Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินมูลค่าความเสียหายสินบนโรลส์รอยส์

$
0
0
ประเมินมูลค่าปัจจุบันของสินบนโรลส์รอยส์และความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคม ขอสนับสนุนบทบาทของ ปยป. ในการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง พร้อม ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาผ่าน คณะกรรมการ ปยป 

 
22 ม.ค. 2560 ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตเปิดเผยว่าศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต ได้ทำการประเมินมูลค่าปัจจุบันของสินบนโรลส์รอยส์ในเบื้องตัน พบว่า มีมูลค่าปัจจุบัน โดยรวมจากการให้สินบนและการทุจริตคอร์รัปชันสามครั้งโดยรวมประมาณเท่ากับ 3,417 ล้านบาท (กรณีแรกใช้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 5% คำนวณ) เท่ากับ 2,780 ล้านบาท (กรณีที่สอง ใช้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 4%) หรือเท่ากับ 2,263 ล้านบาท (กรณีที่สาม ใช้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3%) โดยทั้งสามกรณีใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ 32-35 บาทต่อดอลลาร์ มูลค่าปัจจุบันของสินบนที่ระดับ 2,263-3,417 ล้านบาทนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ความเสียหายและมูลค่าสินบนสูงสุดในยุครัฐบาลรัฐประหารเผด็จการ รสช ในปี พ.ศ. 2534-2535 อยู่ที่ประมาณ 1,386-2,248 ล้านบาท
 
จะเห็นได้ว่า กรณีสินบนโรลส์รอยศ์นี้เป็นกรณีตัวอย่างสะท้อนว่า การทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ยังเกี่ยวข้องกันนักการเมืองแต่งตั้งโดยอำนาจรัฐประหารด้วย เกี่ยวข้องกับผู้นำกองทัพ เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและบอร์ดรัฐวิสาหกิจอีกด้วย กรณีนี้เป็นเพียงรัฐวิสาหกิจเดียวเท่านั้นที่ถูกตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลโดย สำนักงานปราบปรามการทุจริตของอังกฤษ (Serious Freud Office (SFO) ผมและประชาชนผู้เสียภาษีทั้งหมดและผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้ต้องขอขอบพระคุณ สำนักงานปราบปรามการทุจริตของอังกฤษ (Serious Freud Office (SFO) เป็นอย่างสูงและ ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแห่งที่ได้ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องถูกตรวจสอบ สอบสวนและนำเข้ามาสู่การกระบวนการยุติธรรมและยึดทรัพย์ต่อผู้กระทำความผิด 
 
ตนในฐานะ อนุกรรมการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ที่ทำหน้าที่มาหลายรัฐบาลขอเรียนว่า กรณีการบินไทยไม่ใช่กรณีเดียวอย่างแน่นอนที่มีการติดสินบนการจัดซื้อจัดจ้างเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า การจัดซื้อจัดจ้างไม่ต่ำ 60%-70% ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีปัญหาเช่นนี้ การติดสินบนหรือคอร์รัปชันในลักษณะนี้ได้ทำกันจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปรกติ เป็นที่เอือมระอาของบรรดานักธุรกิจและนักลงทุนทั้งหลายที่ไม่เห็นด้วยกับระบบอันฉ้อฉลนี้ 
 
ดร. อนุสรณ์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวอีกว่า การติดสินบนเช่นนี้และการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นเสมอ และ หลายกรณีก็ไม่ปรากฏว่าเอาผิดใครได้ ทั้งกรณี CTX กรณีการจัดซื้ออาวุธ การรั่วไหลจากการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจจึงซื้อของไม่มีคุณภาพและราคาแพง ให้ประเทศและประชาชนได้มาใช้ บางทีความเสียหายจากการดำเนินการในลักษณะนี้มากมายกว่าความเสียหายทางการเงินเพราะมันหมายถึง ต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ การบิดเบี้ยวของการพัฒนา ปัญหาต่างๆในการจัดซื้อที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานในระบบราชการและรัฐวิสาหกิจเสียชีวิตหรือไม่ปลอดภัย กิจการหรือบริษัทดีๆที่ไม่ยอมจ่ายสิ้างสินบนบางแห่งถึงขั้นล้มละลาย ต้องเลิกจ้างพนักงานทำให้เกิดปัญหาการว่างงานอีก ภาคเอกชนไทยก็จะลงทุนทางด้านวิจัยและสร้างนวัตกรรมน้อยแต่จะใช้เงินไปสร้างสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ ข้าราชการระดับสูงในหลายกรมก็ไปเป็นที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เอื้อประโยชน์ให้กันโดยไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล การแต่งตั้งอธิบดีบางกรมต้องผ่านความเห็นชอบกับกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่รับสัมปทานจากรัฐก่อน ระบบแบบนี้ สั่นคลอนระบบคุณธรรมในระบบราชการ คนดีมีความรู้ความสามารถขาดโอกาสในการเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้นได้ 
 
ส่วนต่างค่าคอมมิสชั่นหรือสินบนไปอยู่ในกระเป๋าของผู้มีอำนาจทั้งในระบบรัฐวิสาหกิจ ระบบราชการและระบบการเมืองทั้งแบบแต่งตั้งโดยรัฐประหารหรือเลือกตั้งก็ตาม ขณะที่ภาคเอกชนที่ได้งานไปก็จะนำการจ่ายสินบนคิดเป็นเป็นต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ บางแห่งจ่ายผ่านบริษัทที่ปรึกษาก็คำนวณเป็นต้นทุนเช่นเดียวกัน ไม่มีเอกชนรายใดยอมขาดทุน ก็จะไปลดคุณภาพของที่ส่งมอบให้ราชการ ทำให้ราชการได้ของใช้คุณภาพต่ำหรือบางทีใช้ไม่ได้ก็มี เช่น กรณีโกงกล้ายาง ความเสียหายของธนาคารรัฐหลายแห่ง กรณีจัดสร้างโรงพัก กรณีทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง กรณีรับจำนำข้าว กรณีการสร้างถนนที่ชำรุดเร็วมากๆ กรณี GT200 กรณีเรือเหาะ กรณีอุทยานทราชภักดิ์ กรณีอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพต่ำ โกงนมโรงเรียนโกงอุปกรณ์การศึกษา เป็นต้น การจัดซื้อของคุณภาพต่ำราคาแพงไม่ได้ส่งผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงการศึกษาทำให้เรามีทรัพยากรมนุษย์ที่อ่อนแอมาก ไม่สามารถเป็นความหวังสำหรับอนาคตของสังคมไทยได้ จึงเป็นเรื่องเศร้ามากๆสำหรับประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชันประมาณปีละ 120,000-400,000 ล้านบาท (ตัวเลขจาก หอการค้าไทย) ที่ต้องกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั้งที่บางโครงการไม่ต้องกู้หาก
 
สามารถลดหรือหยุดการทุจริตคอร์รัปชันได้สัก 50% ของมูลค่าคอร์รัปชันและมูลค่าสินบนที่มีอยู่ในสังคมไทย ขณะเดียวกัน เราจะมีงบประมาณมากขึ้นในการดูแลระบบการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ เอกชนไทยอยู่ในสภาวะที่สามารถปรับเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานและค่าแรงขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานแรกเข้าให้เพียงพอต่อการดำรงชีพได้สบายรัฐไม่ต้องมีแรงกดดันทางการเงินการคลังแล้วต้องไปหาวิธีในการตัดสวัสดิการด้านต่างๆโดยเฉพาะสวัสดิการในการรักษาพยาบาลของประชาชนเป็นต้น 
   
อย่างไรก็ตาม ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต ได้ตั้งข้อสังเกตและมีข้อเสนอแนะต่อ คณะกรรมการ ปยป ว่า ในฐานะที่เคยทำหน้าที่ประธานโครงการปฏิรูปประเทศไทยสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี (ปี พ.ศ. 2548-2549) คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ปี 2553 แต่งตั้งโดยรัฐสภาจากการเลือกตั้ง)ว่า ขอสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการ ปยป ที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการสร้างความปรองดองอย่างแท้จริงนั้นต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้วยเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งบางเรื่องมีรากเหง้ามาจากปัญหาความขัดแย้งเชิงโครงสร้างซึ่งต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและเห็นด้วยกับประเทศที่ต้องมียุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อกำหนดเป้าหมายทิศทางให้ชัดเจนแต่ต้องเป็นยุทธศาสตร์ที่เกิดจากการปรึกษาหารือและคิดร่วมกัน และขอเรียกร้องให้มีการสร้างความปรองดอง กำหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปบนหลักการประชาธิปไตยซึ่งต้องเปิดกว้าง ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ยึดหลักเหตุผลและสันติธรรม เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม นิรโทษกรรมนักโทษทางความคิดและทางการเมืองที่ไม่ได้กระทำผิดอาญา นอกจากนี้ อยากให้เอากรณีสินบนโรลส์รอยส์มาเป็นตัวอย่างของการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างในรัฐวิสาหกิจและระบบราชการให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยขอเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการภายนอกที่เป็นกลาง เป็นอิสระ ไม่มีส่วนได้เสีย ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมสอบสวนในกรณีดังกล่าวและทำความจริงให้ปรากฎแก่สาธารณชน 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสท.ถกต่อบทลงโทษทรูวิชั่นส์ผิดสัญญาผู้บริโภค

$
0
0
กสท.ถกต่อบทลงโทษทรูวิชั่นส์ผิดสัญญาผู้บริโภค – สมาชิกแพลตินัมยื่นจดหมายร้องให้ทบทวนมติยกเลิก 6 ช่อง /จ่อปรับหลักล้านจีเอ็มเอ็มบีเอาเปรียบผู้บริโภคหลังซีทีเฮชเลิกกิจการ 

 
22 ม.ค. 2560 การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ครั้งที่ 3/2560 วันจันทร์ที่ 23  มกราคม นี้ มีวาระการประชุมน่าจับตาได้แก่ กสท. เตรียมถกต่อ วาระพิจารณาแผนการชดเชยเยียวยาผู้ใช้บริการทรูวิชั่นส์ ตามที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้เสนอ กสท.ให้มีคำสั่งทางปกครองแก่บริษัท ทรูวิชั่นส์ฯ ทั้งในฐานะผู้รับใบอนุญาตช่องรายการ และในฐานะผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ (โครงข่ายฯ)  ระงับการดำเนินการที่มิได้แจ้งผู้ใช้บริการทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนมีการเปลี่ยนแปลง หรือจากการยกเลิกใบอนุญาต 6 ช่อง ได้แก่ ช่องรายการ HBO, Cinemax, HBO Signature, HBO Family, HBO Hit และ RED BY HBO โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าก่อน  30 วัน  ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก พ.ศ. 2556 และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการที่บริษัทฯ ตกลงไว้กับผู้ใช้บริการโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งถือเป็นการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ตามข้อ 5 (7) ของประกาศ กสทช. เรื่อง การกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ประกอบกับมาตรา 31  แห่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ  พ.ศ. 2553  หากบริษัทฯ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว กสท. จะใช้มาตรการปรับทางปกครองในอัตรา  5 ล้านบาท และปรับรายวันอีกวันละ 1 แสนบาท ตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
 
ทั้งนี้ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ตนได้รับจดหมายร้องเรียนจากผู้ใช้บริการสมาชิกทรูวิชั่นส์ แพคเกจPlatinum HD ว่าขอให้ทบทวนมติที่ประชุม กสท.ครั้งที่ 43/2559 วันที่ 26  ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากการยุติทั้ง 6 ช่อง ของบริษัทไม่ได้ปฏิบัติตามประกาศที่เกี่ยวข้องในการแจ้งต่อ กสท. ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน รวมทั้งไม่ได้มีการเสนอมาตรการเยียวยาผู้ใช้บริการให้กรรมการ กสท.พิจารณาไปพร้อมกันด้วย รวมทั้งผู้บริโภคเองไม่ได้รับการบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรถึงการยุติการให้บริการมาก่อน และยังขอให้ทบทวนมติที่ประชุม กสท.นัดพิเศษครั้งที่ 6/2559  วันที่ 29 ธ.ค. 59 เรื่องมาตรการเยียวยาผู้บริโภคที่ กสท.เห็นชอบนั้น ยังไม่คุ้มครองผู้ใช้บริการอย่างเพียงพอ ซึ่งช่องรายการที่นำมาทดแทนนั้นกลับมีแพร่ภาพอยู่ในโทรทัศน์บอกรับสมาชิกรายอื่นๆที่มีค่าบริการถูกกว่ากันมาก รวมทั้งการเยียวยาโดยปรับแพ็กเกจเพิ่ม 1 ระดับ เป็นเวลา 1 เดือน รวมทั้งได้รับ True Point 1,000 คะแนนนั้น มีมูลค่าเพียง 100 บาท โดยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าบริการที่จ่ายเดือนละกว่า 2,000 บาท และมูลค่า 6 ช่องกลุ่ม HBO ที่เป็นสาระสำคัญของทรูวิชั่นส์ จะเห็นว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย รวมทั้งการยกเลิกสัญญาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้น โดยเนื้อหาก็ไม่ใช่การเยียวยาใดๆ เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ให้บริการผิดสัญญา ผู้ใช้บริการจึงมีสิทธิยกเลิกสัญญาโดยไม่ได้ต้องชดใช้ค่าสินไหมใดๆ จึงขอให้ กสท.มีการทบทวนมติที่ประชุมอีกครั้ง
 
“ที่ผ่านมา กสท.ยังไม่ลงมติความผิดทางปกครองกรณีทรูวิชั่นส์ผิดสัญญากับสมาชิก และกำลังจะพิจารณาอีกครั้งในวันจันทร์นี้ สำหรับเรื่องแผนเยียวยาเพิ่มเติมที่เชิญผู้ร้องและผู้บริโภคมาให้ความเห็นเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา อนุกรรมการเสนอให้ กสท ครั้งที่ 2/60 พิจารณาให้มีคำสั่งเตือนให้ทรูส่งแผนเยียวยาเพิ่มเติมแต่ กสท ยังยืนว่าให้เป็นไปตามมติ กสท. ล่าสุดก่อนปีใหม่  เรื่องจึงย้อนกลับมาที่อนุกรรมการอีกครั้ง ซึ่ง ทรูแจ้งมาว่าจะมาประชุมกับอนุกรรมการในวันที่ 27 ม.ค. เพื่อพิจารณาแผนเยียวยาเพิ่มเติม และขณะนี้ จำนวนผู้ร้องเรียนมาที่ สำนักงาน มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ” สุภิญญากล่าว
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมเตรียม ถกเรื่องร้องเรียนรายการ The Bachelor Thailand ศึกรักสละโสด ออกอากาศทางช่อง ONE HD 31 ทุกวันเสาร์ เวลา 20.00 – 21.00 น. ปรับเปลี่ยนการจัดระดับความเหมาะสม จากรายการ “ท” (รายการที่เหมาะสำหรับผู้ชมทุกวัย) ให้เป็นระดับที่เหมาะสม
 
วาระอื่น ๆ น่าจับตาได้แก่ วาระค้างพิจารณาเปรียบเทียบปรับทางปกครอง บริษัท จีเอ็มเอ็ม บี จำกัด จำนวนเงิน 1,000,000 บาท และปรับอีกวันละ 50,000 บาท กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ของ กสท. ที่ให้ระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค กรณีการคืนเงินค่าแพคเกจในส่วนที่ยังไม่ได้ใช้บริการให้แก่ผู้ใช้บริการที่ประสงค์จะขอคืนค่าแพคเกจ ภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับซีทีเอชยกเลิกกิจการ วาระการขอยกเลิกการประกอบกิจการโครงข่ายระดับชาติของ บ.ซิมโฟนี คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) วาระการขออนุมัติผังรายการหลักช่องดิจิตอลทีวี ประจำปี 2560 และวาระอื่น ๆ ซึ่งสามารถติดตามผลการประชุมทั้งหมดในวันจันทร์นี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: แพะ-แกะ แกะ-แพะ

$
0
0


มีนิทานกาลเก่าเล่าเรื่อง “แกะ”

กับเรื่อง “แพะ” แบ๊ะแบ๊ะแบะแบะใบ้

ปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนบิดเบือนไป

ฤๅกระไร “แพะ-แกะ” ตัวเดียวกัน?


“แพะ” ขอความเป็นธรรมใต้อำนาจ

เพื่อประกาศศักดิ์ศรีที่ถูกหยัน

หลังหลุดจากขื่อคาบูชายัญ

กลับถูกข่มขู่ขวัญกระเจิดกระเจิง


เขายัดเยียดเป็นเพียง “เด็กเลี้ยงแกะ”

คอยยั่วแยะแหย่ยุให้ยุ่งเหยิง

กุเรื่องหลอกชาวบ้านแค่บันเทิง

ชะเอยเอิงโกหกไปวันวัน
 

เขาล้อมรั้ว “จับแพะให้ชนแกะ”

ไม่แยกแยะพิรุธพิลึกพิลั่น

จงยอมรับกับโทษที่ลงทัณฑ์

เพราะเจ้านั้นคือ “แกะ” ใช่ “แพะ” จริง


“แพะ” จำนนชะตากรรมคำกล่าวหา

ที่ท่านว่าข้าคือ “แกะ” ก็ถูกยิ่ง

แต่หาใช่ “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่อ้างอิง

หากเป็น “แกะ” เกลือกกลิ้งกลางสายธาร


ฝูงหมาป่าหมายขย้ำกลางน้ำขุ่น

สาดกระสุนใส่ “ลูกแกะ” มิสงสาร

จะเป็น “แพะ” หรือ “แกะ” ก็ซมซาน

จบนิทานเรื่องเศร้าของชาวไทย

 


หมายเหตุ:เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook PENSUPA SUKKATA

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ปณิธานครู

$
0
0


                                                          

พึ่งพ้นผ่านวันครูมาพาให้คิด     มีลูกศิษย์นิติศาสตร์พลาดถูกขัง

ระดับปริญญาตรีที่โด่งดัง     ครูสอนสั่งคงกังวลล้นห่วงใย

ลูกศิษย์ต้องติดคุกในยุคของท่าน     ปณิธานที่เขามีลี้ลับไหม

ครูผู้สอนคงทอดถอนสะท้อนใจ     ลูกศิษย์ได้ใช้วิชารักษาตน


เลือกเรียนวิชากฎหมายไม่ง่ายเลย     ชาวบ้านเอ๋ยอันตรายกฎหมายปล้น

ที่ติดคุกถูกขังฟรีไปกี่คน     ก่อนจะพ้นพิพากษาว่าปล่อยตัว

ราคาของเสรีภาพไม่ทราบว่า     ถูกขังมากี่วันเดือนปีที่เกลือกกลั้ว

ขณะรอพิจารณาก็น่ากลัว     ตายอย่างมั่ว ๆ ก็มีมา

อยากถามว่าราคาของเสรีภาพ ?     คำถามหยาบคายหรือไม่ใช้ค้นหา

ลูกศิษย์คิดคำกวีเป็นฎีกา     ถามท่านอาจารย์นิติศาสตร์ทั้งชาติเอย

                                                            

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปรากฎการณ์ทรัมป์ ประชาธิปไตยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

$
0
0

ความกลัวผีหอนาฬิกา มช. และฝูงค้างคาวกับญาติมิตรที่สยายปีกครอบครองพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย ทำให้ผมหลบอยู่บ้านมาหลายวัน ได้โอกาสชมการถ่ายทอดสดพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ และการชุมนุมประท้วงของผู้คัดค้านด้วยความสนุกสนานปนทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ผมสนใจการชุมนุมต่อต้านทรัมป์เป็นเพราะปรากฎการณ์นี้มิได้เป็นเพียงวาระแห่งชาติของสหรัฐฯอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของอารยธรรมโลกเลยทีเดียว

นักสื่อสารมวลชนและวิเคราะห์การเมืองมือฉมังอย่าง Nafeez Mosaddeq Ahmed เสนอว่า คงเป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์หากเราคิดว่า ทรัมป์ คือ ปัญหาของประชาธิปไตยที่ผู้คนหลากหลายกลุ่มต้องลุกขึ้นมาชุมนุมประท้วงแสดงการต่อต้าน ทรัมป์มิใช่ปัญหา หากแต่เป็นเพียงอาการหนึ่งของวิกฤตการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ บ่งบอกการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของระบบภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในระดับโลกและการเมืองสหรัฐฯที่กำลังจมดิ่งลงสู่อเวจี

ประชาธิปไตยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

เมื่อสองปีก่อนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยปรินซตันของอเมริกานำเสนอข้อค้นพบที่ชัดเจนว่า การเมืองสหรัฐฯ มาถึงจุดย่ำแย่เพียงใด งานวิจัยนี้ศึกษาประเด็นเชิงนโยบาย 1779 เรื่องด้วยกัน และพบว่าเมื่อเสียงส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันไม่เห็นด้วยกับผู้นำทางเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ เสียงข้างมากมักพ่ายแพ้ เมื่อพลเมืองและชนชั้นเศรษฐีเห็นพ้องต้องการนโยบายประการใดจากรัฐบาล พวกเขาจะสมปรารถนา แต่เมื่อใดที่พลเมืองสามัญไม่เห็นพ้องกับผู้นำทางเศรษฐกิจ นายทุนมักมีชัยเสมอ แม้ว่านักวิจัยจาก ปรินซตันจะมิได้สรุปว่าประชาธิปไตยสหรัฐฯกำลังปรับรูปไปสู่ระบอบคณาธิปไตย แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็เสนอว่าประชาธิปไตยสหรัฐฯถูกครอบงำโดยสิ้นเชิงจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ (แฟนพันธุ์แท้ของ C. Wright Mills คงคิดในใจว่า Mills บอกมึงมานานหลายสิบปีแล้ว)

ทรัมป์มิได้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรกลทางการเมืองของวอชิงตัน และสถานะของการเป็น “คนนอก” นี้เองที่ทรัมป์ฉวยใช้ประโยชน์จนส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมแซงคู่แข่งคนอื่นๆจากพรรครีพับลิกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ทรัมป์ได้ชัยกลับเป็นเพราะผู้สมัครจากเดโมแครตไม่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนตามสมควร ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่งไม่ได้ออกจากบ้านเพื่อมาลงคะแนนให้ฮิลลารี คลินตัน แต่แม้ผู้ลงคะแนนกลุ่มนี้จะออกมาลงคะแนน คำถามยังคงมีอยู่ว่าพวกเขาจะเลือกไปเพื่ออะไร คลินตันเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับการสนับสนุนจากวอลล์ สตรีท และได้รับเงินอัดฉีดมากมายจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ ชัยชนะของทรัมป์เป็นสัญญาณของระดับความไม่ไว้วางใจต่อสถาบันการเมืองที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น รวมทั้งยังบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกท้อแท้ไม่แยแสต่อทางเลือกที่ทั้งสองพรรคนำเสนอ ผู้ใช้แรงงานและชนชั้นกลางผิวขาวเลือกทรัมป์เพราะมองว่าเขาเป็นคนนอกแวดวงการเมืองอย่างแท้จริง ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยจำนวนมากไม่ได้ลงคะแนน ในบรรดาผู้มีสิทธิลงคะแนน 227 ล้านคน หนึ่งในสี่ลงคะแนนให้คลินตัน เกือบหนึ่งในสี่ลงคะแนนให้ทรัมป์ ส่วนน้อยมากลงคะแนนให้พรรคกรีน แต่ร้อยละ 42 ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อาการหมกมุ่นกับการกล่าวโทษรัสเซียว่าขโมยข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ให้ทรัมป์เป็นเพียงการเบี่ยงประเด็นจับแพะเพื่อเลี่ยงการยอมรับว่าประชาธิปไตยอเมริกันมีช่องโหว่เบ้อเริ่มเทิ่ม

ศาสตราจารย์โยฮัน กัลตุง ผู้เคยทำนายอย่างแม่นยำถึงการล่มสลายของโซเวียต ได้พูดถึงการถดถอยของอเมริกาในฐานะอำนาจนำของโลก กระบวนการถดถอยนี้จะทำให้สหรัฐฯอเมริกาหันเหไปสู่ระบอบอำนาจนิยม และประธานาธิบดีทรัมป์คือป้ายบอกทางและอาจเป็นตัวเร่งให้สหรัฐฯไปสู่การถดถอยเร็วขึ้น สภาวะโลกร้อน ความไม่มั่นคงทางพลังงาน การขาดแคลนอาหารและความลุ่มดอนผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยและเส้นทางสู่เงื่อนไขของความขัดแย้งและความรุนแรงภายในและระหว่างประเทศ และการถดถอยสู่อำนาจนิยมโดยรัฐและกองทัพ (เอ๊ะ กรูกำลังพุดถึงประเทศไหนหว่า)

ทรัมป์ คือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราไม่อาจทำความเข้าใจกับปัญหาที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดของระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก แทนที่คนอเมริกันจะมองเห็นรากเหง้าของปัญหาที่แฝงฝังอยู่ในโครงสร้างของระบบที่ล้มเหลว เขามองเห็นแต่อาการ เช่น ความรุนแรง การก่อการร้าย สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ความวุ่นวายอย่างไม่รู้จบสิ้น ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงย่ำอยู่บนแนวทางเดิมๆเพื่อแก้ปัญหา มุ่งสู่นโยบายแข็งกร้าว ใช้กำลัง ใช้อำนาจมากขึ้น เหลียวมองกลับไปสู่วันวานแสนสุขที่อเมริกาเกรียงไกร แล้วฝันว่าเราจะสร้างให้อเมริกาเกรียงไกรอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรให้ไปถึงจุดนั้นได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บทความแปล: โอบามาได้ทำอะไรให้กับทวีปแอฟริกาบ้าง

$
0
0

บทความนี้แปลจาก Obama's Africa legacy: more trade than democracy (มรดกเกี่ยวกับแอฟริกาของโอบามา : เป็นการค้าเสียยิ่งกว่าประชาธิปไตย) จากเว็บ http://www.dw.com
      
มีความตื่นเต้นเป็นอันมากในทวีปแอฟริกา เมื่อบารัก โอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 แต่เขาก็ไม่สามารถเป็นไปตามความคาดหวังอันมีอยู่เป็นจำนวนมาก  คุณเดเนียล เปลซ์ได้กล่าวถึงมรดกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่มีเลือดแอฟริกันดังนี้
    
ฝูงชนที่แสนปีติได้แห่แหนกันไปบนถนนของอักกราซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศกานา ในช่วงที่โอบามามาเยือนทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้แต่สมาชิกของรัฐสภากานาก็ลุกขึ้นมาเอ่ยประโยค "ใช่ เราทำได้" ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเขากล่าวคำปราศรัยต่อหน้าพวกเขา
     
"ผมมีเลือดแอฟริกันภายในร่างกาย เรื่องราวของครอบครัวผมได้ผสมผสานทั้งโศกนาฏกรรมและชัยชนะของเรื่องราวเกี่ยวกับทวีปแอฟริกา" โอบามากล่าวโดยอ้างอิงถึงมรดกของเขาในฐานะที่เป็นบุตรของบิดาชาวเคนยา
   
ในคำปราศรัย เขาเรียกร้องให้ชาวแอฟริกันหันมาลิขิตชีวิตด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงการทุจริตคอรัปชั่นและต้องการภาระรับผิดชอบ (Accountability) จากบรรดาผู้นำของเขา " อย่าได้เข้าใจผิด ประวัติศาสตร์อยู่กับชาวแอฟริกันซึ่งห้าวหาญ และไม่ได้อยู่กับผู้ซึ่งใช้การทำรัฐประหารหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป” เขากล่าว
    

พูดมากขึ้นแต่ทำน้อยลง

“ถือได้ว่าเป็นคำปราศรัยที่ทรงพลังอย่างมากในเวลานั้น” อาเล็กซ์ วินส์ หัวหน้าโครงการแอฟริกันขององค์กรวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศของอังกฤษอย่างชาธาม เฮาส์บอกกับดีเบิลยู (สำนักข่าวของเยอรมัน)  “ความคิดและข้อเสนอแนะของเขาในนั้นจะอยู่ยาวนานต่อไป”

แต่ความตื่นเต้นก็ยังไม่หยุด โอบามายังดึงดูดฝูงชนขนาดใหญ่ในการไปเยือนครั้งต่อ ๆ ไป แต่ชาวแอฟริกันจำนวนมากผิดหวังกับผลงานของเขา หลายคนรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำตามสัญญาอันสูงส่งที่เขามีให้ในคำปราศรัย นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปในผลงานของเขา
           
“ผมให้คะแนนเขา 6 จาก 10 สำหรับการเข้ามาเกี่ยวข้องกับทวีปแอฟริกา” นักวิเคราะห์การเมืองของเคนยาคือนายมาร์ติน อูลูได้บอกกับดีดับเบิลยู  โอบามาเข้าใจปัญหาและการท้าทายของทวีปแอฟริกาเป็นอย่างดี อูลูยังกล่าวว่า  “เขาน่าจะทำได้มากกว่านี้ หากมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกว่านี้สำหรับเขา”

แต่เมื่อพบกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เพิ่มทวีที่บ้าน ปัญหาการว่างงานที่สูงขึ้นและประเด็นสำคัญของนโยบายต่างประเทศอย่างเช่นสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก โอบามาพยายามจะหาเวลาสำหรับทวีปแอฟริกาในช่วงปีแรกๆ ที่ดำรงตำแหน่ง กานาเป็นประเทศในแอฟริกาเพียงประเทศเดียวที่เขาเดินทางไปเยือนในช่วงวาระแรกของการเป็นประธานาธิบดี

เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะชดเชยในปีต่อมา  ในต้นปี 2012 เขาวางกลยุทธ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับทวีปแอฟริกาซึ่งได้ประกาศให้ทวีปแห่งนี้เป็นเรื่องราวแห่งความสำเร็จทางเศรษฐกิจในอนาคต  เขาเดินทางไปยังเซเนกัล แอฟริกาใต้และแทนซาเนียในอีก 1 ปีต่อมา ในปี 2015 เขาเดินทางไปยังเคนยาบ้านเกิดของบิดาตน ภายหลังจากที่ได้รับการรอคอยมานาน  เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้กล่าวคำปราศรัยต่อสหภาพแอฟริกาขณะดำรงตำแหน่ง


คำวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังส่งหน่วยรบพิเศษยังไปแถบแอฟริกากลางเพื่อตามล่าขุนศึกของอูกันดาคือโจเซฟ โคนี     โอบามายังเข้าไปแทรกแซงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวิกฤตการณ์ซูดาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปช่วยเหลือการลงประชามติอันนำไปสู่การเป็นเอกราชของประเทศซูดานใต้ในปี 2011

โอบามายังคงย้ำถึงแนวคิดหลักของตนเกี่ยวกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแนวคิดนิติรัฐ ขณะเดินทางไปเยือนทุกครั้งในทวีปแอฟริกา แต่ผู้ไม่เห็นด้วยถือว่าไม่ค่อยมีการกระทำตามหลังคำพูดนัก

“โดยภาพรวมแล้ว รัฐบาลของโอบามาได้ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อขบวนการประชาสังคม เสรีภาพของสื่อและสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในแอฟริกา” เคนเนท รอธ ผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมนไรตส์วอตช์เขียนลงในบทความล่าสุด

“อย่างไรก็ตาม ขณะที่การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยมมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในทวีปแอฟริกา กรุงวอชิงตันไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาที่จะปฏิบัติตามข้อสังเกตเบื้องต้นและชาญฉลาดของโอบามาที่ว่าทวีปแอฟริกาต้องการ “สถาบันอันแข็งแกร่งไม่ใช่บุรุษอันแข็งแกร่ง (เป็นการเล่นคำ เพราะคำว่า strongman ที่จริงหมายถึงเผด็จการ -ผู้แปล) พร้อมด้วยการกระทำที่เป็นรูปธรรม”


การประชุมระหว่างสหรัฐฯและแอฟริกาที่ประสบความสำเร็จ

แต่มาร์ติน อูลูแห่งเคนยาคิดว่ามีเพียงเล็กน้อยที่โอบามาสามารถทำได้  “เขายังถูกจำกัดโดยปัญหาอื่นๆ ของทวีปแอฟริกาอย่างเช่น ภาระรับผิดชอบอันย่ำแย่และธรรมาภิบาลที่เลวร้ายของรัฐบาล รวมไปถึงการท้าทายจากกลุ่มผู้นำ คุณมีกลุ่มผู้นำซึ่งไม่สนองตอบต่อประชาชน” เขากล่าว

โอบามายังได้รับการโจมตีจากองค์กรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจากการร่วมมือเรื่องหน่วยข่าวกรองกับประเทศอย่างซูดานและเอธิโอเปีย (ซึ่งรัฐบาลล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน - ผู้แปล) เขายังดำเนินการต่อเนื่องในการโจมตีโดยเครื่องบินไร้นักบิน (Drone) ต่อผู้ที่ถูกหาว่าเป็นนักรบอิสลามในโซมาเลีย ซึ่งเริ่มต้นโดยประธานาธิบดีคนก่อนคือจอร์จ ดับเบิลยู บุช

เขายังรับเป็นเจ้าภาพของการประชุมระหว่างสหรัฐฯและแอฟริกาเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 2014 ซึ่งได้นำผู้นำ 50 กว่าประเทศมายังกรุงวอชิงตัน ในการประชุมนั้น โอบามายกย่องแอฟริกาว่าเป็นทวีปแห่งโอกาสและได้ประกาศงบประมาณการลงทุน 3 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐมายังทวีปแอฟริกา 

“เป็นการสนับสนุนว่ามันเป็นการโยกย้ายนโยบายของสหรัฐฯ จากเรื่องมนุษยธรรมและการต่อต้าน        การก่อการร้ายไปเป็นการเน้นว่าแอฟริกาเป็นทวีปแห่งอนาคตและมันยังเกี่ยวกับการค้าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” อาเล็กซ์ วินส์แห่งชาธาม เฮ้าส์กล่าว

สำหรับวินส์ มันชัดเจนว่าส่วนของนโยบายแอฟริกาของประธานาธิบดีโอบามาที่จะได้รับการจดจำก็คือ “มันจะเป็นการค้ามากกว่าการช่วยเหลือหรือความมั่นคง นั่นคือมรดกเกี่ยวกับทวีปแอฟริกาอันสำคัญยิ่งของประธานาธิบดีโอบามา ตามความคิดของผม” เขากล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรณีสินบนโรลส์-รอยซ์: รมว.คมนาคม‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ชงครม.ให้บินไทยซื้อโบอิง 6 ลำ

$
0
0

เปิดเอกสาร รมว.คมนาคมชง ครม. ปี 47 เสนอให้อนุมัติการบินไทยจัดหาเครื่องบิน 14 ลำ 9.6 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินโบอิง 777 จำนวน 6 ลำ 3.2 หมื่นล้านบาท ตรงกับดีลในเอกสารที่เปิดเผยโดยทางการอังกฤษ ว่าโรลส์-รอยซ์ติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐไทยเพื่อให้มีการจัดซื้อเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ของบริษัท

23 ม.ค. 2560 หลังหน่วยงานอังกฤษเปิดเผยข้อมูลจ่ายสินบนโรลส์-รอยซ์ 7 ประเทศ โดยในไทยมีการติดสินบน จนท.การบินไทย-จนท.รัฐ กว่า 1.27 พันล้านบาท เพื่อให้มีการจัดซื้อเครื่องบินโบอิงที่ต้องใช้เครื่องยนต์ของบริษัท 3 ดีล ระหว่างปี 2534-2548 โดยในปี 2547 พบ “คนในรัฐบาล” พัวพันกับการจัดซื้อด้วยนั้น

ล่าสุดจากการค้นหามติคณะรัฐมนตรี 23 พฤศจิกายน 2547มีเอกสารจากกระทรวงคมนาคมชงคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติให้การบินไทยจัดหาเครื่องบิน 14 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินโบอิง 777 จำนวน 6 ลำ ตรงกับดีลในเอกสารคดีโรลส์-รอยซ์

ตามที่สำนักสืบสวนการฉ้อฉลรุนแรงแห่งสหราชอาณาจักร (Serious Fraud Office - SFO) เปิดเผยข้อมูลการจ่ายสินบนของบริษัทโรลส์-รอยซ์ ผู้ผลิตยานยนต์และอากาศยานของอังกฤษ ในคดีขายเครื่องยนต์ไม่โปร่งใสใน 7 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย อินเดีย รัสเซีย ไนจีเรีย จีน และมาเลเซีย ภายหลังจากที่บริษัทโรลส์-รอยซ์ ได้บรรลุข้อตกลงเจรจายอมความกับFSO โดยต้องจ่ายให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา 6,000 ล้านบาท ทางการบราซิล 900 ล้านบาท และต้องจ่ายค่ายอมความถึง 28.5 ล้านบาทกับทางการอังกฤษ (อ่านรายละเอียด)

โดยในเอกสารของ SFOกรณีของประเทศไทย การบินไทยได้ซื้อเครื่องยนต์จากบริษัทโรลส์-รอยซ์ 3 ครั้ง

ครั้งแรกระหว่าง 1 มิถุนายน 2534 ถึง 30 มิถุนายน 2535

มีการจ่ายค่านายหน้าคนกลางให้หน่วยงานหนึ่ง 18.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (658 ล้านบาท) เงินดังกล่าวมีการนำไปให้เจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานของการบินไทย เพื่อโน้มน้าวให้การบินไทยซื้อเครื่องยนต์ T800

ทำให้ในเดือนมิถุนายนปี 2534 การบินไทยสั่งเครื่องบินโบอิง 777 (B777) จำนวน 6 ลำ และต่อมาในเดือนมีนาคมเพิ่มอีก 2 ลำ กลายเป็น 8 ลำ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ T800 ของโรลส์-รอยซ์

ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2535 ถึง 31 มีนาคม 2540

มีการจ่าย 10.38 ล้านเหรียญสหรัฐ (363 ล้านบาท) เพื่อให้นายหน้าคนกลางมีการนำเงินดังกล่าวบางส่วนให้พนักงานการบินไทย เพื่อโน้มน้าวให้มีการซื้อเครื่องยนต์ T800 ทำให้มีการจัดซื้อเครื่องบินโบอิง 777 จำนวน 6 ลำ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ T800 ของโรลส์-รอยซ์

ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2547 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2548

มีการจ่ายเงิน 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (252 ล้านบาท) เงินบางส่วนตกไปสู่เจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานการบินไทยเป็นค่านายหน้า เพื่อช่วยให้โรยลส์-รอยซ์ขายเครื่องยนต์ที-800 ในเครื่องบินรุ่นโบอิง 777 ให้กับการบินไทย

โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 บอร์ดการบินไทย ตัดสินใจซื้อเครื่องบินโบอิง 777 จำนวน 6 ลำ และแอร์บัส 340 (A340) จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้า โดยใช้เครื่องยนต์ของโรลส์-รอยซ์ สำหรับเครื่องโบอิง ส่วนเครื่องแอร์บัสนั้นใช้เครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ รุ่น T500 อยู่เเล้ว

และในปลายเดือนกันยายน 2547 บอร์ดการบินไทยจัดซื้อเครื่องยนต์สำรองรุ่น T500 จำนวน 5 เครื่อง สำหรับใช้กับเครื่องบินแอร์บัส 340 และเครื่องยนต์ T800 จำนวน 2 เครื่อง สำหรับเครื่องบินโบอิง B777

ในเอกสารที่สำนักสืบสวนการฉ้อฉลรุนแรงแห่งสหราชอาณาจักร (SFO) เปิดเผย ในหน้าที่ 17 ยังระบุว่า มีอีเมล์ภายในของของโรลส์-รอยซ์ ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 บันทึกถึงการหารือระหว่าง "นายหน้าที่ 3" และ "นายหน้าระดับภูมิภาค" และ "คนในรัฐบาลไทย" โดยระบุถึงการหารือว่า

"เป็นการหารือที่ดีมาก มีผลตอบรับในทางบวกต่อธุรกิจซื้อเครื่องบิน A340 และ B777 และอยู่ในวาระการประชุมของ ครม. วันที่ 23 พฤจิกายน"

โดยหลังจากนั้น โรลส์-รอยซ์ต้องจ่ายค่านายหน้าให้กับ "นายหน้าที่ 3" และ "นายหน้าระดับภูมิภาค" รวม 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับค่านายหน้า 4% จากการขายเครื่องยนต์ T800 และ T500 ดังกล่าว

 

เปิดมติคณะรัฐมนตรี 23 พ.ย. 2547
รมว.คมนาคม ชง ครม. อนุมัติการบินไทยซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 6 ลำ

เมื่อค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรีย้อนหลัง ในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทั้งนี้ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547 มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จากกระทรวงคมนาคม ที่ คค (ปคร) 0805.4/252 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49 - 2552/53 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลงนามท้ายหนังสือโดย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในสมัยนั้น

 

โดยเรื่องที่เสนอจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ข้อ 1.2 ระบุว่า

“1.2 บกท. จึงเสนอโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49 - 2552/53 เพื่อ คค. พิจารณานำเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติ

1) ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2548/49 - 2552/53 ของ บกท.จำนวน 14 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินพิสัยไกลขนาดใหญ่มาก แบบ A380 จำนวน 6 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ B777-200 ER จำนวน 6 ลำ ในวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 96,355 ล้านบาท โดยจะลงทุนในปี 2547/2548 จำนวน 7,818 ล้านบาท...”

โดยการลงทุนในโครงการจัดหาเครื่องบิน 14 ลำ ตามแผนวิสาหกิจ 2548/49-2552/53 วงเงินลงทุน 96,355 ล้านบาท ที่ขอ ครม.อนุมัติ จะมีการจัดซื้อเครื่องบิน 14 ลำ โดยในจำนวนนี้จะมีเครื่องบินโบอิง 777-200ER จำนวน 6 ลำ มูลค่า 32,336 ล้านบาท

 

หนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ คค (ปคร) 0805.4/252 เรื่อง "โครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49 - 2552/53 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)" ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 ลงนามท้ายหนังสือโดย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

000

ต่อมาในมติคณะรัฐมนตรี 23 พฤศจิกายน 2547 “เรื่อง การขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเรื่องโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2548/49-2552/53 ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)” โดยระบุว่า

“คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 และอนุมัติในหลักการให้ บทก. ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี พ.ศ. 2548/49-2552/53 ของ บกท. จำนวน 14 ลำ วงเงินลงทุน 96,355 ล้านบาท และดำเนินงานตามแผนการเงินและแผนเงินกู้ของ บกท. โดยให้ บกท. รับความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ โดยที่โครงการจัดหาเครื่องบินดังกล่าวมีมูลค่าสูง และส่วนหนึ่งเป็นการจัดหาเครื่องบินจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศผู้นำในกลุ่มสหภาพยุโรป และอีกส่วนหนึ่งเป็นการจัดหาเครื่องบินจากสหรัฐอเมริกา จึงให้ บกท. ประสานและขอความร่วมมือจากประเทศผู้ขายเครื่องบินดังกล่าวในเรื่องการส่งสินค้าไทยไปจำหน่ายยังกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะลงนามในสัญญาซื้อขายเครื่องบินระหว่างกันต่อไป โดยขอให้ประเทศฝรั่งเศสพิจารณาสนับสนุนและผลักดันให้กลุ่มสหภาพยุโรปคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ให้กับสินค้ากุ้งของไทย และขอให้สหภาพยุโรปปฏิบัติต่อสินค้าไก่ของไทยอย่างเป็นธรรม โดยไม่นำปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกมาเป็นเงื่อนไขและข้อกีดกันทางการค้า รวมทั้งพิจารณารับซื้อสินค้าเกษตรต่าง ๆ ของไทยเพิ่มมากขึ้น และขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาการเก็บอากรตอบโต้การช่วยอุดหนุน (anti dumping) กุ้งไทยอย่างเป็นธรรม โดยในชั้นนี้ ให้ บกท. สามารถออกหนังสือแสดงความจำนงในการจัดหาเครื่องบินดังกล่าวไปก่อนได้ สำหรับการจัดทำข้อตกลง หรือลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบิน ให้ บกท. รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวและนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการด้วย”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิวยอร์กไทมส์สัมภาษณ์คนเขียนข่าวปลอม ปั่นกระแส 'ทรัมป์' ถล่ม 'คลินตัน'

$
0
0

สื่อนิวยอร์กไทมส์รายงานเรื่องผู้นั่งเทียนเขียนข่าวปลอมในสหรัฐฯ ปลอมจริงจังตั้งแต่พาดหัวข่าวไปถึงภาพถ่าย ข่าวปลอมนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด คนที่ทำเช่นนี้มีสายสัมพันธ์ทางการเมือง เป็นสายลับรัสเซีย หรือแค่ร้อนเงิน? เขามีความรู้สึกผิดหรือไม่ที่โหมกระพือสิ่งที่ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเอง?

เรื่องเริ่มมาจากช่วงที่กำลังมีศึกหาเสียงเลือกตั้ง จากการสำรวจของโพลล์ โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนน้อยกว่าคู่แข่งอย่างฮิลลารี คลินตัน ทำให้เขาพูดในทำนองหาข้ออ้างไว้ก่อนล่วงหน้าว่า "การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีการโกง" แต่เขาก็ไม่ได้พูดต่อเติมจินตนาการของผู้สนับสนุนเขาต่อไปว่ามันโกงกันอย่างไร

จนกระทั่งคนที่เสริมต่อจินตนาการที่ว่าเป็นคนเขียนข่าวปลอมคนหนึ่ง ชื่อ คาเมรอน แฮร์ริส ผู้เพิ่งจบวิทยาลัยใหม่ๆ และกำลังร้อนเงิน เขานั่งเทียนเขียนต่อเติมรายละเอียดหรือ "หลักฐานปลอมๆ" ของสิ่งที่ทรัมป์พูดไว้แทนตัวทรัมป์เอง จนกลายเป็นเนื้อความข่าวปลอมที่พาดหัวข่าวว่า "ข่าวด่วน! พบบัตรใช้โกงคะแนนโหวตในโกดังรัฐโอไฮโอ" เขาจงใจใช้ชื่อเมืองในรัฐโอไฮโอตามที่ทรัมป์เคยพูดเน้นย้ำเอาไว้ในมีม (สิ่งที่ดัดแปลง เลียนแบบ ผลิตซ้ำ และแพร่กระจายทางอินเทอร์เน็ต) เกี่ยวกับ "การโกงการเลือกตั้ง"

แฮร์ริส เป็นชายอายุ 23 ปี ในอดีตเคยเล่นเป็นควอเตอร์แบ็คอเมริกันฟุตบอลและหัวหน้าสมาคมนักศึกษาชายของวิทยาลัยให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ว่า เขามีทฤษฎีหนึ่งอยู่ในหัวตอนที่เขานั่งลงเขียนข่าวปลอม กลุ่มคนที่สนับสนุนทรัมป์มีความไม่เชื่อในสื่ออย่างมาก ทำให้อะไรก็ตามที่คล้อยตามคำพูดของทรัมป์พวกเขาก็จะเชื่อตาม อย่างการที่ทรัมป์ชอบพูดว่า "มีโกงการเลือกตั้ง" ซ้ำๆ คนก็จะเชื่อไปก่อนเลยว่าคลินตันชนะการเลือกตั้งไม่ได้แน่ถ้าไม่โกงการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามแฮร์ริสก็ไม่ใช่คนที่เกี่ยวโยงกับสายลับของรัสเซียแต่อย่างใด เขาเป็นแค่คนที่แอบทำเว็บไซต์ เหตุที่เขายอมให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ เป็นเพราะมีผู้สื่อข่าวตามรอยจนพบว่าแฮร์ริสเป็นเจ้าของเว็บ ชื่อ  ChristianTimesNewspaper.com ในตอนแรกแฮร์ริสก็ผิดหวังที่ถูกถอดหน้ากากออก เขาอยากสงวนภาพลักษณ์ไว้เพราะอยากสร้างธุรกิจเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางการเมือง แต่ในที่สุดเขาก็ยอมเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับงานข่าวปลอมที่เขาทำขึ้นซึ่งทำให้เขาได้ค่าโฆษณาราว 1,000 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง การเป็นคนเผยแพร่ข่าวลวงเช่นนี้ทำให้แฮร์ริสรู้สึกภูมิใจและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน แต่เขาก็ยอมพูดถึงงานนั่งเทียนเขียนข่าวปลอมของเขาต่อไป

แฮร์ริสเล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นเขาก็คิดแต่งเรื่องต่อว่าจะให้ใครเป็นคนพบบัตรเลือกตั้งโกงของคลินตันดี นั่นทำให้เขาคิดตัวละครในอากาศขึ้นมาเองชื่อแรนดัล ปรินซ์ เขาวางตัวละครให้ปรินซ์เป็นคนงานช่างไฟฟ้าในนครโคลัมบัสของโอไฮโอ ทำให้เขาดูเหมือนคนทั่วไปที่สนับสนุนทรัมป์ มีชื่อที่ดูสูงส่งในระดับหนึ่ง แต่งเรื่องให้เขาเข้าไปด้านหลังโกดังไปเจอหีบใส่บัตรเลือกตั้ง โดยในความเป็นจริงแล้วโกดังที่ว่านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

แต่แฮร์ริสก็ยังเล่าเรื่องในข่าวปลอมต่อไปว่าสิ่งที่ค้นพบนั้น "เป็นหลักฐานถึงปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คลินตันชนะในรัฐที่คะแนนเสียงยังแกว่งไปมาระหว่างสองพรรค" นอกจากนี้ยังมีการใส่รูปประกอบที่แค่ค้นหาคำว่า "ballot boxes" (หีบเลือกตั้ง) ในกูเกิลก็เจอแล้วนำมาใส่ไว้ ในความเป็นจริงแล้วรูปที่นำมาใส่เป็นรูปของการเลือกตั้งอังกฤษ ห่างจากรัฐโอไฮโอมาก แต่เขาก็ไม่แยแส กลับเอารูปนั้นมาใส่คำบรรยายใต้ภาพว่า "คุณปรินซ์ ผู้อยู่ในรูปนี้ เปิดเผยสิ่งที่เขาพบเห็น ในขณะที่เจ้าหน้าที่การเลือกตั้งกำลังสืบสวนในเรื่องนี้"

แฮร์ริสยังคงแต่งเรื่องต่อไปว่ามีการพยายามเอาหีบเลือกตั้งปลอมมาสับเปลี่ยนกับหีบจริง และทำเหมือนว่าเว็บไซต์ CTN ของเขาจะรายงานสถานการณ์ให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เขาเผยแพร่ข่าวปลอมนี้ออกไปในวันที่ 30 ก.ย. มันก็ลามไปทั่วเว็บต่างๆ ราวกับไฟลามทุ่ง ซึ่งแฮร์ริสคำนวนไว้แล้วว่ามันจะลุกลามเช่นนั้น ข่าวนี้ถูกกระจายในเพจหลายเพจของเฟซบุ๊กที่แฮร์ริสสร้างขึ้นมาเองเพื่อการนี้และมีการโหมกระพือไฟจากความคิดเห็นของคนที่เชื่อปักใจอยู่แล้วว่าคลินตันจะโกงการเลือกตั้ง เลยทำเหมือนว่าข่าวปลอมนี้เป็นสิ่งพิสูจน์ความเชื่อพวกเขา CrowdTangle ซึ่งเป็นบริการติดตามจำนวนผู้ชมเว็บระบุว่ามีผู้แชร์ข่าวนี้รวม 6 ล้านคน

ข่าวปลอมนี้ยังทำให้กรรมการการเลือกตั้งในรัฐโอไฮโอสืบสวนในเรื่องนี้และออกมาบอกว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงมีการแถลงข่าวปฏิเสธข่าวปลอมนี้ ซึ่ง จอน อัสเตด เลขาธิการรัฐโอไฮโอถึงขั้นกล่าวถึงเว็บ ChristianTimesNewspaper.com ว่าตัวเขาเองเป็นคริสต์ทำให้เขารู้สึกถูกล่วงเกินเมื่อมีสื่อที่อ้างชื่อชาวคริสต์นำเสนอเรื่องที่เป็นเท็จ

แต่จริงๆ แล้วแฮร์ริสบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นคริสต์เลย เขาแค่ซื้อชื่อเว็บนี้มาจาก ExpiredDomains.net ด้วยเงิน 5 ดอลลาร์เท่านั้น แต่เขาก็ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเพื่อปั้นเมฆแล้วก็รอรับรายได้จำนวนมากหลังจากนั้น แฮร์ริสระบุว่าเขาทำไปเพื่อเงินมากกว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เขาบอกว่าเขากำลังร้อนเงินเพราะต้องจ่ายค่ากู้ยืมการศึกษา ค่ารถยนต์ และค่าเช่า

แน่นอนว่าเว็บของเขาบางเรื่องก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก แต่บางเรื่องก็ไปได้ดีอย่างเช่นการกุข่าวขึ้นมาว่ามีเหตุระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่กรรมการพรรคเดโมแครตเสียชีวิต จนปั่นข่าวลือเรื่องการสมคบคิดสังหารเจ้าหน้าที่เดโมแครตในเวลาต่อมา ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น

แฮร์ริสยังหลอกคนอ่านที่หูเบาต่อไปได้อีกด้วยข่าวปลอมอย่าง "ตำรวจนิวยอร์กกำลังจะฟ้องเครือข่ายค้าประเวณีเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ของ บิล คลินตัน" "ผู้ประท้วงทำร้ายทหารผ่านศึกไร้บ้านเสียชีวิตในฟิลาเดเฟีย" และเรื่อง "ฮิลลารี ฟ้องหย่า" แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงโดยเว็บ Snopes.com ที่เป็นเว็บท้าพิสูจน์ข่าวลือ แต่พวกข่าวลืออื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีข่าวใดเลยที่ทำให้คนเชื่ออย่างล้นหลามเท่าข่าวปลอมเกี่ยวกับหีบเลือกตั้ง

บารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ ถึงขั้นบอกว่าข่าวปลอมพวกนี้เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ทำให้คนติดอยู่ในฟองสบู่ของความเชื่อตัวเองโดยไม่สนใจว่าจริงหรือไม่ ขอแค่เข้ากับความคิดเห็นตัวเองก็พอ คำพูดของโอบามาตรงกับแนวคิดการหาประโยชน์ทางธุรกิจชั่วครั้งชั่วคราวของแฮร์ริสพอดี เขาเชื่อว่าผู้คนต้องการให้คนหาหลักฐานมาป้อนเพื่อสนับสนุนความเชื่อตัวเองไม่ว่าหลักฐานนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ก็ตาม แฮร์ริสยอมรับว่าผลตอบรับในตอนแรกก็ทำให้เขาประหลาดใจเหมือนกัน มันแทบจะเหมือนการทดลองทางสังคมวิทยา

แฮร์ริสเปิดเผยว่าตัวเขาจริงๆ ในทีแรกให้การสนับสนุนมาร์โค รูบิโอ นักการเมืองรีพับลิกันอีกคนหนึ่งแต่ในที่สุดก็โหวตให้โดนัลด์ ทรัมป์ แฮร์ริสบอกว่าจะยอมทำงานให้คลินตันเหมือนกันถ้าหากมีกำไรดี หลังจากนั้นเขาก็ทำการเปิดประมูลเว็บเป็นวงเงินหลักแสนดอลลาร์เพราะเว็บเขามีอันดับความนิยมที่ดี แต่เขาทำพลาดที่รอไปจนถึงหลังเลือกตั้ง เพราะกูเกิลประกาศว่าจะไม่ลงระบบโฆษณาในเว็บข่าวปลอมอีก เมื่อเว็บของแฮร์ริสขาดโฆษณากลุ่มผู้ประมูลก็มองว่าเว็บของเขาไม่มีมูลค่าอีกต่อไป

สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับแฮร์ริสคือรายชื่ออีเมลล์ 24,000 บัญชีที่เขารวบรวมไว้ตอนที่เชิญชวนให้ผู้คนร่วมทำทุกอย่างเพื่อหยุดฮิลลารีไม่ให้ "ขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้ง" โดยที่เขายังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรกับรายชื่ออีเมลล์เหล่านี้ดี

ส่วนเรื่องที่ว่าเขารู้สึกผิดกับการกระจายข่าวปลอมออกไปหรือไม่นั้น แฮร์ริสอ้างว่าธรรมชาติของการเมืองเองก็มีลักษณะการคุยโวเกินจริงบ้าง แล้วก็เป็นเรื่องจริงครึ่งเดียวในตัวมันเองอยู่แล้ว การหาเสียงของใครก็ตามไม่มีอะไรจริงไปทั้งหมด แฮร์ริสยังได้กล่าวอ้างตามคำกล่าวของทรัมป์เมื่อไม่นานมานี้เช่นกันว่าพวกสื่อกระแสหลักต่างหากที่เป็นพวกชอบเสนอ "ข่าวปลอม"

 

เรียบเรียงจาก

From Headline to Photograph, a Fake News Masterpiece, New York Times, 18-01-2017

https://www.nytimes.com/2017/01/18/us/fake-news-hillary-clinton-cameron-harris.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ ตั้ง 3 วัชโรทัย ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง สำนักพระราชวัง

$
0
0

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ ประกาศแต่งตั้ง รัตนาวุธ-วัชรกิติ-ดิสธร วัชโรทัย ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง สำนักพระราชวัง

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุมัติให้สำนักพระราชวังดำเนินการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งและย้ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพิเศษเฉพาะราย จำนวน 2 ราย ดังนี้

1. รัตนาวุธ วัชโรทัย ตําแหน่ง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง ดํารงตําแหน่ง ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง สํานักพระราชวัง 

2. วัชรกิติ วัชโรทัย ตําแหน่ง กรมวังผู้ใหญ่ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง ดํารงตําแหน่ง ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง สํานักพระราชวัง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 25 ส.ค. พ.ศ. 2559
 
วันเดียวกัน เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ว่า มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุมัติให้สํานักพระราชวังดําเนินการปรับปรุงการกําหนดตําแหน่งและย้าย  ดิสธร วัชโรทัย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตําแหน่งรองเลขาธิการพระราชวัง ตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลาง สํานักพระราชวัง เป็นพิเศษเฉพาะราย ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2559
ประกาศ ณ วันที่ 27 ธ.ค. 2559
 
โดยประกาศทั้ง 2 ฉบับ มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้นำรัฐประหารแกมเบียประกาศยอมลงจากตำแหน่ง หลังปกครองประเทศเกิน 20 ปี

$
0
0

ยาห์ยา จัมเมห์ ผู้นำแกมเบียที่มาจากการรัฐประหารปี 2537 ประกาศยอมลงจากตำแหน่ง หลังพยายามยื้อเก้าอี้เอาไว้แม้จะแพ้การเลือกตั้งเมื่อ 1 ธ.ค.59 จนทำให้ผู้ชนะการเลือกตั้งต้องไปสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในประเทศอื่น แต่การกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านในแอฟริกาตะวันตกและสหประชาติทำให้จัมเมห์แสดงท่าทีจะลงจากตำแหน่ง


รูปจากวิกิพีเดีย

ประเทศแกมเบียมีปรากฏการณ์แปลกๆ เมื่อประธานาธิบดีคนใหม่ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่แล้วอย่าง อดามา บาร์โรว์ จำต้องทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่แกมเบีย โดยไปจัดที่ประเทศใกล้เคียงอย่างเซเนกัลแทน เพราะประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้ที่มาจากการรัฐประหารอย่าง ยาห์ยา จัมเมห์ ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง 

จนกระทั่งถึงเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมาจัมเมห์ถึงประกาศผ่านทางโทรทัศน์แสดงเจตจำนงว่าจะยอมลงจากตำแหน่งโดย "ไม่ต้องมีการเสียเลือดเนื้อ" หลังจากที่มีการหารือกันระหว่างจัมเมห์กับตัวกลางเจรจาจากกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ประธานาธิบดีจากกินีและเมาริตาเนีย

"ในวันนี้ผมตัดสินใจด้วยจิตสำนึกที่ดีในการยอมสละตำแหน่งผู้นำของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อชาวแกมเบียทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด" จัมเมห์กล่าว

นอกจาก จัมเมห์ จะเป็นประธานาธิบดีแล้วเขายังควบตำแหน่งรัฐมนตรีอื่นๆ ในประเทศหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงสิ่งแวดล้อม จัมเมห์เข้าสู่อำนาจผ่านการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2537 และอยู่ในอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ โดยถึงแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2559 ที่เขาแพ้การเลือกตั้งต่อ อดามา มาร์โรว์ แต่จัมเมห์ก็ยังไม่ยอมออกจากตำแหน่ง ทำให้มาร์โรว์ต้องทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งจากประเทศเซเนกัลแทน ทำให้วิกฤตทางการเมืองดำดิ่งลงเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตามกองกำลังของกลุ่มประเทศใกล้เคียงแกมเบียมีแผนการเข้าไปแทรกแซงสถานการณ์นี้ โดยที่กองทัพเซเนกัลออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมาว่ากองกำลังจากประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีเพื่อปกป้องผลการเลือกตั้งในแกมเบียเมื่อเดือนที่แล้วไว้ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเจาะจงว่ามีการโจมตีในรูปแบบใด โดยที่ก่อนหน้านี้มีกองกำลังทหารกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตกวางกำลังอยู่ตามแนวชายแดนแกมเบียเพื่อสนับสนุนบารโรว์ในการต่อสู้กับจัมเมห์

บาร์โรว์ จำต้องหลบหนีไปพักพิงอยู่ในประเทศเซเนกัลตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมาเขาจัดพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแบบด่วนๆ ที่สถานทูตแกมเบียประจำกรุงดาการ์ เมืองหลวงของเซเนกัล ในคำกล่าวสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของเขาระบุว่า "นี่จะเป็นวันที่ชาวแกมเบียจะไม่มีวันลืมเลย" เขาออกคำสั่งให้กองทัพแกมเบียยังคงอยู่ในกรมกองของตัวเองและคอยปกป้องประเทศชาติ นอกจากนี้บาร์โรว์ยังเรียกร้องให้ ECOWAS สหภาพแอฟริกันและสหประชาชาติสนับสนุนรัฐบาลของเขาและสนับสนุนเจตจำนงของประชาชนแกมเบีย

หลังจากพิธีสาบานตนนอกประเทศจบลงไม่นานนัก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการสนับสนุนบาร์โรว์และเรียกร้องให้มีเปลี่ยนผ่านทางอำนาจโดยสันติ โดย ปีเตอร์ วิลสัน รองเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหประชาชาติกล่าวว่าประชาชนชาวแกมเบียได้ส่งเสียงออกมาแล้วในการเลือกตั้งเมื่อเดือน ธ.ค. ว่าต้องการให้ บาร์โรว์เป็นประธานาธิบดี เสียงของพวกเขาควรจะมีการรับฟังและขอให้คนๆ เดียวเท่านั้นยอมทำตาม

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จัมเมห์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ ขณะที่รัฐสภาขยายอายุการดำรงตำแหน่งของจัมเมห์ไปอีก 90 วัน ทางองค์กรผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติเปิดเผยโดยอ้างอิงข้อมูลจากรัฐบาลเซเนกัลว่าหลังจากเกิดวิกฤตครั้งล่าสุดมีประชาชนแกมเบียอย่างน้อย 26,000 คนหนีไปที่ประเทศเซเนกัลแล้วเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ

อัลจาซีรารายงานว่าถึงแม้ว่าพิธีสาบานตนจะจัดในห้องเล็กๆ ที่จุผู้คนได้ 40 คน แต่ภายนอกสถานทูตแกมเบียในกรุงดาการ์มีฝูงชนขนาดใหญ่ที่เป็นคนหนุ่มสาวพากันชุมนุมและตะโกนคำว่า "เสรีภาพ" และ "ความหวัง" ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา นิโกลาส ฮาค รายงานว่า ประชาชนเหล่านี้ใช้ชีวิตของพวกเขาทั้งชีวิตอยู่ภายใต้ผู้นำชุดเดียว คนเดียว พวกเขามองว่าบาร์โรว์เป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ดูเหมือนว่าจัมเมห์จะไม่พร้อมที่จะปล่อยแกมเบียไป

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีคณะรัฐบาล 8 ที่เคยทำงานให้กับจัมเมห์ทำการแปรพักตร์โดยบอกว่าพวกเขาไม่อาจทนรับจัมเมห์ได้อีกต่อไป รวมถึงมีการกดดันอย่างหนักจากนานาชาติให้จัมเมห์ลงจากตำแหนง กลุ่มชาติแอฟริกันก็เริ่มตีตัวออกห่าง แต่จัมเมห์ก็ยังไม่ยอมลงจากตำแหน่งอยู่ดี ประเทศบอตสวานาประกาศว่าการที่จัมเมห์ไม่ยอมส่งต่ออำนาจให้กับผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นการทำลายความพยายามรักษาประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลไว้

กลุ่มกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติขีดเส้นตายให้จัมเมห์ ออกจากสำนักงานภายในเวลาบ่าย 4 โมง ของวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่จัมเมห์ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยจนกระทั่งในวันที่ 21 ม.ค. ถึงมีข่าวของจัมเมห์ประกาศว่าจะยอมลงจากตำแหน่ง

 

 

เรียบเรียงจาก

Adama Barrow sworn in as Gambia's president in Senegal, Aljazeera, 20-01-2017
http://www.aljazeera.com/news/2017/01/gambia-president-adama-barrow-takes-oath-senegal-170119170745954.html

Gambia: Four ministers resign from Jammeh government, Aljazeera, 17-01-2017
http://www.aljazeera.com/news/2017/01/gambia-ministers-resign-jammeh-government-170117081811506.html

Yahya Jammeh says he will step down in The Gambia, BBC, 21-01-2017
http://www.bbc.com/news/world-africa-38702787

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการทหารตีกลับสำนวนคดีเปิดศูนย์ปราบโกงบ้านโป่ง สั่งเพิ่มข้อหา-ใครเข้าปรับทัศนคติคดีจบ

$
0
0

พนักงานสวบสวนชี้แจงกับผู้ต้องหาชาวบ้านโป่ง หลังอัยการทหารตีกลับสำนวนฟ้องระบุให้เพิ่มข้อกล่าวหา พร้อมสั่งให้ถามย้ำอีกครั้งหากมีใครสมัครใจเข้าปรับทัศนคติ 5-7 วัน เลิกสั่งฟ้องรายบุคคล ด้าน 17 ชาวบ้าน 1 นักศึกษา ยันพร้อมสู้คดีต่อ

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ : United Lawyers For Rights & Liberty

23 ม.ค. 2560 ที่มณฑลทหารบกที่ 16 หรือค่ายภาณุรังสี จังหวัดราชบุรี ชาวบ้านผู้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีถ่ายรูปกับป้ายศูนย์ปราบโกงประชามติ ที่อำเภอบ้านโป่ง จำนวน 27 ได้เดินทางเพื่อเข้าพบพนักงานอัยการศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 16 ตามกำหนดที่พนักงานสอบสวนสถานนีตำรวจภูธรบ้านโป่งได้นัดหมาย โดยวันนี้พนักงานอัยการได้ทำสำนวนคดีเสร็จสิ้น และมีความเห็นสั่งฟ้องผผุ้ต้องหาทั้งหมด ตามความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ฐานร่วมมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ขึ้นไป จากการถ่ายรูปเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2559 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการทหาร ได้ส่งสำนวนกลับคืนมายังพนักงานสอบสวน และขอให้พนักงานสอบสวนกลับไปทำสำนวนมาใหม่โดยให้ไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นข้อหาอะไร ควบคู่กับข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน หรือฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 พร้อมทั้งสั่งให้พนักงานสอบสวนถามย้ำกับผู้ต้องหาทุกคนว่า มีผู้ใดที่จะสมัครใจเข้าโครงการอบรมเพื่อการพัฒนาอีกหรือไม่ (การเข้าค่ายปรับทัศนคติ) หากใครสมัครใจให้กรอกแบบฟอร์มยืนยันไว้กับพนักงานสอบสวน จากนั้นจะมีการประสานไปยังกองพลพัฒนาที่ 1 หรือหน่วยงานอื่นเผื่อดำเนินการอบรมปรับทัศนคติ

ทั้งนี้พนักงานสอบสวนระบุด้วยว่า หากใครที่สมัครใจเข้าค่ายปรับทัศนคติ เมื่อเสร็จสิ้นจากการอบรมในระยะเวลา 5-7 วันแล้ว หน่วยงานที่รับดูแลเรื่องการปรับทัศนคติจะทำหนังสือมายังร้อยเวรว่า คดีความของผู้ที่ได้เข้าปรับทัศคติสิ้นสุดแล้ว และพนักงานสอบสวนจะมีความเห็นไม่สั่งฟ้องบุคคลนั้นๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า จากจำนวนทั้งหมด 27 คน มีชาวบ้าน 17 คน พร้อมด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตแพร่ 1 คนคือ ภานุวัฒน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว รวมกัน 18 คน ไม่ยอมรับ และไม่สมัครใจที่จะเข้าโครงการอบรมเพื่อการพัฒนา พร้อมทั้งยืนยันที่จะสู้คดีต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อุ้มช่างซ่อมรถเสื้อแดงโดยชายแต่งกายคล้ายทหาร หายตัว 5 วันแล้ว

$
0
0

ภรรยาช่างซ่อมรถระบุมีชายแต่คล้ายทหารบุกอุ้มสามีออกจากอู่ย่านบางพลี สมุทรปราการ เมื่อ 5 วันก่อน โดยไม่แสดงสังกัด ไม่มีหมายจับ และไม่บอกสถานที่ปลายทาง แต่สามียังติดต่อมาทางโทรศัพท์ว่าปลอดภัย 


นายบุญมี สิงห์น้อย

23 มกราคม 2560 ประชาไทได้รับแจ้งว่า มีการควบคุมตัวช่างซ่อมรถออกจากที่พักย่านสมุทรปราการ โดยชายแต่ตัวคล้ายทหาร จึงได้สอบถามไปที่นางอ้อม สิงห์น้อย ภรรยาของนายบุญมี สิงห์น้อย ช่างซ่อมรถที่ถูกระบุว่าถูกอุ้มหายออกจากที่ทำงาน

นางอ้อมเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมือวันที่ 19 มกราคม 2560 เวลาประมาณ 12.00 น. มีชายแต่งตัวใส่ชุดฝึกคล้ายทหาร 2 คน กับชายฉกรรจ์แต่งกายชุดลำลองประมาณ 8 คน โดยสารรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำ โตโยต้าคัมรีสีขาว รถตู้ รถจักรยานยนต์ เข้ามาที่บริเวณอู่ซ่อมรถบริเวณ คลอง 8 อ.บางพลี สมุทรปราการ โดยบุคคลทั้งหมดไม่ได้แสดงตัวหรือแจ้งหน่วยงานต้นสังกัด หรือหมายจับแต่อย่างใด แต่เข้ามารื้อค้นสิ่งของและได้นำตัวนายบุญมี สิงห์น้อย หรือช่างกบ ออกไป โดยบอกกับเพื่อนของนายบุญมีและภรรยาของเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ ว่าจะเอาตัวไปพูดคุยและเดี๋ยวจะปล่อยตัวกลับ เมื่อถามว่าจะะนำตัวไปที่ไหน ชายในชุดทหารแจ้งเพียงว่าจะนำตัวไปใกล้ๆ แต่ไม่บอกสถานที่


อู่ซ่อมรถของ นายบุญมี สิงห์น้อย

หลังการจับกุมตัว นายบุญมีได้โทรศัพท์มาหาภรรยาทุกวันโดยบอกว่าปลอดภัยดี แต่ไม่บอกว่าถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน  และในช่วงบ่ายของวันนี้นายบุญมีได้โทรศัพท์มาหา "ช่างอึ่ง" เพื่อนของเขาผู้อยู่ในเหตุการณ์ โดยได้นัดหมายขอให้ช่างอึ่งและภรรยาเดินทางไปรอที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในช่วงเย็นวันนี้ นายบุญมีแจ้งกับช่างอึ่งว่า ทางเจ้าหน้าที่ต้องการให้เขาไปลงลายมือชื่อหลักฐานการควบคุมตัว แต่เนื่องจากช่างอึ่งเห็นว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงเตรียมจะติดต่อไปในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ( 24 ม.ค.2560) แทน

ทั้งนี้นายบุญมี สิงห์น้อย หรือ ช่างกบ อายุ 43 ปี มีบุตร 4 คน นายบุญมีมีประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเป็นคนเสื้อแดงสังกัดกลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย สมุทรปราการ  มีพื้นเพเป็นชาวอำเภออุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น มีอาชีพหลักคือเปิดอู่ซ่อมรถและทำอาหารสำเร็จรูปขายในตอนเช้า ปัจจุบัน นายบุญมีถูกคุมตัวหายออกจากที่พักเป็นเวลา 5 วันแล้ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองผู้ว่าฯ กทม.เผยจะเร่งสร้างลิฟต์ BTS หลังล่าช้าเกินกำหนด คาดเสร็จปลายปี 2560

$
0
0

รองผู้ว่าฯ กทม. ย้ำไม่นิ่งนอนใจ หลังสร้างลิฟต์บนบีทีเอสไม่เสร็จตามกำหนด สั่งตรวจสอบสาเหตุ-เร่งแก้ไขข้อผิดพลาด ฝั่งสำนักการจราจรและขนส่งคาดจะทยอยเสร็จเป็นระยะ-แล้วเสร็จทั้งหมดไม่เกินสิ้นปี


การเดินทางของกลุ่มคนพิการเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อยื่นหนังสือและอ่านแถลงการณ์ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก

23 ม.ค.2560 พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยหลังประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2/2560 ว่า ไม่นิ่งนอนใจในกรณีการก่อสร้างลิฟต์สำหรับคนพิการบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้นล่าช้า สืบเนื่องจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2558 ที่มีคำสั่งให้ กทม.และบีทีเอสก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี

เขากล่าวว่า ทั้งนี้ได้จัดสรรงบประมาณ 350 ล้านบาท ดำเนินก่อสร้างบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้ง 23 สถานี ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อ 24 ส.ค.2559 (ล้าช้ากว่ากำหนดของศาลปกครองสูงสุด 7 เดือน 3 วัน) แต่ขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างลิฟต์แล้วเสร็จเพียงบางส่วน ยังเหลืออีก 19 สถานี ที่ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีข้อขัดข้องบางประการ ได้แก่ การขุดเจาะไปเจอสาธารณูปโภคใต้พื้นดิน จึงทำให้ต้องย้ายที่ใหม่ อีกทั้งผู้รับเหมาแจ้งว่า มีเวลาในการดำเนินการค่อนข้างน้อย เพียง 3-4 ชั่วโมงต่อวัน

ทั้งนี้ กทม.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกิดจากสาเหตุใด หากเป็นเหตุสุดวิสัยก็จะเร่งดำเนินการแก้ไข แต่หากพบว่าเป็นความบกพร่องของผู้รับผิดชอบ กทม.ก็จะดำเนินการตามระเบียบต่อไป 

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) จัดทำโรดแมปแผนการดำเนินงานก่อสร้างลิฟต์และพบว่า ในช่วงเดือน มี.ค.ที่จะถึง จะมี 3-4 สถานีที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จบางส่วน และสถานีอื่นจะทยอยเสร็จเป็นระยะ คาดว่า จะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปลายปี 2560

ด้านอาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เปิดเผยกับวอยซ์ทีวีว่า บีทีเอสให้ความร่วมมือกับ กทม. เป็นอย่างดีตามที่กฎกระทรวงฯ ระบุว่า ให้อำนวยความสะดวกแก่คนพิการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ส่วนการก่อสร้างลิฟต์ เป็นหน้าที่ของ กทม. เท่านั้น พร้อมยืนยันว่า สถานีส่วนต่อขยายในอนาคตจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนทุกกลุ่ม

ก่อนหน้านี้ (20 ม.ค.2560) กลุ่มเครือข่ายคนพิการหลายที่ได้มีการยื่นหนังสือและอ่านแถลงการณ์ ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก (อ่านที่นี่) เพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก กทม. กรณี ไม่ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการบนรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยมีสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องค่าเสียหายจาก กทม.วันละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.2559 - ปัจจุบัน รวมเป็นเงิน 361,000 บาทต่อผู้เสียหาย 1 คน ทั้งนี้ ได้ส่งคำร้องขอเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือคลาสแอคชัน (Class Action) ซึ่งศาลแพ่งได้รับพิจารณาเป็นคดีดำ พ.246/2560 และได้นัดไต่สวนการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลวันเดียวกับนัดสืบพยานในวันที่ 30 มี.ค.ที่จะถึง เวลา 09.00 น. ณ ห้อง 310 ชั้น 3 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

(คลิป) ถกปมสวัสดิการการศึกษาในรัฐธรรมนูญ และ กยศ.

$
0
0

'วัชรฤทัย' เสนองานวิจัยสิทธิการศึกษาของประเทศต่างๆ ที่ระบุใน รธน. นศ.มธ.ชี้รัฐไม่ควรมองการศึกษาเป็นเรื่องถูกหรือแพง 'ธนพงษ์' วิเคราะห์การศึกษาในฐานะความมั่นคงของมนุษย์ 'พัชณีย์' ระบุการศึกษาที่ดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมเผด็จการและสังคมที่มองคนแบบเหลื่อมล้ำ

 

21 ม.ค. 2560 ที่ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นั้น วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัด เสวนาวิชาการ หัวข้อ "สวัสดิการการศึกษาในรัฐธรรมนูญ" ร่วมเสวนาโดย ดร.วัชรฤทัย บุญธินันท์ อาจารย์จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือข่ายการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตย (Thai Civic Education) ธนพงษ์ หมื่นแสน สมาชิก Group of Comrades รุ่งรวิน แสงสิงห์ นักศึกษาวิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นนักศึกษาผู้กู้ยืมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ปัจจุบัน และพัชณีย์ คำหนัก นักกิจกรรมแรงงาน

กติกาสากลกับการรับรองสิทธิการศึกษา

"ถ้าเราจะมองเรื่องการศึกษาในฐานะเป็นสิทธิมันไม่ใช่แค่สิทธิในตัวของมัน พอเราพูดถึงเรื่องการศึกษา การศึกษามันยังเป็นสิ่งที่เอื้อหรือว่าส่งเสริมให้เราได้รับสิทธิอื่นๆ ด้วย" วัชรฤทัย กล่าว

วัชรฤทัย กล่าวถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการศึกษาตั้งแต่ 2491 ด้วยว่า ทุกคนควรมีสิทธิทางการศึกษาและการศึกษาควรเป็นการศึกษาฟรี อย่างน้อยในระดับประถมซึ่งควรเป็นการศึกษาภาคบังคับแล้วก็ควรมีการจัดการศึกษาอาชีวะศึกษาและอุดมศึกษาควรเข้าได้อย่างเสมอภาคและก็ตามความสามารถ 

วัชรฤทัย กล่าวถึง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมว่าได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติปี 1966 แต่ยังบังคับใช้ในอีก10 ปี ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะมีกฎบังคับใช้ และต่อมาในปี 1999 ประเทศไทยถึงได้ลงนามเป็นภาคี ยอมรับข้อผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งพูดถึงการศึกษาว่าให้รัฐต้องกำหนดการเพื่อให้การศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาบังคับที่จะให้ทุกคนไม่เสียค่าใช้จ่าย และในระดับมัธยมให้จัดการศึกษาในรูปแบบต่างๆรวมทั้งอาชีวะศึกษาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยให้ดำเนินการโดยทุกวิธีทางที่เหมาะสมที่จะจัดให้ดำเนินการที่ทุกคนเข้าถึงได้ และโดยเฉพาะให้มีความคืบหน้าในการดำเนินการศึกษาโดยไม่เสียค้าใช้จ่าย หมายความว่ารัฐควรจัดการกับการศึกษาในระดับมัธยมให้ทุกคนเข้าถึงได้

สิทธิการศึกษาในโลกที่ระบุใน รธน.

วัชรฤทัย ได้ยกงานวิจัยชิ้นหนึ่งทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซีแอลเอ ที่สหรัฐอเมริกา ว่า ได้ศึกษารัฐธรรมนูญของ 190 ประเทศซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ โดยดูตัวรัฐธรรมนูญถึงปี 2554 หลายๆ ประเทศมีรัฐธรรมนูญ 100 ปี และแต่ก็มีการแก้ไขบ้าง พบมีสิทธิการศึกษาทางรัฐธรรมนูญมีกำหนดอะไรบ้างก็พบว่า 81% ของรัฐธรรมนูญจาก 190 ประเทศคุ้มครองสิทธิการศึกษาในระดับประถม ก็คือประถมต้องเป็นการศึกษาภาคบังคับที่จัดให้ทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนในระดับมัธยมมีรัฐธรรมนูญ 37% จาก 200 ประเทศที่ระบุไว้ว่ามีการคุ้มครองสิทธิทางการศึกษา ที่ระบุบไว้ก็ใกล้เคียงกับระดับอุดมศึกษา 15% จาก 200 ประเทศ แต่ที่น่าสนใจนักการคุ้มครองสิทธิรัฐธรรมนูญว่าคุ้มครองแบบไหน สรุปแล้วมี 6 ประเภท มีแบบที่รัฐธรรมนูญไม่ได้พูดถึงการรับรองสิทธิการศึกษาแก่พลเมืองทุกคน มันมีรัฐธรรมนูญแบบที่แสดงเจตจำนง แต่ไม่รับรองเพียงแค่แสดงเจตจำนงว่าอยากจะให้มีสิทธิทางการศึกษา ก็จะใช้คำว่า "ทุกคนควรจะได้รับสิทธิทางการศึกษา" อย่างเช่นในระดับประถมศึกษา ไม่ได้บอกว่าทุกคนมีสิทธิ แต่บอกว่า "ทุกคนควรจะได้รับ" เป็นการแสดงเจตจำนงว่าจะให้สิทธิ แต่ไม่ได้รับรองว่ามีสิทธิ รัฐธรรมนูญบางประเทศเขียนไว้แบบนี้ และมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิทางการศึกษา พูดเลยว่า "ทุกคนควรจะมีสิทธิได้รับการศึกษาในระดับประถม" หรือว่ามีรัฐธรรมนูญที่รับรองให้การศึกษาภาคบังคับใช้คำว่า "ภาคบังคับ" และก็มีรัฐธรรมนูญที่รับรองการศึกษาไม่เสียค่าใช้จ่าย บางรัฐธรรมนูญระบุเลยว่า "การศึกษาระดับประถมไม่เสียค่าใช้จ่าย" หรือ "ระดับมัธยมไม่เสียค่าใช้จ่าย" หรือ "อุดมศึกษาไม่เสียค่าใช้จ่าย" และอันสุดท้ายก็คือทั้งบอกว่าบังคับและไม่เสียค่าใช้จ่าย 

จำนวนประเทศต่อสิทธิการศึกษารูปแบบต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ

บางประเทศไม่ระบุใน รธน.แต่ก็มีนโยบาย

"ประเทศที่รับรองสิทธิ์ทางการศึกษาในรัฐธรรมนูญ จะมีนโยบายต่างๆ ที่กำหนดให้การศึกษาสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ในสัดส่วนที่สูงกว่าในประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนด ก็คือว่ากำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญดีไหม ดี เพราะว่ามันต้องออกนโยบายเพื่อให้สอดคล้อง เพราะฉะนั้นในการศึกษามันจึงมองว่ามันมีสัดส่วนที่สูงสำหรับประเทศที่บอกว่าการศึกษาฟรีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ที่น่าสนใจก็คืองานวิจัยชิ้นนี้เมื่อดูตัวเลขแล้วก็เห็นว่าหลายประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้รองรับสิทธิ แต่ยังมีนโยบายการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในระดับมัธยมและอุดมศึกษา" วัชรฤทัย  กล่าว

จำนวนประเทศต่อรูปแบบนโยบายเกี่ยวกับสิทธิการศึกษาประเภทต่างๆ

รัฐไม่ควรมองการศึกษาเป็นเรื่องถูกหรือแพง 

รุ่งรวิน แสงสิงห์ นักศึกษาวิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ มองเรื่องการกู้ยืมการศึกษา ว่า ไม่ควรเป็นเรื่องของการขาดทุนทรัพย์ เพราะคนทุกคนควรเข้าถึงได้สิทธิดังกล่าวได้ โดยเรื่องค่าครองชีพที่ได้เพียงวันละ 70 บาทใน กยศ. นั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่รัฐเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เรื่องเรียนฟรีในขั้นพื้นฐานนั้น ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เรียนฟรีจริงเพราะตนก็ต้องกู้ยืม กยศ.ตั้งแต่สมัยมัธยม เพราะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น จ่ายให้กับครูต่างประเทศ ก็ไม่ได้ฟรีจริง

รุ่งรวิน กล่าวด้วยว่า จากความยากลำบากในการเข้าถึงเงินกู้และการศึกษานั้น มันบอกเราได้ในระดับหนึ่งว่าถ้าไม่มีก็ไม่ต้องเรียน ทำให้บางคนต้องหยุดความต้องการไว้ เพราะมีปัญหาทางเลือกให้

นอกจากนี้ รุ่งรวิน ยังกล่าวด้วยว่า เงินค่าเทอมที่ กยศ. ให้นอกจากไม่เพียงพอแล้วยังดีเลย์ ทำให้เด็กบางคนต้องสำรองจ่ายไว้มากเช่นกัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รับการแบคอัพจากรัฐ สิ่งที่เขาให้เรียกว่าสวัสดิการนั้นมันใช้ไม่ได้ ระบบการศึกษาไม่ควรมองเป็นเรื่องที่ถูกหรือแพง มันควรเป็นสิ่งที่รัฐควรลงทุนกับเราอย่างเต็มที่เพราะมันจะเป็นผลดีกับเราในอนาคต สิทธิในการศึกษาของพวกเราควรได้รับตั้งแต่ต้นจนจบ อีกประเด็นสำหรับ กยศ. ถ้าตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่จะออกมาแสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องมือของรัฐที่จะผลักภาระการศึกษาไปสู่ปัจเจก

การศึกษาในฐานะความมั่นคงของมนุษย์

ธนพงษ์ หมื่นแสน กล่ววว่า ระบบและการจัดการด้านการศึกษา สะท้อนผลกระทบต่อเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ โดยประเด็นบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนัยยะแห่งแนวคิดความมั่นคงของมนุษย์ด้านการศึกษามีดังต่อไปนี้ หนึ่ง ความเสมอภาคทางการศึกษา คือ เด็กทุกคนมีโอกาสอย่างเท่าเทียมกันที่จะได้รับการเอาใจใส่และได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน โดยปราศจากการคำนึงในเรื่องเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานะทางสังคมหรือสถานะทางเศรษฐกิจ

การควบคุมคุณภาพการศึกษาด้วยการสร้างสายความรับผิดชอบให้สั้น การแข่งขันและการจ่ายตรง จะทาให้เกิดความเลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น และจะขยายปัญหาความแตกต่างของชนชั้นทางเศรษฐกิจให้เลวร้ายลงไปอีก เพราะลูกของคนที่จนมากๆ แม้จะได้เงินจากรัฐเท่ากับคนอื่น แต่ก็จะไม่มีทุนของตนเองมาสมทบที่จะย้ายไปสู่โรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่า ดังนั้นจะได้การศึกษาที่มีคุณภาพต่ำกว่า จบแล้วก็ทางานที่สร้างรายได้ต่ำกว่า และมีชีวิตที่ขัดสนกว่า 

ธนพงษ์ กล่าวถึงประเด็นที่สอง คือ อิสระในการเรียนรู้ นั้น บุคคลมีเสรีภาพที่จะเลือกในสิ่งที่ตนต้องการจะเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ และต้องการจะเรียนรู้เมื่อไร โดยมีหลักสูตรหลากหลายที่สนองตอบความต้องการของปัจเจกบุคคลได้ และการศึกษาตลอดชีวิตจะเปิดไว้ให้กับทุกคน การมีอิสระในการเรียนรู้ยังหมายความรวมถึงการที่รัฐควรจะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าด้วย

ธนพงษ์ กล่าวต่อว่า สาม สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและมั่นคง คือ สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้นั้น คือ ความปลอดภัยทางกายและความรู้สึกสำหรับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนโรงเรียน หรือเส้นทางการเดินทางไป-กลับโรงเรียน โดยมีการวิจัยพบว่า คุณภาพในสัมพันธภาพของนักเรียนกับครูส่งผลกระทบโดยตรงและสำคัญต่อความเกี่ยวข้องในการเรียนรู้ของนักเรียนมากที่สุดสัมพันธภาพในระดับเดียวกันจะกระทบต่อสุขภาพจิตของนักเรียนอย่างเด่นชัดที่สุด โรงเรียนจึงจำเป็นจะต้องทำให้นักเรียนมีความรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ และสี่ การจ้างงาน คือ ความเท่าเทียมในชีวิตและความผาสุก มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับรายได้ของบุคคล ทักษะเกี่ยวกับอาชีพและการศึกษาจะช่วยสนับสนุนโอกาสในเรื่องการจ้างงานโดยไม่ต้องสงสัย

การศึกษาที่ดี ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมเผด็จการ

พัชณีย์ คำหนัก กล่าวว่า การศึกษาไทยได้ทำให้เกิดโครงสร้างกำลังแรงงานที่อ่อนแอ รัฐบาลที่ผ่านๆ มา ได้ผลิตโครงสร้างกำลังแรงงานที่อ่อนแอ ทั้งในระบบอุตสาหกรรมและนอกระบบ อุตสาหกรรม แนวทางการปฏิรูปการศึกษาของ รัฐบาลทหารเป็นอย่างไร สรุปได้ประมาณ 3-4 ประเด็น เช่น การศึกษาที่ดี ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมเผด็จการ ดังนั้นนโยบายต่างๆ ที่จะลดความเหลื่อมล้ำ ที่จะสร้างระบบการศึกษาไทย ตัว กยศ. เป็นตัวชี้ว่า นโยบายของรัฐไม่มีความจริงใจ เช่น การหักหนี้ ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกับภาษี เมื่อจบการศึกษาแล้วต้องจ่ายหนี้ให้กับ กยศ. มันก็จะสะท้อนให้เห้นถึงวิธีการปฏิบัติต่อนักศึกษา มองเราเป็นเราในฐานที่เป็นลูกค้าหรือลูกหนี้มากกว่าเราเป็นประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

พัชณีย์ กล่าวต่อว่า กยศ. ก็เป็นกลไปหนึ่งที่จะช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ที่ทำให้ประชาชน ต้องพิสูจย์ความยากจน เพื่อได้รับสวัสดิการนั้น แต่ว่าสิ่งที่มีการวิจากรณ์หนักคือการสงเคราะห์ของรัฐ ไม่ได้ใช้ระบบมาตรการทางภาษี ทำไมรัฐใช้กลไกลสงเคราะห์ รูปแบบบริจาคทรัพย์สินมาลงทุนในการศึกษา การจัดสรรงบประมาณก็เป็นประเด็นในการจัดสวัสดิการศึกษา ในงบปริมาณแผ่นดินจัดให้งบกองทัพสองแสนกว่าล้าน ที่มากขึ้นตลอด  3 ปีที่ผ่านมา แต่ทำไม กยศ. ต้องการการใช้คืนขนาดถึงนั้น ทั้งที่มีงบจ่ายในส่วนอื่น ควรมีมาตรการภาษีมากขึ้น ความเป็นจริงเรื่องภาษีควรมีการพูดกันมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เนื่อง จากเรายังอยู่ในสังคมที่ปิดหูปิดตาประชาชน

การมองคนแบบเหลื่อมล้ำก็ไม่สามารถยกระดับการศึกษาได้

พัชณีย์ อีกว่า หน่วยงานของรัฐจะวัดการศึกษาในเชิงปริมาณมากกว่า แต่ว่าในเชิงคุณภาพนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง การตีความในการศึกษาการศึกษาในเชิงปริมาณมากกว่า ขณะที่บอกอยู่ตลอดว่าจะยกระดับคุณภาพการศึกษา แต่กับใช้อุดมการณ์เข้ามาจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ถ้าเป็นแนวคิดที่มองคนทุกคนเท่าเทียมกัน ก็จะมองการศึกษาละเอียดมาก การมองคนแบบเหลื่อมล้ำก็ไม่สามารถยกระดับการศึกษาได้แท้จริง การมองคนที่ไม่เท่าเทียมแล้ว นอกจากเป็นแนวคิดของอนุรักษนิยมจารีตแล้ว ยังเป็นแนวคิดเสรีนิยมด้วย ที่ผ่านมา นโยบายการศึกษาออกมาทำให้โครงสร้างกำลังแรงงานอ่อนแอ ส่วนมากมาจากพรรคนายทุนก็ไม่สามารถลงทุนกับมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ แม้เพื่อไทยจะมีประชานิยมก็ไม่สามารถจัดสวัสดิการได้เต็มที่ รัฐบาลทหารก็ยังโยนทิ้งสวัสดิการเหล่านี้อีก ต้องเป็นคนจนเท่านั้นที่จะเข้าถึงกองทุนสงเคราะห์ต่างๆ

พัชณีย์ เสนอว่า ฝ่ายประชาชนควรมีการเมืองของเราเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเรา ปัจจุบันทหารมีความเข้มแข็งขึ้น เพราะภาคประชาชนอ่อนแอ เช่น การออกกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สะท้อนว่าเขามีกลไกปราบปรามเพิ่มขึ้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'จัดหางาน' งัดระบบออนไลน์ตามตัวแรงงานข้ามชาติ จนพ่อแม่ได้พบลูก หลังหายกว่า 3 ปี

$
0
0

กรมการจัดหางาน ใช้ระบบออนไลน์ช่วยติดตามตัวแรงงานข้ามชาติทำให้พ่อแม่ได้พบกับลูกสาวหลังจากออกจากบ้านไปนานกว่า 3 ปี

 
23 ม.ค.2560 รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงาน แจ้งว่า สิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางาน  เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูนได้รับเรื่องทุกข์จาก ปัน ลุงติ และมอญ ลุงติ สองสามีภรรยา สัญชาติไทยใหญ่ ซึ่งเป็นบุคคลบนพื้นที่สูง อาศัยอยู่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ว่าได้เดินทางมาตามหาลูกสาวชื่อ หนูนา อายุ 21 ปี ออกจากบ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เนื่องจากมีปัญหาในครอบครัว โดยสองสามีภรรยาได้ใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทางมาตามหาลูกสาวที่จังหวัดลำพูน ได้ติดตามสอบถามหลายแห่งมีผู้แนะนำให้มาขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานจัดหางาน จ.ลำพูน จึงได้เดินทางมาพบกับเจ้าหน้าที่ และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น  ซึ่ง จันทนิภา ศรีวิชัย ตำแหน่ง นักวิชาการแรงงาน ได้เป็นผู้รับเรื่องและตรวจสอบข้อมูลในระบบออนไลน์ของกรมการจัดหางาน พบว่า หนูนา ได้มาจดทะเบียนที่ศูนย์จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (ศูนย์ OSS ) เมื่อปี 2557  เนื่องจากไม่มีหลักฐานการเกิด และได้มาขอเปลี่ยนนายจ้าง เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2560 เพื่อไปทำงานกับนายจ้างใหม่ในเขตพื้นที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน จึงประสานสอบถามไปยังนายจ้างพบว่า หนูนา ได้ทำงานกับนายจ้างใหม่จริง และได้นัดมารับใบอนุญาตทำงานในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2560 จึงได้แจ้งให้ ปัน และมอญ ทราบ และนัดให้มาพบกันที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน 
 
หนูนา ได้เดินทางมารับใบอนุญาตทำงานก่อนเวลาที่กำหนด ในวันที่ 19 ม.ค. 2560 เจ้าหน้าที่จึงได้เล่าเรื่องราวที่พ่อและแม่ติดตามหา พร้อมพูดคุยโน้มน้าวให้ หนูนา ติดต่อพูดคุยกับพ่อแม่ และได้นัดเจอกันที่ที่ว่าการอำเภอเมืองลำพูน เนื่องจากต้องไปเปลี่ยนบัตรประจำตัวใหม่ ในเวลาต่อมา ปัน ลุงติ ได้โทรศัพท์ติดต่อกลับมาที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูน โดยแจ้งว่า ได้พบ หนูนา บุตรสาวแล้ว ซึ่งรู้สึกดีใจมากๆ พร้อมทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำพูนด้วยความตื้นตันใจที่ได้ให้ความช่วยเหลือจนทำให้ตนได้มีโอกาสพบกับบุตรสาวอีกครั้งหนึ่ง
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวในตอนท้ายว่าระบบออนไลน์การขอรับใบอนุญาตทำงานของกรมการจัดหางาน จะบันทึกและจัดเก็บขัอมูลของแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง/สถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการขอรับใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกรมการจัดหางานและวาระปฏิรูปเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานด้านการพัฒนา IT ซึ่ง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีนโยบายให้มีการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือกรณีประสบปัญหาด้านแรงงานติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชู '66/23' เป็นหลัก อนุกรรมาธิการ ปรองดองฯ สปท. หวังยุติขัดแย้งทางการเมือง

$
0
0

อนุกรรมาธิการ ปรองดองฯ สปท. ยึดแนวทาง 66/23 ของพล.อ.เปรม และนำผลการศึกษา 9 คณะ มาพิจารณา พร้อมเชิญ ปชป. พท. นปช. และ กปปส. มาให้ข้อมูล-ความเห็น แต่ไม่ส่ง จม.ถึงทักษิณ เหตุไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน

 
23 ม.ค. 2560 สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา รวบรวมความคิดเห็นวิเคราะห์และสังเคราะห์ ประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และการสร้างความปรองดองทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงผลการประชุมนัดแรกวันนี้ (23 ม.ค.60) ว่า ได้กำหนดเป้าหมายการทำงาน ที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างพรรคและกลุ่มการเมืองยุติลง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้  เบื้องต้นอนุกรรมาธิการ จะนำนโยบายและมาตรการ 66/23 และ 66/25 ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นหลัก ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้สงครามการเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลที่ยืดเยื้อในขณะนั้นยุติลงได้   นอกจากนี้จะคำนึงถึงความสามัคคีและสันติสุข ใช้หลักเมตตา ให้อภัย ยุติความเกลียดชัง ใช้หลักนิติรัฐ แบบที่พล.อ.เปรม เคยปฏิบัติ รวมไปถึงใช้กฎหมายปฏิบัติกับทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน และเชื่อว่า การประกาศนโยบายปรองดองของรัฐบาลจะลดความตึงเครียดสถานการณ์ทางการเมืองลง และจะทำให้การทำงานสำเร็จได้ เพราะรัฐบาลอยู่ในฐานะคนกลางไม่ใช่คู่ขัดแย้ง  และคนไทยก็ต้องการความปรองดองเช่นกัน ซึ่งแนวทางการทำงานของอนุกรรมาธิการฯ จะใช้เอกสารจาก 9 คณะ ที่เคยศึกษาเรื่องความปรองดองมาก่อนมาประกอบการทำงาน และจะเชิญประธานทั้ง 9 คณะ เช่น เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ดิเรก ถึงฝั่ง สถาบันพระปกเกล้า คณิต ณ นคร พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน มาพบปะ เพื่อให้ข้อมูลและตรวจสอบความรอบคอบของผลการศึกษาให้เกิดความมั่นใจว่าไม่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูล รวมถึงได้ส่งจดหมายไปยังพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย กลุ่มนปช. และ กปปส.  ขอให้ทำเอกสารความเห็นที่เป็นทางการส่งกลับมาภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งกรอบการทำงานของอนุกรรมาธิการฯ จะใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน ก่อนเสนอสู่ที่ประชุม สปท. โดยมั่นใจ ว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี  และทำงานร่วมกับรัฐบาลและ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้
 
ขณะที่ นิกร จำนง อนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยถึงวิธีการว่าจะเป็นการนิรโทษหรือไม่ แต่จะศึกษาจากเอกสารจากที่ 9 คณะเคยศึกษาไว้มาเป็นแนวทางและถอดบทเรียน ซึ่งการศึกษาของอนุกรรมาธิการฯ จะครอบคลุมในส่วนของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ชุมนุม แต่จะไม่ส่งจดหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: กลบคนตาย สลายคนเป็น

$
0
0


ติดหล่มดำ ย่ำในหลุม กลุ่มหมอกหนา
เบื้องหน้า เลือนลาง ทางสับสน
เหลียวขวา แลซ้าย หลบไม่พ้น
คล้ายติดกับ อับจน บนทางตัน

สลึมสลัว มัวตา ฝ่าสายหมอก
เจ็บยอก หนักหน่วง ดั่งห้วงฝัน
แต่ละก้าว เท้าหนัก กักกัน
ลากพัน โซ่ตรวน ข่วนผิวกาย

อุปทาน สายตา ว่าเห็นแสง
ลำคอแห้ง ทรุดหมอบ หอบกระหาย
เเสงเสรี อิสระ วาบประปราย
เสียงคนตาย เเว่วถาม น้ำตาคลอ

"สุดฟ้าโน้น เเสงไฟ นั้นใช่หรือ?
ปีศาจถือ ดาวดวง ไว้ลวงล่อ
ที่นั่นคือ ฟ้าสีทอง เคยร้องรอ
ฤๅหลุมบ่อ "กลบคนตาย สลายคนเป็น"

โซ่ล่ามรัด บาดเนื้อลึก ลึกปวดร้าว
พาร่างหนาว เข้าใกล้ ไฟที่เห็น
ปลดโซ่คล้อง จองจำ สิ้นลำเค็ญ
รับไฟเย็น เซ็นต์เงื่อนไข ให้เผาตัว**

พันธนาการ ปลดปล่อย ร้อยข้อเเม้
ตระหวัดแส้ สัญญา อย่าเงยหัว
รับเงื่อนไข ปรองดอง ของความกลัว
หรือเลือกทาง มืดมัว จนตัวตาย

จนมุมกับ ทางเก่า เขาให้เลือก
กระสนเสือก ลมหายใจ ใกล้สูญหาย
เศษปรองดอง อิสระ หลอมละลาย
ดับสลาย หมดสิ้น จิตวิญญาณ
(ดับสลาย จิตวิญญาน อุดมการณ์ชน)

 

ที่มาภาพ: เยี่ยมบ้านญาติผู้เสียชีวิต

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เรื่องราวของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

$
0
0


 

เรื่องราวที่จะเล่านี้ ส่วนสำคัญมาจากงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย” โดย อนุชา อชิรเสนา ซึ่งถือว่าเป็นงานวิจัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์กฎหมายหลังการปฏิวัติ พ.ศ.2475 โดยวิทยานิพนธ์นี้ มุ่งที่จะศึกษาวิวัฒนาการของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่หลัง พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน (ราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2559) โดยศึกษาจากเงื่อนไขทางกฎหมายภายใต้บริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย

ความน่าสนใจของงานวิจัยนี้ประการแรก คือ การอธิบายให้เห็นว่า ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น เกิดขึ้นในระบอบใหม่ เมื่อคณะราษฎรได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพราะในระบอบการเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจปกครองอยู่ในมือของพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในลักษณะใด เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์ รูปแบบการแต่งตั้งจึงไม่เป็นแบบแผนเดียวกัน เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2439 ทรงออกพระราชบัญญัติตั้งพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นผู้สำเร็จราชการ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 เมื่อพระองค์ไม่อยู่ในพระนคร ทรงแต่งตั้งผู้รักษาพระนครแทนพระองค์ในรูป “พระราชหัตถเลขา” เป็นต้น

มีกรณีที่น่าสนใจ คือ ใน พ.ศ.2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ โดยกำหนดให้มี “สภาสำเร็จราชการแผ่นดิน” เพื่อบริหารราชการแผ่นดินในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงพระเยาว์ สภานี้จะมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์เป็นประธาน ในเงื่อนไขที่ว่า จะต้องเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะเดียวกับที่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)ได้รับเลือกให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 แต่สภานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ เพราะไม่เกิดกรณีกษัตริย์ทรงพระเยาว์เมื่อก่อน พ.ศ.2475

หลังการปฏิวัติ พ.ศ.2475 เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จะพบว่ารัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับ จะมีบทบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสมอ ตั้งแต่พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองฉบับแรกสุดเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ก็มีมาตรา 5 ระบุให้ ”คณะกรรมการราษฎร” เป็นผู้ใช้อำนาจแทนกษัตริย์ ในกรณีที่ “กษัตริย์มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ไม่ได้ หรือไม่อยู่ในพระนคร” ต่อมา ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ก็ได้ระบุไว้ชัดเจนให้มีการตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ในกรณีที่ “พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งที่จะทรงบริหารพระราชภาระมิได้”

เหตุการณ์ที่ตามมาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ การที่ประเทศไทยจะอยู่ภายใต้ยุคสมัยของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างยาวนาน เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯเสด็จไปประทับที่อังกฤษระยะหนึ่ง ก็ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติ ทำให้รัฐสภาต้องพิจารณาเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ จึงต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่ พ.ศ.2478 จนถึง พ.ศ.2488 ความน่าสนใจของการตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในระยะนี้ คือสภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีส่วนสำคัญในการพิจารณาแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสมอมา และนำมาซึ่งประเพณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องกล่าวคำปฏิญานตนต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อนเข้ารับตำแหน่ง

ตั้งแต่หลังรัฐประหาร พ.ศ.2490 และนำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2492 ที่มีการก่อตั้งองค์กรองคมนตรีขึ้น ได้มีการปรับเปลี่ยนบทบัญญัติให้องคมนตรีเข้ามาเป็นองค์กรร่วมกับรัฐสภาในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยให้องคมนตรีเป็นผู้เสนอชื่อผู้สมควรเข้ารับตำแหน่งต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เพราะถือในหลักการว่า รัฐสภาคือผู้แทนของประชาชน การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะมาทำหน้าที่กษัตริย์จึงต้องให้รัฐสภาพิจารณาด้วย เพราะแม้การขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบของรัฐสภาเช่นกัน และประเพณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิญานตนต่อรัฐสภายังคงอยู่ อย่างน้อยจนถึง พ.ศ.2509 สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็เสด็จมาปฏิญานพระองค์ต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่รัฐสภาในขณะนั้น

กฎเกณฑ์ทั้งหมดนี้จะมาเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ.2534 หลังจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) ล้มเลิกรัฐธรรมนูญเดิมฉบับ พ.ศ.2521 แล้วตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้มีการเพิ่มพระราชอำนาจและลดอำนาจของรัฐสภา เช่น การขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ แต่เดิมกำหนดให้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตัดอำนาจของรัฐสภาออกไป ให้การขึ้นครองราชย์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล พ.ศ.2467 และยังระบุด้วยว่า การแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในส่วนเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็กำหนดให้พระมหากษัตริย์แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอีกต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในต่างประเทศที่มีระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่มีกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญประเทศใด ที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจในการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หลายประเทศจะกำหนดบุคคลที่จะเป็นผู้สำเร็จราขการเอาไว้ เช่น ประธานวุฒิสภา หรือ องค์รัชทายาทที่บรรลุนิติภาวะ หรือถ้าจะต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็จะต้องให้รัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเสมอ การปรับเปลี่ยนแบบแผนโดยการลดอำนาจรัฐสภา จึงเป็นลักษณะพิเศษของรัฐธรรมนูญไทยเมื่อ พ.ศ.2534 แต่กลายเป็นว่าการปรับเปลี่ยนแบบแผนเช่นนี้ ได้ใช้กันต่อมาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และถือว่ายังใช้มาจนถึง พ.ศ.2559 เพราะการรัฐประหาร พ.ศ.2557 แม้ว่าจะประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 แต่ได้มีประกาศคณะรัฐประหารให้คงหมวดพระมหากษัตริย์ของรัฐธรรมนูญนั้นไว้

สรุปตามงานวิจัยของเล่มนี้ คือกฎเกณฑ์ในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะมีความเปลี่ยนแปลงตามลักษณะทางการเมืองของยุคสมัย เมื่อสังคมไทยก้าวไปสู่ลักษณะที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยน้อยลง กฎเกณฑ์การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงพัฒนาในลักษณะเดียวกัน ผู้วิจัยเสนอไว้ว่า ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและมีบรรยากาศแห่งเสรีภาพ กฎเกณฑ์เหล่านี้ควรที่จะนำมาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง เพื่อให้การเมืองไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยึดโยงเข้ากับอำนาจของประชาชนชัดเจน



เผยแพร่ครั้งแรกในโลกวันนี้วันสุข ฉบับ 600 วันที่ 21 มกราคม 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิกิลีกส์ขอคนช่วยส่งข้อมูลขอคืนภาษีของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' เพื่อแฉในเว็บ

$
0
0

หลังจากที่ทำเนียบขาวไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการขอคืนภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยอ้างว่า "ไม่มีใครสนใจ" ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความโปร่งใสอันเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญของประชาธิปไตย วิกิลีกส์ได้ขอให้คนส่งข้อมูลภาษีของทรัมป์ให้เพื่อนำมาแฉในเว็บ

 

23 ม.ค. 2560 เคลล์ยอนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะพวกเขาจะไม่ทำอะไรหลังจากที่มีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลการขอคืนภาษี ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่เข้ารับตำแหน่งกระทำกันมาแล้วเป็นเวลา 40 ปี นั่นหมายความว่าทรัมป์จะไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพันธะและผลประโยชน์ทางการเงินต่อชาวอเมริกัน

ก่อนหน้านี้ทรัมป์ให้คำมั่นเสมอมาว่าจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (22 ม.ค.) คอนเวย์ประกาศว่าทางทำเนียบขาวจะไม่เปิดเผยข้อมูลการคืนภาษีของทรัมป์ โดยสำนักข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่าการทำผิดสัญญาในครั้งนี้จะทำให้เว็บไซต์วิกิลีกส์ตีตัวออกห่างทรัมป์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ วิกิลีกส์เคยนำเสนออีเมลที่แฮกจากทีมงานของฮิลลารี คลินตันจนทรัมป์นำจุดนี้มาโจมตีเธอในช่วงหาเสียง

โดยที่วิกิลีกส์ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า "การไม่ทำตามสัญญาเรื่องจะเปิดเผยข้อมูลการขอคืนภาษีของทรัมป์เป็นเรื่องได้มาเปล่าๆ เสียยิ่งกว่าการที่คลินตันพยายามซ่อนบันทึกโกลด์แมนแซคส์ของเธอเสียอีก" โดยเว็บไซต์จอมแฉวิกิลีกส์เรียกร้องให้ใครก็ได้ส่งข้อมูลการขอคืนภาษีของทรัมป์ให้พวกเขาเพื่อที่จะได้นำมาเผยแพร่

คอนเวย์อ้างว่าผู้คนไม่ได้สนใจในเรื่องนี้จากการที่ "ผู้คนอเมริกันส่วนใหญ่" โหวตเขาเข้ามา แต่ข้ออ้างของคอนเวย์ขัดกับโพลของสื่อวอชิงตันโพสต์-เอบีซี ที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันร้อยละ 74 รวมถึงผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันร้อยละ 53 ต้องการเห็นรายละเอียดการขอคืนภาษีของทรัมป์ ขณะที่โพลของซีเอ็นเอ็นก็มีจำนวนใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังมีการล่ารายชื่อในเว็บไซต์ทำเนียบขาวเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินที่มีผู้ลงนามแล้วมากกว่า 218,000 รายชื่อ

ข้อมูลเรื่องการขอคืนภาษีของทรัมป์เป็นประเด็นเรื่องความโปร่งใสที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกเห็นว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ทางการเงินเชื่อมโยงกับส่วนใดในโลกบ้าง เช่นว่ามีธุรกิจอยู่ที่ใด มีหุ้นส่วนเป็นใคร และติดเงินใครอยู่บ้าง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจรรยาบรรณเกรงว่าหนี้สินทางธุรกิจของทรัมป์อาจจะส่งผลต่อนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปหาประโยชน์เข้าตัวได้

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน ม.ค ทรัมป์เคยอ้างว่าเขายังเปิดเผยข้อมูลภาษีตัวเองไม่ได้เพราะกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบบัญชี แต่ก็ไม่หลักฐานใดบ่งบอกเลยว่ากำลังตรวจสอบบัญชีอยู่จริง โดยที่ทรัมป์ก็คอยเฝ้าสัญญาอยู่เสมอว่าเขาจะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องภาษีของตัวเองแต่ก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาจนกระทั่งนิวยอร์กไทมส์นำรายละเอียดเรื่องการขอคืนภาษีของเขาในปี 2538 มาเผยแพร่พบว่าทรัมป์สูญเสียเงินถึง 916 ล้านดอลลาร์ ในปีเดียวและมีความเป็นไปได้ที่เขาจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้รัฐบาลกลางมาแล้วถึง 18 ปี ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เขาไม่เคยปฏิเสธ

อย่างไรก็ตาม คอนเวย์ยืนยันว่าทรัมป์และครอบครัวของเขาปฏิบัติตามข้อกำหนดจรรยาบรรณทุกอย่าง รวมถึงการออกจากการทำธุรกิจของเขาเพื่อเป็นประธานาธิบดีเต็มตัว แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าทรัมป์ออกจากธุรกิจใดๆ ของเขาเลย


เรียบเรียงจาก


White House refusal to release Trump tax returns alienates WikiLeaks, The Guardian, 22-01-2017
https://www.theguardian.com/us-news/2017/jan/22/white-house-refuses-release-trump-tax-returns-wikileaks

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มองอนาคตฮ่องกงปี 2560 ใต้แรงกดดันจีน

$
0
0

นักเศรษฐศาสตร์อิสระและนักวิเคราะห์ประเมินอนาคตฮ่องกงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าการคนใหม่ ท่ามกลางความไม่ไว้ใจของประชาชนฮ่องกงต่อจีนแผ่นดินใหญ่ว่าจะเข้ามาแทรกแซงอะไรพวกเขาอีกบ้าง ทั้งนี้ หากการเลือกตั้งเป็นไปด้วยดีโดยผู้แทนตอบสนองต่อประเด็นต่างๆ ของประชาชนได้จริง อนาคตของฮ่องกงจะสดใสขึ้น

23 ม.ค. 2560 โดมินิก มาเฮอร์ นักเศรษฐศาสตร์อิสระและนักวิเคราะห์สาธารณรัฐประชาชนจีน เขียนบทความประเมินอนาคตฮ่องกง และความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากเมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในฮ่องกง ในฐานะ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ที่อนุญาตให้ฮ่องกงมีเสรีภาพมากกว่าจีน

เขาชี้ว่า เมื่อปีที่แล้ว มีเหตุการณ์ที่จีนจับกุมและลักพาตัวคนขายหนังสือที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรของฮ่องกงเลย รวมถึงมีการที่จีนเข้าไปตีความกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเอาเองเพื่อขับไล่สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง (LegCo) ออกจากตำแหน่ง ทำให้น่าตั้งคำถามว่าจีนกำลังเคารพข้อตกลง "หนึ่งประเทศ สองระบบ" หลังจากที่มีการคืนเกาะฮ่องกงสู่จีนจริงหรือไม่

กฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญขนาดย่อมของเกาะที่เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษแห่งนี้มีที่มาจากมาตราที่ 31 ของรัฐธรรมนูญจีนแผ่นดินใหญ่เกี่ยวกับการอนุญาตจัดตั้งเขตปกครองพิเศษและปฏิญญาร่วมจีน-อังกฤษ ที่ระบุถึงการคืนอธิปไตยฮ่องกงสู่จีน กฎหมายพื้นฐานนี้ประกาศใช้โดยรัฐสภาจีนแผ่นดินใหญ่แต่ก็มีการตีความกฎหมายนี้แตกต่างกัน

มาเฮอร์ระบุว่าการกระทำของจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาตีความกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงรวมเป็นกฎหมายแห่งชาติของจีนที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยรัฐสภาจีนได้ แต่การพยายามใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงของจีนแผ่นดินใหญ่เองก็ทำให้เกิดผลกระทบทางการเมืองอย่างกรณีการประท้วงปฏิวัติร่มในปี 2557 แต่รัฐบาลฮ่องกงเองก็ไม่สนใจใยดีเสียงของประชาชนในพื้นที่จนทำให้ประชาชนชาวฮ่องกงมีความสุดโต่งมากขึ้นในระดับที่มีการเรียกร้องอิสรภาพในการปกครองตนเองจากจีนแผ่นดินใหญ่

ในปี 2560 นี้ยังเป็นปีที่สำคัญสำหรับฮ่องกงคือมีการเลือกตั้งผู้ว่าการฮ่องกงคนใหม่ในเดือน มี.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเหลียงชุนอิง ผู้ว่าการคนปัจจุบันประกาศว่าจะไม่ลงเลือกตั้งในคราวนี้อีกโดยอ้างว่ามีภาระหน้าที่ครอบครัว แต่ก็มีคนตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะทางการกลางของจีนไม่เชื่อว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งได้หรือสามารถปกครองฮ่องกงต่อไปได้ ขณะที่ผู้สมัครรายอื่นๆ ต้องแข่งขันกันว่าใครจะรักษาสมดุลเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ได้ดีที่สุด มาเฮอร์มองว่าพวกเขาต้องได้รับการยอมรับจากจีนแผ่นดินใหญ่และต้องทำความเข้าใจกับประเด็นที่ชาวฮ่องกงสนใจด้วยเช่นกัน

หวังกวงย่า ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าจากรัฐบาลจีนประกาศเจตนารมณ์ของทางการจีนแผ่นดินใหญ่ว่าคนที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้แทนในฮ่องกงได้นอกจาก "มีความรักประเทศชาติและฮ่องกง" แล้วยังต้องมีความสามารถโดยทั่วไป คอยสนับสนุนประชาชนฮ่องกง และ "เชื่อมั่นใจรัฐบาลกลาง"

มาเฮอร์ระบุว่าสิ่งที่ชวนให้รู้สึกย้อนแย้งคือการที่ทางการจีนเองที่ต้องพึ่งพาการเยียวยาทางการเมืองในฮ่องกง การที่จีนมีเศรษฐกิจเติบโตขึ้นได้ในช่วงปี 2521 ส่วนใหญ่แล้วมาจากความพยายามปฏิรูปภายในประเทศที่อาศัยประสบการณ์จากฮ่องกง แม้คนจำนวนมากจะเชื่อว่าบทบาทของฮ่องกงต่อจีนหมดไปแล้วในเรื่องนี้แต่จีนก็ยังต้องการจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของฮ่องกงนี้อยู่

มาเฮอร์ประเมินว่าฮ่องกงมีความสำคัญต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนในแง่ของการปรับภาคส่วนทางการเงินและการเปิดเสรีการลงทุน ในแง่ที่ต้องอาศัยสถาบันทางการเงินในฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ การพยายามรักษาสมดุลการควบคุมทางการเมืองกับการให้เสรีทางการเมืองแก่ฮ่องกงก็กลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับจีน

ทางภาคการเงินของฮ่องกงเองก็ยังต้องพึ่งพาการค้าของจีน ยิ่งหลังจากที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสงครามทางการค้า ฮ่องกงก็มีโอกาสได้รับผลกระทบสูงมากจากการที่พวกเขาต้องพึ่งพาการที่จีนมีความสัมพันธ์อันดีกับชาติอื่น ในภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ภาคส่วนที่สำคัญ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ การที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับจีนทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนน้อยลง แต่มาเฮอร์ก็มองว่าอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะการเอาใจนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่แบบที่ส่งผลกระทบต่อคนในท้องถิ่นทำให้เกิดผลพวงความไม่พอใจระหว่างชาวฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้

ทั้งนี้ในภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงเองก็ไม่สามารถตอบสนองคนในท้องถิ่นฮ่องกงเองได้ การวางข้อกำหนดต่างๆ เอื้ออำนวยต่อชนชั้นนำทางเศรษฐกิจที่ร่ำรวยเท่านั้น เห็นได้ชัดจากอพาร์ตเมนต์ฮ่องกงที่ราคาสูงลิ่วแต่ที่คับแคบมาก มาเฮอร์เสนอว่าควรมีการปรับเศรษฐกิจให้กลับมาตอนสนองต่อชาวฮ่องกงเองแทนที่จะเอาใจนักท่องเที่ยวจีนหรือนักธุรกิจร่ำรวยมหาศาล นอกจากนี้ยังมีปัญหาต้องจัดการทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างคุณภาพอากาศและน้ำ การปฏิบัติต่อแรงงานภายในประเทศ ค่าครองชีพ ความไม่เท่าเทียม และปัญหาสำคัญอื่นๆ ในขณะที่ระบบขนส่งมวลชนทางรถไฟและการขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของจีนแผ่นดินใหญ่ก็ควรจะเป็นไปในทางบวกภายในปี 2560

มาเฮอร์มองว่าฮ่องกงเองเป็นเมืองที่มีบทบาทต่อโลกมากกว่าที่คนจำนวนมากแม้กระทั่งชาวฮ่องกงประเมินตัวเอง จากการที่เป็นเมืองที่มีบทบาทของจีนผสมกับการมีหลักนิติธรรม มีการศึกษาคุณภาพระดับโลก มีสื่อที่ดีและมีมวลชนที่ตื่นตัว อีกทั้งฮ่องกงยังมีคุณค่าต่อจีนเองด้วย ถ้าหากผู้นำคนใหม่ของฮ่องกงสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทางการจีนกับคนในฮ่องกงได้ ฮ่องกงก็จะมีอนาคตที่ดี

จนถึงตอนนี้มาเฮอร์ยังประเมินในแง่ดีว่าผู้แทนลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าการฮ่องกงต่างก็มีความสามารถรับฟังประเด็นต่างๆ หลากหลาย และจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้เจาะจงเป็นผู้เลือกผู้แทนให้พวกเขา การที่ผู้แทนฮ่องกงที่คนรับได้ลงแข่งขันกันในการเลือกตั้งครั้งนี้จะสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นอย่างมากในฮ่องกง


เรียบเรียงจาก

Politics looms over Hong Kong in 2017, Dominic Meagher, 17-01-2017
http://www.eastasiaforum.org/2017/01/17/politics-looms-over-hong-kong-in-2017/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>