Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50857 articles
Browse latest View live

"พิทักษ์สยาม" ชุมนุมนับหมื่น - เตรียมนัดเคลื่อนไหวอีกรอบ

$
0
0

องค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายชุมนุมนับหมื่น "ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" อัดนโยบายจำนำข้าว ชี้เงิน 3 แสนบาทเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่หรือไม่ และข้าวที่มาจำนำก็สวมสิทธิมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้าน "ประยงค์ ไชยศรี" อัด "ทักษิณ" มีพฤติกรรมจ้องล้มสถาบันฯ ส่วน "นิติราษฎร์" คิดเลิก ม.112 ลั่นจะต้องแก้ ม.112 ให้โทษหนักขึ้น

วันนี้ (28 ต.ค. 55) ผู้ชุมนุมกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และเครือข่ายได้แก่กองทัพธรรมสันติอโศก มวลชนบางส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ได้รวมตัวกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ หรือสนามม้านางเลิ้ง โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมนับหมื่นคน มีนายสำราญ รอดเพชรเป็นพิธีกรเวทีปราศรัย

โดย พล.อ.บุญเลิศขึ้นเวทีแถลงย้ำจุดยืนเหตุผลขับไล่รัฐบาล 3 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยไม่มีการปกป้อง 2. รัฐบาลชุดนี้เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและขาดธรรมาภิบาล และ 3. รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น

 

ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ กล่าวว่าชาวนา 20 ล้านคนไม่จ่ายภาษี ส่วนมนุษย์เงินเดือน 17 ล้านคนจ่ายภาษี

ด้านนายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปราศรัยต่อนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า มีการทุ่มงบประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท โดยทั่วประเทศมีประชากรที่ประกอบอาชีพทำนากว่า 20 ล้านคน เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ 65 ล้านคนนั้น ที่มีมนุษย์เงินเดือนเป็นพนักงาน 17 ล้านคนต้องจ่ายภาษี แต่ชาวนาไม่ต้องจ่ายภาษีดังกล่าว อย่างไรก็ตามชาวนาที่ยังยากจนอยู่ก็มี ซึ่งเป็นชาวนาจากภาคอีสาน 5 ล้านคน ที่ต้องปลูกข้าวนาปี และนำไปขายต่อได้คนละไม่เกิน 5 เกวียน ฉะนั้นตนอยากจะถามไปยังรัฐบาลว่า เม็ดเงินจำนวนกว่า 3 แสนล้านบาทเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่ โดยข้าวในโกดังที่รับซื้อไปก็เป็นข้าวสวมสิทธิ์จากประเทศกัมพูชาหรือพม่าทั้งนั้น เมื่อมีผู้ออกมาคัดค้านนโยบายนี้ ทางรัฐบาลก็ได้นำชาวนาบางกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ออกมาสนับสนุน พร้อมต่อต้านด่าทอกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าว

 

ประยงค์ ไชยศรี อัดนิติราษฎร์ตรรกะหัวแม่ตีนคิดเลิก ม.112 ลั่นต้องแก้ ม.112 เพิ่มโทษหนักขึ้น

ด้านนายประยงค์ ไชยศรี อดีตผู้สมัครพรรคมัฌชิมาธิปไตย ปราศรัยโจมตีนายสุรชัย แซ่ด่าน และนายวีระ มุสิกพงศ์ ว่าเคยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วก็หมิ่นพระบรมเดชานุภาพซ้ำอีก คนกลุ่มนี้อย่าว่าแต่พระราชทานอภัยโทษเลยครับ ฆ่าให้ตายก็ไม่รู้สึกสำนึก ต่อมาปี 2545 มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีเจตนาจ้องล้มสถาบันฯ ซึ่งสามารถสืบพฤติกรรม เจตนาและเป้าหมายของคนๆ นี้ได้ชัดเจนก็คือให้ลิ่วล้อจาบจ้วงสถาบันจนมีการฟ้องร้องหลายคดี ที่สำคัญคนที่ถูกฟ้องร้องไม่ว่าจะเป็นดา ตอร์ปิโด อากง หรือใครต่อใคร กลับเป็นฮีโร่ของคนเหล่านี้ ซึ่งคนที่ถูกศาลลงโทษต้องอับอาย ต้องได้รับความเสียหายกลับถูกยกย่องเป็นฮีโร่

นอกจากนี้กลุ่มนิติราษฎร์ บอกว่ากฎหมายมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเป็นปัญหาของประเทศ มีคนกระทำผิดมาก ทางแก้คือยกเลิก ม.112 จะได้จาบจ้วงโดยเสรี คุณเอาตรรกะที่ไหนมาคิด ต้องยืมสำนวนคุณสนธิ ลิ้มทองกุลว่าตรรกะแบบนี้คือตรรกะหัวแม่ตีน ต้องถามว่าการยกเลิกกฎหมายที่มีคนกระทำผิดมากๆ นั้น ใช้อะไรคิด ถ้าคิดแบบนี้ประมวลกฎหมาย อาญา ลักวิ่งชิงปล้น คุณต้องยกเลิกกฎหมายลักทรัพย์ กฎหมายยาเสพย์ติด เพราะมีผู้กระทำความผิดหรือครับ ขณะที่ปัจจุบันมีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพย์ติดมากขึ้นจากเดิมที่ต้องขึ้น 3 ศาล คือศาลชั้นต้น ศาลอุทธร์ ศาลฎีกา ก็เหลือเพียง 2 ศาล คือศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ นอกจากนั้นยังมีโทษปรับหลายล้านเพื่อกำราบปราบปราม นี่คือตรรกะของการใช้กฎหมายปกครองประเทศ ถ้าใช้วิธีคิดอย่างเดียวกันนี้ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต้องแก้ไขให้มีโทษหนักขึ้น และให้ประชาชนผู้จงรักภักดีเมื่อพบการกระทำผิดให้เป็นผู้เสียหายโดยตรง และแท้ที่จริงแล้วคดีที่เกิดขึ้นในศาลยังถือว่าน้อย เพราะถ้าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารได้ปฏิบัติหน้าที่มันต้องฟ้องกันเป็นแสนๆ คนแล้ว

การปราศรัยของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ (ที่มา: FMTV)

นอกจากนี้ยังมีผู้ปราศรัยประกอบด้วย นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ขณะเดียวกัน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ แกนนำพันธมิตร ร่วมสังเกตการณ์หลังเวที พร้อมขึ้นปราศรัยในช่วงค่ำ โดย น.ต.ประสงค์ระบุว่ารัฐบาลนี้ก่อวิกฤต 5 ด้าน คือเศรษฐกิจ สังคม ระบบราชการ ความมั่นคงแห่งชาติ การบังคับใช้กฎหมาย และวิกฤตภาวะผู้นำประเทศ 

พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ปราศรัยปิดการชุมนุม (ที่มา: FMTV)

 

และในเวลา 18.10 น. พล.อ.บุญเลิศกล่าวปิดการชุมนุม อ้างว่ามีมวลชนมาร่วมลงชื่อ 20,000 รายชื่อ เดินไปเดินมาอีก 10,000 คนไม่ได้มาลงชื่อ มากกว่าที่รัฐบาลประเมินไว้ ถ้าผู้ชุมนุมฟังการปราศรัยแล้วพอใจ ถูกใจ เห็นด้วย ขอให้เชิญชวนพวกท่านมาร่วมอีกหนึ่งคนต่อ 100 คน เมื่อพร้อมแล้วเราจะนำท่านไปสู่ความสำเร็จนำนักการเมืองชุดนี้พ้นไปจากประเทศไทย

อนึ่ง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ได้รายงานความเห็นของ นพ.ตุลย์ ที่ว่าแกนนำทุกเครือข่ายจะประชุมแนวทางการเคลื่อนไหวอีกครั้งสัปดาห์หน้า ก่อนนัดชุมนุมใหญ่เดือนหน้าซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายม้วนเดียวจบ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชุมชนร่วมเสนอทางออกป้องถูกไล่รื้อ เส้นทางรถไฟสายสีแดง 'ตลิ่งชัน – ศิริราช'

$
0
0

สลัม 4 ภาคจัดเสวนาหาทางออกหวั่นชุมชนถูกไล่รื้อ เผยแนวทางเน้น ‘ชุมชนอยู่ได้ โครงการก็อยู่ได้’ กรรมการสมัชชาปฏิรูปแนะการรถไฟฯ ชูนโยบายยุติไล่รื้อทำ CSR ด้านบอร์ดการรถไฟฯ แจง ‘เว้นระยะความปลอดภัย’ ไม่เกี่ยวนำพื้นที่ไปทำธุรกิจ

 
 
วันนี้ (28 ต.ค.55) เครือข่ายชุมชนริมทางรถไฟสายใต้-ตะวันตกและเครือข่ายสลัม 4 ภาค ร่วมจัดเวทีเสวนาสาธารณะ “รถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช กับทางเลือกเพื่อความเป็นธรรมด้านที่อยู่อาศัย” ที่ชุมชนบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เพื่อนำเสนอทางเลือกต่อการทำโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช ในแบบที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำโครงการบ้านมั่นคงของชุมชน และนำทางเลือกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนกับภาคประชาสังคมและสื่อสารต่อสาธารณชน
 
 
จากรณี การรถไฟแห่งประเทศไทยจะดำเนินโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช โดยมีพื้นที่ 4 ชุมชน คือบางกอกน้อย 1, บางกอกน้อย 2, บางกอกน้อย ฝั่งวงเวียนกลับหัวรถจักร และบางระมาดรวมอยู่ในโครงการด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านในชุมชนดังกล่าวต้องย้ายออกไปจากพื้นที่ ทั้งที่ได้ทำการพัฒนาพื้นที่มาในระดับหนึ่งแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการบ้านมั่นคง
 
ทั้งนี้ ชาวชุมชนระบุว่าจากการสอบถามบริษัทที่ออกแบบพบว่า แนวก่อสร้างของโครงการจะอยู่บริเวณรางรถไฟฝั่งขวาซึ่งจะใช้พื้นที่ราว 18 เมตร จากศูนย์กลางรางเดิม ดังนั้นจึงมีการเสนอขอใช้พื้นที่ประมาณ 12 เมตร เพื่อทำโครงการที่อยู่อาศัย โดยพื้นที่ดังกล่าวนั้นชุมชนมีสัญญาเช่าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามการเจรจายังไม่มีข้อยุติ เพราะการศึกษาของบริษัทที่ออกแบบระบุว่าการรถไฟฯ ต้องการใช้พื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดินบริเวณแนวเส้นทางและสถานี จูงใจให้เกิดการลงทุน
 
สถานการณ์ล่าสุดขณะนี้ การเจรจาในกรณีปัญหาดังกล่าวจะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 30 ต.ค.55
 
 
 
เครือข่ายสลัม 4 ภาค ย้ำต้องการให้ชุมชนอยู่ได้ โครงการก็อยู่ได้
 
ประทิน เวคะวากยานนท์ เครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่าที่ผ่านมาชุมชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราชทั้ง 4 แห่ง ได้ร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชน โดยการเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ เพื่อทำโครงการบ้านมั่นคงตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีการทำสัญญาเช่าที่ดินแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการทำโครงการบ้านมั่นคง และหลังจากไดรับข้อมูลว่าจะมีโครงการดังกล่าวเมื่อ 3 เดือนก่อน ก็ได้พยามยามเคลื่อนไหวเพื่อเสนอการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยใช้แนวทาง “แบ่งที่ดินให้ชุมชนอยู่ได้ และโครงการก็อยู่ได้”
 
ประทิน กล่าวว่า ข้อเสนอของชาวบ้านคือการแบ่งใช้ที่ดิน โดยโครงการฯ ใช้พื้นที่จริง 18 เมตร จากศูนย์กลางรางเดิม และเหลือพื้นที่ให้ชุมชนเช่าอยู่ 12 เมตร ซึ่งจะนำมาแบ่งเป็นพื้นที่สร้างบ้าน 10 เมตร และทำถนน 2 เมตร แต่การรถไฟฯ มีท่าทีต้องการให้ชาวชุมชนออกจากพื้นที่ทั้งหมด เพราะหากให้ชาวบ้านอยู่ต่อไปจะเก็บค่าเช่าได้น้อย แต่หากเก็บเอาไว้ให้เอกชนประมูลทำโครงการอื่นๆ เช่นการปรับภูมิทัศน์จะทำรายได้ให้มากกว่า ซึ่งจากประสบการณ์ชาวชุมชนเกรงว่าจะมีการหมกเม็ดดำเนินการดังกล่าว ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของโครงการบ้านมั่นคงอย่างสิ้นเชิง
 
 
เสนอ 3 ข้อลดผลกระทบต่อชาวชุมชน
 
ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวถึงข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ว่ามี 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.การดำเนินโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช ให้ดำเนินการในรัศมี 18 เมตร และให้ยกระดับแนวรางรถไฟ ส่วนรัศมีอีก 12 เมตรที่เหลือให้จัดเป็นที่อยู่อาศัย
 
2.กรณีการสร้างสถานีจรัญสนิทวงศ์ ให้ก่อสร้างในแนวพื้นที่ที่ไม่มีผลกระทบต่อศูนย์พักคนไร้บ้าน โดยลดขนาดสถานีลง หรือขยับไปใช้พื้นที่จอดรถขยะของสำนักงานเขตบางกอกน้อยแทน 3.กรณีการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรถจักรบริเวณสถานีธนบุรี ให้ลดระยะรางลงเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนที่เช่าที่ดินอยู่อาศัยบริเวณวงเวียนกลับหัวรถจักร  
 
 
 
เสนอการอยู่ร่วม ‘ชุมชน-รถไฟ’ ด้วยการปรับภูมิทัศน์โดยชุมชน
 
ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า การก่อสร้างรางรถไฟเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่การรถไฟฯ อาจหลงลืมว่าในพื้นที่โครงการมีคนอยู่ ซึ่งจะต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ทางพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคน และสำหรับความเป็นไปได้ในการออกแบบสถาปัตยกรรมตามข้อเสนอของชาวชุมชนนั้นทำได้ แต่จะให้ดีที่สุดเสนอว่าควรมีพื้นที่สร้างบ้าน 13 เมตร และพื้นที่ถนน 3 เมตร เพื่อให้รถพยาบาลและรถดับเพลิงเข้าไปบริการในชุมชนได้
 
อย่างไรก็ตาม การออกแบบสถาปัตยกรรมในขณะนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนของชาวบ้านที่จะมีข้อตกลงที่แน่ชัดกับการรถไฟฯ ส่วนในฐานะสถาปนิกสามารถมาช่วยเสริมได้ในขั้นตอนหลังจากที่การรถไฟอนุญาตให้ใช้พื้นที่ หรือหากต้องการให้ออกแบบอาคารในชุมชนร่วมกับการรถไฟฯ
 
ดร.ฤทธิรงค์ กล่าวต่อมาในส่วนของการปรับภูมิทัศน์ ว่าเสนอการสร้างบ้านให้กลมกลืนกับภูมิทัศน์ ให้คนอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม หากมีการดูแลบ้านที่ดี ชุมชนสวยงาม ภูมิทัศน์ก็จะดูดีตามไปด้วย อีกทั้งการรถไฟฯ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างคนมาดูแล ถือเป็นการปรับภูมิทัศน์โดยชุมชน
 
“เราอยู่ร่วมกันได้ เพียงแต่จะอยู่อย่างไรเท่านั้นเอง” ดร.ฤทธิรงค์กล่าว
 
 
แนะการรถไฟฯ ชูนโยบายยุติไล่รื้อทำ CSR
 
ปรีดา คงแป้น กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า ปัญหาเรื่องที่ดินเป็นปัญหาสำคัญของไทยและสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมที่มีอยู่สูง อย่างไรก็ตามในไทยยังมีการแก้ปัญหาที่ดินในเขตเมืองโดยใช้การแบ่งปันที่ดิน (Land sharing) ดังกรณีของที่ดินการรถไฟฯ ที่มีการเจรจาเช่าที่ดินของชุมชน และในกรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับชาวบ้านซอยเซ่งกิ่งซึ่งเป็นกรณีแรกๆ ที่มีการแบ่งปันที่ดิน หรือกรณีที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ลงทุนก่อสร้างอาคารให้ชาวชุมชนอยู่ โดยแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งที่ได้คืนเพื่อสร้างอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังดำเนินนโยบายไม่ไล่รื้อที่ดินด้วย
 
ปรีดา กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมาทั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ และการรถไฟมีสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ทั้งนี้ ในส่วนของการรถไฟฯ น่าจะนำตรงนี้มาทำ CSR (Corporate Social Responsibility: ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร) โดยทำให้เป็นแนวนโยบายที่ชัดเจนเหมือนกับที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ทำ เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการโฆษณาในตรงนี่เท่าไรนัก นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเป็นโอกาสดีในการแก้ปัญหาคนจนเมืองซึ่งไทยถือว่ามีความก้าวหน้ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่ยังคงมีการใช้ความรุนแรงและการเผาไล่รื้อที่ดิน
 
 
เปลี่ยนแนวคิดต่อคนจนเมือง-หนุนประชาธิปไตยกินได้ แนวโน้มที่ดีต่อการแก้ปัญหา
 
ผศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่าปัจจุบันการแก้ปัญหาของชุมชนมีแนวทางที่ดีขึ้น จากที่สังคมเคยมองชุมชนเหมือนเป็นเนื้อรายของเมืองที่ต้องตัดทิ้ง เปลี่ยนเป็นหันมามองอย่างเข้าใจมากขึ้นว่าคนเหล่านี้เป็นผลพวงหนึ่งของการพัฒนา และคนที่อยู่ในสลัมก็ได้เข้าไปหนุนเกื้อกับเศรษฐกิจของคนที่เป็นลูกจ้าง แรงงานในเมือง ถือเป็นเศรษฐกิจนอกระบบที่เกื้อหนุนคนในระบบซึ่งจะมองแยกกันไม่ได้ การมองด้วยวิธีคิดที่เปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่ๆ นี้ เป็นทางออกที่ดีสำหรับการแก้ปัญหา
 
ผศ.ดร.ประภาส เสนอด้วยว่า กระบวนการตัดสินใจสำหรับนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่ ควรมีการเจรจา มีผู้ได้รับผลกระทบมาร่วมหาทางออก ทางเลือก ตรงนี้ถือเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมในการตัดสินใจร่วมกันซึ่งหากเกิดขึ้นได้จะเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนั้นควรมีการปรับทัศนคติเรื่องการใช้ที่ดิน ในกรณีการใช้ที่ดินสาธารณะ ที่ดินของรัฐ เช่นที่ราชพัสดุ ที่ดินทหาร เพื่อการทำธุรกิจควรต้องมีการพูดคุยในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง และควรปรับให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยเห็นกับชีวิตของผู้คนมากขึ้น
 
สำหรับการปรับภูมิสถาปัตย์ควรมองคนจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง แล้วการออกแบบก็จะให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้มากขึ้น รวมทั้งพยายามคิดร่วมกันเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วย
 
 
‘ทางรถไฟยกระดับ’ ทางออกที่เห็นร่วมกัน
 
ดร.มรว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่าวันนี้รู้สึกดีใจที่ได้เห็นข้าราชการ นักวิชาการ สถาปนิก ที่มองเห็นคนเป็นคน จากที่เคยพบแต่กลุ่มคนที่มองเห็นคนไม่มีคุณค่า เพราะตกอยู่ในอำนาจของนักเศรษฐศาสตร์ที่มองเห็นแต่ตัวเลขโดยไม่คิดว่าได้สร้างความทุกข์ยากให้กับผู้คน พร้อมทั้งเสนอถึงการสร้างทางรถไฟยกระดับซึ่งจะช่วยรองรับการพัฒนาของเมืองได้ และจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถสร้างบ้านอยู่อาศัยได้อย่างมั่นคงด้วย
 
ขณะที่ สุชิน เอี่ยมอินทร์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนไร้บ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว แสดงความเห็นสนับสนุนข้อเสนอเรื่องทางรถไฟยกระดับ โดยกล่าวว่าจะทำให้ชุมชนสามารถขยับพื้นที่ไปได้ราว 14 เมตร พร้อมยกตัวอย่างของกรณีรถไฟฟ้าที่สร้างใกล้กับอาคารสูงได้โดยเว้นระยะไม่กี่เมตร และยังระบุว่าระยะ 12 เมตรตามที่ชาวบ้านขอใช้พื้นที่ก่อนหน้านี้ถือว่าหลังชนกับปากเหวแล้ว แต่ก็ต้องยอมเพราะชาวบ้านต้องการที่จะอยู่ในพื้นที่เดิม และเรื่องต่อมาที่อยากให้คำนึงถึงคือความปลอดภัยของชาวชุมชนในเรื่องถนนที่กว้างเพียงพอสำหรับใช้สัญจร โดยเฉพาะเมื่อเกิดไปไหม้หรือสำหรับรถพยาบาล
 
 
บอร์ดการรถไฟฯ แจง ‘เว้นระยะความปลอดภัย’ ไม่เกี่ยวนำพื้นที่ไปใช้ทำธุรกิจ
 
ด้านสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ขณะนี้การรถไฟฯ ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยอยู่ระหว่างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช สำหรับกรณีการเว้นพื้นที่ด้านข้างทางรถไฟนั้นเป็นการเว้นระยะความปลอดภัยจากเสาไฟฟ้าแรงสูง เนื่องจากทางรถไฟสร้างคู่ขนาดไปกับทางรถไฟฟ้าจึงต้องมีการกันพื้นที่และทำรั้วกั้นตลอดแนว ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการนำพื้นที่ไปใช้ทำธุรกิจ เพราะถ้าชาวบ้านอยู่ไม่ได้เอกชนก็มาลงทุนอะไรไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการปรับภูมิทัศน์ตลอดเส้นทาง
 
ส่วนข้อเสนอให้ทำทางรถไฟยกระดับ สร้อยทิพย์กล่าวแสดงความเห็นด้วยโดยระบุว่าการทำทางรถไฟยกระดับนั้นนอกจากจะเป็นข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาของชุมชน โครงการดังกล่าวยังมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและรองรับการจราจรที่ขยายตัวด้วย ทั้งนี้ การทำทางรถไฟยกระดับจะต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 400-500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามโครงการรถไฟสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช ยังไม่ผ่าน ครม.โดยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล การนำปัญหาต่างๆ ออกมานำเสนอและร่วมพูดคุยกันถือเป็นสิ่งที่ดีต่อการดำเนินโครงการต่อไป
 
ภายหลังจากการเสวนา ดร.มรว.อคินได้ร่วมกับชาวชุมชนเปิด “ศูนย์บ้านศิลป์...ดินรถไฟ” เพื่อใช้ศูนย์ดังกล่าวเป็นเวทีในการจัดกิจกรรมสาธารณะทั้งในมิติด้านศิลปวัฒนธรรมและการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง
 
 
ทั้งนี้ โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วง "ตลิ่งชัน-ศิริราช" ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ที่มีจุดเริ่มต้นเพื่อเสริมโครงข่ายแก้ปัญหาการจราจรโดยรอบโรงพยาบาลศิริราชให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นนั้น รูปแบบโครงการจะก่อสร้างทางใหม่ขึ้นมาอีก 1 เส้นทางบนเขตทางเดิมที่เหลืออยู่ 30 เมตร ซึ่งจะวิ่งคู่ไปกับเส้นทางรถไฟเดิม สำหรับโครงสร้างงานโยธาเป็นทางระดับดิน มียกข้ามจุดตัด 2 แห่ง คือ บริเวณแยกฉิมพลีและแยกจรัญสนิทวงศ์ ส่วนสถานีที่จะก่อสร้างมีทั้งหมด 3 สถานี คือ สถานีตลาดน้ำตลิ่งชัน สถานีจรัญสนิทวงศ์ และสถานีธนบุรี-ศิริราช ส่วนศูนย์ซ่อมบำรุงอีก 1 แห่งนั้น จะตั้งอยู่ใกล้กับสถานีปลายทางคือ สถานีธนบุรี-ศิริราช
 
โครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้เงินก่อสร้างประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และใช้ที่ดินเขตทางของการรถไฟฯ แต่มีปัญหาอุปสรรค คือจะต้องโยกย้ายชุมชนริมเขตทางรถไฟที่มีอยู่หนาแน่นทั้งเขตตลิ่งชันและบางกอกน้อยร่วม 67 ชุมชน ซึ่งจากการประเมินคร่าวๆ ตัวเลขอยู่ที่ 1,000 ครัวเรือน
 
โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วง "ตลิ่งชัน-ศิริราช" นี้เป็นเส้นทางต่อเชื่อมกับโครงการรถไฟสายสีแดงช่วง "บางซื่อ-ตลิ่งชัน" ที่ปัจจุบันการรถไฟฯ ได้ก่อสร้างงานโยธาเสร็จแล้ว รอวันเวลาเปิดบริการเต็มรูปแบบพร้อมสายสีแดงช่วง "บางซื่อ-รังสิต" อีก 4 ปีข้างหน้า
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกาหลีเหนือผลิต "แท็บเล็ต" ใช้เองหลายรุ่น

$
0
0

เว็บรีวิวเทคโนโลยีเผย เกาหลีเหนือพัฒนา "แท็บเล็ต" ใช้เองหลายรุ่นโดยใช้ระบบ "แอนดรอยด์" และมีการนำมาแสดงในงานแสดงสินค้าในเปียงยาง อย่างไรก็ตามแอพลิเคชั่นในเครื่องเน้นรองรับการใช้งานแบบ "ออฟไลน์" เนื่องจากการข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในเกาหลีเหนือ

เปิดตัว "ซัมจิยอน" และแท็บเล็ต "นิรนาม" อีกรุ่นในงานแสดงสินค้าที่เปียงยาง

บล็อก "Northkoreatech" ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ของเกาหลีเหนือ เผยแพร่บทรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่าบริษัทของเกาหลีเหนือแห่งหนึ่งได้พัฒนาคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตโดยใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ทั้งนี้จากข้อมูลในงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 โดยภาพและข้อมูลจากสำนักข่าว AP และสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือ KCTV ระบุว่าแท็บเล็ตดังกล่าวผลิตโดยบริษัท "โชซอนคอมพิวเตอร์" ซึ่งไม่เคยเป็นข่าวมาก่อนเลยทั้งในสื่อตะวันตกและสื่อของเกาหลีเอง 

คลิปจากสถานีโทรทัศน์กลางเกาหลี (KCTV) เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา รายงานข่าวแท็บเล็ตที่พัฒนาโดยบริษัท "โชซอนคอมพิวเตอร์" และมีการนำมาจัดแสดงในงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 (ที่มา: youtube.com/Martyn Williams)

ทั้งนี้ตัวแทนของกูเกิลกล่าวเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ว่าภาพแท็บเล็ตที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ของเกาหลีใต้บางฉบับ จากที่สำนักงานของกูเกิลในโซลให้ความสนใจดังกล่าวนั้น เป็นไปได้ที่บริษัทเกาหลีเหนือจะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์อย่างถูกกฎหมาย เพราะมันเป็นซอฟแวร์แบบโอเพนซอร์ส ทั้งนี้บริษัทของเกาหลีเหนือดังกล่าวจะละเมิดสิทธิของกูเกิลต่อเมื่อใช้แอพลิเคชั่นและบริการที่กูเกิลเป็นเจ้าของอย่างเช่น จีเมล์ กูเกิลเพลย์ ในระบบแท็บเล็ตดังกล่าว 

แท็บเล็ตที่เป็นข่าวนี้ใช้ชื่อรุ่นว่า "ซัมจิยอน" (Samjiyon) โดยระบุตรงกล่องผลิตภัณฑ์ที่วางที่ซุ้มแสดงสินค้า และจากภาพในคลิปของสถานีโทรทัศน์ KCTV ที่รายงานข่าวแท็บเล็ต "ซัมจิยอน" ดังกล่าวดูเหมือนว่าหน้าจอของแท็บเล็ตจะไม่มีไอคอนสำหรับแอพลิเคชั่นของอีเมล์ เว็บ หรือแอพลิเคชั่นที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในเกาหลีเหนือ และดูเหมือนจะมีการแทนที่ด้วยแอพลิเคชั่นแบบออพไลน์มากกว่าเช่น แอพลิเคชั่นสำหรับอ่านหนังสือดิจิตอล เป็นต้น

และ "ซัมจิยอน" ไม่ใช่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รุ่นเดียวที่จัดแสดงในงานแสดงสินค้านานาชาติดังกล่าว แต่จากคลิปของสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือ ยังเผยให้เห็นภาพ เจ้าหน้าที่ประจำซุ้มของศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเปียงยาง (Pyongyang Informatics Center) เองก็กำลังสาธิตการใช้อุปกรณ์แท็บเล็ตพีซีรุ่นหนึ่ง

 

คลิปของสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา รายงานข่าวงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 โดยตั้งแต่วินาทีที่ 27 - 36 เป็นภาพเจ้าหน้าที่ประจำซุ้ม "Pyongyang Informatics Center" กำลังสาธิตการใช้แท็บเล็ตพีซี

ห้องแล็บและโรงงานผลิตแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งในเปียงยาง (ที่มา: KCTV)

แท็บเล็ตหน้าจอ 7 นิ้วรุ่น "อาชิม" หรือ "ยามเช้า" (ที่มาของภาพ: KCNA)

 

สื่อเกาหลีเหนือระบุแท็บเล็ตรุ่น "อาชิม" เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน 

โดยที่ "ซัมจิยอน" และแท็บเล็ตของ "Pyongyang Informatics Center" ไม่ใช่แท็บเล็ตรุ่นแรกๆ ที่พัฒนาโดยบริษัทในเกาหลีเหนือ ขณะที่ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือระบุว่า "อาชิม" (Achim) หรือ "ยามเช้า" แท็บเล็ตเพื่อการศึกษาที่ผลิตโดย "บริษัทพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์" ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน โดยแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว หนัก 300 กรัม ระบบควบคุมและแอพลิเคชั่นสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาเกาหลี อังกฤษ จีน และรัสเซีย สามารถใช้งานได้นาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ผู้ใช้สามารถที่จะใช้งานโปรแกรมการเรียนการสอน การอ้างอิง ดิกชั่นนารี และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากแท็บเล็ตหลากหลายวัตถุประสงค์นี้

รี ยอง ซุก ครูประจำโรงเรียนมัธยมเปียงยางที่ 1 กล่าวกับสำนักข่าวกลางเกาหลีว่า แท็บเล็ตนี้มีประโยชน์ในการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาสมรรถนะทางปัญญาของนักเรียน

 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก

 

Samjiyon Android tablet debuts at Pyongyang trade fair, Northkoreatech, 28 Sept 2012
 
PAD 'Achim' Popular among Students, KCNA, 25 July 2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'มิเชล มาส' นักข่าวดัตช์ที่ถูกยิง 19 พ.ค. เข้ามอบหลักฐานดีเอสไอ

$
0
0

หลักฐานประกอบด้วยลูกกระสุนปืน M16 รูปภาพ และคลิปเสียงที่ 'มิเชล มาส' อัดไว้ในระหว่างเกิดเหตุ เตรียมเข้าให้ปากคำสน. พญาไทประกอบคดีการเสียชีวิตที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 คดี

29 ต.ค. 55 - ราว 10.30 น. มิเชล มาส นักข่าวชาวดัทช์ซึ่งถูกยิงบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ได้เข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อมอบกระสุนปืนและหลักฐานอื่นๆ ให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ. นนทบุรี โดยมี พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองหัวหน้าพนง.สอบสวนกรณีการสลายการชุมนุมเดือนเม.ย. -พ.ค. 53 เป็นผู้รับมอบหลักฐาน
 
 
หลักฐานที่มาส นำเข้ามอบให้แก่เจ้าหน้าที่สอบสวน ได้แก่ กระสุนปืนที่ยิงเข้าสู่ร่างกายของเขา ซึ่งภายหลังแพทย์ได้ผ่าตัดนำออกมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอระบุว่าเป็นกระสุนหัวขนาด .223 หรือ 5.56 มม. สามารถใช้กับปืนประเภท M16 นอกจากนี้ ยังมีวีซีดีแสดงการผ่าตัดนำกระสุนจากโรงพยาบาลสมิติเวช ภาพเอ็กซ์เรย์ปอดพร้อมกระสุน และยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ ประกอบด้วยภาพถ่าย ข้อความทางทวิตเตอร์ และเสียงการรายงานวิทยุของสถานี NOS ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมาส รายงานในขณะที่ถูกยิง
 
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา มิเชล มาส ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้ปากคำกับดีเอสไอ ในฐานะพยานปากคำในคดีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวอิตาลี ฟาบิโอ โปเลนกี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณแยกราชดำริเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 
 
ในวันพรุ่งนี้ มีรายงานว่า มาสจะเข้าให้ปากคำกับสำนักงานตำรวจพญาไท ในฐานะพยานประกอบคดีการเสียชีวิตของนายนรินทร์ ศรีชมพู นายถวิล คำมูล และชายไทยไม่ทราบชื่อ ซึ่งเสียชีวิตในระหว่างการสลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชดำริเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ใกล้กับจุดที่นายมาสถูกยิง โดยทั้งสามเป็นคดีที่ดีเอสไอส่งสำนวนสรุปว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ​
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มูลค่าการประมูลคลื่น 3G ของไทยเหมาะสมแล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ?

$
0
0


การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz (คลื่น 3G) โดยสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ผ่านพ้นไปประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว โดยผลการประมูลคลื่นความถี่ทั้ง 9 ชุดคลื่นสร้างรายรับให้กับรัฐ 41,625 ล้านบาท สูงกว่าราคาตั้งต้นที่ กสทช. ตั้งไว้ที่ 40,500 ล้านบาท (4,500 ล้านบาทต่อชุดคลื่น x 9 ชุดคลื่น) ประมาณ 2.8% แต่ยังต่ำกว่ามูลค่าประมาณการรายรับ 57,960 ล้านบาทที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ซึ่งสำนักงาน กสทช. มอบหมายให้ไปศึกษา) คำนวณเอาไว้ถึง 16,335 ล้านบาท หรือประมาณ 27.2% ซึ่งผลการประมูลที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลายและกว้างขวางในสังคม ในประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดมีประเด็นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด คือความเหมาะสมของรายรับการประมูลเมื่อเทียบกับต่างประเทศ

หากพิจารณาตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ราคาที่เหมาะสมคือราคาที่สะท้อนต้นทุนค่าเสียโอกาสของการนำคลื่นความถี่ไปสร้างประโยชน์ในทางอื่น หรือโดยผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้นถ้าหากการประมูลมีการแข่งขันที่ดี การสู้ราคาในการประมูลจะส่งผลให้ราคาที่ผู้ชนะเสนอสะท้อนต้นทุนค่าเสียโอกาสของคลื่นความถี่ ในกรณีที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการประมูลจะไม่มีการแข่งขันดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ราคาการประมูลจะไม่สะท้อนถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสของการใช้คลื่นความถี่เนื่องจากผู้ประกอบการไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันกันเสนอราคา และ กสทช. จำเป็นที่จะต้องตั้งราคาที่เหมาะสมเองผ่านการกำหนดราคาตั้งต้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรงานศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงมีความสำคัญ จากงานศึกษาชิ้นดังกล่าวคณะผู้วิจัยประมาณการรายรับที่ควรจะได้รับจากการประมูลที่ 6,440 ล้านบาท ต่อ 1 ชุดคลื่นความถี่ 5 MHz หรือ 0.64 เหรียญสหรัฐฯต่อ 1 MHz ต่อประชากร 1 คน (USD/MHz/Population)

อย่างไรก็ดีภายหลังการประมูล รายรับที่ได้รับต่ำกว่ารายรับที่ประมาณการที่ระบุในงานศึกษาของคณะวิจัยจากเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ อย่างมาก เนื่องจากการตั้งราคาตั้งต้นที่ลดลงมาถึง 30% ประกอบกับการไม่มีการแข่งขันในการประมูลทำให้ราคาที่ได้เพิ่มขึ้นจากราคาตั้งต้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งคิดเป็น 0.46 USD/MHz/population

ภายหลังการประมูล ผู้ประกอบการซึ่งเข้าร่วมประมูลรายหนึ่งได้ออกมาให้ความเห็นผ่านรายการโทรทัศน์ โดยให้ข้อมูลว่าราคาการประมูลของประเทศไทยเป็นราคาที่สูงพอสมควรและเหมาะสมแล้ว ซึ่งหากเทียบกับต่างประเทศ ประเทศไทยมีรายรับจากการประมูลสูงที่สุดในประเทศอาเซียน พร้อมทั้งยกข้อมูลราคาการประมูลของประเทศต่างๆ ได้แก่ (หน่วยเป็น USD/MHz/population) เกาหลีใต้ (ปี 2011) ที่ 0.40,เยอรมนี (ปี 2010) ที่ 0.28, เม็กซิโก (ปี 2010) ที่ 0.15, สิงคโปร์ (ปี 2010) ที่ 0.08, อินโดนีเซีย (ปี2006) ที่ 0.04 และมาเลเซีย (ปี 2006) ที่ 0.03 (ดูภาพประกอบด้านบน) ตัวเลขชุดเดียวกันนี้ยังถูกกล่าวอ้างถึงในบทความทางหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง ซึ่งเขียนโดยที่ปรึกษาของ กสทช. อีกด้วย ผู้เขียนมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างและตัวเลขต่างๆ ดังนี้

1. ตัวเลขที่ยกมาเป็นเพียงการเลือกประเทศบางประเทศ (7-9 ประเทศ) และตัวแปรบางตัวมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างเท่านั้น ในขณะที่การศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่คำนวณราคาตั้งต้นที่ 0.64 เหรียญสหรัฐฯต่อ 1MHz ต่อประชากร 1 คน ใช้ข้อมูลจำนวนประเทศที่ครอบคลุมกว่า และคำนึงถึงปัจจัยที่ผู้ประกอบการยกมา เช่น ระยะเวลาของใบอนุญาต ขนาดเศรษฐกิจ ปีที่ทำการประมูล ไว้ทั้งหมดแล้ว โดยงานศึกษาดังกล่าวใช้ข้อมูลการประมูลจากต่างประเทศทั้งหมด 17 ประเทศ รวมทั้งสิ้น 69 ใบอนุญาต ด้วยวิธีทางเศรษฐมิติ ซึ่งเป็นวิธีการหาค่าประมาณการมูลค่าคลื่น 3G ของไทยโดยคำนึงถึงปัจจัยที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งคณะผู้วิจัยได้รวมปัจจัยต่างๆ ของแต่ละประเทศเอาไว้ในการพิจารณากำหนดมูลค่าคลื่นไว้อย่างหลากหลาย เช่น ขนาดของเศรษฐกิจ จำนวนประชากร รายได้ต่อหัว ระยะเวลาของใบอนุญาต ความหนาแน่นของประชากร รวมถึงช่วงปีที่ประมูลว่ามีกระแสการตื่นตัวของเทคโนโลยี 3G หรือไม่ ดังนั้นผลการประมาณการ 6,440 ล้านบาทต่อชุดคลื่น 5 MHz จึงถือว่าเป็นมูลค่าที่สมเหตุผลเมื่อคำนึงถึงปัจจัยที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ และมีความน่าเชื่อถือกว่าการยกตัวเลขของประเทศเพียงบางประเทศมาเปรียบเทียบโดยไร้หลักเกณฑ์ที่เป็นวิชาการมาสนับสนุน

2. ตัวเลขที่ผู้ประกอบการกล่าวอ้างในส่วนของประเทศสิงคโปร์และอินโดนีเซีย มีความคลาดเคลื่อน ซึ่งจำเป็นต้องขยายความเพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด ในกรณีของประเทศสิงคโปร์ การประมูลในปี 2010 เป็นการออกใบอนุญาตคลื่น 3G เป็นครั้งที่ 2 หลังจากมีการประมูลรอบแรกไปแล้วในปี 2001 ซึ่งการประมูลในรอบนี้มีคลื่นที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 15 MHz แบ่งออกเป็น 3 ชุด ชุดละ 5 MHz โดยรัฐบาลสิงคโปร์ตั้งราคาตั้งต้นอยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อ 1 ชุดคลื่น หรือคิดเป็น 15.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ดูเอกสารอ้างอิง 1.หัวข้อที่ 8 สำหรับข้อมูลราคาตั้งต้น) โดยผู้ประมูลมีทั้งสิ้น 3 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการรายเดิม ผลการประมูลปรากฏว่าราคาสุดท้ายเท่ากับราคาตั้งต้น ซึ่งคิดเป็น 0.61 USD ต่อ MHz ต่อประชากร (15.4 ล้านเหรียญ/5MHz/ประชากร 5.08 ล้านคน) ซึ่งสูงกว่าไทย และมิใช่ 0.08 ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ในกรณีของอินโดนีเซีย วิธีการประมูลจะแตกต่างไปเล็กน้อย กล่าวคือรัฐบาลอนุญาตให้ผู้ประกอบการผ่อนชำระเงินค่าประมูลได้ตลอดอายุใบอนุญาต โดยผู้เข้าประมูลจะทำการ เสนอราคาผ่อนชำระต่อปี ไม่ใช่ราคารวมที่จ่าย โดยผู้ชนะการประมูลต้องชำระเงิน 2 เท่าของราคาที่ตนเสนอในปีแรก และชำระเงินในอัตราคงที่ทุกปีเท่ากับราคาที่ผู้ชนะรายสุดท้ายเสนอตลอดอายุใบอนุญาต 10 ปี ดังนั้นการคิดมูลค่าจะต้องรวมค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการต้องชำระคงที่ตลอดอายุใบอนุญาตในราคาประมูลด้วย เนื่องจากต้นทุนที่ชำระในส่วนนี้ทั้งหมดเป็นมูลค่าที่กำหนดโดยวิธีการประมูลและไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ประกอบการ ดังนั้นจะไม่ใช่ส่วนแบ่งของรายได้และควรรวมอยู่ในราคาประมูล เพียงแต่ว่ารัฐอนุญาตให้ผ่อนจ่ายเท่านั้น  ในขณะที่การเก็บค่าธรรมเนียมตามสัดส่วนของรายได้ก็ยังมีอยู่ตามปกติและแยกออกมาต่างหาก(เช่น Universal Service Obligation ประมาณ 0.75% ของรายได้) ฉะนั้นแล้ว ถ้าใช้เพียงแต่ตัวเลขที่เอกชนเสนอตามข้อมูลที่ที่ปรึกษา กสทช. ใช้กล่าวอ้าง จะทำให้มูลค่าลดลงจากความเป็นจริงถึง 10 เท่า แท้ที่จริงแล้วตัวเลขมูลค่าคลื่นจากการประมูลในกรณีของอินโดนีเซียควรจะอยู่ที่ประมาณ 0.4-0.5 USD/MHz/population ซึ่งถือว่ามีผลลัพธ์ที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่ำ มีลักษณะเป็นเกาะ และใบอนุญาตมีอายุเพียง 10 ปี (ดูเอกสารอ้างอิง 2. สำหรับวิธีการประมูลของอินโดนีเซียและราคาเป็น USD/MHz/population)

3. ประเทศต่างๆ ที่ผู้ประกอบการนำมากล่าวอ้างส่วนใหญ่ เช่น เกาหลีใต้ เยอรมัน และสิงคโปร์ เป็นข้อมูลของการจัดสรรใบอนุญาตรอบที่ 2 นั่นคือประเทศเหล่านี้มีการให้ใบอนุญาตคลื่น 2.1 GHz รอบใหญ่มาแล้ว การประมูลในรอบหลังเป็นการประมูลใบอนุญาตที่เหลืออยู่เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มการแข่งขันของรายใหม่ หรือเพิ่มคลื่นให้เพียงพอต่อการให้บริการ ซึ่งการประมูลรอบหลังนี้มูลค่าคลื่นย่อมต่ำกว่าการประมูลรอบแรก เพราะตลาดเริ่มมีการอิ่มตัว อุปสงค์ของการใช้ 3G ส่วนใหญ่ถูกตอบสนองไปแล้วอีกทั้งส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการรายเดิมก็สูงอยู่แล้ว จึงเป็นการยากสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้าไปแข่งขันและทำให้โอกาสของการทำกำไรต่ำลง การแข่งขันและราคาตั้งต้นจึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดไว้ต่ำ

ในกรณีของประเทศเกาหลีใต้ปี 2011 วัตถุประสงค์สำคัญคือการเพิ่มการแข่งขันในการให้บริการ (ดูเอกสารอ้างอิง 3.หน้า 55) เนื่องจากก่อนหน้านี่ผู้ให้บริกา ร3G ในคลื่น 2.1 GHz ผูกขาดอยู่เพียง 2 ราย ซึ่งเป็น 2 รายใหญ่ที่สุดในตลาด โดยทั้ง 2 รายได้รับการจัดสรรคลื่น 2.1 GHz มาก่อนหน้าแล้ว แต่รัฐต้องการเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ในตลาด จึงจัดการประมูลใบอนุญาตเพิ่มอีก 1 ใบ โดยไม่อนุญาตให้เจ้าตลาดทั้งสองรายเข้าร่วมประมูล (ดูเอกสารอ้างอิง 5. หน้า 3) ซึ่งแน่นอนว่าการเข้ามาแข่งกับเจ้าตลาดรายใหญ่ที่ให้บริการอยู่แล้วย่อมทำให้มูลค่าใบอนุญาตใบนี้มีค่อนข้างต่ำเนื่องจากรายใหม่จะต้องแข่งกับเจ้าตลาดรายใหญ่ที่มีฐานลูกค้ามากและตลาดค่อนข้างอิ่มตัว รัฐบาลย่อมต้องตั้งราคาจูงใจให้ต่ำลง ซึ่งสุดท้ายก็มีผู้เข้าร่วมประมูลเพียงรายเดียวและได้ใบอนุญาตไปในราคาตั้งต้น

ในกรณีของสิงคโปร์ปี 2010 รัฐต้องการเพิ่มศักยภาพการให้บริการ จึงนำคลื่นอีก 15 MHz ที่ไม่ได้ถูกจัดสรรเมื่อครั้งการประมูลรอบแรกในปี 2001 มาประมูล และอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายเดิมร่วมประมูลได้ ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่สนใจ แม้ว่าราคาตั้งต้นที่รัฐตั้งจะต่ำกว่าราคาตั้งต้นในครั้งที่ประมูลรอบแรกเมื่อปี 2001 ประมาณ 40% (ราคาตั้งต้นปี 2010 อยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อ 5  MHz ในขณะที่ราคาตั้งต้นในปี 2001 อยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อ 15 MHz) โดยผู้ประกอบการรายเดิมทั้ง 3 รายชนะการประมูลรายละ 5MHz ในราคาตั้งต้น

4. ประเทศมาเลเซียไม่ได้ใช้วิธีการประมูล แต่ใช้การให้ใบอนุญาตด้วยการคัดเลือกบริษัทที่เหมาะสม (Beauty Contest) ในราคาที่รัฐกำหนด ซึ่งเป็นวิธีที่ขาดความโปร่งใส ดังนั้นจึงไม่สามารถเปรียบเทียบมูลค่ากับวิธีการประมูลได้ (ดูเอกสารอ้างอิง 8. ส่วนที่ 1 ข้อที่ 1 สำหรับวิธีการจัดสรรคลื่นแบบคัดเลือก) นอกจากนี้การออกใบอนุญาตในปี 2006 ยังเป็นการออกใบอนุญาต 3G รอบที่ 2 หลังจากได้ออกใบอนุญาตในรอบแรกไปแล้วเมื่อปี 2001 ด้วยวิธีคัดเลือกบริษัทที่เหมาะสม

จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นำเสนอผ่านสื่อนั้นมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริง และเป็นการจงใจอ้างอิงเฉพาะผลการประมูลในกลุ่มประเทศเพียงไม่กี่ประเทศเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้าง  แตกต่างจากงานศึกษาที่ใช้เทคนิคการประมาณค่าที่มีความเป็นวิชาการของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่มากกว่า และคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่ผู้ประกอบการได้นำมากล่าวอ้างทั้งหมดในการประมาณมูลค่าแล้ว ซึ่งในท้ายที่สุด ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก็คือ ราคาสุดท้ายของการประมูลของไทยต่ำกว่าราคาที่ได้จากการประมาณการอย่างเป็นวิชาการจากหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจาก กสทช. เอง และต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของประเทศต่างๆ ที่ประมูลก่อนหน้ามากถึงเกือบ 30%

 

 

เอกสารอ้างอิง: เอกสารอ้างอิงทั้งหมดสามารถดูได้จากบทความฉบับเต็มตีพิมพ์ใน www.thaipublica.org
หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม: จริงหรือที่มูลค่าการประมูลคลื่น 3G ของไทยเหมาะสมแล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ?
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: ประสบการณ์จาก 3 รพ.นำร่อง มาตรการใช้ยาสมเหตุผล

$
0
0



ภายหลังที่ “กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง” ปูพรมขอความร่วมมือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 34 แห่ง แบ่งเป็นในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 19 แห่ง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย 7 แห่ง และอื่นๆ 8 แห่ง นำร่องบุกเบิกใน “โครงการศึกษาหามาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยากรณีผู้ป่วยนอก” ซึ่งเริ่มมาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2552

ผ่านมา กว่า 2-3 ปี สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) เครือสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้สนับสนุนการถอดบทเรียน ซึ่งเริ่มจาก 3 โรงพยาบาลต้นแบบ คือ โรงพยาบาลลำปาง โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นแนวทางค้นหาจุดเด่นของการดำเนินงานปัจจัยของและผลสำเร็จ ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ นำไปสู่การพัฒนานโยบายการใช้ยาที่สมเหตุผลและคุ้มค่าต่อไป

มาตรการลดค่ายาเสียงสะท้อนจากหมอ รพ.ลำปาง

“โรงพยาบาลลำปาง” ขานรับมาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยากรณีผู้ป่วยนอก หลังจากที่ผู้บริหารของโรงพยาบาลได้เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงนโยบายจากกรมบัญชีกลางร่วมกับโรงพยาบาลนำร่องทั่วประเทศในเดือนกรกฎาคม 2552 โดยในเดือนสิงหาคมถัดมา คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (Phamaceutical Therapeutic Committee หรือ PTC) ได้จัดประชุมกำหนดมาตรการลดค่ายาครั้งที่ 1 และในเดือนกันยายนต่อมา ได้มีการจัดประชุมองค์กรแพทย์ สร้างความเข้าใจร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย ผลจากการประชุมทำให้ตกผลึก 2 ยุทธศาสตร์ ภายใต้แผนควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยา คือ 1.การลดค่ายาที่จ่ายในแต่ละครั้ง (Unit price) 2.ลดปริมาณยาที่สั่งจ่าย (Utilization Quantity)

ภญ.บุญญาพร ยิ่งเสรี หัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรม รพ.ลำปาง กล่าวว่า การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาไม่ใช่เรื่องใหม่  เพราะทางโรงพยาบาลมีการวางมาตรการและกลไกมานานแล้ว โดยมี PTC เป็นตัวหลักในการดำเนินงาน ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ผลมากนัก แต่เชื่อว่าการมีกลไกและมาตรการ รวมทั้งวัฒนธรรมองค์กรเดิมเป็นพื้นฐาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาเดินหน้าต่อไปได้

สำหรับการจัดซื้อยาใหม่  คณะกรรมการจัดซื้อยาจะจัดทำ Monograph ยาใหม่ โดยอ้างอิงจาก Evidence เพื่อคัดเลือกยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ยาที่มีข้อบ่งชี้การใช้ยาเหมือนกันจะคัดเลือกไว้ในบัญชีชื่อสามัญทางยา (Generic name) ไม่เกิน 2 รายการ โดยยึดตามหลักเกณฑ์ ‘Good Health at  Low Cost’ ที่กระทรวง สธ.กำหนด และคัดเลือกยาที่มีราคาถูกกว่าเข้าบัญชียา โดยจ่ายยาให้ผู้ป่วยทุกสิทธิด้วยยาเดียวกันแม้จะเป็นยาต้นแบบก็ตาม

นอกจากนี้ ยังใช้ระบบ Hospital Formulary System หรือการจัดประเภทยาในบัญชียา เพื่อให้มีการสั่งใช้ยาอย่างเหมาะสมตามสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วย และสิทธิการสั่งใช้ยาของแพทย์ ตามเงื่อนไขการสั่งใช้ยาที่กำหนดในบัญชียาหลักแห่งชาติ และเงื่อนไขที่ PTC กำหนด

การควบคุมค่าใช้จ่ายยาของโรงพยาบาลหลังเข้าร่วมโครงการกับทางกรมบัญชีกลางแล้ว ได้วางเป้าหมายในการลดค่าใช้จ่ายด้านยาลงอีก 25% โดย PTC กำหนดเป้าหมายในปี 2553 ว่าจะต้องควบคุมค่ายาให้อยู่ในวงเงิน 300 ล้านบาท จากเดิมที่เคยสูงกว่าปีละ 300 ล้านบาท มาตรการที่นำมาใช้เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย คือ การไม่รับยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติใหม่ที่มีข้อบ่งชี้เหมือนยาต้นแบบในกลุ่มยาเป้าหมายเข้าบัญชียาโรงพยาบาลปี 2553 รวมทั้งการลดค่ายาที่จ่ายในแต่ละครั้ง และลดปริมาณยาที่สั่งจ่าย

พร้อมประสานงานและการสื่อสารเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างวิชาชีพ  โดยเฉพาะแพทย์ที่มีบทบาทสำคัญในการสั่งยาให้แก่ผู้ป่วย  มีการจัดประชุมร่วมกับองค์กรแพทย์เป็นระยะ  เพื่อนำข้อสรุปมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติตามนโยบายที่วิชาชีพแพทย์มีส่วนร่วมตัดสินใจ เช่น การให้แพทย์เขียนรหัสแพทย์ (ว.....) บนใบสั่งยา เพื่อเป็นการบันทึกข้อมูลการสั่งยา ให้แพทย์บันทึกเหตุผลที่ไม่สามารถใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ  การเน้นย้ำเรื่องการใช้ยาที่เหมาะสม กรณีมีการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ แพทย์ต้องระวังการสั่งยาแบบ Poly-Pharmacy และสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติตามแนวปฏิบัติทางคลินิก (Clinical Practice Guideline : CPG) กรณียาเคมีบำบัดนอกบัญชียาหลักแห่งชาติ หากสั่งไม่ตรง CPG ต้องขออนุมัติต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกครั้ง รวมทั้งมาตรการการนำยา CL (การประกาศใช้สิทธิโดยรัฐต่อยาที่มีสิทธิบัตร) มาใช้เพื่อลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนกรณียาผู้ป่วยสูญหายและมาขอเบิกยาเพิ่ม การตรวจบัตรแสดง IPD ที่ห้องทะเบียนเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ผู้ป่วยระบบจ่ายตรง ฯลฯ

มาตรการต่างๆ เหล่านี้  แม้ว่าจะได้รับความร่วมมือจากแพทย์เป็นอย่างดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดผลกระทบต่อแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน โดยปัญหาแรก คือการทำงานของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของแพทย์เฉพาะทางที่บางครั้งก็ต้องการใช้ยาใหม่ๆ รักษาผู้ป่วย และแพทย์รู้สึกเหมือนถูกตรวจสอบ เป็นต้น

แต่ผลลัพธ์จากการดำเนินมาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยากรณีผุู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลลำปาง  ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2552 ถึงปัจจุบัน สามารถลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2553 ลดมูลค่าการจัดซื้อยาได้ตามเป้าหมายจำนวน 25 ล้านบาท ลดมูลค่าการเบิกยา OPD จากกรมบัญชีกลางได้ 30 ล้านบาท

ประสบการณ์ รพ.ตำรวจแปรวิกฤตเป็นโอกาส

ก่อนที่ “โรงพยาบาลตำรวจ” จะร่วมโครงการกับกรมบัญชีกลาง สถิติการเบิกจ่ายค่ายาผู้ป่วยนอกระหว่างปี 2550-2552 เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 74.60 ทำให้กรมบัญชีกลางเรียกเก็บเงินคืนจากโรงพยาบาลประมาณ 3.5 ล้านบาท นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ บอกว่า “ตอนที่กรมบัญชีกลางมาเรียกเงินคืน ผมแทบช็อก ถือเป็นความสูญเสียของรัฐ และเป็นความเสียหายขององค์กร”

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บุคลากรทุกฝ่ายของโรงพยาบาลตำรวจเกิดการตื่นตัว  และร่วมมือกันใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายจนประสบผลสำเร็จ  จนกลายเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลอื่นๆ ในเวลาต่อมา

การดำเนินการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาของโรงพยาบาลตำรวจ  เริ่มจากการจัดทำคำสั่งเรื่องการสั่งจ่ายยาเพื่อให้แพทย์สั่งจ่ายยาให้สอดคล้องกับหลักวิชาการทางการแพทย์และเป็นไปตามที่กรมบัญชีกลางขอความร่วมมือ  รวมถึงการมีคำสั่งให้มีการใช้ยานอกบัญชียาหลักอย่างชัดเจนและเข้มงวด  ซึ่งหลังจากที่มีนโยบายและคำสั่งอย่างชัดเจนแล้ว  จึงนำไปสู่การวางแผนการลดค่ายาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กำหนดให้มีการประเมินผลการใช้ยาในกลุ่มยาเป้าหมายในระยะเวลา 3 เดือนแรก แล้วนำผลประเมินสะท้อนกลับให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ โดยมีแผนการกระตุ้นให้แพทย์มีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อลดมูลค่าการใช้ยานอกบัญชียาหลักฯ รวมทั้งมีมาตรการควบคุมปริมาณการสั่งจ่ายยา

มีการใช้ตัวชี้วัด 4 ประการ เพื่อกำหนดการบรรลุเป้าหมายภายในระยะเวลา 5 เดือน  คือ 1.มูลค่าการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติต้องมีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60  ของมูลค่ายาทั้งหมด  2.ให้มีการสั่งใช้ยาในบัญชียาหลักฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของแต่ละรายการยา  3.กำหนดให้ใช้ยาสามัญทดแทนยาต้นแบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของแต่ละรายการยา  และ 4.กำหนดมูลค่ารายจ่ายด้านยา 9 กลุ่มที่คาดว่าจะสามารถประหยัดได้ 19 ล้านบาทต่อปี

มาตรการสำคัญประการหนึ่งในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยา  คือ  คำสั่งกำชับการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ  โดยให้แพทย์ระบุเหตุผลที่ไม่สามารถใช้ยาในบัญชียาหลักฯ ในเวชระเบียนและหนังสือประกอบการเบิกจ่าย ซึ่งหากกรมบัญชีกลางเรียกเก็บเงินคืนแล้วภายหลังที่พบว่าไม่มีการระบุเหตุผลที่ไม่สามารถใช้ยาในบัญชียาหลักฯได้  หรือระบุเหตุผลไม่สอดคล้องกับประวัติการใช้ยาหรือหลักฐานการวินิจฉัยโรคในเวชระเบียน  ให้เป็นความรับผิดชอบของแพทย์ผู้รักษาที่ลงนามหรือแพทย์ผู้ลงนามกำกับเพื่อเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ

ภญ.พ.ต.อ.หญิงศิริพร จรุงศักดิ์เศรษฐ์ หัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรม รพ.ตำรวจ กล่าวว่า การให้แพทย์ระบุเหตุผลประกอบการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักฯ มีผลต่อการลดค่ายามากที่สุด เพราะเมื่อแพทย์จะสั่งใช้ก็จะต้องรับผิดชอบ จึงทำให้มีการสั่งใช้ยาอย่างสมเหตุผลมากขึ้น  ลำดับถัดมาก็คือการจำกัดการสั่งใช้ยา  การกำหนดระดับการอนุมัติใช้ยา  และสุดท้ายคือ  การประเมินผลการใช้ยา ซึ่งในอนาคตมาตรการนี้อาจจะมีผลมากที่สุดเพราะมีการวัดถึงระดับบุคคล

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ที่มารับบริการซึ่งในช่วงแรกต่างก็ไม่พอใจในการปรับยา ทำให้ผู้ที่มาใช้บริการลดจำนวนลงประมาณ 10% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 แต่ทางโรงพยาบาลก็พยายามสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ให้ผู้มาใช้บริการได้รับทราบ และยังจัดให้เภสัชกรประจำห้องตรวจคอยอธิบายเรื่องการเปลี่ยนตัวยาว่ามีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน และให้ผู้ป่วยลองใช้ยาดูก่อน หากมีปัญหาในการใช้ยาก็ยินดีเปลี่ยนให้

ผลการดำเนินเปรียบเทียบในช่วงเดือนตุลาคม 2552-พฤษภาคม 2553  และเดือนมิถุนายน 2553- ธันวาคม 2553  ทำให้สัดส่วนการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติกับบัญชียาหลักแห่งชาติ  ลดลงจากเดิม 68 : 32  เป็น 48 : 52 โดยมีสัดส่วนการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณร้อยละ 60 และมูลค่ายาผุู้ป่วยนอกในสิทธิสวัสดิการลดลงเฉลี่ย 11 ล้านบาทต่อเดือน หรือลดลงประมาณร้อยละ 20

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ยาสามัญทดแทนยาต้นแบบ จากสัดส่วนยาในบัญชียาหลักแห่งชาติที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 และสามารถประหยัดมูลค่ายาได้ประมาณ 132 ล้านบาทต่อปี

รพ.ศิริราช ลดค่ายาได้ แต่หวั่นกระทบสถานะโรงพยาบาล

รศ.นพ.ประดิษฐ์ สมประกิจ รองคณบดีฝ่ายการคลัง อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวถึงสถานการณ์ค่าใช้จ่ายด้านยาในช่วงสิบปีที่ผ่านมาว่า  รพ.ศิริราช มีค่าใช้จ่ายด้านยาสูงมาตลอด  สาเหตุหลักมาจากการใช้ยาไม่สมเหตุผล ทั้งในฝ่ายผู้สั่งยาและผู้รับบริการ ในส่วนของผู้สั่งยามีการใช้ยาที่มีราคาแพง  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาต้นแบบที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากยาบางตัวมีมานานและไม่มีตัวอื่นในตลาด ประกอบกับเป็นยาที่มีคุณภาพ แพทย์จึงสั่งใช้ยาจนคุ้นเคย ฯลฯ

แต่ถึงกระนั้นความพยายามในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาก็เกิดขึ้นมาตลอด โดยมีโครงสร้างและรูปแบบมาตรการที่ชัดเจน เพียงแต่ครั้งนี้เมื่อได้รับการประสานจากกรมบัญชีกลางกับโจทย์ที่ท้าทาย  รพ.ศิริราช ก็รับมาอย่างเข้าใจและตั้งใจที่จะช่วยประเทศในยามที่มีปัญหาในภาพรวม

โดยการส่งเสริมและกำกับการใช้และบริหารจัดการด้านยาของ รพ.ศิริราช มีกระบวนการที่ถือเป็นนโยบาย “ภายใน” ที่เข้มข้นมาเป็นทุนอยู่แล้ว มีคณะกรรมการยาและเวชภัณฑ์ ดูแลกำกับนโยบาย หลักเกณฑ์  แนวปฏิบัติต่างๆ ไปจนถึงนโยบายด้านราคายา และมีคณะกรรมการบริหารจัดการนำยาเข้า-ออก ทำหน้าที่จัดหายาเข้ามาใช้และปรับรายการบัญชียา กำหนดสิทธิและเงื่อนไขการใช้ยาและข้อบ่งใช้ยาตามความจำเป็นและเหมาะสม และยังมีคณะอนุกรรมการยาด้านต่างๆ อีก 17 คณะตามกลุ่มโรค

โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการกำหนดสิทธิแพทย์ผู้สั่งใช้ยา และมีการกำหนดให้แพทย์ต้องเขียนใบขออนุมัติการสั่งใช้ยาหากมีความจำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่ม Restrict Drug (กลุ่มยาที่เป็นกลุ่มยาควบคุมการใช้) มีการกำหนดเพดานค่ายาต่อใบสั่งยาเพื่อให้แพทย์พึงระลึกถึงมูลค่าของการสั่งจ่ายยาในแต่ละครั้ง รวมไปถึงการทำการประเมินการใช้ยา (Drug Use Evaluation, DUE) ในกลุ่มยาที่มีปัญหาต่างๆ และยังมีมาตรการเฝ้าระวังติดตามการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับระเบียบการสั่งจ่ายยาแก่ผู้รับบริการ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ศิริราชเป็นองค์กรใหญ่มาก  มีเตียงผู้ป่วยถึงกว่า 2 พันเตียง  การดำเนินการต่างๆ ต้องพยายามที่จะดูแลให้ทั่วถึง

นอกจากนี้ยังมีมาตรการ  ‘Same Chemical Substitute’ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่ใช้ลดการจ่ายยาต้นแบบ โดยห้องยาสามารถจ่ายยาสามัญแทนยาต้นแบบได้เลยหากแพทย์ไม่ได้ระบุตัว ‘R’ ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าในใบสั่งยา  เพราะการที่ให้แพทย์ระบุตัว ‘R’ ในใบสั่งยา  เพื่อเป็นเน้นย้ำว่าแพทย์ต้องการใช้ยาต้นแบบ  เนื่องจากแพทย์อาจจะสั่งยาด้วยความเคยชินด้วยชื่อทางการค้า แต่หากไม่ระบุเภสัชกรสามารถจ่ายยาสามัญแทนได้เลยโดยไม่มีความผิด

“นอกจากนี้การรับรู้ราคายายังช่วยให้คิดก่อนจ่าย ดังนั้นจึงมีการสื่อสารบอกกล่าวเรื่องราคายา พร้อมทั้งเปรียบเทียบให้เห็นถึงสิ่งที่สามารถประหยัดได้โดยคุณภาพการรักษายังคงอยู่ เพราะหากผู้ป่วยไม่ทราบราคายาก็ใช้ยามาก แพทย์ไม่ทราบราคายาก็ใช้ยามาก” รศ.นพ.ประดิษฐ์ ยกตัวอย่างมาตรการต่างๆ ที่ รพ.ศิริราชนำมาใช้

ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี  รพ.ศิริราช สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านยาและเห็นผลอย่างชัดเจน เช่น ในปี พ.ศ. 2554  สามารถลดมูลค่าการใช้ยาได้ถึง 700 ล้านบาท  จากมาตรการระบุเหตุผลการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลัก มาตรการนี้เป็นมาตรการที่มีผลต่อการลดมูลค่าการใช้ยาของโรงพยาบาลมากที่สุด

ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์และบทเรียนจากโรงพยาบาลนำร่องทั้ง 3 แห่ง ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อยู่ไม่น้อย แต่เสียงสะท้อนเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการใช้ยาให้สมเหตุผล ประหยัดงบประมาณของประเทศ ขณะเดียวกันผู้ป่วยก็จะต้องได้รับบริการที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน !!


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือแพนเอเชียฟุตแวร์ เลิกจ้างอีกแห่ง คราวนี้โรงงานระยอง

$
0
0

คนงาน 'บ.เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์' ในเครือบริษัทแพนเอเชียฟุตแวร์ จ.ระยอง ประท้วง ชี้ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกาศปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้าและประกาศจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างพนักงาน เพียงแค่ 30% ซ้ำรอยเป็นแห่งที่ 2 หลังจากที่เลิกจ้างคนงานที่ปราจีนบุรี



29 ต.ค. 55 - เนชั่นทันข่าวรายงานว่าที่บริเวณหน้าบริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด  เลขที่ 94 หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พนักงานชายหญิงและพนักงานผู้สูงอายุ กว่า 300 คนรวมตัวชูป้ายคำว่า "อายุก็มาก ครอบครัวก็มี แต่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม" "ผมแก่แล้ว อย่าทำร้ายผมเลยครับ" เพื่อยื่นหนังสือนายธวัชชัย จิตต์ธรรมวานิช กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กรณีประกาศปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้าและประกาศจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างพนักงาน เพียงแค่ 30% เป็นการจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และขอให้บริษัทฯออกใบรับรองการผ่านงานให้กับพนักงานทุกคนและขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยดำเนินการให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน มาตรา 118 แต่นายธวัชชัย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯไม่ยอมออกมารับหนังสือเรียกร้อง

นายพรเทพ สุภาภรณ์ อายุ 30 ปี แผนกฝ่ายผลิต บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด กล่าวว่าโรงงานดังกล่าวเป็นบริษัทฯในเครือสหพัฒนพิบูล จำกัด ผลิตชิ้นส่วนรองเท้ามีพนักงานชายหญิง รวมทั้งพนักงานผู้สูงอายุและคนพิการรวมทั้งสิ้น 423 คน และเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาพนักงานขณะกำลังปฏิบัติงานได้มีผู้บริหารโรงงานออกมาประกาศปิดกิจการทันทีโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าพร้อมประกาศกำหนดจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้าง 30% และจะให้พนักงานไปทำงานในเครือของบริษัทฯที่ จ.ปราจีนบุรี เพราะพนักงานส่วนใหญ่มีครอบครัวอยู่ที่ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย แล้วจะให้พวกเราไปทำงานที่อื่นซึ่งอยู่ไกลมากล่าสุดทางโรงงานยืนยันจะจ่ายเงินชดเชยพนักงานเพียง 30% เหมือนเดิม

นายพรเทพ สุภาภรณ์ พนักงานแผนกฝ่ายผลิต กล่าวว่า พนักงานทั้งชายหญิงรวมทั้งผู้สูงอายุรวมทั้งสิ้น 423 คน ได้ลงชื่อร้องเรียนและส่งตัวแทนเดินทางไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ระยอง นายทิวา พรหมอินทร์ นายอำเภอบ้านค่ายและนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผวจ.ระยอง มีข้อความว่าบริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด เป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์ฯ ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยกำหนดจ่ายค่าชดเชยเลิกจ้าง 30% ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานตามมาตรา 118 ทำให้พนักงานส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรม เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มีอายุงานเกินกว่า 20 ปี เป็นการยากที่จะไปหางานทำใหม่เพราะมีอายุมากแล้ว ขอให้นายจ้างออกใบรับรองการผ่านงานให้กับพนักงานทุกคนตามสิทธิ ให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยดำเนินการให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานโดยเคร่งครัด

ทั้งนี้บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด เป็นบริษัทย่อยของบริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 350 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทแพนเอเซียฟุตแวร์ ถือหุ้นทางตรง 100%

ก่อนหน้านี้บริษัทย่อยของบริษัทแพนเอเซียฟุตแวร์ ที่เลิกจ้างและปิดโรงงานไปก็คือบริษัท กบินทร์บุรี แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139 หมู่ที่ 5 ถนนสุวรรณศร ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

0 0 0


อนึ่งจากข้อมูลของเว็บไซต์บริษัทแพนเอเชียฟุตแวร์ พบข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจดังนี้

2507 - รับจ้างผลิตรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ " โอลิมปิค "
2517 - ตั้งบริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (BRC) ผลิตรองเท้า " แพน " ( PAN )
2522 - ตั้งบริษัท แพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด (PAF) ผลิตรองเท้าเพื่อส่งออกไป ยุโรป และในประเทศ
2523 - เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาระดับโลก " ไนกี้ " (NIKE)
2526 - ทำสัญญารับ ORDER โดยตรงจากไนกี้ U.S.A และทำการผลิตรองเท้า ไนกี้ เป็นต้นมา

โดยจำนวนพนักงาน บริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555
พนักงานทั้งหมด = 3,760 คน
พนักงานรายเดือน = 596 คน
พนักงานรายวัน = 3,164 คน

ทั้งนี้บริษัท แพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มแพน ตั้งอยู่ในเครือสหพัฒน์ศรีราชา จ.ชลบุรี นับเป็นบริษัทที่สองที่ก่อตั้งขึ้นนับจาก บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้การบริหารงานโดย ดร.ณรงค์ โชควัฒนา ประธานที่ปรึกษากลุ่มแพน

บริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของคนไทยโรงงานแรกในประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากนักธุรกิจชาวต่างประเทศอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์เนมระดับโลก อย่าง "Nike" ซึ่งเป็นแบรนด์เนมยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2533 ได้รับอนุมัติให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 400 ล้านบาท และในปี 2537 ได้จดทะเบียนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 400 ล้านบาท เป็น 800 ล้านบาท และจาก 800 ล้านบาทในปี 2545 และได้เพิ่มทุนเป็น 2,700 ล้านบาท ในปัจจุบัน

โดยบริษัทฯ มีบริษัทย่อยจำนวน 23 บริษัท และบริษัทร่วมจำนวน 8 บริษัท ดังต่อไปนี้

บริษัทย่อย

1. บริษัท ฟุตแวร์เทค 1530 จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 507/2 หมู่ที่ 11 ถนนสุขาภิบาล 8 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%

2. บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คิวริตี้ ฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 620/5 หมู่ที่ 11 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 350 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%

3. บริษัท กบินทร์บุรี แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139 หมู่ที่ 5 ถนนสุวรรณศร ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 350 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%


4. บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 94 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

มีทุนจดทะเบียน 370 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตพื้นรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%


5. บริษัท พิมายฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 578 หมู่ที่ 14 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%

6. บริษัท แพนระยอง จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 507 หมู่ที่ 11 ถนนสุขาภิบาล 8 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%

7. บริษัท แพนคอมโพเน้นท์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านพระ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 100%

8. บริษัท แพนอัปเปอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139/1 หมู่ที่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 100%

9. บริษัท โมเดอร์น เทคโนโลยี่ คอมโพเน้นท์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 49 หมู่ที่ 5 ถนนสุวรรณศร ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตพื้นรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 100%

10. บริษัท แพนเทค อาร์ แอนด์ ดี จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 177/20 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ประกอบกิจการวิจัยและออกแบบรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 100%

11. บริษัท พอนเท็กซ์ ( ประเทศไทย ) จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 71/13,21 หมู่ที่ 5 ถนนบางนา - ตราด กม .52 ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

มีทุนจดทะเบียน 60.8 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมรวม 95.73%

12. บริษัท อาภากร อุตสาหกรรม จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 71/13,21 หมู่ที่ 5 ถนนบางนา - ตราด กม .52 ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

มีทุนจดทะเบียน 21.905 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 94.82%

13. บริษัท อินโนเวชั่น นครหลวง ฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/40 ตรอกวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 350.15 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรง 75.40%

14. บริษัท ชัยนาทรับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/40 ตรอกวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 75.40%

15. บริษัท หันคาบางกอกรับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/40 ตรอกวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 75.39%

16. บริษัท พี เอ แคปปิตอล จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 507 หมู่ที่ 11 ถนนสุขาภิบาล 8 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 1,054 ล้านบาท ประกอบกิจการลงทุน โดยบริษัทฯถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมรวม 43.67%

17. บริษัท แพนเอเซีย ไบโอเทคโนโลยี่ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 91 หมู่ที่ 1 ตำบลละหาร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตยางแท่งและน้ำยาง โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 43.67%

18. บริษัท พี . แอล . จอห์น อินดัสทรีส์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 626/1 หมู่ที่ 11 ถนนสุขาภิบาล 8 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท ประกอบกิจการย้อมผ้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 54.51%

19. บริษัท ไทยซังชิน นิวแมททีเรียล จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 97 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

มีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตพื้นรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 28.41%

20. บริษัท เพค อินดัสทรีส์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 626/1 หมู่ที่ 11 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 14 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตตาไก่และเชือกผูกรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 21.84%

21. บริษัท เพค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 622 หมู่ที่ 11 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตแม่พิมพ์พื้นรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 43.67%

22. บริษัท อีสเทิร์น รับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 91/1 หมู่ที่ 1 ตำบลละหาร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 24.89%

23. บริษัท แอดแวนเทจ ฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 51 หมู่ที่ 5 ถนนสุวรรณศร ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 367 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 60.67%

บริษัทร่วม

1. บริษัท บุรีรัมย์แพนฟุตแวร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 130 หมู่ที่ 13 ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต รองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 47.83%

2. บริษัท อุทัยบางกอกรับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/40 ซอยวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 22.62%

3. บริษัท หนองฉางรับเบอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/40 ซอยวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตพื้นรองเท้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 22.62%

4. บริษัท บางกอกแอธเลติก จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/210-213 ซอยวัดจันทร์ใน ( ราษฎร์อุทิศ 2) ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ประกอบกิจการนำเข้าส่งออกรองเท้าและเสื้อผ้า โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 18.90%

5. บริษัท แพนเอเซียเลทเธอร์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139/2 หมู่ที่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตหนังสำเร็จรูป โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 17.47%

6. บริษัท แพนเอเซียแปซิฟิค จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 139/2 หมู่ที่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

มีทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตหนัง โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 17.47%

7. บริษัท แพน อินโนเวชั่น จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 20 ซอยรามคำแหง 30 ( บ้านเรา ) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 20.96%

8. บริษัท นูทรีชั่น เฮ้าส์ จำกัด

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 611/277-279 ซอยวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร

มีทุนจดทะเบียน 145 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อเทียม โดยบริษัทฯถือหุ้นทางอ้อม 17.76%

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จอน อึ๊งภากรณ์: หลักประกันสุขภาพของไทย จากอดีดสู่อนาคต

$
0
0

ระบบหลักประกันสุขภาพของไทย   หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์และคณะ เป็นผู้คิดริเริ่มศึกษาวิจัย และแสดงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 11  เครือข่าย เป็นผู้ออกแบบระบบในหลักการสำคัญ โดยการร่างเป็นกฎหมายประชาชนที่มีเนื้อหานวัตกรรม (รวมทั้งมาตรา 41 ที่เลื่องลือ) และได้ขับเคลื่อนรณรงค์ทั่วประเทศจนได้ลายเซ็นสนับสนุนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านกว่า 9 หมื่นคน  พรรคไทยรักไทยโดยการผลักดันของหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และความเห็นชอบของคุณทักษิณ ชินวัตร ได้กำหนดไว้เป็นนโยบายของพรรคภายใต้คำขวัญ “30 บาทรักษาทุกโรค” และได้นำเอาร่างกฎหมายของภาคประชาชนไปดัดแปลงบางส่วน แล้วผลักดันเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลผ่านรัฐสภาจนคลอดเป็นระบบหลักประกันสุขภาพของไทยเมื่อสิบปีที่แล้วพอดี

สิบปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนก้าวหน้าไปกว่าระบบการรักษาพยาบาลของประกันสังคม และมีประสิทธิภาพมากกว่าสวัสดิการรักษา พยาบาลของข้าราชการ ในปัจจุบันสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติครอบคลุมถึงการรักษาโรคที่รักษาแพงเช่นโรคไตวายเรื้อรัง โรคเอดส์ และมะเร็งต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยชีวิตคนจำนวนนับแสนที่สมัยก่อนอาจต้องเสียชีวิตไปเพราะไม่มีเงินค่ารักษา ระบบหลักประกันสุขภาพยังได้ช่วยครอบครัวรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจำนวนมาก ให้สามารถหลีกเลี่ยงการล้มละลายหรือการสูญเสียที่ดินหรือทรัพย์สินจำนวนมาก เพื่อรักษาสมาชิกครอบครัวที่เป็นโรคเรื้อรังรักษาแพง ทั้งยังได้ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนได้ตรวจสุขภาพและอาการที่ไม่ปกติต่างๆตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อรักษาให้ทันท่วงที

ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยเป็นการยืนยันหลักการว่า การรักษาสุขภาพเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บริการที่จะจำหน่ายให้ตามจำนวนเงินในกระเป๋า มาตรฐานและคุณภาพการรักษาย่อมเท่าเทียมกันทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน และมุ่งสู่การรักษาให้สามารถคงคุณภาพชีวิตที่ดี  ทุกคนจะได้รับการรักษาสุขภาพตามความจำเป็น โดยทุกคนได้จ่ายค่าประกันสุขภาพตามกำลังความสามารถของตนในรูปแบบของภาษี

เมื่อเครือข่ายภาคประชาชนได้ผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพของไทยให้คลอดจนสำเร็จ ในส่วน การเข้าไปมีส่วนร่วมของภาคประชาชนก็ได้มีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่การเลือกผู้แทนเข้าไปมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข การจัดตั้งศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนและหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระทั่วประเทศ ตลอดจนการรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพในทุกภูมิภาคเพื่อพิทักษ์รักษาระบบไม่ให้ถูกกลุ่มผลประโยชน์ด้านการขายบริการทางการแพทย์มาทำลาย

เพื่อเป็นการสาธิตบทบาทของภาคประชาชนในพื้นที่ ผมขอคัดข้อความจากรายงานทางอีเมล์ที่ส่งในเครือข่ายภาคประชาชนเมื่อไม่นานมานี้มาให้อ่าน จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจน

กรณีนี้เป็นเรื่องหมอไล่คนไข้กลับบ้าน คือไปรักษาด้วยอาการเบาหวานขึ้นสูง ไปโรงพยาบาลติดกัน 3 ครั้งด้วยอาการเดิมและหนักขึ้น โดยรพ.ไม่รับเป็นผู้ป่วยใน แต่อาการกลับแย่ลง จนกระทั่งครั้งที่ 4 อาการหนักขึ้น เมื่อพาไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ทำการช่วยเหลือและพบว่าเสียชีวิตแล้ว ศูนย์ฯ(ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน) รับเรื่องแล้วรีบลงไปพื้นที่  “เห็นแล้วก็สังเวชมากตอนเอาศพไปไว้ที่วัดลูก 8 เดือนพยายามคลานไปเปิดนมกิน เขาจนมาก เจ้าหน้าที่ศูนย์ต้องร่วมลงขันเพื่อช่วยเหลือ แล้วก็ช่วยทำหนังสือร้องไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) แต่เนื่องจากกรณีนี้ไม่ได้ตายที่โรงพยาบาลเพราะไปไม่ถึง(ตายกลางทาง) เจ้าหน้าที่สสจ.และอนุกรรมการมาตรา41 ประสานเสียงยืนยันว่าจ่ายไม่ได้ (หมายถึงเงินช่วยเหลือเบื้องต้นที่ให้แก่ผู้รับบริการ ในกรณีที่ผู้รับบริการได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล) เพราะไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล มีเราคนเดียวในฐานะอนุกรรมการ ม.41 ยืนยันว่าจ่ายได้ แต่อนุกรรมการ ม.41 จังหวัดไม่ยอม ศูนย์ฯเลยอุทรณ์จนได้รับเงินเยียวยามาสองแสน แต่ศูนย์ก็ยังไม่หมดภาระ เพราะผัวมีเมียใหม่แล้ว แม่คนตายก็ยังอยู่ ย่าที่เลี้ยงหลานอีก งานนี้ศูนย์เลยใช้วิธีเชิญทั้งผัว แม่ตัว แม่ผัวของคนตายมาคุยกัน แล้วก็ตั้งคำถามว่าใครจะเป็นผู้เลี้ยงเด็กทั้งสองคน ปรากฎว่าผัวบอกเลี้ยงไม่ไหว แม่ตัวก็เลี้ยงไม่ไหว แม่ผัวเป็นผู้รับเลี้ยง ก็เลยให้ทั้งสองคนเซ็นเอกสารสละสิทธิ์ให้แม่ผัวเซ็นรับไปดูแลหลานและให้เงินไปทั้งหมด 2 แสนบาท นอกจากนั้นศูนย์ยังประสานงานไปที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.)ให้เข้าไปช่วยเหลืออีกทา เรื่องค่านมเด็ก ...”   แม้ว่าการต่อสู้จนได้มาซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและผลักดันพัฒนาสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสุขภาพจนสำเร็จหลายส่วน ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่น่าภูมิใจสำหรับภาคประชาชน แต่ยังมีภารกิจอีกมากมายที่จะต้องบรรลุให้ได้ต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพที่พึงปรารถนา ในความเห็นของผม เรื่องสำคัญๆ ที่ยังต้องต่อสู้ให้บรรลุต่อไป ได้แก่

1. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องทำให้ครอบคลุมประชาชนผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกส่วน รวมทั้งแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่ครอบคลุมเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย นี่เป็นหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เป็นความประสงค์แต่แรกของภาคประชาชน และจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม (เช่นช่วยในการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ)

2. ประชาชนที่เคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยและถิ่นที่ทำงานจำนวนนับล้านคนจะต้องมีวิธีการย้ายหน่วยบริการรักษาพยาบาลปฐมภูมิได้อย่างสะดวกรวดเร็วและโดยกึ่งอัตโนมัติ เช่นโดยการแจ้งย้ายถิ่นทางสายด่วน 1330 หรือเมื่อมารับบริการครั้งแรกในถิ่นใหม่ ปัจจุบันยังมีคนนับแสนหรือนับล้านเข้าไม่ถึงบริการเพราะอยู่ในต่างถิ่นจากหน่วยบริการของตน นี่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงบริการ

3. ระบธุรกิจรักษาพยาบาลของเอกชนได้แย่งทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ทั้งแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรส่วนอื่นๆจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การแก้ปัญหานี้ทำได้หลายทาง เช่นการเพิ่มค่าตอบแทนบุคคลากรในระบบบริการของรัฐ การแก้กฎหมายเกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนเพื่อกำหนดให้ต้องรับคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพส่วนหนึ่งทุกโรงพยาบาล (เช่นอย่างน้อย25% ของจำนวนคนไข้ทั้งหมด) และสำหรับแพทย์พยาบาลและบุคคลากรส่วนอื่นๆที่เรียนจบโดยทุนการศึกษาของรัฐ ใบประกอบโรคศิลป์ในระยะ 10-15 ปีแรกน่าจะระบุอนุญาตให้ประกอบโรคศิลป์เฉพาะในสถานพยาบาลที่เป็นของรัฐ ขององค์กรปกครองท้องถิ่น หรือของชุมชน

4. การบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพจะต้องสามารถลดระยะเวลาที่ประชาชนต้องรอรับบริการให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ใช่ใช้เวลากว่าครึ่งวันรอพบแพทย์แล้วรอรับยาต่อ ส่วนการรอการตรวจด้วยเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ และการผ่าตัดใหญ่ จะต้องไม่นานเกินควร

5. ทัศนคติและท่าทีของบุคคลากรต่อคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพจะต้องพัฒนาไม่ให้ต่างกับในระบบการรักษาพยาบาลเอกชน

6. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรต้องส่งเสริมและพัฒนาหน่วยปฐมภูมิที่ก่อตั้งโดยชุมชน ที่ชุมชนร่วมกันจ้างบุคคลากรและพัฒนาบริการ เพื่อให้ชุมชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

7. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรจะต้องขยายไปถึงผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (โดยงดเก็บเบี้ยประกันสังคมในส่วนของการรักษาพยาบาล เพราะค่าประกันสุขภาพได้จ่ายเป็นภาษีอยู่แล้ว) และควรจะต้องเข้าไปทดแทนระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ

โดยสรุปแล้วเราต้องช่วยกันพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้เป็นหลักประกันด้านการรักษาสุขภาพของทุกคน ที่ทุกคนพอใจที่จะเป็นเจ้าของ และที่ทุกคนพอใจที่จะใช้บริการ ไม่ใช่ระบบรักษาสุขภาพที่ผู้ใช้บริการโดยส่วนใหญ่ยังคงได้แก่ครอบครัวที่มีรายได้น้อยเท่านั้น

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชน สู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

$
0
0

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การจัดรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพ ออกคำประกาศและข้อเสนอนโยบาย 1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชนสู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

0 0 0

คำประกาศและข้อเสนอนโยบาย

1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชน
สู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โอกาสครบรอบ 10 ปี การจัดรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพ
ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หลักประกันคุณภาพชีวิตคนไทย ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และ
สร้างความเป็นธรรม ให้กับประชาชนพลเมืองผู้เสียภาษีทุกคน

วันนี้เรามาร่วมกันเพื่อยืนยันเจตจำนงของประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในนามประชาชนผู้มีความรักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ก้าวหน้า เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนทุกคนที่อาศัยบนแผ่นดินไทย

เราในนามประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐทั้งทางตรง และทางอ้อมใคร่ขอกล่าวสดุดีการดำเนินการสร้างหลักประกันชีวิตของทุกคนที่เจ็บป่วยให้สามารถเข้าไปรับบริการรักษาที่หน่วยบริการใกล้บ้านใกล้ใจได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องมีผู้ป่วยอนาถาอีกต่อไป เพราะรัฐได้จัดสรรงบประมาณค่ารักษาให้ทุกคนแล้วในรูปสวัสดิการถ้วนหน้าจากเงินภาษีประชาชน  

นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ประชาชนไม่ต้องเผชิญกับภาวะล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษาอีกต่อไป ช่วยลดความยากจนจากการต้องเป็นหนี้สินจากการรักษาพยาบาล  ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจน คนรวย เนื่องเพราะทุกคนได้รับการรักษาที่มีคุณภาพ มาตรฐานเดียวกัน แม้จะยังไม่อาจลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างกลุ่มคนในประกันสังคม กลุ่มคนในบัตรทองรวมถึงกลุ่มคนในระบบราชการได้

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ภายใต้การกำหนดนโยบายของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ ที่ประกอบไปด้วยภาคประชาชน ภาคราชการ ภาควิชาชีพ และฝ่ายนโยบายของพรรคการเมือง(ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล) ได้ร่วมกันสร้างแนวทางที่ดีตามเจตนารมย์ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการจัดการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา และการฟื้นฟูเยียวยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการตามมาตรา 47 ที่มีการจัดสรรงบประมาณให้จัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคด้วยตนเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการด้านสุขภาพแบบมีส่วนร่วม มีการดำเนินการตามเจตนารมย์ของกฎหมาย โดยสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนประชาชนเข้าเป็นกรรมการบริหารกองทุน รวมถึงให้เครือข่ายประชาชน องค์กรประชาชน สามารถเสนอโครงการรับงบประมาณจากกองทุนเพื่อใช้ในการจัดการสุขภาพของตนเองด้วยตัวเอง

การดำเนินการตามเจตนารมย์ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับโดยประชาชนและองค์กรเอกชนสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านต่างๆอย่างน้อย 9 ด้าน ตามกฎหมาย มีตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อกำหนดนโยบายระดับประเทศ มีตัวแทนเข้าเป็นคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขระดับชาติ  รวมถึงคณะอนุกรรมการในระดับเขต ระดับจังหวัด ที่ระบบหลักประกันสุขภาพได้กำหนดให้ตัวแทนประชาชนเข้าเป็นกรรมการด้วย ในการทำหน้าที่ในฐานะคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการในส่วนภาคประชาชนได้มีส่วนผลักดันให้มีการกำหนดนโยบายและการดำเนินการเพื่อสร้างให้มีการเข้าถึงบริการที่จำเป็น โดยการสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาในมุมมองของภาคประชาชน หรือผู้ป่วยโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง

10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคือ สามารถให้การรักษาได้ครอบคลุมโรค ทั้งไตวายเรื้อรัง เอดส์ มะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่อาจทำให้เกิดความล้มละลายของประชาชน การสร้างมาตรฐานการรักษาโดยการใช้ระบบบัญชียาอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการเพื่อให้ได้ยาราคาที่เหมาะสม แม้ยาบางชนิดจะติดสิทธิบัตรที่ทำให้ราคายาสูงมาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็กล้าที่จะใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรตามเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก ทำให้ไทยมียาต้านไวรัสเอชไอวี ยารักษาโรคหัวใจ และยารักษามะเร็ง ในราคาที่เหมาะสมไม่ค้ากำไรเกินควร เหล่านี้ เป็นกระบวนการที่เครือข่ายประชาชน โดยเฉพาะเครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรังได้มีส่วนร่วมผลักดัน ขับเคลื่อนให้รัฐไทยดำเนินการมาตรการเหล่านี้

ความก้าวหน้าในการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกประการหนึ่งคือ การจัดตั้งและดำเนินการ “ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน” ในจังหวัด อำเภอ ตำบล เพื่อเป็นหน่วยขับเคลื่อนงานการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ มีส่วนร่วมเป็นตัวแทนในคณะอนุกรรมการระดับจังหวัด ระดับเขต และในกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นและพื้นที่ โดยศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน ทำหน้าที่เป็นหน่วยให้ความรู้ ข้อมูล และคุ้มครองสิทธิประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

10 ปีของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นับว่าเป็นเวลายาวนานพอสมควร ยังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกลที่ระบบจะต้องดำรงอยู่อย่างยั่งยืน และมีคุณภาพ สำหรับประชาชนทุกคน  วันนี้ เราประชาชนมารวมตัวกันเพื่อทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา และเพื่อผนึกกำลังช่วยกันทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพเป็นระบบสำหรับประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง ไม่มีความเหลื่อมล้ำ แต่มีมาตรฐานและคุณภาพเดียวกัน โดยมีข้อเสนอเพื่อการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้

ข้อเสนอต่อรัฐบาล
1. ต้องยืนยันในนโยบายการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพสู่ระบบที่มีความเท่าเทียมทางสุขภาพ โดยพัฒนาเป็นระบบสุขภาพมาตรฐานเดียวสำหรับทุกคน

             1.1 ทำตาม พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาตรา 9 มาตรา 10 ขยายความครอบคลุมไปยังผู้มีสิทธิอื่น ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมและอื่นๆ

             1.2 สร้างระบบในการบริหารจัดการทุกกองทุนด้านสุขภาพให้เป็นระบบเดียวกัน

             1.3 มีชุดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมกลุ่มบุคคล โดยคำนึงถึงปัญหาเฉพาะของประชากรทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัยเป็นสำคัญ และมีคุณภาพมาตรฐานการรักษาเดียวกัน

             1.4 พัฒนาการเข้าถึงสิทธิ การใช้สิทธิของประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาค เท่าเทียมเน้นการใช้ระบบการเงินการคลังของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ

             1.5 ให้ใช้อัตราและวิธีการจ่ายค่าบริการให้หน่วยบริการเป็นมาตรฐานเดียวในทุกกองทุนสุขภาพ

             1.6 เร่งออก พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข เพื่อให้เป็นกลไกคุ้มครองสิทธิสำหรับประชาชนทุกคน

2. ให้จัดการเรื่องระบบการเงินการคลังของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความยั่งยืนของระบบ ประชาชนมีส่วนร่วมจ่ายผ่านการจัดการระบบภาษีด้านสุขภาพ หรือภาษีอื่นที่เป็นธรรมเหมาะสมกับสังคมไทย การจัดการเรื่องระบบภาษีของประเทศให้มีประสิทธิภาพเป็นจริงตามสภาพรายได้ การมีงานทำ และการใช้อัตราภาษีก้าวหน้าเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ภาษีสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่ก่อปัญหามลพิษ ภาษีจากการลงทุนของทุนข้ามชาติ การยุติการยกเว้นภาษีส่งเสริมการลงทุน  

3. ให้ทุกคนที่อาศัยบนแผ่นดินไทยมีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครอบคลุมทุกคน อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรมไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมือง ชาติพันธุ์ ไทยพลัดถิ่น คนไร้สถานะ ไร้รัฐ บุคคลอพยพเคลื่อนย้าย แรงงานข้ามชาติโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางกฎหมาย ทั้งนี้มุ่งให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการดูแลโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เช่นเดียวกับกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

4. มีนโยบายในการอภิบาลระบบ เพื่อความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพ
             4.1 การดำเนินนโยบายอื่นของประเทศ ต้องตระหนักถึงผลกระทบด้านลบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ เช่น นโยบายศูนย์กลางทางการแพทย์ การทำข้อตกลงการค้าเสรี การควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ การควบคุมความปลอดภัยจากอาหารและยา รวมถึงนโยบายอื่นใดที่จะมีผลลบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีมาตรฐานของประชาชน

             4.2 ยืนยันนโยบายด้านยาของประเทศ ในการใช้ยาตามระบบบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อให้เกิดการใช้ยาที่สมเหตุผล และลดความฟุ่มเฟือยจากการใช้ยาเกินจำเป็น ประกอบกับการดำเนิน นโยบายด้านราคายา มีกลไกการต่อรองราคายา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นได้อย่างเหมาะสม คุ้มค่า

             4.3 มีนโยบายด้านกำลังคน โดยให้ภาคเอกชนรับภาระในการผลิตบุคคลากรทางการแพทย์ด้วยตนเอง

5. รัฐไทยเป็นแกนนำสนับสนุนให้รัฐบาลของประชาคมอาเซียน สร้างระบบหลักประกันสุขภาพสำหรับประชาชน ที่สามารถเชื่อมระบบระหว่างประเทศสมาชิกได้

ข้อเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
1. พัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้อย่างไม่มีอุปสรรค

             1.1 สนับสนุนกลไกการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ โดยการคงให้มีคณะอนุกรรมการเพื่อการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการเป็นกลไกสำคัญซึ่งมีหลักการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

             1.2 พัฒนาสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นในการพัฒนาคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับปัญหา และความต้องการ

ด้านสุขภาพเฉพาะกลุ่มของประชาชนทั้ง 9 ด้านตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

             1.3 ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นในด้านคุณภาพชีวิตให้กับผู้พิการ เช่น ผ้าอ้อม

ผู้ใหญ่ รวมถึงเพิ่มแนวทางการซ่อมบำรุง หรือเปลี่ยนกายอุปกรณ์ให้ตามความจำเป็นและการใช้งานจริง ไม่ใช่การกำหนดด้วยจำนวนปี

             1.4 ขยายเวลาในการให้บริการ มีแพทย์ประจำที่สามารถให้บริการได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะเวลา

ราชการ  

             1.5 นิยามความหมายของคำว่า“เจ็บป่วยฉุกเฉิน” ให้รวมถึงความหมายของความฉุกเฉินทาง

การแพทย์ และความหมายและการรับรู้ของผู้ป่วยด้วย พร้อมทั้งมีกลไกลดความขัดแย้งและแก้ปัญหาในการใช้บริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ครอบคลุมในทุกระบบหลักประกันสุขภาพ

             1.6 ลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการ โดยให้เข้ารับบริการจากหน่วยบริการใดก็ได้ โดยเริ่มต้นจากหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ

             1.7 พัฒนาระบบบริการสาธารณสุข ให้มีความละเอียดอ่อนในการให้บริการสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธ์โดยจัดบริการป้องกัน ดูแล รักษา และฟื้นฟู ให้เด็กหญิง ผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรง ผู้หญิงที่บาดเจ็บและทุพลภาพจากการยุติการตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

             1.8 พัฒนาให้มีกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและผู้สูงอายุระดับจังหวัด ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด

2. พัฒนากองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ให้เป็นกลไกหลักเพื่อส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค

             2.1 กำหนดให้พื้นที่กรุงเทพมหานคร ต้องมีกองทุนสุขภาพท้องถิ่นเช่นเดียวกับภูมิภาค

             2.2 ปรับปรุงองค์ประกอบและสัดส่วนของคณะกรรมการกองทุน โดย

                          2.2.1 ประธานกองทุนสุขภาพท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้งกันเองของคณะกรรมการ

                          2.2.2 เพิ่มสัดส่วนตัวแทนประชาชนในกองทุนฯ จากตัวแทนเครือข่าย 9 ด้านในพื้นที่  

                          2.2.3 การส่งเสริมสนับสนุนให้คณะกรรมการและประชาชนในพื้นที่ เข้าใจเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค ที่อ้างอิงหลักการนานาชาติ ควรเปิดกว้างให้กองทุนดำเนินกิจกรรมที่หลากหลายสอดคล้องกับสภาพในพื้นที่ ไม่ควรกำหนดเกณฑ์จากส่วนกลางว่าต้องทำงานมุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง

3. สนับสนุนให้ประชาชนจัดบริการสุขภาพที่สอดคล้องกับความจำเป็นเฉพาะกลุ่มด้วยตนเองในระดับประเทศ ระดับจังหวัด  เพื่อครอบคลุมประชากรและสภาพสุขภาพในพื้นที่ เช่น ผู้หญิง เยาวชน แรงงาน อาชีพเสี่ยงต่างๆ รวมถึงปัญหาเฉพาะของท้องถิ่น เช่น การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคตามแนวชายแดน

4. ยืนยันการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

             4.1 ให้มีกองทุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยจัดสรรงบประมาณจากค่าเหมาจ่ายรายหัว 0.50 บาท มาตั้งเป็นกองทุน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการและการพัฒนาระบบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ การป้องก้นโรค การฟื้นฟูสุขภาพในระดับประเทศ จังหวัด ตำบล

             4.2 เพิ่มสัดส่วนตัวแทนภาคประชาชนจากเครือข่าย 9 ด้านตามพ.ร.บ.ในกรรมการและอนุกรรมการทุกระดับ

             4.3 พัฒนาศักยภาพกรรมการภาคประชาชน และเครือข่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง

             4.4 ให้ออกหลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติในการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปตาม มาตรา 18(13) อย่างมีมาตรฐานและติดตามผลของการดำเนินการตามข้อเสนอ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

5. ทบทวน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลระบบสุขภาพให้ประชาชนทุกคนบนผืนดินไทย

ข้อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
1. พัฒนาหน่วยบริการทุกระดับทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ให้มีคุณภาพ มาตรฐานในการวินิจฉัยโรคการรักษา และส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.  พัฒนาระบบส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ลดผลกระทบต่อผู้ป่วย โดยจัดทำข้อเสนอผ่านณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ใช้มาตรการทางการเงินการคลังที่เหมาะสม

3.  สนับสนุนให้หน่วยบริการทุกระดับ ทุกสังกัดยอมรับแนวทางการใช้การจ่ายเงินแบบกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมเดียวกัน เพื่อความเป็นธรรมทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และการเงินการคลังของประเทศ

4.  เพิ่มการสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรา 50(5)

5.  สนับสนุนการยกระดับศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนให้เป็นหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรา 50(5)  และให้เป็นหน่วยงานภาคประชาชนในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพ เป็นช่องทางสำหรับทุกคน ทุกสิทธิ

6. สนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูล และประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ แนวทางการรักษา ทางเลือกในการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจเรื่องสุขภาพของตนได้อย่างมีข้อมูลรอบด้าน ตามหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมฯ ในมาตรา 50(9) รวมถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางในเรื่องสุขภาพ เรื่องสิทธิทางเพศและสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ และอื่นๆ โดยคำนึงถึงความแตกต่างของข้อมูลเฉพาะกลุ่ม และความเหมาะสมของสื่อต่อผู้รับสาร เช่น สื่อสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน สื่อสำหรับชนพื้นเมือง ชาติพันธุ์ แรงงานข้ามชาติ เป็นต้น

วันนี้  เป็นโอกาสดีที่พวกเราทุกภาคส่วนทั้งประชาชนผู้เสียภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม มารวมกันเพื่อทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา และมีข้อเสนอสำหรับอนาคตของระบบหลักประกันสุขภาพ และจะติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว กับรัฐบาล คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อข้อมูลความก้าวหน้าให้เครือข่ายประชาชนทุกส่วน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับพี่น้องประชาชน ได้มีระบบที่ดีในการดูแลสุขภาพของทุกคน 

26 ตุลาคม 2555
เวที 1 ทศวรรษการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

24-26 ตุลาคม 2555
ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นนทบุรี

ภาคประชาชนในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ภาคประชาชนในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
ภาคประชาชนในคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.)
ภาคประชาชนในคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับจังหวัด (อปสจ.)
ภาคประชาชนในคณะอนุกรรมการพิจารณาการช่วยเหลือเบื้องต้นตาม ม. 41
ภาคประชาชนในคณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขระดับจังหวัด
ภาคประชาชนในคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น
หน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ตาม50(5)
ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน
เครือข่ายประชาชน 9 ด้านตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ
ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

งานวิจัยเผยคนงานอังกฤษเกือบ 5 ล้าน รายได้ต่ำกว่าค่าครองชีพ

$
0
0
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าว The Independent ของอังกฤษ เปิดเผยผลสำรวจว่า คนงานเกือบ 5 ล้านคนในเครือสหราชอาณาจักรได้รับค่าแรงน้อยกว่าค่าครองชีพขั้นต่ำ จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (double-dip recession)
 
รายงานผลสำรวจจากบริษัทบัญชี KPMG เปิดเผยว่า คนงานเครือสหราชอาณาจักรเกือบ 5 ล้านคน ได้รับค่าแรงขั้นต่ำเพียง 8.30 ปอนด์ (ราว 410 บาท) ต่อชั่วโมงในลอนดอน และ 7.30 ปอนด์ (ราว 360 บาท) ต่อชั่วโมงนอกเมืองหลวง ทั้งคนทำงานดูแลผู้สูงอายุ พนักงานบาร์ บริกร และพนักงานขายของ ต่างก็ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาวเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้
 
การวิจัยในครั้งนี้เผยแพร่ก่อนหน้า 'สัปดาห์ค่าแรงที่สามารถดำรงชีพได้' (Living Wage Week) ซึ่งเริ่มต้นในวันที่ 4 พ.ย. นี้ และจะมีการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำใหม่ทั้งในลอนดอนและในส่วนอื่นๆ ของประเทศ
 
มีลูกจ้างจำนวนหนึ่งที่ยอมรับมาตรฐานตรงนี้เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของประเทศอังกฤษคือ 6.19 ปอนด์ (ราว 305 บาท) ต่อชั่วโมง แต่กลุ่มนักรณรงค์บอกว่าจำนวนค่าแรงเท่านี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และคนงานเหล่านี้ต้องมาแบกรับภาระจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย จากการที่ถูกลดรายได้ ถูกเพิ่มภาษี บวกกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงมาก
 
ผลการวิจัยครั้งนี้เปิดเผยอีกว่าคนดูแลผู้สูงอายุ, คนงานบาร์, คนทำงานในร้านอาหาร, พนักงานจัดเลี้ยง และพนักงานร้านขายของได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในขณะที่ทางการของอังกฤษเปิดเผยว่าเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดม้าย โดยมีอัตราการเติบโตร้อยละ 1
 
แต่ในรายงานผลการวิจัยก็บอกว่าสำหรับกลุ่มคนรายได้น้อยไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ กับการปรับตัวสูงขึ้นของเศรษฐกิจเลย โดยที่กลุ่มคนงานรายได้ต่ำ 4 ใน 10 ส่วนบอกว่าภาวะการเงินของพวกเขาแย่ลงกว่าช่วงเดือนทีผ่านมา โดยที่กลุ่มคนรายได้สูงกว่าขั้นต่ำมีอยู่เพียงร้อยละ 25 ของอังกฤษ
 
วัดตามอัตราส่วนประชากรแล้ว ไอร์แลนด์เหนือมีอัตราคนทำงานรายได้ต่ำกว่าที่จะสามารถดำรงชีพได้ (Living Wage) มากที่สุด ตามมาด้วยแคว้นเวลส์ (ร้อยละ 23) ขณะที่อังกฤษและสก็อตแลนด์ต่างมีตัวเลขอยู่ที่ราว 570,000 คน ด้วยกันทั้งคู่
 
กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่ำกว่าที่จะสามารถดำรงชีพได้ราวร้อยละ 38 บอกว่าพวกเขามีฐานะการเงินแย่ลงกว่าเดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 27 ที่ได้รับรายได้สูงกว่า เป็นตัวชี้วัดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ได้ให้ประโยชน์คนที่กำลังต้องการมากที่สุด
 
ฟรานเซส โอ'เกรดดี้ เลขาธิการสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานประเทศอังกฤษ (TUC) เรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ปรับมาตรการค่าแรงใหม่ โดยบอกว่าเป็นเรื่องน่าตกใจมากที่มีคนงาน 1 ใน 5 พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดโดยรายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
 
ฟรานเซสกล่าวเสริมว่า "ค่าแรงที่สามารถดำรงชีพได้ ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย และหมายความว่าคนงานที่ได้รับค่าแรงน้อยไม่มีทางเลือกมากในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่นบิลค่าน้ำมันหรือเสื้อคลุมฤดูหนาวสำหรับเด็ก"
 
"ในตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่นายจ้างจะต้องหยุดให้คนจนแบกรับภาระรายจ่าย" ฟรานเซสกล่าว
 
รีส มัวร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิลีฟวิ่งเวจกล่าวว่า "การจ่ายค่าพื้นฐานการดำรงชีพให้กับคนงานจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตคนทำความสะอาด, คนขายอาหาร และเจ้าหน้าที่ยาม กว่าหลายพันคนทั่วประเทศอังกฤษ เป็นเรื่องน่าสนับสนุนที่ในตอนนี้ได้เห็นองค์กรราว 100 องค์กรร่วมลงนามอนุญาต แต่ก็ยังมีองค์กรอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ร่วมลงนาม"
 
มาเรียน ฟอลลอน หัวหน้าฝ่ายกิจการบรรษัทของ KPMG บอกว่า มันมีเหตุผลที่ดีทางธุรกิจในการยอมรับมาตรฐานค่าจ้างที่สามารถดำรงชีพได้ เช่นการช่วยเพื่มผลงานและแรงจูงใจให้กับคนงาน การลดจำนวนคนลางานและขาดงานโดยออกใบเสร็จค่าจ้างมาตรฐานการดำรงชีพให้ ชดเชยค่าความเสียหายจากการมีคนขาดงาน
 
 
ที่มา
Scandal of 5m on less than the living wage, The Independent, 28-10-2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปล่อยตัว 2 ผู้เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 คืนสู่สังคม

$
0
0

แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้กับผู้สำเร็จการฝึกอบรมแทนการฟ้อง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 21 ตามนโยบายการเมืองนำการทหารแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศให้เป็นพื้นที่ใช้กฎหมายทางเลือกด้วยการอบรมแทนการฟ้องคดี

29 ต.ค. 2555 เวลา 13.30 น. พันเอกปราโมทย์  พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์/โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ที่ศาลจังหวัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนาทวี ได้มีคำพิพากษาระงับการฟ้องคดีและปล่อยตัว 2 ผู้เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 ซึ่งได้ดำเนินการอบรมแทนการฟ้องตามหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่27 เมษายน 2555 สิ้นสุดการฝึกอบรม เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2555  ที่ผ่าน

ทั้งนี้ศาลนาทวีอ่านคำสั่งปล่อยตัวผู้เข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง ในวันที่ 29 ตุลาคม 2555 จำนวน 2 รายคือ นายรอยาลี บือราเฮง อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 244/2554 ลง 28 กันยายน 2554 สถานีตำรวจภูธรเทพา คดีร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน พฤติกรรมเมื่อ 25 สิงหาคม 2554 เวลา 17.45 น. ร่วมกับพวกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองหมู่บ้านเกาะแลหนัง ตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย คือ อาสาสมัครทหารพราน  บาราเหม แฉะ และอาสาสมัครทหารพรานมะนาวี  อาหะมะ และผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายนูรดีน  แม

ผู้ต้องหารายที่ 2 คือ นายยาซะ  เจะหมะ อายุ ๒๕ ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ 611/2551 ลง 9 กรกฎาคม 2551 สถานีตำรวจภูธรสะบ้าย้อย ร่วมกันก่อการร้าย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พฤติกรรม เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณ 19.30 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงนายสุชาติ  อุดม อายุ 45 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบริเวณริมถนนสายอำเภอสะบ้าย้อย-คูหา หมู่ 1 ตำบลสะบ้าย้อย อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา

ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายการเมืองนำการทหารเข้ามาในการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ประกาศให้ อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ใช้กฎหมายทางเลือกที่นำมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการอบรมแทนการฟ้องคดี เป็นบทบัญญัติที่มุ่งแก้ไขความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้โอกาสผู้ต้องหาคดีความมั่นคงเข้ารับการอบรมตามคำสั่งศาล แทนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ แต่โอกาสนี้จะมีให้ก็แต่ผู้ที่ได้กระทำความผิดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยหลงผิด และต้องได้ความว่า ผู้กระทำผิดเหล่านี้ ต้องการกลับใจและเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

บทบัญญัติมาตรา 21 เป็นมิติใหม่ในการบริหารงานยุติธรรม ซึ่งเป็นการอำนวยความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นทั้งกับผู้ต้องหาและผู้ที่ได้รับผลกระทบ สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือ บทบัญญัตินี้ให้ผู้ต้องหาเข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง  ก็ต่อเมื่อผู้ต้องหายินยอมเท่านั้น ไม่มีบุคคลใดสามารถใช้อำนาจบังคับได้โดยเด็ดขาด มาตรา ๒๑ จึงเป็นกฎหมายทางเลือกเพื่อมุ่งสู่ความสมานฉันท์อย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายสานใจสู่สันติ ของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ต้องการให้ทุกคนกลับสู่สังคม กลับสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องหลบหนีอีกต่อไป

ในการนี้ พลโท อุดมชัย  ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้กับผู้สำเร็จการฝึกอบรมแทนการฟ้อง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 21 โดยมี  พันเอก ชัชภณ  สว่างโชติ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า รายงานการฝึกอบรมหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง และเรียนเชิญ นางอารี  เตชะวันโต ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดนราธิวาส มอบวุฒิบัตรการฝึกอบรมวิชาชีพช่างถ่ายภาพ,ช่างตัดผม และช่างซ่อมคอมพิวเตอร์แก่ผู้สำเร็จการอบรม และได้เรียนเชิญประธานในพิธี มอบวุฒิบัตรและอุปกรณ์การประกอบอาชีพ แก่ผู้สำเร็จการอบรมหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง และให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการอบรมพร้อมทักทายญาติผู้สำเร็จในครั้งนี้ด้วย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรื่องจริงไม่อิงนิยายของราชสำนักกัมพูชา (2): ชายาของพ่อ

$
0
0

 

พระบาทสมเด็จสุรมฤต และพระนางกุสุมะ นารีรัตน์ ในพิธีราชาภิเษก ปี พ.ศ.2498

กษัตริย์สีหนุ กับพระบิดาและพระมารดา

 

หลังจากที่เจ้ารณฤทธิ์ประสูติ มารดาของท่านได้อำลาจากที่พำนักบนถนนสุธารถไปใช้ชีวิตอยู่ในเมือง สนมคนงามวัย 22 ปี ผู้จดทะเบียนสมรสกับกษัตริย์สีหนุ ในปี 2485 ไม่ได้รับการเหลียวแลจากสามีที่หันไปหลงใหลสตรีอื่น

ในที่สุด เนียก โมเนียง พัต กันฮอล มารดาของเจ้ารณฤทธิ์ตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับกษัตริย์สีหนุ และแต่งงานใหม่กับนายทหารชื่อจาบ ฮวด (Chap Huot) ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 5 คน ลูก 4 คนของทั้งสองตายในช่วงการยึดครองของเขมรแดง ลูกคนเดียวที่เหลือรอดชีวิตมาได้คือ จาบ เนลีวอล (Chap Nhalyvoul)  ส่วนพัต กันฮอลเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในปี พ.ศ.2512 ในวัย 49 ปี ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่กรุงพนมเปญ จาบ ฮวด สามีใหม่ของเธอตายในปีต่อมาในเหตุการณ์ลอบวางระเบิดก่อนที่กษัตริย์สีหนุจะถูกโค่นราชอำนาจในปีเดียวกัน

จาบ เนลีวอล น้องชายต่างบิดาของเจ้าชายรณฤทธิ์ เกิดในปี พ.ศ.2495 ตอนที่สูญเสียทั้งบิดามารดานั้นเขายังอยู่ในช่วงเป็นวัยรุ่น เนลีวอลได้รับการศึกษาในฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเจ้ารณฤทธิ์  และได้เข้าร่วมในการต่อต้านการปกครองของระบอบเฮง สัมริน ที่สนับสนุนเวียดนาม  หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ.2541 เนลีวอลได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมเรียบ เขาเล่าให้ Harish C. Mehta ผู้เขียนหนังสือ “Warrior Prince” ฟังว่าในช่วงเวลานั้น “เสียมเรียบของเรากำลังคืนกลับมาสู่ความมีชีวิตชีวา มีนักท่องเที่ยวหลายพันคนแห่กันมาดูซากปรักหักพังของนครวัด”

เมื่อเติบโตและหันไปมองย้อนอดีตความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและมารดา  เจ้ารณฤทธิ์พบว่ามีเหตุผลมากมายที่กษัตริย์สีหนุจะไม่สนใจที่เหนี่ยวรั้งมารดาของท่านไว้ในฐานะพระสนมของพระเจ้าแผ่นดินอีกต่อไป

“โอ! ถ้าคุณมีภรรยา 6 คนนี่ มีเหตุผลมากพอทีเดียว...มีคนบอกกับข้าพเจ้าว่าพ่อมีเหตุผลมากพอทีเดียว และท่านมีภรรยาแค่ 6 คน เพราะปู่ของข้าพเจ้ามีสนมตั้ง 360 คน มีเวลาว่างแค่ 5 วันในหนึ่งปี”

พระคลังหลวงตั้งงบประมาณไว้สำหรับค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูชายาและสนมรวมทั้งโอรสและธิดาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นภาระที่หนักมากของพระคลัง

กษัตริย์สีหนุมีชายาและสนม 6 คน และมีโอรสธิดารวม 14 คน 

ชายาที่ให้กำเนิดโอรสและธิดากับกษัตริย์สีหนุมากที่สุด คือ เจ้าหญิงพงสานมุนี ผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าน้าของพระองค์ด้วย ทั้งสองสมรสกันปี 2485 และหย่าขาดจากกันปี 2494 มีโอรสธิดาด้วยกันรวม 7 คน เจ้าหญิงพงสานมุนี สิ้นในปี พ.ศ.2517

พระญาติอีกสองท่านที่กลายมาเป็นชายาของกษัตริย์สีหนุ คือ เจ้าหญิงมุนีเกสร (Princess Monikessan) และเจ้าหญิงถาเวท นรลักษณ์ (Norodom Thavet Norleak) เจ้าหญิงนรลักษณ์ได้หย่ากับเจ้านโรดม วกรีวรรณ (Norodom Vakrivan) ในปี พ.ศ.2488 และเสกสมรสกับกษัตริย์สีหนุในปีต่อมา

ความทรงจำในวัยเด็กของเจ้ารณฤทธิ์ต่อบรรดาชายาและพระสนมของพระบิดา คือ

“ต่างคนต่างอยู่ ไม่สมาคมกัน ข้าพเจ้าไม่เคยพบเจ้าหญิงมุนีเกสร เพราะท่านสิ้นตอนที่นรธีโป (Naradipo) เกิดเมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาของพ่อทุกคน ซึ่งทุกคนเมตตาข้าพเจ้ามาก เป็นความโชคดีของข้าพเจ้า”

ส่วนความสัมพันธ์ในระหว่างพี่น้องร่วมพระบิดา คือ เจ้าชายนรทีโป เจ้าชายจักรพงศ์ (Prince Chakkrapong)  เจ้าหญิงอรุณรัศมี  (Princess Arunrasmey) และเจ้าหญิงสุชาตา (Princess Suchata) นั้น เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่า

“ตอนเป็นเด็ก พวกเราพบกันบ่อย  ข้าพเจ้าสนิทกับอรุณรัศมีและสุชาตามาก เราโตมาด้วยกัน เพราะตอนที่พ่อพาหม่อมมุนีวรรณ (Princess Mam Manivann) ซึ่งเป็นมารดาของทั้งสองคนมาจากลาวนั้น พ่อเอาหม่อมมาฝากไว้ในความดูแลของเจ้าย่า”

ในปี พ.ศ.2544 ที่กษัตริย์สีหนุและพระราชินีโมนิกประทับอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ชายาอีกท่าน คือ เจ้าหญิงถาเวท นรลักษณ์ อยู่ที่ฝรั่งเศสด้วย    แต่ท่านมีปัญหาด้านสุขภาพ จึงมีเพียงราชินีโมนิกที่อยู่เคียงข้างกษัตริย์สีหนุตลอดเวลา  เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนนั้นราบรื่น  เจ้าหญิงนรลักษณ์ ยังคงติดต่อกับสมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ ทั้งสองเขียนจดหมายถึงกันตลอดช่วง 30 ปีนับตั้งแต่กษัตริย์สีหนุถูกยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.2517 ข้าราชบริพารใกล้ชิดของกษัตริย์สีหนุ เล่าว่า

“เจ้าหญิงนรลักษณ์ส่งของขวัญวันเกิดและในวาระพิเศษอื่นๆ เช่น เทศกาลปีใหม่ของกัมพูชา มาถวายสมเด็จนโรดม สีหนุ อยู่เสมอ และพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงส่งของขวัญวันเกิดและเงินไปให้อดีตชายาอยู่เสมอเช่นกัน”

ส่วนราชินีโมนิกนั้นเปิดพระทัยกว้างและไม่เคยขัดขวางการติดต่อทางจดหมายระหว่างกษัตริย์สีหนุและอดีตชายา บางครั้งพระนางยังได้เขียนข้อความต่อท้ายและร่วมลงพระนามในจดหมายที่สมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ เขียนถึงเจ้าหญิงนรลักษณ์ด้วย

ราชินีโมนิก เกิดในปี พ.ศ.2479 เป็นสาวงามที่โดดเด่นอยู่ในสังคมพนมเปญด้วยความงามจากสายเลือดผสมอิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส (Franco-Italian) ของบิดา Francois Izzi และเลือดผสมเขมร-เวียดนาม ของมารดา ปอมมี เป็ง (Pomme Peang) ความงามเจิดจรัสจับตาในวัยสาวของพระนางโมนิกทำให้กษัตริย์แห่งกัมพูชาคลั่งไคล้หลงใหลนับแต่แรกพบ

บรรยากาศในพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยพิธีรีตอง การเข้าเฝ้าของบรรดาโอรสธิดาจะต้องได้รับพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์สีหนุก่อน พระบิดามักโปรดให้โอรสธิดาร่วมเสวยพระกายาหารกลางวันและมื้อค่ำ และมักจะทรงเล่นแซกโซโฟนให้ลูกๆ ฟัง  สมเด็จนโรดม สีหนุไม่โปรดอาหารเขมร  พระองค์ทรงโปรดอาหารฝรั่งเศส และอาหารบนโต๊ะเสวยจะเป็นอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด  เจ้ารณฤทธิ์ก็โปรดอาหารฝรั่งเศสเช่นเดียวกับพระบิดา

เจ้ารณฤทธิ์ไปที่พระราชวังบ่อย แต่ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าพระบิดา ท่านไปเยี่ยมสมเด็จปู่และสมเด็จย่า คือ สมเด็จเจ้าสุรมฤต และพระนางกุสุมะ นารีรัตน์ ทั้งสองพระองค์โปรดปรานรักใคร่เจ้าชายรณฤทธิ์และเจ้าหญิงบุปผาเทวีมาก นอกจากสืบสายเลือดศิลปินจากมารดาแล้ว เจ้าหญิงบุปผาเทวียังได้รับอิทธิพลจากสมเด็จย่าที่อนุรักษ์นาฏศิลป์เขมรราชสำนักไว้

กษัตริย์สีหนุเป็นผู้ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่วรวมทั้งคลั่งใคล้ความเป็นฝรั่งเศส ซึ่งได้ตกทอดมาถึงลูกๆด้วย

ความทรงจำในวัยเด็กของเจ้ารณฤทธิ์ที่มีต่อความสัมพันธ์กับพ่อ คือ ลูกๆ ของกษัตริย์สีหนุถูกเข้มงวดในเรื่องการศึกษา และไม่ค่อยมีโอกาสได้ตามเสด็จพระบิดา “พ่อไม่เคยพาพวกเราออกไปทานอาหารนอกบ้านเหมือนพ่อแม่คนอื่น”

ครั้งหนึ่ง เจ้ารณฤทธิ์มีโอกาสตามเสด็จไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศสไตล์ฝรั่งเศส ริมทะเล Kep และเกาะรอบๆ ที่อยู่ในภาคใต้ของกัมพูชา

“พวกเราไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเป็นส่วนตัวแบบพ่อลูก ข้าพเจ้าจะติดตามไปพร้อมกับหม่อมมุนีวรรณ หรือไม่ก็พระนางโมนิก กับพ่อนี่ พวกเราไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนแสดงความเห็นได้เลย พ่อพูดมากและคุ้นเคยกับการแสดงความเห็นของตัวเองให้ผู้ติดตามฟัง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเบื่อกับประเด็นสนทนาของพ่อ เพราะข้าพเจ้าสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว”

แต่สิ่งที่ร้าวรานอยู่ในความทรงจำของเจ้ารณฤทธิ์นั้น คือ พระบิดาไม่เคยพูดจาสื่อสารตรงกับท่านแบบพ่อกับลูกชายเลย

“พ่อจะพูดกับลูกทั้งหมดพร้อมๆ กัน พ่อรักการเมืองมาก พระองค์เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของกัมพูชา แต่พ่อไม่ต้องการให้ลูกๆ เข้ามาสู่การเมือง จึงมักจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องการเมืองกับพวกเรา”

เจ้ารณฤทธิ์ถูกส่งเข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนประถมศึกษาของกัมพูชา ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบ้านบนถนนสุธารถ ท่านได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ไม่มีการจัดเตรียมห้องเรียนพิเศษ หรือครูพิเศษสำหรับท่านเป็นการเฉพาะ ต่อมา ท่านถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนนโรดม ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษาที่มีการเรียนการสอนระบบฝรั่งเศส และย้ายไปเรียนที่ Lycee Descartes เจ้ารณฤทธิ์ทำคะแนนได้ดีในวิชาวรรณคดี ประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ แต่ได้คะแนนต่ำมากในวิชาคณิตศาสตร์และเคมี  ท่านเป็นนักกีฬาเช่นเดียวกับพระบิดา เจ้ารณฤทธิ์ชอบเล่นฟุตบอลและบาสเกตบอล

เจ้าชายรณฤทธิ์มีชันษาเพียง 11 ปีเมื่อพระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุทรงสละราชสมบัติครั้งแรกในปี 2498 เจ้าชายจำได้ว่าวันนั้นน้ำตาท่วมวัง

“สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้คือทั้งเจ้าปู่และเจ้าย่าร้องไห้อย่างหนัก ได้ยินเสียงร่ำไห้ทุกที่ ไม่มีใครอยากให้พ่อสละราชย์”

แต่กษัตริย์สีหนุตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะลงไปเล่นการเมืองกับสามัญชน ทรงยกราชบังลังก์กัมพูชาให้กับพระบิดาของพระองค์ คือ เจ้าชายสุรมฤต ส่วนพระองค์ที่กลายเป็นอดีตกษัตริย์สีหนุเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ชื่อ พรรคสังคมราษฎรนิยม (Sangkum Reastr Niyum) ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา และทรงชนะเลือกตั้งในปีนั้นเอง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบางสะพานจี้ ‘กนอ.’ ยกเลิกสัญญาร่วมสหวิริยาตั้ง ‘นิคมฯ เหล็ก’

$
0
0

เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพานพบการนิคมฯ ร้องยกเลิกสัญญาร่วมดำเนินการกับบริษัทสหวิริยา ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ ชี้ที่ดินในโครงการบางส่วนได้มาโดยมิชอบ และกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว

 
วันนี้ (29 ต.ค.55) เวลา 9:00 น. เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพาน เดินทางไปยังการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ถนนนิคมมักกะสัน กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกสัญญาร่วมดำเนินการกับบริษัทสหวิริยาในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเหล็กที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากที่ดินที่จะใช้ในโครงการบางส่วน ได้มาโดยมิชอบ และกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว
 
จากกรณีเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ฯ บางสะพานได้รับทราบข่าวว่า กนอ.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน เนื่องจากที่ดินที่จะใช้ในโครงการบางส่วนเป็นที่ดินที่ได้มาโดยมิชอบและกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว โดย กนอ.จะกันพื้นที่บางส่วนออกและให้บริษัทสหวิริยาดำเนินโครงการต่อไป
 
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงถึงการที่ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง เนื่องจากข้อมูลทุจริตที่ดินที่ชาวบ้านเปิดเผย เกิดขึ้นก่อนคณะกรรมการชุดนี้รับตำแหน่ง และกรรมการหลายคนไม่ได้รับรู้ข้อมูลนี้มาก่อน จึงต้องขอเวลาพิจารณา ขณะที่เบื้องต้นทางการนิคมอุตสาหกรรมรับว่าจะปรับลดพื้นที่ โดยกันพื้นที่ 1,997 ไร่ ที่มีปัญหาออก เหลือพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม 4,406 ไร่
 
ด้านนางจินตนา แก้วขาว แกนนำชาวบ้านแสดงความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวยังคงเป็นการเปิดช่องให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมเหล็กได้ โดยนอกจากโครงการนี้จะขัดหลักธรรมาภิบาล ยังอาจส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เพราะพื้นที่โครงการติดกับพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญ หากเกิดเขตอุตสาหกรรมหนักจะส่งผลเสียหายต่อการประกอบอาชีพเกษตร และการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้หลักของชาวบ้าน
 
ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน เนื้อที่ประมาณ 6,400 ไร่ ในพื้นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีปัญหาการออกเอกสารสิทธิมิชอบ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตวนอุทยาน โดยกรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจำนวน 52 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 712 ไร่ ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.53 แต่จนถึงปัจจุบัน กนอ.ยังคงไม่ทบทวนสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทสหวิริยา
 
 
ที่มา: เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจากผู้จัดการออนไลน์
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายประชาชนปราจีนบุรี-สระแก้ว-ชลบุรี ทวงสัญญารัฐฯ เร่งประกาศผังเมืองรวมจังหวัด

$
0
0

 

ภาคีเครือข่ายประชาชน ปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี บุกทำเนียบเร่งประกาศใช้ผังเมืองรวม 3 จังหวัด เผยล่าช้าเปิดช่องนายทุนกว้านซื้อที่ดินเก็งกำไร ลั่นหากยังไม่เร่งดำเนินการยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไป
 
ผังเมืองรวมเมืองชลบุรี
 
วันนี้ (29 ต.ค.55) ดร.สมนึก จงมีวศิน ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 ต.ค.55 เวลา 10.00 น.ภาคีเครือข่ายประชาชนของทั้งสามจังหวัดจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าหนังสือถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดำเนินการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี จากกรณีความล่าช้าของการประกาศใช้ผังเมืองรวมได้ก่อให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนขึ้นในพื้นที่อย่างมากมาย อาทิ การกว้านซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตเกษตรกรรม และเขตชุมชนตามแบบผังเมืองใหม่ที่ยังไม่ได้มีการประกาศใช้  
 
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.54 กลุ่มประชาชนภาคตะวันออกจากจังหวัดระยอง สระบุรี และปราจีนบุรี จำนวนประมาณ 900 คน เดินทางมาร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีขอให้เร่งรัดการประกาศใช้ผังเมืองรวมในจังหวัดดังกล่าวข้างต้นโดยเร็ว เนื่องจากความล่าช้าได้ก่อให้เกิดช่องว่างของกฎหมายในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับเรื่องแทน และได้กล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าจะเร่งรัดให้มีการประกาศใช้โดยเร็ว โดยขอเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่รับหนังสือ
 
อย่างไรก็ตาม จากเวลา 45 วัน ตามที่รับปากไว้ จนถึงปัจจุบันถือเป็นความล่าช้าเกินสมควร และได้ส่งผลเสียหายอย่างมากมายต่อประชาชน ดังนั้นภาคีเครือข่ายประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี จึงเรียกร้องให้เร่งรัดและประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรีให้เป็นตัวอย่างของความเอาจริงเอาจังที่จะปกป้องสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สอดคล้องกับบริบท และเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเร่งรัดให้ขั้นตอนการประกาศใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดสระแก้วและชลบุรีนั้นเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในพื้นที่ตามเจตนารมณ์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11  
 
ทั้งนี้ จากการติดตามการประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัด ทำให้ภาคีเครือข่ายประชาชนของทั้งสามจังหวัดทราบว่าการดำเนินการของจังหวัดปราจีนบุรีอยู่ในขั้นตอนที่ 23 ส่วนการดำเนินการของจังหวัดสระแก้วและชลบุรีอยู่ในขั้นตอนที่ 20 จากทั้งหมด 24 ขั้นตอน โดยเฉพาะผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรีนั้นเหลือเพียงรอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในประกาศกฎกระทรวงฯ เพื่อจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
 
ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายประชาชนฯ ระบุด้วยว่าหลังจากยื่นหนังสือแล้ว หากภายในวันที่ 30 พ.ย.55 ยังไม่มีการประกาศใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรี และการเร่งรัดที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนของผังเมืองรวมจังหวัดสระแก้วและจังหวัดชลบุรี โดยยึดถือเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากทางนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ทางภาคีเครือข่ายประชาชนทั้งสามจังหวัดก็จะมีมาตรการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นในลำดับต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสหภาพแรงงานเกาหลีชี้ ‘นักสหภาพฯ’ ต้องมีจิตสำนึก ‘คนงาน’ มากกว่า ‘ลูกจ้าง’

$
0
0

นักสหภาพแรงงานเกาหลีระบุจิตสำนึก “คนงาน” ต่างจาก “ลูกจ้าง” นักสหภาพต้องมีจิตสำนึกคนงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง และความมุ่งหวังของคนงานคือ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ไปถึงคือ “การเจรจาต่อรอง” และความเข้าใจเรื่อง “มาตรฐานแรงงานสากล” จำเป็นสำหรับกิจกรรมสหภาพแรงงาน

ยูน เฮียววัน (Yoon Hyowon) ผู้ประสานงาน IndustriAll

เมื่อวันที่ 27 - 28 ต.ค. 55 ที่โรงแรมเวอโรนิก้า กรุงเทพฯ สหพันธ์แรงงานสากล IndustriAll ได้จัดเสวนา "มาตรฐานแรงงานสากลและการเจรจาต่อรองร่วม" โดยในหัวข้อ “มาตรฐานสากลสำหรับนักสหภาพแรงงาน” ยูน เฮียววัน (Yoon Hyowon) ผู้ประสานงาน IndustriAll เป็นผู้นำเสวนา

 

นักสหภาพแรงงานต้องมีจิตสำนึก “คนงาน” ไม่ใช่ “ลูกจ้าง”

ยูนกล่าวถึงประเด็นการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งนี้แนวความคิดของนักสหภาพแรงงานอาจจะดูไม่เหมือนกับกลุ่มนักกิจกรรมอื่นๆ ที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนแต่ไม่กล่าวถึงสิทธิแรงงาน ยูนกล่าวว่าถ้าไม่มีสิทธิแรงงานแล้วก็จะไม่เกิดสิทธิมนุษยชน และแก่นของการจัดตั้งสหภาพแรงงาน มีอยู่สองเรื่องสำคัญที่ต้องพูดถึง นั่นก็คือเรื่องการเรียกร้อง “ผลประโยชน์” (Interest) และการปกป้อง “สิทธิ” (Right) ให้กับคนงาน

เมื่อพูดถึงคำว่าคนงานแล้ว ยูนให้ภาพว่านักสหภาพแรงงานต้องมีมุมมองต่อคำว่า “คนงาน” (Worker) กับ “ลูกจ้าง” (Employee) ให้ต่างกัน เพราะจะมีผลต่อทัศนคติการทำงานในฐานะนักสหภาพแรงงาน

ทั้งนี้ความเป็น “คนงาน” นั้นมันจะติดตัวนักสหภาพฯ ไปตลอดเวลา เพราะหากเราคิดว่าเราเป็นแค่ “ลูกจ้าง” ที่หมายถึงการเป็นแค่ผู้ที่ถูกจ้างให้ทำงาน ซึ่งการเป็น “ลูกจ้าง” นั้นมันขึ้นอยู่กับสถานะทางตลาดแรงงานที่เราอาจจะถูกเลิกจ้าง หรืออยู่ในระหว่างเปลี่ยนงาน หรือแม้แต่กระทั่งบริษัทปิดตัวลงไป ความเป็นลูกจ้างก็สิ้นสุดลง ซึ่งหากเราคิดว่าเราเป็นแค่ลูกจ้างก็จะเป็นการเอาตัวไปผูกติดกับนายจ้างมากเกินไป และจะเป็นทัศนะคติมุมมองที่ไม่สามารถต่อยอดให้ทำกิจกรรมสหภาพแรงงานให้มีประสิทธิภาพได้

ในการเรียกร้องผลประโยชน์และเรียกร้องสิทธินั้น นักสหภาพฯ จะต้องทำให้กับคนงานที่แม้ว่าจะถูกเลิกจ้างไปแล้ว และการเป็นนักสหภาพฯ นั้นมีความเป็นสากล เพราะหากเราเป็นสมาชิกสหภาพฯ ซึ่งเชื่อได้ว่าองค์กรสหภาพของเราจะต้องขึ้นอยู่กับองค์กรสหพันธ์แรงงานสากลต่างๆ [1] ที่มีสมาชิกรวมกันเป็นคนงานหลายร้อยล้านคน การต่อสู้ของเราจึงจะมีสมาชิกขององค์กรต่างๆ ที่เป็น “คนงาน” เหมือนเราหนุนช่วยกันทั่วโลก และเราก็ต้องหนุนช่วยคนงานเหล่านั้นด้วยเช่นกันเมื่อเขาเกิดปัญหา

เมื่อพูดถึงสหภาพแรงงาน ในทัศนะของยูนมองว่าสหภาพแรงงานจะต้องไม่เกี่ยวข้องและถูกครอบงำบริษัท แต่องค์กรสหภาพแรงงานจะต้องเป็นเอกเทศ และมุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องผลประโยชน์และปกป้องสิทธิให้คนงานเท่านั้น โดยวิธีการรวมตัวกันเพื่อเจรจาต่อรองเป็นวิธีการที่สำคัญที่สุด

 

สู่ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” ด้วย  “การเจรจาต่อรอง”

ทั้งความมุ่งหวังของคนงานคือ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” (Industrial Peace) และเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายนี้ได้คือ “การเจรจาต่อรอง” โดยสหภาพแรงงาน และในการทำกิจกรรมสหภาพแรงงานนั้น จะต้องมีการเจรจาต่อรองร่วม (collective bargaining) คือการเจรจาระหว่างสหภาพแรงงานกับนายจ้าง เพื่อร่วมกันตัดสินใจในเรื่องค่าจ้าง และสภาพการทำงาน ซึ่งมีผลต่อชีวิตการทำงานของคนงานและความเป็นอยู่ของครอบครัวของคนงาน

 

และการเจรจาต่อรองร่วมนั้นแตกต่างกับการต่อรองรายบุคคล เพราะการพูดคุยเรื่องผลประโยชน์ระหว่างนายจ้างกับคนงานแบบรายปัจเจกนั้น แทบที่จะเรียกว่าเป็นการต่อรองได้ด้วยซ้ำ เพราะนายจ้างกุมอำนาจไว้ และสามารถเอาเปรียบคนงานได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้การทำข้อตกลงสภาพการจ้าง ต่างกับสัญญารายบุคคล เพราะเป็นการกระทำรวมหมู่ของคนงานที่เพิ่มอำนาจการต่อรอง ให้การเจรจากับนายจ้างดูสมเหตุสมผลมากขึ้นกว่าการทำเป็นรายบุคคล และในอีกนัยหนึ่งคือถ้าไม่มีข้อตกลงสภาพการจ้างก็หมายความว่าไม่มีสหภาพแรงงาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อตกลงสภาพการจ้างต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่าและดีกว่ากฎหมายในประเทศ และต้องดีกว่ามาตรฐานสากล

 

ทั้งนี้ในการเสวนา ยูนได้กล่าวถึงความสำคัญของมาตรฐานแรงงานสากลว่า ควรเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดและเป็นสิทธิพื้นฐานที่คนงานทุกคนต้องได้รับ โดยในการเสวนา ได้มีการให้ข้อมูลถึงความสำคัญของมาตรฐานแรงงานกลต่างๆ ที่นักสหภาพแรงงานควรรู้ไว้ดังนี้ ...

มาตรฐานแรงงานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)

มาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization - ILO) ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีในระดับนานาชาติ มีมาตรฐานแรงงานพื้นฐานสำหรับคนงานโดยเป็นอนุสัญญาหลัก 8 อนุสัญญา ได้แก่

1. อนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพการรวมกลุ่มและการคุ้มครองสิทธิการรวมกลุ่มจัดตั้ง ค.ศ. 1948 (หมายเลข 87)

2. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิการรวมกลุ่มจัดตั้งและการเจรจาต่อรองร่วม, ค.ศ. 1949 (หมายเลข 98)

3. อนุสัญญาว่าด้วยการใช้แรงงานบังคับ, ค.ศ. 1930 (หมายเลข 29)

4. อนุสัญญาว่าด้วยการยกเลิกการใช้แรงงานบังคับ, ค.ศ. 1957 (หมายเลข 105)

5. อนุสัญญาว่าด้วยอายุขั้นต่ำ, ค.ศ. 1973 (หมายเลข 138)

6. อนุสัญญาว่าด้วยการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด, ค.ศ. 1999 (หมายเลข 182)

7. อนุสัญญาว่าด้วยค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน, ค.ศ. 1951 (หมายเลข 100)

8. อนุสัญญาว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (ในการจ้างงานและอาชีพ), ค.ศ. 1958 (หมายเลข 111)

โดยเรื่องหลักที่ ILO ให้ความสำคัญประกอบไปด้วย

เสรีภาพการรวมกลุ่มและการยอมรับอย่างจริงจังต่อสิทธิการเจรจาต่อรองร่วม (อนุสัญญาฉบับที่ 87, 98) – คนงานมีเสรีภาพและสิทธิในการรวมกลุ่มจัดตั้งสหภาพแรงงานของตนเองหรือเข้าร่วมสหภาพแรงงานที่สามารถปกป้องสิทธิประโยชน์ของเขา, นายจ้างและรัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงการรวมกลุ่มจัดตั้งของคนงานหรือกิจกรรมสหภาพแรงงาน และคนงานมีเสรีภาพและสิทธิในการเข้าร่วมองค์กรแรงงานระดับจังหวัด ระดับชาติ และสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมมีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการให้การสนับสนุนคนงานและจัดตั้งสหภาพแรงงาน

สำหรับด้านสิทธิการเจรจาต่อรองร่วมนั้น การเจรจาต่อรองร่วมเป็นการเจรจาที่กระทำระหว่างฝ่ายจัดการและสหภาพแรงงานเพื่อการกำหนดร่วมกันในเรื่องค่าจ้าง สภาพการทำงาน สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนงานและครอบครัวของคนงาน โดยผลของการเจรจาต่อรองร่วมคือการทำข้อตกลงสภาพการจ้าง (CBA) และการทำข้อตกลงสภาพการจ้างสามารถทำได้ทุกระดับ: สถานประกอบการ, จังหวัด รวมถึงในระดับอุตสาหกรรม และระดับชาติ

การขจัดการใช้แรงงานบังคับทุกรูปแบบ (อนุสัญญาฉบับที่ 29, 105) - การทำงานภายใต้การข่มขู่และ บังคับโดยที่บุคคลไม่ยินยอม และการทำงานล่วงเวลาโดยไม่มีการปรึกษาหารือกับคนงานหรือสหภาพแรงงาน

การขจัดการใช้แรงงานเด็กอย่างจริงจัง (อนุสัญญาฉบับที่ 138 182) - เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ไม่ควรทำงาน, เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีไม่ควรทำงานที่ผู้ใหญ่ทำ และเด็กอายุต่ำกว่า 18  ปีไม่ควรให้ทำงานที่เข้าข่ายเป็นงานอันตราย

การขจัดการเลือกปฏิบัติในเรื่องการจ้างงานและอาชีพ (อนุสัญญาฉบับที่ 100, 111) - ค่าจ้างเท่าเทียมสำหรับงานที่เท่ากัน, การปฏิบัติทีเท่าเทียมสำหรับการทำงานเท่ากัน, ขจัดการการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิง-ชาย  และขจัดการเลือกปฏิบัติระหว่างคนงานประจำและคนงานชั่วคราว

นอกจากนี้ยูนยังได้เพิ่มเติมว่า ส่วนใหญ่ประเทศที่มีขบวนการแรงงานที่เข้มแข็งนั้นมักจะรับสัตยาบันอนุสัญญาของ ILO มากกว่าประเทศที่มีขบวนการแรงงานอ่อนแอ รวมถึงประเทศที่รัฐมักจะเข้าข้างฝ่ายทุนมากกว่าคนงาน และประเทศที่เป็นเผด็จการนั้นมักจะไม่เข้าไปรับ สัตยาบันอนุสัญญาของ ILO แตกต่างจากประเทศประชาธิปไตย

แนวปฏิบัติ OECD สำหรับบรรษัทข้ามชาติ

 

แนวปฏิบัติขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development - OECD) องค์กรระหว่างประเทศของประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยภายใต้การนำของยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีสมาชิก 31 ประเทศ  ได้แก่ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, สเปน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐ, แคนาดา, เม็กซิโก และชิลี

แนวปฎิบัตินี้เป็นมาตรฐานสากลเป็นแนวทางจรรยาบรรณเพื่อการปฏิบัติของบรรษัทข้ามชาติ ของประเทศในกลุ่ม OECD พึงปฏิบัติ (ไม่มีบทลงโทษตามกฎหมายแต่เป็นแนวปฏิบัติที่แนะนำให้มีการปฏิบัติตาม) โดยแนวปฎิบัติที่เกี่ยวข้องกับคนงานได้แก่ บทที่ 3, 4 และ 5 คือเรือง การเปิดเผยข้อมูล, สิทธิมนุษยชน และเรื่องแรงงานสัมพันธ์ ตามลำดับ

การเปิดเผยข้อมูล - บรรษัทข้ามชาติควรเปิดเผยข้อมูลเรื่อง กิจกรรมบรรษัทข้ามชาติ, โครงสร้าง, สถานการณ์ทางการเงินและผลการประกอบการ, lบริษัทลูก, สัดส่วนการถือครองหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัทลูกเหล่านี้, การถือหุ้นประเภทอื่นๆ 

และบรรษัทข้ามชาติควรเปิดเผยข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรดังต่อไปนี้ ผลการดำเนินธุรกิจและการเงินของบริษัท, คณะกรรมการบอร์ดและผู้บริหารหลักๆ และค่าจ้างของพวกเขา, ข้อมูลเรื่องลูกจ้างของบริษัทและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ และโครงสร้างการบริหารงานรวมถึงนโยบาย

สิทธิมนุษยชน - สิทธิแรงงานเป้นสิทธิพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนที่บรรษัทข้ามชาติพึงควรเคารพ

แรงงานสัมพันธ์ - สิทธิการเข้าร่วมสหภาพแรงงานและข้อตกลงสภาพการจ้าง, การยกเลิกการใช้แรงงานเด็ก, การขจัดการใช้แรงงานบังคับ และการไม่เลือกปฏิบัติต่อคนงานเพราะสาเหตุของเชื้อชาติ เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง สัญชาติ และภูมิหลังความเป็นมา

การจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ที่ดี จะต้องประกอบไปด้วย การอำนวยความสะดวกให้กับผู้แทนของคนงานในการเจรจาต่อรอง, การเปิดเผยให้ข้อมูลเพื่อการเจรจาต่อรองที่สร้างสรรค์, การปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานในประเทศที่มีการลงทุน, ส่งเสริมสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน, จัดการฝึกอบรมการทำงานที่เหมาะสม, ในกรณีที่จะมีการเลิกจ้างจำนวนมาก บริษัทจะต้องแจ้งล่วงหน้าและมีระยะเวลาที่สมเหตุสมผล พร้อมกับการให้ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์กับสหภาพแรงงาน, ห้ามขู่ว่าจะมีการโอนย้ายการผลิตส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดไปยังประเทศอื่นโดยการอ้างว่าเป็นเพราะการดำเนินกิจกรรมของสหภาพแรงงาน การ, เจรจาต่อรองข้อเรียกร้องหรือ การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงาน และเปิดโอกาสให้ผู้แทนคนงานเข้าปรึกษาหารือกับผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ

 

 

 

…………

เชิงอรรถ

[1] ก่อนถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2555 นั้น องค์กรสหพันธ์แรงงานระดับโลกมีด้วยกัน 11 องค์กร ประกอบไปด้วย ...

1. สหพันธ์แรงงานนานาชาติกิจการเคมีภัณฑ์, พลังงาน, เหมืองแร่, แรงงานทั่วไปในประเทศไทย (International Federation of Chemical, Energy, Mine and General Workers' Unions - ICEM)

2. สหพันธ์แรงงานโลหะระหว่างประเทศ (International Metalworkers' Federation - IMF)

3. สหพันธ์แรงงานสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและเครื่องหนังระหว่างประเทศ (International Textile, Garment and Leather Workers' Federation - ITGLWF)

4. สหพันธ์แรงงานก่อสร้างและงานไม้ระหว่างประเทศ (Building and Wood Workers' International - BWI)

5. สหพันธ์แรงงานภาคสาธารณูปโภคระหว่างประเทศ (Public Services International - PSI)

6. สหพันธ์แรงงานภาคการศึกษาโภคระหว่างประเทศ (Education International - EI)

7. สหพันธ์แรงงานภาคการขนส่งระหว่างประเทศ (International Transport Workers' Federation - ITF)

8. สมาคมสหภาพแรงงานอาหาร เกษตรกรรม โรงแรม ภัตตาคาร การบริการอาหาร ยาสูบและแรงงานพันธมิตรระหว่างประเทศ (International Union of Food, Agricultural, Hotel, Restaurant, Catering, Tobacco and Allied Workers' Association - IUF)

9. สหพันธ์แรงงานภาคการเงินและภาคบริการระหว่างประเทศ (UNI global union - UNI)

10. สหพันธ์แรงงานสื่อสารมวลชนระหว่างประเทศ (International Federation of Journalists - IFJ)

11. พันธมิตรคนทำงานด้านศิลปะและการบันเทิงระหว่างประเทศ (International Arts and Entertainment Alliance - IAEA)

แต่หลังจากวันที่ 19 มิถุนายน 2555 องค์กรสหพันธ์แรงงานระดับโลกจะเหลือเพียง 9 องค์กร เนื่องจาก ICEM, IMF และ ITGLWF ควบรวมกันเป็น สหพันธ์แรงงานสากล IndustriAll

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสหภาพแรงงานเกาหลีชี้ ‘นักสหภาพฯ’ ต้องมีจิตสำนึก ‘คนงาน’ มากกว่า ‘ลูกจ้าง’

$
0
0

นักสหภาพแรงงานเกาหลีระบุจิตสำนึก “คนงาน” ต่างจาก “ลูกจ้าง” นักสหภาพต้องมีจิตสำนึกคนงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง และความมุ่งหวังของคนงานคือ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ไปถึงคือ “การเจรจาต่อรอง” และความเข้าใจเรื่อง “มาตรฐานแรงงานสากล” จำเป็นสำหรับกิจกรรมสหภาพแรงงาน

ยูน เฮียววัน (Yoon Hyowon) ผู้ประสานงาน IndustriAll

เมื่อวันที่ 27 - 28 ต.ค. 55 ที่โรงแรมเวอโรนิก้า กรุงเทพฯ สหพันธ์แรงงานสากล IndustriAll ได้จัดเสวนา "มาตรฐานแรงงานสากลและการเจรจาต่อรองร่วม" โดยในหัวข้อ “มาตรฐานสากลสำหรับนักสหภาพแรงงาน” ยูน เฮียววัน (Yoon Hyowon) ผู้ประสานงาน IndustriAll เป็นผู้นำเสวนา

 

นักสหภาพแรงงานต้องมีจิตสำนึก “คนงาน” ไม่ใช่ “ลูกจ้าง”

ยูนกล่าวถึงประเด็นการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งนี้แนวความคิดของนักสหภาพแรงงานอาจจะดูไม่เหมือนกับกลุ่มนักกิจกรรมอื่นๆ ที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนแต่ไม่กล่าวถึงสิทธิแรงงาน ยูนกล่าวว่าถ้าไม่มีสิทธิแรงงานแล้วก็จะไม่เกิดสิทธิมนุษยชน และแก่นของการจัดตั้งสหภาพแรงงาน มีอยู่สองเรื่องสำคัญที่ต้องพูดถึง นั่นก็คือเรื่องการเรียกร้อง “ผลประโยชน์” (Interest) และการปกป้อง “สิทธิ” (Right) ให้กับคนงาน

เมื่อพูดถึงคำว่าคนงานแล้ว ยูนให้ภาพว่านักสหภาพแรงงานต้องมีมุมมองต่อคำว่า “คนงาน” (Worker) กับ “ลูกจ้าง” (Employee) ให้ต่างกัน เพราะจะมีผลต่อทัศนคติการทำงานในฐานะนักสหภาพแรงงาน

ทั้งนี้ความเป็น “คนงาน” นั้นมันจะติดตัวนักสหภาพฯ ไปตลอดเวลา เพราะหากเราคิดว่าเราเป็นแค่ “ลูกจ้าง” ที่หมายถึงการเป็นแค่ผู้ที่ถูกจ้างให้ทำงาน ซึ่งการเป็น “ลูกจ้าง” นั้นมันขึ้นอยู่กับสถานะทางตลาดแรงงานที่เราอาจจะถูกเลิกจ้าง หรืออยู่ในระหว่างเปลี่ยนงาน หรือแม้แต่กระทั่งบริษัทปิดตัวลงไป ความเป็นลูกจ้างก็สิ้นสุดลง ซึ่งหากเราคิดว่าเราเป็นแค่ลูกจ้างก็จะเป็นการเอาตัวไปผูกติดกับนายจ้างมากเกินไป และจะเป็นทัศนะคติมุมมองที่ไม่สามารถต่อยอดให้ทำกิจกรรมสหภาพแรงงานให้มีประสิทธิภาพได้

ในการเรียกร้องผลประโยชน์และเรียกร้องสิทธินั้น นักสหภาพฯ จะต้องทำให้กับคนงานที่แม้ว่าจะถูกเลิกจ้างไปแล้ว และการเป็นนักสหภาพฯ นั้นมีความเป็นสากล เพราะหากเราเป็นสมาชิกสหภาพฯ ซึ่งเชื่อได้ว่าองค์กรสหภาพของเราจะต้องขึ้นอยู่กับองค์กรสหพันธ์แรงงานสากลต่างๆ [1] ที่มีสมาชิกรวมกันเป็นคนงานหลายร้อยล้านคน การต่อสู้ของเราจึงจะมีสมาชิกขององค์กรต่างๆ ที่เป็น “คนงาน” เหมือนเราหนุนช่วยกันทั่วโลก และเราก็ต้องหนุนช่วยคนงานเหล่านั้นด้วยเช่นกันเมื่อเขาเกิดปัญหา

เมื่อพูดถึงสหภาพแรงงาน ในทัศนะของยูนมองว่าสหภาพแรงงานจะต้องไม่เกี่ยวข้องและถูกครอบงำบริษัท แต่องค์กรสหภาพแรงงานจะต้องเป็นเอกเทศ และมุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องผลประโยชน์และปกป้องสิทธิให้คนงานเท่านั้น โดยวิธีการรวมตัวกันเพื่อเจรจาต่อรองเป็นวิธีการที่สำคัญที่สุด

 

สู่ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” ด้วย  “การเจรจาต่อรอง”

ทั้งความมุ่งหวังของคนงานคือ “แรงงานสัมพันธ์ที่มีสันติ” (Industrial Peace) และเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายนี้ได้คือ “การเจรจาต่อรอง” โดยสหภาพแรงงาน และในการทำกิจกรรมสหภาพแรงงานนั้น จะต้องมีการเจรจาต่อรองร่วม (collective bargaining) คือการเจรจาระหว่างสหภาพแรงงานกับนายจ้าง เพื่อร่วมกันตัดสินใจในเรื่องค่าจ้าง และสภาพการทำงาน ซึ่งมีผลต่อชีวิตการทำงานของคนงานและความเป็นอยู่ของครอบครัวของคนงาน

และการเจรจาต่อรองร่วมนั้นแตกต่างกับการต่อรองรายบุคคล เพราะการพูดคุยเรื่องผลประโยชน์ระหว่างนายจ้างกับคนงานแบบรายปัจเจกนั้น แทบที่จะเรียกว่าเป็นการต่อรองได้ด้วยซ้ำ เพราะนายจ้างกุมอำนาจไว้ และสามารถเอาเปรียบคนงานได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้การทำข้อตกลงสภาพการจ้าง ต่างกับสัญญารายบุคคล เพราะเป็นการกระทำรวมหมู่ของคนงานที่เพิ่มอำนาจการต่อรอง ให้การเจรจากับนายจ้างดูสมเหตุสมผลมากขึ้นกว่าการทำเป็นรายบุคคล และในอีกนัยหนึ่งคือถ้าไม่มีข้อตกลงสภาพการจ้างก็หมายความว่าไม่มีสหภาพแรงงาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อตกลงสภาพการจ้างต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่าและดีกว่ากฎหมายในประเทศ และต้องดีกว่ามาตรฐานสากล

 

ทั้งนี้ในการเสวนา ยูนได้กล่าวถึงความสำคัญของมาตรฐานแรงงานสากลว่า ควรเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดและเป็นสิทธิพื้นฐานที่คนงานทุกคนต้องได้รับ โดยในการเสวนา ได้มีการให้ข้อมูลถึงความสำคัญของมาตรฐานแรงงานกลต่างๆ ที่นักสหภาพแรงงานควรรู้ไว้ดังนี้ ...

มาตรฐานแรงงานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)

มาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization - ILO) ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีในระดับนานาชาติ มีมาตรฐานแรงงานพื้นฐานสำหรับคนงานโดยเป็นอนุสัญญาหลัก 8 อนุสัญญา ได้แก่

1. อนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพการรวมกลุ่มและการคุ้มครองสิทธิการรวมกลุ่มจัดตั้ง ค.ศ. 1948 (หมายเลข 87)

2. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิการรวมกลุ่มจัดตั้งและการเจรจาต่อรองร่วม, ค.ศ. 1949 (หมายเลข 98)

3. อนุสัญญาว่าด้วยการใช้แรงงานบังคับ, ค.ศ. 1930 (หมายเลข 29)

4. อนุสัญญาว่าด้วยการยกเลิกการใช้แรงงานบังคับ, ค.ศ. 1957 (หมายเลข 105)

5. อนุสัญญาว่าด้วยอายุขั้นต่ำ, ค.ศ. 1973 (หมายเลข 138)

6. อนุสัญญาว่าด้วยการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด, ค.ศ. 1999 (หมายเลข 182)

7. อนุสัญญาว่าด้วยค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน, ค.ศ. 1951 (หมายเลข 100)

8. อนุสัญญาว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (ในการจ้างงานและอาชีพ), ค.ศ. 1958 (หมายเลข 111)

โดยเรื่องหลักที่ ILO ให้ความสำคัญประกอบไปด้วย

เสรีภาพการรวมกลุ่มและการยอมรับอย่างจริงจังต่อสิทธิการเจรจาต่อรองร่วม (อนุสัญญาฉบับที่ 87, 98) – คนงานมีเสรีภาพและสิทธิในการรวมกลุ่มจัดตั้งสหภาพแรงงานของตนเองหรือเข้าร่วมสหภาพแรงงานที่สามารถปกป้องสิทธิประโยชน์ของเขา, นายจ้างและรัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงการรวมกลุ่มจัดตั้งของคนงานหรือกิจกรรมสหภาพแรงงาน และคนงานมีเสรีภาพและสิทธิในการเข้าร่วมองค์กรแรงงานระดับจังหวัด ระดับชาติ และสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมมีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการให้การสนับสนุนคนงานและจัดตั้งสหภาพแรงงาน

สำหรับด้านสิทธิการเจรจาต่อรองร่วมนั้น การเจรจาต่อรองร่วมเป็นการเจรจาที่กระทำระหว่างฝ่ายจัดการและสหภาพแรงงานเพื่อการกำหนดร่วมกันในเรื่องค่าจ้าง สภาพการทำงาน สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนงานและครอบครัวของคนงาน โดยผลของการเจรจาต่อรองร่วมคือการทำข้อตกลงสภาพการจ้าง (CBA) และการทำข้อตกลงสภาพการจ้างสามารถทำได้ทุกระดับ: สถานประกอบการ, จังหวัด รวมถึงในระดับอุตสาหกรรม และระดับชาติ

การขจัดการใช้แรงงานบังคับทุกรูปแบบ (อนุสัญญาฉบับที่ 29, 105) - การทำงานภายใต้การข่มขู่และ บังคับโดยที่บุคคลไม่ยินยอม และการทำงานล่วงเวลาโดยไม่มีการปรึกษาหารือกับคนงานหรือสหภาพแรงงาน

การขจัดการใช้แรงงานเด็กอย่างจริงจัง (อนุสัญญาฉบับที่ 138 182) - เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ไม่ควรทำงาน, เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีไม่ควรทำงานที่ผู้ใหญ่ทำ และเด็กอายุต่ำกว่า 18  ปีไม่ควรให้ทำงานที่เข้าข่ายเป็นงานอันตราย

การขจัดการเลือกปฏิบัติในเรื่องการจ้างงานและอาชีพ (อนุสัญญาฉบับที่ 100, 111) - ค่าจ้างเท่าเทียมสำหรับงานที่เท่ากัน, การปฏิบัติทีเท่าเทียมสำหรับการทำงานเท่ากัน, ขจัดการการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิง-ชาย  และขจัดการเลือกปฏิบัติระหว่างคนงานประจำและคนงานชั่วคราว

นอกจากนี้ยูนยังได้เพิ่มเติมว่า ส่วนใหญ่ประเทศที่มีขบวนการแรงงานที่เข้มแข็งนั้นมักจะรับสัตยาบันอนุสัญญาของ ILO มากกว่าประเทศที่มีขบวนการแรงงานอ่อนแอ รวมถึงประเทศที่รัฐมักจะเข้าข้างฝ่ายทุนมากกว่าคนงาน และประเทศที่เป็นเผด็จการนั้นมักจะไม่เข้าไปรับ สัตยาบันอนุสัญญาของ ILO แตกต่างจากประเทศประชาธิปไตย

แนวปฏิบัติ OECD สำหรับบรรษัทข้ามชาติ

 

แนวปฏิบัติขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development - OECD) องค์กรระหว่างประเทศของประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยภายใต้การนำของยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีสมาชิก 31 ประเทศ  ได้แก่ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, สเปน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐ, แคนาดา, เม็กซิโก และชิลี

แนวปฎิบัตินี้เป็นมาตรฐานสากลเป็นแนวทางจรรยาบรรณเพื่อการปฏิบัติของบรรษัทข้ามชาติ ของประเทศในกลุ่ม OECD พึงปฏิบัติ (ไม่มีบทลงโทษตามกฎหมายแต่เป็นแนวปฏิบัติที่แนะนำให้มีการปฏิบัติตาม) โดยแนวปฎิบัติที่เกี่ยวข้องกับคนงานได้แก่ บทที่ 3, 4 และ 5 คือเรือง การเปิดเผยข้อมูล, สิทธิมนุษยชน และเรื่องแรงงานสัมพันธ์ ตามลำดับ

การเปิดเผยข้อมูล - บรรษัทข้ามชาติควรเปิดเผยข้อมูลเรื่อง กิจกรรมบรรษัทข้ามชาติ, โครงสร้าง, สถานการณ์ทางการเงินและผลการประกอบการ, lบริษัทลูก, สัดส่วนการถือครองหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัทลูกเหล่านี้, การถือหุ้นประเภทอื่นๆ 

และบรรษัทข้ามชาติควรเปิดเผยข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรดังต่อไปนี้ ผลการดำเนินธุรกิจและการเงินของบริษัท, คณะกรรมการบอร์ดและผู้บริหารหลักๆ และค่าจ้างของพวกเขา, ข้อมูลเรื่องลูกจ้างของบริษัทและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ และโครงสร้างการบริหารงานรวมถึงนโยบาย

สิทธิมนุษยชน - สิทธิแรงงานเป้นสิทธิพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนที่บรรษัทข้ามชาติพึงควรเคารพ

แรงงานสัมพันธ์ - สิทธิการเข้าร่วมสหภาพแรงงานและข้อตกลงสภาพการจ้าง, การยกเลิกการใช้แรงงานเด็ก, การขจัดการใช้แรงงานบังคับ และการไม่เลือกปฏิบัติต่อคนงานเพราะสาเหตุของเชื้อชาติ เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง สัญชาติ และภูมิหลังความเป็นมา

การจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ที่ดี จะต้องประกอบไปด้วย การอำนวยความสะดวกให้กับผู้แทนของคนงานในการเจรจาต่อรอง, การเปิดเผยให้ข้อมูลเพื่อการเจรจาต่อรองที่สร้างสรรค์, การปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานในประเทศที่มีการลงทุน, ส่งเสริมสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน, จัดการฝึกอบรมการทำงานที่เหมาะสม, ในกรณีที่จะมีการเลิกจ้างจำนวนมาก บริษัทจะต้องแจ้งล่วงหน้าและมีระยะเวลาที่สมเหตุสมผล พร้อมกับการให้ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์กับสหภาพแรงงาน, ห้ามขู่ว่าจะมีการโอนย้ายการผลิตส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดไปยังประเทศอื่นโดยการอ้างว่าเป็นเพราะการดำเนินกิจกรรมของสหภาพแรงงาน การ, เจรจาต่อรองข้อเรียกร้องหรือ การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงาน และเปิดโอกาสให้ผู้แทนคนงานเข้าปรึกษาหารือกับผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ

 

 

…………

เชิงอรรถ

[1] ก่อนถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2555 นั้น องค์กรสหพันธ์แรงงานระดับโลกมีด้วยกัน 11 องค์กร ประกอบไปด้วย ...

1. สหพันธ์แรงงานนานาชาติกิจการเคมีภัณฑ์, พลังงาน, เหมืองแร่, แรงงานทั่วไปในประเทศไทย (International Federation of Chemical, Energy, Mine and General Workers' Unions - ICEM)

2. สหพันธ์แรงงานโลหะระหว่างประเทศ (International Metalworkers' Federation - IMF)

3. สหพันธ์แรงงานสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและเครื่องหนังระหว่างประเทศ (International Textile, Garment and Leather Workers' Federation - ITGLWF)

4. สหพันธ์แรงงานก่อสร้างและงานไม้ระหว่างประเทศ (Building and Wood Workers' International - BWI)

5. สหพันธ์แรงงานภาคสาธารณูปโภคระหว่างประเทศ (Public Services International - PSI)

6. สหพันธ์แรงงานภาคการศึกษาโภคระหว่างประเทศ (Education International - EI)

7. สหพันธ์แรงงานภาคการขนส่งระหว่างประเทศ (International Transport Workers' Federation - ITF)

8. สมาคมสหภาพแรงงานอาหาร เกษตรกรรม โรงแรม ภัตตาคาร การบริการอาหาร ยาสูบและแรงงานพันธมิตรระหว่างประเทศ (International Union of Food, Agricultural, Hotel, Restaurant, Catering, Tobacco and Allied Workers' Association - IUF)

9. สหพันธ์แรงงานภาคการเงินและภาคบริการระหว่างประเทศ (UNI global union - UNI)

10. สหพันธ์แรงงานสื่อสารมวลชนระหว่างประเทศ (International Federation of Journalists - IFJ)

11. พันธมิตรคนทำงานด้านศิลปะและการบันเทิงระหว่างประเทศ (International Arts and Entertainment Alliance - IAEA)

แต่หลังจากวันที่ 19 มิถุนายน 2555 องค์กรสหพันธ์แรงงานระดับโลกจะเหลือเพียง 9 องค์กร เนื่องจาก ICEM, IMF และ ITGLWF ควบรวมกันเป็น สหพันธ์แรงงานสากล IndustriAll

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองฟัน ขสมก.ผิดปล่อยควันดำ

$
0
0

ศาลปกครองสูงสุด ยืนตามศาลชั้นต้น ขสมก. ผิด ปล่อยควันดำ กำหนดมาตรการ รายงานการแก้ปัญหาทุก 3 เดือน 

30 ตุลาคม 2555 ศาลปกครองสูงสุด พิจารณาคดีดำเลขที่ 915/2549 กรณีที่มูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ยื่นฟ้ององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยปล่อยให้รถเมล์ของขสมก.และรถร่วมเอกชน ปล่อยควันดำสร้างมลพิษในเขตพื้นที่ กทม. หลังจากใช้ระยะเวลาในการไต่สวนตามกระบวนการของศาล นับตั้งมีการยื่นฟ้องครั้งแรกในวันที่ 28 พ.ย.2545 รวมเวลากกว่า 10 ปี
 
โดยการพิจารณาครั้งนี้ มีนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าว เป็นผู้แถลงคดี โดยผู้ถูกฟ้องร้องคือ ขสมก. ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าฟังการพิจารณาคดี มีเพียงนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมด้วยตัวแทนจากมูลนิธิป้องกันควันพิษ และตัวแทนจากกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เข้าฟัง
 
ทั้งนี้ ตุลาการผู้แถลงคดี สรุปว่า ตามที่มูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ยื่นฟ้ององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เมื่อเดือนพ.ย. 2545 ว่าละเลยต่อหน้าที่ มิได้ดำเนินการให้การเดินรถของ ขสมก. และเอกชนที่ร่วมบริการเป็นไปโดยปลอดภัยไร้มลพิษควันดำ เป็นคดีดำเลขที่ 2007/2545 และได้ยื่นฟ้อง คพ. ว่าละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้ดำเนินการควบคุมป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบภาวะมลพิษทางอากาศในเขต กทม.ไม่ให้เกินมาตรฐานเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2028/2545 รวมทั้งนายป๊อก แซ่เจีย กับพวกรวม 3 คน ได้ยื่นฟ้อง ขสมก. เป็นคดีหมายเลขดำที่ 2026 /2545 กับได้ยื่นฟ้องกรมควบคุมมลพิษเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2025/2545 โดยมีลักษณะข้อหาอย่างเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกัน ต่อมาศาลปกครองกลาง ได้พิพากษาเมื่อปี 2549 ว่า ขสมก.นั้นมีความผิดและมีคำสั่งให้ ขสมก. ดำเนินการตรวจสอบมลพิษจากรถยนต์ทั้งในส่วนของรถร่วม ขสมก. และรถร่วมบริการต้องส่งผลการตรวจสอบให้กับทางศาลทุก 3 เดือน ส่วนกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ซึ่ง ขสมก.ได้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.914 - 917/2549 นั้น ศาลปกครองสูงสุด ได้พิจารณาตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นแล้วว่า ผู้ถูกฟ้องร้องคดีที 1 ละเลยปล่อยให้รถ ขสมก.และรถร่วมบริการปล่อยควันดำจริง ทั้งที่เป็นหน้าที่ในการติดตามดูแลตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ส่วนผู้ถูกฟ้องที 2 มีหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบปัญหามลพิษทางอากาศ น้ำเสีย ขยะ ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ซึ่งพบว่า ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ไม่ได้ละ เลยในการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด จึงยืนยันตามคำพิพากษาเดิม แต่เนื่องจากผู้แถลง ไม่ได้ยื่นแถลงทางวาจาและหนังสือ ประกอบกับตุลาการผู้แถลงคดี ได้เสนอความคิดเห็นต่อองค์คณะศาลปกครอง โดยจะมีคำพิพากษาต่อไป และจะแจ้งให้คู่กรณีรับทราบ
 
ด้านนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พอใจกับคำพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้ เพราะการที่ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม ก็เท่ากับว่า เราชนะคดีที่รอคอยมานานนับ 10 ปีของชาวบ้านที่ร่วมฟ้องกับมูลนิธิป้องกันควันพิษ และสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ซึ่งจะใช้เป็นบรรทัดฐานในการฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะ แต่ละเลยการทำหน้าที่ของตัวเอง โดยคาดว่าอีก 1 เดือนหลังจากนี้ศาลปกครองจะนัดฟังคำพิพากษาแล้ว หลังจากนั้น ขสมก.จะต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบังคับคดีของศาลปกครอง กล่าวคือ จะต้องตรวจสอบสภาพรถ ขสมก. และรถร่วมบริการทุกคันไม่ให้ปล่อยควันดำ ออกสู่บรรยากาศทุกๆ 3 เดือนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งจากข้อมูลที่เคยมีการรายงานต่อศาลเมื่อหลายปีก่อน ขสมก.มีรถเมล์มากกว่า 14,700 คัน แต่ขณะนี้น่าจะมีจำนวนมากขึ้นจากรถเมล์เช่าจากจีนที่นำเข้ามาเมื่อ 2-3 ปีก่อน
 
“คดีนี้ใช้เวลานานถึง 10 ปีแต่ถือเป็นบรรทัดฐานใหมที่ ขสมก.และรัฐวิสาหกิจอื่นๆต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะปัญหารถปล่อยควันดำที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสุขภาพ และสิ่ง แวดล้อมของกทม.อย่างต่อเนื่อง ยังไม่นับกับปัญหารถเมล์ที่ด้อยคุณภาพและการร้องเรียนอื่นๆที่มีมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทางสมาคมฯกำลังพิจารณาฟ้องร้องรถตู้เอกชน และรถตู้ร่วมบริการกับ บขส.เป็นรายต่อไป เพราะขณะนี้มีรถตู้ที่มีสภาพเก่า และปล่อยควันดำที่วิ่งบริการนับพันคันในเขตพื้นที่กทม.และปริมณฑล ที่เริ่มพบปัญหาปล่อยมลพิษแซงหน้ารถเมล์” นายศรีสุวรรณ กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีฟ้องร้อง ขสมก.และคพ.นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย.2545 หลังจากมีรายงานปัญหามลพิษทางอากาศจากรถเมล์ควันดำ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการนำรถเมล์เก่ามาใช้วิ่ง ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จนปล่อยควันดำออกมาสูง และส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองในเขตกทม.เกินค่ามาตรฐานเฝ้าระวัง โดยมาตรการที่คพ.ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก แก้ไขปัญหาระยะแรกคือการตั้งจุดตรวจรถควันดำ โดยหากพบว่ารถเมล์มีควันดำ ก็จะพ่นที่ตัวรถว่า “ห้ามใช้เด็ดขาด” หรือ “ห้ามใช้ชั่วคราว” แต่ปัจจุบันมาตรการในการสุ่มตรวจวัดควันดำ ได้ยกเลิกไปหลายปีแล้ว เนื่องจากคพ.ไม่มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลปัญหา
 
 
 
ที่มา: เรียบเรียงจากกรุงเทพธุรกิจ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โครงสร้างความสัมพันธ์ของสังคมไทยใน 'แรงเงา'

$
0
0

กระแสที่มาแรงที่สุดบน face book ของมหาชนชาวสยามเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นรายการ “The Voice” และละครโทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” ซึ่งเรียกได้ว่า เมื่อรายการทั้งสองเล่นเมื่อไหร่ ข่าวสารเกี่ยวกับการบ้านการเมืองแทบจะหายไปชั่วขณะ

ในกรณีละครเรื่อง “แรงเงา” นั้น ความ “แรง” ของมันได้ทำให้เกิดข้อถกเถียงและข้อวิจารณ์กันมากมายในหลายวงการ เริ่มตั้งแต่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เรียกร้องให้กระทรวงวัฒนธรรมเลื่อนละครไปฉายหลังสี่ทุ่ม เนื่องจากความรุนแรงของเนื้อหา[1] หรือจะเป็นเจ้าเก่าอย่างคุณหญิงระเบียบรัตน์ก็ออกมาตีโพยตีพายว่า ละครดังกล่าวสร้างความเสื่อมเสียให้ “สถาบันเมียหลวง” [2] (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร) ไม่เว้นแม้กระทั่งนักวิชาการมีชื่อหลายท่านก็ออกมาพูดถึงละครดังกล่าวอีกด้วย[3]

สำหรับผู้เขียนนั้นมิได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของละครเรื่องดังกล่าว แต่เนื่องจากบุคคลใกล้ชิดตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า “ติดงอมแงม” ผู้เขียนจึงได้ติดตามละครเรื่องดังอยู่บ้างเป็นครั้งคราว กระนั้นก็ตาม จากการติดตามแบบห่างๆ อย่างห่วงๆ  เช่นนี้กลับพบว่า ละครเรื่องดังกล่าวมีความน่าสนใจมากกว่าประเด็นเรื่องการตบตีแย่งผัว แย่งเมีย แต่พบว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยได้ดีทีเดียว แม้ว่าจะไม่ชัดเจนและจงใจนักก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองไม่ใช่นักวิจารณ์มืออาชีพ สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ จึงคล้ายกับการจับแพะชนแกะ พยายามลากเรื่องราวในเนื้อเรื่องให้เข้าสู่โครงเรื่องที่ผู้เขียนวางเอาไว้ ดังนั้น ท่านผู้อ่านจึงอย่าหวังที่จะหาความเป็นวิชาการ หรือบทวิจารณ์ที่เข้มข้นลึกซึ้งจากบทความของผู้เขียนฉบับนี้

ผู้เขียนเห็นว่า “แรงเงา” เป็นภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่าง “บ้าน” กับ “เมือง” ในช่วง 50 ปีหลังนี้เป็นอย่างดี โดยแสดงผ่านตัวละครต่างๆ ที่สัมพันธ์กันอย่างสับสนวุ่นวายภายในเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้เขียนได้แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ดังต่อไปนี้ หนึ่งคือ “พวกผู้ดีเก่า” สะท้อนผ่านตัวละครคือ “ผอ.เจนภพ” สองคือ “พวกผู้ดีใหม่” สะท้อนผ่านครอบครัวเมียหลวง “นพนภา” สามคือ ชนชั้นกลางในเมืองกรุง สะท้อนผ่านพระเอกของเรื่อง “วีกิจ” สี่คือ “ชนบทเก่า” ผ่านตัวละคร “มุตตา” และสุดท้ายคือ “ชนบทใหม่” ผ่านนางเอกสุดร้าย มากฤทธิ์อย่าง “มุนินทร์”

เจนภพ: ผู้ดีเก่าตกอับ
เจนภพ เป็นข้าราชการตัวเล็กๆ (ตามคำนิยามของนพนภาภรยาของเขา) ผู้อำนวยการกองพัสดุ สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางเก่า ซึ่ง (น่าจะ) เคยเฟื่องฟูมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตราบถึงสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถือว่าเป็นยุคสมัยที่กลุ่มขุนนางข้าราชการมีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจภาคเอกชนเฟื่องฟูขึ้นหลังนโยบายการพัฒนาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ได้ทำให้การทำมาค้าขายเป็นภาคธุรกิจที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งอย่างมหาศาล ขุนนางเก่ากลุ่มนี้ไม่สามารถปรับตัวได้ จนกระทั่งกลายเป็นกลุ่มคนที่เหลือแต่เกียรติ ไม่มีเงินทองพอที่จะประคับประคองตนเองให้ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างสมฐานะ ดังที่เจนภพพูด (กึ่งหลอก) กับมุตตาไว้ว่า “เรื่องของผมมันน่าอาย มันยิ่งกว่าละครน้ำเน่าเสียอีก บ้านผมเป็นตระกูลขุนนางเก่า มีแต่เกียรติไม่มีเงิน ยิ่งคุณพ่อผมอยากทำธุรกิจ แต่ไม่มีประสบการณ์ ลงท้ายเป็นหนี้สินกว่าสิบล้าน” ทางออกหนึ่งของคนกลุ่มนี้จึงอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกับพวกผู้ดีหรือเศรษฐีใหม่อย่างครอบครัวของนพนภา จนกระทั่งมีสถานะเป็น “..ปูกล้ามโพลก มีแต่เปลือก เกาะเมียกินเป็นแมงดาอยู่ทุกวัน” (นพนภา)

นพนภา: เศรษฐีใหม่ผู้ฝักใฝ่ในเกียรติยศ
ครอบครัวของนพนภาเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากนโยบายพัฒนา เติบโตมาจากการค้าและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (เล็กๆ น้อยๆ ตามคำของนพนภา) คนกลุ่มนี้แม้จะสะสมความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้ แต่ในจิตใจลึกๆ แล้วกลับยังรู้สึกว่าตนเองเป็นพวกไร้ราก ไร้เกียรติยศ จึงต้องสร้างความสัมพันธ์กับพวกตระกูลขุนนางเก่าอย่างเจนภพ เนื่องจากว่า “บ้านของเขามีเงินล้นฟ้า แต่ไม่มีเกียรติไงครับ” (เจนภพ) ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะดิ้นให้หลุดออกจากภาพพ่อค้าหน้าเลือด ผู้ที่พร้อมจะกดขี่ขูดรีดคนอื่นอย่างๆ ไร้มนุษยธรรมเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังที่เนตรนภิศกล่าวถึงพฤติกรรมของพี่สาวของตนเองไว้ว่า “ก็วิธีตอบแทนใครๆ ของพี่สาวชั้นไง เอาเงินฟาดหัวมันเข้า มันจะได้คลานมามอบแล้วกระดิกหางทุกครั้งเวลาเรียกใช้”

นอกจากนั้น การสร้างสายสัมพันธ์เชิงเครือญาติกับพวกตระกูลข้าราชการ ยังเป็นวัฒนธรรมสำคัญของนายทุนไทยในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะในยุคของเผด็จการทหารจอมพลสฤษดิ์จนถึงจอมพลถนอมนั้น การมีเส้นสาย มี connection กับข้าราชการย่อมนำมาซึ่งสัมปทานและสิทธิพิเศษต่างๆ อย่างมากมาย ซึ่งย่อมเป็นผลประโยชน์กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของนพนภาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งพันธมิตรระหว่างเจนภพ (ขุนนางข้าราชการ) กับนพนภา (นักธุรกิจนายทุน) นั้น พร้อมที่จะกดขี่บีฑาชนบท/ชาวบ้านอย่างมุตตาให้จมดิน จนกระทั่ง “มุตตาสูญเสียจนไม่เหลืออะไรเลย จากฝีมือมนุษย์ที่มีหัวใจเป็นสัตว์” (มุนินทร์)

วีกิจ: ชนชั้นกลางเมืองกรุงผู้หมดจด งดงาม
วีกิจเป็นตัวแทนชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่เติบโตมาจากนโยบายการพัฒนาเช่นเดียวกัน เขาถูกเลี้ยงดูมาแบบครอบครัวเดี่ยวในเมืองโดยแท้ ดังที่เขาได้เล่าให้มุตตาฟังว่า “พ่อผมตายตั้งแต่ผม 10 ขวบเอง แม่เลี้ยงผมมาตัวคนเดียว แม่ผมน่ะเป็นซูเปอร์มัมตัวจริงฮะ” เขาสมาทานศีลธรรมแบบชนชั้นกลางอย่างเต็มที่ เลือกที่จะเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ เจียมเนื้อเจียมตัว กินอยู่อย่างพอเพียง ไม่ทำตัวโอ้อวดใหญ่โต แม้ว่าจะมีอาเป็นถึงผู้อำนวยการของหน่วยงานที่ตนทำงานอยู่ และเขาก็ไม่เคยคิดจะใช้บารมีของอาเพื่อส่งเสริมตนเองเลย ดังที่เขาได้กล่าวตอนที่นพนภาสร้างภาพออกสื่อไว้ว่า “พรุ่งนี้มีรายการสร้างภาพอีกแล้วซิฮะ...ให้อาภพกับอานภาเป็นพระเอกนางเอกไปเถอะฮะ ผมไปด้วยเดี๋ยวแย่งซีนเปล่าๆ”

บทละครเรื่อง “แรงเงา” มอบบทบาทสำคัญให้กับวีกิจ (กลุ่มชนชั้นกลาง) เขาเป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือดูแลมุตตา สาวชนบทที่ต้องมาเผชิญกับชาวเมืองผู้โหดร้าย นอกจากนั้นเขายังเป็นตัวกลางที่ต้องคอยไกล่เกลี่ย สร้างความเข้าใจ สร้างความสมาฉันท์ให้กับความแตกแยกของเจนภพ (ขุนนางเก่า) นพนภา (พ่อค้านายทุน) มุนินทร์ (สาวชนบทสมัยใหม่) และมุตตา (สาวชนบทแบบเก่า) อีกด้วย

ในเนื้อเรื่องนั้น วีกิจเพียงแค่แอบเมตตา สงสาร เอ็นดู และคอยช่วยเหลือมุตตา (ชนบทแบบเก่า) จากการถูกรังแกจากรัฐและทุน (ผอ.เจนภพและภรรยา) แต่เขากลับ “หลงรัก” มุนินทร์ สาวชนบทใหม่ผู้มาดมั่น มีความรู้ เปี่ยมด้วยพลังอย่างสุดหัวใจ ดังที่ตัวเขาได้สารภาพกับมุนินทร์ไว้ว่า “เมื่อปีก่อน ผมเคยขอคบคุณเป็นแฟนแต่คุณปฏิเสธ รู้ไหมฮะวันนั้นผมไม่เจ็บเท่าไหร่ ผมถึงบอกตัวเองว่าผมคงไม่ได้รักคุณ แต่ช่วงหลังนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป คราวนี้มันกลับเจ็บ เจ็บอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บได้ถึงขนาดนี้”

มุตตา: ชนบทแบบเก่า ถูกเหยียบย่ำ รังแก และไร้พิษสง
มุตตาเปรียบได้กับชาวชนบทรุ่นแรกที่ต้องอพยพเข้าสู่เมืองภายหลังนโยบายการพัฒนาของจอมพลสฤษดิ์ เธอเป็นชาวชนบทที่ไร้พิษสง “ไม่ใช่คนเข้มแข็ง..เปราะบางเกินไปด้วยซ้ำ” (วีกิจ) แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่งก็ “ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนน้ำค้างกลางหาว” (สรรค์ เพื่อสนิทของเจนภพ) ซึ่งความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของเธอ ทำให้เธอต้องหลงติดกับอยู่ในวังวนคำหวานของเจนภพ ที่พร่ำพรรณนาบอกกับเธอว่า “ผมรักตา ตาคือทุกสิ่งทุกอย่าง คือชีวิต คือลมหายใจของผม” จนกระทั่งเธอต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป

ประโยคเด็ดประโยคนี้ เปรียบดั่งโฆษณาชวนเชื่อที่รัฐบาลเผด็จการทหารในสมัยพัฒนา ที่พร่ำบอกกับประชาชนอยู่เสมอว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ซึ่งเมื่อชาวชนบทหลงเชื่อ ก็ต้องเผชิญกับความฉิบหายวายวอด และสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไม่มีทางที่จะหวนกลับ

มุตตาจึงเป็นดังตัวแทนของชาวชนบทจำนวนมากที่ถูกปู้ยี่ปู้ยำจากรัฐและทุน จนสูญเสียทั้งเรือนร่าง ความบริสุทธิ์ ครอบครัว เครือญาติ จนกระทั่งวิญญาณ

มุนินทร์: ชนบทใหม่ผู้ไม่ศิโรราบ
แม้ว่านโยบายการพัฒนาจะได้ “ฆ่า” ชาวชนบทแบบเก่าอย่างมุตตาไปจากโลก แต่ในทางตรงกันข้าม นโยบายดังกล่าวก็ได้สร้างชาวชนบทแบบใหม่อย่างมุนินทร์ขึ้นมาด้วย เธอปรากฏตัวในละครฉากแรกในฉากสุดท้ายของมุตตา ดังนั้น ด้านหนึ่งของความตายของมุตตาก็คือการเกิดขึ้นมาของมุนินทร์

มุนินทร์เป็นสาวชนบทสมัยใหม่ผู้มาดมั่น เปี่ยมด้วยความรู้ เธอเรียนหนังสือและทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อเลื่อนชนชั้น จนรายได้ (นอกภาคการเกษตร) ที่เธอหามาสามารถเปลี่ยนฐานะของครอบครัวจากร้านขายกาแฟโบราณเล็กๆ จนกลายเป็นเจ้าของไร่ดอกไม้ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งจากประสบการณ์การสร้างเนื้อตัวด้วยลำแข้งดังกล่าว ทำให้เธอไม่ใช่ชาวชนบทที่ยอมก้มหัวศิโรราบให้แก่รัฐและทุนอีกต่อไป ดังที่เธอได้ประกาศกร้าวไว้ว่า “มุตตาคนเดิมไม่กลับมาแล้ว” แต่กระนั้นมุตตาก็ “จะไม่ตาย จะอยู่ค้ำฟ้าไปจนกว่าเขาทั้งสองคนจะพินาศไปก่อน”

เธอกลับมาเรียกร้องความยุติธรรม ในลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งมาดใหม่ของเธอนั้นได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับทั้งมิตรและศัตรู วิธีการ “เอาคืน” ของเธอทำให้วีกิจและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งมุนินทร์ได้อธิบายการกระทำของเธอเอาไว้ว่า “ฉันทำอย่างนั้นเพราะว่าฉันเป็นคน หรือคุณคิดว่าพวกคุณเท่านั้นที่เป็นคน แต่คนอื่น เป็นแค่สัตว์เดียรัจฉาน” ซึ่งสาวชนบทใหม่อย่างเธอนั้น ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ดังที่เธอเองได้อธิบายไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า “ตาเลือกแบบนั้น มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือก มันอาจไม่ถูกต้อง แต่ตาเลือกไปแล้ว ในขณะที่ฉันเลือกที่จะให้ตายังอยู่ และกลับไปเรียกหาความยุติธรรม”

บทส่งท้าย
ละครเรื่องนี้มอบบทบาทสำคัญให้กับหนุ่มชนชั้นกลางอย่างวีกิจ ในการเป็นโซ่ข้อกลาง เรียกสติสตางค์ และสร้างความเข้าใจระหว่างคนกลุ่มต่างๆ จนนำมาสู่การอโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน (สมานฉันท์??) ในที่สุด

แต่หากพิจารณาในบริบททางการเมืองไทยปัจจุบันแล้ว กลุ่มคนที่ไร้สติรองจากพวกขุนนางมากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นพวกชนชั้นกลางในเมืองกรุงอย่างวีกิจ พวกเขารังเกียจชาวชนบทใหม่อย่างมุนินทร์ ที่เข้ามาเรียกร้องหาความยุติธรรมในกรุงเทพฯ และพร้อมที่จะใช้ยาขนานใดก็ได้เพื่อกวาดล้างเชื้อโรคเหล่านั้นออกไปให้สิ้นซาก ด้วยทัศนคติเช่นนี้ จึงเป็นไปได้ยากยิ่งที่เราจะพบจุดจบแบบสมานฉันท์อย่างที่ละครเรื่องนี้ได้วาดภาพเอาไว้ ซึ่งลึกๆ แล้ว “มุนินทร์” ก็ตระหนักถึงจิตใจของ “วีกิจ” เป็นอย่างดี เพราะเธอได้รำพันถึงมุตตาไว้ว่า “เขารักเธอ ไม่ได้รักฉัน” เพราะว่าในสายตาของชนชั้นกลางนั้น ชนบทที่น่ารัก บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา น่าคบหากว่ากันเยอะ

 

หมายเหตุ: คำพูดของตัวละครต่างๆ อ้างอิงจาก นิตยสารภาพยนตร์ ฉบับละคร, ปีที่ 9 ฉบับที่ 755. ซึ่งทำให้อาจจะไม่ตรงกับที่ปรากฏในละครทีวีมากนัก




[1] http://news.sanook.com/1149673/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%98.-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1/

[2] http://www.thairath.co.th/content/life/301335

[3] อาทิเช่น ยุติ มุกดาวิจิตร, “ทำไมพระเองมันโง่จัง” ใน http://blogazine.in.th/blogs/yukti-mukdawijitra/post/3707 และ ธเนศร์ เจริญเมือง, “แรงเงา-แรงซ้ำรอยเดิมๆ” ใน http://www.prachatai.com/journal/2012/10/43357

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ราคาบ้านปี 2556 ไม่ขึ้นมาก อย่ารีบร้อนซื้อ

$
0
0

          อย่ากลัวว่าราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นมากในปี 2556 เพราะจะทำให้เกิดการซื้อบ้านอย่างไม่รอบรู้ รีบร้อน  ในความเป็นจริง แรงงานในวงการอสังหาริมทรัพย์ก็จ้างเกิน 300 บาทมานานแล้ว  ค่าก่อสร้างในช่วงปีกว่าที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นเพียง 4% ราคาที่ดินก็เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 5%  การรีบร้อนซื้ออาจเป็นการสร้างภาวะฟองสบู่ และสร้างหายนะให้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยได้ ที่ราคาจะไม่เพิ่มขึ้นมากเช่นที่มีผู้ให้ข่าวอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะ

          1. ราคาวัสดุก่อสร้างนับแต่กลางเดือนมิถุนายน 2555 – เดือนกันยายน 2556 เพิ่มขึ้นเพียง 4% โดยเฉลี่ยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นถึงขนาดนั้น

          2. ค่าแรงอาจเพิ่มขึ้นมาก โดยที่ค่าแรงเพิ่มเป็น 300 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% อาจส่งผลต่อราคาบ้านบ้าง แต่ค่าแรงเป็นสัดส่วนเพียง 30% ของค่าก่อสร้าง

          3. ดังนั้นหากค่าวัสดุก่อสร้างเพิ่มจาก 100% เป็น 104% ส่วนค่าแรงเพิ่มจาก 100% เป็น 140% และโดยที่ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงมีสัดส่วนเป็น 7:3 จึงทำให้ราคาสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็น 114.8%  อย่างไรก็ตามแรงงานในวงการก่อสร้างไม่เคยจ้างที่ราคา 215 บาท  จ้างราคา 300 บาทมาก่อนหน้าประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว  การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่มีผลต่อวงการก่อสร้างโดยตรง จึงทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นไม่มาก โดยประมาณการไว้ที่ 5% เท่านั้น

          4. อย่างไรก็ตามสัดส่วนรวม (กำไรและค่าดำเนินการต่าง ๆ) ระหว่างสิ่งก่อสร้างกับค่าที่ดิน มีสัดส่วนเป็นประมาณ 1 ต่อ 2  หากค่าที่ดินเพิ่มขึ้น 4% เช่นปีก่อน แต่ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็น 105% ก็จะทำให้ การเพิ่มขึ้นโดยรวมของราคาขาย เพิ่มเป็น 5% เท่านั้น  ไม่ได้เพิ่มขึ้น 15-20% แต่อย่างใด

          5. แม้ค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น  แต่ในอดีตที่ผ่านมา หากเศรษฐกิจไม่ดี แม้ค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 20% แต่ก็ไม่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังลดลง เพราะสร้างไปก็ไม่สามารถขายได้ในตลาด

          6. สำหรับกรณีพื้นที่ “ยอดฮิต” เช่น บริเวณรอบสถานีรถไฟฟ้า ราคาที่ดินอาจพุ่งขึ้นตามผังเมืองใหม่  ผู้ประกอบการก็คงต้องมองหาทำเลใหม่ ๆ ที่เป็นทางเลือกแทนที่จะมุ่งพัฒนาบริเวณรอบ ๆ รถไฟฟ้า ยกเว้นสินค้าราคาแพง ที่อาจต้องปรับราคาขึ้น แต่เป็นสินค้าส่วนน้อย ไม่กระทบต่อประชาชนโดยรวม

          7. ในปี พ.ศ.2556 ราคาที่อยู่อาศัยอาจปรับเพิ่มขึ้นเช่นในปีที่ผ่านมาคือ 5% แต่อย่างไรก็ตามในบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือบริเวณที่มีศักยภาพสูงอื่น ราคาอาจปรับเพิ่มเป็น 10%  แต่บริเวณรอบนอก ราคาแทบจะไม่ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นเลย โดยเฉพาะราคาที่ดินเขตชานเมืองที่ไม่มีระบบขนส่งมวลชน ปรากฏว่า หลายบริเวณ ราคาคงที่หรืออาจตกต่ำลงด้วยซ้ำไป

          8. การปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 10-15% ของมูลค่าปีก่อนหน้า อาจเกิดขึ้นได้ หากเศรษฐกิจไทยเติบโตดีมาก จนมีผู้สนใจลงทุนเป็นจำนวนมากจากต่างประเทศ  ในกรณีนี้ การที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ขายและผู้ซื้อเพราะต่างหากสามารถขายต่อได้ในราคาดี  แต่สัญญาณเศรษฐกิจดีจนเด่นชัดเช่นว่ายังคงมองไม่ปรากฏ  ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจเกิดตกต่ำลงตามภาวะของสากลโดยเฉพาะในประเทศยุโรป  การเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยอาจไม่ได้สูงดังที่คาดหวัง

          9. ในกรณีของผู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหาซื้อทรัพย์มือสอง ซึ่งมีทั้งทรัพย์มือสองสภาพใหม่ที่ยังไม่มีผู้เข้าอยู่ และทรัพย์มือสองที่มีอายุ 10-20 ปี ซึ่งส่วนมากยังอยู่ในสภาพดี  ผู้ซื้อได้บ้านแน่นอน ไม่ต้อง “ลุ้น” ว่า บ้านจะสร้างเสร็จหรือไม่  บ้านมือสองมักตั้งอยู่ใกล้ย่านชุมชนมากกว่า และที่สำคัญ ราคาบ้านมือสองมักถูกกว่าบ้านมือหนึ่งประมาณ 15-30%  การซื้อบ้านมือหนึ่งซึ่งเป็นตลาดของผู้ขายในขณะนี้ คงทำกำไรไม่ได้มากสำหรับนักลงทุน บ้านมือสองจึงควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

          10. การลงทุนซื้อบ้านมือสอง ต้องถือตามคติ “ใส่ตะกร้าล้างน้ำ” แต่ไม่ใช่ “ย้อมแมวขาย” โดยผู้ซื้อสมควรซ่อมแซม ตกแต่งให้อยู่ในสภาพดี แทนที่จะ “ขายตามสภาพ” เพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาดี  บ้านมือสองมีอายุขัยทางกายภาพอยู่ได้อีกนาน  คุ้มค่าที่จะซื้อเช่นเดียวกับบ้านมือหนึ่ง  และยังสามารถเห็นสภาพของชุมชนและการดูแลสภาพของชุมชนว่ามีการดูแลที่ดีเพียงพอเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือไม่เช่นกัน   ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีบ้านอยู่ทั้งหมดประมาณ 4.4 ล้านหน่วย แต่มีบ้านเกิดใหม่เพียง 1 แสนหน่วยต่อปี หรือ 2.3% ต่อปี  แต่เชื่อว่ามีการขายบ้านมือสองในปริมาณที่มากกว่านี้  การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงควรพิจาณาทั้งสินค้ามือหนึ่งและสินค้ามือสอง

          การออกข่าวราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้น คงเป็นกลยุทธในการกระตุ้นกำลังซื้อในขณะนี้มากกว่า  เพราะการก่อสร้างขนาดใหญ่ในพม่า เช่น ท่าเรือน้ำลึกทวาย และโดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน แรงงานยังไม่หนีไปไหน  แรงงานในวงการอสังหาริมทรัพย์ก็ใช้น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะใช้การก่อสร้างระบบกึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น  กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากกว่าคงเป็นกลุ่มสิ่งทอและอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัย

          อนึ่งสิ่งหนึ่งที่พึงสังวรก็คือ การกระตุ้นกำลังซื้อจนผู้บริโภคหลงซื้อกันจนเกินความจำเป็นนั้น ก็จะส่งผลร้ายต่อวงการอสังหาริมทรัพย์ในทางตรงกันข้าม กล่าวคือจะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ฟองสบู่ได้  ยิ่งในภาวะที่สถาบันการเงินอำนวยสินเชื่อจนแทบจะไม่มีเงินดาวน์เพราะการประเมินค่าทรัพย์สินในราคาสูงเกินจริง  ภาวะฟองสบู่ และที่ร้ายกว่านั้นคือภาวะฟองสบู่แตกอาจเกิดขึ้นได้  ดังนั้นรัฐบาล สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการและโดยเฉพาะผู้ซื้อบ้าน จึงพึงสังวรณ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ผลิตยาไทยย้ำไม่เอาทริปส์พลัสในเอฟทีเอกับยุโรป

$
0
0

ตามที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งทำกรอบการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ให้เสร็จเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และเสนอให้รัฐสภาพิจารณาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ โดยน่าจะเริ่มเปิดการเจรจากับอียูอย่างเป็นทางการได้ในต้นปี 56 และอ้างว่า ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนแล้ว รวมถึงกลุ่มยาที่คัดค้านการเปิดเจรจา

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน (TPMA) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาชื่อสามัญในประเทศ ได้ทำหนังสือที่ ท.032/2555 ถึงอธิบดีกรมเจรจาฯเพื่อแสดงจุดยืนของสมาคมต่อการเปิดเขตการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป (EU) และ ไทย-สมาคมการค้ายุโรป (EFTA) ระบุว่า สินค้ายาสำเร็จรูปที่นำมาจำหน่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU-EFTA) และสหรัฐฯ แต่ประเทศหลักที่ไทยส่งยาออกไปไม่ใช่ประเทศเหล่านี้ ดังนั้น ในหมวดสินค้ายาในรูปวัตถุดิบ สินค้ายาสำเร็จรูป และของเสียจากเภสัชภัณฑ์ประเทศไทยจะไม่ได้ประโยชน์จากการเจรจาเอฟทีเอแต่อย่างใด จึงขัดกับหลักการและวัตถุประสงค์ของการเจรจาเอฟทีเอที่ว่าจะส่งเสริมให้การค้าระหว่างกันสูงขึ้น ทางสมาคมฯจึงไม่เห็นด้วย

“เพราะนอกจากประเทศไทยจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากความตกลงดังกล่าวแล้ว กลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้สินค้ายาฯมีปริมาณและมูลค่านำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบกับถ้าหากกรมเจรจาฯยอมรับข้อผูกพันที่มากกว่าความตกลงทริปส์ หรือ ทริปส์พลัส ก็จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงและใหญ่หลวงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ”

ทางด้านนายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า การที่รัฐมนตรีพาณิชย์อ้างว่าได้รับฟังความเห็นทุกฝ่ายแล้วนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตามที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้นัดหมายเพื่อรับฟังความเห็นเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างกระชั้นชิด จดหมายเชิญส่งมาวันเดียวกับที่นัดรับฟัง ราวกับไม่ได้ต้องการรับฟังจริงๆ ทางเครือข่ายงดเหล้าจึงทำหนังสือขอให้นัดประชุมใหม่ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดรับฟัง ทางเครือข่ายฯจึงจะร้องเรียนไปยังคณะกรรมธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร

“เราไม่ได้ต่อต้านการค้าเสรี แต่เราคิดว่า การที่รัฐบาลเป็นนักประชาธิปไตยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่มาพูดตลอดเวลาว่า อียูต้องการลดภาษีแอลกอฮอล์ให้ได้ 90% ดังนั้นต้องรับเงื่อนไขนี้ กรมเจรจาฯไม่เคยเอาความเห็นของประชาชนไปพิจารณาว่า ควรกำหนดให้สินค้าแอลกอฮอล์และบุหรี่เป็นสินค้าทำลายสุขภาพ แม้แต่ในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพก็ยังมีจุดยืนเช่นนี้ให้ถอดสินค้าทำลายสุขภาพเหล่านี้ออกจากการเจรจา นอกจากนี้ เราไม่อยากเห็น กรมเจรจาฯทำให้รัฐบาลตกอยู่ในภาวะหมิ่นเหม่ต่อการรัฐธรรมนูญเพราะไม่เคยนำกรอบเจรจาฯรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเข้ารัฐสภา ทั้งที่เมื่อจะเริ่มเจรจาอียู-อาเซียนยังนำกรอบไปรับฟังความคิดเห็น”

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค สธ.ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบความเห็นของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย” ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาฯคือให้คงมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยยุทธศาสตร์แอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยละเว้นการบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการเจรจาเอฟทีเอ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะนำเสนอข้อสรุปนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 25 วันตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50857 articles
Browse latest View live




Latest Images