Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

กานดา นาคน้อย: ขบวนของผู้หญิง เพื่ออะไร? ยังไงต่อไป?

$
0
0

 


เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ผู้หญิงกว่า 1 ล้านคนได้ออกมาแสดงพลังด้วย“ขบวนของผู้หญิง” (Women’s March) ในกรุงวอชิงตันดีซี พร้อมๆกับที่ผู้หญิงอีกหลายล้านคนตามเมืองต่างๆทั่วประเทศและทั่วโลกได้ร่วมแสดงพลังพร้อมกัน   ในวันนั้นฉันอยู่ระหว่างเดินทางเลยไม่ได้ไปออกไปร่วมแสดงพลังด้วยขา  แต่ฉันก็ติดตามข่าวบนเครื่องบินและโพสต์ข่าวลงเพจมายด์พร้อมความคิดเห็นระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน  


เพื่ออะไร?

หลังการเดินทางสิ้นสุดลง มิตรสหายท่านหนึ่งเขียนมาเล่าว่าผิดหวังกับเพื่อนคนไทยที่เรียกร้องประชาธิปไตยไทยแต่ตำหนิว่ากลุ่ม“ขบวนของผู้หญิง”ขัดขวางการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฉันตอบมิตรสหายท่านนั้นไปดังนี

ก) ไม่แปลกที่เพื่อนเขาไม่เข้าใจ เพื่อนเขาเป็นแบบนี้กระบวนการประชาธิปไตยที่ไทยถึงไม่ไปไหน

ข) ประชาธิปไตยคือกระบวนการประชาธิปไตยไม่ใช่ทางลัดสั้นๆ สักแต่ว่าเลือกตั้งแล้วก็รื่นเริงบันเทิงด้วยการช็อปปิ้ง การดูหนังฟังเพลงสนุกสนานไปวันๆรอนักการเมืองประเคนชีวิตดีๆชิวๆ

ค) การแสดงพลังไม่ใช่การล้มเลือกตั้งแบบกปปส.ในไทย มีการขออนุญาตใช้พื้นที่สาธารณะ มีการขออนุญาตจอดรถบัส ไม่ได้ลุกมาปิดถนนตามอำเภอใจแบบ กปปส. ไม่ได้เชื้อเชิญหรืออุ้มสมรัฐประหาร

ง) ระหว่างรอเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้าพลเมืองมีสิทธิประเมินประธานาธิบดี การประท้วงครั้งนี้มีคนเข้าร่วมมากเพราะประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้วาจาเหยียดเพศและเหยียดคนพิการ ในฐานะผู้หญิงฉันคิดว่าเป็นความน่าอับอายที่มีผู้นำที่ไม่รู้กาละเทศะและไม่เคารพสิทธิสตรี ดังนั้นก็สมควรออกมาแสดงตัวเพื่อแสดงผลประเมินว่าเขาควรหยุดเหยียดหญิงและคนพิการ อยากให้เปลี่ยนพฤติกรรมใน 4 ปีข้างหน้า

จ) ครั้งนี้เป็นการแสดงพลังให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องคิดให้หนักถ้าอยากผลักดันนโยบายที่จำกัดสิทธิสตรี  เช่น สิทธิด้านการทำแท้ง บรรดาชายที่สนับสนุนทรัมป์และอยากผลักดันนโยบายที่จำกัดสิทธิสตรีก็ต้องคิดให้หนักด้วย อย่าคิดว่าชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรก็ได้

ฉ) ผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยกับ“ขบวนของผู้หญิง”ไม่อยากร่วมด้วยก็เป็นสิทธิของเขา เพื่อนฉันบางคนกลัวแฟนไม่รักก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เลือกตั้งก็ลงคะแนนตามแฟนเพื่อเอาใจแฟน เพื่อนบางคนโดนสอนว่าควรทำตัวว่าง่ายไม่งั้นจะหาสามีไม่ได้ ฯลฯ   ฉันคิดว่าผู้หญิงเติบโตมากับความกลัวสารพัดที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้กลัวเติบโตแล้วจะกลัวต่อไปหรือไม่ก็แล้วแต่จะเลือกกันเอง นอกจากนี้ฉันคิดว่าผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้อยากมีอิสระมีสิทธิมากมาย บางคนอยากมีชีวิตสบายๆให้สามีเลี้ยงแค่นั้นไม่ว่าจะมีการศึกษาแค่ไหน สำหรับผู้หญิงบางคนการเรียนมหาลัยไม่ใช่เพื่อฝึกทักษะสำหรับทำงานในอนาคตแต่เพื่อเข้าสังคมและหาสามี ก็เป็นสิทธิของเขา แต่เขาไม่มีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้หญิงคนอืนเรียกร้องสิทธิ

ช) ฉันทำงานที่สหรัฐฯไม่เคยโดนเหยียดชาติพันธุ์เหมือนคนเอเชียยุคก่อน เคยโดนเหยียดเพศคงเพราะทำอาชีพในสายงานที่ผู้หญิงน้อยและผู้ชาย (ไม่ใช่แค่ชายอเมริกัน) ไม่เคยชินกับการแข่งขันแล้วแพ้ผู้หญิงหรือไม่เคยชินกับการตอบโต้ด้วยเหตุผลกับผู้หญิง ดังนั้นฉันมีประสบการณ์ตรงว่าสิทธิสตรีสำคัญต่อผลตอบแทนจากการทำงานและคุณภาพชีวิตจริง


ยังไงต่อไป?

ประชาธิปไตยคือกระบวนการไม่ใช่ทางลัดสั้นๆ และกระบวนการที่สำคัญอยู่นอกโซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียทำได้เพียงช่วยสื่อสารเท่านั้น 

กระบวนการต่อไปคือการสื่อสารกับวุฒิสมาชิกและผู้แทนในเขตที่ตนอาศัยอยู่ อาทิ สื่อสารด้วยการโทรศัพท์ไปหาวุฒิสมาชิกเพื่อแสดงความคิดเห็นด้วยเหตุผลว่าทำไมไม่อยากให้ใครได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหน  ขอร้องให้เขาทบทวนตอนพิจารณารับรองตำแหน่งในวุฒิสภา สื่อสารด้วยการส่งจดหมายหรือไปรษณียบัตรไปที่สำนักงานวุฒิสมาชิกและผู้แทนเพื่อแสดงความคิดเห็นว่าสิทธิสตรีอย่างไหนสำคัญอย่างไรและให้เหตุผลให้ชัดเจน ฯลฯ  

ในเว็บไซต์ของ“ขบวนของผู้หญิง” (https://www.womensmarch.com/) ก็มีคำแนะนำกระบวนการขั้นต่อไป   และจะอัพเดทกระบวนการเคลื่อนไหวต่อไปในอนาคต  ผู้อ่านที่สนใจการเคลื่อนไหวนี้ก็สามารถติดตามได้ทีเว็บไซต์นี้



หมายเหตุ: ติดตามข้อมูลและทัศนะจาก กานดา นาคน้อย ได้ที่  เพจมายด์ https://www.minds.com/kandainthai

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์ฉุกเฉินของ ‘รถฉุกเฉิน’

$
0
0

งานศึกษาพบอุบัติเหตุที่เกิดกับรถพยาบาลมีหลายปัจจัย ทั้งตัวคนขับ สภาพรถ สภาพแวดล้อม พบพนักงานขับรถฉุกเฉินจำนวนหนึ่งไม่เคยผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์และหลักสูตรขับรถพยาบาล บางรายไม่ได้ขึ้นทะเบียนในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน แนะ สธ. เร่งฝึกอบรม และรณรงค์ให้คนเคารพกฎจราจร

ภาพจาก http://news.mthai.com/general-news/354961.html

หลายคนคงได้รับรู้ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา กรณีคนขับรถกู้ชีพของโรงพยาบาลบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ที่กำลังไปรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีอาการแน่นหน้าอก แต่ประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถกระบะเสียก่อน เหตุการณ์ต่อมาคือทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ จึงต้องไปคุยกันต่อที่สถานีตำรวจ ทำให้รถพยาบาลคันดังกล่าวไม่สามารถไปรับผู้ป่วยได้ทัน จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ต่อมาเพจ ‘ทีมงานโฆษก ตร.’ ได้โพสต์ข้อความในช่วงกลางวันของวันที่ 19 มกราคมว่า

“ทีมงานโฆษก ตร. ขอรายงานเหตุน่าสนใจ กรณีที่มีการลงข่าวว่า "รถฉุกเฉินชนกับรถกระบะ และเจ้าของรถกระบะไม่ให้รถฉุกเฉินไปรับคนป่วย เป็นเหตุให้ คนป่วยเสียชีวิตนั้น" ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 60 รถฉุกเฉินโรงพยาบาลบางบัวทองกำลังจะไปรับผู้ป่วยที่แน่นหน้าอกส่งโรงพยาบาล ขณะเดินทางได้เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทางฝ่ายรถฉุกเฉินโรงพยาบาลบางบัวทองจึงได้โทรประสานไปยังโรงพยาบาลบางใหญ่ ให้ไปรับผู้ป่วยแทน ซึ่งผู้ป่วยนั้นเป็นผู้หญิง อายุ74ปี ป่วยเป็นโรคไต ความดันทดละพึ่งผ่าตัดลำไส้ ซึ่งข้อจริงนั้นรถของทางโรงพยาบาลบางใหญ่ได้ไปรับแล้ว แต่ผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะโรคประจำตัว มิได้เกิดจากการที่รถฉุกเฉินไม่ได้ไปรับผู้ป่วยตามที่ปรากฎในข่าวแต่อย่างใด ในส่วนของรถทั้งสองคันที่ชนกัน ทางพนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบปรับทั้งสองฝ่าย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างประมาท”

แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลดอุณหภูมิความเดือดดาลของผู้คนลงสักเท่าไหร่ เพราะยังเห็นว่าถ้ารถฉุกเฉินสามารถไปรับตัวผู้ป่วยได้ทัน การตายก็คงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น

ในกรณีข้างต้น อุบัติเหตุที่เกิดกับรถฉุกเฉินดูเหมือนจะถูกโยนให้เป็นความผิดของคนขับรถกระบะโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ประชาไทจะชวนไปดูข้อมูลจากวารสารวิจัยระบบสาธารณสุข ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2558 เรื่อง สถานการณ์และสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลในประเทศไทย ที่ระบุว่าเมื่อปี 2557 รถฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุสูงถึง 61 ครั้ง ผู้โดยสารและพนักงานขับรถได้รับบาดเจ็บ 130 ราย และมีผู้เสียชีวิต 19 ราย ซึ่งสูงเกือบเท่ากับจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียชีวิตในรอบ 10 ปีตามรายงานของสำนักพยาบาลที่รายงายเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์ประสบอุบัติเหตุในรถพยาบาล

ถ้าดูตัวเลขข้างต้นโดยอ้างอิงเอากับจำนวนอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตจากท้องถนนต้องถือว่าไม่มากเลย แต่เมื่อนำไปประกบกับจำนวนผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินแล้วล่ะก็ การเสียชีวิตในหลักสิบส่งผลมากกว่าที่คิด เพราะในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในปี 2557 มีผู้ปฏิบัติงานในระบบจำนวน 159,854 คน ในจำนวนนี้เป็นแพทย์เพียงร้อยละ 1 พยาบาลร้อยละ 12 เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินการแพทย์ร้อยละ 1 พนักงานฉุกเฉินการแพทย์ร้อยละ 4 นั่นหมายความว่าการสูญเสียกำลังคนแม้จะเพียงหลักสิบ แต่ก็เป็นการซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนบุคลากร

งานชิ้นนี้ระบุว่าสาเหตุที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุของรถพยาบาลและความไม่ปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่เพียงเพราะผู้ใช้รถใช้ถนนเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ...ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพฤติกรรมการขับขี่และการไม่ใส่ใจกฎจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนนมีส่วน แต่ก็เพียงส่วนหนึ่งของต้นตอ งานศึกษานี้จำแนกสาเหตุออกเป็น 4 ด้านคือ

1.ปัจจัยด้านบุคคล พนักงานขับรถไม่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ ไม่เคยผ่านหลักสูตรขับรถพยาบาล บางคนไม่ได้ขึ้นทะเบียนในระบบการแพทย์ฉุกเฉินด้วยซ้ำ ไม่มีรายงานที่อธิบายรายละเอียดปัญหาสุขภาพ การได้ยิน และการมองเห็น ทั้งยังพบว่าก่อนวันปฏิบัติงานพนักงานขับรถในบางกรณีต้องทำภารกิจอื่นที่เสี่ยงต่อความอ่อนล้าของร่างกาย การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หรือการขับรถเร็วเกินกว่าที่กำหนด

2.ปัจจัยด้านยานพาหนะ เครื่องมือและอุปกรรณ์ภายในรถพยาบาล รถบางครั้งทั้งตัวรถและอุปกรณ์ไม่มีการตรวจสภาพและขึ้นทะเบียนในระบบ การติดตั้งสัญญาณไฟวับวาบและเสียงไซเรนไม่รู้ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ ไม่มีการติดตั้งจีพีเอส ทั้งยังพบว่ารถตู้ที่ดัดแปลงเป็นรถฉุกเฉินมีอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน 

3.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น การไม่มีป้ายสัญลักษณ์ที่ชัดเจน การไม่มีระยะหน่วงในการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจร หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ เป็นต้น

4.ปัจจัยด้านสังคม กฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม เช่น การเกิดอุบัติเหตุในแหล่งชุมชนที่มีการสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ถนนที่ใช้ขนถ่ายผลผลิตทางการเกษตรและมีเศษผลผลิตการเกษตรตกหล่นบนถนน

งานดังกล่าวเสนอแนะว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขและสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ( สพฉ.) ควรกำหนดคุณสมบัติพนักงานขับรถพยาบาลและฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานขับรถพยาบาลทั้งของภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น ขณะที่รถพยาบาลจะต้องทำการปรับปรุงมาตรฐาน เช่น การติดตั้งจีพีเอส การจำกัดความเร็ว การเพิ่มฆ้อนทุบกระจกและที่ตัดเข็มขัดนิรภัย ทำการเพิ่มสัญลักษณ์หรือสัญญาณจราจรในจุดเสี่ยงต่างๆ และยังรวมถึงการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการนำส่งผู้ป่วย เพื่อให้หลีกทางแก่รถพยาบาลและเพิ่มมาตรการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎจราจร

ปัจจุบัน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 76 ระบุว่า ผู้ใช้ถนนร่วมกับรถฉุกเฉินว่า คนขับรถ หรือจูงสัตว์ หากเห็นแสงไฟวาบ หรือไซเรน ให้หยุดหรือจอดชิดซ้ายทันที เพื่อให้รถฉุกเฉินผ่านไปเสียก่อน หรือหากผู้ขับรถกำลังขับรถตามสัญญาณไฟเขียว แต่พบเห็นรถฉุกเฉินฝ่าไฟแดงมา ผู้ขับรถจะต้องหยุดเพื่อรอให้รถฉุกเฉินไปก่อน หากไม่ปฏิบัติตามหรือหลบหลีก หรือจอดให้รถฉุกเฉินไปก่อนจะมีโทษปรับ 500 บาท

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สืบพยานนักกิจกรรมฝ่าหลุนกง คดีหลบหนีเข้าเมือง 25 ม.ค.นี้ นักสิทธิชี้ได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว

$
0
0

ศาลชุมพรนัดสืบพยาน นักกิจกรรมฝ่าหลุนกงคดีหลบหนีเข้าเมือง 25 ม.ค.นี้ เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ระบุได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจาก UNHCR ว่าเป็นผู้ลี้ภัยและมีเหตุสมควรได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ 

24 ม.ค.2560 เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ (CRSP) แจ้งว่า วันที่ 25 ม.ค.นี้ ศาลจังหวัดชุมพรนัดสืบพยานอัยการโจทก์ กับ ซ่ง จือ ยวี่ (Mr. Song Zhiyu) จำเลย วิศวกรออกแบบเครื่องกลและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฐานหลบหนีเข้าเมืองและอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 แม้ว่า ซ่ง จะได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจาก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) ประเทศไทย ว่าเป็นผู้ลี้ภัยและมีเหตุสมควรได้รับการคุ้มครอง ระหว่างประเทศ ก็ตาม

เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ระบุด้วยว่า เหตุการณ์นี้ สืบเนื่องจาก ซ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือและผู้ปฏิบัติตามความเชื่อฝ่าหลุนกง (Falun Gong) อีกทั้งเป็น ผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนผ่านเว็บไซต์โดยเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการประหัตประหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ถูกรัฐบาลจีนประหัตประหาร กักขัง ทรมาน จำคุกและบังคับใช้แรงงานในค่ายแรงงาน หลาย ครั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2551 – 2557 จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2557 ซ่ง ได้ตัดสินในเดินทางหนีออกจาก ประเทศจีนเพื่อไปลี้ภัยในประเทศที่สามโดยผ่านประเทศไทย จนกระทั่งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 ซ่งและผู้ลี้ภัย ชาวจีนคนอื่นๆ ซึ่งนั่งเรือจากพัทยา เกิดประสบภัยเหตุเรืออับปาง ในบริเวณอ่าว อ.ปะทิว จ.ชุมพร ระหว่างทางลี้ภัย อันมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศนิวซีแลนด์ จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมตัวและถูกดำเนินคดีที่ ศาลจังหวัดชุมพรฐานหลบหนีเข้าเมืองและลักลอบอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งข่าวนี้ได้ตกเป็นที่สนใจของสื่อทั้ง ต่างประเทศและในประเทศกลางปีที่ผ่านมา 

ซ่ง จือ ยวี่ ให้ข้อเท็จจริงกับ กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม ทนายความและสมาชิกเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัย และคนไร้รัฐ (Coalition for the Rights of Refugees and Stateless Persons--CRSP) ว่าก่อนหน้าที่จะเดิน ทางเข้ามาในประเทศไทย ซ่งถูกรัฐบาลจีนจับกุม กักตัว ขังและบังคับใช้แรงงานในค่ายแรงงานหลายครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึงปี พ.ศ. 2557 เนื่องจากนายซ่งนับถือลัทธิฝ่าหลุนกงซึ่งรัฐบาลจีนเห็นว่าเป็นอันตรายต่อรัฐบาลระบอบ คอมมิวนิสต์ นอกจากนี้นายซ่งเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีนผ่านทางเว็บไซต์ และปฏิเสธ ไม่ยอมถูกบังคับให้เลิกถือศาสนา จนกระทั่งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 ซ่งตัดสินใจหนีออกจากประเทศจีนเพื่อลี้ ภัยไปประเทศที่สามโดยผ่านประเทศไทย 

“การกระทำต่อ ซ่ง จือ ยวี่ ที่ถูกลิดรอนเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็น บังคับให้เลิกถือศาสนา บังคับใช้แรงงาน ปฏิบัติต่อ ซ่ง โดยการทรมาน ถือเป็นการประหัตประหารและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามกฎหมายระหว่างประเทศ และซ่งนอกจากจะเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (human rights defender) และเหยื่อ ของการถูกทรมานอีกด้วย การที่เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินคดีกับ ซ่ง โดยที่ไม่คำนึงถึงสาเหตุของการทเี่ขาหนีภัยมา อาจ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณี” กรวิไล กล่าว  

“เมื่อผู้ลี้ภัยถูกดำเนินคดีหรือได้รับโทษเสร็จสิ้นแล้ว จะถูกส่งตัวไปยังสถานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อรอการ ผลักดันกลับหรือการอนุญาตจากประเทศที่สามให้สามารถลี้ภัยไปได้ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายปี และในช่วงที่ผู้ลี้ภัยอยู่ ในสถานตรวจคนเข้าเมืองนี้ จะเป็นช่วงที่ถูกแสวงหาประโยชน์จากนายหน้าและขบวนการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน หรือขบวนการอาชญากรรมได้ง่าย เพราะผู้ลี้ภัยซึ่งรู้สึกเหมือนตนเองไร้หนทางและสูญเสียอิศรภาพอย่างถาวรจะดิ้นรนเพื่อเดินทางต่อไปในประเทศที่เคารพสิทธิและเสรีภาพของเขา การดำเนินคดีกับผู้ลี้ภัยจึงไม่ได้เป็นการหยุดยั้ง ขบวนการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานหรือการฝ่าฝืนกฎหมายคนเข้าเมือง” กรวิไล กล่าว 
 
เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ระบุอีกว่า นอกจาก ซ่งแล้ว ยังมีผู้ลีภัยการเมืองจากประเทศจีน และประเทศอื่นๆ อีกมากที่ภายหลังจากการถูก ดำเนินคดีจะถูกกักตัวอยู่ในสถานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู โดยไม่มีกำหนด เนื่องจากไม่สามารถเดินทางกลับไปยัง ประเทศต้นทางที่มีอันตรายต่อชีวิตตนได้ หนึ่งในนั้นคือ กู่ เฉียว (Gu Qiao) และบุตรอายุประมาณ 1 ปีเศษ ซึ่ง เป็นผู้ลี้ภัยฝ่าหลุนกงที่ลงเรือลำเดียวกันกับ ซ่ง ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2557 
 
แม้ว่าประเทศไทยจะมิได้เป็นภาคีในอนุสัญญาและพิธีสารว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยเป็นภาคีใน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ซึ่งมี หลักการห้ามผลักดัน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ลี้ภัยชาวจีนจ านวนมากถูกรัฐบาลไทยบังคับส่งกลับไปยังประเทศ จีน เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ (Coalition for the Rights of Refugees and Stateless Persons--CRSP) จึง ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณาข้อเสนอแนวทางซึ่งเป็นทางเลือกแทนการกักขัง (alternative to detention) และการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้มีหน่วยงานคัดแยกผู้ลี้ภัยและอนุญาตผ่อนผันให้ผู้ลี้ ภัยในเมือง (urban refugees) อยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราวระหว่างรอการไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม อันเป็นการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืน 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศักราชใหม่ สหรัฐถอนตัว TPP - รมว.พาณิชย์ยันไม่กระทบไทย เตรียมมุ่งกรอบ RCEP-TIFA

$
0
0

TPP ข้อตกลงใหญ่ที่ภาคประชาชนไทยกังวลปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองการลงทุนที่จะกระทบนโยบายสาธารณะมาถึงคราวหยุดชะงักเมื่อสหรัฐถอนตัว แต่ทางการไทยก็เตรียมเจรจากรอบความตกลงอื่นที่สาธารณชนยังต้องจับตามอง

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีใหม่หมาดที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อ 3 วันก่อน ก็เริ่มต้นดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ด้วยการลงนามในคำสั่งพิเศษ ถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP)

ข้อตกลงนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในสมัยของบารัค โอบามา แต่ยังไม่ผ่านสภาคองเกรส เป็นกรอบความร่วมมือที่ใหญ่ที่สุดเริ่มต้นเมื่อปี 2548 และมีกำหนดจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันให้ได้ภายในปี 2561 ประเทศที่อยู่ในข้อตกลง ทีพีพี ประกอบด้วย 12 ประเทศ คือ สหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เม็กซิโก มาเลเซีย บรูไน เวียดนาม สิงคโปร์ ชิลี และเปรู

กลุ่มประเทศภาคีทีพีพี 12 ประเทศ มีประชากรรวมกันราว 800 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 40 ของการค้าทั่วโลก ภายใต้ข้อตกลงนี้ กลุ่มประเทศภาคีจะตัดทิ้งภาษีสินค้าหลายรายการรวมร้อยละ 98 รวมทั้งชิ้นส่วนรถยนต์ ผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและพลังงาน ฯลฯ นอกเหนือจากการตั้งการค้า การลงทุนและระเบียบธุรกิจให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ขณะที่ภาคประชาสังคมไทยนั้นออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการเจรจา TPPอย่างแข็งขัน นอกจากประเด็นความโปร่งใสที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากแล้ว ยังมีประเด็นใหญ่ของผลประโยชน์ที่ว่าภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์แต่นโยบายสาธารณะหลายอย่างจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ข้อกังวลหลักได้แก่ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการผลิตยาเองและการต่อรองราคายากับต่างประเทศ ประเด็นการคุ้มครองการลงทุนของต่างชาติที่อาจกระทบต่อสาธารณะ

การถอนตัวของยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้เกิดความไม่แน่ใจในการบรรลุข้อตกลนี้ ลี เซียง ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ระบุว่าทีพีพีนั้นสำเร็จได้ยกและสิงคโปร์เตรียมผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆ ขณะที่ญี่ปุ่นกับออสเตรเลียนั้นยังคงยืนยันจะเดินหน้าต่อ และยังกระชับความสัมพันธ์ด้านกลาโหมต่อกันโดยลงนามในข้อตกลงจัดหาและเอื้อเฟื้อภาระในแก่การปฏิบัติงานองกำลังทหาร ซึ่งเป็นความร่วมมือในการซ้อมรบและภารกิจรักษาสันติภาพ เป็นการผนึกกำลังปกป้องผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และการค้าในเอเชียแปซิฟิกยากมที่จีนรุกกร้าวมากขึ้นในทะเลจีนใต้

ขณะเดียวกันเว็บไซต์ทำเนียบขาวได้ปรับปรุงเนื้อหาเกี่ยวกับนาฟตาทันทีที่นายทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่งเพื่อตอกย้ำสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ว่าจะรื้อการเจรจานาฟตาที่สหรัฐทำไว้กับแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งระหว่างการหาเสียงนายทรัมป์ตำหนิข้อตกลงนาฟตาว่าเป็นข้อตกลงการค้าเลวร้ายที่สุดเท่าที่สหรัฐเคยลงนามมา ทั้งนี้ ระเบียบนาฟตาเปิดทางให้สมาชิกสามารถถอนตัวได้ด้วยการแจ้งประเทศอื่นในกลุ่ม โดยมีเวลาในการเจรจา 180 วัน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในเวลานั้น ข้อตกลงนาฟตาก็จะถูกยกเลิก ด้านแคนาดาและเม็กซิโกประกาศหลังจากนายทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า พร้อมเจรจากับรัฐบาลใหม่สหรัฐเพื่อทบทวนเงื่อนไขในนาฟตา โดยแคนาดาหวังว่าจะคงนาฟตาไว้แม้สหรัฐถอนตัว

สำหรับท่าทีของไทย อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ไทยไม่ได้รับผลกระทบจากการฉีกทีพีพีของทรัมป์ เพราะยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิก สิ่งที่จะดำเนินการต่อจากนี้คือ ผลักดัน "อาร์เซ็ป" (The Regional comprehensive economic partnership-RCEP)  หรือความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค ระหว่างอาเซียนและอีก 6 ประเทศ รวมเป็น 16 ประเทศ เริ่มต้นกันมาตั้งแต่ปี 2555 เป็นกรอบการเจรจาที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากไม่มีทีพีพี นอกจากนี้ไทยยังจะสัมพันธ์กับสหรัฐโดยมุ่งไปในกรอบข้อตกลงการค้าและการลงทุนสหรัฐอเมริกา (Trade and Investment Framework Agreement-TIFA) ซึ่งปีนี้ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมด้วย

เรียบเรียงจาก 
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/737276
http://www.posttoday.com/biz/gov/477295
http://prachatai.com/journal/2012/12/44006

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“ความเกลียดชังมีอยู่จริง” อาชญากรรมว่าด้วยความเกลียดชังทางเพศ

$
0
0





จากคำกล่าวที่ว่า “ความเกลียดชังมีอยู่จริง” ของสมาชิกสมาคมฟ้าสีรุ้ง หนึ่งในผู้เข้าร่วมเสวนา ในงานเสวนาเวทีสาธารณะ “อุ้ม ซ้อมทรมาน ฆาตกรรม: อาชญากรรมแห่งความเกลียดชังต่อ ทอม และความหลากหลายทางเพศ” ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2559 เวลา 14.00-16.00 น. ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ เป็นถ้อยคำที่สามารถยืนยันให้เห็นถึงปรากฏการณ์ความรุนแรงอันมีสาเหตุมาจากความเกลียดชังที่กระทำต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้เป็นอย่างดี โดยความเกลียดชังที่ว่านี้ อาจไม่มีเหตุผลอื่นใดที่มากไปกว่าการที่บุคคลผู้ถูกเกลียดชัง มีพฤติกรรมหรือการกระทำบางอย่าง ที่ถูกมองเห็นว่า มีผิดแผกและแตกต่างไปจากบรรทัดฐานทางสังคม โดยเฉพาะยิ่ง บรรทัดฐานในเรื่องเพศแบบหญิงชาย ที่อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมว่าด้วยความเกลียดชังทางเพศ

อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (hate crime) เป็นอาชญากรรมที่ถูกกระตุ้นจากอคติ เกิดขึ้นจากการที่ผู้กระทำผิด ได้ก่ออาชญากรรมอย่างจงใจ ต่อบุคคลที่เขาเห็นว่าสมควรได้รับ หรือเห็นว่ามีพฤติกรรมอันไม่ถูกต้อง เหมาะสม ผ่านการกระทำความรุนแรงทางกาย เช่น การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต รวมไปถึงการข่มขู่ คุกคามให้เกิดความหวาดกลัว ที่มีต่อกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ถูกมองเห็นว่า มีความแตกต่างจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนผู้มีรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ที่ไม่สอดคล้องกับเพศทางชีววิทยาหรือเพศกำเนิด อันได้แก่ เลสเบี้ยน, เกย์, และคนรักสองเพศ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุด รองจาก กลุ่มผู้มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติและศาสนา (Michelle A. Marzullo and Alyn J. Libman, 2009, p.5)

จากรายงานของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา หรือเอฟบีไอ (Federal Bureau of Investigation : FBI) ในปี ค.ศ. 2007 พบว่า เลสเบี้ยน เกย์, และคนรักสองเพศ จำนวน 1,265 ราย ถูกกระทำความรุนแรงอันเนื่องมาจากความเกลียดชัง เหตุเพราะ มีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือบรรทัดของรักต่างเพศ ซึ่งผู้ได้รับความรุนแรงเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจาก ปี ค.ศ. 2006 ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ 27 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมดของบุคคลที่ถูกกระทำความรุนแรงคือ เลสเบี้ยน (Michelle A. Marzullo and Alyn J. Libman, 2009, p. 2)

เช่นเดียวกับ รายงานขององค์การต่อต้านความรุนแรงแห่งชาติ (National Coalition of Anti-Violence Programs : NCAVP) ที่ทำการสำรวจปรากฏการณ์ความรุนแรงแห่งความเกลียดชังจากการต่อต้านคนข้ามเพศ อันได้แก่ เลสเบี้ยน, เกย์, คนรักสองเพศ, คนข้ามเพศ, และเควียร์ ในปี ค.ศ. 2013 พบว่า ผู้หญิงข้ามเพศ จำนวน 72 เปอร์เซ็นต์ มักจะถูกฆาตกรรม จากกลุ่มคนที่เห็นว่าพวกเธอเป็นพวกผิดปกติทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงข้ามเพศผิวสี และเลสเบี้ยนผิวสี

บทความเรื่อง “Corrective Rape” of Lesbian in the Era of Transformative Constitutionalism in South Africa ที่เขียนโดย R Koraan และ A Geduld (2015) ได้ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบของอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง ที่กระทำต่อผู้หญิงรักเพศเดียวกัน หรือที่เรียกว่า เลสเบี้ยนในสังคมแอฟริกาใต้ ผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า corrective rape หรือการข่มขืนเพื่อความถูกต้อง ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไข ปรับเปลี่ยน เพื่อให้ผู้หญิงรักเพศเดียวกันหันกลับมามีรสนิยมรักต่างเพศแบบชายคู่หญิงตามปกติ โดยผู้ที่กระทำความรุนแรงดังกล่าวเกิดจากกลุ่มคนที่เกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งจากการศึกษาของ R Koraan และ A Geduld ในบทความนี้ พบว่า การข่มขืนเพื่อความถูกต้อง หรือ corrective rape เป็นคำที่ใช้อ้างอิงถึงการข่มขืนผู้หญิง เพื่อ “แก้ไขปัญหา” การเป็นเลสเบี้ยน ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา โดยมีเลสเบี้ยนที่ถูกฆาตกรรมเป็นจำนวน 31 ราย ทั้งนี้ เลสเบี้ยนจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด จะถูกข่มขืนเพื่อแก้ไขและปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นผู้หญิง ซึ่งปรากฏการณ์การข่มขืนเพื่อความถูกต้องนี้ แพร่กระจายอยู่ในสื่อทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อของประเทศแอฟริกาใต้ที่การเป็นคนรักเพศเดียวกันไม่ได้รับการยอมรับ

สอดคล้องกับ งานศึกษาของ Ines Gontek ในบทความเรื่อง “Sexual Violence Against Lesbian Women in South Africa” ที่พบว่า ภายใต้บริบทการต่อต้านคนรักเพศเดียวกันในแอฟริกาใต้ จะเต็มไปด้วยโครงสร้างชายเป็นใหญ่และบรรทัดฐานรักต่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เลสเบี้ยนต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก และแม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองคนรักเพศเดียวกันในแอฟริกาใต้ แต่ทว่า สังคมที่ประกอบไปด้วยบรรทัดฐานของรักต่างเพศก็ยังคงทำให้คนรักเพศเดียวกันได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ งานศึกษาของ Breen และ Nel ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า เลสเบี้ยนแอฟริกันที่อาศัยอยู่ในเมืองจะเสี่ยงต่อการถูกข่มขืนและฆาตกรรม เนื่องจากพวกเขาได้ท้าทายบรรทัดฐานเรื่องเพศสถานะในสังคม ดังนั้น การข่มขืนเพื่อความถูกต้องนี้ จึงเป็นความโหดร้ายอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น ข่าวความรุนแรงที่ปรากฏในสื่อ ซึ่ง Noxolo Nogwaza เลสเบี้ยน อายุ 24 ปี ได้ถูกฆาตกรรมนอกเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2011 โดยเธอถูกข่มขืนและถูกแทงด้วยเศษแก้ว ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังถูกทุบหัวและหน้า ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2011 ร่างของ Nokuthula Rdebe ถูกพบอยู่ที่ตึกร้างแห่งหนึ่งในเมือง Thokoza ทางตะวันออกของโจฮันเนสเบิร์ก โดยที่ใบหน้าของเธอถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกและถูกดึงกางเกงลง และเช่นเดียวกัน ฆาตกรยังคงไม่ถูกจับกุม

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการชี้ให้เห็นถึงอัตราความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการต่อต้านคนข้ามเพศ ซึ่งบ่อยครั้งอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังหรือความรุนแรงอันเนื่องมาจากความเกลียดชัง จากการมีเพศสถานะและเพศวิถีที่แตกต่างนี้ได้นำไปสู่การสูญเสียชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีเพศสรีระเป็นหญิง แต่สวมบทบาทเป็นชาย และมีเพศวิถีแบบหญิงรักหญิง หรือที่คนในสังคมไทยเรียกว่า “ทอม” (tom)

เมื่อมองย้อนกลับมาในสังคมไทย ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (hate crime) หรือการใช้ความรุนแรงจากความเกลียดชัง (hate violence) อันเนื่องมาจากการต่อต้านกลุ่มคนผู้มีรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างกับเพศทางชีววิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่ถูกเรียกว่า ทอม ก็ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด

จากงานศึกษาของ กฤตยา อาชวนิจกุล เลขาธิการสมาคมเพศวิถีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทำการสำรวจ การปรากฏตัวของอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง พบว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2549 - เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2559 มีข่าวความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทอมจำนวน 11 ราย โดยรูปแบบการก่อคดีประกอบไปด้วย การข่มขืนและรัดคอจนเสียชีวิต การเผาทั้งเป็น การใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะและฟันด้วยมีด (กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล, 2016) ยกตัวอย่างเช่น ข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2554 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “รวบ 4 มือโหดรุมฆ่าทอมเหตุหวงลูกสาว” ที่แม่ของดี้ได้วางแผนฆาตกรรมทอมร่วมกับชายคนหนึ่งที่ต้องการให้ลูกสาวของเธอมีความสัมพันธ์ด้วย โดยที่ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นจากเหตุแห่งความเกลียดชังอันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ทอมเป็นบุคคลที่ผิดปกติทางเพศ ไม่สมควรแก่การคบหา, และ ข่าว ใน ปี พ.ศ. 2559 ในหัวข้อ “หนุ่มคลั่ง! หึงอดีตแฟนหนีไปคบสาวหล่อ เลยตามมาแทงทอมคู่ขาจนสิ้นใจ” ที่ชายคนหนึ่งมีปากเสียงอย่างรุนแรงกับอดีตแฟนสาว ขณะเดียวกันทอมคนรักปัจจุบันของเธอเข้ามาห้ามปราม จนเป็นให้ชายคนดังกล่าวบันดาลโทสะแทงทอมเสียชีวิต รวมไปถึง ข่าวการใช้ความรุนแรงอันเนื่องมาจากความเกลียดชัง (hate violence) ที่เกิดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2558 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “แจ้งจับสารวัตรทำร้ายทอม ทั้งเตะ-ปืนตบหัวแตก-กักขัง ฉุนคบแฟนสาว” ที่สารวัตรนายหนึ่งเกิดความไม่พอใจที่ทอมคนดังกล่าว ไปคบหากับอดีตแฟนของตน จึงได้พาชายจำนวน 5 คน เข้าไปรุมทำร้ายร่างกายทอม จนกระทั่งได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า และศีรษะเป็นบาดแผลหลายแห่ง โดยที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากความคิดที่ว่า ทอมได้ไปท้าทายความเป็นลูกผู้ชายด้วยการแย่งคนรักไปจากตน ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีขึ้นเพื่อปกป้องแห่งสถานะความเป็นชายของตนเอง ไม่ต่างจากคำกล่าวที่มักได้ยินอยู่อย่างทั่วไปในสังคมไทยว่า “ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้”

แต่ทั้งนี้ เราไม่อาจพิจารณาหรือเหมารวมได้ว่า ข่าวฆาตกรรมไปจนกระทั่งการทำร้ายร่างกายต่อทอมทุกข่าวที่กระทำโดยบุคคลที่มีเพศสถานะเป็นชายนั้น เป็นอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (hate crime) หากแต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป เพราะแต่ละข่าวต่างยังคงมีปัจจัยและเงื่อนไขอันจะนำพาไปสู่เหตุการณ์ที่แตกต่างกันอยู่เสมอ แต่อย่างน้อยที่สุด ตัวอย่างปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งในสังคมไทยและต่างประเทศ จะสามารถอธิบายให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพว่า “ความเกลียดชังมีอยู่จริง” ดังคำกล่าวของผู้เข้าร่วมเสวนาท่านนั้น ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น




เกี่ยวกับผู้เขียน: อาทิตยา อาษา กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นปริญญาโท สตรี เพศสถานะ และเพศวิถีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.-สนช.เคาะซื้อเรือดำน้ำจีน 1 ลำ 1.35 หมื่นล้าน โฆษก ทร.แจง มีอาวุธชิ้นไหนไม่ได้บ้าง

$
0
0
24 ม.ค. 2560 พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากจีน ผ่านความเห็นชอบแล้วจากรัฐบาล-สนช. เตรียมจัดซื้อลำแรกปี 2560 ในงบประมาณ 13,500 ล้านบาท มีราคาแพงกว่าซื้อเหมา 3 ลำ ราคาเหมาจ่าย 36,000 ล้านบาท เป็นการซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะทางกองทัพเรือได้งบประมาณมาเท่านี้ จะใช้อย่างไรให้ดีที่สุดตามกรอบงบ ตามแนวทางแปลงยุทธศาสตร์เป็นกำลังรบ
 
โดยเป็นราคาแพคเกจ รวมระบบ อาวุธ การฝึกศึกษา อบรม ส่งบุคลากรจากจีนมาไทย และการซ่อมบำรุง ใช้เวลาต่อเรือ 6 ปี ไม่ใช่สั่งแล้วได้เลย และต้องดูด้วยว่า 6 ปีเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
 
ซึ่งทางเทคนิคของคนปฏิบัติการเรือดำน้ำ การจะสอนคนให้อยู่กับเรือดำน้ำได้ ใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
 
โฆษกกองทัพเรือ ยอมรับว่าเรือดำน้ำมีเทคโนโลยีที่ยากแก่การเข้าใจของสังคม เพราะมีเทคโนโลยีสูง ทางกองทัพเรือให้ประชาชนเรียนรู้โดยธรรมชาติ หลังคณะทำงานของ ทร.ได้ศึกษามายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว
 
สำหรับกระเเสวิพากษ์วิจารณ์ซื้อมาแล้วจะจอดแช่น้ำ ไม่ได้ใช้งานนั้น โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า "มีอาวุธชิ้นไหนของกองทัพเรือ ใช้ไม่ได้บ้าง"
 
ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ คณะทำงานที่มีเสนาธิการกองทัพเรือเป็นหัวหน้าทีม ทำหน้าที่ศึกษาแนวทางการดำเนินการหลังจากนี้รวมถึงมาตรฐานเทคโนโลยีและระบบที่จะติดตั้งในลำเรือ โดยจะต้องมีการพูดกับบริษัทผู้สร้าง
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม: รัฐ ทุน ประชาชน ผลประโยชน์ใคร?

$
0
0


ที่มาภาพ : thansettakij.com

การก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของประเทศไทย ทำให้รัฐบาลทหารที่นำโดยพลเอกประยุทธ์  จันโอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ในจังหวัดต่าง ๆ ตามแนวชายแดน

หนึ่งในจังหวัดที่ถูกวางไว้เป็นพื้นที่รองรับนโยบายดังกล่าว ได้แก่ จังหวัดนครพนม โดยรัฐบาลมีแผนงานดำเนินการที่จะเวนคืนและเคลียร์ที่ดินเพื่อเตรียมรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม  ซึ่งหน่วยงานของรัฐ ได้มีการคัดเลือกพื้นที่รองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม พื้นที่หลัก จำนวน 6 แปลง  และพื้นที่สำรองอีก จำนวน 2 แปลง  ได้แก่

1. ที่สาธารณประโยชน์ "โคกภูกระแตบ้านไผ่ล้อม" ที่ตั้งบริเวณสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) เนื้อที่ 2,938ไร่ 2 งาน 47 ตารางวา

2. ที่ทำเลเลี้ยงสัตว์บ้านนาหัวบ่อ ตั้งอยู่ที่บ้านนาหัวบ่อ หมู่ที่ 7 ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม เนื้อที่ 388 ไร่ 1 งาน 21 ตารางวา อยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม – คำม่วน) ประมาณ 1.5 กิโลเมตร

3. ที่ราชพัสดุ “สนามบินนครพนม” ตั้งอยู่ที่ตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม เนื้อที่ 7,956 ไร่ 3 งาน 4.8 ตารางวา (กรมการบินพลเรือนขอใช้เป็นสนามบินนครพนมจานวน 2,529 ไร่กองทัพอากาศใช้ประโยชน์ 5,427 ไร่ 2 งาน 4.8 ตารางวา) อยู่ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 (สกลนคร – นครพนม) จังหวัดนครพนมจะขอใช้ดำเนินงานตามโครงการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในส่วนที่กองทัพอากาศใช้ประโยชน์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 4,500 ไร่

4. ที่สาธารณประโยชน์ “ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์” ตั้งอยู่ที่บ้านหนองบัว หมู่ 1 ตำบลนาราชควาย อำเภอเมืองนครพนม เนื้อที่ 303 ไร่ 1 งาน 77 ตารางวา อยู่ห่างจากถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 2011 ประมาณ 300 เมตร และอยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม – คำม่วน) ประมาณ 8 กิโลเมตร

5. ที่ราชพัสดุ “หนองญาติ” ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เนื้อที่ทั้งหมด 3,284 ไร่ 1 งาน 11 ตารางวา  เป็นที่ดินมีพื้นว่างสามารถใช้ประโยชน์ได้ ประมาณ 200 ไร่อยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม –คำม่วน) ประมาณ 10 กิโลเมตร

6. ที่สาธารณประโยชน์ “บะมนสาธารณประโยชน์” ตั้งอยู่ที่บ้านม่วง หมู่ที่ 7 ตำบลเวินพระบาทอำเภอท่าอุเทน เนื้อที่ 219 ไร่ 1 งาน 96 ตารางวา อยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม – คำม่วน) ประมาณ 7 กิโลเมตร

พื้นที่สำรอง 1. ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงเซกาแปลงที่ 2 ตั้งอยู่ท้องที่ตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เนื้อที่ 4,521 ไร่ ห่างจากทางหลวงอยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม –คำม่วน) ประมาณ 13.5 กิโลเมตร

พื้นที่สำรอง 2. ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงเซกาแปลงที่ 2 ตั้งอยู่ท้องที่ตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เนื้อที่ 741 ไร่  ห่างจากทางหลวงอยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม –คำม่วน) ประมาณ 14.5 กิโลเมตร

สิ่งที่น่าจับตามองสำหรับการดำเนินการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ คือ การใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. และแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ  อาทิเช่น คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 20 มกราคม 2559  ที่ว่าด้วยการยกเว้นกฎหมายผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคารในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งให้ยกเลิกข้อบัญญัติท้องถิ่นต่างๆ ที่เป็นข้อกำจัดในการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย และใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม และพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน หรือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่  4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ลงวันที่ 20 มกราคม 2559  และการแก้ไข พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 โดยขยายเวลาการให้เช่าดินของรัฐจาก 50 ปี เป็น 99 ปี อีกทั้งยังมีการมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี พร้อมทั้งยังมีสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่เรื่องเงินภาษีอากร ที่จะกำหนดเพิ่มเติมภายหลัง ซึ่งคำสั่งหัวหน้า คสช. ต่าง ๆ ดังกล่าว ล้วนแต่เอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ

สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม นอกจะต้องเผชิญกับการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการออกคำสั่ง คสช. และแก้ไขกฎหมายต่างๆ แล้ว ในช่วงที่ผ่านมามีการเร่งรัดจัดเตรียมที่ดินสำหรับรองรับเป็นเขตอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการ แต่ได้กำหนดการทำ EIA ไปพร้อม ๆ กับการดำเนินโครงการ ซึ่งถือเป็นการตัดตอนการดำเนินการที่รอบคอบเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชาวบ้านรอบ ๆ พื้นที่ในอนาคต แต่ในเรื่องผลกระทบของอุตสาหกรรมยังมิเท่ากับสิ่งที่ชาวบ้านต้องเผชิญในขณะนี้ เพราะรัฐบาลได้ใช้มาตรา 44 ในการเพิกถอนที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันให้ตกเป็นที่ราชพัสดุ เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการให้เอกชนเช่าที่ดิน ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับชาวบ้านที่ถูกเพิกถอนสภาพที่ดินเป็นอย่างมาก ทั้งที่ชาวบ้านบางรายอาศัยอยู่มาตั้งสมัยบรรพบุรุษ โดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐอ้างว่าชาวบ้านบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ และได้ไล่ให้ออกจากพื้นที่ ชาวบ้านที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่ก็มีการสนธิกำลังจับกุม ดำเนินคดีความทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดว่าพื้นที่ ๆ ชาวบ้านอาศัยอยู่เป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่

ในส่วนของบริษัททุนไทยและต่างประเทศมีความสนใจที่จะลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมอย่างมาก ซึ่งขณะนี้มีกว่า 75 ราย ที่ให้ความสนใจติดต่อ ยื่นขอข้อมูล และแสดงความจำนง ที่สำนักงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดนครพนม เพื่อเช่าที่ดินของรัฐ ในขณะที่นักลงทุนไทยหลายบริษัทกว้านหาซื้อที่ดินเองจากชาวบ้านที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม  อาทินายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด ที่สนใจลงทุนด้วยตนเองในกิจการประเภทเครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงสินค้าเกษตร ขณะที่กลุ่มซีพี มองหาที่ดินเพื่อทำกิจการสินค้าเกษตร การเกษตรแปรรูป เป็นต้นซึ่งชาวบ้านหลายคนก็ขายที่ดินให้ในราคาถูก โดยไม่ทราบว่าจะมีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ

จากข้อมูลข้างต้นจึงเป็นข้อสังเกตว่าผลประโยชน์จากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เอื้อประโยชน์เป็นพิเศษให้กับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกในเรื่องการจัดหาที่ดินให้เช่า การแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน การลดขั้นตอนการทำ EIA เพื่อง่ายต่อการจัดตั้งอุตสาหกรรม โดยอ้างความเป็นระเบียบในการจัดการของภาครัฐ และกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ การกระทำของภาครัฐนอกจากจะไม่ได้คำนึงถึงความเดือนร้อนของชาวบ้านบางส่วนแล้ว ยังสร้างความทุกข์ยากเพิ่มขึ้นให้กับชาวบ้านหลายครอบครัวที่เป็นผู้ยากจนให้ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือที่ทำมาหากิน กระนั้นยังไม่รวมถึงความเดือนร้อนจากผลกระทบต่าง ๆ หากมีการเกิดขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรมในอนาคตอันใกล้

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

10 องค์กรสื่อนัดระดมพลังต้าน กม.คุมสื่อของ สปท. 29 ม.ค.นี้

$
0
0

10 องค์กรสื่อ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นัดรวมพลังพร้อมกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ 29 ม.ค.ต้านกฎหมายควบคุมสื่อ ที่สปท.กำลังผลักดัน ชี้เนื้อหาหวังควบคุมแทรกแซงสื่อชัด

24 ม.ค. 2560 รายงานข่าวจากสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ในการประชุมสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วันนี้(24 ม.ค.60) ซึ่งมี เทพชัย หย่อง ประธานสมาพันธ์ฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้มีการพิจารณา เรื่องร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ... ตามที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนประเทศด้านการสื่อสารมวลชนฯ ได้ดำเนินการยกร่างขึ้น เพื่อดำเนินการส่งให้คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น

รายงานข่าวระบุว่า ที่ประชุม ซึ่งประกอบด้วยองค์กรสมาชิก 10 สมาคม ได้หารือถึงเนื้อหาสาระในร่างกฏหมายฉบับนี้ โดยเห็นว่ามิได้อยู่บนพื้นฐานหลักการของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แต่กลับเน้นหลักการควบคุมสื่อมวลชน โดยใช้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่โดยอิสระของสื่อมวลชน และไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย ฉบับที่ผ่านการลงประชามติ  ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้สื่อมวลชนกำกับดูแลกันเองโดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงจากภาครัฐ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงมีมติคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ พร้อมทั้งจะร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวคัดค้านและร่วมกันแถลงจุดยืนกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ ที่มีการนัดหมายระดมพลังต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ในวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค. 2560 เวลา 11.00 น. ณ สมาคมนักข่าวฯ(ตรงข้าม ร.พ.วชิระ) ถนนสามเสน พร้อมกันนี้ สมาพันธ์ฯได้ทำหนังสือเชิญชวนสมาชิกนักข่าวและช่างภาพทั่วประเทศทั้ง 10 องค์กรสื่อให้เข้าร่วมแสดงพลังในวันเวลาดังกล่าวโดยพร้อมเพรียง 

ทั้งนี้เนื้อหา ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ...ที่ สปท.กำลังจะผลักดันออกมา จะกำหนดให้มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติขึ้นมากำกับดูแลสื่อมวลชนทั้งหมด โดยมีอำนาจหน้าที่ที่จะขึ้นทะเบียนออกใบอนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนได้ โดยคณะกรรมการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาตินี้จะมีตัวแทนรัฐระดับปลัดกระทรวงถึง 4 กระทรวงร่วมเป็นกรรมการด้วย อันจะเป็นช่องทางให้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อได้
 
สำหรับ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 10 องค์กรวิชาชีพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย  สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปล่อยตัวช่างซ่อมรถกลับบ้านหลังถูกอุ้ม 6 วัน สั่งห้ามปริปาก

$
0
0

ภรรยาเผยชายแต่งชุดคล้ายทหารปล่อยตัว "ช่างกบ" คนเสื้อแดงกลับถึงบ้านย่านสมุทรปราการแล้ว หลังกักตัว 6 วัน มีเงื่อนไขห้ามให้ข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันมีการติดต่อนัดคุยกับเพื่อนช่างกบที่อยู่ในเหตุการณ์อีก แต่เจ้าตัวไม่ไว้ใจจึงไม่ไปพบ ยันจะยอมพบที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานด้วย

24 มกราคม 2560 เวลาประมาณ 19.20 น. ประชาไทได้โทรศัพท์ติดต่อ นางอ้อม สิงห์น้อย ภรรยาของนายบุญมี สิงห์น้อย หรือ ช่างกบที่มีข่าวว่าถูกชายแต่งกายคล้ายทหารอุ้มขึ้นรถไปกักขังไว้โดยไม่ทราบสถานที่ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.2560 นางอ้อมเล่าด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้มารับตนและบุตรสาวที่สถานีขนส่งหมอชิต เนื่องจากตนและบุตรสาวเพิ่งเดินกลับมาจากต่างจังหวัด เพื่อให้ไปรับตัวสามีที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในเวลาประมาณ 09.30 น.และทั้งสามได้เดินทางกลับมาถึงที่พักย่านบางพลี สมุทรปราการ เป็นที่เรียบร้อยเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น.ของวันนี้

เมื่อผู้สื่อข่าวขอพูดคุยกับนายบุญมีสามีของนางอ้อม นางอ้อมปฏิเสธพร้อมทั้งให้เหตุผลว่ากลุ่มคนซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ให้นายบุญมีพูดหรือให้ข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา และได้ขอยุติการสนทนากับผู้สื่อข่าว นอกจากนี้นางอ้อมยืนยันว่านายบุญมีเป็นปกติดี ไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด และไม่ขอให้ความเห็นเพิ่มเติมใดๆ 


นางอ้อม สิงห์น้อย ภรรยา ช่างกบ บุญมี สิงห์น้อย

ก่อนหน้านี้ เวลาประมาณ 15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังนายชัยมนัส โบราณมูล หรือ ช่างอึ่ง เพื่อนของนายบุญมี ซึ่งเป็นพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์การเข้าควบคุมตัวช่างกบในวันที่ 19 ม.ค. นายชัยมนัสเล่าว่า วันนี้มีโทรศัพท์ลึกลับอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโทรมานัดให้ไปเจอที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยย้ำด้วยว่าไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะให้ลูกน้องมารับตัวเพื่อไปพูดคุย  แต่ตนเองได้ปฏิเสธไป พร้อมกับบอกว่าหากต้องการรับตัวไปพูดคุยให้มารับตัวที่ สภ.บางพลี และลงบันทึกประจำวันไว้กับทางตำรวจให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน แต่ก็ยังไม่มีคำตอบกลับมา

"ตอนแรกก็ไม่กลัว แต่เห็นอุ้มเพื่อนผมหายไปตั้งห้าหกวัน จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร" นายชัยมนัสกล่าว 

ทั้งนี้ นายบุญมี สิงห์น้อย หรือ ช่างกบ อายุ 43 ปี มีบุตร 4 คน นายบุญมีมีประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเป็นคนเสื้อแดงสังกัดกลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย สมุทรปราการ  มีพื้นเพเป็นชาวอำเภออุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น มีอาชีพหลักคือเปิดอู่ซ่อมรถและทำอาหารสำเร็จรูปขายในตอนเช้า

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตร ยันไม่นำนโยบาย 66/23 มาใช้ในการสร้างความปรองดอง

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้ต้องพิจารณาให้ดี เพราะในสมัยของพล.อ.เปรม มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันกับปัจจุบัน พล.อ.ประวิตร ยันจะไม่นำนโยบาย 66/23 มาใช้ในการสร้างความปรองดอง ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ แต่จะเป็นการพูดคุย เพื่อสร้างความเข้าใจ

แฟ้มภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

24 ม.ค. 2560 จากรณีวานนี้ (23 ม.ค.60) สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธาน อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา รวบรวมความคิดเห็นวิเคราะห์และสังเคราะห์ ประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และการสร้างความปรองดองทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พร้อมแถลงผลการประชุมนัดแรกว่า ได้กำหนดเป้าหมายการทำงาน ที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างพรรคและกลุ่มการเมืองยุติลง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้  เบื้องต้นอนุกรรมาธิการ จะนำนโยบายและมาตรการ 66/23 และ 66/25 ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นหลักในนโยบายนั้น (อ่านรายละเอียด)

ล่าสุดวันนี้ (24 ม.ค.60) พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  กล่าวถึง ข้อเสนอดังกล่าวว่า จะต้องพิจารณาให้ดี เพราะในสมัยของพล.อ.เปรม มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันกับปัจจุบัน  มีเรื่องการต่อสู้ และลัทธิ เข้ามาเกี่ยวข้อง และมีการใช้อาวุธสงคราม  แต่วันนี้สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ขณะนี้ปัญหาคือ จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปอย่างไร ให้เป็นไปอย่างปกติ ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีวิธีการที่สามารถกระทำได้ และเรื่องใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ก็ให้ดำเนินการไปตามกฏหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า จะไม่นำนโยบาย 66/23 มาใช้ในการสร้างความปรองดอง เพราะไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ หรือละเมิดกฎหมาย แต่จะเป็นการพูดคุย เพื่อสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในอนาคต เว้นแต่ทำไม่ได้จริงๆ ต้องออกกฎหมายมาแก้ไข

“ตอนนี้มีคณะกรรมการดูแล เป็นเรื่องความปรองดองของคนในชาติ แล้ว เราจะเสนอให้คนมีความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ไม่ใช่ออกกฎหมายให้คนทำผิด แล้วไม่ต้องรับผิด จะไม่นำแนวคิดแบบพัฒนาชาติไทยตอนนั้นมาใช้ เราไม่ทำ” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ที่มา สำนักข่าวไทย 1และ 2
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดชีวิตผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในประเทศไทย พบภาวะกลับไม่ได้ไปไม่ถึง หลายชีวิตอดอยาก-เสี่ยงถูกจับกุม

$
0
0

เดอะการ์เดียนนำเสนอสภาพชีวิตผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอดๆ อยากๆ ขณะติดอยู่ในไทยเพื่อรอเดินทางไปยังประเทศอื่น โดยที่หางานทำหรือเรียนหนังสือก็ไม่ได้ แถมยังอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวไม่รู้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ทางการบุกมาจับเมื่อไหร่

24 ม.ค. 2560 หลังเสร็จจากละหมาด นัสซร์ (นามสมมุติ) ชาวซีเรียเชื้อสายปาเลสไตน์อายุ 58 ปี ก็จุดบุหรี่ 1 ใน 60 มวนที่เขาจะสูบต่อวัน ยักไหล่เป็นเชิงขอโทษพร้อมบอกกับผู้สัมภาษณ์ว่า มันเป็นเรื่องเครียดที่ต้องเป็นผู้ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมายในไทย นัสซร์อาศัยอยู่กับเพื่อนชาวอิรัก 2 คน เขาลี้ภัยสงครามจากซีเรียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

เดอะการ์เดียนระบุว่า เดิมทีนัสซร์อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองของกรุงดามัสกัสกับภรรยาและลูกอีก 3 คน โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับพรม ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อสงครามคืบคลานเข้ามา "แทนที่จะได้เห็นคนยิ้มอยู่บนท้องถนนกลับมาศพคนตายอยู่ มันถึงเวลาแล้วที่ต้องหนีออกมา"

มีคนแนะนำนัสซร์ให้มาที่ประเทศไทยแทนการไปเส้นทางในกรีซที่เสี่ยงกว่า เพื่อนเขาบอกว่าเมื่อเขามาถึงประเทศไทยแล้วจะต้องใช้เวลาอีกสองสามสัปดาห์ในการที่สหประชาชาติจะจัดหาที่ตั้งรกรากใหม่ให้เขาได้ เขายอมทำตามคำแนะนำนี้เพราะดูไม่ยุ่งยาก แม้ตัวนัสซร์หรือครอบครัวเขาเองก็ไม่รู้จักประเทศไทยมาก่อน เขาตั้งเป้าหมายว่าจะมาอยู่ไทยขั่วคราวก่อนที่จะเดินทางไปยุโรป แต่กลายเป็นว่าเวลาผ่านมาแล้ว 4 ปี เขาก็ยังไม่ได้ออกจากไทยพร้อมสถานะผู้ลี้ภัย จากระบบการพิจารณาของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่พิจารณาให้คนที่มาก่อนและพิจารณาคนที่มีความเสี่ยงมากกว่าก่อน

นั่นทำให้นัสซร์ต้องอาศัยอยู่ในไทยเกินกำหนดวีซ่าจนกลายเป็นผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายโดยที่ทำอะไรไม่ได้ สถานะนี้ทำให้เขาหางานทำไม่ได้ จำต้องพึ่งพาเงินจากพี่น้องของเขาที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ออกจากซีเรียตั้งแต่ก่อนมีสงคราม เขาต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับการพยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดเด่นเพราะกลัวถูกจับกุม ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยทำให้ไม่มีการรองรับสถานะผู้ลี้ภัยหรือมีการคุ้มครองพวกเขา ในขณะที่ UNHCR ประกาศว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีตัวเลขผู้ลี้ภัยในไทยเพิ่มมากขึ้น 3 เท่า

สภาพของผู้ลี้ภัยที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำงานหรือเรียนหนังสือไม่ได้เช่นนี้ยังเกิดกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ รวมถึงฟิราซ (นามสมมุติ) ซึ่งหลบซ่อนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองด้วยความหวาดระแวงอยู่เสมอ เขาตัวแข็งทื่อทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยเล็ดรอดผ่านเข้ามาในที่พักห้องเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่ ครอบครัวของฟิราซเคยถูกจับกุมเมื่อ 2 ปีก่อน เขาเล่าว่าหลังจากที่ครอบครัวเขาถูกจับอัดอยู่ในห้องขังแคบๆ "เหมือนแกะ" เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะมีการจ่ายเงิน 140,000 บาท จึงจะได้รับการประกันตัว

ฟิราซเล่าว่าพวกเจ้าหน้าที่มักจะปรากฏตัวตอนกลางคืนโดยที่ไม่รู้ว่าจะมาเย้ยหยันพวกเขาหรือมาจับตัวพวกเขาไป ฟิราซเป็นผู้ลี้ภัยสองต่อ ก่อนหน้านี้เขาเคยลี้ภัยจากปาเลสไตน์ แต่ในปี 2555 ภัยสงครามก็ลามไปถึงค่ายผู้ลี้ภัยยามุค ในกรุงดามาสกัส ทำให้ครอบครัวเขาต้องหนีไปเลบานอน พวกเขาอยู่กันอย่างยากลำบากจนกระทั่งสามารถเก็บเงินมาที่ไทยได้

อย่างไรก็ตามฟิราซยังใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากภายใต้เงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อเดือนจากสหประชาชาติ และอีก 600 บาทเพื่อช่วยเหลือลูกๆ ของเขา พวกเขาจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยของบริจาค ฟิราซเล่าว่าเขาจำเป็นต้องเลิกส่งลูกไปเรียนหนังสือฟรีในโรงเรียนผู้ลี้ภัย ราคารถประจำทางทำให้เขาต้องใช้เงิน 70 บาทต่อวัน โดยที่เงินจำนวนนี้เขานำมาทำอาหารได้ ในตู้เย็นของเขามีแต่แครอทเหี่ยวๆ กะหล่ำปลีคล้ำเป็นสีน้ำตาล และปลาซาร์ดีนกระป๋องหมดอายุแล้ว เขาเลี้ยงครอบครัวด้วยของพวกนี้ ฟิราซบอกว่าเขานอนไม่หลับ ต้องคิดอยู่เสมอว่าจะมีชีวิตรอดในวันพรุ่งนี้อย่างไร และจะหาอะไรให้ครอบครัวกิน

ผู้ลี้ภัยอีกรายหนึ่งคือซาห์รา อายุ 15 ปี ดูจะเป็นหนึ่งในจำนวนของผู้ลี้ภัยที่มีอนาคตที่ดีกว่าคนอื่นๆ หลังจากที่บ้านในดามาสกัสถูกทำลายครอบครัวเธอเลือกมาที่ไทยเพราะไม่อยากเสี่ยงตายลอยเรือไปกรีซ แต่เธอก็ต้องอยู่แต่ในแฟลตโดยที่ออกไปเรียนหนังสือที่ไหนไม่ได้เป็นเวลา 2 ปี ใช้เวลาอ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้อง ครอบครัวเธออาศัยความช่วยเหลือจากศูนย์ผู้ลี้ภัยกรุงเทพฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR หลังจากที่พ่อเธอไม่มีงานทำ

แต่ซาห์ราก็โชคดีเมื่อครอบครัวเธอได้รับเอกสารการตั้งรกรากใหญ่ในสหรัฐฯ มีผู้ลี้ภัยเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้ ซาห์รารู้สึกตื่นเต้นกับการได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอบอกว่า "มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ดีกว่าการมีชีวิตอยู่ในสงคราม"

 

เรียบเรียงจาก

'How will we survive?': Syrian refugees trapped in poverty in Thailand, The Guardian, 23-01-2017

https://www.theguardian.com/global-development/2017/jan/23/how-will-we-survive-syrian-refugees-trapped-in-poverty-in-thailand

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้องยกเลิก 'คำสั่ง หน.คสช.ขยายเวลาคืนคลื่นวิทยุอีก 5 ปี' หวั่นกระทบปฏิรูปสื่อ

$
0
0

24 ม.ค. 2560 เครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาชน ออกแถลงการณ์พร้อมยื่นหนังสือถึง สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเรียกร้องต่อรัฐบาลและ กสทช. ให้ทบทวนและยกเลิก ข้อ 7 ของคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 76/2559 ที่ขยายระยะเวลาการคืนคลื่นความถี่วิทยุไปอีก 5 ปี เพราะมาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่ คสช. ประกาศไว้จริง ซ้ำยังทำให้ไม่สามารถพัฒนากิจการการกระจายเสียงและจัดสรรคลื่นความถี่ได้อย่างเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย


รายละเอียดมีดังนี้

แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาชน ต่อกรณีการออกคำสั่งการขยายระยะเวลาการคืนคลื่นความถี่ในกิจการการกระจายเสียง

ในแถลงการณ์ ความว่า จากกระการปฏิรูปสื่อในประเทศไทยหลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี พ.ศ. 2535 และการเกิดขึ้นของมาตรา 40 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จนนำมาสู่การเกิดขึ้นขององค์อิสระในการจัดสรรคลื่นความถี่ คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กสทช. ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาความจำเป็นในการใช้คลื่นความถี่ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ พ.ศ. 2555 และแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555 - 2559) โดยมีมติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ซึ่งใช้คลื่นความถี่ด้านกิจการกระจายเสียงอยู่ไม่น้อยกว่า 500 คลื่นความถี่นั้น คืนคลื่นความถี่วิทยุภายในเดือนเมษายน พ.ศ. 2560 ตามกำหนดระยะเวลาสูงสุดในแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ดังกล่าว

กระทั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งที่ 76/2559 (ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2559) เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ข้อ 7 ให้ กสทช. หรือสำนักงาน กสทช. ดำเนินการเรียกคืนคลื่นความถี่ เพื่อนำไปจัดสรรใหม่หรือปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ตามแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ (พ.ศ. 2555) เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้าปี นับแต่วันครบกำหนดแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ดังกล่าว ทั้งนี้  ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่ประกอบกิจการกระจายเสียงตามพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และได้รับความเห็นชอบให้ถือครองคลื่นความถี่ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ยังคงมีสิทธิในการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง และการถือครองคลื่นความถี่ดังกล่าวได้ตามขอบเขตและสิทธิเดิม ยังผลให้หน่วยงานรัฐ สามารถถือครองคลื่นวิทยุได้ โดยที่ไม่ต้องคืนคลื่นมาเพื่อจัดสรรใหม่ และนอกจาก กสทช. ไม่สามารถเรียกคืนคลื่นถี่มาจัดสรรใหม่ได้ตามแผนแม่บทที่วางไว้ ทางกองทัพเองยังเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากกองทัพเองเป็นหน่วยงานที่ถือครองคลื่นความถี่อยู่จำนวนไม่น้อยด้วย

ในการเสวนาสาธารณะ หัวข้อ “19 ปี ปฏิ-Loop สื่อวิทยุ-โทรทัศน์ไทย...ไปต่ออย่างไร” ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันอังคารที่ 27 เดือนธันวาคม พ.ศ.2559 โดยภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการสื่อสันติภาพ สถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ และศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ โดยมีผู้เข้าร่วมการเสวนาฯ ประกอบด้วยนักวิชาการ สื่อมวลชน สื่อชุมชน สื่อท้องถิ่น นักศึกษา และผู้สนใจ ล้วนมีความห่วงใยต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะวาระการปฏิรูปสื่อ ภายใต้การใช้อำนาจผ่านคำสั่ง คสช. ในลักษณะนี้ ผู้เข้าร่วมการเสวนาจึงมีฉันทามติร่วมกันว่า คำสั่ง คสช. ที่ 76/2559 ส่งผลให้การปฏิรูปสื่อในประเทศไทย “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” และมีข้อเรียกร้องต่อ กสทช. ดังนี้

1. ให้เปิดเผยข้อมูลผลการสำรวจและพิเคราะห์เหตุแห่งความจำเป็นในการถือครองคลื่นความถี่ทั้งหมด ของคณะอนุกรรมการพิจารณาความจำเป็นการใช้คลื่นความถี่ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ต่อสาธารณะ

2. ให้ กสทช. ชุดนี้ เร่งจัดทำ “แผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่” โดยเฉพาะคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียง ให้ครอบคลุมสำหรับผู้ประกอบการทุกประเภทกิจการ ให้แล้วเสร็จก่อนหมดวาระในเดือนตุลาคม 2560 โดยนำ “แนวทางการแบ่งสัดส่วนการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียง” จากการดำเนินงานของ คณะทำงานพิจารณาแบ่งสัดส่วนการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ภายใต้คณะอนุกรรมการพิจารณาความจำเป็นการใช้คลื่นความถี่ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์มาร่วมเป็นสาระส่วนหนึ่งด้วย

3. เมื่อหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ได้โอกาสในการถือครองคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงตามขอบเขตและสิทธิเดิมตามคำสั่ง คสช. ที่ 76/2559 ขอให้หน่วยงานดังกล่าว แจ้งผลการประกอบกิจการ ตลอดจนผลประโยชน์ที่ได้รับต่อสาธารณะทุกปีตลอด 5 ปี

4. ขณะที่ผู้ถือใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการกระจายเสียงจำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นประจำทุกปี ขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งดำเนินการตามขอบเขตและสิทธิเดิม จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับรัฐตามความเหมาะสม เพื่อมิให้รัฐเสียประโยชน์จากการใช้คลื่นความถีวิทยุกระจายเสียง

ทางเครือข่ายภาคประชาชนที่ติดตามการปฏิรูปสื่อจึงมีข้อเสนอต่อ รัฐบาล และ กสทช. ดังนี้

1. ให้ทบทวนและยกเลิก ข้อ 7 ของคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 76/2559 ที่ขยายระยะเวลาการคืนคลื่นความถี่วิทยุไปอีก 5 ปี เพราะมาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่ คสช. ประกาศไว้จริง ซ้ำยังทำให้ไม่สามารถพัฒนากิจการการกระจายเสียงและจัดสรรคลื่นความถี่ได้อย่างเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

24 มกราคม 2560

สหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ
มูลนิธิสื่อประชาธรรม
สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพวิทยุท้องถิ่นไทย
สมาคมสื่อชุมชนจังหวัดพะเยา
พะเยาทีวี
ทีวีชุมชนอันดามันมั่นคง
เครือข่ายวิทยุชุมชนภาคอีสาน
เครือข่ายสื่อภาคประชาชนภาคเหนือ


 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับนักพัฒนาอิสระอีกคนหนึ่งที่ “ไผ่ ดาวดิน” เรียกเขาว่า “พ่อ”

$
0
0

สัมภาษณ์ โกวิทย์ บุญเจือ อดีตเอ็นจีโอที่ทำงานพัฒนาชนบทในอีสานรุ่นบุกเบิก ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกับ “ไผ่ ดาวดิน” เขาจะมาบอกเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่รู้จักมากว่า 8 ปี ผ่านความทรงจำที่ได้ร่วมต่อสู้ในประเด็นเหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลย

ผ่านมาครบหนึ่งเดือนแล้วที่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ถูกศาลจังหวัดขอนแก่นสั่งเพิกถอนสัญญาการปล่อยตัวชั่วคราว (การประกันตัว) ในคดีแชร์บทความพระราขประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิกถอนการประกันตัว ด้วยเหตุที่ว่า ไผ่ มีพฤติกรรมในลักษณะ “เยาะเย้ยพนักงานสอบสวน” โดยในวันที่ 22 ธ.ค. 2559 ศาลได้ไต่สวนคำร้องของพนักงานสอบสวน และมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัว โดยให้เห็นผลว่า ผู้ต้องหาไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง และมีพฤติกรรม “เย้ยหยันอำนาจรัฐ”

ไผ่ ถูกฝากขังมาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2559 จนกระทั้งปัจจุบัน ทั้งนี้หนักงานสอบสวนมีอำนาจยื่นคำร้องขอฝากขังเขาต่อไปได้อีก 2 ผัด ผัดละ 12 วัน หรืออาจจะยื่นสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องคดีความต่อศาล และเขาอาจจะถูกคุมขังต่อไประหว่างการพิจารณาคดี

ไผ่ถูกฝากขังหากคิดเป็นจำนวนผัดทั้งหมด 5 ผัด โดยในครั้งล่าสุดที่เขาถูกศาลสั่งฝากขัง เขาได้คัดค้านคำสั่งศาลที่สั่งให้การพิจารณาไต่สวนคำร้องของฝากขังของพนักงานสอบสวนเป็นการพิจารณาโดยลับ ห้ามผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนอกจาก ทนายความ และบิดา มารดา เข้าฟังการพิจารณาการไต่สวนคำร้องขอฝากขัง ไผ่ และทนายของเขาพยายามคัดค้านว่า ตามสิทธิของผู้ต้องหาการพิจารณาคดีความทางอาญาควรเป็นไปโดยเปิดเผยต่อสาธารณชน อีกทั้งเขายังให้ความเห็นต่อศาลว่า การพิจารณาคดีในวันดังกล่าว(20 ม.ค. 2560) เป็นเพียงการพิจารณาไต่สวนคำร้องขอฝากขังเท่านั้น ไม่ได้เป็นการพิจารณาที่ลงลึกไปที่รายละเอียดของคดีความ จึงไม่มีความจำเป็นที่สั่งให้เป็นการพิจารณาลับ แต่ไม่เป็นผลศาลยังคงยืนยันคำสั่งเดิม และในที่สุดไผ่ ได้ทำการอารยขัดขืน โดยขอให้ทนายความในคดีของเขาทั้งหมดออกจากห้องพิจารณาคดี เนื่องจากไม่ต้องการให้ทนายความมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณาที่ เขาเชื่อว่าไม่เป็นธรรม ทั้งยังไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ ที่มาจากกระบวนการพิจารณาในวันดังกล่าว และวันนั้นเขายังคงถูกศาลสั่งฝากขังต่อไปอีกเป็นผัดที่ 5 นับตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. – 1 ก.พ. 2560

หลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ไผ่ ดาวดิน ตลอดช่วงเวลาที่เขาถูกจับกุมตัวดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จนถึงปัจจุบัน มีหลากสิ่งหลายอยากที่ผู้คนในสังคมล้วนแล้วแต่ตั้งคำถามว่าทุกการกระทำที่เขาได้รับ เป็นความจงใจกลั่นแกล้ง และเป็นความจงใจละเลิดสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยอำนาจรัฐหรือไม่ แต่ในขณะเดียวผู้คนในสังคมอีกส่วนกลับมองเห็นเขาเป็นดังราวกับ “ผู้ร้ายในคดีร้ายแรง” และเห็นว่าสมควรแล้วที่ ชีวิตของเด็กหนุ่มวัย 25 ปี ต้องเข้าไปอยู่ภายใต้รั้วลูกกรง

นั้นอาจเป็นเพราะสังคมเรายังไม่รู้จัก ไผ่ ดาวดิน ในอีกมุมหนึ่ง และหากตัดชื่อไผ่ ดาวดิน ออกไปจากเรื่องที่เขาเผชิญและถูกกระทำจากกระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผู้คนในสังคมไม่อาจรับได้ หรือไม่อาจมองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติอีกต่อไป

หากว่าความทรงจำที่หลายคนมีต่อ ไผ่ ดาวดิน จะสามารถช่วยให้สังคมมองเห็นไผ่ ในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ ได้ โกวิทย์ บุญเจือ นักพัฒนาเอกชนอิสระ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้จักไผ่ มาไม่น้อยกว่า 8 ปี และเขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ไผ่ เรียกว่า “พ่อ” ด้วยเหตุที่ว่า เขาเป็นเพื่อนพ่อของไผ่(วิบูลย์ บุญภัทรรักษา) เขามองเห็นพัฒนาการของไผ่มาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จากน้ำเสียงแรกที่เขาตั้งคำถาม “ไผ่โตขึ้นอยากเป็นอะไร” สู่ความทรงจำเสี่ยงชีวิตในพื้นที่บ้านนาหนองบง(พื้นที่ซึ่งชาวบ้านออกมาต่อสู้ในประเด็นผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ) จนถึงวันที่ ไผ่ ถูกมองเป็นคนร้ายของสังคมไทย

00000

โกวิทย์ บุญเจือ ส่วมเสื้อสีเขียว

รู้จักไผ่ ดาวดิน ได้อย่างไร

ผมเป็นเพื่อนกับพ่อไผ่ สมัยทำงานในอีสานพ่อไผ่อยู่มหาสารคาม ผมอยู่ขอนแก่น เจอไผ่ครั้งแรกตอนไผ่น่าจะอยู่ ม.4 หรือ ม.5 ตอนนั้นผมถามไผ่ว่า โตขึ้นไผ่จะทำงานอะไร ไผ่ตอบว่า ผมจะเป็นเอ็นจีโอเหมือนพ่อ สองปีให้หลังผมได้ข่าวว่าไผ่ได้เรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มาประมาณปี 2552 โครงการซีไออีอี ขอนแก่น คณะนิติศาสตร์ มข. และชาวบ้านนาหนองบง ทำโครงการร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจปัญหาในชนบท โดยใช้กรณีปัญหาผลกระทบจากเหมืองทองคำของบ้านนาหนองบงเป็นกรณีศึกษา โครงการนี้เรียกว่า "นาหนองบงโปรเจค" มีนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 1 และปี 2 เข้าร่วมโครงการประมาณ 7 หรือ 10 คน ซึ่งตอนนั้นนักศึกษาทั้งหมดเป็นสมาชิกกลุ่มดาวดิน เราจัดให้นักศึกษาเหล่านี้ได้เรียนรู้พร้อมกับนักศึกษาต่างชาติจากโครงการซีไออีอี ตอนนั้นไผ่ส่งชื่อเข้าร่วมโครงการ แต่ติดกิจกรรมอื่นในมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้เข้าโปรแกรม แต่ไผ่ก็ได้ติดตามสถานการณ์ปัญหาเหมืองทองจากเพื่อนอยู่ตลอดเวลา อีกด้านหนึ่งไผ่ก็ได้ซึมซับรับรู้ปัญหาในชนบทจากการทำงานของพ่อที่เป็นทนายทำคดีและต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ มาโดยตลอด

ได้ข่าวไผ่อีกครั้งปี 2554 มีข่าวว่าไผ่โดนจับที่อุดรธานี กรณี กฟผ. เข้าไปปักเสาสายส่งไฟฟ้าโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากชาวบ้าน และยังมีคดีฟ้องร้องว่าการดำเนินการก่อสร้างสายส่งของ กฟผ. ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองอุดรธานี แต่ กฟผ. ก็ใช้กำลังตำรวจเข้าจับกุมตัวชาวบ้าน ไผ่และเพื่อนนักศึกษาซึ่งเข้าไปร่วมกันคัดค้านกับชาวบ้าน

เหตุการณ์นั้น ผมเห็นรูปไผ่ร้องไห้ขณะถูกจับกุม ผมเคยถามไผ่ว่า ตอนอยู่ที่อุดร ไผ่ตกใจใช่มั้ย ไผ่กลัวใช่มั้ย ไผ่ตอบผมว่า ไม่พ่อ ผมไม่กลัว แต่ผมคับแค้นใจที่เห็นคนตัวเล็กตัวน้อยพี่น้องชาวไร่ชาวนาถูกคนใช้กฎหมายรังแก ผมไม่สามารถช่วยชาวบ้านได้ ผมคับแค้นใจ ผมร้องไห้ พ่อคิดดูชาวบ้านและพวกผมเราอ้างรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างกฎหมายว่าด้วยความมั่งคงทางพลังงาน ผมฟังคำตอบของไผ่แล้วก็เห็นใจ ไผ่เรียนกฎหมาย รู้ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่ แต่ก็ยังใช้อะไรไม่ได้ และตอนนั้นผมเห็นแล้วว่าไผ่เป็นคนจริงจังกับเรื่องปัญหาของชาวบ้าน

ที่เล่ามาคือการได้พบได้เจอกัน แล้วรู้จักไผ่จริงๆ ตอนไหน

ไม่นานหลังจากไผ่ถูกจับที่อุดร กรณี กฟผ. มีสถานการณ์ร้อนที่ชาวบ้านเรียกให้ผมไปช่วย เนื่องจากโครงการเหมืองแร่ทองแดงภูเทพ ของบริษัทในเครือผาแดง ที่จะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Public Scoping) ตาม รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตร 67 วรรค 2 ซึ่งโครงการเหมืองแร่เป็นโครงการรุนแรงที่จะต้องประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พื้นที่ของประทานบัตรรวมหมื่นกว่าไร่ กินพื้นที่ใน 4 ตำบล ของอำเภอเมือง จังหวัดเลย

งานจัดที่ โรงแรม เลยพาเลช ผมชวนน้องๆ ดาวดินมาช่วยด้วย เราช่วยกันปิดถนนปิดกั้นประตูโรงแรมเพื่อไม่ให้เวทีประชุมสามารถเดินหน้าได้ การต่อรองยืดเยื้อยาวนาน ผมเจอไผ่เป็นครั้งที่ 2 ที่นั่น ไผ่เป็นตัวหลักที่อยู่แนวหน้า พยายามปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าเวที ในที่สุดบริษัทไม่สามารถจัดประชุมครั้งแรกซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำ EHIA ได้ ทำให้เหมืองไม่สามารถทำอะไรได้มาถึงปัจจุบัน

งานนั้นมีทั้งการเตรียมการล่วงหน้าและการต่อรองยืดเยื้อยาวนาน ทุกคนเหนื่อยมากและหมดสภาพกันไปตามๆ กัน แต่ไผ่ก็ยังถือโทรโข่งไม่ยอมวาง เดินไปเดินมาไฮปาร์คให้ข้อมูลเรื่องสำคัญๆ อยู่ตลอดเวลาจนเสียงแหบแห้ง ในที่สุดมันนอนแผ่หลาลงไปบนพื้นบอกผมว่า “พ่อผมเหนื่อยแล้ว” เวลานั้นผมคิดในใจ เออเขาเหนื่อยหมดแรงกันหมดแล้ว มีเอ็งนี่แหละยังฝืนทำมาได้จนขนาดนี้

พอมาปี 2556 งานใหญ่อีกงานเกิดขึ้นหลังจากบ้านนาหนองทำบุญภูทับฟ้าต่อชะตาภูซำป่าบอนหาบคอนภูเหล็ก บริษัทเหมืองทองจัดเวที Public Scoping ที่ตำบลนาโป่ง หลังงานบุญชาวบ้าน 6 หมู่บ้านต้องไปเข้าร่วมเวทีที่นาโป่ง เราประเมินกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีกองกำลังปิดกั้นไม่ให้ชาวบ้านเข้าร่วมในเวที ทางออกทางหนึ่งในตอนนั้น ไผ่และเพื่อนเสนอจะเป็นอาสาสมัคร ไผ่บอกว่า พ่อแม่พี่น้องอยู่ข้างหลังผม ผมและเพื่อนๆ นักศึกษาจะนำพาพ่อแม่พี่น้องเข้าไปร่วมในเวทีเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราเดือดร้อนอย่างไรหากมีการทำเหมือง

ไผ่เป็นแนวหน้าที่จะนำพาชาวบ้านฝ่ากำแพงกั้นของทหารตำรวจเปิดทางให้ชาวบ้าน 6 หมู่บ้านตำบลเขาหลวงเข้าไปแสดงความเห็นในเวที ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ชื่อ ดาวดินเป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่คนทั่วไป

พวกเขากล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีความเสียสละสูง ที่สำคัญไผ่และเพื่อนๆ มีส่วนสำคัญทำให้ปัญหาเหมืองทองจังหวัดเลยเป็นที่รับรู้ของสังคมมากขึ้น

ต่อมาเราได้เจอไผ่อยู่เสมอที่เหมืองทอง ไผ่กับเพื่อนๆ โบกรถกันมาอยู่ในหมู่บ้านตลอด ร่วมกิจกรรม ร่วมงานรณรงค์กับชาวบ้าน มาเล่นดนตรีในงานต่างๆ ที่ชาวบ้านจัดขึ้น จนรู้จักรู้ใจสนิทสนมกับชาวบ้านเหมือนลูกเหมือนหลาน

จากนั้นมากิจกรรมการคัดค้านความเดือดร้อนของชาวบ้าน ผมจะเห็นไผ่ยืนอยู่แนวหน้าตลอด และผมเห็นว่าไผ่พูดจาในเชิงวิชาการในแง่กฎหมายที่ได้เรียนมาให้ชาวบ้านฟังเข้มข้นขึ้น

เหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์คือคืนที่มีผู้ร้ายหลายร้อยคนเข้าไปจับชาวบ้านเป็นตัวประกันและปิดล้อมหมู่บ้านเพื่อขนแร่ออกจากเหมืองทอง

คืนนั้นเมื่อไผ่ได้ข่าวก็เพิ่งรถกับรุ่นพี่จากขอนแก่นถึงหมู่บ้านใน 2 ชั่วโมง ชาวบ้านเล่าให้ผมฟังว่าไผ่จะบุกเข้าไปชิงตัวแกนนำออกมาจากกลุ่มคนร้าย ชาวบ้านต้องห้ามไว้เพราะกลุ่มคนร้ายมีอาวุธปืน

ความเลวร้ายในคืนวันนั้นเป็นที่รับรู้ของคนทั้งประเทศ ไผ่และเพื่อนคือคนสำคัญที่เกาะติดร่วมตายอยู่กับชาวบ้าน เสี่ยงลูกปืน ถ่ายวีดีโอ รายงานสถานการณ์ให้เรื่องราวกระจายออกมาข้างนอกให้ได้มากที่สุด

ไม่กี่วันหลังจากนั้น คสช. ยึดอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ทั่วประเทศ คสช. ส่งกองทหารเข้ามาประจำในพื้นที่ ปิดไม่ให้คนภายนอกเข้า-ออกหมู่บ้าน ไผ่เป็นห่วงชาวบ้านมาก เพราะมีข่าวมาตลอดว่าทหารตำรวจและข้าราชการอยู่ฝ่ายเหมือง ไผ่กับเพื่อนแอบลักลอบเข้าหมู่บ้าน แต่ก็ไม่พ้นสายตาทหาร ในที่สุดทหารก็ใช้กฎอัยการศึกเข้าไปค้นบ้านที่เราอยู่ และให้นักศึกษาทุกคนออกมารายงานตัว

มีคำสั่งให้แกนนำชาวบ้าน ชาวบ้านในหมู่บ้าน และดาวดินทั้งหมดห้ามรณรงค์ห้ามเคลื่อนไหวคัดค้าน และทั้งหมดกลายเป็นเป้าหมายที่ทหารคอยจับตาความเคลื่อนไหวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากประเด็นปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน แต่ล่าสุดไผ่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องรัฐประหารมากขึ้น มองเรื่องนี้อย่างไร

ไผ่มองปัญหาจากโครงสร้าง ความเดือดร้อนของชาวบ้านปัญหาใหญ่ๆ เกิดจากการเมือง นโยบายรัฐ และการดำเนินงานของข้าราชการภายใต้อำนาจหน้าที่ที่ถูกกำหนดโดยนายทุน ซึ่งความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ แต่หมายถึงการพังพินาศของถิ่นที่อยู่อาศัย การเจ็บป่วย ความตาย หรือต้องติดคุกติดตาราง ส่วนการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของชาวบ้านมีอยู่ไม่กี่ทางเท่านั้น ทุกข์ของเขาเสียงของพวกเขาก็มักบางเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน

ถึงประเทศไทยจะมีประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ประชาชนเรื่องสิทธิชุมชน มีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความเห็นและการคัดค้าน ประชาชนที่เดือดร้อนมีสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม มีกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายหลายมาตรา แต่การที่ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่เดือดร้อนจะเข้าถึงและหยิบใช้ได้ต้องเรียกว่าหืดขึ้นคอ

การที่ คสช. ยึดอำนาจ รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ผมคิดว่ามันแน่นอนที่ไผ่จะคิดว่าเป็นความเลวร้ายอย่างรับไม่ได้ เพราะอำนาจที่รัฐบาลทหารจะใช้คือเผด็จการที่ถืออาวุธอยู่ในมือ และมันประทุสำแดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกในพื้นที่อื่นๆ ของอีสาน จากเรื่องแรกที่ทหารเจรจาให้ชาวบ้านยินยอมให้เหมืองทองขนแร่ออกจากเหมืองหลังจากที่ชาวบ้านช่วยกันทุกทางจนปิดไม่ให้เหมืองดำเนินการมาได้ถึง 2 ปี หรือจากตัวอย่างการนำกำลังทหารคุ้มกันขบวนรถขนเครื่องจักรอุปกรณ์ขุดเจาะก๊าซเข้าไปในพื้นที่นามูล-ดูนสาด ที่มีชาวบ้านคัดค้านอยู่โดยไม่ฟังเสียง ที่อุดรทหารจัดเวทีประชาคมหมู่บ้านเพื่อชี้แจงการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตชในค่ายทหาร และเรียกแกนนำชาวบ้านที่คัดค้านเหมืองมากว่า 10 ปีปรับทัศนคติห้ามเคลื่อนไหวคัดค้าน การใช้แผนแม่บทป่าไม้ ตามนโยบายทวงคืนผืนป่าที่ไล่รื้อบ้านเรือนโค่นยางของชาวบ้านในหลายจังหวัดโดยทำเป็นไม่รับรู้เรื่องการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ผ่านมากันแล้วในหลายรัฐบาลและทำให้ชาวบ้านมากมายติดคุกหรือถูกดำเนินคดี การเดินหน้าโครงการพัฒนาขนาดใหญ่มากมายที่จะส่งกระทบอย่างมากกับชาวบ้านในพื้นที่และเป็นโครงการที่มีชาวบ้านคัดค้านจนโครงการไม่สามารถเดินหน้าได้มาอย่างยาวนาน รวมถึงการบังคับใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 เมื่อชาวบ้านรวมตัวชุมนุมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหา การร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาโดยตัดส่วนสำคัญของสิทธิชุมชน และอ้างถึงความมั่นคงของชาติเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังห้ามการจัดเวทีพูดคุยเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ให้รณรงค์รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

ผมคิดว่าไผ่ที่คลุกคลีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้านที่เดือดร้อนมาตั้งแต่เด็กทำให้เขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน การเมือง ประชาธิปไตย เผด็จการ เป็นเรื่องเดียวกัน และสำหรับผมคนที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ คับแค้นร่วมกับชาวบ้านได้ ไม่ใช่แค่เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น แต่เราต้องเข้าใจความรู้สึกว่าเราร่วมชะตากรรมเดียวกันเหมือนกับที่ไผ่รู้สึกร่วมกับชาวบ้านด้วย

โดยส่วนตัวแล้วมองเห็นไผ่ เป็นคนอย่างไร

ไผ่เป็นไม่กลัวอะไรง่ายๆ ไม่รั้งรอ เหมือนกระทิงหนุ่มที่พร้อมจะต่อสู้ตลอดเวลา การทำงานกับชาวบ้านในยุคนี้เอ็นจีโออาจจะทำได้ไม่เท่าไผ่หรือนักศึกษากลุ่มนี้ เขามีความตื่นตัวสูง กล้าหาญ บ้าปิ่น แต่เอ็นจีโอค่อนข้างจะสุขุม เป็นขั้นเป็นตอน คาดหวังในความสำเร็จต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่นั้นๆ น้อยกว่าการสร้างคน สร้างกระบวนการ หรือการสร้างกลุ่มในระยะยาว จึงจะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวของไผ่มีนักกิจกรรมหรือเอ็นจีโอบางกลุ่มที่เห็นด้วย บางกลุ่มสนับสนุน บางกลุ่มไม่ชอบ บางกลุ่มปฏิเสธ อาจจะเพราะกลัวและต้องรักษาสถานภาพทางสังคมของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องแสดงตัวคัดค้านการรัฐประหาร ผู้มีอำนาจ หรือ คสช.

ยังไงก็ตามผมคิดว่า ทุกคนควรยอมรับว่าไผ่ทำให้ชาวบ้านที่ถูกเอาเปรียบ ที่ถูกอำนาจรังแกมีความมั่นใจมากขึ้นว่าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นเครือข่าย ปัญหาของชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมันถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า สังคมมองเห็นปัญหาได้ลึกขึ้นโดยเฉพาะเหมืองทอง เพราะถ้าไม่มีคนอย่างไผ่หรือเด็กพวกนี้ สังคมก็จะไม่ได้รับรู้ว่ามีปัญหาที่ถูกซ่อนไว้มากมาย และดูเหมือนว่ามันถูกต้องตามกฎหมายแต่กลับกดขี่สร้างผลกระทบความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน สังคมจะไม่รู้ว่ามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นจริง ไผ่เป็นคนหนึ่งที่ช่วยหยิบเรื่องเหล่านี้ออกมาให้สังคมได้เห็นปัญหาได้ชัดยิ่งขึ้น

ผมคิดว่ากลุ่มคนที่เกลียดหรือไม่ชอบไผ่คือภาพสะท้อนของสังคมไทยได้ชัดเจนขึ้น นอกเหนือจากกลุ่มคนที่ชัดเจนว่าสนับสนุนทหาร สนับสนุน คสช. เป็นกลุ่มคนในผลประโยชน์ของกลุ่มทุน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ใส่ใจหรือใส่ใจน้อยเรื่องสังคม ปัญหาสังคม เห็นความเดือนร้อนของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องของตัวเองและเป็นเรื่องไกลตัวที่ปัญหาเหมือนกันจะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย กลัวความวุ่นวาย กลัวสูญเสียสถานะของตนเอง หรือถูกครอบงำให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจอย่างไม่มีคำถามมาจนเคยชิน ยิ่งมีการอ้างว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี จะเกิดความวุ่นวาย และอาจจะมีการฆ่ากันบนท้องถนนอีก ก็แน่นอนว่าเวลาที่ไผ่สะท้อนรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาเหล่านี้ออกมา รวมถึงการปฏิเสธผู้นำประเทศหรืออำนาจ กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ชอบ

หลังจากที่ทราบข่าวเรื่องไผ่ ถูกจับกุมตัวในคดี 112 และถูกเพิกถอนการประกันตัว สิ่งแรกที่คิดคืออะไร

ผมคิดว่าสังคมควรตั้งคำถาม ทำไมสำนักข่าวข่าว BBC ที่เขียนและเผยแพร่บทความนี้ยังอยู่เฉยๆ ได้ ไม่ถูกแจ้งความดำเนินคดี ทำไมคนที่เห็นด้วยกดแชร์เป็นสองพันคนก็ยังอยู่เฉยๆ ไม่ได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี ทำไมถึงเป็นไผ่แค่คนเดียว ทหาร ตำรวจ ที่พันกี่หมื่นคนที่มีหน้าที่โดยตรง ทำไมไม่มีใครแจ้งความกล่าวหาคนอีกสองพันคน ทำไมเจาะจงเฉพาะไผ่เท่านั้น เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแค่ 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งและสะกัดกั้นการเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้ไผ่สะท้อนปัญหา ความไม่ชอบมาพากล ความเดือดร้อนของชาวบ้าน และคัดค้านเผด็จการอย่างที่ไผ่ได้ทำมาตลอด

ผมว่าผู้มีอำนาจคิดถูกว่าไผ่เป็นภัยต่อความมั่นคงของอำนาจ เพราะความเคลื่อนไหวของไผ่เป็นสัญลักษณ์ของพลเมือง ของชาวบ้านผู้ที่เดือดร้อนแล้วลุกขึ้นต่อสู้ การกระทำของไผ่จึงสั่นสะเทือนถึงรากหญ้าของอีสานโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชาวบ้านต้องเผชิญกับปัญหาเดือดร้อนและลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจทุน อำนาจรัฐ การใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพียงแต่ผมคิดว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นคงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้น้อย เพราะ คสช.กุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด กุมรัฐบาล กุมกลไกรัฐ กุมได้แม้กระทั่งสื่อ และเรากำลังอยู่ในยุคที่นายทุนมีอำนาจสูงสุด และโดยเฉพาะเมื่อคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะพลเมืองว่าควรจะทำอะไรเพื่อสังคมได้บ้าง ที่น่ากลัวไปยิ่งกว่านั้นคือคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงชะตากรรมในอนาคตของตนเองและลูกหลาน เพราะวันข้างหน้ามันอาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นริศราวัลถ์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผยอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0

นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ เผย อธิบดีอัยการภาค 9 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่ถูกแจ้งความฐานหมิ่นประมาทและทำผิด พ.ร.บ.คอม กรณีถูกนายทหารแจ้งความดำเนินคดี หลังแชร์สเตตัสเฟซบุ๊ก เรียกร้องความเป็นธรรมให้น้าชาย ซึ่งถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิตระหว่างเป็น ทหารเกณฑ์

นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (แฟ้มภาพประชาไท)

24 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ BBC Thaiรายงานว่า นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม ที่เสียชีวิตจากการฝึกซ้อมทหารใหม่ในค่ายทหาร เมื่อปี 2554 ได้ให้ข้อมูลถึงความคืบหน้าคดีที่ตนเองถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรียกร้องความเห็นธรรมให้กับพลทหารวิเชียร เมื่อปี 2559 ว่า ทราบจากการประสานงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อธิบดีอัยการภาค 9 มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง หลังจากที่รองอธิบดีอัยการภาค 9 และอัยการ จ.นราธิวาส มีความเห็นไม่สั่งฟ้องไปก่อนหน้านี้ หลังจากนี้ สำนวนคดีดังกล่าวจะถูกส่งไปให้กับ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รักษาการราชการแทนผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) เพื่อให้ทำความเห็นว่า จะเห็นแย้งกับอธิบดีอัยการภาค 9 หรือไม่

"หากท่าน ผบช.ศชต. เห็นแย้ง ก็ต้องสั่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาด แต่ถ้าไม่เห็นแย้ง คดีดังกล่าวก็จะสิ้นสุด ที่ผ่านมาก็ถือว่าตัวเองได้รับความเป็นธรรมจากท่านอัยการ ก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากท่าน ผบช.ศชต. ด้วย" นริศราวัลถ์ กล่าว

นริศราวัลถ์ ยังเปิดเผยว่า หากสำนวนคดีนี้ถูกส่งจากอัยการไปที่ตำรวจแล้ว ตนก็จะทำเรื่องขอเข้าพบกับ พล.ต.ต.รณศิลป์ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม เนื่องจากคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร โดยขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างการประสานงาน

ผู้สื่อข่าว "บีบีซีไทย" โทรศัพท์ไปสอบถามกับทางทนายความของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ที่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีความให้กับ นริศราวัลถ์ ก็ระบุว่า ขั้นตอนทางกฎหมาย เวลานี้ อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งจากอธิบดีอัยการ ภาค 9 อย่างเป็นทางการ เท่าที่ประสานงานกับเบื้องต้น คาดว่าจะเป็นวันที่ 31 ม.ค. 2560 แต่คงต้องตรวจสอบความชัดเจนภายใน 2-3 วันนี้อีกครั้ง

ส่วนการดำเนินคดีกับ ร.อ.ภูริ เพิกโสภณ ผู้สั่งทำโทษพลทหารวิเชียรจนเสียชีวิต ซึ่งปลายปี 2559 เพิ่งถูกต้นสังกัดสั่งพักราชการ โดยให้งดจ่ายเงินรายเดือนและค่าเช่าบ้าน จนกว่าคดีจะสิ้นสุด นริศราวัลถ์ กล่าวว่า ทราบว่าล่าสุดทางอัยการทหารอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีว่าจะสั่งฟ้อง ร.อ.ภูริ กับศาลทหารหรือไม่ โดยสาเหตุที่ยังไม่สั่งฟ้องเนื่องจากตนได้ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้เพิ่มเติมข้อหาเรื่องเจตนาฆ่าด้วย เนื่องจากก่อนที่พลทหารวิเชียรจะเสียชีวิตได้ถูกซ้อมทรมาน

ทั้งนี้ การออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมของน.ส.นริศราวัลถ์ ให้กับน้าชาย เกิดขึ้นภายหลังจากพลทหารวิเชียร ซึ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมัครเป็นทหารเกณฑ์ที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส แต่หลังเข้าเป็นทหารได้ไม่นาน ก็เสียชีวิตระหว่างการฝึกทหารใหม่เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2554 โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เคยวินิจฉัยว่า การเสียชีวิตของพลทหารวิเชียร์ เกิดจากการสั่งทำโทษของ ร.ท.ภูริ (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลือกตั้งเปลี่ยนโลกปี 2017 โลกขวาหันจริงหรือ (แล้วไทยจะได้เลือกตั้งไหม?)

$
0
0

ทบทวนการเลือกตั้งสำคัญในโลกปี 2016 สะท้อนการแก้ไขปัญหาการเมืองผ่านช่องทางประชาธิปไตย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่ออังกฤษผ่าน Brexit และโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี จะเกื้อหนุนให้การเลือกตั้งในปี 2017 เปลี่ยนยุโรปไปทางขวาจริงหรือ ทั้งที่เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี

ส่วนที่ฮ่องกงจะมีการสรรหาผู้ว่าการฮ่องกง ขณะที่พลเมืองรณรงค์คู่ขนานเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งแบบ 1 คน 1 เสียง ขณะที่เมืองไทยคสช. ซึ่งเคยเปรยว่าโรดแมปจัดเลือกตั้งภายในปีนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าจะเลื่อนออกไป

การเมืองระหว่างประเทศในปี 2017 จะส่งผลกระทบต่อโลกแค่ไหน

ย้อนพินิจการเลือกตั้งสำคัญในโลกปี 2016 สะท้อนการแก้ไขปัญหาการเมืองผ่านช่องทางประชาธิปไตย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่ออังกฤษผ่านประชามติ Brexit ในปีที่แล้ว และปีนี้โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดนี้จะเกื้อหนุนให้การเลือกตั้งในปี 2017 เปลี่ยนยุโรปไปทางขวาจริงหรือไม่

โดยเนเธอร์แลนด์กลางเดือนมีนาคมนี้กำลังจะมีการเลือกตั้ง ส.ส. โดยผู้สมัครอย่างกรีท ไวด์เดอร์ส ที่ชูนโยบายถอนตัวจากอียู ต่อต้านผู้อพยพ และมักใช้ข้อความเฮทสปีชโดยอ้างเสรีภาพการพูดเป็นผ้าคลุม ก็กำลังได้รับความนิยม แต่ฝันของพรรคฝ่ายขวาอาจไม่เป็นเช่นนั้น หากพรรครัฐบาลเดิมยังรวมเสียงตั้งรัฐบาลผสมได้

ส่วนที่ฝรั่งเศสปลายเดือนเมษายนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรก โดยมารีน เลอ แปน ผู้นำพรรคขวาจัด “แนวร่วมชาตินิยม” กำลังคุยโตหลังชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ และหวังเห็นยุโรปเป็นเช่นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษบ้าง แต่ก็อาจจะยากเพราะคู่แข่งสำคัญคือพรรคแนวทางขวากลางที่นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟร็องซัว ฟียง ที่ชูนโยบายผ่อนคลายกฎหมายจ้างงาน ลดภาษีภาคธุรกิจ ลดการจ้างงานภาครัฐ ขณะที่รัฐบาลพรรคสังคมนิยมแม้คะแนนนิยมไม่กระเตื้อง แต่จะมีความชัดเจนขึ้นเมื่อผ่านการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคฝ่ายซ้ายที่เบอนัว อามง ผู้เสนอเก็บภาษีหุ่นยนต์ ทำให้กัญชาถูกกฎหมายและระบบเงินเดือนพื้นฐาน กำลังได้รับความนิยม

ส่วนที่เยอรมนี แองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรี 3 สมัยจากพรรคคริสเตียนเดโมแตรต จะลงสมัครในการเลือกตั้งเดือนกันยายนนี้เป็นสมัยที่ 4 แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากพรรคฝ่ายขวา และอาจสูญเสียที่นั่งในสภาไปบ้าง แต่แมร์เคิลก็จะนำพรรคคริสเตียนเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง และชูนโยบายเป็นมิตรกับผู้อพยพ และเป็นผู้นำชาติในสหภาพยุโรปต่อต้านท่าทีแข็งกร้าวของรัสเซีย แต่หากผลการเลือกตั้งไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งเยอรมนีและสหภาพยุโรปจะตกอยู่ในปัญหาใหญ่

ที่ฮ่องกงการต่อสู้เพื่อขยับพื้นที่ประชาธิปไตยคัดง้างกับอำนาจของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปี เดือนมีนาคมปีนี้จะชี้วัดกันที่การสรรหาผู้ว่าการฮ่องกง ที่แม้รัฐบาลปักกิ่งจะทรงอิทธิพล และที่มาของผู้ว่าการฮ่องกงก็มาจากการเลือกโดยคณะผู้เลือกตั้งจากสมาคมและกลุ่มวิชาชีพหลักพันคน แต่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกงก็พยายามขยายพื้นที่่ต่อสู้นั้นเพื่อให้เกิดการเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง ที่พลเมืองฮ่องกงสามารถเลือกตัวแทนของพวกเขาได้เอง

ขณะที่ในเกาหลีใต้ หลังการชุมนุมยาวนานจนรัฐสภาถอดถอน พัก กึนเฮนั้น บัดนี้เสียงรวมกันของฝ่ายค้านในสภาเข้มแข็งพอที่จะผ่านกฎหมายหรือแม้แต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมีผลทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในปีนี้เปลี่ยนขั้วกลายมาเป็นผู้นำจากพรรคฝ่ายค้านหรือไม่ ขณะที่บัน คีมุน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติที่แย้มว่าต้องการลงเล่นการเมือง ก็มีจุดอ่อนเต็มไปหมด

กลับมาเมืองไทย คสช. ซึ่งเคยเปรยว่าโรดแมปจัดเลือกตั้งภายในปีนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าจะเลื่อนออกไป

 

เลือกตั้งเนเธอร์แลนด์: จะเกิด “Nexit” สั่นสะเทือนสหภาพยุโรปหรือไม่

สำหรับยุโรปมีคำถามตามมาว่าจะมีประเทศใดอีกที่จะถอนตัวจากสหภาพยุโรป โดยบทวิเคราะห์ใน The Atlanticเสนอว่า การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาของเนเธอร์แลนด์ 150 ที่นั่ง ในวันที่ 15 มีนาคม 2017 นี้จะเป็น “Nexit” ตาม “Brexit” ของสหราชอาณาจักร หรือไม่ เมื่อนักการเมืองขวาจัดจากพรรค PVV อย่าง กรีท ไวด์เดอร์ส (Geert Wilders) ชูนโยบายถอนตัวจากสหภาพยุโรป ขณะที่ผลสำรวจความนิยมช่วงต้นเดือนมกราคมนี้ก็มีคะแนนนำพรรครัฐบาล VVD ที่มีมาร์ก รุท (Mark Rutte) เป็นนายกรัฐมนตรี

ไวด์เดอร์ส ได้รับความนิยมจากการที่เขามักใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เขาเคยกล่าวว่าต้องการเห็นผู้อพยพโมร็อกโกน้อยลงกว่านี้ จากข้อความดังกล่าวทำให้เขาถูกฟ้องร้องในข้อกล่าวหาก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ แต่เขาก็ไม่ถูกตัดสินลงโทษ แถมเขายังใช้คดีความที่ว่านี้สร้างชื่อเสียงว่าเขาเป็นผู้ปกป้องเสรีภาพการพูด และเป็นเหยื่อของความถูกต้องทางการเมือง (Political Correctness-PC) นอกจากนี้ไวด์เดอร์สยังมีภาพของนักการเมืองที่ต่อต้านอิสลาม ต่อต้านคนเข้าเมือง เคยเสนอให้คัมภีร์อัลกุรอานเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เก็บภาษีผ้าคลุมศีรษะ และห้ามการสร้างมัสยิด

อย่างไรก็ตามการแข่งขันเป็นไปอย่างสูสี คะแนนจากผลสำรวจความนิยมพบว่าบรรดาพรรคการเมืองต่างเปลี่ยนกันขึ้นมานำ และหากพรรคฝ่ายขวา PVV ยังคงรักษาคะแนนความนิยมเอาไว้ได้ ช่วงใกล้เลือกตั้งบรรดาพรรคการเมืองก็อาจจะรวมตัวเพื่อตั้งพรรคร่วมรัฐบาล และหยุดยั้งไม่ให้ไวด์เดอร์สและพรรค PVV ขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งนั่นอาจทำให้ภาวะการนำของเนเธอร์แลนด์ต้องหยุดชะงักชั่วคราว ในช่วงที่สหภาพยุโรปเองก็เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่

 

เลือกตั้งฝรั่งเศส: แม้ผู้นำขวาจัด ‘เลอ แปน’ ไม่ชนะ
แต่นโยบายอนุรักษ์นิยมยังค
งมีอิทธิพล

ในฝรั่งเศสจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส รอบแรกในวันที่ 23 เมษายน และรอบสองในวันที่ 7 พฤษภาคม 2017 โดยคนที่น่าจับตาคือ มารีน เลอ แปน (Marine Le Pen) ผู้นำพรรคฝ่ายขวาจัด “แนวร่วมชาตินิยม” (FN) ซึ่งเคยคุยโตหลังชัยชนะของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ว่าเธอจะเป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของฝรั่งเศส และในการประชุมของบรรดาพรรคฝ่ายขวายุโรปในเยอรมนีเมื่อ 21 มกราคมที่ผ่านมา เลอ แปน ก็กล่าวว่า “ปี 2016 เป็นปีที่โลกแองโกล-แซกซันตื่นขึ้น และดิฉันมั่นใจว่าปี 2017 จะเป็นปีที่ประชาชนในภาคพื้นยุโรปจะตื่นขึ้น”

บทวิเคราะห์ใน The Atlanticชี้ว่า แม้ว่าผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนจะไม่ได้สะท้อนว่าเธอได้รับความนิยมเช่นนั้น แต่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ถ้าเธอสามารถไปถึงรอบที่ 2 ที่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเหลือ 2 คน อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยปัจจัยสนับสนุนเลอแปนมาจากผู้สนับสนุนอันแข็งขันของเธอ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือพรรคฝ่ายซ้ายก็แบ่งเป็นขั้วต่างๆ

ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟร็องซัว ออลล็องด์ จากพรรครัฐบาลคือพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส (PS) ซึ่งคะแนนนิยมในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งไม่ดีนัก ตัดสินใจไม่ลงแข่งในการเลือกตั้งอีก และในวันอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 2017 พรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสและแนวร่วมได้จัด “การเลือกตั้งขั้นต้น” ภายในเพื่อเฟ้นหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีผู้เสนอตัว 7 คน อย่างไรก็ตามในรายงานของอัลจาซีราระบุว่าสมาชิกพรรคมาลงคะแนนเลือกตั้งขั้นต้นน้อยกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีก่อน และน้อยกว่าการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคสาธารณรัฐเมื่อปี่ที่แล้ว ที่มีผู้มาลงคะแนนถึง 4 ล้านคน

ผลการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส บีบีซีรายงานว่า อันดับ 1 คือเบอนัว อามง (Benoit Hamon) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาแห่งชาติ ผู้เสนอนโยบายเงินเดือนพื้นฐาน เก็บภาษีหุ่นยนต์ กัญชาถูกกฎหมาย ได้คะแนนร้อยละ 36.1 อันดับ 2 มานูเอล วาลส์ (Manuel Valls) อดีตนายกรัฐมนตรีสายกลางซ้ายได้คะแนนร้อยละ 31.2 สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นรอบสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคมนี้

อย่างไรก็ตามภายในพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสก็มีการแยกตัว โดยเอมมานูเอล มาครอง (Emmanuel Macron) อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และกิจการดิจิทัล ได้ถอนตัวจากรัฐบาลออลล็องด์ และไปตั้งกลุ่มใหม่คืออองมาร์ช (En Marche!) โดยเขายังประกาศจะเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีอีกด้วย

ในขณะที่พรรคสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Les Républicains) เลือกอดีตนายกรัฐมนตรี ฟร็องซัว ฟียง เป็นผู้สมัครตัวแทนจากพรรค ท่ามกลางความแตกแยกของพรรคฝ่ายซ้ายทำให้ฟียงมีแนวโน้มจะได้เปรียบ โดยเขามีข้อเสนอลดภาษีภาคธุรกิจ ผ่อนคลายกฎหมายแรงงาน และขยับชั่วโมงทำงานสัปดาห์ละ 35 ชั่วโมงของฝรั่งเศสเพื่อเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังวางแผนการเลิกจ้างงานของภาครัฐ 5 แสนตำแหน่ง เพื่อลดภาระของรัฐบาล

บทวิเคราะห์ใน The Atlanticเสนอว่า หากเลอแปนได้รับชัยชนะจริงก็จะกลับหัวกลับหางการเมืองฝรั่งเศส และเป็นแรงขับเคลื่อนส่งต่อไปยังพรรคฝ่ายขวาที่ใดที่หนึ่งในยุโรป ทั้งยังจะทำให้นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แองเกลา แมร์เคิล เป็นผู้นำคนเดียวในยุโรปที่รณรงค์เพื่อการรวมเป็นหนึ่งของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะแพ้ แต่เลอแปนก็จะผลักดันฝรั่งเศสไปทางขวา ในขณะที่คู่แข่งผู้ซึ่งหากต้องการถอนข้อเสนอของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายผู้อพยพ การก่อการร้าย และสหภาพยุโรป คงต้องทำงานให้มากขึ้น

 

เลือกตั้งเยอรมนี: การชิงชัยสมัยที่ 4 ของแมร์เคิล
และความท้าทายจากกระแสฝ่ายขวา

ขณะที่เยอรมนีจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในระดับชาติเช่นกัน ในวันที่ 24 กันยายน 2017 โดยแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรี 3 สมัยจากพรรคคริสเตียนเดโมแตรตและแนวร่วม CDU/CSU เพิ่งประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าจะลงสมัครเป็นสมัยที่ 4

จากการเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2005 แมร์เคิลได้ประทับตราผลงานของเธอเอาไว้และส่งผลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของยุโรปหลายประการ นับตั้งแต่มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อรับมือกับวิกฤตหนี้สินยูโรโซน ต้อนรับผู้อพยพ 1 ล้านคนเข้าสู่เยอรมนี เป็นผู้นำให้ชาติในสหภาพยุโรปรวมตัวกันต่อต้านท่าทีแข็งกร้าวของรัสเซีย

คาดหมายว่าแม้พรรค CDU/CSU จะสูญเสียที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ แต่แมร์เคิลก็จะนำพรรคชนะการเลือกตั้งอยู่ดี ขณะที่คู่แข่งอีกรายคือ ซิกมาร์ กาเบรียล จากพรรคซ้ายกลาง สังคมประชาธิปไตย (SPD) ก็ยังไม่สามารถจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ และผลสำรวจความนิยมล่าสุดเขามีคะแนนนิยมตามแมร์เคิลอยู่ร้อยละ 10 (แมร์เคิลร้อยละ 34 กาเบรียลร้อยละ 24)

สำหรับไพ่โจ๊กเกอร์ของการเลือกตั้งเยอรมนีที่จะถึงนี้ก็คือ พรรคอัลเทอร์เนทีฟเพื่อเยอรมนี (Alternative for Germany Party - AfD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา มีนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ต่อต้านอิสลาม และวิจารณ์สหภาพยุโรป พรรค AfD สร้างความประหลาดใจในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของรัฐต่างๆ ในเยอรมนี โดยได้เสียงสนับสนุนถึงร้อยละ 13 นอกจากนี้ยังได้ที่นั่งเป็นพรรคอันดับ 2 ในรัฐเมคเลินบวร์ค-ฟอร์พ็อมเมิร์น รัฐบ้านเกิดของแมร์เคิลโดยได้ที่นั่ง 18 ที่นั่ง มากกว่าพรรค CDU/CSU ที่ได้ 16 ที่นั่ง ส่วนพรรคอันดับ 1 ยังเป็นพรรค SPD ที่ได้ 26 ที่นั่ง โดยพรรค AfD อาจได้รับคะแนนเพิ่มมากขึ้น หากเสียงต่อต้านนโยบายผู้อพยพของแมร์เคิลมีมากขึ้น

หากสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นและแมร์เคิลแพ้การเลือกตั้ง สหภาพยุโรปเองก็อาจตกอยู่ในปัญหาใหญ่

 

ฮ่องกง: พลเมืองฮ่องกงเสนอจัดเลือกตั้งจำลอง
คู่ขนานกับการสรรหาผู้ว่าการฮ่องกง

ผู้สนับสนุนกลุ่มแพน-เดโมแครตในฮ่องกงต่อต้านแผนการปฏิรูปของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปี 2015 (ที่มา: แฟ้มภาพ/Civic Party)

ในเดือนกันยายนปี 2016 ที่ผ่านมา ฮ่องกงมีการจัดเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกง (LegCo) ซึ่งแม้จะเป็นการเลือกตั้ง ‘ครึ่งใบ’ ซึ่งครึ่งหนึ่งของเขตเลือกตั้งเป็นการเลือกกันเองภายในสมาคมหรือกลุ่มวิชาชีพ แต่พรรคการเมืองกลุ่มที่ไม่นิยมรัฐบาลจีนก็ได้ที่นั่งรวมกันถึง 30 ที่นั่ง ขณะที่พรรคการเมืองสายนิยมรัฐบาลจีนได้ 40 ที่นั่ง (อ่านล้อมกรอบ)

และในวันที่ 26 มีนาคม 2017 นี้ จะมีการสรรหาผู้ว่าการฮ่องกง (CE) สมัยที่ 5 ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง อย่างไรก็ตามตำแหน่งของผู้นำฝ่ายบริหารดังกล่าวไม่ได้ใช้วิธีจัดเลือกตั้งทั่วไป แต่เป็นการคัดเลือกผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Election Committee) 1,200 คน ซึ่งมีที่มาจากประเภทวิชาชีพและองค์กรต่างๆ 38 ประเภท

แม้จะไม่ใช่การเลือกตั้งระบบ 1 คน 1 เสียง แต่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยฮ่องกง พยายามเข้าไปมีที่นั่งในคณะผู้เลือกตั้ง 1,200 ที่นั่ง ที่เลือกกันผ่านสมาคมวิชาชีพ โดยรายงานของ HKFPรายงานว่า ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ผู้สมัครเป็นคณะผู้เลือกตั้งฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยสามารถเอาชนะได้หลายประเภทวิชาชีพ โดยกวาดที่นั่งทั้งหมดของโควตาจากสาขาวิชาชีพ 6 ด้าน คือกิจการสาธารณะ ไอที บริการสาธารณสุข กฎหมาย การศึกษา และการศึกษาขั้นสูง นอกจากนี้ยังได้ที่นั่งอีกมากในสาขาวิชาชีพอื่นได้แก่ บัญชี สถาปัตยกรรม การแพทย์ วิศวกรรม แพทย์แผนจีน โควตาของสมาชิกสภานิติบัญญัติ รวมมีเสียงราว 325 คน จากทั้งหมด 1,200 คน

ส่วนผู้เสนอตัวชิงตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกงในเวลานี้มี หวู กว็อกฮิง (Woo Kwok-hing) อดีตรองประธานศาลอุทธรณ์ฮ่องกง ประธานคณะกรรมาธิการกิจการเลือกตั้ง ซึ่งประกาศจะชิงตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกงมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016 โดยเขาเสนอให้มีการปฏิรูประบบเลือกตั้งของฮ่องกง ด้วยการขยายฐานของสมาชิกกลุ่มต่างๆ ที่มีสิทธิเลือกคณะผู้เลือกตั้ง จากฐาน 250,000 คน ไปสู่ 1 ล้านคนในปี 2022 และ 3 ล้านคนในปี 2032 เพื่อให้เป็นระบบกึ่ง 1 คน 1 เสียงในที่สุด

ขณะที่ผู้สมัครคนอื่นๆ เรจินา ยิป (Regina Ip) หัวหน้าพรรค New People's Party ซึ่งเป็นฝ่ายหนุนปักกิ่ง ประกาศเมื่อ 15 ธันวาคมว่าต้องการชิงตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกง หลังจากที่ผู้ว่าการฮ่องกงคนปัจจุบัน เหลียง ชุนอิง ประกาศจะไม่ลงชิงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 โดยเขาจะเป็นผู้ว่าการฮ่องกงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งสมัยเดียว ขณะที่อดีตหัวหน้าฝ่ายบริหารฮ่องกง แครี หลำ และรัฐมนตรีฝ่ายการคลัง จอห์น จัน ลาออกในวันที่ 16 และ 19 มกราคมตามลำดับ เพื่อลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกง

HKFPรายงานเมื่อ 23 มกราคมนี้ว่า เบนนี ไท้ (Benny Tai) อาจารย์นิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ผู้ก่อตั้ง Occupy Central ในปี 2013 เพื่อรณรงค์สิทธิเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง เสนอกระบวนการให้สาธารณชนเสนอชื่อผู้ว่าการฮ่องกงคู่ขนานกับกระบวนการที่รัฐบาลฮ่องกงจัด เพื่อสร้างเงื่อนไขให้คณะผู้เลือกตั้งฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย 325 คน พิจารณาผู้สมัครผู้ว่าการฮ่องกง ที่มี 3 คุณสมบัติ คือ 1. ได้รับการเสนอชื่อมากกว่า 37,790 รายชื่อ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 1 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งฮ่องกง 2. เป็นผู้ที่ให้สัญญาว่าจะมีแพ็กเกจปฏิรูปที่ไม่ยึดตามข้อเสนอของรัฐบาลปักกิ่ง 3. จะต้องปกป้องคุณค่าหลักของฮ่องกง โดยกระบวนการเสนอชื่อโดยสาธารณชน จะจัดขึ้นในวันที่ 7 และ 22 กุมภาพันธ์นี้ ที่สาขาวิชาสำรวจมติมหาชน มหาวิทยาลัยฮ่องกง และศูนย์นโยบายทางสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคฮ่องกง

อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า ผู้รณรงค์อาจจะเสนอชื่ออดีตรัฐมนตรีฝ่ายการคลัง จอห์น จัน ที่พวกเขาเห็นว่าเลวร้ายน้อยที่สุด ในหมู่แคนดิเดตผู้ว่าการฮ่องกงที่ต่างเป็นฝ่ายนิยมรัฐบาลปักกิ่ง ในขณะที่เหลียง กว็อกฮุง สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย เห็นว่า การหันไปเลือกผู้สมัครที่เป็นฝ่ายนิยมรัฐบาลปักกิ่ง รวมทั้งการเลือก จอห์น จัน จะเป็นผลร้ายต่อขบวนการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ทำให้ผู้สนับสนุนขบวนการรู้สึกหมดหวังและจะเลิกล้มการต่อสู้ ทั้งนี้ เหลียง กว็อกฮุง เองก็แสดงเจตนาที่จะลงสมัครผู้ว่าการฮ่องกงเช่นกัน แต่เขาต้องการทราบผลว่าได้รับเสียงสนับสนุนจากสาธารณชนมากพอหรือไม่ก่อน

ขณะที่ ‘โจชัว หว่อง’ ก็เตือนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยฮ่องกงเช่นกันให้ทบทวนนโยบายเศรษฐกิจของจอห์น จัน ที่ทำลายผลประโยชน์ของคนหาเช้ากินค่ำและในฮ่องกง

 

เกาหลีใต้: ผู้นำฝ่ายค้านจ่อขึ้นชิงประธานาธิบดีหลังยุค ‘พัก กึนเฮ’
ส่วน ‘บัน คีมุน’ ยังมีข้อจำกัด

การประชุมรัฐสภาเกาหลีใต้เพื่อลงมติลับถอดถอน ประธานาธิบดีพัก กึนเฮ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2016 (ที่มา: JTBC News)

หลังการชุมนุมทุกสุดสัปดาห์ติดต่อกันมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2016 จนกระทั่งเมื่อ 9 ธันวาคมปีที่ผ่านมา รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดี พัก กึนเฮ ในข้อกล่าวหาที่ว่าให้ชเว ซุนซิล เพื่อนสนิทแทรกแซงกิจการการเมืองทั้งที่ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล และเรียกรับผลประโยชน์ จากการที่เพื่อนสนิทกดดันให้บริษัทยักษ์ใหญ่บริจาคเงินให้มูลนิธิที่ตัวเองตั้งขึ้นด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้มีเวลาทบทวนความชอบทางกฎหมายของมติถอดถอนซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 180 วัน หรือภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2017 และหากศาลรัฐธรรมนูญยืนตามมติถอดถอน การเลือกตั้งประธานาธิบดีก็จะจัดเร็วขึ้น โดยตามกฎหมายของเกาหลีใต้การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องจัดภายใน 60 วัน หลังจากประธานาธิบดีลงจากตำแหน่ง หรือถูกขับให้พ้นจากตำแหน่ง ทำให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิมคือก่อนวันที่ 20 ธันวาคม 2017 โดยอาจจะมีการจัดเลือกตั้งอย่างช้าที่สุดภายในเดือนสิงหาคม 2017

หากมีการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้รอบใหม่ พัก กึนเฮ ก็ไม่สามารถลงสมัครได้ เนื่องจากข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญไม่ให้ลงสมัครประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ได้ ขณะเดียวกันสถานการณ์ภายในพรรคแซนูรี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลก็ประสบความแตกแยก โดยมีกลุ่ม ส.ส. เกือบ 30 คน แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่คือพรรคบารึน หรือพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่เพื่อการปฏิรูป ทำให้ขณะนี้พรรครัฐบาลแซนูรี มี ส.ส. เพียง 96 คน จากทั้งสภา 300 คน พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DPK) มี ส.ส. ถึง 121 คน ขณะที่พรรคกุกมิน หรือพรรคประชาชนมี ส.ส. 38 คน พรรคยุติธรรมมี ส.ส. 6 คน และผู้สมัครอิสระมี ส.ส. 6 คน ทำให้ขณะนี้เมื่อรวมเสียง ส.ส. พรรคฝ่ายค้านซึ่งมีเสียงเกินร้อยละ 60 ของที่นั่งในสภาทั้งหมด ฝ่ายค้านสามารถเสนอกฎหมายควบคุมบรรษัทขนาดใหญ่ รวมไปถึงขอแก้ไขรัฐธรรมนูญก็สามารถทำได้โดยที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่สามารถรวมเสียงเพื่อทัดทานได้

ผลสำรวจความนิยมล่าสุด เมื่อ 18 มกราคมที่ผ่านมา พบว่าผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DK) คือ มุน แจอิน ได้รับคะแนนนิยมร้อยละ 31.4 ขณะที่ บัน คีมุน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ที่หลังพ้นจากการดำรงตำแหน่งก็แสดงท่าทีต้องการเล่นการเมือง ได้คะแนนเป็นอันดับสองคือร้อยละ 20 ส่วนลี แจมุง นายกเทศมนตรีซองนัม ชานเมืองทางทิศใต้ของโซล ได้คะแนนเป็นอันดับสามคือร้อยละ 9.5

โดยผู้ได้คะแนนอันดับ 1 อย่าง มุน แจอิน เคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกัน พัก กึนเฮในปี 2012 แต่พ่ายแพ้ไป มาหนนี้พรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DK) ที่เขาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นพรรคที่กุมฐานเสียงใหญ่ หลังเพิ่งได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2016

ส่วนอันดับ 2 อย่าง บัน คีมุน นั้น บทวิเคราะห์ใน The Diplomatระบุว่า ด้วยจุดอ่อนทางการเมือง ความไม่คงเส้นคงวาในบทบาทเลขาธิการองค์การสหประชาชาติจะทำให้ บัน คีมุน ดูเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ขาดชีวิตชีวา ทั้งนี้ บัน คีมุน มีข้อจำกัดหลายเรื่อง เขาไม่มีฐานทางการเมืองในเกาหลีใต้ แม้จะเคยพูดว่าต้องการทำงานกับนักการเมืองทุกคน แต่เมื่อพิจารณาท่าทีตอบรับ ก็ดูเหมือนมีเพียงพรรคบารึนที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะคิดอ่านใกล้เคียงกับเขา นอกจากนี้แม้เขาแสดงเจตนาต้องการทำงานกับพรรคฝ่ายค้านอย่าง พรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DK) แต่ผู้สนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีโน มูฮย็อน และมุน แจอิน ก็มีท่าทีไม่ชอบบัน คีมุน

ขณะเดียวกันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติก็ไม่มีผลงานน่าประทับใจ ช่วงที่เรือเซวอนล่มกลางทะเลมีนักเรียนเสียชีวิตหลายร้อยคนเขาก็ไม่แสดงท่าทีอะไร และข้อสำคัญคือสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติเคยมีมติในปี 1946 ให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหลีกเลี่ยงการรับตำแหน่งของรัฐบาลใดๆ ภายหลังพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งทำให้อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ 2 คนคือเคิร์ต วัลเฮล์ม (Kurt Waldheim) และชาวิเอ เปเรซ (Javier Perez de Cuellar) ต้องรอถึง 5 ปี ก่อนจะรับตำแหน่งประธานาธิบดีออสเตรีย และเปรู อย่างไรก็ตามกรณีนี้อาจไม่เกิดกับบัน คีมุนก็ได้ เนื่องจากมติของสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติไม่มีผลผูกมัดชาติสมาชิก อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกเรื่องที่น่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของบัน คีมุน ก็คือข่าวที่น้องชายคนสุดท้อง และหลานชายของเขาถูกอัยการสหรัฐอเมริกาตั้งข้อหาเสนอเงินสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของประเทศในตะวันออกกลาง

สำหรับผู้ได้คะแนนนิยมอันดับ 3 ลี แจมุง มีพื้นเพมาจากครอบครัวชนชั้นล่าง เคยทำงานโรงงานจนได้แผล ในบทสัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กเขาถูกมองว่าเป็นทั้ง ‘ทรัมป์’ และ ‘แซนเดอร์ส’ แห่งเกาหลีใต้ โดยพื้นเพเคยเป็นทนายความช่วยเหลือกรรมกรในซองนัม ก่อนที่จะเริ่มเล่นการเมืองท้องถิ่นมาตั้งแต่ปี 2006 แต่มาชนะได้เป็นนายกเทศมนตรีในปี 2010 โดยเมืองที่เคยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของกรรมกร เนื่องจากราคาที่ดินในกรุงโซลพุ่งกระฉูดนั้น ปัจจุบันกลายเป็นเขตที่เก็บภาษีได้สูงที่สุดในเกาหลีใต้เนื่องจากเป็นที่ตั้งของบริษัท Naver เจ้าของเว็บท่าใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ซึ่ง ลี แจมุงนั้นประกาศจะควบคุมเครือธุรกิจยักษ์คือ “แชโบล” โดยเขาเห็นว่านโยบายของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเหล่านี้ ทำให้เศรษฐกิจประสบปัญหา นอกจากนี้เขาให้คำมั่นว่าจะขยายสวัสดิการกรรมกร รวมทั้งต้องการเป็นมิตรกับเกาหลีเหนือ

 

ประเทศไทย: คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะจัดเลือกตั้งภายในปี 2017 หรือไม่

คำตอบ = ไม่ทัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในงานวันเด็กแห่งชาติที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อเดือนมกราคม 2016 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

ทั้งนี้นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 22 พฤษภาคม 2014 และเคยกล่าวถึงแผนโรดแมปเพื่อจัดการเลือกตั้งในหลายโอกาส แต่มีการเลื่อนแผนนั้นบ่อยครั้ง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)กระทั่งหลัง 6 กันยายน 2015 สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และต้องมีการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดใหม่ และกำหนดวันลงประชามติ 7 สิงหาคม 2016

โดยภายหลังจากที่ประชามติผ่าน โรดแมปที่เคยเสนอก่อนลงประชามติว่าจะจัดการเลือกตั้งภายในปี 2017 ก็เลื่อนออกไป โดยถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยขั้นตอนปัจจุบันรัฐบาล คสช. เพิ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากได้รับพระราชทานคืนกลับมาจากพระมหากษัตริย์เมื่อ 20 มกราคมนี้ โดยตามกรอบในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รัฐบาลจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วันเพื่อแก้ไข จากนั้นจะทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 90 วัน

และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีขั้นตอนร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ ไม่เกิน 240 วัน และมีขั้นตอนพิจารณาโดย สนช. ไม่เกิน 60 วัน และเมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจำนวน 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งผ่าน จะต้องเลือกตั้ง ส.ส. ภายใน 150 วัน ทำให้วันเลือกตั้งช้าสุดจะอยู่ในเดือนสิงหาคม 2018

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 มกราคม มีรายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ระบุด้วยว่าโรดแมปการเมืองและการเตรียมเลือกตั้งจะเดินหน้าต่อไป หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระบรมศพและพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

 

พินิจโลกเปลี่ยนและผลจากการเลือกตั้งในรอบปี 2016

ในปี 2016 ที่ผ่านมา มีหลายประเทศที่มีการเลือกตั้งทั่วไปและการเลือกตั้งผู้นำประเทศคนใหม่ โดยนอกจากการเลือกตั้งที่โลกจับตามองและมีผลต่อภูมิทัศน์การเมืองระหว่างประเทศของโลก นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน เอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และเพิ่งสาบานตนไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2017 นั้น ช่วงปีที่ผ่านมาก็มีการเลือกตั้งในประเทศอื่นๆ ที่มีประเด็นน่าสนใจและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชาตินั้นๆ เช่นกัน

ไต้หวันได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรก: เป็นคนรักแมว-หนุนสิทธิคนรักเพศเดียวกัน

ไช่ อิงเหวิน ผู้สมัครประธานาธิบดีไต้หวันพรรค DPP หาเสียงโค้งสุดท้ายเมื่อ 15 .. 2016 (ที่มาเฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)

ตั้งแต่ต้นปี 2016 ในเดือนมกราคม สาธารณรัฐจีน หรือไต้หวันก็ได้ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งคนใหม่คือ ไช่อิงเหวิน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) โดยเอาชนะพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ที่เป็นพรรครัฐบาลเดิมอย่างท่วมท้นด้วยคะแนนร้อยละ 56.1 ต่อร้อยละ 31.0 ทำให้เธอกลายเป็นประธานาธิบดีผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีไต้หวัน เธอเป็นผู้มีนโยบายหนุนการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันและมีท่าทีต่อเรื่องสถานะของความเป็นประเทศไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่แบบต้องการคงสถานะปัจจุบันไว้จากที่เธอไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าจะให้ไต้หวันเป็นเอกราชและไม่เคยแสดงออกยอมรับให้มีการรวมชาติกับจีนแผ่นดินใหญ่

ทั้งนี้ ในกรณีของไต้หวันยังมีการวิเคราะห์ว่าพรรค DPP และไช่อิงเหวิน ต่างก็ได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวดอกทานตะวันที่เป็นการประท้วงต่อต้านพรรค KMT โดยกลุ่มเยาวชน นอกจากนี้ยังอาจจะเป็นเพราะกลุ่มประชากรเริ่มนิยามตัวเองว่าเป็น "คนไต้หวัน" มากกว่าเป็น "คนจีน" เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากร้อยละ 17.6 ในปี 1992 เป็นร้อยละ 60.6 ในปี 2014 จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิงจี (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

ฟิลิปปินส์เลือกตั้งได้ผู้นำสไตล์มือปราบปืนเถื่อน ทำสงครามยาเสพย์ติดประเดิมรับตำแหน่ง

แต่ประเทศที่ได้ผู้นำขวาจัดคนใหม่อย่างชัดเจนดูเหมือนจะเป็นฟิลิปปินส์ ที่การเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตนายกเทศมนตรีดาเวาซิตี ชนะการเลือกตั้งได้ ดูเตอร์เตผู้มีภาพลักษณ์เป็น "มือปราบปืนเถื่อน" ผู้สัญญาว่าจะปราบอาชญากรรมและยาเสพติดด้วยความรุนแรง มีคนพยายามวิเคราะห์ว่าเหตุใดชาวฟิลิปปินสืถึงหันมานิยมผู้นำที่ดูรุนแรงแบบนี้ บ้างก็บอกว่ามันเป็นการเมืองเรื่องที่เน้นบุคลิกภาพตัวบุคคลมากกว่าจะสนใจเรื่องนโยบาย แต่ก็มีบางส่วนมองว่าชาวฟิลิปปินส์เรียกร้องหา "อำนาจนิยมใหม่" เพราะโกรธแค้นชนชั้นนำเดิมที่มีความเป็นคณาธิปไตย ละเลย และไม่ใยดีพวกเขา

 

ฮ่องกง: 'โลคัลลิสต์ขั้วอำนาจใหม่หลังปฏิวัติร่มชนะเลือกตั้งหลายเขต แต่ไม่วายถูกจีนสกัด

สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงหน้าใหม่ ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2016 (แถวบนจากซ้ายไปขวา) 1. นาธาน หลอ แกนนำนักศึกษาชุมนุมปฏิวัติร่ม จากพรรค Demosisto 2. เอ็ดดี ชู อดีตสื่อมวลชนและนักกิจกรรมด้านสิทธิชุมชนของฮ่องกง 3. เล่า เสี่ยวไหล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่บรรยายเรื่อง "ความยุติธรรมทางสังคม" ในช่วงชุมนุมปฏิวัติร่ม (แถวล่างจากซ้ายไปขวา) 4. บัจโจ เหลียง ผู้ก่อตั้งพรรค Youngspiration 5. เหยา ไว-ชิง จากพรรค Youngspiration เคยแพ้นักการเมืองรุ่นใหญ่ในการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ขอฮึดสู้สนามใหญ่จนชนะเลือกตั้งในที่สุด 6. เจิ้ง จุง-ไท้ หันหลังให้พรรคสายประนีประนอมรัฐบาลปักกิ่ง สู่การตั้งพรรค Civic Passion โดยกรณีของบัจโจ เหลียง และ เหยา ไว-ชิง กลายเป็นประเด็นอีกรอบ หลังศาลฮ่องกงให้พวกเขาขาดคุณสมบัติเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง โดยอ้างว่า “ไม่จริงใจ” ในการสาบานตน

ในฮ่องกงกำลังมีประเด็นในเรื่องความไม่พอใจต่อการแทรกแซงการเมืองโดยจีนแผ่นดินใหญ่ โดยผลการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกง (LegCo) เมื่อ 4 กันยายน 2016 ที่ผ่านมา พบว่าพรรคการเมืองกลุ่มไม่นิยมรัฐบาลจีน ได้ที่นั่งรวมกัน 30 ที่นั่ง ประกอบด้วยพรรคการเมืองสายนิยมประชาธิปไตย (Pan-democrats) ได้ 22 ที่นั่ง และขั้วการเมืองใหม่ที่ก่อตัวหลังการชุมนุม “Occupy Central” หรือการปฏิวัติร่มเมื่อปี 2014 ได้แก่ พรรคการเมืองสาย “โลคัลลิสต์” (Localists) และกลุ่มเรียกร้องให้ฮ่องกงเป็นอิสระ ได้ 8 ที่นั่ง

ทั้งนี้ แม้ว่าพรรคฝ่ายหนุนจีนแผ่นดินใหญ่จะยังคงได้รับที่นั่งเสียงข้างมากในสภา แต่ก็มีกลุ่มเยาวชนที่เคยเคลื่อนไหวเรียกร้องไม่ให้จีนแทรกแซงประชาธิปไตยฮ่องกงจำนวนหนึ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนสภา ไม่ว่าจะเป็น นาธาน หลอ กับเพื่อนๆ นักกิจกรรมของเขาจากกลุ่มเดโมซิสโต (Demosisto) หรือ ซิกซ์ตัส บัจโจ เหลียง กับ เหยา ไว-ชิง จากกลุ่ม 'ยังสไปเรชัน' ที่ต้องการเรียกร้องอิสรภาพให้ฮ่องกง

ทว่าในช่วงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เหลียงละโหยวไว่ชิงปฏิเสธไม่ยอมสาบานตนว่าจะภักดีต่อ "เขตปกครองพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน" แต่กลับสาบานตนต่อ "ประเทศฮ่องกง" แทน ทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ไม่พอใจ และศาลสูงของฮ่องกงได้ตัดสินให้พวกเขา "มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม" โดนอ้างว่า ไม่จริงใจในการสาบานตน

 

เปรูผู้นำพรรคสายกลางเฉือนชนะลูกสาวฟูจิโมริ
พรรคฝ่ายซ้ายได้ที่นั่งในสภา 20 ที่นั่ง

ในเปรูเมื่อเดือนเมษายนก็มีการเลือกตั้ง ส.ส.และประธานาธิบดี โดยในการเลือกตั้งส.ส. พรรคป็อบปูลาร์ฟอร์ซชนะที่นั่งในสภาอย่างท่วมท้นโดยได้รับ 73 ที่นั่งจากทั้งหมด 130 ที่นั่ง ในด้านการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีการเลือกตั้งแบ่งเป็นสองรอบ โดยในรอบแรกผู้สมัคร เคย์โกะ ฟูจิโมริ ตัวแทนจากพรรคป็อบปูลาร์ฟอร์ซ ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีอัลแบร์โต ฟูจิโมริ ได้รับคะแนนเสียงข้างมากแต่ยังไม่ถึงร้อยละ 50 ทำให้ตามกฎของเปรูแล้วจึงมีการเลือกตั้งรอบสอง แต่ในการเลือกตั้งรอบที่สองเปโดร ปาโบล คักซินสกี จากพรรคคู่แข่งเปรูเวียนฟอร์เชนจ์พลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนนเสียง 8.59 ล้านเสียง หรือร้อยละ 50.12 ขณะที่ฟูจิโมริได้รับคะแนนเสียง 8.55 ล้านเสียง หรือร้อยละ 49.88 ฟูจิโมริประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ต่อคักซินสกีในวันที่ 10 มิถุนายน

นอกจากการขับเคี่ยวของสองพรรคใหญ่แล้ว พรรคสำดับที่สามซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายของเปรูชื่อ 'เอล เฟรนเต อัมปริโอ' (El Frente Amplio) หรือ 'บรอดฟรอนท์' ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนทำงานบริการทางเพศชื่อ อังเกลา วิลลอง ผู้ลงชิงชัยในการเลือกตั้ง ส.ส. ของเปรู เพราะต้องการช่วยเข้าไปเรียกร้องสิทธิสตรีและสิทธิแรงงานจากที่เธอเคยมีพื้นเพเป็นผู้เคยอยู่กับความยากจนมาก่อน โดยในการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้รับคะแนนเสียงการเลือกตั้งสมาชิกสภาร้อยละ 13.9 ชนะที่นั่ง 20 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามวิลลองไม่สามารถชนะการเลือกตั้งเข้าไปในสภาได้ในครั้งนี้

 

สเปนฝ่าทางตันทางการเมืองได้ด้วยวิถีแห่งการเลือกตั้ง

ยุโรปอีกประเทศหนึ่งที่มีกลุ่มฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายขับเคี่ยวกันในศึกการเลือกตั้งอย่างไม่มีใครลดราวาศอกคือสเปนที่มีการจัดการเลือกตั้งซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เพื่อแก้ไขสถานการณ์หลังจากที่ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือน ธันวาคม 2014 ไม่สามารถตกลงจัดตั้งสภากันได้ โดยที่ไม่มีพรรคใดได้เป็นเสียงข้างมากในสภา

ในการเลือกตั้งรอบ 2 ของสเปนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพรรคฝ่ายซ้ายอย่างโปเดมอสพยายามรวมกลุ่มฝ่ายซ้ายด้วยกัน เป็นยูนิดอส โปเดมอส เพื่อต่อสู้กับสองพรรคใหญ่ดั้งเดิมอย่างพีเพิลปาร์ตีหรือพีพี (PP) นำโดย มาริอาโน ราฮอย และ กับพรรคสังคมนิยมแรงงานสเปนหรือพีเอสโออี (PSOE) นำโดย เปโดร ซานเชซ แต่ผลออกมาก็ยังไม่มีใครชนะขาด โดยที่พรรคสายขวากลางของราฮอยยิ่งได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นด้วย

แต่ในวันที่ 29 ตุลาคม สเปนก็พ้นจากทางตันทางการเมืองหลังจากที่พรรคพีเอสโออีมีปัญหาภายในจนงดออกเสียงในที่ประชุมสภาเพื่อลงมติแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทำให้มาริอาโน ราฮอย ได้รับคะแนนเสียงมติในสภามากพอจะเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด

 

ฝ่ายขวาผงาดยุโรป แต่พรรคกรีนยังคงชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีออสเตรีย

ยุโรปยังถูกจับตามองจากสื่อด้วยความกังวลว่าพรรคการเมืองแนวทางขวาจัดจะมีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งประธานาธิบดีออสเตรียรอบที่ 2 เมื่อ 4 ธันวาคม สมาชิกพรรคกรีน อเล็กซานเดอร์ แวน เดอ เบลเลน ก็เป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 53.8 ได้คะแนนเสียง 2.4 ล้านคะแนน ขณะที่ผู้นำพรรคขวาจัดนีโอนาซีอย่างนอร์เบิร์ต โฮเฟอร์ ออสเตรียนฟรีดอมปาร์ตีหรือ เอฟพีโอ (FPO) ได้รับคะแนนร้อยละ 46.2 ซึ่งถึงแม้ว่าจะพรรคฝ่ายขวายังคงแพ้การเลือกตั้ง แต่ก็ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนถึง 2.1 ล้านคะแนน Foreign Policy วิเคราะห์ว่าเป็นเพราะออสเตรียซึ่งเป็นประเทศที่เคยมีส่วนร่วมในการกระทำโหดร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับพยายามปกปิดรอยบาปของตนเองจนทำให้ประชาชนไม่ได้เรียนรู้

 

กานาฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ

ในอีกมุมหนึ่งของโลกคือแอฟริกาผู้ที่เป็นฝ่ายค้านก็เป็นฝ่ายกลับมาเอาชนะพรรครัฐบาลเดิมได้เช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นานา อะคูโฟ-แอดโด จากพรรคชาตินิยมใหม่ (New Patriotic หรือ NPP) ชนะคู่แข่งจอห์น ดรามานี มาฮามา จากพรรคเอ็นดีซี (NDC) ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 53.85 ต่อร้อยละ 44.4 นักวิเคราะห์มองว่าที่พรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษ์นิยมของกานาได้รับคะแนนเสียงจนชนะการเลือกตั้งได้ในครั้งนี้เป็นเพราะชาวกานากำลังประสบปัญหาการว่างงาน เรื่องค่าครองชีพ ทำให้การหาเสียงของพรรค NPP ที่เน้นเรื่องการสร้างงานสามารถมัดใจประชาชนได้

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คดี ม.112 บุรินทร์รับสารภาพปมแชทเฟซบุ๊กกับแม่จ่านิว ศาลทหารนัดฟังคำพิพากษา 27 ม.ค.นี้

$
0
0

24 ม.ค.2560 ความคืบหน้าคดีของ บุรินทร์ อินติน จำเลยในคดีที่ถูกฟ้องว่าได้ไปแสดงความคิดเห็นใต้คลิปวิดีโอและได้แชทกับ พัชนรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ ซึ่งเป็นแม่ของสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ในเฟซบุ๊กรวมทั้งหมด 2 กรรม ในฐานความผิดหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำเข้าข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 นั้น

ล่าสุดวันนี้ (24 ม.ค.60) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลทหารมีนัดสอบคำให้การ บุรินทร์  โดย บุรินทร์ได้รับสารภาพทุกข้อหา ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาในวันศุกร์ที่ 27 ม.ค.2560

บุรินทร์ ถูกจับกุมตั้งแต่ 27 เม.ย. 59 จากการเข้าร่วมกิจกรรม “ยืนเฉยๆ” กับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ หลังจากถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไทต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2558 ควบคุมตัวออกไปจากห้องสอบสวน

ภาพทหารเข้าควบคุมตัว บุรินทร์ อินติน 1 ใน 16 ผู้ที่ถูกจับกุมกรณียื่นแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2559 ขณะสอบปากคำอยู่ในห้องสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.59 พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายเสนาธิการผู้บังคับบัญชา คณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมาย คสช. นำตัว บุรินทร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ มาตรา 14 (3) นำส่งให้พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง รอง ผกก. (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. ดำเนินคดี และถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 30เม.ย.2559

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรื่องราวของ 'พี่ไผ่' จดหมายจากแม่คนหนึ่งถึงเด็กๆ...

$
0
0

แม่ตัดสินใจเขียนจดหมายนี้เพื่อลูกและเพื่อเด็กๆซึ่งกำลังเติบโตอีกหลายคน ที่อาจรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกที่เคยสวย เมื่อได้ยินข่าวคราวของ "พี่ไผ่" ... ลูกโตพอแล้วที่จะรับรู้อะไรมากกว่าชีวิตและความสุขสบายของตัวเอง

พี่ไผ่เป็นนักศึกษา และนักกิจกรรม

นักศึกษาก็คล้ายๆนักเรียนแบบลูก คือต้องไปเรียนหนังสือ ต่างกันตรงที่พี่ไผ่เรียนในมหาวิทยาลัยแล้วในคณะนิติศาสตร์ เพื่อจะรู้เรื่องกฎหมายไว้ใช้ทำประโยชน์ในการทำงานต่อไป แต่ที่เป็นคำใหม่สำหรับเด็กๆน่าจะเป็นคำว่า "นักกิจกรรม" พูดอย่างง่าย นักกิจกรรมคือคนที่คิดทำกิจกรรมเพื่อการแสดงออกถึงความคิดความเชื่อบางอย่าง เพื่อให้คนอื่นๆรับรู้ เข้าใจ และหันมาช่วยกันทำสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้องและมีประโยชน์

กิจกรรมที่พี่ไผ่เคยทำมักเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน รักษาสิทธิในคุณภาพชีวิตของชาวบ้านจากคนรวยๆที่เข้าไปหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เช่นการทำเหมือง และสิทธิทางการเมือง พี่ไผ่เคยได้รับรางวัลจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้วยนะ เพราะสิ่งที่พี่ไผ่และเพื่อนนักศึกษา"กลุ่มดาวดิน" ทำนั้นมีประโยชน์กับชาวบ้านมาก เขาจึงเป็นที่รู้จักในชื่อ "ไผ่ ดาวดิน" นั่นแหละ :)

แต่ก็ไม่ใช่แค่รางวัลหรอกที่พี่เขาได้รับ การทำกิจกรรมบางครั้งก็สร้างปัญหาให้พี่ไผ่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่เราเชื่อก็มีคนไม่เชื่อ สิ่งที่เราคิดว่าถูก บางครั้งก็มีคนไม่ชอบใจ โดยเฉพาะคนที่เสียประโยชน์จากการทำกิจกรรมของพี่ไผ่

พี่ไผ่เคยถูกจับมาก่อนหน้านี้แล้ว จากการทำกิจกรรมเพื่อให้คนเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติที่ผ่านมานั้น เราควรไปโหวต"ไม่รับ" เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยและจะทำให้เราเสียสิทธิหลายๆอย่างไป แต่นายกฯ ที่สื่อมวลชนให้เด็กๆเรียกอย่างน่ารักว่า "ลุงตู่" เค้าไม่ชอบ เค้าไม่อยากให้ใครพูดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่ดี เค้าอยากให้คนอยู่กันเงียบๆบ้านเมืองจะได้สงบ พี่ไผ่เลยถูกจับเพราะไปจัดงานเสวนาเรื่องนี้ในมหาวิทยาลัย ตอนนี้คดีนั้นก็ยังอยู่ และชื่อของพี่ไผ่ก็ได้ไปอยู่ในบัญชีรายชื่อคนที่ทหารจะติดตามพฤติกรรมตลอดเวลาด้วย

คราวนี้สาเหตุที่ทำให้พี่ไผ่ติดคุกในตอนนี้มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจยากนิดหน่อยสำหรับเด็กๆ เราอยู่ในประเทศไทย และประเทศไทยมีกฎหมายที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่มีหรือไม่ใช่กันแล้วคือ "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" (ม.112) ซึ่งของเรานั้นมีโทษหนักที่สุดในโลก องค์การสหประชาชาติและประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายเคยบอกหลายทีแล้วว่าเราควรแก้กฎหมายฉบับนี้ เพราะขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน พูดง่ายๆว่าการมีอยู่ของกฎหมายฉบับนี้ในแบบที่เป็นอยู่อาจทำให้คนเดือดร้อนได้มากอย่างไม่เป็นธรรม

แต่คนที่มีอำนาจในเมืองไทยก็ไม่เคยคิดจะแก้ไข เขายังเชื่อว่าคนเราควรติดคุกได้ถึง 15 ปี หากพูดจาไม่ดีเรื่องพระราชา และพี่ไผ่ก็ถูกกล่าวหาในเรื่องนี้

ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ลูกอาจลองนึกดูว่า วันนึงหนูนั่งๆอยู่แล้วคุยกับเพื่อนเรื่องคุณพ่อ แต่ลูกไม่ได้ยกย่องคุณพ่อและพูดให้พ่อดูไม่ดีในสายตาเพื่อน แม่มารู้เข้าเลยจับหนูไปขังในห้องใต้ดิน ให้อยู่อย่างนั้นเป็นปีๆไม่ต้องออกไปวิ่งเล่นหรือเรียนหนังสือ เพราะหนูพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับคุณพ่อ

ม.112 ก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นหากเราอยู่ในประเทศไทย หนูต้องระวังอย่างมาก จะพูดถึงพระราชาตามใจแบบในนิทานบางเรื่องไม่ได้ ลูกต้องพูดแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น จำไว้

คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อเดือนธันวาคม สำนักข่าวบีบีซี (ซึ่งลูกและใครๆทั่วโลกก็รู้จักดีเพราะหนูเคยดูสารคดีจากช่องนี้บ่อยๆ) ได้เผยแพร่บทความ"พระราชประวัติ"(แปลว่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา) ของในหลวงพระองค์ใหม่ เหมือนทุกครั้งที่เผยแพร่ประวัติผู้นำคนใหม่ที่สำคัญๆทั่วโลก ซึ่งก็จะประกอบไปด้วยเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับชีวิตคนคนนั้น เช่นเดียวกับในบทความครั้งนี้ บ่อยครั้งจะมีบางส่วนที่อาจฟังดูไม่น่าปลื้มใจนัก สำหรับบทความครั้งนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาให้ข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ แม้ทางบีบีซีจะออกมาตอบแล้วว่าเป็นบทความที่เขียนขึ้นบนหลักการของบีบีซี ในการให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้กับผู้อ่านในทุกประเทศทั่วโลก

หนูคงจำได้ที่แม่เคยบอก คนเราทุกคนมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถเรียนรู้และพยายามทำดีขึ้นไปได้ตลอดชีวิต.. หากวันหนึ่งหนูเกิดได้เป็นบุคคลสำคัญขึ้นมา บีบีซีคงเขียนถึงลูกเหมือนกันนะ เขาอาจมาสัมภาษณ์แม่ด้วย และแม่ก็คงไม่พลาดที่จะเล่าเรื่องที่หนูเคยดื้อตอนเด็กๆให้ฟังแน่ๆ

ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาคงจะไปหาข้อมูลมาเขียนเอง และคนอ่านก็จะคิดตามว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ลูกควรทำทุกครั้งที่อ่านงานเขียนของใคร

เอาหละ ปัญหาของพี่ไผ่ก็เกิดตรงนี้ ในวันแรกที่บทความเวอร์ชั่นแปลเป็นภาษาไทยถูกเผยแพร่ออกไปทางเว็บไซต์และเฟสบุ๊ค มีคนกดไลค์เป็นหมื่นและแชร์ออกไปกว่า 2,800 คน หนึ่งในนั้นก็คือพี่ไผ่

พี่ไผ่เป็นคนเดียวที่ถูกจับในเช้าวันรุ่งขึ้น ลูกอาจแปลกใจว่าทำไม แม่บอกไปแล้วว่าพี่ไผ่อยู่ในบัญชีรายชื่อคนที่ทหารในพื้นที่ต้องติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ทหารคนที่ไปแจ้งความจับพี่ไผ่เป็นคนบอกเอง เขายังบอกกับแม่ด้วยว่าเขาต้องปกป้องนายของเขา และเขาเชื่อว่าการแชร์บทความที่พี่ไผ่ทำลงไปนั้นเป็นความผิด ก่อนแจ้งความเขาได้ปรึกษาทหารคนอื่นๆบางคนด้วย และพวกเขาก็มีความเห็นตรงกัน

เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือกระบวนการทางกฎหมาย ตามปกติในระหว่างการพิจารณาคดี (คือก่อนศาลจะตัดสินว่าผู้ถูกกล่าวหาทำผิดจริงหรือไม่) ผู้ต้องหาจะไม่ถูกกักขัง เพราะยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในกรณีของพี่ไผ่ ศาลอนุมัติให้ฝากขังและไม่ได้รับการประกันตัวมาเดือนกว่าแล้ว

ในส่วนนี้มีรายละเอียดอีกมากมายที่พี่ไผ่ถูกละเมิด แต่คงเป็นเรื่องซับซ้อนเกินไปที่แม่จะอธิบายให้ลูกฟังตอนนี้ และบางเรื่องก็อาจรุนแรงเกินไปที่เด็กวัยอย่างหนูจะต้องมารับรู้

ส่วนต่อจากนี้น่าจะเป็นส่วนที่ยากที่สุดแล้วที่แม่จะเขียนต่อ อันที่จริงก็ยังนึกไม่ออกว่าจะสรุปให้ลูกฟังอย่างไรให้เรื่องราวทั้งหมดนี้ฟังดูสมเหตุสมผล มันไม่ง่ายเหมือนเล่านิทานที่พระเอกนางเอกจะพ้นภัยเสมอในตอนจบ และแม่จะสามารถจบด้วยสุภาษิตสวยๆว่าคนทำดีต้องได้ดี หรือ ความกล้าหาญจะนำสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดี หรือ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ฯลฯ เพราะแม่ก็ไม่รู้จริงๆว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

แต่ลูกจำได้ใช่มั้ยที่แม่บอกว่าพี่ไผ่เป็นนักกิจกรรม เขาเคยแสดงออก ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ ดังนั้นแม่และเพื่อนๆของแม่ก็จะพยายามทำสิ่งเดียวกัน สื่อสารให้คนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หวังให้คนเชื่อมั่นในสิ่งเดียวกันจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ว่าสิทธิในความเป็นคนของพี่ไผ่และอีกหลายๆคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับพี่ไผ่จะต้องได้รับการเคารพ

หวังว่าในตอนจบของเรื่องนี้ แม่จะสามารถกลับมาบอกกับลูกได้ว่า คนเราต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และการยืนหยัดเพื่อความเป็นธรรมนั้นคุ้มค่าเสมอ

แต่สิ่งที่แม่สามารถบอกลูกได้เลยในตอนนี้ คือหากในวันหนึ่งลูกเติบโตและมีอำนาจวาสนา ขอจงใช้มันอย่างรอบคอบและสร้างสรรค์ เราได้เห็นตัวอย่างของสิ่งที่ตรงข้ามมามากพอแล้ว

ระหว่างนี้ หนูยังมีความสุขกับชีวิตในโลกสวยๆ ต่อไปได้ ขอเพียงอย่าลืมว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเรา เกิดอะไรขึ้นกับลูกของแม่อีกคนอย่าง"พี่ไผ่"

และแม่จะทำให้หนูเห็น ว่าเราเป็นได้มากกว่าคนนั่งมอง


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน  เฟซบุ๊ก 
Bow Nuttaa Mahattana


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บิ๊กกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถูกจับที่ญี่ปุ่น หลังต้องสงสัยขโมยภาพในโรงแรม

$
0
0

รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเดินทางไปเข้าร่วมประชุมเรื่องสิทธิบัตร ถูกจับกุมและดำเนินคดีที่ประเทศญี่ปุ่น หลังต้องสงสัยขโมยภาพวาด3 ภาพมูลค่า 15,000 เยน ในโรงแรม 

25 ม.ค. 2560 จากกรณีที่สื่อท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเกียวโต ได้เข้าควบคุมตัวชายไทยต้องสงสัยเป็นผู้ขโมยภาพวาดในโรงแรม และจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุเป็นข้าราชการระดับรองอธิบดีคนหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ไทย

ล่าสุดทางกระทรวงพาณิชย์ ออกมาชี้แจงแล้วว่า สุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถูกจับกุมและดำเนินคดีที่ประเทศญี่ปุ่น และขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุม  และติดตามรายละเอียด

วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (แฟ้มภาพ)

สื่อหลายสำนักรายงานว่า วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้รับทราบถึงกรณีดังกล่าวแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่าง การประสานงานของสถานกงสุลไทยในญี่ปุ่น และสำนักงานพาณิชย์ไทย โดยต้องเข้ากระบวนการตามกฎหมายของญี่ปุ่น แต่ในส่วนของรายละเอียดนั้น คงต้องรอการเดินทางกลับมาเพื่อชี้แจงรายละเอียดที่ประเทศไทย โดยยอมรับว่าช่วงเวลานี้ มีข้าราชการระดับรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินทางไปเข้าร่วมประชุม เรื่องสิทธิบัตร ที่ประเทศญี่ปุ่นจริง

“ทราบมาว่าข้าราชการคนดังกล่าวได้เดินทางไปหารืองานกับรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ในรายละเอียดการกระทำผิด หรือข้อมูลอื่นนั้น สถานกงสุลไทยที่โอซากา และสำนักงานพาณิชย์ ณ เมืองโอซากา อยู่ระหว่างประสานงาน และในข้อเท็จจริงต่างๆ กระทรวงพาณิชย์จะขอตรวจสอบในเบื้องลึกอีกครั้งหลังจากข้าราชการคนดังกล่าวกลับมาถึงไทย โดยขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายของญี่ปุ่น” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากกระทรวงต่างประเทศยอมรับว่า ได้รับทราบรายงานจากสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว กรณีที่รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ถูกจับที่ญี่ปุ่น ฐานขโมยภาพวาดของโรงแรมแล้ว และกำลังเตรียมที่จะแถลงความคืบหน้าในการประสานกับทางการญี่ปุ่นถึงการดำเนินคดีดังกล่าวภายในวันนี้
 
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เมืองเกียวโตได้เข้าควบคุมตัว ขอหาขโมยภาพวาด 3 ภาพมูลค่า 15,000 เยน ที่ติดอยู่ในโรงแรม เมื่อพนักงานพบว่ามีภาพวาดที่ตกแต่งอยู่บริเวณชั้น 9-10 ได้หายไป ก่อนตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบชายไทยผู้ต้องสงสัยที่เข้าพักในโรงแรม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจค้นกระเป๋าระหว่างการเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมจึงพบภาพวาด จากนั้นตำรวจได้นำตัวไปควบคุมที่สถานีตำรวจในเมืองเกียวโต และเตรียมส่งดำเนินคดี โดยจะถูกนำตัวส่งฟ้องศาลต่อไป

ต้องใช้ทนายญี่ปุ่นว่าความ

อำนาจ โชติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงกรณีที่คนไทยหรือข้าราชการไทย ที่ถูกจับกุมเกี่ยวกับคดีอาญาในต่างประเทศ ว่า ตามขั้นตอนจะต้องมีการประสานผ่านทางสถานทูตไทย ที่ประจำอยู่ในประเทศนั้น เพื่อจัดเจ้าหน้าที่ไปดูแลช่วยเหลือในเบื้องต้น
 
ส่วนกระบวนการแก้ต่างทางคดีนั้น ก็จะต้องใช้ทนายของทางประเทศที่เกิดเหตุ เพื่อช่วยดูแลคดีให้ เพราะการจะไปว่าความต้องมีใบอนุญาตว่าความจากประเทศนั้นๆ เช่นเดียวกับการที่ข้าราชการไทย ระดับรองอธิบดีถูกจับกุมที่ญี่ปุ่นในคดีขโมยภาพวาดในโรงแรม ก็เช่นกัน คงต้องใช้ทนายชาวญี่ปุ่นที่ช่วยว่าความให้ แต่เบื้องต้น ทางสำนักงานอัยการคดีต่างประเทศ ยังไม่ได้รับรายงานหรือยังไม่ได้รับการประสานจากทางกระทรวงการต่างประเทศ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ไปช่วยดูแลคดีแต่อย่างใด แต่หากมีการประสานเข้ามา ทางสำนักงานอัยการคดีต่างประเทศ ก็จะให้คำปรึกษาในขั้นตอนทางกฎหมายได้ แต่คงไม่มีอำนาจไปแก้ต่างทางคดีถึงประเทศญี่ปุ่นได้

 

ที่มา : มติชนออนไลน์ คมชัดลึกออนไลน์และสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเขียนบท Saturday Night Live ถูกสั่งพักงานหลังทวีตโจมตีลูก โดนัลด์ ทรัมป์

$
0
0

เคธี ริช นักเขียนบทรายการโทรทัศน์ตลก ถูกสั่งพักงานหลังทวีตโจมตีบาร์รอน ทรัมป์ ลูกชายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยต่อมาริชออกมาขอโทษต่อสาธารณชนและยอมรับว่าสิ่งที่เธอทำลงไป "ไม่อาจให้อภัยได้"

24 ม.ค. 2560 เหล่าผู้บริหารของรายการโทรทัศน์ "แซตเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์" (Saturday Night Live) ซึ่งเป็นรายการตลกและวาไรตี้โชว์ในสหรัฐฯ สักพักงานนักเขียนบทการแสดงชื่อ เคธี ริช หลังจากที่เธอโพสต์ทวิตเตอร์ล้อเลียน บาร์รอน ทรัมป์ ลูกชายอายุ 10 ปีของโดนัลด์ ทรัมป์

ริชโพสต์ข้อความดังกล่าวในช่วงสัปดาห์ที่แล้วตอนที่มีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นข้อความว่า "บาร์รอนจะเป็นคนแรกของประเทศที่ก่อเหตุกราดยิงในโรงเรียนแบบโฮมสคูล" ข้อความของเธอทำให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เธอพูดอย่างกว้างขวาง ในช่วงนี้เองที่บัญชีทวิตเตอร์ของเธอก็ถูกสั่งระงับไปชั่วคราว (deactivate) ก่อนที่ต่อมาจะโพสต์ขอโทษต่อสาธารณชนพร้อมทั้งยอมรับว่าการกระทำของเธอเป็นสิ่งที่ "ไม่อาจให้อภัยได้"

"ฉันขอโทษจากใจจริงที่ทวิตในสิ่งที่ไม่คำนึงถึงความอ่อนไหวออกไป ฉันรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่ได้กระทำและใช้คำล่วงละเมิดออกไป มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ และฉันก็เสียใจอย่างมาก" ริชโพสต์ขอโทษผ่านทางทวิตเตอร์

ฮัฟฟิงตันโพสต์ตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากที่ริชถูกสั่งพักงานชั่วคราวชื่อของเธอก็ไม่ปรากฏอยู่ในเครดิตท้ายรายการของแซตเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์ตอนล่าสุด ทางด้านตัวทรัมป์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ จากที่ก่อนหน้านี้ในอดีตเคยพูดถึงแซตเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์มาก่อนโดยเฉพาะเรื่องที่ อเล็ก บาลด์วิน นักแสดงอเมริกันชอบแต่งกายและแสดงท่าทีล้อเลียนโดนัลด์ ทรัมป์

ในช่วงระหว่างและหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งมีผู้คนทั่วทุกรัฐในสหรัฐฯ ออกมาประท้วงในนาม "วูแมนมาร์ช"  รวมถึงมีบางกลุ่มในประเทศอื่นๆ ที่ร่วมชุมนุมส่งใจให้ผู้ชุมนุมต้านทรัมป์ในสหรัฐฯ

 


เรียบเรียงจาก

‘Saturday Night Live’ Writer Suspended Over Joke About Donald Trump’s Son, Huffington Post, 24-01-2017
http://www.huffingtonpost.co.uk/entry/saturday-night-live-writer-suspended-barron-trump-donald_uk_58874a3ae4b0b8867de8f879

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบย้ายค่ายเบอร์เดิมไม่ราบรื่น เหตุค่ายมือถืออ้างค้างชำระค่าบริการ

$
0
0

กสทช. ประวิทย์ ชี้หลักเกณฑ์ใหม่ย้ายค่ายเบอร์เดิมเพิ่มความสะดวก แต่ผู้ใช้บริการจำนวนมากย้ายไม่ได้ เหตุค่ายมือถืออ้างค้างชำระค่าบริการ กระตุ้นสำนักงานเร่งตรวจสอบ

                  
25 ม.ค. 2560 สืบเนื่องจากการที่สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับปรุงระบบการให้บริการคงสิทธิเลขหมาย หรือ “ย้ายค่ายเบอร์เดิม” เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น โดยระบบใหม่นี้ได้พัฒนาระบบตรวจสอบสถานะของผู้ใช้บริการในการย้ายค่าย ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย โดยกด *151*เลขบัตรประชาชน 13 หลัก# แล้วกดโทรออก หากไม่ติดเงื่อนไขใด เช่น ข้อมูลผู้จดทะเบียนไม่ถูกต้อง หรือมียอดค้างชำระค่าบริการ ผู้ใช้บริการก็จะได้รับรหัสแสดงตน 8 หลัก ทาง SMS ภายใน 10 นาที เพื่อนำไปสมัครย้ายค่าย ณ จุดบริการของค่ายใหม่ โดยจะใช้เวลาในการดำเนินการย้ายค่ายภายใน 2 วันทำการ

ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เปิดเผยว่า การย้ายค่ายเบอร์เดิมในระบบนี้ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ โดยสามารถตรวจสิทธิในการขอย้ายค่ายได้ด้วยตนเอง เพียงกดรหัส ก็จะทราบผลได้ภายใน 10 นาที ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ศูนย์ให้บริการของค่ายมือถือเหมือนแต่ก่อน ซึ่งบริการในระบบใหม่นี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างไม่เป็นทางการ พบว่าผู้ใช้บริการบางส่วนสามารถใช้บริการย้ายค่ายเบอร์เดิมโดยไม่พบปัญหา แต่ก็มีผู้ใช้บริการบางส่วนที่ภายหลังกดขอรับรหัสแสดงตน 8 หลักแล้ว ได้รับข้อความปฏิเสธว่าไม่สามารถย้ายค่ายได้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแจ้งว่ามียอดค้างชำระค่าบริการ ทั้งที่ไม่ได้ค้างชำระค่าบริการ บางรายชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิต หรือบางรายใช้บริการแบบระบบเติมเงิน (prepaid) ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการเหล่านี้ติดต่อสอบถามไปยังบริษัทตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ระบุไว้ในข้อความสั้น กลับเจอระบบตอบรับอัตโนมัติ ทำให้ไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจึงไม่สามารถขอย้ายเลขหมายได้ กลายเป็นปัญหาอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นของผู้ต้องการโอนย้ายเลขหมาย

“โดยหลักเกณฑ์เงื่อนไขในกรณีที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจ่ายรายเดือน หากมีการค้างชำระค่าบริการจริงก็จะไม่สามารถโอนย้ายได้ แต่ถ้าเป็นการขอโอนย้ายในระหว่างรอบบิล คือยังไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการ ก็จะไม่ใช่กรณีการค้างชำระค่าบริการ ซึ่งบริษัทไม่สิทธิปฏิเสธคำขอโอนย้ายค่ายของผู้ใช้บริการได้ ส่วนค่าบริการที่ยังไม่ได้ชำระ ก็เป็นหน้าที่ที่ผู้ใช้บริการต้องไปชำระในภายหลังเมื่อได้รับบิลเรียกเก็บค่าบริการแล้ว ส่วนผู้ใช้บริการแบบระบบเติมเงินซึ่งเป็นการชำระค่าบริการไว้ล่วงหน้า ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะค้างชำระค่าบริการ”

ส่วนกรณีที่ผู้ใช้บริการติดสัญญาซื้อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษนั้น ประวิทย์ กล่าวว่า อันที่จริงผู้ใช้บริการมีสิทธิย้ายค่ายได้ เพราะตามประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานสัญญาให้บริการฯ ระบุชัดว่าผู้ใช้บริการสามารถยกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ เพียงแต่ผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบส่วนต่างค่าเครื่องเท่านั้น ดังนั้นหากเป็นปัญหานี้ ทางบริษัทก็ต้องแจ้งส่วนต่างดังกล่าวให้ผู้ใช้บริการรับทราบ ไม่ใช่ว่าห้ามย้ายหรือบอกว่าย้ายไม่ได้

นอกจากนี้ จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์ ยังพบปัญหาอื่นๆ เช่น ผู้ใช้บริการบางรายประสบปัญหาว่าไม่ได้รับข้อความสั้นตอบกลับ บางรายได้รับข้อความว่าอยู่ในกระบวนการย้ายค่าย หลังจากนั้นมีพนักงานบริษัทโทรมาพูดคุยในลักษณะหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ย้ายค่าย หรือแม้กระทั่งบางรายประสบปัญหาพนักงานบริษัทอ้างว่าเคยลงทะเบียนซิมไว้แบบถ่ายรูปบัตรประชาชน จึงไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ทำให้ไม่สามารถโอนย้ายได้ เป็นต้น

“ผมอยากให้ผู้ใช้บริการที่ประสบปัญหาแจ้งข้อมูลมายังสำนักงาน กสทช. สายด่วน 1200 เพื่อสำนักงาน กสทช. จะได้รวบรวมปัญหาและตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากนั้นจะได้บังคับผู้ให้บริการปรับปรุงระบบและดำเนินการให้บริการโอนย้ายเลขหมายผู้ใช้บริการตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขให้ถูกต้องต่อไป เพราะหัวใจสำคัญในช่วงแรกของการบังคับใช้หลักเกณฑ์เงื่อนไขใหม่นี้ คือการตรวจสอบว่าระบบและกระบวนการขั้นตอนการโอนย้ายมีปัญหาหรือติดขัดอุปสรรคใดหรือไม่ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ระบบและกระบวนการสามารถใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากไม่เร่งทำตอนนี้ ต่อไปปัญหาก็จะสะสมและสุดท้ายทำให้ระบบและกระบวนการขาดประสิทธิภาพ” ประวิทย์กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>