมตัววัยรุ่นชาวอังกฤษเพื่อตักเตือนเรื่องที่เขากล่าวรบกวนจิตใจนักดำน้ำผู้เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ทอม ดาเลย์ ก่อนจะปล่อยตัววัยรุ่นดังกล่าวไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ดาเลย์บอกว่าเขาจะคว้าเหรียญทองมาให้พ่อที่ป่วยเป็นมะเร็งเนื้องอกในสมอง แต่ก็พ่ายไป จากนั้นเด็กอายุ 17 ปี จึงพิมพ์ทวิตเตอร์ว่า "คุณทำให้พ่อคุณผิดหวัง หวังว่าคุณจะรู้ตัวนะ"
 
การอยู่ในโลกออนไลน์ทำให้คนบางคนรู้สึกว่าตนมีพลังอำนาจที่ปกติแล้วไม่มี และพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากมัน เมื่อคุณอยู่ในโลกออนไลน์โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ ไม่มีใครรู้ว่าคุณใหญ่แค่ไหน แข็งแกร่งแค่ไหน หรือว่าคุณอยู่ที่ไหน และการข่มเหงทางอินเตอร์เน็ตก็มีผลสะท้อนกลับน้อย อาจจะมีแค่การถูกไล่ออกจากเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์ และวัยรุ่นแต่ละคนก็รู้ดีว่าจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างโปรไฟล์ปลอม
 
นักจิตวิทยากล่าวว่าการการกล่าวโจมตีกันมีเพิ่มมากขึ้นเมื่อคนเราไม่เห็นหน้าของฝ่ายที่เรากล่าวโจมตี และความกล้าแบบหลอกๆ เช่นนี้ก็เพิ่มขึ้นเมือ่พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกจับได้
 
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การที่ในโลกออนไลน์ไม่มีอวัจนะภาษา เช่นภาษากาย และโทนเสียง จึงเป็นเรื่องง่ายที่สถานการณ์จะลุกลามบานปลาย เพราะหมายความว่าการที่คนเราไม่สามารถชกกันตัวต่อตัวได้ ทำให้ฝ่ายหนึ่งไม่มีปัญหาในการกล่าวว่าร้ายคนอื่นภายใต้การปกป้องโดยแฮ็ชแท็ก (เครื่องหมาย # ของทวิตเตอร์ที่ใช้ระบุประเด็นที่ต้องการกล่าวถึง)
 
 
แล้วเราจะตอบโต้ผู้ข่มเหงทางอินเตอร์เน็ตอย่างไร?
 
แม้ว่าวัยรุ่นจะไม่รู้ตัวว่าเขากำลังถูกรังแก แต่พวกเขาก็รู้เวลามีคนก่อกวนพวกเขา และกับคนที่รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองต่ำอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ ก็มีอยู่มากในกรณีของวัยรุ่น ก็ทำให้พวกที่ชอบรังแกคนอื่นทางอินเตอร์เน็ตทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยลงไปอีก บางครั้งก็ทำให้เกิดผลลัพธ์น่าเศร้าตามมา
 
และแม้ว่าจะมีรายงานว่าการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตลดลง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายรวมถึงการก่อกวนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่ชัดเท่าแต่ก็ยังอันตราย ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้วัยรุ่นต้องระวังให้ดีเวลาอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือ และให้มีผู้ติดต่อจำกัดอยู่แต่กับคนที่ปลอดภัยและพวกเขารู้จัก แล้วก็บล็อกคนอื่นให้หมด
 
การข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตก็เหมือนกับการรังแกกันในสนามเด็กเล่น คือมีการวางเป้าหมายรังแกเป็นคนที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าจะทำให้ตนมีอำนาจมากขึ้น และเมื่อวัยรุ่นพวกนั้นเริ่มบอกเรื่องถูกรังแกกับครอบครัว กับเฟสบุ๊ค และกูเกิ้ล หรือกระทั่งกับผู้นำในโรงเรียน พวกเขาก็มีโอกาสลดอำนาจของผู้รังแก
 
ถ้าเกิดอะไรแบบนี้มากขึ้นบ่อยๆ งานวิจัยในอนาคตก็จะรายงานให้ทราบความคืบหน้าล่าสุดว่าการข่มเหงรังแกทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้ระบาดมากเท่าที่คนคิด และพวกชอบรังแกคนอื่นจะเริ่มด้อยพลังลง
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลซีเรียประกาศหยุดยิงชั่วคราวช่วงวันอีด

$
0
0
หลังจากตัวแทนของยูเอ็นเข้าเจรจากับฝ่ายต่างๆ รวมถึงประเทศที่มีส่วนต่อเหตุขัดแย้งรุนแรงในซีเรีย ทางรัฐบาลซีเรียได้ประกาศสงบศึกชั่วคราวเนื่องในวันอีดิลอัฎฮา ซึ่งเป็นวันหยุดชาวมุสลิม มีผลวันที่ 26-29 ต.ค. นี้ แต่ก็บอกว่ายังพร้อมตอบโต้ฝ่ายกบฏหากมีการก่อเหตุ
 
25 ต.ค. 2012 - กองกำลังรัฐบาลของซีเรียแถลงว่าพวกเขาจะให้มีการยกเลิกปฏิบัติการทหารชั่วคราวเนื่องในวันอีดิลอัฎฮา ซึ่งเป็นวันหยุดของชาวมุสลิม โดยจะมีการหยุดยิงตั้งแต่ช่วงเช้าวันศุกร์ (26) ไปจนถึงวันจันทร์ (29)
 
อย่างไรก็ตามทางกองทัพก็ยังประกาศผ่านทางโทรทัศน์ช่องรัฐบาลว่าพวกเขามีสิทธิที่จะตอบโต้การโจมตีและการวางระเบิดของกลุ่มกบฏ
 
รัฐบาลซีเรียแถลงว่าพวกเขายังคงตอบโต้ "กลุ่มก่อการร้ายที่ซ่องสุมกำลังในจุดของตนโดยการติดอาวุธและเรียกกองกำลังเสริม" รวมถึงการสงสัยว่าจะมีการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลับลอบนำกลุ่มติดอาวุธข้ามพรมแดนมาในช่วงหยุดยิง
 
หลังจากการประกาศของรัฐบาลไม่นาน ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียก็กล่าวกับสำนักข่าวต่างประเทศว่านักรบฝ่ายตนก็ยอมรับมติสงบศึกชั่วคราว แต่ก็ยังเรีบกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษผู้ต่อต้านรัฐบาลในวันศุกร์นี้
 
มติสงบศึกชั่วคราวในครั้งนี้มาจากความพยายามของ ลัคห์ดาร์ บราฮิมี ผู้แทนพิเศษจากสหประชาชาติและสันนิบาตชาติอาหรับ ผู้ที่บอกว่าการหยุดยิง 4 วันจะนำมาซึ่งการสงบศึกในระยะยาวและมีการเจรจาระหว่างสองฝ่าย
 
รูลา อามิน นักข่าวอัลจาซีร่ารายงานจากเลบานอนกล่าวว่า "สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการหยุดยิงในครั้งนี้คือเรื่องของท่าที ท่าทีในทางบวกจากทั้งสองฝ่ายในเบื้องต้น ที่เป็นการแสดงความเชื่อมั่นต่อภารกิจของบราฮิมี"
 
บัง คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติรู้สึกยินดีกับการหยุดยิงที่เป็นไปตามแผน และบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลซีเรียและฝ่ายต่อต้านจะยังคงสงบศึกต่อไป
 
"พวกเราหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเสียงปืนอีก และความรุนแรงจะหยุดลงเพื่อให้คนทำงานด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือได้" โฆษกของบัง คี มูน กล่าว "โลกกำลังจับตาดูอยู่"
 
 
ความพยายามของยูเอ็น
 
เมื่อช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ลัคห์ดาร์ บราฮิมี ได้เดินทางไปมาหลายที่เพื่อหลักดันให้กลุ่มที่ต่อสู้กันและประเทศที่หนุนหลังกลุ่มเหล่านี้อยู่ยอมรับข้อตกลงสงบศึกชั่วคราว รวมถึงการเข้าพบและพูดคุยกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ในช่วงสุดสัปดาห์
 
"เมื่อบราฮิมีออกไปจากดามาสกัส เขาไม่ได้สร้างข้อตกลงใหญ่อะไรไว้ แต่ก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลริเริ่มการหยุดยิง เขาบอกว่ารัฐบาลควรเป็นคนเริ่มประกาศการหยุดยิงเองแล้วกองกำลังฝ่ายต่อต้านจะปฏิบัติตาม และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว" ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงาน
 
หน่วยงานผู้อพยพของยูเอ็นเปิดเผยว่าหากการหยุดยิงยังคงดำเนินต่อไป พวกเขาจะส่งความช่วยเหลือด่วนไปให้ชาวซีเรียหลายพันครอบครัวในเขตที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้
 
"ทั้งหมดประกอบด้วยเสบียง 550 ตัน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ 13,000 ครอบครัว และอีก 65,000 คน ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในเขตที่ไม่สามารถเข้าถึงได้" ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวในแถลงการณ์ โดยยูเอ็นประเมินว่ามีประชาชนราว 1,200,000 คน ต้องการความช่วยเหลือในซีเรีย
 
 
ยังคงมีรายงานความรุนแรงในซีเรี
 
แม้จะมีการกำหนดวันหยุดยิงชั่วคราวแล้ว แต่ก็ยังมีรายงานข่าวความรุนแรงในประเทศ
 
ในเมืองอเล็ปโป ผู้อาศัยในพื้นที่รายงานว่าฝ่ายกบฏได้เคลื่อนทัพจากเขตชาวเคิร์ดไปปะทะกับฝ่ายรัฐบาลรวมถึงมีการยิงปืนครกซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตราว 9 คนเป็นอย่างน้อย
 
ในเชตปกครองราคาทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ฝ่ายกบฏได้เข้ายึดฐานที่มั่นของทหาร สังหารทหารรัฐบาลได้ 3 คน และยึดอาวุธกับยุทโธปกรณ์รวมถึงรถถังได้
 
ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลก็ทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏในกรุงดามาสกัส มีกบฏ 3 คนถูกสังหารในการต่อสู้บนท้องถนนและประชาชนเสียชีวิต 3 คนจากการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ นอกจากนี้ในเขตคาดานและทาดามุนทางตอนใต้ของกรุงดามาสกัสก็มีเหตุวางระเบิดรถยนต์จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย รวมถึงมีการยิงปืนใหญ่ถล่มเมืองดารายาทางตอนใต้
 
ในเมืองฮอม มีประชาชนเป็นเด็กผู้หญิง 3 คนเสียชีวิตในขณะที่กองกำลังรัฐบาลบุกเข้าโจมตีเขตรัสทานและคาลดิเยห์ที่ฝ่ายกบฏครอบครองพื้นที่อยู่ รวมถึงมีประชาชน 2 รายเสียชีวิตช่วงที่มีการถล่มด้วยปืนใหญ่และการระดมยิงสไนเปอร์ในพื้นที่อื่นของเขตปกครองฮอม
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิกฤติศีลธรรมบีบีซี: เมื่อความเชื่อมั่นของสาธารณะสั่นคลอน

$
0
0

'จิม เซวิลล์' อดีตผู้ดำเนินรายการชื่อดังของบีบีซีผู้เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ได้สร้างความสั่นสะเทือนในสังคมอังกฤษ เมื่อพบหลักฐานเร็วๆ นี้ว่าเขาอาจล่วงละเมิดเด็กทางเพศกว่า 300 คนตลอดการทำงาน 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อบีบีซีที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี 


เซอร์ เจมส์ วิลสัน วินเซนท์ เซวิลล์ หรือ "จิม เซวิลล์"

"จิม เซวิลล์" เป็นที่รู้จักในฐานะนักจัดรายการวิทยุชื่อดังของสถานีข่าวบีบีซี เขาเป็นผู้ดำเนินรายการจัดชาร์ตเพลงอังกฤษ "Top of the Pops" คนแรกและคนสุดท้าย และยังทำรายการ "Jim'll Fix It" มาต่อเนื่องกว่า 40 ปี รายการดังกล่าวคล้ายกับรายการ "ฝันที่เป็นจริง" บ้านเรา คือ ให้เด็กๆ (และคนทั่วไป) เขียนขอพรมายังรายการ และ "ลุงจิม" ก็จะเดินทางไปทำคำขอดังกล่าวให้เป็นจริง 

จิม เซวิลล์ ผู้เสียชีวิตเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ยังได้รับมอบตำแหน่ง "ขุนนาง" จากกษัตริย์อังกฤษในปี 1990 จากการทำงานเพื่อมูลนิธิสำหรับเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ เขายังใกล้ชิดเป็นอย่างดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี มากาเร็ต เเธ็ตเชอร์ และเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์อีกด้วย 
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเสียชีวิตของเซวิลล์ต่อมา 1 ปี สก็อตแลนด์ยาร์ด องค์กรตำรวจของอังกฤษออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาได้เริ่มทำการสอบสวนกรณีล่วงละเมิดทางเพศเด็กของเซวิลล์ โดยมีผู้เสียหายแล้วอย่างน้อย 10 ราย และมีเบาะแสว่าเขาได้ทำเช่นเดียวกันกับเหยื่ออีกราว 300 คน ตลอดชีวิตการทำงาน 40 กว่าปีที่ผ่านมาของเขา โดยเหยื่ออายุน้อยที่สุดมีอายุเพียง 10 ขวบ เด็กที่ป่วยและพิการ ไปจนถึงผู้ชายที่แปลงเพศเป็นหญิง
 
มีรายงานว่า จิม เซวิลล์ ได้ใช้การเข้าถึงตัวเด็กๆ ผ่านทางรายการโทรทัศน์ มูลนิธิ การเข้าเยี่ยมผู้ป่วยเยาวชนในโรงพยาบาล เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ ผู้ที่เคยถูกเซวิลล์ล่วงเกิน เริ่มออกมาให้ปากคำถึงการกระทำของเขา อาทิ เควิน คุก ซึ่งอายุ 9 ขวบในปี 1976 และได้ไปออกรายการ Jim'll Fix It และถูกเซวิลล์ลวนลามในขณะที่อยู่ในห้องแต่งตัว หรือ นาง แคริน วาร์ด ซึ่งกล่าวว่าตนถูกเซวิลล์ล่วงละเมิดในขณะที่อยู่ในโรงเรียนหญิงล้วนในเมืองเซอร์เรย์เมื่อเธอยังเป็นเด็ก เช่นเดียวกับนายสตีเวน จอร์จ ซึ่งพักรักษาตัวจากการผ่าตัดแปลงเพศที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอังกฤษ กล่าวว่า ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นช่วงที่เซวิลล์เริ่มเข้าเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตนเองถูกเซวิลล์เข้ามาคุมคามทางเพศในห้องพัก เขาชี้ว่า เขาให้การกับตำรวจหลังออกจากโรงพยาบาล แต่ตำรวจกลับไม่เชื่อ และไม่ได้ลงบันทึกการฟ้องดังกล่าวไว้ 
 
สถานีข่าวบีบีซี ในฐานะที่เป็นต้นสังกัดจิม เซวิลล์ ถูกสาธารณชนตั้งคำถามทันทีถึงความรับผิดชอบและการมีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าวของเขา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (23 ต.ค.) ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานีบีบีซี จอร์จ เอ็นท์วิสเซิล ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงเดือนกว่าๆ ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาด้านวัฒนธรรม สื่อมวลชนและกีฬาของอังกฤษ ถึงแม้เขาจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตัดสินใจระงับการฉายรายการที่สืบสวนพฤติกรรมจิม เซวิลล์ ของบีบีซี แต่เขาก็ถูกกล่าวหาว่า "ขาดความสงสัยใคร่รู้อย่างน่าแปลกใจ" ต่อการสืบสวนพฤติกรรมเซวิลล์ของรายการ "นิวส์ไนท์" 
 
บีบีซี ได้เผชิญข้อครหาอย่างหนัก หลังจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี คู่แข่งของบีบีซี ได้เผยแพร่รายการสารคดีที่สืบสวน "ด้านมืด" ของจิม เซวิลล์ โดยได้สัมภาษณ์ผู้ที่เป็นเหยื่อต่อการละเมิดทางเพศของเซวิลล์หลายราย ในขณะที่ผู้สื่อข่าวของรายการ "นิวส์ไนท์" ของบีบีซี ซึ่งทำรายการตอนหนึ่งเจาะลึกพฤติกรรมของจิม เซวิลล์ ได้ออกมากล่าวว่า หัวหน้าบรรณาธิการของรายการถูกกดดันจากฝ่ายบริหารมิให้ออกอากาศตอนดังกล่าว เพราะอาจส่งผลสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของสถานีโทรทัศน์อันเป็นศูนย์กลางชีวิตของชาวอังกฤษ
 
อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ริพปอน บรรณาธิการ "นิวส์ไนท์" ได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ตัดสินใจไม่ออกอากาศรายการตอนดังกล่าว เป็นเพราะมีเนื้อหาที่ไม่รัดกุมและถูกต้อง แต่หลังจากนั้น "พาโนรามา"  รายการคู่แข่งของ นิวส์ไนท์ ที่สังกัดบีบีซีเช่นเดียวกัน ก็ได้ถ่ายทอดความขัดเแย้งภายในและความตึงเครียดของกองผลิต "นิวสไนท์" ในตอนดังกล่าวออกมา ทำให้ "บีบีซี" ในฐานะองค์กรข่าวที่ได้รับการอุดหนุนจากสาธารณะ และนับเป็นสื่อที่ประชาชนชาวอังกฤษยังรับชมถึงร้อยละ 70 ต้องถูกสั่นสะเทือนจากวิกฤติในครั้งนี้ จากทางศีลธรรม และความเชื่อถืออย่างหนัก
 
บีบีซีได้แก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว 2 คณะ เพื่อสอบสวนและค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น ในขณะที่ประชาชนชาวอังกฤษ ยังคงตั้งคำถามว่า เหตุใด บุคคลที่ได้รับความเคารพจากสาธารณะ ผู้ทุ่มเทตนเองแก่องค์กรการกุศลและเด็กๆ ที่เจ็บป่วย สามารถหลอกลวงสังคมได้อย่างแนบเนียนและยาวนาน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขันอันหาที่สิ้นสุดมิได้: Abraham Lincoln Vampire Hunter

มุสลิมใต้ฉลองรายอ รำลึกตากใบยันวันเชือดสัตว์พลีทาน

$
0
0

ชาวมุสลิมชายแดนใต้ร่วมพิธีละหมาดในวันอีดิ้ลอัฎฮา หรือวันฮารีรายอ พร้อมเพรียงทั่วโลก ให้อภัยต่อกัน เชือดสัตว์พลีทาน กลาโหมอนุมัติหยุด 5 วันรวด นักศึกษาใต้ร่วมลำลึกตากใบ ขณะเดียวกัน สนนท.แถลงให้รัฐยกเลิกกฎหมายพิเศษ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม


ฉลองรายอ – ชาวมุสลิมนับพันคนร่วมฟังเทศนาธรรมหลังละหมาดวันรายอ เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 26 ตุลาคม 2555
ที่สนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา (ภาพจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ : ศอ.บต.)

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 26 ตุลาคม 2555 ที่สนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา บรรดาพี่น้องชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ทั้งชายและหญิงกว่าพันคน เดินทางมาเพื่อร่วมพิธีละหมาด เนื่องในวันอีดิ้ลอัฏฮาหรือวันฮารีรายอ โดยมีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยนายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา มาร่วมงานและพบปะกับผู้นำศาสนา ตลอดจนแจกเงินให้แก่เด็กๆ

หลังการละหมาดมีการอ่านคุตบะห์หรือการเทศนาธรรม เสร็จละหมาดมุสลิมทุกคนจะมีการจับมือให้สลาม พร้อมกับการขออภัยซึ่งกันและกันในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นต่อกันในช่วงที่ผ่านมา หลังจากนั้น แต่ละคนต่างรีบไปร่วมกันเชือดสัตว์พลีทาน หรือกุรบาน สำหรับคนที่ตั้งใจไว้ ได้แก่ อูฐ วัว ควาย แพะหรือแกะ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ทั้งแก่ผู้ยากไร้ เพื่อนบ้านรวมทั้งเก็บไว้รับประทานเอง

บรรยากาศดังกล่าว เกิดขึ้นเช่นเดียวกับชุมชนมุสลิมทั้งหลายทั่วโลก รวมทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในพื้นที่สัตว์ที่ใช้เชือดเป็นสัตว์พลีทานส่วนใหญ่จะเป็นวัว ทั้งนี้ตลอดทั้งวันโดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังละหมาดทุกมัสยิดจะมีการกล่าวคำสรรเสริญพระเจ้า “อัลลอฮุอักบารฺ”ดังกึกก้องไปทั่ว

วันอีดิ้ลอัฏฮาเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม ตรงกับวันที่ 10 เดือนซูลฮิจญะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ตามปฏิทินอิสลาม โดยปีนี้เป็นปีฮิจเราะฮฺศักราช(ฮ.ศ.)ที่ 1433 เป็นวันเดียวกับผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียกำลังประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

สำหรับความสำคัญของวันอีดิ้ลอัฎฮา นายอับดุลสุโก ดินอะ ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเป็นผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม กล่าวไว้ในบทความชื่อ “เทศกาลฮัจญ์ มุสลิมในประเทศเฉลิมฉลองอย่างไร” ว่า พิธีฮัจญ์ เป็นการรวมตัวของประชาชาติมุสลิมที่มีขนาดใหญ่ที่ก้าวพ้นพรมแดนแห่งชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรม แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางไปประกอบพิธฮัจญ์ จะฉลองวัน"อีดิลอัฎฮา"ด้วยศาสนกิจและศาสนกุศลมากมายโดยเฉพาะเชือดสัตว์เพื่อพลีทานเป็นสวัสดิการชุมชน

“วันตรุษอีดิลอัฎฮา เป็นคำภาษาอาหรับ มาจากคำว่า อีด แปลว่า รื่นเริง เฉลิมฉลอง และ อัฎฮา แปลว่า เชือดสัตว์พลีทาน ดังนั้น วันตรุษอีดิลอัฎฮา จึงหมายถึง วันเฉลิมฉลองการ เชือดสัตว์เพื่อพลีทานเป็นสวัสดิการชุมชน” นายอับดุลสุโก กล่าว

นายอับดุลสุโก กล่าว่า การเชือดกุรบ่านดังกล่าว เริ่มได้หลังจากจากละหมาดอีดิ้ลอัฎฮาไปจนถึงเวลาละหมาดอัสรีในช่วงเย็นของวันอีดิ้ลอัฎฮาวันที่ 4 หรือระหว่างวันที่26 - 29 ตุลาคมของปีนี้

ทั้งนี้ วันอีดิ้ลอัฎฮาปีนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ออกประกาศอนุมัติให้ทหารกองประจำการที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีความประสงค์จะไปประกอบศาสนกิจในวันอีดิลอัฎฮา ปีฮิจเราะฮฺศักราช 1433 ได้หยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ มีกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 - 28 ตุลาคม 2555 ส่วนข้าราชการอื่นๆ ให้ใช้สิทธิ์การลาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงกลาโหมกำหนด

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันอีดิ้ลอัฎฮา เรียกว่าวันอารอฟะห์ เป็นวันที่ชาวมุสลิมได้ถือศีลอดด้วยอีกหนึ่งวัน และยังตรงกับวันครบรอบ 8 เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส ที่นำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน 85 คน จากการสลายการชุมนุมและการขนย้ายผู้ชุมนุมโดยการนอนทับกันบนรถของทหาร หรือเรียกว่าเหตุการณ์ตากใบ

ในวันดังกล่าว มีองค์กรภาคประชาชนหลายองค์กรในพื้นที่ เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.) ได้ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมๆกับร่วมปฏิบัติศาสนกิจในวันดังกล่าวด้วย ได้ การถือศีลอด การละหมาดฮายัตและการอ่านบทสวนอุทิศผลบุญถึงผู้เสียชีวิต

 

**********************************************************

 

แถลงการณ์ในวาระครบรอบ 8 ปี เหตุการณ์ตากใบ

 

                เหตุการณ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ที่มีการชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมของประชาชนที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส จนนำไปสู่การสูญเสีย และมีการเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดจากการกระทำละเมิด และเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า  “อากาศคือฆาตกร”

                ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบดูแลไม่ได้ให้ความจริงใจในการแก้ปัญหา แม้ว่าจะมีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบก็ตาม แต่ก็เทียบไม่ได้กับการสูญเสียชีวิต สูญเสียอิสรภาพ สูญเสียสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงมีพึงได้ ด้วยเพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการละเมิดสิทธิ ทำลายหลักสิทธิมนุษยชนจนหมดสิ้น แต่การกระทำดังกล่าวก็มิได้มีการพิสูจน์การกระทำความผิด มีแต่เพียงผู้นำกองทัพและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ออกมาแก้ต่างแทนเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการนำเงินภาษีของประชาชนไปซื้อเครื่องมือยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก็ส่อไปในทางทุจริตและก็ยังไม่เห็นว่าหน่วยงานใดจะออกมาตรวจสอบความจริง ด้วยเพราะกลัวอำนาจมืดที่แฝงอยู่ในกองทัพ 

                ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ที่ปรากฏต่อสังคม สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จึงยื่นข้อเรียกร้องและขอประณามการกระทำดังกล่าว

                1.การกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเห็นเชิงประจักษ์แล้วว่านโยบายที่ได้กำหนดขึ้นมานั้นไม่สามารถตอบสนองหรือใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ยิ่งกลับไปสร้างภาระและละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง

                2.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 จนบัดนี้ได้ครบรอบ 8 ปี แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกร้องให้มีการชำระประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่ก่อโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และให้นำตัวผู้สั่งการ ผู้กระทำในเหตุการณ์ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนผู้สูญเสียและให้สืบสวนสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ระดับเหนือนโยบาย ระดับนโยบาย จนถึงระดับปฏิบัติการ

                3.ขอประณามกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นสากลทั้งระบบ และตั้งข้อสังเกตถึงคำพิพากษาตลอดจนการทำหน้าที่ของศาลและอัยการ

                4.ขอประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นในวันนั้น โดยกำลังหลักที่ใช้คือทหารและตำรวจปฏิบัติการพิเศษภายใต้การประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะใช้กฎหมายดังกล่าว

                5.ลดการใช้อำนาจในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ การละเมิดสิทธิมนุษยชนและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.)

 

*******************

ข้อเสนอแนะ แนวทางการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

               

                จากการที่ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)ได้เฝ้าติดตามการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความรุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา จึงได้มีข้อเสนอต่อระดับนโยบาย ดังนี้

               

                1.เสนอให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมแล้วว่ากระบวนการยุติธรรมไม่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ การตัดสินของศาลยังมีความไม่เป็นมาตรฐานของความยุติธรรม และอำนาจของศาลก็ไม่ได้มาจากประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจทั้งสามควรจะเป็นของประชาชน อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจที่มาจากประชาชน ยกเว้นเพียงอำนาจตุลาการเท่านั้น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) จึงเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้พิพากษาโดยประชาชนเป็นผู้เลือก การเลือกผู้พิพากษาที่เป็นคนในท้องถิ่นเข้าไปตัดสินคดีจะสามารถทำให้เข้าใจรากเหง้าของปัญหาที่เกิดขึ้น เข้าใจวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น และไม่เป็นการไปกดทับความเป็นมนุษยชน และอำนาจที่มาจากประชาชนก็สามารถตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ได้

               

                2.เสนอให้มีการร่างนโยบายที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงและเสนอให้ยกเลิกการใช้นโยบาย เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่เข้าใจในแก่นสารของนโยบายดังกล่าว และมีการปฏิบัติตามนโยบายอย่างเข้าใจผิด เข้าไม่ถึงประชาชน และยัดเยียดการพัฒนา ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่ดีถ้าผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เห็นว่าการแก้ปัญหาในพื้นที่ควรจะให้ประชาชนมีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง และได้ร่วมกำหนดนโยบายที่เป็นของประชาชนเพื่อการแก้ปัญหาอย่างถูกทางและมีส่วนร่วม

               

3.เสนอให้เลิกการใช้อำนาจในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปิดกั้นการแสดงออก การละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่ โดยให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่รัฐ

               

4.เสนอให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษ เช่น กฎอัยการศึก, พรก.ฉุกเฉิน และห้ามนำกฎหมายพิเศษมาใช้กับเหตุการณ์ทางการเมือง เพราะกฎหมายดังกล่าวล้วนถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างผู้บริสุทธิ์ โดยเสนอให้ใช้กฎหมายปกติในพื้นที่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เทศกาลฮัจญ์ มุสลิมในประเทศเฉลิมฉลองอย่างไร

$
0
0

<--break->

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

ปีนี้ วันอีดิลอัฎฮา ปีฮิจเราะฮฺศักราช 1433 จะตรงกับวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ทำให้มุสลิมทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ดีใจมากและได้เตรียมประกอบศาสนกิจและศาสนกุศลมากมาย

สำหรับผู้ที่เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดิอารเบีย ของมุสลิมไทย จำนวนประมาณ 12,000 คนจากมุสลิมทั่วโลกนับล้านคน จะประกอบศาสนกิจดังกล่าวอย่างแข่งขันเพราะการประกอบพิธีทำฮัจญ์ เป็น 1 ใน 5 หลักปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิม ท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด ได้กล่าวแก่ชาวมุสลิมเกี่ยวกับฮัจญ์ สรุปความได้ว่า "โอ้ประชาติทั้งหลาย อัลลอฮ. ได้กำหนดฮัจญ์เป็นหน้าที่ของพวกท่าน ดังนั้นท่าน ทั้งหลายจงทำฮัจญ์"

ในเทศนาธรรมอำลาของท่านศานทูตมุฮัมมัด ได้ ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนส่วนหนึ่งไว้ ความว่า “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเลือด ทรัพย์สมบัติและศักดิ์ศรีของท่านจะได้รับการปกป้องและห้ามมิให้เกิดการล่วงละเมิด จนกว่าท่านทั้งหลายจะกลับไปสู่พระเจ้าของท่าน เฉกเช่นกับการห้ามมิให้มีการล่วงละเมิดในวันนี้ เดือนนี้และสถานที่แห่งนี้”

ดังนั้นฮัจญ์ จึงเป็น การรวมตัวของประชาชาติมุสลิมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถรวบรวมประชาคมที่ก้าวพ้นพรมแดนแห่งชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรม มุสลิมทุกคนต้องประกอบพิธีฮัจญ์แม้ครั้งเดียวในชีวิต

สำหรับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยจะฉลองวันตรุษ "อีดิลอัฎฮา"ด้วยศาสนกิจและศาสนกุศลมากมายโดยเฉพาะเชือดสัตว์เพื่อพลีทานเป็นสวัสดิการชุมชน

และเป็นที่น่ายินดีว่ากระทรวงกลาโหม อนุมัติให้ทหารกองประจำการที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีความประสงค์จะไปประกอบศาสนกิจในวันอีดิลอัฎฮา ปีฮิจเราะฮฺศักราช 1433 ได้หยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ มีกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 - 28 ตุลาคม 2555 ส่วนข้าราชการอื่นๆ ให้ใช้สิทธิ์การลาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงกลาโหมกำหนด

วันตรุษอีดิลอัฎฮา เป็นคำภาษาอาหรับ มาจากคำว่า อีด แปลว่า รื่นเริง เฉลิมฉลอง และ อัฎฮา แปลว่า เชือดสัตว์พลีทาน ดังนั้น วันตรุษอีดิลอัฎฮา จึงหมายถึง วันเฉลิมฉลองการ เชือดสัตว์เพื่อพลีทานเป็นสวัสดิการชุมชน

สำหรับศานกิจและสวัสดิการชุมชนที่จะควรปฏิบัติ มีดังนี้

  1. วันที่ 9 ซุ้ลฮิจยะฮฺ ตรงกับวันที 25  ตุลาคม สมควรที่มุสลิม ถือศีลอดเพราะท่านศาสนฑูตมุฮัมัด ได้วัจนะไว้ความว่า "ผู้ใดถือศีลอดในวันนี้ อัลลอฮฺจะทรงลบล้างความผิดต่างๆ ในปีที่ผ่านมาและปีต่อไป"
  2. ภารกิจและข้อควรปฏิบัติในวันตรุษอีดิลอัฎฮา สามารถแบ่งได้สามช่วงดังนี้

    ก. ภารกิจก่อนละหมาด

    1. การตักบีร (สรรเสริญความยิ่งใหญ่ต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ตลอดเวลา) ดังที่อัลลอฮ์ได้ดำรัสในอัลกุรอาน ความว่า "และท่านทั้งหลายจงกล่าวตักบีร อย่างกึกก้องต่อพระองค์" (ซูเราะห์อัลอิสรอ อายะที่ 111)
    2. อาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายก่อนสวมใส่เสื้อผ้าไปยังสถานที่ละหมาด พร้อมทั้งขจัดขนของอวัยวะเพศ ขนรักแร้ ตัดเล็บ และขจัดกลิ่นกาย (โปรดดูบันทึกอีหม่ามมาลิก 1/177 และอีหม่ามซาฟีอี ในหนังสือมุสนัด หมายเลข 88)
    3. แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงาม พร้อมทั้งใช้น้ำหอมยกเว้นสตรี
    4. ไปยังสถานที่ละหมาดตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะมะมูม (ผู้ตามละหมาด) ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ (สมควรแต่ไม่ใช่เป็นการบังคับ)
    - ออกไปและกลับด้วยการเดินเท้า
    - การเดินไปและกลับจากการละหมาดควรใช้เส้นทางต่างกัน
    - กล่าวสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ตลอดเวลาขณะเดินทาง

    ข. ละหมาด

    การละหมาดตรุษวันอีดิลอัฎฮาถือเป็นศาสนกิจที่สำคัญที่สุดของวันนี้ เพราะมุสลิมทุกคนไม่ว่าผู้ชาย หญิง เด็ก คนชรา ควรไปร่วมละหมาดที่มัสยิดหรือลานสนามกว้างที่ทางหมู่บ้านจัดเตรียมไว้ (จากทัศนะส่วนใหญ่ของปราชญ์อิสลาม) โดยการละหมาดดังกล่าวจะเริ่มทำในช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง (ประมาณ 7.10 น.)

    ค. ภารกิจหลังละหมาดอีด

    หลังจากละหมาดเสร็จแล้วทุกคนต้องฟังคุบะห์ (ฟังธรรมเทศนา) หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แสดงความยินดีปรีดาต่อกัน แสดงความขอโทษซึ่งกันและกันในสิ่งที่ได้ล่วงละเมิด ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามหลังจากนั้นควรบริจาคทานกับเด็ก คนชรา หรือใครๆก็ได้ ที่ตัวเองประสงค์จะทำทาน    ออกไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน อาจจะจัดกิจกรรมบนเวทีให้กับเด็กๆ เพื่อมอบความสุขให้กับเขาเหล่านั้นและที่สำคัญทีสุดคือ เชือดสัตว์พลีทาน (กุรบ่าน)

สำหรับการทำกุรบ่านนี้ได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยของท่านศาสนฑูตอิบรอฮีม (อาลัยฮิสลาม.) ซึ่งนักปราชญ์ในมัซฮับฮะนาฟีย์มีทัศนะว่าการทำกุรบ่านเป็นวายิบ (ต้องปฏิบัติทุกคน) ส่วนปราชญ์มัซฮับชาฟีอีย์ถือเป็นกิจสุนัตมุอักกัต คือ ถึงแม้จะไม่บังคับแต่ก็ควรกระทำกันทุกคนเพราะผู้กระทำจะได้ผลบุญอย่างยอดเยี่ยม และท่านศาสนฑูตมุฮัมหมัด (ซ๊อลลลัลลอฮูอะลัยฮิวัซัลลัม.) ก็ได้ปฏิบัติอยู่เสมอ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ ไม่ควรละเลยข้อปฏิบัตินี้อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต

จากท่านอิบนุอับบาสอัครสาวกศาสนฑูตเล่าว่า ท่านศาสนฑูตทรงกล่าวไว้ความว่า ในวันอีดิลอัดฎาไม่มีการภักดีใดๆ ของมนุษย์จะเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของอัลลอฮ์ ดียิ่งไปกว่าการทำกุรบ่าน

กำหนดเวลาการทำกุรบ่าน

เริ่มเชือดกุรบ่านได้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นของเช้าวันอีดิลอัฎฮา (หลังละหมาด) จนถึงเวลาละหมาดอัสรีของวันที่ 4 ของวันอีดรวม 4 วัน (วันอีด 1 วันตัชรีก 3 วันซึ่งตรงกับ วันที่ 26-29 ตุลาคม 2555 แต่ระยะเวลาที่ดีเยี่ยมที่ควรเชือดกุรบ่าน คือหลังจากเสร็จการละหมาดอีดิลอัฎฮาแล้ว การเชือดควรให้เจ้าของเป็นผู้เชือดเองหากจะมอบให้ผู้อื่นเชือดก็ควรดูการเชือดด้วย

คำเนียต (นึกในใจ) ของการเชือดกุรบ่าน ขณะจะเริ่มเชือดให้เนียตว่า "นี่คือกุรบ่านของข้าพเจ้า"หากมอบให้ผู้อื่นเชือด คนเชือดต้องเนียตว่า "นี่คือกุรบ่านของ...................ซึ่งมอบให้ข้าพเจ้าเชือด"

คำอ่านก่อนเชือด

http://www.thaingo.org/images4/muslimxx4.gif

บิสมิลลาฮี่ อัลลอฮุฮักบัร อัลลอฮุมมา ฮาซามิง ก้าว่าอี้ลัยก้า ฟ้าตาก๊อบบันมินนี ก้ามาตาก๊อบบั้นต้า มินคอลีลิ๊กก้าอิบรอฮีม ว่ามินฮาบีบี้ก้ามูฮัมมัด

ความว่า "ด้วยพระนามของอัลลอฮฮ อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ ข้าแด่อัลลอฮฺ สัตว์กุรบานนี้ของพระองค์ทรงให้เกิดมาและจะกลับไปสู่พระองค์แล้ว ดังนั้นจงรับจากข้าพระองค์แล้วเหมือนกับที่พระองค์ทรงรับจากนบีอิบรอฮีมและนบีมุฮัมหมัดซึ่งเป็นโปรดของท่าน"

สัตว์ที่ใช้ทำกุรบ่าน
 

สัตว์ที่ใช้ทำกุรบ่าน คือ อูฐ วัว ควาย แพะ แกะ กีบัช

อูฐ ต้องมีอายุ 5 ปีบริบูรณ์ ใช้ทำกุรบ่านได้ 7 ส่วน ดังนั้น จึงรวมกันทำ 7 คน/อูฐตัวเดียวก็ได้ หรือจะทำคนเดียวก็ยิ่งดี

วัว ควาย ต้องมีอายุ 2 ปีบริบูรณ์ ทำกุรบ่านได้ 7 ส่วน แพะ ต้องมีอายุ 2 ปีบริบูรณ์ ทำกุรบ่านได้ 1 ส่วน แกะและกิบัช ต้องมีอายุ 1 ปีบริบูรณ์ หรือเปลี่ยนฟันแล้ว ทำกุรบ่านได้ 1 ส่วน

สัตว์จะทำกุรบ่าน ต้องอ้วนสมบูรณ์ปราศจากสิ่งตำหนิหรือโรค ควรมีลักษณะสวยงามสง่า

สัตว์ที่ห้ามทำกุรบ่าน
 

สัตว์ที่ห้ามกุรบ่านไม่ได้ ได้แก่ สัตว์ที่เป็นโรค หรือพิการหรือไม่สมประกอบ เช่น ตาบอด หูแหว่ง เขาหัก ไม่มีฟัน แคระแก่น มีท้อง

การแจกกุรบ่าน
 

เนื้อสัตว์ที่ทำกุรบ่านนั้นสามส่วนกล่าวคือ  ให้แจกจ่ายแก่คนยากจนและเพื่อนบ้าน ควรเก็บไว้กินเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเมื่อท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด ทำกุรบ่านนั้นท่านเอาตับไว้กินเพียงชิ้นเดียว นอกนั้นบริจาคไปหมด นอกจากนี้ห้ามนำเอาเนื้อและส่วนต่างๆของสัตว์กุรบ่าน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังหรือกระดูกไปขายหรือเป็นค่าจ้างเป็นอันขาด

วันตรุษอีฎิลอัดฮาปีนี้น่าจะนำเนื้อกุรบ่านส่วนหนึ่งบริจาค หรือบริจาคเงินทำกุรบ่าน ผ่านคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด หรือจังหวัดหรือองค์กรการกุศลต่างๆที่จะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส  ผู้ประสบภัยด้านต่างๆทั้งในพื้นที่หรือนอกพื้นที่ก็ได้

......

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์  (อับดุลสุโก ดินอะ) กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ฝ่ายวิชาการโครงการพัฒนาเครือข่ายตำบลสุขภาวะจังหวัดชายแดนใต้ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา Shukur2003@yahoo.co.uk http://www.oknation.net/blog/shukur

    
               

 




[i]

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กำลังก้าว

$
0
0

"อดีตนักโทษคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าช่วงแรกๆ ในคุก เมื่อนอนหลับแล้ว เขาไม่เคยอยากตื่นจากฝัน เพราะเขามักฝันว่าได้ออกจากคุกและได้รับอิสรภาพแล้ว หากแต่เมื่อตื่นขึ้นมา เขากลับพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในคุก เขาเล่าว่าเขาร้องไห้ในเวลาแบบนั้น.."

ในบล็อกกาซีน, สนามหลังบ้าน, บทความ "นักโทษการเมือง กับความหมายของเวลา"

ประชาไทบันเทิง: เมื่อซูเปอร์แมนลาออกจากงานข่าว (มุ่งหน้าเป็นบล็อกเกอร์!?)

$
0
0

นักข่าวอย่างคลาร์ก เคนท์ วิพากษ์อุตสหากรรมข่าวที่หากินกับเรื่องบันเทิงและความเห็นมากเกินไป ขณะที่นักข่าวในอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ของสหรัฐตกงานกว่า 2,000 คน และคนอ่านหนังสือพิมพ์ลดลงกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 ปีที่ผ่านมา

ความในใจของซูเปอร์แมนต่ออุตสาหกรรมข่าวปัจจุบันถูกเผยผ่านปากของคลาร์ก เคนท์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาในหนังสือการ์ตูนซูเปอร์แมน ที่วางแผงเมื่อวันพุธ (25 ต.ค.) โดยเขาประกาศลาออกพร้อมวิพากษ์และแสดงความผิดหวัง ภายหลังจากทำงานข่าวมาเป็นเวลาเกือบๆ 5 ปี

"ผมถูกสอนให้เชื่อว่าคุณสามารถจะใช้พลังของถ้อยคำในการเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำได้ แม่แต่ความลับที่ดำมืดที่สุดก็อาจตกอยู่ภายใต้แสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ได้, แต่ข้อเท็จจริงกลับถูกแทนที่ด้วยความเห็น ข้อมูลข่าวสารถูกแทนที่ด้วยความบันเทิง ผู้สื่อข่าวกลายมาเป็นนักจดชวเลข ผมไม่อาจจะทนได้ที่จะกลายมาเป็นคนๆ เดียวที่รู้สึกแย่กับกระบวนการทำข่าวทุกวันนี้” คลาร์ก เคนท์ ภาคมนุษย์ธรรมดาสามัญของซูเปอร์แมนกล่าวกับบรรณาธิการของเขา ที่หนังสือพิมพ์เพลเน็ต เดลี เช่นนั้น

การเอ่ยถ้อยคำวิพากษ์ต่ออุตสหากรรมข่าวเช่นนี้ ได้รับเสียงสะท้อนจากนักข่าวอย่างเอริก้า สมิธ ผู้ติดตามการปลดพนักงานในอุตสหกรรมข่าวสารและการซื้อกิจการสื่อเพื่อนำเสนอในเว็บ http://newspaperlayoffs.com/  ว่ามันออกจะดูดราม่าไปสักหน่อย

เธอกล่าวด้วยว่าถ้าหากว่าเขาถูกปลดออกจากงาน หรือว่าหนังสือพิมพ์ถูกซื้อกิจการ เหมือนๆ กับที่นักข่าวกว่า 2,000 คนในสหรัฐเจอในปีนี้ แบบนั้นจะดูสมจริงกว่า

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า สัดส่วนการอ่านหนังสือพิมพ์ของคนอเมริกันลดลง โดยศูนย์วิจัย Pew Research Center for the People & the Press ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษอยู่ ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงกว่าทศวรรษที่แล้วถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม ผลสำรวจพบว่าผู้อ่านสื่อออนไลน์นั้นเพิ่มจำนวนสูงขึ้น

ในตอนล่าสุดที่เพิ่งวางแผลไปเมื่อวันที่ ต.ค. นั้น คลาร์ก เคนท์กล่าวกับบ.ก.ว่าเขาทำงานมาเกือบๆ 5 ปี แต่การ์ตูนซูเปอร์แมนซึ่งคลาร์ก เคนท์ ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์นั้นดำเนินมากว่า 7 ทศวรรษแล้ว นับตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938

สำหรับอนาคตของซูเปอร์แมน นักข่าวหนุ่มวัย 27 (ตามบท) นั้น สก็อต ลอบเดล ผู้เขียนซูเปอร์แมนตอนล่าสุดระบุว่า เขาคาดว่าซูเปอร์แมนคงไม่ไปสมัคงานที่สื่อใหญ่ที่ไหน แต่คงหันเหมาสู่พื้นที่ออนไลน์ด้วยการเป็นบล็อกเกอร์ หรือสื่อพลเมืองออนไลน์มากกว่า


ที่มา
Superman quits his job on The Daily Planet to become online blogger

Clark Kent quits newspaper job in latest Superman comic

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธเนศวร์ เจริญเมือง: แรงเงา – แรงซ้ำรอยเดิมๆ

$
0
0

เพราะมีคนบอกว่า ละครทีวีเรื่อง แรงเงา สนุกมาก  ผมก็เลยไปหาซื้อนิยายเล่มละ 25 บาทมาอ่าน เพราะไม่มีเวลานั่งดูนานๆ (เหตุผลหนึ่งคือ เพราะโฆษณามากไป)  แต่ก็หาซื้อไม่ได้ ไปร้านไหน ก็ขายหมดเกลี้ยง  แสดงว่าของเขาแรงจริงๆ    วันนี้ มีคนใจดีไปหานิยายเล่มนั้นมาให้ผมแล้วครับ แต่อยู่ไกลกัน ยังไม่ได้ไปเอามาอ่านเลย

แต่หลายวันมานี้  เท่าที่ฟังคนรอบๆ แล้วก็เปิดดูกูเกิ้ล อ่านเรื่องย่อ  และวันนี้ มีตัวแทนมูลนิธิหญิงไทยก้าวไกล ออกมาวิจารณ์ละครทีวีเรื่องนี้ว่าเน้นความรุนแรง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม  ผมคิดว่ามีประเด็นอยู่ 4-5 เรื่องที่น่าสนใจ

1. เรืองนี้นำนิยายมาทำหนังและละครทีวีแล้วถึง 4 ครั้ง  ครั้งแรก ทำเป็นหนังปี 2529 ครั้งที่ 2 ทำเป็นละครทีวี ปี 2531 ครั้งที่ 3 ปี 2544 ก็ทำเป็นละครทีวี และครั้งล่าสุดคือขณะนี้ก็ทำเป็นละครทีวี การเอามาเล่นบ่อยๆสะท้อนได้หลายแง่ คือ คนจัดเห็นทางหาเงินทำกำไร เพราะคนดูชอบ ก็เลยจัดทำใหม่ แต่ก็จะเห็นว่าเมืองนอก ถ้าเรื่องไหนดี สมมุติ Les Miserables (ที่ยิ่งใหญ่มากและสิงคโปร์เคยนำมาแสดงแล้วหลายปีก่อน) เป็นละครเพลงบนเวที เหมือนละครทีวีเรื่องเรยา หรือปริศนาของเรา ก็คือชุดนั้นเล่นกันทุกคืน เล่นเป็นปีๆๆๆ นับสิบปีเลย เพราะคนดูทั่วโลกชอบมาก  เป็นละครเพลงที่สุดยอดแห่งความบันเทิงและให้สาระแก่ผู้ชม   แต่ของเราที่นำมาเล่นบ่อยๆ  กลับเป็นความฟุ่มเฟือย เพราะเอาดาราดังยุคปัจจุบันไปเล่น  ใช้เนื้อหาเก่าๆ  เรื่องที่ว่านี้ก็คือเรื่องการตบตีกัน เพราะเรื่องผู้ชาย  เกิดแรงแค้น ก็แก้แค้นกัน  แถมด้วยบาปกรรมที่พ่อแม่ก่อไปส่งผลถึงลูก

2. ที่จริง  นิยายเป็นเรื่องแต่ง  เรื่องที่แต่งก็ย่อมสะท้อนสังคมยุคนั้นๆ   แต่ถ้าเอานิยายอายุ 20-30 ปีมาเล่น แถมยังเป็นนิยายออกไปทางน้ำเน่านี่  ต้องแสดงละครับว่า  ในโลกที่เปลี่ยนไปมากมายนั้น  ทำไม่กรอบความคิดที่ล้าหลังทำไมยังมีการนำมาแสดงซ้ำ  ทำไมถึงไม่มีการปรับปรุงแก้ไข  และท่ำคัญกว่ามากก็คือ ทำไมนิยายใหม่ๆ  ทันสมัย และสะท้อนสังคมได้ดีนั้น ไม่มีหรืออย่างไร  หรือว่าคนทำละคร ยังมีความคิดแบบเก่าๆ  คิดว่าทำอย่างไรก็ทำเงินแน่นอน  แล้วคิดบ้างไหมว่า ละครเหล่านี้ให้อะไรแก่สังคม

3. เนื้อหาของนิยายเรื่องนี้แรง ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงได้รับความนิยมมาก เพราะแรงได้ใจ และต่อสู้กัน เอาชนะคะคานกันเม็ดต่อเม็ด  แต่โปรดสังเกตว่าละครเรื่องนี้ ผู้ชายเป็นข้าราชการระดับ ผอ. มีครอบครัวแล้ว แต่ไปรังแกข้าราชการสาวชั้นผู้น้อย ผู้อ่อนต่อโลก แทนที่เมียหลวงจะจัดการให้เหมาะสม กลับไปทำร้ายสาวน้อย   จนกระทั่ง คู่แฝดของสาวน้อยตามมาล้างแค้น ผู้เขียนทำให้ครอบครัวคือลูกๆ เมียหลวงต้องเผชิญบาปกรรม ได้รับความเดือดร้อน   คำถามมีว่า  แล้วผู้ชายที่เป็นข้าราชการระดับสูง  มีคนอยู่ใต้บังคับบัญชามากมาย  ทำไมจึงไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง  เหตุใด ไม่มีข้าราชการระดับล่างคนไหนคิดฟ้องร้องกล่าวโทษ  กลายเป็นว่านิยายเรื่องนี้เน้นแรงแค้นของหญิงสาวคนหนึ่ง  ให้ผู้หญิงหันไปต่อสู้กัน  เชือดเฉือนกันต่อเนื่อง   แน่นอนครับ  นี่เป็นการเปิดโปงสังคมแบบหนึ่ง  แต่การเปิดโปงสังคมเช่นนี้  ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุแต่ประการใด  เพราะข้าราชการฝ่ายชายที่ก่อเรื่องกลับลอยนวล

4.  การที่พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบไม่เข้าใจลูก  ไม่ยอมรับว่าคนเราแต่ละคนมีอุปนิสัย บุคลิกที่แตกต่างกัน  แต่ละคนต่างมีดีของตนเอง  แต่ละคนล้วนต้องการความรัก ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจและกำลังใจ  กลับเรียกร้องคนหนึ่งให้เหมือนอีกคนหนึ่ง  พูดจาไม่ดีกับลูก ว่าให้ลูกเสียใจ  มองไม่เห็นสองด้านของชีวิต  บังคับให้ลูกต้องสูญเสียบุคลิกของตัวเองไป  ทำให้ลูกๆขัดแย้งกันอย่างรุนแรง  ที่สำคัญ  ทำให้ลูกท้อแท้หมดกำลังใจ จนนำไปสู่การคิดสั้น เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ ต่อทุกๆคน ที่เป็นพ่อแม่  และญาติ

4. ทัศนะของผู้เขียนนิยายเรื่องแรงเงาในปี พศ. 2529  เก่าไป เอาหญิงมาทำร้ายหญิง ละเว้นไม่เอาผิดกับผู้ชายตัวการ   นี่ก็คือ การที่ผู้เขียนตกเป็นทาสของสังคมชายเป็นใหญ่  ยิ่งการหันไปโยน บาปกรรมให้แก่ลูก  ยิ่งเป็นการแก้ไขปัญหาผิดจุด  ลูกๆไม่ควรได้รับผลอะไรแบบนี้

5. คนไทยที่ดูแรงเงา ควรไปหาละครทีวี (ซีรีย์) เกาหลีใต้เรื่อง “ฮวาง จินยี” ที่เป็นสาวคณิการะดับสูง แล้วก็ถูกชนชั้นสูงทำร้าย ทำลาย จนคนรักต้องตายจากไป จากนั้น เธอจึงลุกขึ้นสู้ แต่ไม่ใช่ล้างแค้น แต่เป็นการสู้กับระบบศักดินา เปิดโปงความชั่วร้ายที่ขุนนางหลายคนได้กดขี่ข่มเหงเธอ

6. ผมเห็นว่าคนไทยเวลานี้  พร้อมที่จะดูหนังดีๆ  สังเกตจากหนังเกาหลีดีๆมาไทย  คนนั่งเฝ้าจอมากมายทั่วประเทศทุกเสาร์อาทิตย์ค่ำ   พล็อตเรื่องแรงเงา แรงเหมือนละครเกาหลี  ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีคนพูดถึง ติดตามเฝ้าชมละครเรื่องนี้  และหนังสือก็ขายดีมาก  แต่เสียดายครับ  เอานิยายมาแสดงใหม่   ก็ควรนำเนื้อเรื่องมาปรับปรุงให้ทันสมัย และเสนอปัญหาสังคมให้เข้มกว่านี้ได้    เพราะความผิดที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาการกดขี่ทางเพศ  ปัญหาชายกดขี่หญิง จะต้องแก้ไขให้ตรงจุด  ไม่ใช่ให้ผู้หญิงมาต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อผู้ชาย หรือเพื่อความสะใจ  เพราะตราบใด  ผู้หญิงไม่เข้มแข็ง  กล้าเปิดเปิงการกดขี่ของชาย  ชายก็จะทำความผิดอยู่ร่ำไป

7.  ที่มีคนออกมาบอกว่าการนำเสนอละครที่ไม่ดีจะเป็นแบบอย่างให้คนดู เป็นแบบอย่างแก่เยาวชน  ผมก็ว่าทุกอย่าง ก็มีการจัดหมวดหมู่ อายุเท่าใดควรดูหนังละครประเภทใดอยู่แล้ว   และที่สำคัญ ในสังคมประชาธิปไตย  ละคร นิยาย และการแสดงทุกอย่างก็ต้องมีอภิปรายกัน ต้องมีเวทีถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์ให้กว้างขวาง   วิทยุ ทีวีควรมีรายการวิพากษ์วิจารณ์ เปิดมุมมองต่างๆให้คนได้ฟัง และแลกเปลี่ยนความเห็นกันให้มากๆ  ระบบการศึกษาต้องมีเวที มีวิชาที่ให้ครูอาจารย์และนักเรียนนักศึกษานำมาถกเถียงกันได้  เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ   โลกของเรา  ทุกอย่างมีด้านดีและ ด้านลบทั้งนั้นครับ   ถ้าจะผิด  ก็เพราะว่า ดูแล้ว แสดงแล้ว  ออกอากาศแล้ว  แต่กลับไม่มีความเห็นใดๆ  ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์  อย่างนี้ไม่ได้ครับ  บันเทิงและการวิจารณ์ต้องควบคู่กันตลอดในทุกๆสังคมครับ 

 8.  นิยาย-ละคร และงานประพันธ์ที่จะมีคนอ่านมาก มีคนติดตามมากๆ ล้วนต้องมีอะไรแรงๆทั้งนั้นเป็นธรรมดาครับ  ถ้ามันไม่แรง ไม่แปลก ไม่เศร้าสุดๆ ไม่ชวนตื่นเต้น ขนหัวลุก หรือหวาดเสียว ฯลฯแล้วมันจะไปน่าสนใจได้อย่างไรเล่าสำหรับคนส่วนใหญ่  ใช่ไหมครับ ดูนิยายเกาหลีแต่ละเรื่อง เข้มข้นและแรงๆ ทั้งนั้น  แต่ที่สำคัญกว่านั้น ที่นิยายเกาหลียอดเยี่ยมคืออะไรเล่า  ก็คือ  เขามีแง่คิดดีๆ ให้กับสังคมต่างหาก  เช่น 1. เกิดเป็นคนต้องมุ่งมั่น ต้องทำงานหนัก ต้องต่อสู้ ต้องไม่กลัวความยากลำบาก ไม่ยอมแพ้โชคชะตา  แต่ละคร-นิยายเราส่วนใหญ่ไม่ใช่   มีแต่เรื่องของคนรวยๆ ทุกเรื่อง ไม่ทำมาหากินเลย แทบไม่มีเรื่องสู้ชีวิตเลย  มีแต่แย่งแฟนกัน หรือแย่งมรดกกัน  2. ยกย่องสตรีให้กล้าต่อสู้ กล้าเผชิญปัญหา และมองเห็นระบบที่เอาเปรียบ ของเราเห็นมีแต่ เขียนบทให้พระเอกปล้ำนางเอก แล้วภายหลัง ก็แต่งงานกัน ก็ทำไมไม่เขียนบทให้นางเอกสู้ล่ะ ฟ้องพระเอก ให้ติดคุกเล่า 3. เน้นคุณค่าสำคัญๆ เช่น รักท้องถิ่น  รักครอบครัว ความรักสายใยในระหว่างคนรัก  ญาติ  เพื่อน พ่อแม่ลูก  ต่อต้านอำนาจเถื่อน  เปิดโปงการเล่นพวก  คอรัปชั่น  เปิดโปงการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ   

เคยดูหนังเกาหลี เรื่อง กิมจิ ไหมครับ  เน้นทั้งท้องถิ่น สายใยครอบครัว  การมุ่งมั่นทำสิ่งดีให้ออกมาดีที่สุด  ฯลฯ  หรือเรื่อง คนล่าทาส ที่เปิดเผยความรักที่ยิ่งใหญ่  รักที่มีแต่ให้  รักที่ยอมเสียสละ   

ความจริง ถ้าเรามีนิยายดีๆ ละครทีวีดีๆ เปิดโปงสังคมไทยได้ จ่ะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ในสังคมไทยมากมาย   และเชื่อว่าคนไทยจะได้ประโยชน์มาก จากการอ่านนิยาย  การดูละครทีวีที่มีสาระต่อสังคม  สังคมของเรายังไม่เห็นความสำคัญของงานบันเทิงว่าเป็นการศึกษาที่ดีมากๆ  มีประโยชน์มากต่อผู้ชม   เราเห็นการบันเทิงเป็นเพียงธุรกิจหารายได้  และผู้สร้างหลายคนคิดแต่จะหากำไรจากคนดู  แต่ไม่เคยคิดว่าจะให้อะไรที่มีคุณค่าแก่คนดู   งานบันเทิงที่ดีคือการให้การศึกษาที่ดีมากๆ  เราควรจะเป็นหนึ่งในอุษาคเนย์แห่งนี้  ให้บันเทิงและสาระแก่ผู้ชมในภูมิภาคนี้  ไม่ใช่ให้หนังจีนหนังเกาหลี-ญี่ปุ่นมาครองตลาดในภูมิภาคนี้   แต่ผมว่าทั้งคนสร้างละคร-นิยาย-หนังในบ้านเราต้องศึกษาเรื่องดีๆจากประเทศอื่นให้มากๆครับ และปรับปรุงงานให้มีคุณภาพกว่านี้  ไม่ใช่เห็นแก่เงินหรือรายได้อย่างเดียว  แล้วก็อ้างเหตุผลแบบน้ำเน่าว่าคนไทยชอบแบบนั้น  จึงต้องทำตามใจคนดู   ผมว่าคนสร้างหนัง สร้างละคร และเขียนนิยายจะต้องคิดใหม่  จะต้องกล้านำสังคมครับ   ไม่ใช่เดินตามสังคม  หรือคิดแต่จะหาประโยชน์จากสังคม  ด้วยการมอมเมาสังคมให้จมอยู่กับที่เดิม.     ถ้านิยายน้ำเน่า 30 ปีมาแล้ว ยังแสดงโดยใช้เนื้อหาเดิมๆ  ไม่มีการดัดแปลง ปรับปรุง  ผมว่าลำบากครับ   สังคมนี้.

 

26 ตุลาคม 2555

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรคไทใหญ่ SNLD 'ขุนทุนอู' จัดงานครบรอบ 24 ปีตั้งพรรค

$
0
0

 

พรรคการเมืองไทใหญ่ SNLD ภายใต้การนำของเจ้าขุนทุนอู จัดงานครบรอบตั้งพรรค 24 ปี ย้ำเดินหน้ายึดมั่นอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐประชาธิปไตย สิทธิเท่าเทียม พร้อมแถลงคัดค้านการเปลี่ยนชื่อรัฐชาติพันธุ์และการจัดตั้งสหภาพใหม่จาก 7 ภาค 7 รัฐ ไปเป็น 14 ภาคด้วย 

 
เมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) พรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย (Shan National League for Democracy- SNLD) หรือพรรคหัวเสือ ภายใต้การนำของเจ้าขุนทุนอู จัดงานในโอกาสวันก่อตั้งพรรคครบรอบ 24 ปี  งานจัดขึ้นที่กรุงย่างกุ้งและอีกหลายเมืองในรัฐฉาน มีตัวแทนจากหลายพรรคการเมืองในพม่า รวมถึงพรรค NLD ของนางอองซานซูจี พรรค USDP รัฐบาลพม่า และตัวแทนกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มเข้าร่วม
 
งานก่อตั้งพรรค SNLD ครบ 24 ปีในกรุงย่างกุ้ง จัดขึ้นที่วัดไตเก้าหลัก (เกาไมล์) มีผู้นำคนสำคัญของพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เช่นเจ้าขุนทุนอู ประธานพรรค, นายจายอ่อง เป็นรองประธาน, นายญุ้นลวิน (จายนุท) เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการพรรค ในช่วงเช้ามีพิธีทำบุญและถวายภัตตหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ เช่นเดียวกับอีกหลายเมืองในรัฐฉานที่มีสำนักงานสาขาของพรรค SNLD ตั้งอยู่ เช่น เมืองหมู่แจ้, เมืองล่าเสี้ยว (รัฐฉานภาคเหนือ), เมืองตองจี, ปางโหลง, ลางเครือ, เมืองปั่น (รัฐฉานตอนใต้) เมืองเชียงตุง (รัฐฉานภาคตะวันอก) และอีกหลายเมืองได้มีการจัดงานครบรอบเช่นเดียวกัน
 
ผู้ร่วมงานเปิดเผยว่า ในโอกาสนี้ทางพรรค SNLD ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนของพรรคด้วยว่า พรรค SNLD ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับชาวรัฐฉานด้วยวิธีทางการเมือง ตลอดช่วงระยะเวลา 24 ปี พรรคได้เผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งผู้นำในพรรคถูกจับกุม พรรคถูกยุบ รวมถึงการถูกข่มขู่คุกคาม กลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ กระทั่งได้มีการตั้งพรรคใหม่ ซึ่งพรรค SNLD จะยืนหยัดยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมคือ เพื่อสหพันธรัฐและประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อสิทธิกำหนดตัวเองและสิทธิเท่าเทียม โดยจะร่วมกับกลุ่มพรรคพันธมิตรสู้ต่อไปต่อไป
 
นอกจากนี้ ทางพรรค SNLD ยังได้แถลงคัดค้านกรณีที่มี 10 พรรคการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นพรรคข้างรัฐบาลพม่า เตรียมยื่นเสนอรัฐบาลให้มีการเปลี่ยนชื่อรัฐจากที่ใช้ชื่อของชนชาติไปเป็นชื่ออย่างอื่น รวมถึงให้มีการจัดตั้งสหภาพใหม่จาก 7 ภาค 7 รัฐ ให้เป็น 14 ภาคด้วยว่า ทางพรรค SNLD ไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โดยให้เหตุผลการทำเช่นนี้จะทำให้อัตลักษณ์ของชนชาติที่มีมายาวนานหายไป
 
สำหรับพรรค SNLD หรือ "พรรคหัวเสือ" เป็นพรรคการเมืองไทใหญ่ซึ่งเคยชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับสองรองจากพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี และชนะเป็นอันดับ 1 ในรัฐฉานในการเลือกตั้งเมื่อปี 2533 แต่รัฐบาลพม่าขณะนั้นไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง กระทั่งเมื่อปี 2548 เจ้าขุนทุนอู และผู้นำคนสำคัญของพรรค พร้อมด้วยนักเคลื่อนไหวการเมืองไทใหญ่คนอื่นๆ รวม 9 คน ถูกทางการพม่าจับกุม และเมื่อปี 2553 พรรค SNLD ได้ถูกยุบเนื่องจากไม่ลงทะเบียนเข้าร่วมการเลือกตั้งเช่นเดียวกับพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยเผด็จการทหารพม่า
 
หลังจากเจ้าขุนทุนอู ผู้นำพรรคได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 หลังประธานาธิบดีเต็งเส่งประกาศสร้างสันติภาพ ได้ปรึกษาหารือกับสมาชิกพรรคยื่นขอจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ และเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา พรรค SNLD ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการเลือกตั้งพม่าให้เป็นพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง โดยพรรค SNLD มีกำหนดจะเข้าร่วมลงชิงชัยในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศในปี 2558 ปัจจุบันพรรค SNLD มีคณะกรรมการกลาง 11 คน เจ้าขุนทุนอู เป็นประธาน นายจายอ่อง เป็นรองประธาน จายนุท เป็นเลขาธิการ นายจายเล็ก เป็นโฆษกพรรค จายฟ้า เป็นฝ่ายประสานงาน ปัจจุบันพรรค SNLD มีสมาชิกแล้วรวมกว่า 1 พันคน
 
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
 
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) สำนักข่าวอิสระของไทยใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า และตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แดงอุดรฯ ต้าน "เสธ.อ้าย" แดง กทม. เตรียมจัดแรลลี่จับฆาตกรสั่งฆ่า 99 ศพ

$
0
0

เสื้อแดงอุดรฯ จัดเวทีปราศรัยคนร่วมนับหมื่นฮือต้านเสธ.อ้าย ด้านเสื้อแดงกรุงเทพฯ จัดแรลลี่จับฆาตกรสั่งฆ่า 99 ศพ


27 ต.ค. 55 - เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าที่สนามทุ่งศรีเมืองอุดรธานี นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรและชมรมคนรักภาคอีสาน จัดตั้งเวทีปราศรัยชุมนุมรวมพลคนเสื้อแดงทั่วภาคอีสาน ภายใต้หัวข้อเรื่อง “เพื่อไทย กลัวอะไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 (มัดมือชก)” โดยมีนายวิเชียร ขาวขำ นายก อบจ.อุดรฯ นางเทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.เพื่อไทย อุดรฯ นายสมัคร บุญปรก รองนายก อบจ.อุดรฯ แกนนำคนเสื้อแดงทั่วภาคอีสาน ได้ร่วมกันผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการเรียกร้องระดมคนไปชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งของเสธ.อ้าย ว่าเป็นการกระทำของกบฎที่คิดจะล้มล้างรัฐบาลด้วยการยั่วยุให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร โดยมีการถ่ายทอดสดออกอากาศช่องดาวเทียม P&P และวิทยุคลื่น 97.50 เม็กกะเฮิร์ต ของสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร โดยมีคนเสื้อแดงทยอยมาร่วมชุมนุมร่วมหมื่นคน


นายขวัญชัย กล่าวว่า การที่มีนายทหารนอกราชการออกมาประกาศจะรวมพลเพื่อล้มล้างรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เป็นการแสดงออกและท้าทายอำนาจรัฐถือว่าเป็นการก่อกบฏ เพื่อยั่วยุให้มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอีก มีการระดมเงินทุนจากนายทุนนอกระบบเพื่อมาล้มล้างคนจน ทำไมรัฐบาลถึงได้ปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น และมัวทำอะไรอยู่ทำไมไม่คิดเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ สงสารคนเสื้อแดงที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน หลายคนในรัฐบาลเสวยสุขกันมามากพอแล้ว ถึงเวลาต้องช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว ปล่อยไว้นานเหมือนเลี้ยงไข้


นายขวัญชัย กล่าวอีกว่า ถึงแม้จตุพรจะไม่มีชื่อในครม.ชุดนี้ แต่ชื่อของจตุพรยังคงอยู่ในใจของคนเสื้อแดงตลอดไป และขอวิงวอนไปยังคนเสื้อแดงอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของคนที่กำลังมาว่าจ้างให้ไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ขออย่าได้ตกเป็นเหยื่อผู้ที่ต้องหารหาผลประโยชน์ วันนี้คนเสื้อแดงต้องสมัครสมานสามัคคีกันให้มากเพื่อผลักดันให้รัฐบาลชุดนี้เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จเพื่อคนแดนไกลจะได้กลับบ้านเสียที


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าการชุมนุมในครั้งนี้มีคนเสื้อแดงทยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยมีการแสดงของศิลปินปลดแอกเพชรประกายแสง กับนางสไนเปอร์ และพิธีกร มะกอกดำ จาก ช่องพีแอนด์พี และแกนนำเสื้อแดงทั่วภาคอีสานสลับผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที โดยนายจตุพร ติดภารกิจด่วนไม่สามารถมาขึ้นเวทีได้แต่สัญญาว่าจะโฟนอินเข้ามาร่วมทักทายในช่วงดึก


เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ แกนนำนปช. สองพิธีกรรายการรามสูร นางดารุณี กฤตบุญญาลัย เป็นแกนนำจัดกิจกรรม แรลลี่ ตามจับฆาตกรใจหมา สั่งฆ่าประชาชน 99 ศพ กลางเมืองหลวงประเทศไทย มีคาราวานรถจักรยานยนต์พี่น้องคนเสื้อแดงกว่า 500 คัน รถยนต์ประมาณ 50 คัน และผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.1 ตำรวจจราจรกลาง และตำรวจสายตรวจ กว่า 300 นาย ดูแลความสงบเรียบร้อยตลอดเส้นทาง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขบวนแรลลี่ได้เคลื่อนขบวนไปยังจุดต่างๆที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมระหว่างปีพ.ศ.2552-2553พร้อมกับบีบแตรและส่งเสียงโห่ร้องเพื่อต้องการส่งสัญญาณให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจับฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนจนเสียชีวิต99 คน บาดเจ็บ 2 พันกว่าคนมาดำเนินคดีให้ได้ พร้อมกับตะโกนว่าที่นี่มีคนตาย  ที่นี่มีฆาตกรใจหมาสั่งฆ่าประชาชน 99 ศพกลางเมืองหลวงประเทศไทยในจุดที่วางพวงหรีด


โดยเริ่มจุดแรกที่หน้ากองทัพภาคที่ 1 ก่อนเคลื่อนต่อไปยังสี่แยกคอกวัว แล้ววนกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อวางพวงหรีดแสดงความไว้อาลัยต่่อผู้เสียชีวิต  ก่อนที่แกนนำจะเดินเท้าไปวางพวงหรีดที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลังจากนั้นขบวนแรลลี่ได้เคลื่อนผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มุ่งหน้าไปยังซอยรางน้ำ เพื่อวางพวงหรีดหน้าปั้มเชลล์ ไว้อาลัยต่อด.ช.สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ และผู้เสียชีวิตคนอื่นที่ถูกยิงภายในซอยรางน้ำจากนั้นขบวนแรลลี่มุ่งหน้าไปยังบ่อนไก่ เพื่อวางพวงหรีดไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตตรงจุดนี้ ที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาบ่อนไก่


ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังวัดปทุมวนาราม เพื่อวางพวงหรีดแสดงความไว้อาลัยต่อน.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม และผู้เสียชีวิตรายอื่นๆอีก 5 คน และร่วมกันยืนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตตรงจุดนี้ 1 นาที ก่อนที่แกนนำจะเดินเท้าต่อไปที่สี่แยกราชประสงค์ เพื่อมอบของที่ระลึกให้กับน.ส.ผุสดี งามขำ คนเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปยังแยกศาลาแดง สวนลุมพินี บริเวณอนุสาวรีย์ รัชกาลที่6 ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของการแรลลี่ในวันนี้ จากนั้นร่วมกันวางพวงหรีดระลึกถึงพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสีลม ก่อนที่นายพายัพ และพ.ต.ท.ไวพจน์ จะร่วมกันจัดรายการรามสูรสด ที่ลานอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6


นายพายัพ กล่าวว่า การออกมาแรลลี่ในครั้งนี้เพื่อแสดงออกให้รัฐบาลรู้ว่าประชาชนมีความต้องการอย่างแรงกล้าให้รัฐบาลตามจับฆาตกรใจหมาที่สั่งฆ่าประชาชนใจกลางเมืองหลวงมาลงโทษให้ได้เสมือนการส่งสัญญาณให้รัฐบาลรู้ว่าต้องทำตามสัญญาที่รัฐบาลเคยให้ไว้ว่าจะดำเนินคดีกับผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปีพ.ศ.2552-2553ที่ผ่านมา และหลังจากการออกมาแสดงพลังของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ จะให้เวลารัฐบาล 2 วันในการให้คำตอบว่าจะดำเนินการอย่างไรกับชายชุดดำ และหากรัฐบาลยังไม่มีคำตอบจะพาคนเสื้อแดงมายื่นหนังสือให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมจะปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบ 1 วัน และในเร็วๆนี้ตนและพ.ต.ท.ไวพจน์จะจัดรายการรามสูร รวมพลคนรักรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมกันปกป้องประชาธิปไตยที่ศาลากลางจ.นนทบุรี


นายพายัพ กล่าวต่อว่า ที่คนเสื้อแดงออกมามากในวันนี้มาจากการที่พวกเขาไม่พอใจการจัดแรลลี่ของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนหน้านี้ซึ่งได้ปราศรัยใส่ร้ายคนเสื้อแดง รวมถึงต้องการออกมาแสดงพลังให้กลุ่มของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่จะจัดชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง ในวันที่ 28 ต.ค. ที่จะถึงนี้ว่าพวกเขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร โดยทั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะจับตาการชุมนุมของกลุ่มพล.อ.บุญเลิศ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์ว่ากลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างไร แต่เท่าที่ดูจากสถานการณ์แล้วคงมีผู้มาร่วมไม่มาก เนื่องจากเรื่องที่จะนำมาไล่รัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่โดนใจประชาชน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการจัดรายการแล้วเสร็จกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทยอยเดินทางกลับบ้าน โดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คลาร์ก เคนท์

$
0
0

"ข้อเท็จจริงกลับถูกแทนที่ด้วยความเห็น ข้อมูลข่าวสารถูกแทนที่ด้วยความบันเทิง ผู้สื่อข่าวกลายมาเป็นนักจดชวเลข ผมไม่อาจจะทนได้ที่จะกลายมาเป็นคนๆ เดียวที่รู้สึกแย่กับกระบวนการทำข่าวทุกวันนี้”

ใน ประชาไทบันเทิง: เมื่อซูเปอร์แมนลาออกจากงานข่าว (มุ่งหน้าเป็นบล็อกเกอร์!?)

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 21 - 27 ต.ค. 2555

$
0
0

กรอ.เล็งเสนอนายกฯ พิจารณาชะลอค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

วันที่ 20 ต.ค. นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.สัญจร ในวันพรุ่งนี้ ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ภาคเอกชนจะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั่วประเทศ ซึ่งจะบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. ปี 2556 ในส่วน 70 จังหวัดที่เหลือออกไปก่อน โดยให้คงค่าจ้างขั้นต่ำไว้จนถึงปี 2558 หลังจากนั้น จะขอให้มีการพิจารณาปล่อยให้ค่าแรงเป็นไปตามกลไกตลาด โดยให้แต่ละพื้นที่มีการแข่งขันกันเองอย่างเสรี

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ควรให้แก่แรงงานที่จบการศึกษาขั้นต่ำประถมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไป เพื่อให้แรงงานพัฒนาด้านการศึกษาไม่ใช่ให้เป็นการทั่วไป และขอให้รัฐบาลหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงนำร่องไปแล้วด้วย เนื่องจากแบกรับภาระไม่ไหว อีกทั้ง ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันต่ำลง

 อย่างไรก็ตาม นายสมมาต คาดว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มพบความยากลำบาก จากปัญหาเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้การหาตลาดยากขึ้น หากมีภาระค่าแรงเข้ามาเพิ่มก็จะยิ่งซ้ำเติมให้ขีดความสามารถทางการแข่งขัน ต่ำลง

(มติชน, 21-10-2555)

 

ก.​แรงงานชี้ 5 ​เดือน​ผู้ประกันตนขอรับ​เงินว่างงานทะลุ 2 ​แสนคน

กองวิจัยตลาด​แรงงาน กรม​การจัดหางาน กระทรวง​แรงงาน ​เผยตัว​เลข​ผู้ประกันตนที่ขึ้นทะ​เบียนขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน ตั้ง​แต่​เดือนพฤษภาคม ​ถึง กันยายนที่ผ่านมาพบว่ามี​ผู้ขอ​ใช้สิทธิ​แล้ว 2 ​แสนคน ​แบ่ง​เป็น​การลาออกจากงาน​เอง 1.79 ​แสนคน ​และถูก​เลิกจ้าง 2.7 หมื่นคน ​ทั้งนี้ข้อมูลพบว่า ​แรงงานอุตสาหกรรมที่มี​ผู้ประกันตนลาออก​และถูก​เลิกจ้างมากที่สุด 5 อันดับ​แรก ประกอบด้วย

1. อุตสาหกรรม​การผลิต มี​ผู้ขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน 7.9 หมื่นคน ​แบ่ง​เป็น ​การลาออก​เอง 6.7 หมื่นคน ​และถูก​เลิกจ้าง 1.2 หมื่นคน

2. อุตสาหกรรม​การขายส่ง ​การขายปลีก ​การซ่อมยานยนต์​และรถจักรยานยนต์ มี​ผู้ขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน 4 หมื่นคน ​แยก​เป็น ลาออก​เอง 3.6 หมื่นคน ​และถูก​เลิกจ้าง 3,898 คน

3. อุตสาหกรรมที่พัก​แรม​และบริ​การด้านอาหาร มี​ผู้ขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน 1.4 หมื่นคน ​แบ่ง​เป็น ลาออก​เอง 1.2 หมื่นคน ​และถูก​เลิกจ้าง 2,341 คน

4. กิจกรรม​การบริหาร​และบริ​การสนับสนุนอื่นๆ มี​ผู้ขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน 1.3 หมื่นคน ​แยก​เป็น​การลาออก​เอง 1.1 หมื่นคน ​และถูก​เลิกจ้าง 1,436 คน

5. ​การก่อสร้าง มี​ผู้ขอรับประ​โยชน์ทด​แทนกรณีว่างงาน 9,980 คน ​แบ่ง​เป็น ​การลาออก​เอง 7,536 คน ​และถูก​เลิกจ้าง 2,444 คน

ส่วนสา​เหตุ​การลาออกจากงาน อาทิ ​การ​เปลี่ยนงาน ​ไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ดู​แลคน​ในครอบครัว ​และหมดสัญญาจ้าง

(อินโฟร์เควสท์, 22-10-2555)

 

ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการบวชไม่ถือเป็นวันลา

นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ครม.ได้เห็นชอบให้ข้าราชการลาอุปสมบท ในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 โดยไม่ถือเป็นวันลาตามที่ กรมการศาสนา(ศน.) กระทรงวัฒนธรรม(วธ.) เสนอ

นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า สำหรับการใช้สิทธิการลาดังกล่าว กำหนดระยะเวลาอุปสมบทไม่เกิน 15 วัน โดยให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมือง และข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว

สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก ส่วนผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้แล้ว จะไม่กระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต นอกจากนี้ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ

หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศ โดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว
"กิจกรรมโครงการนี้ เราจะจัดพร้อมกันในเดือน ธันวาคม เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการได้มีโอกาสบำเพ็ญคุณงามความดี เพื่อถวายเป็น พระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ และเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการทำความดีที่สำคัญผู้เข้าร่วมอุปสมบทจะ ได้รับการอบรมตามหลักสูตรศาสนาศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนดด้วย"รมว.วัฒนธรรม กล่าว

(เนชั่นทันข่าว, 22-10-2555)

 

นำร่องศูนย์ฝึกภาษา 27 แห่ง แห่เข้าอบรมกว่า 2.5 พันคน

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านภาษาต่างประเทศให้แก่นัก เรียน นักศึกษา และแรงงานไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งกระทรวงแรงงานร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้ร่วมกับสถานศึกษาสังกัด ศธ.จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นแล้วในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค (สพภ.) และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.) จำนวน 27 แห่งทั่วประเทศ เช่น นนทบุรี สุพรรณบุรี มหาสารคาม อุบลราชธานี

นพ.สมเกียรติกล่าวว่า ขณะนี้มีสถานศึกษาสังกัด ศธ.เข้าร่วมเป็นศูนย์อบรมย่อย จำนวน 50 แห่ง และได้จัดทำหลักสูตรอบรมด้านภาษา เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน ภาษาอังกฤษเพื่อการบริการและการขาย ภาษาอังกฤษเพื่อการนวด ภาษาจีนเพื่อการทำงาน ภาษาพม่าเพื่อการสื่อสาร โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการอบรมแล้ว จำนวน 2,576 คน

"ได้ให้ กพร.ขยายการจัดตั้งศูนย์อบรมด้านภาษาต่างประเทศให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่ว ประเทศภายในปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มีนโยบายต้องการเร่งพัฒนาทักษะด้านภาษา ต่างประเทศและภาษาอาเซียนให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานไทยในสาขาต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีจุดอ่อนในเรื่องนี้" นพ.สมเกียรติกล่าว

(ประชาชาติธุรกิจ, 23-10-2555)

 

ส.อ.ท.เลิกชง กรอ.ชะลอค่าแรง 300 บาท โดน สศช.เบรกแถมแกนนำเห็นต่าง

นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ไม่สามารถเสนอให้ชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันที่เหลือ 70 จังหวัดที่จะมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2556 ในเวทีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานที่เกาะสมุยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ขอให้ไปหารือกับนายกรัฐมนตรีในเวทีอื่นแยกออกไป

"ถ้าเป็นเวทีอื่น ส.อ.ท.คงแค่ยื่นเรื่องเสนอ หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีคงให้กระทรวงแรงงานไปดูแล แน่นอนว่ากระทรวงแรงงานจะเดินหน้าขึ้นค่าแรงต่อไป เรื่องนี้ ส.อ.ท.ทำดีที่สุดแล้ว ดังนั้นผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอี คงต้องทำใจและดูแลตัวเองต่อไป" นายสมมาตกล่าว

นายสมมาตกล่าวว่า ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 2 (เมษายน-มิถุนายน) ของปี 2556 คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนขึ้นจากผลกระทบค่าแรง เพราะจะส่งผลถึงราคาวัตถุดิบ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังมีผลจากเศรษฐกิจโลกที่ยังถดถอยโดยเฉพาะสหภาพยุโรป อาจทำให้เอสเอ็มอีต้องทยอยปิดกิจการลง และค่าแรงยังมีผลต่อจิตวิทยาทำให้ราคาสินค้าปลายทางขยับตามอย่างเลี่ยงไม่ ได้ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเพราะค่าครองชีพจะสูงกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งดูแลเพราะมาตรการที่ระบุว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอียัง ไม่เป็นรูปธรรม

รายงานข่าวจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประจำเดือนตุลาคม แจ้งว่า ในการประชุมที่ผ่านมาได้พิจารณาวาระค่าแรงเพื่อกลั่นกรองก่อนเสนอกรอ.ซึ่งมี ตัวแทนจาก สศช.เข้าหารือด้วย โดย สศช.ได้ขอให้กกร.เสนอเรื่องดังกล่าวเป็นการส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรีเพราะเห็น ว่าเป็นเรื่องใหญ่ควรหารือกันนอกรอบก่อน ไม่ควรเสนอเข้า กรอ.ทันที ขณะเดียวกันทาง ส.อ.ท.เองยังมีความเห็นที่ต่างกันเพราะระดับแกนนำใน ส.อ.ท.ต่างเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าแรง ทำให้ไม่มีการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง

(มติชน, 23-10-2555)

 

มทร.พระนคร อุ้มพนักงานมหาวิทยาลัย ปรับ​เงิน​เดือน-สวัสดิ​การ ​เทียบ​เท่าข้าราช​การ

รศ.ดวงสุดา ​เต​โชติรส อธิ​การบดี มหาวิทยาลัย​เทค​โน​โลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) ​เปิด​เผยว่า จากผล​การประชุมคณะกรรม​การบริหารงานบุคคลสำหรับพนักงานมหาวิทยาลัย มทร.พระนคร ครั้งที่ 4 /2555 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติอนุมัติร่างประกาศคณะกรรม​การบริหารงานบุคคลสำหรับพนักงาน มหาวิทยาลัย มทร.พระนคร มีผลคับ​ใช้ตั้งวันที่ 1 ตุลาคม 2555 จำนวน 2 ​เรื่อง คือ ​เรื่องหลัก​เกณฑ์​และวิธี​การประ​เมินผล​การปฏิบัติงาน​เพื่อ​เลื่อนค่าตอบ ​แทนพนักงานมหาวิทยาลัย ​และ​เรื่องหลัก​เกณฑ์​และวิธี​การ​เลื่อนค่าตอบ​แทนพนักงานมหาวิทยาลัย ส่งผล​ให้​การปรับ​โครงสร้าง​เงิน​เดือน​เท่า​เทียมกับข้าราช​การ

รศ.ดวงสุดา กล่าวว่า นอกจากนี้จาก​การอนุมัติร่างประกาศดังกล่าว ยังสะท้อน​ให้​เห็นว่า มทร.พระนคร ดู​แลพนักงานมหาวิทยาลัย​ไม่น้อย​ไปกว่าข้าราช​การ ขณะนี้​ได้​เร่งปรับลูกจ้างชั่วคราว​ให้​เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ​เพื่อลด​ความ​เหลื่อมล้ำระหว่างพนักงานมหาวิทยาลัย ข้าราช​การ ​และลูกจ้างชั่วคราว​ในสถาบัน​การศึกษา ที่สำคัญคณะกรรม​การสวัสดิ​การภาย​ใน มทร.พระนคร ยัง​ได้จัดสวัสดิ​การ​ให้พนักงานมหาวิทยาลัย 2 ประ​เภท คือ 1.ประ​เภทสวัสดิ​การสง​เคราะห์ ​ได้​แก่ กรณีสมรส กรณีคลอดบุตร กรณี​เจ็บป่วย กรณี​ถึง​แก่กรรม ส่วนประ​เภทที่ 2 กรณีจัดกิจกรรม ​หรือสวัสดิ​การประ​เภทอื่น ​ได้​แก่ กรณีประสบภัยจาก​การปฏิบัติงาน ​และ​เกิด​ความ​เสียหายร้าย​แรงต่อร่างกาย กรณีสนับสนุนค่า​เชื้อ​เพลิง​ใน​การ​เดินทาง​ไปร่วมพิธีศพ กรณีสนับสนุน​ใน​การตรวจสุขภาพประจำปี กรณีสนับสนุนค่าประกันภัยอุบัติ​เหตุสำหรับบุคลากร ​และยัง​ให้​ความช่วย​เหลือบุคลากรที่ประสบปัญหาอุทกภัยด้วย

“พนักงานมหาวิทยาลัย​เป็นส่วนสำคัญ​ใน​การผลักดัน มทร.พระนคร​ให้มีคุณภาพ ​โดยที่ผ่านมา​ผู้บริหาร มทร.พระนคร ห่วง​ใย ​เอา​ใจ​ใส่สวัสดิ​การของบุคลากรทุกคน รวม​ทั้ง​ได้ปรับ​เงิน​เดือน​ให้​ผู้ที่จบ​การศึกษาปริญญาตรี 15,000 บาท ​เพื่อ​ให้บุคลากรของ มทร.พระนครมีขวัญ​และกำลัง​ใจ​ใน​การ​ทำงาน ​จึงขอ​เชิญชวน​ให้บุคลากรที่มีสิทธิ​ในสวัสดิ​การดังกล่าวมา​ใช้สิทธิอย่าง ​เต็มที่ ​เพราะ​เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัย​เทค​โน​โลยีราชมงคลพระนครจัด​ไว้​ให้​ แล้ว“รศ.ดวงสุดา กล่าว

(แนวหน้า, 23-10-2555)

 

กพร.ตั้งเป้าผลิตแรงงานกว่า 3 แสนคน

นายนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีส่งมอบกำลังแรงงานคุณภาพให้แก่สถานประกอบการใน จังหวัดอุบลราชธานีใน 3 สาขาจำนวน 39 คน แบ่งเป็นสาขาช่างซอมรถยนต์ สาขาเครื่องมือช่างกลและสาขาช่างสีอุตสาหกรรมว่า กพร.ได้ให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค(สพภ.)และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.)พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตามโครงการระบบประกันคุณภาพการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกิจการและ เพิ่มผลิตภาพแรงงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้น ต่ำเป็นวันละ 300 บาท ทั้งนี้ กพร.ตั้งเป้าหมายจะพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งผู้ที่จบม.3 ปวช. ปวส.ที่ว่างงานตลอดทั้งปี โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้ประมาณ 3 แสนคน ภายใต้งบประมาณกว่า 2 พันล้านบาท ทั้งนี้ เยาวชนและผู้ว่างงานที่สนใจสมัครเข้าอบรมได้ที่สพภ.และศฝจ.ทุกแห่ง
อธิบดีกพร. กล่าวอีกว่า ผู้ที่เข้าอบรมจะได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือด้านช่างในสาขาที่สมัครเข้าอบรม และทักษะภาษาอังกฤษ รวมถึงอบรม 9 พฤติกรรมสู่ความสำเร็จ เช่น ความอดทน ซื่อสัตย์ มีวินัยโดยใช้เวลาอบรมและฝึกงานในสถานประกอบการรวมประมาณ 15 เดือน เมื่อจบหลักสูตรอบรมแล้ว สถานประกอบการจะรับผู้ผ่านการอบรมเข้าทำงานโดยได้รับค่าจ้างมากกว่าวันละ 300 บาท นอกจากนี้ กพร.จะร่วมกับผู้ประกอบการต่างๆในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานที่ ทำงานอยู่ในสถานประกอบการต่างๆจำนวน 3 ล้านคนโดยใช้สถานประกอบการเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้วย

"เชื่อว่าโครงการระบบประกันคุณภาพการพัฒนาฝีมือแรงงาน จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสาขาต่างๆในภาพรวมของประเทศได้ หลังจากนี้กพร.จะขยายผลโครงการนี้โดยขอให้กรมการจัดหางาน(กกจ.)ซึ่งจัดงาน นัดพบแรงงานในจังหวัดต่างๆเป็นประจำทุกเดือน ช่วยสำรวจปัญหาความขาดแคลนแรงงานของสถานประกอบการในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ต่างๆ เมื่อมีข้อมูลในเรื่องนี้แล้วกพร. จะได้เร่งฝึกอบรมแรงงานป้อนให้แก่สถานประกอบการโดยในส่วนของปัญหาการขาดแคลน แรงงานสาขาก่อสร้างนั้น กพร.จะนัดประชุมร่วมกับสมาคมผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อจะได้รู้ถึงความต้องการ ด้านแรงงานที่แท้จริง รวมทั้งประสานกับกกจ.ให้จัดงานนัดพบแรงงานโดยเน้นสาขาช่างก่อสร้างด้วย" นายนคร กล่าว

(เนชั่นทันข่าว, 24-10-2555)

 

ชลบุรีจัดทำโครงการศูนย์กำลังคนด้านแรงงาน แก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน

เมื่อเร็วๆนี้ นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการศูนย์ข้อมูลกำลังคนด้านแรงงานจังหวัดชลบุรี ณ ห้องประชุมพระพิพิธโภไคย ศาลากลางจังหวัดชลบุรี ตามที่จังหวัดชลบุรี ได้จัดทำศูนย์กำลังคนด้านแรง ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกระทรวงแรงงาน สถาบันการศึกษา สมาคมบริหารงานบุคคลภาคตะวันออก รวมถึงสถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ของจังหวัดชลบุรี โดยจัดหางานจังหวัดชลบุรี ได้เชิญผู้ประกอบการกว่า 70 แห่ง มาเปิดรับสมัครงานกว่า 5,000 อัตรา

นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรี ได้จัดทำโครงการศูนย์กำลังคนด้านแรงงาน (CHONBURI LABOUR BANK) ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกระทรวงแรงงาน สถาบันการศึกษา สมาคมบริหารงานบุคคลภาคตะวันออก รวมถึงสถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ของจังหวัดชลบุรี ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรมและบริการ และกลุ่มโลจิสติกส์

เนื่องจากจังหวัดชลบุรี รวมถึงจังหวัดเขตรอยต่อโดยรอบ มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความต้องการแรงงานจำนวนมากหลายประเภท มีการหลั่งไหลของแรงงานจากทั่วทุกภูมิภาคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้ามาทำงานและประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยวและภาคเกษตรกรรม ความต้องการกำลังแรงงานจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันด้านแรงงานสูง สถานประกอบการต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในแต่ละปีสูงมากเพื่อการสรรหาแรงงาน กาจัดทำฐานข้อมูลด้านแรงงานเถื่อนเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ ที่จะช่วยแก้ปัญหาแรงงานระยะยาวและเป็น Chonburi Model อีกด้วย

ศูนย์กำลังคนด้านแรงงานจังหวัดชลบุรี เป็นแนวทางการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคน ซึ่งเกิดจากปัญหาการผลิตแรงงานไม่เพียงพอ และคุณภาพกำลังคนไม่ตรองกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงนโยบาย การจัดทำฐานข้อมูลกำลังคนเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาปัญหาดังกล่าว และเป็นหนทางในการเสนอแนะการพัฒนากำลังคนให้มีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานด้านการศึกษา และผู้มีส่วนได้เสีย การจัดเก็บข้อมูลความต้องการแรงงานจากสถานประกอบการ นายจ้าง นักบริหารงานบุคคล หน่วยงานบริการจัดหางาน ผ่านช่องทาง Website http//:www.cld.go.th หลังจากนั้นผู้จัดการข้อมูลทำหน้าที่จัดเก็บ จำแนก ประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ในการพัฒนากำลังคนของจังหวัดต่อไป

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 24-10-2555)

 

จัดหางานย​โสธร​เตือนระวัง มา​เลย์จ้าง​แรงงานหญิง​แต่งงาน

นายปรีชา อินทรชาธร จัดหางานจังหวัดย​โสธร ​เปิด​เผยว่า สำนักงาน​แรงงาน​ในมา​เล​เซีย​แจ้งข้อมูล​เกี่ยวกับ​การร้องทุกข์ของ​แรงงาน หญิง​ไทยที่​เดินทาง​ไป​ทำงาน​ในประ​เทศมา​เล​เซีย ​โดยบริษัทนายจ้าง​ในประ​เทศมา​เล​เซียมี​การจ้าง​แรงงานหญิง​ไทยด้วย​การ​ เสนอ​ให้​แต่งงานกับ​ผู้ประกอบ​การ ​หรือ​เจ้าของบริษัท มี​การวาง​เงินสินสอด​ให้ครอบครัวของ​แรงงานหญิง​ไทย​และมี​การ​ทำสัญญากัน​ เป็นลายลักษณ์อักษร​เกี่ยวกับ​เงื่อน​ไข​ใน​การ​ทำงาน พร้อม​ทั้งจัด​ทำ​ใบอนุญาต​ทำงาน​ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ​แต่​เนื่องจาก​เจ้าของบริษัทมีภรรยาอยู่ก่อน​แล้วหลายคน ตามหลัก​การของศาสนาอิสลาม​ผู้ชายจะสามารถสมรสกับสตรี​ได้​ไม่​เกิน 4 คน ​ทำ​ให้หญิง​ไทย​ไม่สามารถ​ทำ​ใจยอมรับ​ได้​จึง​เดินทางกลับประ​เทศ​ไทย

สำนักงานจัดหางาน จ.ย​โสธร ​จึงขอประชาสัมพันธ์​ให้​แรงงานหญิง​ไทยที่จะ​เดินทาง​ไป​ทำงาน​ในมา​เล​ เซียตรวจสอบข้อมูล​ให้​แน่ชัดก่อนตัดสิน​ใจ​เดินทาง​ไป​ทำงาน​ในลักษณะดัง กล่าว หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามรายละ​เอียด​เพิ่ม​เติม​ได้ที่ สำนักงานจัดหางาน จ.ย​โสธร ​โทรศัพท์หมาย​เลข 0-4572-2057

(แนวหน้า, 24-10-2555)

 

กพร.ตั้งเป้าผลิตแรงงานกว่า 3 แสนคน

นายนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีส่งมอบกำลังแรงงานคุณภาพให้แก่สถานประกอบการใน จังหวัดอุบลราชธานีใน 3 สาขาจำนวน 39 คน แบ่งเป็นสาขาช่างซอมรถยนต์ สาขาเครื่องมือช่างกลและสาขาช่างสีอุตสาหกรรมว่า กพร.ได้ให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค(สพภ.)และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.)พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตามโครงการระบบประกันคุณภาพการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกิจการและ เพิ่มผลิตภาพแรงงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้น ต่ำเป็นวันละ 300 บาท ทั้งนี้ กพร.ตั้งเป้าหมายจะพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งผู้ที่จบม.3 ปวช. ปวส.ที่ว่างงานตลอดทั้งปี โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้ประมาณ 3 แสนคน ภายใต้งบประมาณกว่า 2 พันล้านบาท ทั้งนี้ เยาวชนและผู้ว่างงานที่สนใจสมัครเข้าอบรมได้ที่สพภ.และศฝจ.ทุกแห่ง
อธิบดีกพร. กล่าวอีกว่า ผู้ที่เข้าอบรมจะได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือด้านช่างในสาขาที่สมัครเข้าอบรม และทักษะภาษาอังกฤษ รวมถึงอบรม 9 พฤติกรรมสู่ความสำเร็จ เช่น ความอดทน ซื่อสัตย์ มีวินัยโดยใช้เวลาอบรมและฝึกงานในสถานประกอบการรวมประมาณ 15 เดือน เมื่อจบหลักสูตรอบรมแล้ว สถานประกอบการจะรับผู้ผ่านการอบรมเข้าทำงานโดยได้รับค่าจ้างมากกว่าวันละ 300 บาท นอกจากนี้ กพร.จะร่วมกับผู้ประกอบการต่างๆในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานที่ ทำงานอยู่ในสถานประกอบการต่างๆจำนวน 3 ล้านคนโดยใช้สถานประกอบการเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้วย

"เชื่อว่าโครงการระบบประกันคุณภาพการพัฒนาฝีมือแรงงาน จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสาขาต่างๆในภาพรวมของประเทศได้ หลังจากนี้กพร.จะขยายผลโครงการนี้โดยขอให้กรมการจัดหางาน(กกจ.)ซึ่งจัดงาน นัดพบแรงงานในจังหวัดต่างๆเป็นประจำทุกเดือน ช่วยสำรวจปัญหาความขาดแคลนแรงงานของสถานประกอบการในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ต่างๆ เมื่อมีข้อมูลในเรื่องนี้แล้วกพร. จะได้เร่งฝึกอบรมแรงงานป้อนให้แก่สถานประกอบการโดยในส่วนของปัญหาการขาดแคลน แรงงานสาขาก่อสร้างนั้น กพร.จะนัดประชุมร่วมกับสมาคมผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อจะได้รู้ถึงความต้องการ ด้านแรงงานที่แท้จริง รวมทั้งประสานกับกกจ.ให้จัดงานนัดพบแรงงานโดยเน้นสาขาช่างก่อสร้างด้วย" นายนคร กล่าว

(เนชั่นทันข่าว, 24-10-2555)

 

ก่อสร้างไทยส่อวิกฤติ ขาดแรงงานกว่า 3 แสนคน

นายจักรพร อุ่นจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในขณะนี้พบว่า ผู้ประกอบไม่สามารถขยายงานได้ตามแผนที่วางไว้ และเริ่มชะลอรับงานใหม่

สาเหตุเนื่องมาจากการขาดแคลนแรงงานกว่า 300,000 คน โดยเฉพาะโครงการบ้านที่อยู่อาศัย ที่ส่งผลให้การส่งมอบบ้านให้ลูกค้าล่าช้าตามไปด้วย และยังคาดการณ์ว่าแรงงานที่มีในปัจจุบันไม่เพียงพอสำหรับโครงการก่อสร้างใน ปี 2555-2556

นายจักรพร ยังกล่าวถึงแรงงานของไทยในปัจจุบันว่า แรงงานไทยตอนนี้เฉลี่ยมีอายุมากขึ้น อีกทั้งเด็กใหม่มักจะเลือกงานบริการมากกว่าที่จะใช้แรงงาน โดยเฉพาะในภาคก่อสร้างที่ถูกมองว่าเป็นงานหนัก แม้ว่าเอกชนพยายามหาเทคโนโลยีมาทดแทน แต่ก็ไม่สามารถจะรองรับได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังประเมินว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบ หลังจากกรณีที่ พม่ามีการรณรงค์ให้แรงงานที่อยู่ในต่างประเทศกลับเข้าไปทำงานในประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวในการก่อสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ รวมถึงระบบสาธารณูปโภค จากการที่พม่าได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ในปี 2556 ด้วย

(Mthai News, 24-10-2555)

 

ฝึกทหารเป็นสิงห์รถบรรทุกรับเปิดเสรีอาเซียน

ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ศ.ดร.สุจินต์ จินายน อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมด้วยพล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 นายวัฒนา พัทรชนม์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายวชิรศักดิ์ เล้าประเสริฐ นายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และพลเอก ดร.ศิริ ทิวะพันธุ์ ประธานสถาบันพัฒนาสี่แยกอินโดจีน ได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง 5 หน่วยงาน ในการจัดฝึกอบรมพนักงานขับรถบรรทุก เพื่อผลิตพยักงานขับขี่รถที่มีคุณภาพ ลดปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถในภาคการขนส่ง พร้อมทั้งยกระดับพนักงานขับรถให้มีความรู้ ความสามารถทั้งในเรื่องของการขับขี่รถที่ถูกต้องปลอดภัย และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่ง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สนับสนุนกำลังพลซึ่งปลดประจำการให้มีทักษะวิชาชีพ และมีแหล่งงานรองรับที่ชัดเจน และถือว่าเป็นกิจกรรมนำร่องในการบูรณาการ ความร่วมมือทุกภาคส่วนในการจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อไป โดยเบื้องต้นผู้เข้ารับการอบรมจะมาจากกำลังพลซึ่งปลดประจำการในสังกัดกองทัพ ภาคที่ 3 ซึ่งมีระยะเวลาในการฝึกอบรมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์

ทั้งนี้ทางวิทยาลัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยนรศวร ได้เล็งเห็นความสำคัญของการยกระดับวิชาชีพพนักงานขับรถบรรทุก ทั้งนี้การจัดการโซ่อุปทาน ในอุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ ยังถือว่าขาดแคลนเป็นอย่างมาก และจากการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของระบบโลจิสติกส์ไทยใน ปัจจุบันพบว่าประสิทธิภาพของการจัดการโลจิสติกของไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่ค้า ทั้งในด้านศักยภาพผู้ขับขี่และด้านต้นทุน จำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในทุกระดับเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การ เป็นประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนดังกล่าว

ดร.ดุษฏี สถิรเศรษฐวี รองผอ.วิทยาลัยโลจีนติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผยว่า สมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ได้มาปรึกษาวิทยาลัยฯ อยากพัฒนาพนักงานขับรถบรรทุกที่มีคุณภาพ และให้มีเพียงพอกับความต้องการของผู้ประกอบการ ที่ปัจจุบัน มีรถบรรทุก 30 % ที่ต้องจอดอยู่เฉย ๆ เนื่องจากขาดพนักงานขับรถบรรทุก จึงปรึกษากับกรมการขนส่งทางบก และได้รับคำตอบว่ามีโครงการอบรมพนักงานขับรถบรรทุก แต่คนที่จะเข้ามาในตลาดนี้มีไม่มาก และสถิติการเกิดอุบัติเหตุก็มีมาก พนักงานขับรถขาดการควบคุมยานพาหนะอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศไทย กำลังจะเปิดเสรีอาเซียน หากผู้ขับรถบรรทุกมีไม่เพียงพอ ก็จะขาดโอกาส จึงประสานกับกองทัพภาคที่จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา โดยดึงกำลังพลที่ใกล้จบประจำการ มาฝึกอบรมเป็นพนักงานขับรถบรรทุก มีระยะเวลาฝึกอบรม 12 สัปดาห์ ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ และภายหลังจากการฝึกอบรม ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับใบอนุญาตขับขี่รถบรรทุกของกรมการขนส่งทางบก และมีโอกาสได้เข้าทำงานกับผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ที่เป็นสมาชิกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย โดยมีรายได้และสวัสดิการที่เหมาะสม

(เนชั่นทันข่าว, 24-10-2555)

 

แรงงานไทยในอิสราเอลได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 รายจากการปะทะกัน

24 ต.ค. 55 - เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยใน อิสราเอล ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในเมืองเอสโก โดยระบุว่า

ด้วยวันนี้ (๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕) นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจากการปะทะระหว่าง อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ในเมืองเอสโก (Eshkol) ใกล้บริเวณฉนวนกาซา โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ดังนี้

๑. สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้รายงานว่า เมื่อวันนี้ (๒๔ ต.ค. ๒๕๕๕) เวลา ๐๗.๐๐ น. (เวลาท้องถิ่น) ได้มีการปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส โดยมีการยิงจรวดจากฉนวนกาซาเข้ามาในเมือง Eshkol ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิสราเอล ทำให้แรงงานไทย ๓ คน ซึ่งกำลังทำงานในฟาร์มเลี้ยงไก่ได้รับบาดเจ็บ โดยจำนวน ๒ คนบาดเจ็บสาหัส และ ๑ คน บาดเจ็บเล็กน้อย ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ทางการอิสราเอลได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับผู้บาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาลโซโรกา (Soroka) ในเมืองเบียเชวา (Beer Sheva)

๒. ขณะนี้ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บทั้งสามที่โรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว เพื่อเตรียมประสานงานและให้ความช่วยเหลือ โดยทราบว่าผู้ที่บาดเจ็บสาหัส ๒ คน อยู่ระหว่างการผ่าตัด ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการประสานแจ้งให้ญาติแรงงานไทยดังกล่าว ซึ่งมีภูมิลำเนาที่ จ.อุดรธานี (๒ คน) และ จ.นครพนม (๑ คน) แล้ว

๓. นอกจากนี้ นายมนัสวีให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยในอิสราเอลประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน โดยมีประมาณ ๒๗,๐๐๐ คน ทำงานในภาคการเกษตร และในกรณีที่แรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนั้น หากเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทางการอิสราเอล และบริษัทจัดหางานจะรับผิดชอบด้านการรักษาพยาบาล.

(ไทยรัฐ, 24-10-2555)

 

แรงงานแนะอย่าพกยาเข้ายูเออี

นายอนุสรณ์ ไกรวัฒนุสสรณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายบัญญัติ ศิริปรีชา อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ณ กรุงอาบูดี สหรัฐอาหรับเอมิเรต ว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายสเหมียน ศรีสะอาด แรงงานไทยจาก จ.ตาก อายุ 41 ปี ถูกนำขึ้นศาลอาบูดาบี ในข้อหานำยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม จำนวน 195 เม็ด ยาแก้แพ้ จำนวน 195 เม็ด และยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (Tramadol) จำนวน 30 เม็ด เข้าประเทศ โดยนายสเหมียน ถูกจับที่สนามบินอาบูดาบี ซึ่งศาลตัดสินจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 ดีแรห์ม หรือประมาณ 178,000 บาท และจะถูกเนรเทศ ห้ามเข้ายูเออีตลอดชีวิต

ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ทางการสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ออกประกาศ เรื่อง ยารักษาโรคต้องห้ามและเข้มงวด 374 รายการ ส่วนหนึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่คนไทยซื้อหากันได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ประเทศยูเออีห้ามนำเข้า ดังนั้น แรงงานไทยทุกคนที่จะเข้ามาทำงานในประเทศยูเออี ไม่ควรนำยาเข้ามาโดยเด็ดขาด ยกเว้นมีใบรับรองแพทย์เป็นภาษาอังกฤษระบุว่า จำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาโรคดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีแรงงานไทยถูกจับมาแล้ว 4 ราย

ขอเตือนให้แรงงานทุกคนควรระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มาก ก่อนเดินทางออกจากประเทศไทย กำชับให้กรมการจัดหางาน (กกจ.) เร่งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับแรงงานไทย และสั่งให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิสอบถามแรงงานไทยอีกครั้ง ก่อนการเดินทางด้วย อย่างไรก็ตาม แรงงานที่จะเดินทางไปทำงานที่ยูเออีสามารถตรวจสอบรายละเอียดสิ่งของต้องห้าม ก่อนการเดินทางได้ที่ www.overseas.doe.go.th

(เนชั่นทันข่าว, 25-10-2555)

 

ห่วงพยาบาล​เจอ 2 ​เด้ง​เปิด​เออีซีส่อตกงานอื้อ

ดร.กฤษดา ​แสวงดี อุปนายกสภา​การพยาบาล กล่าวปาฐกถา​เรื่อง​การ​เตรียม​ความพร้อมพยาบาล​ไทยสู่อา​เซียน ตอนหนึ่งว่า จาก​การสำรวจ​ความ​เข้า​ใจของบุคลากร 7 สาขาที่จะ​เปิด​ให้มี​การ​เคลื่อนย้าย​แรงงาน​ได้หลัง​เปิดประชาคมอา​เซียน นั้น พบว่า บุคลากรด้าน​การพยาบาลมี​ความรู้​ความ​เข้า​ใจ​ใน​เรื่องนี้​เพียง10% ​เท่านั้น ​ในขณะที่​ความท้าทาย​ในระบบบริ​การสุขภาพที่จะ​เกิดจาก​การรวม​เป็นประชาคม นั้นมีหลาย​เรื่อง​ทั้ง​โรคติดต่อ ​โรคอุบัติ​ใหม่ ​และ​การควบคุม​โรค ​การ​เคลื่อนย้าย​แรงงาน​ซึ่งถือ​เป็น​เรื่องที่อ่อน​ไหวมาก​เพราะปัจจุบัน ประ​เทศ​ไทยยังขาด​แคลนบุคลากรทาง​การ​แพทย์อีก​เยอะ

ทั้งนี้ ​การขาด​แคลนกำลังคน​เป็น​เรื่องสำคัญ​เพราะ​ผู้ป่วยมากขึ้น ​โรคมี​ความซับซ้อนมากขึ้น ที่สำคัญคือ​การออกจากระบบของ​แรงงานภาครัฐ ​ซึ่งพบว่า​การ​เติบ​โตของ​เศรษฐกิจ​โลก​ทำ​ให้ตลาดงาน​เปิดมากขึ้น ​เมื่อมี​เมดิคัลฮับมี​การส่ง​เสริม​ให้ต่างชาติ​เข้ามารักษา​ในประ​เทศ​ไทย ​โดยส่วน​ใหญ่​เป็นบริ​การของ​โรงพยาบาล​เอกชน ​ทำ​ให้ต้อง​ใช้พยาบาลมากขึ้น ซ้ำ​เติมปัญหา​ความขาด​แคลน ​แต่ตนยัง​ไม่กังวล​เรื่องพยาบาลจากต่างประ​เทศจะ​เข้ามา​แย่งงานของพยาบาล​ ในประ​เทศ​ไทย ​เพราะยังมีข้อกำหนด​เรื่อง​การสอบ​ใบอนุญาตที่ต้อง​ทำตามข้อกำหนดของประ​ เทศ​ไทยอยู่ ​แต่​ไม่สามารถนิ่งนอน​ใจ​ได้ว่าข้อกำหนด​การขอ​ใบอนุญาตจะคุ้มครองพยาบาล​ ไทย​ได้​ถึง​เมื่อ​ไหร่​เพราะหากบุคลากร​ในประ​เทศ ​ไทย​เอง​ไม่มี​ความพร้อมอาจจะมี​การ​เรียกร้อง​ให้มี​การ​แก้​ไขข้อกำหนด ​เพื่อ​ให้มี​การนำ​เข้าพยาบาลต่างประ​เทศ​เข้ามาทด​แทน

"​เราต้อง​เตรียม​ความพร้อมของตัว​เอง​ให้​เป็นคนที่มีคุณภาพ ภาษาต้องดี อย่า​ให้กลายมา​เป็นอุปสรรค ที่ผ่านมา​เคยมีคนถามว่า​ทำ​ไม​เรา​ไม่ผลิตพยาบาล​เพิ่มขึ้น ถ้า​เหลือ ​เรา​ก็ส่งออก​ได้ ​แต่ดิฉันตอบ​ไปว่า ​เรา​เป็น​ผู้ผลิตนักวิชาชีพที่ต้องดู​แลชีวิตคน ​ไม่​ใช่ผลิต​เครื่องจักร​เราต้อง​การผลิตคนที่มีคุณภาพ มีสมรรถภาพสากล ​ไม่​ใช่ผลิต​เอาปริมาณ ​เพราะฉะนั้น ​เราต้องมาทบ ทวน ว่า​เราพร้อม​เพียง​ใด อะ​ไรที่​เป็นจุด​แข็ง อะ​ไร​เป็นจุดอ่อน ​และจะพัฒนาอย่าง​ไร" ดร. กฤษดากล่าว

ศ.​เกียรติคุณ ดร.วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาพ​การยาบาล กล่าวว่า ​การก้าว​เข้าสู่ประชา คมอา​เซียนจำ​เป็นมากที่ต้องผลิตพยาบาล​เพิ่ม​ให้​เพียงพอที่จะบริ​การ​ผู้ ป่วยที่​เพิ่มมากขึ้นด้วย ​แต่ปัจจุบันยังมีปัญหา​เรื่อง​การขาด​แคลนบุคลากรทาง​การ​แพทย์​ทั้งหมด ​โดย​ในส่วนของพยาบาลนั้น ขณะนี้ขาด​แคลนพยาบาล​ทำงานอยู่ประ มาณ 40,000 คน ​ในขณะที่กำลัง​การผลิต​ทำ​ได้ปีละ 8,500 คน คาดว่าภาย​ใน 4 ปีนี้น่าจะมีพยาบาล​เพียงพอ ​แต่ต้องดึงคน​ให้อยู่​ในระบบ​ให้​ได้

"อาจารย์ที่สอนด้าน​การพยาบาลมีประ มาณ 4,000 คน ​แต่ประมาณ 30% คือ​ผู้ที่มีอายุ​เกิน 50 ปีขึ้น​ไป ​ในอีก 10 ข้างหน้าหาก​ไม่มีตำ​แหน่งรองรับคน​เหล่านี้ ​หรือตำ​แหน่ง​ใหม่​ให้คนก้าว​เข้ามา จะ​ทำ​ให้อาจารย์สอนด้าน​การพยาบาลขาด​แคลน​ได้​เช่นกัน" นายกสภา​การพยาบาลกล่าว

​ผู้สื่อข่าวถาม​ถึง​ความคืบหน้ากรณีพยาบาลลูกจ้าง​เรียกร้อง​ให้บรรจุ​ เป็นข้าราช​การ ศ.ดร.วิจิตรกล่าวว่า ​การ​เพิ่มอัตรากำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขขึ้นอยู่กับ ก.พ. อีก​ทั้งยัง​เป็นน​โยบายของรัฐบาลที่​ไม่​ให้​เพิ่มอัตราข้าราช​การ ​ซึ่งตน​เห็นว่าต้อง​เปลี่ยนน​โยบาย ว่าวิชาชีพ​ใดที่ขาด​แคลน​ไม่ต้อง​ใช้ข้อกำหนด​เหมือนวิชาชีพอื่น​และที่ ผ่านมาสภา​การพยาบาล​ได้​ทำหนังสือ​ถึงรัฐบาล​เพื่อชี้​ให้​เห็น​ถึง​ความ สำคัญของพยาบาลหลายครั้ง​แล้ว ​ก็​ได้คำตอบ​เหมือน​เดิม คือรับทราบ​และอยู่ระหว่างดำ​เนิน​การ ​แต่​เมื่อวันที่22 ต.ค.ที่ผ่านมา ตน​ได้มี​โอกาส​ได้พบกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ​จึง​ได้สอบถาม​ความคืบหน้า​เรื่องดังกล่าว​โดยนายกิตติรัตน์​ได้​แจ้งกับตน ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มี​ความ​เป็นห่วง​ใน​เรื่องดังกล่าว​จึง​ได้​เร่งรัดหน่วยงานที่​เกี่ยวข้อง ดำ​เนิน​เรื่อง​ให้​แล้ว​เสร็จภาย​ในสิ้น​เดือน พ.ย.นี้.

(ไทยโพสต์, 25-10-2555)

 

อิสราเอล-บริษัทช่วย 3 แรงงานไทย สถานทูตติดตามอาการบาดเจ็บ

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ  นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ กล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่กอง กำลังปาเลสไตน์ยิงจรวดถล่มบริเวณฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล รายงานว่าแรงงานไทย 3 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ อาศัยอยู่ในเมืองเอชโคล ซึ่งทำงานในนิคมเกษตรของเมืองดังกล่าว ทั้งนี้ คนไทย 3 คนนี้ได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลโซโรกา เมืองเบียเชวาแล้ว และแพทย์กำลังผ่าตัดช่วยชีวิต ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทยฯกำลังติดตามผลการผ่าตัด ขณะเดียวกันก็ได้ติดต่อไปยังญาติของทั้ง 3 คนเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบด้วย

นายมนัสวี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ยังได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยอีกหลายคนที่อยู่ในนิคมเกษตรดังกล่าว เพื่อปลอบขวัญ ให้กำลังใจ และให้คำแนะนำในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ทางการอิสราเอลมีแนวทางปฏิบัติมาตรฐานในกรณีเช่นนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะมีการนำส่งโรงพยาบาล การอพยพ และการให้ค่าชดเชย ซึ่งกรณีนี้บริษัทที่นำแรงงานข้ามาได้ให้การช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายของ แรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว สถานเอกอัครราชทูตไทยฯจะได้ติดตามการชดเชยและให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด แก่คนไทยที่ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยขอขอบคุณรัฐบาลอิสราเอลที่ให้การดูแลแรงงานไทย และอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยฯในการเข้าเยี่ยมแรง งานไทยอย่างใกล้ชิด

เมื่อถามว่ามีแรงงานไทยต้องการขอกลับประเทศหรือไม่ นายมนัสวี กล่าวว่า ยังไม่มีแรงงานไทยคนใดร้องขอเดินทางกลับ เมื่อถามต่อว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยฯประเมินสถานการณ์อย่างไร นายมนัสวี กล่าวว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยฯมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นการปะทะที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ยังไม่ใช่สถานการณ์สงคราม ซึ่งเรามีแผนที่รองรับอยู่แล้ว โดยตอนนี้ได้มีการเตือนคนไทยให้ระมัดระวังในการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม การอพยพคนไทยกลับประเทศนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละคนว่าต้องการจะกลับประเทศหรือไม่ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมีความกังวลต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจา สันติภาพ

(เดลินิวส์, 25-10-2555)

 

ชาวจุฬาฯเฮ! ฐานเงินเดือนใหม่

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ศ.กิตติคุณ ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีมติเห็นชอบนโยบายการบริหารงานบุคคลของจุฬาฯ พร้อมโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ ซึ่งจะครอบคลุมการปรับเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยที่เข้าใหม่ สายปฏิบัติการ ปริญญาตรี สาขาทั่วไป 16,500 บาท จากเดิม 11,000 บาท และจะเพิ่มขึ้นจนถึงกว่า 20,000 บาทในสาขาขาดแคลน

ส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ อัตราแรกเข้า ปริญญาเอก 35,450 บาท จากเดิม 21,000 บาท ปริญญาโท 25,100 บาท จาก 14,000 บาท ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 พร้อมกันนี้จะปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยเดิม จำนวนร้อยละ 70 ของจำนวนพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด 5,000 คน ในอัตราที่เหมาะสม เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและเพื่อที่มหาวิทยาลัยจะได้ คัดสรรบุคลากรที่มีศักยภาพรองรับการทำหน้าที่ทางวิชาการเพื่อรับใช้สังคมต่อ ไป

(เดลินิวส์, 26-10-2555)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สองฝ่ายในซีเรียละเมิดข้อตกลงหยุดยิงช่วงวันอีด

$
0
0

หลังรัฐบาลประกาศยอมรับข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวในช่วงวันอีดซึ่งเสนอโดยสหประชาชาติ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็กลับมาปะทะกันโดยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มต้นใช้ความรุนแรงก่อน ผู้นำศาสนาในพิธีฮัจญ์เทศนาให้ชาวอาหรับและชาวมุสลิมช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่



 

28 ต.ค. 2012 - สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในซีเรียยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่ารัฐบาลจะประกาศสงบศึกชั่วคราวเนื่องในวันอีดอัฎฮาแล้วก็ตาม

กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเปิดเผยว่ารัฐบาลได้ระดมยิงอาวุธหนักใส่ในหลายพื้นที่ของเมืองใหญ่ นักกิจกรรมในเมืองดิแอร์ อัล-ซอร์, เขตของชานเมืองของดามาสกัสและในอเล็ปโป ที่กลุ่มกบฏครอบครองพื้นที่โดยมากได้อยู่ บอกว่ามีการยิงปืนครกใส่เขตที่อยู่อาศัยของประชาชนเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์

การยิงวัตถุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 2 ของการประกาศสงบศึกโดยผู้แทนพิเศษ ลัคห์ดาร์ บราฮิมี ที่หวังว่าการหยุดยิงชั่วคราวในครั้งนี้จะช่วยปูแนวทางไปสู่การหยุดยั้งความขัดแย้งที่ดำเนินมาตลอด 19 เดือน ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลให้ข้อมูลว่ามีคนเสียชีวิตไปแล้วทั้งหมด 32,000 คน

รายงานข่าวระบุว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ละเมิดสัญญาหยุดยิงหลังจากที่ประเทศซีเรียอยู่ในความสงบช่วงวันอีดวันแรก

"กองกำลังรัฐบาลเริ่มยิงปืนครกเมื่อช่วง 7 นาฬิกาตอนเช้า มีการระเบิดเกิดขึ้นนับได้ 15 ครั้ง และเราก็ทราบว่ามีประชาชน 2 รายเสียชีวิต" โมฮัมเม็ด โดวมานี นักกิจกรรมจากเขตชานเมืองโดวมาของกรุงดามาสกัสกล่าว เขตโดวมาเป็นเขตที่มีฐานทัพของฝ่ายกบฏอยู่

"ในตอนนี้ผมไม่เห็นความแตกต่างระหว่างก่อนประกาศหยุดยิงและหลังประกาศหยุดยิงเลย" โดวมานีกล่าว


ข้ออ้างจากทั้งสองฝ่าย

ทางด้านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลซีเรียรายงานว่า 'กลุ่มก่อการร้าย' ได้วางระเบิดรถยนต์บนถนนหลักของดิแอร์ อัล-ซอร์

ผู้ประกาศข่าวช่องรัฐบาลซีเรียรายงานว่า "กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งโดยการวางระเบิดรถยนต์หน้าโบสท์ซีแรค ในดิแอร์ อัล-ซอร์ สร้างความเสียหายต่อด้านหน้าของโบสท์"

นักกิจกรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกล่าวหาว่าฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ก่อเหตุ ขณะที่แหล่งข่าวของกองกำลังกบฏ FSA บอกว่าสมาชิกของตน 4 รายเสียชีวิตจากเหตุระเบิดดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ทั้งฝ่ายรัฐบาลซีเรียและฝ่ายกบฏต่างก็ยอมรับข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวในช่วงวันอีด 4 วัน แต่ก็ยังขอใช้สิทธิในการตอบโต้การโจมตีจากฝ่ายตกข้าม

กองทัพรัฐบาลซีเรียอ้างว่าพวกเขาตอบโต้การโจมตีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยผู้นำเหล่าทัพบอกว่า 'ผู้ก่อการร้าย' ได้ละเมิดการหยุดยิงโดยการยิงมาที่จุดตรวจ และใช้อาวุธระเบิดกับสารวัตรทหารที่ตรวจการอยู่ในอเล็ปโป

แต่ทางด้านผู้บัญชาการฝ่ายกบฏก็บอกว่าตนไม่ได้เป็นผู้ละเมิดสัญญาหลุดยิง แต่กระทำการไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว

"ผมอยู่ในแนวหน้าหลายที่เมื่อวานนี้ กองทัพรัฐบาลไม่ยอมหยุดใช้อาวุธหนักยิงถล่ม" อับเดล แจบบาร์ อัล-โอคาดี ผู้นำกองกำลังฝ่ายกบฏในเมืองอเล็ปโปกล่าว "ภารกิจของพวกเราคือการปกป้องผู้คน ไม่ใช่ฝ่ายเราที่เป็นฝ่ายโจมตี"

นอกจากนี้สื่อฝ่ายรัฐบาลยังได้รายงานเรื่องเหตุระเบิดรถยนต์เมื่อวันศุกร์ (26) ที่ผ่านมา แรงระเบิดส่งผลกระทบกับย่านที่พักอาศัยโดยรอบที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวอาศัยอยู่ เป็นเหตุให้มีอย่างน้อย 8 คนเสียชีวิต


อิหม่ามในพิธีฮัจญ์เรียกร้องให้ชาวอาหรับและชาวมุสลิมช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่

อิหม่ามประจำมหามัสยิดกรุงเมกกะที่มีผู้คนหลายล้านคนได้เข้าร่วมพิธีฮัจญ์ได้เรียกร้องให้ชาวอาหรับและชาวมุสลิมดำเนินการโดยด่วนตามแนวทางที่เป็นไปได้เพื่อยับยั้งการนองเลือดในซีเรีย

"โลกควรมีส่วนรับผิดชอบต่อหายนะที่สาหัสและยาวนานในซีเรีย และความรับผิดชอบที่ว่านั้นควรจะมีมากกว่าในหมู่ชาวอาหรับและชาวมุสลิม ผู้ที่ควรเรียกร้องให้ทุกคนสนับสนุนให้ผู้ที่ถูกกดขี่ต่อต้านผู้กดขี่" ชีค ซาเลห์ โมฮัมเม็ด อัล-ทาเลบ กล่าวในช่วงเทศน์วันอีด

"การแก้ไขปัญหานี้ควรเป็นไปอย่างเร่งด่วยและทำตามแนวทางที่เป็นไปได้ เนื่องจากผู้กดขี่นับวันยิ่งจะโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ"


ที่มา:

Syria fighting rages despite truce deal, Aljazeera, 27-10-2012
http://www.aljazeera.com/news/middleeast/2012/10/201210278422871248.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3

$
0
0

โปรดเกล้าฯ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 แล้ว "ปลอดประสพ" นั่งรองนายกฯ "พงศ์เทพ" รองนายกฯควบ รมว.ศธ. "จารุพงศ์" คุมมหาดไทย "ณัฐวุฒิ" นั่งรมช.พาณิชย์



28 ต.ค. 55 - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่าราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ครม.ยิ่งลักษณ์3) ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 5 ส.ค. 2554 และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศลงวันที่ 9 ส.ค. 2554  และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ 18 ม.ค. 2555 นั้น

บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 และมาตรา 183 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

2.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

3.นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

4.นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

5.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

6.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

7.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

8.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

9.นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

10.นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

11.นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

12.นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

13.นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

14.นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

15.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

16.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

17.นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

18.นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุขพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

19.นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุขพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

20.ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรมพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

 

ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง

2.นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นรองนายกรัฐมนตรี

3.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ

4.นายวราเทพ รัตนากร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

5.น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

6.นายยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็นรมว.เกษตรและสหกรณ์

7.นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ เป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์

8.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์

9.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นรมว.คมนาคม

10.พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต เป็นรมช.คมนาคม

11.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นรมช.คมนาคม

12.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นรมว.พลังงาน

13.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรมช.พาณิชย์

14.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นรมว.มหาดไทย

15พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นรมช.มหาดไทย

16.นายประชา ประสพดี เป็นรมช.มหาดไทย

17.นายสนธยา คุณปลื้ม เป็นรมว.วัฒนธรรม

18.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็นรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

19.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรมช.ศึกษาธิการ

20.นายประดิษฐ สินธวณรงค์ เป็นรมว.สาธารณสุข

21.นายชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรมช.สาธารณสุข

22.นายประเสริฐ บุญชัยสุข เป็นรมว.อุตสาหกรรม

23.นายฐานิสร์ เทียนทอง เป็นรมช.อุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 27 ต.ค. 2555 เป็นปีที่ 67 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.สธ.สั่งกรมเจรจาฯ รับข้อห่วงใยผลกระทบเอฟทีกับอียูต่อการเข้าถึงยา

$
0
0

เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนของเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและภาคประชาสังคม 14 องค์กรที่ขอให้พิจารณาตรวจสอบกระบวนการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านยา โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า กระบวนการจัดทำความตกลงข้างต้นของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ขัดกับหลักเกณฑ์ว่าด้วยการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 หรือไม่ และได้มีการกำหนดกรอบการเจรจาในประเด็นที่จะมีลักษณะทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่เจรจา อาทิ การขยายระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขมากเกินไปกว่าข้อตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวพันกับการค้า (TRIPS) ขององค์การการค้าโลกซึ่งเงื่อนไขดังกล่าว อาจทำให้เกิดการผูกขาดสินค้าประเภทเภสัชภัณฑ์ ประชาชนจำนวนมากจะไม่สามารถเข้าถึงยาที่มีสิทธิบัตรที่มีราคาสูงกว่ายาชื่อสามัญ (Generic Drugs) เพราะประเทศไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดซื้อยาดังกล่าวหรือไม่

ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการ อย. ได้ให้ความเห็นกับคณะกรรมาธิการระบุว่า ที่ผ่านมา อย.ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อห่วงใยการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปโดยเฉพาะประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความเกี่ยวพันกับยาและเวชภัณฑ์ไปยังกรมเจรจาฯ ว่าจะมีผลกระทบโดยตรงอย่างสูงและรุนแรงต่อประเทศชาติ ใน 3 ประเด็นหลักคือ การขยายเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตร (Patent Term Extension), การผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) และ มาตรการ ณ จุดผ่านแดน (Border Measure)

“เพราะจะทำให้การพัฒนายาชื่อสามัญในประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น อุตสาหกรรมยาชื่อสามัญในไทยจะถูกแช่แข็ง จะกระทบกับกลไกยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์มิให้เกิดผลในทางปฏิบัติ จะมียาที่เป็นทางเลือกในการรักษาน้อยลง และจะกระทบการเข้าถึงยาของประชาชน เพราะมูลค่าการใช้จ่ายด้านยาอันเนื่องจากยาที่มีสิทธิบัตรนำเข้าจะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์จะยิ่งรุนแรงกว่าเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา จากเดิมยานำเข้ามีประมาณร้อยละ 32 แต่หลังการแก้ พรบ.สิทธิบัตร ปัจจุบันค่าใช้จ่ายจากยานำเข้าที่มีสิทธิบัตรคิดเป็นมูลค่าสูงถึงร้อยละ 75”

ในเอกสารความยาว 8 หน้ากระดาษที่ อย.ได้มอบต่อ กมธ.สธ. ทาง อย.ได้รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆตลอดจนผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยสำนักวิจัยชั้นนำของประเทศซึ่งให้ข้อสรุปตรงกันว่า การยอมรับข้อตกลงที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์หรือทริปส์พลัส ประเทศชาติจะต้องพึ่งพายานำเข้าที่มีราคาแพงมาก และขาดความมั่นคงทางยาของประเทศในที่สุด เนื่องจากยาชื่อสามัญออกสู่ตลาดได้ช้าลง ส่งผลให้ประเทศชาติต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้น และทำให้ประชาชนเข้าถึงยายากขึ้น นอกจากนั้น ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญในประเทศอีกด้วย อีกทั้งยังต้องให้สิทธิเหล่านี้กับประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลกทั้งหมด ซึ่งจะไม่เพียงแค่การเจรจาทวิภาคีกับสหภาพยุโรปเท่านั้น

นางอัจฉิมา ธนสมบัติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ได้ชี้แจงกับ กมธ.สาธารณสุขเช่นเดียวกันว่า หากประเทศจะต้องยอมรับทริปส์พลัสตามข้อเสนอของกรมเจรจาฯ จะต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ทางด้านนายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กล่าวว่า ภาคประชาสังคมไม่ได้ค้านการเจรจาเอฟทีเอ แต่ต้องการเห็นการเจรจาการค้าที่ประเทศได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และไม่ก่อให้เกิดผลผลกระทบถึงประชาชนและสังคมอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเยียวยาได้ จึงขอให้คณะกรรมาธิการช่วยติดตามเพื่อให้กระบวนการจัดทำเป็นไปอย่างเปิดเผยโปร่งใส

ขณะที่นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดีกรมเจรจาฯ ชี้แจงว่า ขณะนี้ขั้นตอนยังอยู่ในฝ่ายบริหาร ที่ผ่านมาไม่ได้มีการแสดงความผูกพันใดๆกับสหภาพยุโรป เป็นเพียงการคุยกันไปมาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขคนที่ 1 ซึ่งขณะนี้มีชื่อจะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สรุปว่า แม้ขณะนี้การจัดทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปยังอยู่ในส่วนของฝ่ายบริหาร แต่การที่กรมเจรจาการค้าฯตั้งท่าทีเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมาเสนอให้รับทริปส์พลัสได้นั้นจะกระทบทั้งการเข้าถึงยาและอุตสาหกรรมยาในประเทศ ประเด็นจึงอยู่ที่การมีส่วนร่วมเพื่อทำร่างกรอบเจรจาและท่าทีของประเทศ ดังนั้น จึงขอให้ฝ่ายนโยบาย และฝ่ายราชการที่นำนโยบายไปปฏิบัติให้รับเอาข้อห่วงใยทั้งของผู้ร้องเรียนและนักวิชาการ 84 คนที่มีถึงนายกรัฐมนตรีไปประกอบการทำร่างกรอบเจรจาก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา: ดูการเมืองอเมริกันอย่างไรให้มันส์ ตอนที่ 3

$
0
0

มาคุยกันต่อกับ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า ถึงการเมืองอเมริกัน หลังการดีเบตรอบ 2 หรือรอบ Hall town ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 บารัค โอบามา กับคู่ท้าชิง มิค รอมนีย์ คะแนนสนับสนุนของทั้งสองฝั่งเริ่มสูสีกันมากขึ้น มาจับตาดูมลรัฐที่มักเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะการเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่า swing state ว่ามีมลรัฐไหนบ้าง และมาดูอินโฟกราฟฟิคสนุกๆ ทำนายทางเลือกของว่าที่ประธานาธิบดีทั้ง 2 คนว่าจะออกมาในรูปใดที่ http://elections.nytimes.com/2012/electoral-map?hp#scenario

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์ : ปรัชญาตายแล้ว!

$
0
0
 
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้ฟังศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ ปาฐกถาในการสัมมนาทางวิชาการของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย พูดตอนหนึ่ง (ประมาณ) ว่า
 
“วิชาปรัชญากำลังจะตายไปจากอุดมศึกษาไทย เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าปรัชญาคืออะไร มองว่าวิชาปรัชญาไม่มีประโยชน์ การวิจัยทางปรัชญาที่ใช้วิธีวิจัยทางมนุษยศาสตร์โดยการกำหนดประเด็นปัญหาทางปรัชญา สำรวจข้อโต้แย้งทางปรัชญา ตีความ วิเคราะห์ วิจารณ์ ความคิด ทฤษฏีปรัชญาต่างๆนั้น ผู้มีอำนาจในการอนุมัติทุนวิจัยในหน่วยงานระดับชาติมองว่า วิธีแบบนี้ไม่ใช่วิธีวิจัย เพราะไม่ได้ใช้หลักสถิติ อีกทั้งผู้เรียนก็น้อยลง ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องยกเลิกวิชาปรัชญาไปโดยปริยาย”
 
ในช่วงแลกเปลี่ยน อาจารย์บางคนบอกว่านักศึกษามักจะบ่นว่า “เรียนปรัชญาน่าเบื่อ ไม่รู้เรื่อง” อาจารย์สอนปรัชญาก็มักจะตอบทันทีว่า “ปรัชญามันต้องไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องก็ไม่ใช่ปรัชญา” (ฮา) อีกอย่างนักศึกษาเรียนปรัชญาไปแล้วก็ไม่รู้จะไปทำงานอะไร เพราะไม่มีอาชีพรองรับ ฯลฯ
 
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาทางปรัชญา (เคยไปครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม) แต่ก็เห็นได้ชัดว่า คนในวงวิชาการด้านปรัชญายังพูดถึงปัญหาเดิมๆ ของตัวเองมาหลายสิบปี (เช่นเดียวกับคนในแวดวงศาสนา) มันคือปัญหา “ความมั่นคง” ของวิชาปรัชญา และ/หรือสถานภาพของอาจารย์ นักวิชาการด้านปรัชญา แต่ไม่ค่อยได้เห็นการถกเถียงว่า “ปรัชญาทำหน้าที่อะไรในสังคมไทยปัจจุบัน?” (หรือผมอาจอยู่ “ชายขอบ” เกินไปเลยไม่รู้ว่าเขาก็เถียงเรื่องนี้กันอยู่)
 
โดยเฉพาะ 80 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยที่ยังหา “จุดลงตัว” ไม่ได้ ในสภาวะที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ยิ่งนานวันขึ้นมันยิ่งสะท้อนปัญหาพื้นฐานทางปรัชญาเด่นชัดมากขึ้นๆ ตั้งแต่ปัญหาพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ความหมายของ “คน” หรือ “ประชาชน” ในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ ปัญหาอุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ VS.อุดมการณ์ประชาธิปไตย ปัญหาความเป็นไทย VS.ความเป็นสากล ปัญหาว่าศาสนาครอบงำ ลดทอน หรือส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และศีลธรรมทางสังคม
 
รวมทั้ง “ปัญหามโนธรรมทางสังคม” ที่ดูเหมือนจะสรุปความขัดแย้งทางการเมืองกันง่ายๆ แค่ว่า การนองเลือดครั้งต่างๆ ที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดของแกนนำที่พาคนไปตาย น่าเห็นใจนักศึกษาประชาชนที่ถูกปลุกปั่นให้กลายเป็น “เหยื่อ” ของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ขาดความเอาใจใส่อย่างลึกซึ้งจริงจังต่อประเด็นมนุษยธรรม และการอ้างอิงหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนเพื่อกดดันให้รัฐบาล และกลุ่มอำนาจนอกระบบที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังรับผิดชอบทางกฎหมายและศีลธรรมทางสังคม
 
ถามว่า ท่ามกลางปัญหายากๆ และซับซ้อนต่างๆ นั้น “ปรัชญา” และ/หรือนักวิชาการด้านปรัชญาในบ้านเราทำหน้าที่อะไร? หากปรัชญาไม่ทำ หรือไม่สามารถจะทำอะไรในเชิงช่วยให้สังคมกระจ่างชัดในประเด็นปัญหาพื้นฐานและข้อโต้แย้งต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องอุดมการณ์ทางสังคมการเมืองที่ส่งเสริมศักดิ์ศรีของมนุษย์ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรมเป็นต้นได้เลย ปรัชญาก็สมควรตายไปจากสังคมนี้มิใช่หรือ? การตีโพยตีพายว่าคนอื่นๆ ไม่รู้จัก และไม่เห็นประโยชน์ของปรัชญาย่อมเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย
 
สำหรับผมแล้ว เราอาจมองปรัชญาเป็นสองส่วนหลักๆ คือ ส่วนที่เป็น “ความคิดทางปรัชญา” กับส่วนที่เป็น “ทักษะทางปรัชญา” ส่วนแรกคือแนวคิดหรือทฤษฎีของนักปรัชญาหรือสกุลปรัชญาสำนักต่างๆ ส่วนหลังคือวิธีการทางปรัชญาได้แก่ “วิภาษณ์วิธี” (dialectic) บางทีเราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “กิจกรรมทางปรัชญา” คือ การที่เราใช้วิธีคิดเชิงวิพากษ์มาทำความกระจ่างในประเด็นปัญหาทางความคิดที่ยุ่งยากซับซ้อน การริเริ่มประเด็นปัญหาพื้นฐานและข้อโต้แย้งต่างๆ การวิเคราะห์หักล้างข้อโต้แย้งต่างๆ ตลอดถึงการเสนอความคิดใหม่ หรือทางเลือกใหม่ สรุปคือส่วนที่เป็นทักษะทางปรัชญาช่วยให้เราคิดอะไรชัดเจน เป็นระบบ สมเหตุสมผล ไม่สับสนหรือขัดแย้งในตัวเอง
 
โดยปกติเมื่อเราผ่านการศึกษาทางปรัชญาแล้ว “ความคิดทางปรัชญา” ที่ประทับใจเราจะไม่มีวันตายไปจากเรา เช่น ความคิดเรื่องธรรมชาติของเหตุผล อารมณ์ คุณค่าของชีวิต เสรีภาพ ความยุติธรรม ฯลฯ ส่วนทักษะทางปรัชญานั้นก็ไม่มีวันตายไปจากเรา เหมือนทักษะอื่นๆ เช่นการปั่นจักรยาน เป็นต้นที่จะตายไปพร้อมกับชีวิตเรา
 
ปัญหาอยู่ที่ว่า วิธีการเรียนการสอนปรัชญาในบ้านเรานำไปสู่การสร้าง “รอยประทับ” ของความคิดทางปรัชญาที่แจ่มชัดลงในห้วงคำนึง การคุ่นคิดอย่างลึกซึ้งของผู้เรียนหรือไม่ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะทางปรัชญาที่สามารถนำไปใช้ “จับปลากินเอง” หรือไปจับประเด็นปัญหาซึ่งพบเห็นได้ในสังคม ในชีวิตประจำวันขึ้นมาวิเคราะห์วิพากษ์เชิงปรัชญาได้เพียงใด
 
รวมทั้งนักวิชาการในแวดวงปรัชญาได้ใช้ทักษะทางปรัชญามาทำความกระจ่างในปัญหาพื้นฐานต่างๆ ในทางสังคมการเมืองเป็นต้นอย่างไร คือถ้าเราทำให้ปรัชญามีชีวิต ปรัชญาก็จะไม่ตาย แต่ถ้าจำกัดพื้นที่ให้ปรัชญาอยู่แค่ในห้องเรียนแคบๆ เอาไว้เรียนกันตามที่พูดๆ กันว่า “ปรัชญามันต้องเรียนไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องก็ไม่ใช่ปรัชญา” ก็บอกได้เลยครับว่า ปรัชญาตายแน่ๆ (รีบจองศาลา เตรียมฌาปกิจได้เลย)
 
ทำไมปรัชญาทั้งส่วนที่เป็น “ความคิดทางปรัชญา” กับส่วนที่เป็น “ทักษะทางปรัชญา” จึงไม่ตายไปจากสังคมตะวันตก คงไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาเรียนกันทั้งระดับมัธยมและอุดมศึกษาเท่านั้น ที่สำคัญว่านั้นคือถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า คนตะวันตกเขามี “character ทางปรัชญา” ที่ปรากฏออกมาในบุคลิกภาพของเขาตั้งแต่การมองความหมาย คุณค่าของชีวิต การเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง อดทนต่อความเห็นต่าง มีความคิดเชิงวิพากษ์ ต้องการคำตอบปัญหาต่างๆ ที่อ้างอิงความรู้ ความเป็นเหตุเป็นผล ฯลฯ ซึ่งบุคลิกภาพเช่นนี้มันถูกวางรากฐานและมีพัฒนาการคลี่คลายมาเป็นพันๆ ปี อย่างน้อยก็ตั้งแต่ยุคภูมิปัญญากรีกเป็นต้นมาที่ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งใช้เสรีภาพและเหตุผลของตนเองอย่างเต็มศักยภาพในการแสวงหาการมีชีวิตที่มีคุณค่า การสร้างหลักปรัชญา อุดมการณ์ และระบบสังคมการเมืองที่ยุติธรรม
 
ที่จริงปรัชญาไม่ควรจะตาย เพราะมีปัญหาให้ปรัชญาไปร่วมถกเถียงด้วยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น โพสต์ในเฟซบุ๊กของ “ตี้” นิติพงษ์ ห่อนาค ที่ว่า
 
“แผ่นดินสยามครั้งที่ยังอยู่ในพระหัตถ์ปิยกษัตริย์ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีประปา เลิกทาสได้อย่างนิ่มนวล มีรถไฟพร้อมญี่ปุ่น ฯลฯ ต่อเมื่อแผ่นดินอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน เปลี่ยนมือกันไปมา ก็ก้าวหน้าตามที่เห็นแล อดคิดไม่ได้ว่า ถ้ายังไม่เปลี่ยนการปกครอง ป่านนี้อาจมี 6G ใช้แล้วก็ได้...กษัตริย์ไทย บารมีพระมากพ้น รำพันโดยแท้”
 
แค่โพสต์นี้ก็ชวนให้ถกเถียงทางปรัชญาได้มากมายเลยครับ ถ้าคนในวงวิชาการปรัชญามองเห็นจริงๆ ว่า ปรัชญายังมีคุณค่าต่อสังคม นำทักษะทางปรัชญามาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนที่ถูกครอบงำ กดขี่ให้มากขึ้น ปรัชญาก็จะไม่ตาย!
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักข่าวพลเมือง: เยาวชนตาสว่างอุบลฯ ผุดกิจกรรมใช้ทีวีเป็นเครื่องมือ "ฟังข่อยแหน่"

$
0
0

ประเทศนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ใหญ่ เยาวชนตาสว่างอุบลฯ ผุดกิจกรรมใช้ทีวีเป็นเครื่องมือ "ฟังข่อยแหน่" หวังสร้างสังคมตื่นรู้ ผู้ใหญ่ตื่นตัว "พูด คิด เห็น เสนอ"



เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2555 ที่ห้องบัวทิพย์ 5 ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ศูนย์ประสานงานสื่อสร้างสุขภาวะเด็กและเยาวชน ภาคอีสาน (ศสอ.) ร่วมกับสื่อสร้างสุขอุบลราชธานี จัดเวทีเสียงของเด็ก "คิด สะท้อนสังคม" โดยมีกลุ่มเด็กเยาวชนตาสว่าง กลุ่มเยาวชนอีสาน Young กล้าดี กลุ่มเยาวชนแว่นขยาย กลุ่มสื่อใสวัยทีน กลุ่มเยาวชน NJ ผู้ประกาศปอดสะอาด รวมทั้งแกนนำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกว่า 30 คน เข้าร่วมในกิจกรรม

อาจารย์สุรสม กฤษณะจูฑะ นักวิชาการ/ที่ปรึกษา ศสอ.กล่าวว่า เครือข่ายเด็กและเยาวชนตาสว่างนี้ มีแนวคิดเพื่อให้เกิดกลุ่มเด็กและเยาวชนที่สามารถมองเห็น ตระหนักถึงปัญหา และสามารถสะท้อนปัญหาจากความคิดของเยาวชนเองออกสู่สังคมและติดตามตรวจสอบผลต่อการเปลี่ยนแปลงในประเด็นนั้นๆ กลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนที่อยู่ในและนอกระบบการศึกษาอายุ 15-25 ปี ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดมหาสารคาม โดยเริ่มต้นที่อุบลราชธานีผ่านกลไกความร่วมมือในพื้นที่ เช่น เครือข่าย กลุ่มเด็กเยาวชน ร่วมกับสื่อมวลชน จนพัฒนาเป็นรายการ"ฟังข่อยแหน่"  "ซึ่งวันนี้มีการสะท้อนข้อมูลเรื่องวัยรุ่นกับเฟสบุค เรื่องวัยรุ่นทีวี และเรื่องค่านิยของวัยรุ่นในปัจจุบัน "เรื่องของเด็ก ถ้าฟังจากสื่อจะได้เเบบนั้น เเต่ถ้าเราสื่อสารจากตัวเด็ก เราจะได้มุมที่ต่าง เราต้องเอาเสียงเด็กตัวเอกเป็นการยืนยันเเละสื่อสารต่อไป"
    
นางสาวปัญญารัตน์ ศรีแย้ม (นีล) กลุ่มเยาวชนสื่อใสวัยทีน บอกว่า บางเรื่องที่สะท้อน ที่ผ่านมาตนคิดคนเดียว ไม่ได้สื่อสาร เมื่อมีพื้นที่แบบนี้ เราได้แชร์ความคิดของเราให้คนอื่นรู้
    
นายเจนณรงค์ วงษ์วิจิตร กลุ่มเยาวชนแว่นขยาย บอกว่า "การมีพื้นที่ตรงนี้ ดีขึ้นกว่าเราคุยกันคนเดียว คนอื่นดูก็มากกว่าเราดูกันเอง รู้ว่าเราคิดอะไร ต้องการแบบไหน ถ้าผู้ใหญ่รับฟังน่าจะเป็นผลดี เพราะปกติเสียงเด็กเยาวชนเขาไม่ค่อยอยากรับฟังกัน
    

นางสาวเสาวนีย์ สายยาง (แอน) กลุ่มเยาวชนอีสาน Young กล้าดี บอกว่า "รายการเเบบนี้เมื่อสื่อสารออกไป คงสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนที่ชมได้บ้าง อีกอย่างเราควรนำข้อมูลไปตรวจสอบตนเองด้วย บางทีเราไม่ได้ดูตนเองว่าตามเขาอยู่  เช่น เรื่องเฟสบุค ฟังเเล้วสะกิดใจ ที่ผ่านมาทำอะไรเเล้วโพสตลอด ตอนนี้ตั้งใจเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม จะไม่โพสเเบบไร้สาระ
    
นางสาวปาริษา กิติจันทร์โรภาส (ลูกแก้ว) นักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี บอกว่า "รายการนี้เป็นช่องทางการสื่อสารหนึ่งของเยาวชนออกไป บางอย่างเป็นเเง่มุม ที่เราเคยรู้ พฤติกรรมบางอย่างเคยทำเเต่ลืมไปเเล้ว การชวนเยาวชนหลายกลุ่มมานั่งวิเคราะห์ทำให้เห็นมุมที่แตกต่าง โดยเฉพาะข้อสรุปในแต่ละประเด็นเยาวชนที่ดูอยู่จะเรียนรู้ สื่อสารจากเราซึ่งอยู่วัยไกล้เคียงกัน มากกว่าฟังจากผู้ใหญ่ที่ ห้าม บอก เตือน หรือพูดเป็นวิชาการ 
    

นายตุลาการ เชยจันทา (คำหล้า) บอกว่า "เป็นครั้งเเรกที่ได้ทำรู้สึกตื่นเต้น เป็นการขยายเสียงเราออกไปแม้เป็นการคุยกันในกลุ่มเล็ก ๆ เเต่เนื้อหามีเยอะ ได้เห็นหลายๆเเง่มุม"
    
บรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และบันทึกรายการเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ส่วนใหญ่เยาวชนมีความตื่นเต้นเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้มีส่วนร่วมในการผลิตรายการ และนำเสนอเรื่องราวที่ตนเองสนใจในมุมที่ลึกขึ้น โดยมีอาจารย์จากสาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นผู้กำกับและดูแลด้านแอคติ้งและขอบเขตประเด็น
ข้อสรุปของการทำงาน เยาวชนอยากให้มีการดำเนินงานต่อ ช่วงท้ายจึงมีการวางแผนการทำงานโดยตั้งเป้าหมายทำรายการรูปแบบนี้ให้เกิดความต่อเนื่อง และพัฒนาให้เกิดความน่าสนใจเช่น สกู๊ปประกอบ มีข้อมูล งานวิจัยรองรับในบางเรื่อง มีการเปลี่ยนบรรยากาศ ใช้พื้นที่ ๆ มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นนั้น  ๆ แผนที่เยาวชนระดมความคิดมีการกำหนดทีมชุดแรก และสร้างกลุ่มทางสื่อออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยน พูดคุย หาประเด็น เก็บข้อมูลพื้นฐาน ก่อนนำมาหารือกำหนดประเด็นคิดสะท้อนสังคมต่อไป  
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images