Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

เจราจานัด 6-7 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพระบุปัญหา OT ยังไม่ได้แก้

$
0
0
เจรจาเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างประจำปี 2559 ระว่างสหภาพแรงงานและธนาคารกรุงเทพ นัดที่ 6 และ 7 สหภาพฯ ระบุผู้บริหารยังไม่ได้แก้ปัญหากรณีมีการเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานและเวลาพักโดยตัดเงินค่า OT 

<--break- />
17 ต.ค. 2559 สหภาพแรงงานสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพแจ้งต่อสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ว่าในการเจรจาเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างประจำปี 2559 ครั้งที่ 6 และครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ต.ค. และ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่าสืบเนื่องมาจากในการเจรจาครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2559 ทางฝ่ายธนาคารแจ้งว่าจะนำรายละเอียดค่าตอบแทนเกี่ยวกับการขายโปดักส์ (ขายประกัน) มาแจ้งให้สหภาพแรงงานฯ ทราบในการเจรจานัดหน้า

ส่วนการเจรจาครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมาผู้แทนสหภาพแรงงานได้สอบถามถึงความคืบหน้ากรณีมีการเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานและเวลาพักโดยตัดเงินค่า OT ซึ่งเรื่องนี้ตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคาร ได้ชี้แจงว่าได้ทำความเข้าใจกับภาคบ้างแล้วว่าหากสาขาใดที่ปริมาณลูกค้าผู้ใช่บริการมีจำนวนมากและพนักงานสาขาผู้ให้บริการไม่เพียงพอจนทำให้พนักงานไม่มีเวลาพักตามข้อกฎหมายก็สมควรที่ธนาคารต้องจ่าย OT ให้กับพนักงานที่เคยปฎิบัติ แต่ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานยืนยันว่าปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้บริหารแต่อย่างใด
 
อีกประเด็นที่ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานกล่าวคือกรณีพนักงาน PO (พนักงานพิธีการสินเชื่อ) สังกัดศูนย์ RCC ได้รับมอบหมายงานในขอบเขตที่กว้างกว่าเดิม โดยไม่มีคำสั่งของผู้มีอำนาจสั่งการตามลักษณะงานใน Job description เช่น มอบหมายให้ PO จ่ายเช็คซึ่งเป็นงานด้านบริการของสาขา และยังมีลักษณะงานที่ไม่มีค่างาน KPI เช่น งานดูแลติดตั้งชำระค่าเช่าพื้นที่ งานต่อภาษี งานจัดทำสัญญา ATM งานติดตามแก้ไขหนี้มีปัญหาสาขาต่างจังหวัด ทำให้สาขาที่ดูแลงานด้านนี้ต้องรับภาระงานเพิ่มขึ้นและไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรงกรณีมีความผิดพลาด
 
ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานเสนอข้อเรียกร้องข้อ 10 ที่ให้ธนาคารเผยผลตอบแทนจากการจำหน่ายโปรดักส์ของธนาคารที่ผู้บังคับบัญชาให้พนักงานต้องปฏิบัติตลอดหลายปีที่ผ่านมา และพนักงานไม่เห็นด้วยกับผลตอบแทนที่ได้รับมาโดยตลอด ตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคารพยายามทำความเข้าใจและจะชี้แจงให้พนักงานทราบโดยเร็ว
 
และจากการท้วงติงของสหภาพแรงงานถึงตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคารในกรณีตัวอย่างการมอบหมายความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่อำนวยบริการที่เพิ่มขึ้นจากเดิมแต่ไม่เคยหารือกับสหภาพแรงงานทั้งที่มีข้อตกลงร่วมกันชัดเจน อันเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงร่วมดังกล่าวและการเปลี่ยนแปลงมอบหมายความรับผิดชอบตามคำสั่งต่าง ๆ ตลอดมา ไม่เคยมีค่าตอบแทนให้กับพนักงาน ซึ่งกรณีเหล่านี้หากสหภาพแรงงานเสนอไปยังกระทรวงแรงงาน ธนาคารจะชี้แจงอย่างไร เรื่องนี้ตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคารได้ให้ข้อเสนอว่ากรณีที่ธนาคารมอบหมายงานเพิ่มขึ้นในลักษณะดังกล่าวที่เกิดขั้นนั้น ธนาคารควรจะมีการปรับเปลี่ยนเงินค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมให้กับพนักงานต่อไป
 
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถวายความอาลัย มติยุติแข่งขันบอลไทยปีนี้ 'ชัยนาท-อาร์มี่' ตกชั้น

$
0
0

มติสมาคมกีฬาฟุตบอล 17 ต่อ 1 สโมสร ยุติการแข่งขันต่อปีนี้ เพื่อถวายความอาลัย 'ชัยนาท-อาร์มี่' ตกชั้นไปดิวิชั่น 1 และคงเหลือ 18 ทีม ด้านรองประธานสโมสรชัยนาท วอนขอความเป็นธรรม 

 
การประชุม สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย 17 ต.ค. 59 ที่มา เพจ Fair 

17 ต.ค. 2559 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศยุติการแข่งขันฟุตบอลภายใต้การกำกับของสมาคมฯ ในฤดูกาลแข่งขัน 2559 เพื่อถวายความอาลัย และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยผลยึดอันดับสิ้นสุด ณ วันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนรายการทัวร์นาเมนท์ ให้ใช้วิธีจับสลากจัดอันดับ ตามประกาศเมื่อ 14 ต.ค. ต่อมาวันที่ 15 ต.ค. สมาคมฯ มีประกาศทบทวนคำประกาศเดิม หลังจากรัฐบาลอนุญาตให้การแข่งขันกีฬาสามารถจัดต่อไปได้ ขณะเดียวกัน มีสโมสรที่แถลงการณ์แสดงจุดยืนว่าจะยุติการแข่งในฤดูกาลนี้ คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ซุปเปอร์ พาวเวอร์-สมุทรปราการ, เชียงราย ยูไนเต็ด, สุพรรณบุรี เอฟซี ในโตโยต้าไทยลีก, ประจวบ เอฟซี ในยามาฮ่า ลีก ดิวิชั่น 1

วันนี้ (17 ต.ค.59)สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เชิญผู้เกี่ยวข้อง สภากรรมการ, ผู้สนับสนุน, ตัวแทนสโมสร เข้าแสดงความเห็นแนวทางตลอดจนมาตรการในการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ ประจำฤดูกาล 2559 ที่อยู่ภายใต้การควบคุม กำกับ ดูแลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

โดยภายหลังการประชุม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แถลงต่อสื่อมวลชนว่า จากการประชุมสภากรรมการในเรื่องพิจารณาดำเนินการ จัดการแข่งขันต่อหรือยุติการกำหนดขึ้นชั้นตกชั้นฟุตบอลไทยลีก โดยครั้งนี้ทางสมาคมฯและสภากรรมการได้เปิดโอกาสให้สโมสรสมาชิกทั้ง 18 สโมสร ดิวิชั่น 1 รวมถึง ดิวิชั่น 2 ร่วมชี้แจงความคิดเห็น จากการที่เปิดโอกาสให้สโมสรไทยลีกชี้แจงเหตุผลพร้อมข้อมูล ในประเด็นแรกเรื่องการจัดแข่งขันต่อหรือยุติการแข่งขันไทยลีก สโมสรต่างๆในไทยลีกทั้ง 18 สโมสรได้ลงคะแนน ให้ยุติการแข่งขัน 17 สโมสร ให้จัดการแข่งต่อ 1 สโมสร

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อว่า กรณีทีมเลื่อนชั้นตกชั้น จากมติสโมสรสมาชิกให้คงเหลือ 18 ทีม จำนวน 9 เสียง ให้เพิ่มเป็น 20 ทีม จำนวน 6 เสียง ส่วนอีก 3 เสียงให้เป็นไปตามดุลยพินิจและนโยบายของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ส่วนกรณี โตโยต้า ลีกคัพ จะไม่มีการแข่งขันต่อตามเดิม เพราะมติให้ยุติการแข่งขันทุกกรณี เป็นทาง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เอสซีจี เมืองทอง จะไปพูดคุยกันเองว่าใครจะแข่งรายการ โตโยต้า แม่โขง และ โตโยต้า พรีเมียร์คัพ โดยให้ครองแชมป์ร่วมกัน

นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ฟุตบอล ช้าง เอเอคัพ มีมติให้ทั้ง 4 ทีมครองแชมป์ร่วมกัน และแบ่งเงินรางวัลกัน ส่วนการให้สิทธิ์ทีมไปเล่นฟุตบอลรายการ “เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก” นั้นให้เป็นการจับสลาก แต่ ชลบุรี เอฟซี ได้ทำการขอสละสิทธิ์ ทำให้เหลือ 3 ทีมที่จะมาจับสลากให้ตัวแทนทีมไป ซึ่งกรณีนี้เป็นมติทั้ง 4 ทีมคุยกันอย่างเป็นเอกฉันท์

พล.ต.อ.สมยศ  กล่าวด้วยว่า ด้านฟุตบอล เอไอเอสลีก ดิวิชั่น 2 ที่จะหาทีมเลื่อนชั้น 3 จาก 4 ทีมนั้นทางสโมสรทั้ง 4 จะไปดำเนินการพูดคุยกันอีกครั้ง ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียระหว่าง ทีมชาติไทย พบ ออสเตรเลีย นั้น ที่เราทำเรื่องประสานไปทาง ออสเตรเลีย ว่าขอเดินทางไปแข่งขันในนัดเยือนก่อนซึ่งได้คำตอบมาว่า ออสเตรเลีย ไม่ยอมและไม่ยอมรับสนามกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจำเป็น และต้องจัดการแข่งขันเอง ซึ่งเวลานั้นจะพ้นหลัง 30 วันที่ไว้อาลัย และจะมากำหนดมาตรการอีกทีว่าจะมีคนดูหรือไม่

ด้านบอลถ้วย เอสซีจี เมืองทองฯ กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครองแชมป์ร่วมกัน แบ่งเงินรางวัล ให้ไปแบ่งสิทธิลงเล่น โตโยต้า พรีเมียร์คัพ กับ แม่โขง คลับ ขณะที่ ช้างเอฟเอคัพ ชัยนาท ฮอร์นบิล, ชลบุรี เอฟซี, สุโขทัย เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล ครองแชมป์ร่วม แบ่งเงินรางวัล ส่วนสิทธิไปเล่นเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีก ให้จับสลาก ซึ่ง ชลบุรี สละสิทธิ
 
ส่วนทีมชาติไทย แมตช์ฟุตบอลโลกกับ ออสเตรเลีย วันที่ 15 พ.ย. ทางออสซี่ไม่สะดวกไปเป็นเจ้าบ้าน และไม่สะดวกใช้สนามกลาง จึงจะให้แข่งที่สนามราชมังคลากีฬาสถานดังเดิม แต่อาจมีมาตรการด้านการเชียร์
 
ผลดังกล่าว ทำให้ในไทยลีก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ขณะที่ทีมตกชั้นคือ อาร์มี่ ยูไนเต็ด, ชัยนาท ฮอร์นบิล และ บีบีซียู เอฟซี โดย ไทยฮอนด้า, อุบล ยูเอ็มที กับ การท่าเรือ ขึ้นชั้นมาแทน
 
ขณะที่ อนุรุทธิ์ นาคาศัย รองประธานสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล ซึ่งเป็นทีมที่ได้รับผลกระทบ ตกชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม ก่อนเข้าไปพูดคุยกับนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ
 
อนุรุทธิ์ เปิดเผยว่า ผิดหวังกับผลที่ออกมา เพราะชัยนาท และอาร์มี่ ได้รับผลกระทบตกชั้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าการลงคะแนนเสียงมีความยุติธรรมหรือไม่ เพราะตอนแรกสมาคมเรียกเข้ามาประชุมหารือ แต่เปลี่ยนเป็นการชี้แจง และเรียกให้ลงคะแนนลับ จึงคิดว่าไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ชัยนาทจะมีการประชุมกันเพื่อดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งการยื่นฟ้องร้องต่อศาลกีฬาโลก, ฟีฟ่า และเอเอฟซี รวมทั้งอาจทำตามแนวทางของ อนุชา นาคาศัย ประธานสโมสรคือการยุบทีม ซึ่งชัยนาทจะมีแถลงการณ์ภายใน 1-2 วันนี้
 

ที่มา เว็บไซต์สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย(ในพระบรมราชูปถัมภ์) และเว็บไซต์เรื่องเล่าเช้านี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สสปท. เห็นชอบ 6 กลยุทธ์วางแผนงาน เดินหน้าขับเคลื่อน ‘เซฟตี้ไทยแลนด์’

$
0
0

17 ต.ค. 2559 รายงานข่าวจากกระทรงแรงงานแจ้งว่า อาทิตย์ อิสโม ประธานกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือ สสปท. (องค์การมหาชน) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถาบันฯ ที่กระทรวงแรงงาน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักการใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นแรก เห็นชอบ (ร่าง) กลยุทธ์การทำงานของสถาบันฯ ใน 6 กลยุทธ์ คือ 1) สนับสนุนงานวิจัย งานวิชาการ และการจัดทำสถิติ 2) ส่งเสริมการนำระบบการจัดการบริหารงานความปลอดภัยฯ ไปใช้เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน 3) สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยฯ เพื่อสร้างแรงงานปลอดภัยและสุขภาพอนามัยที่ดี 4) สนับสนุนความเข้มแข็งองค์กรเครือข่ายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน 5) ส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในเชิงป้องกัน และ 6) สร้างนวัตกรรมด้านความปลอดภัยฯ ประเด็นต่อมาเห็นชอบ (ร่าง) โครงสร้างองค์กรของสถาบันฯ ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการบริหาร คณะอนุกรรมการตรวจสอบที่มีอำนาจหน้าที่ติดตามตรวจสอบภายใน ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โดยมีหน่วยงานภายใต้ 4 สำนัก คือ สำนักวิจัยและวิชาการด้านความปลอดภัย สำนักเครือข่ายและพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัย สำนักส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัย และสำนักบริหารองค์กร และประเด็น (ร่าง) ระเบียบข้อบังคับคณะกรรมการฯ ฉบับที่...ว่าด้วยการบริหารงบประมาณ การเงิน และการบัญชี พ.ศ. .... เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบที่ถูกต้องตามกฎหมายและให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน

พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังรับทราบ โครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2560 อาทิ โครงการความปลอดภัยก่อสร้างระบบรางรถไฟ โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ใช้แรงงานด้านความปลอดภัยฯ และโครงการหน่วยงานต้นแบบ “ทำงานปลอดภัยไร้อาการ Office Syndome” เป็นต้น

อาทิตย์ กล่าวว่า สสปท. เป็นองค์การมหาชน และเป็นหน่วยงานของรัฐ สังกัดกระทรวงแรงงานการดำเนินงานจึงต้องเป็นไปตามปีงบประมาณ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องนโยบายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในระยะที่ 2 ทั้งนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายและแนวทางการทำงานแก่คณะกรรมการบริหารสถาบันฯ ถึงเรื่องการกำหนดแผนการทำงานโดยให้บูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อส่วนรวมที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนเป็นเป้าหมายหลักในการทำงาน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมมากขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บุกค้นห้องพักในสมุทรปราการ หวังยึดสารตั้งต้นทำระเบิดป่วนกรุง เจอน้ำบูดู-เครื่องเทศ

$
0
0

17 ต.ค.2559 เว็บไซต์ MGR onlineรายงานว่าเมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รักษาราชการ รองผู้บัญชาการภาค 1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (EOD) ทหาร และฝ่ายปกครอง ผสานกำลังเข้าตรวจค้นหอพักไม่มีชื่อ ตั้งอยู่เลขที่ 4/226 ห้อง 207 ชั้น 2 ภายในซอยเทศบาลบางเสาธง 35 (ซอย ฝ.7) ชุมชนการเคหะเมืองใหม่บางพลี ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง หลังมีการข่าวแจ้งว่าจะมีกลุ่มก่อการร้ายเตรียมก่อเหตุคาร์บอมบ์ 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม โดยมีเป้าหมายหรือพื้นที่เสี่ยง ห้างสรรพสินค้า ลานจอดรถ และตามแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรม ในวันนี้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบห้องพักดังกล่าวหลังการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเตรียมก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ภายในห้องพักดังกล่าวพบผู้ต้องสงสัยชาย 1 คน พร้อมตรวจยึดกล่องบรรจุวัตถุต้องสงสัย 4 กล่อง ที่คาดว่าผู้ต้องสงสัยจะนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการประกอบระเบิด รวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์และสายไฟจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการร้านค้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงให้เก็บถังขยะออกจากหน้าร้าน รวมทั้งสังเกตรถยนต์ต้องสงสัยที่มีลักษณะจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน หรือจอดรถข้ามคืน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สงสัยว่าผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการข่าวคาร์บอมบ์ 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อขยายผล พร้อมทั้งได้ยึดของกลางไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.วางแนวออกอากาศละเอียดยิบ ขอความร่วมมือทีวีห้วง 30 วัน

$
0
0

กสทช.วางแนวออกอากาศทีวีวิทยุ ห้วง 30 วัน แนะรูปแบบการนำเสนอรายการนอกช่วงเวลาลิงก์สัญญาณ, ขอให้ช่วยรักษาบรรยากาศของการถวายความอาลัย-การแสดงความจงรักภักดี พร้อมขอความร่วมมือให้สถานีคิดสร้างสรรค์รายการที่ทำให้ประชาชนยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ขาดตอนการจากบรรยากาศการถวายความอาลัย ในห้วงเวลาเว้นว่างการถ่ายทอดสด  


ภาพจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2559

17 ต.ค. 2559 พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า ในวันนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ประชุมกับผู้ประกอบการโทรทัศน์ และผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียง เพื่อชี้แจงแนวทางการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุกระจายเสียง โดยได้ข้อสรุปดังนี้

1.การถ่ายทอดรายการจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท) ให้สถานีโทรทัศน์ในระบบภาคพื้นดิน โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม โทรทัศน์ผ่านทางสายโทรทัศน์ระบบ IP รวมถึงสถานีวิทยุกระจายเสียงของหน่วยงานรัฐ และสถานีทดลองประกอบกิจการกระจายเสียง เชื่อมโยงสัญญาณเมื่อปรากฏสัญลักษณ์โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และจะออกจากการเชื่อมโยงสัญญาณเมื่อปรากฏสัญลักษณ์โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ห้วงเวลาที่กำหนดให้เชื่อมโยงสัญญาณจะเป็นช่วงของการถ่ายทอดสด “พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม” เฉพาะเวลาเช้าและเย็น และในกรณีที่พระบรมวงศานุวงศ์ หรือกษัตริย์ต่างประเทศมาร่วมในพระราชพิธีฯ ซึ่งรายละเอียดปรากฏตามตารางการถ่ายทอดสดพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

อย่างไรก็ดีให้รวมถึงการเผยแพร่ผ่านทางโทรทัศน์ออนไลน์ของแต่ละสถานีที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย ซึ่งการเชื่อมโยงสัญญาณเข้ารายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ขอให้ปูพื้นรายการ หรือมีคำบรรยาย ก่อนเชื่อมโยงสัญญาณ ไม่ควรตัดสัญญาณเข้ารายการพระราชพิธีทันที

2. รูปแบบการนำเสนอรายการนอกเหนือเวลาการเชื่อมโยงสัญญาณจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในห้วงระยะเวลา 30 วัน มีดังนี้

ข้อมูลข่าวสารควรมีความหลากหลาย เช่น ข่าวสารบ้านเมือง ข่าวสารต่างประเทศ รายการพัฒนาประชาชนในประเทศทุกเพศ ทุกวัย ข่าวสารการปฏิบัติภารกิจรัฐบาล การบริหารราชการแผ่นดิน รายการสร้างการเรียนรู้แก่สังคม รายการเกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยี ภัยธรรมชาติ การสร้างวิถีการเรียนรู้ของประชาชน การเรียนรู้ด้านภาษาต่างประเทศ ด้านการสาธารณสุข (สุขภาพ) การสร้างวินัยให้เกิดต่อประชาชน การรักษาความสะอาด การสร้างให้ประเทศมีความศิวิไลซ์ การสร้างตนให้เป็นผู้มีอารยะ ทั้งนี้ ควรต้องหาวิธีการเผยแพร่ให้คนต่างชาติได้เข้าใจด้วย เช่น การทำ Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ

การจัดทำรายการเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีข้อเสนอแนะดังนี้ รายการที่เกี่ยวกับพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่กล่าวถึงโครงการพระราชดำริที่ครอบคลุมทั้ง 4,000 โครงการ ทั้งนี้ ควรเป็นข้อมูลในภาพรวมที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะพัฒนาประเทศทั้งแผ่นดิน โดยอาจเอาบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงเข้าประกอบให้เห็นภาพก็ได้เพื่อให้เห็นภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน

การเสนอภาพการเสด็จไปเยือนต่างประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ เพื่อแสดงถึงการสร้างคุณประโยชน์ในทางการต่างประเทศที่มีการพัฒนาของประเทศไทย

การสัมภาษณ์นักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เพื่อแสดงถึงความรู้สึก และสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นได้รับโอกาสจากพระองค์ และนำกลับมาพัฒนาประเทศอย่างไร

และการสัมภาษณ์ประชาชนที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนแผ่นดินที่ผ่านจากรัชกาลที่ 8 เป็นรัชกาลที่ 9 กลุ่มคนที่อายุเกินกว่า 70 ปี เพื่อให้เห็นความคิดของประชาชนชาวไทยรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ และการเดินหน้าต่อไปของประเทศ

รายการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรัชทายาท และพระนามเต็มของราชกาลใหม่ และผู้สำเร็จราชการ ซึ่งเมื่อคืนวันที่ 14 ตุลาคม 2559 ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลของข่าวที่เป็นจริงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจไปแล้ว ให้สามารถตัดต่อเอาไปทำซ้ำได้ แต่ห้ามวิพากษ์ ขยายความ หรือวิจารณ์เพิ่มเติม

การออกอากาศรายการที่มิใช่รายการข่าวสาร เช่น รายการกีฬา รายการละคร รายการเพลง รายการเด็ก หรือการโฆษณา ให้กระทำได้ แต่จะต้องเป็นไปตาม มติ กสท นัดพิเศษครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 และวันที่ 14 ตุลาคม 2559 (ดูล้อมกรอบด้านล่าง) เช่น การพากษ์เสียงควรใช้น้ำเสียง และถ้อยคำที่สำรวม

3. พิธีกร ผู้ดำเนินรายการ และบุคคลที่เข้าร่วมรายการควรแต่งกายโทนสีขาว ดำ ห้ามลวดลาย และใช้โทนสีดำมากกว่าสีขาว ทรงผมชายควรเรียบร้อย หญิงควรรวบผมให้เรียบร้อย สีหน้าท่าทาง กิริยา วาจา น้ำเสียง ขอให้สำรวม

4. ในช่วงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 30 วัน ขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาบรรยากาศของการถวายความอาลัย การแสดงความจงรักภักดีของประชาชนทุกภาคส่วน ให้รักษาระดับความเข้มข้นไว้ ทั้งนี้ ตามตารางการถ่ายทอดสด “พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม” โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จะถ่ายทอด 7 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 14-20 ตุลาคม 2559 โดยหลังจากนั้นระหว่างวันที่ 21-26 ตุลาคม 2559 จะไม่ได้มีการถ่ายทอดสด จะกลับไปถ่ายทอดสดอีกครั้งเมื่อวันที่ 27-28 ตุลาคม 2559 วันที่ 1-2 ธันวาคม 2559 และวันที่ 20-21 มกราคม 2560 ซึ่งจะทำให้มีห้วงเวลาเว้นว่างการถ่ายทอดสด ซึ่งจะทำให้เกิดการขาดช่วงบรรยากาศของการถวายความอาลัยของคนไทย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้สถานีช่วยคิดสร้างสรรค์รายการที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ขาดตอนการจากบรรยากาศการถวายความอาลัย

5. รายการเดินหน้าประเทศไทยยังคงดำเนินการต่อไป โดยการปรับผังให้เหมาะสม

และ 6.ในโซเชียลมีเดียที่อยู่ในการดำเนินการของสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ขอให้ใช้ข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้นำมาเสนอเพื่อการถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติในการประชุมครั้งพิเศษที่ 1/2559 กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กรณีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต ดังนี้

1. การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคต ผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ ในระบบภาคพื้นดิน ระบบดาวเทียม และระบบอื่นใด ให้ถือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติของสำนักพระราชวังโดยเคร่งครัด

2. การถ่ายทอดภาพหรือเสียงเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคต และงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตให้เชื่อมโยงสัญญาณโดยตรงจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยมิให้นำเอาภาพและเสียงไปออกอากาศซ้ำเว้นแต่จะได้รับอนุญาต

และ 3. การเผยแพร่รายการต่าง ๆ ของสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ ให้งดการเผยแพร่รายการที่แสดงถึงความรื่นเริงเป็นเวลา 30 วัน และขอให้คำนึงถึงความเหมาะสม เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

 


ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ มีมติในการประชุมนัดพิเศษครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ได้มีมติแนวปฎิบัติสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กรณีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต ว่าการเผยแพร่รายการต่าง ๆ ของสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ ให้งดการเผยแพร่รายการที่แสดงถึงความรื่นเริงเป็นเวลา 30  วัน และขอให้คำนึงถึงความเหมาะสม เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร นั้น

สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ขอเรียนว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ มีมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 2/2559 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 เห็นควรแจ้งเวียนความเข้าใจในการเผยแพร่รายการที่แสดงถึงความรื่นเริง และความเหมาะสมของการเผยแพร่รายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์ ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และผู้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการกระจายเสียง ถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1.    การนำเสนอรายการ และการโฆษณาของสถานีจะต้องไม่เป็นการแสดงถึงการบันเทิงใจ การเล่นเต้นรำทั้งปวง การสนุกรื่นเริง ล่อแหลม รุนแรง ตลอดจนแสดงถึงกริยาที่ไม่สำรวม แสดงอารมณ์เกินกว่าสมควร ซึ่งเกินกว่าความเหมาะสมภายใต้บริบทของความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนชาวไทย

2.    ผู้ดำเนินรายการ พิธีกร ผู้ประกาศ และบุคคลผู้ร่วมรายการแต่ละสถานี จะต้องแต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสม ใช้โทนสี ขาว ดำ ห้ามลวดลาย และใช้โทนสีดำมากกว่าสีขาว โดยการใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง กริยา และการแสดงออกต้องมีความสำรวมและเหมาะสม

3.    การนำเสนอข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับการสวรรคต หรืออันสืบเนื่องจากการสวรรคต จะต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น โดยจะต้องไม่มีการขยายความ วิเคราะห์ วิจารณ์แต่อย่างใด

4.    ภาพ และสีที่ใช้ในการออกอากาศรายการของสถานีให้ปรับระดับของสีให้มีความเหมาะสมต่อการร่วมถวายความอาลัย

5.    กรณีการนำเอารายการจากต่างประเทศมาเผยแพร่ออกอากาศผู้รับใบอนุญาตจะต้องตรวจสอบเนื้อหา และรูปแบบการนำเสนอให้เป็นไปตามข้อ 1 – 4

6.    ให้ผู้รับใบอนุญาตเชื่อมโยงสัญญาณจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยทันทีเมื่อมีการถ่ายทอดรายการที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธี

7.    ผู้รับใบอนุญาตจะต้องตรวจสอบรายการทุกรายการที่แพร่ภาพและกระจายเสียงออกอากาศให้เป็นไปตามข้อ 1-6 ตลอดระยะเวลา 30 วันนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมฝากขังหญิงถูกกล่าวหาโพสต์หมิ่นที่สมุย คนแจ้งความเพียบ คาดความผิด 3 กรรม

$
0
0

17 ต.ค.2559 พ.ต.อ.เทเวศร์ ปลื้มสุทธิ์ ผกก.สภ.บ่อผุด เกาะสมุย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการดำเนินคดีกับนางอุมาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปีซึ่งถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า หลังจากที่เมื่อวาน (16 ต.ค.) มีการจับกุมตัวได้และชาวบ้านมาชุมนุมที่โรงพักเพื่อติดตามการดำเนินการพร้อมทั้งให้เจ้าตัวกราบขอขมาต่อพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปแล้วนั้น วันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นคำร้องและศาลจังหวัดเกาะสมัยอนุมัติหมายจับในข้อหาตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3)เป็นที่เรียบร้อย หลังการสอบสวนก็เตรียมจะฝากขังยังศาลในวันนี้ (17 ต.ค.) แต่ก็ไม่ทันได้นำตัวไปฝากขังเนื่องจากมีผู้มาแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมโดยมีหลักฐานการโพสต์ข้อความใหม่จึงต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติม เพราะยังอยู่ในอำนาจการควบคุมตัวของตำรวจ 48 ชม. ขณะนี้รวมแล้วมีผู้แจ้งความกว่า 30 ราย และมีการนำหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ขณะนี้รวมแล้วเป็นความผิดประมาณ  3 กรรม ผู้ต้องหาให้การรับบางส่วนและปฏิเสธบางส่วน โดยขณะสอบสวนผู้ต้องหามีทนายความจากสภาทนายความเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย

เมื่อถามว่าในวันพรุ่งนี้พนักงานสอบสวนจะมีการคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาหรือไม่ ผกก.สภ.บ่อผุด กล่าวว่า กรณีนี้ชาวบ้านไม่พอใจอย่างมากจึงเกรงว่าหากให้ประกันตัวผู้ต้องหาอาจไม่ปลอดภัย ตอนนี้เจ้าหน้าที่พยายามทำความเข้าใจกับประชาชนให้รักษากฎหมายเพราะหากเกิดอะไรขึ้นคนข้างนอกมองเข้ามาจะเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้เข้าใจดีว่าประชาชนกำลังโศกเศร้าอย่างยิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการสอบถามจากตำรวจสภ.เกาะสมุยได้ความว่า กรณีนี้มีชาวบ้านเข้าแจ้งความตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.แล้ว แต่ตำรวจยังตามจับตัวเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่ได้ มีการไปตามหาตัวที่บ้านในจังหวัดชุมพรแต่ไม่เจอ (อ่านข่าว) ต่อมามีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสว่าเจอตัวผู้ต้องหาในพื้นที่ตลิ่งงาม ในเขตของ สภ.เกาะสมุย ตำรวจจึงไปตามจับกุมตัวมาได้ในวันที่ 16 ต.ค. ในเฟซบุ๊กของผู้ติดตามกรณีนี้มีผู้อ่านที่อ้างว่าเป็นคนในพื้นที่เข้ามาโพสต์ด้วยว่า เธอถูกทำร้ายร่างกายโดยประชาชนที่ไม่มุง “โดนไปหลายทีเหมือนกัน” ในช่วงจับกุมตัว แต่ผู้สื่อข่าวยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงในกรณีนี้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า จากนั้นตำรวจเกาะสมุยนำตัวผู้ถูกจับกุมมาทำประวัติ สอบปากคำในเวลาประมาณ 10.00-10.30 น. ก่อนที่ชาวบ้านในพื้นที่จะเริ่มทยอยมาที่โรงพัก ประมาณ 50-60 คน ตำรวจสภ.เกาะสมุยเกรงว่าจะรับมือไม่ไหวจึงส่งตัวไปยังพื้นที่ที่มีการแจ้งความและมีความพร้อมรับมือมากกว่า คือ สภ.บ่อผุด โดยส่งตัวไปในเวลาราว 10.30 เพื่อทำการสอบปากคำ จากนั้นชาวบ้านเริ่มมาชุมนุมที่หน้าสภ.บ่อผุด เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณการณ์ว่าน่าจะมีจำนวนประมาณ 200 คน ส่วนการนำตัวผู้ต้องหาออกมากราบขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์นั้นเป็นข้อเรียกร้องของชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามทำความเข้าใจและยืนยันว่าจะมีการดำเนินคดีถึงที่สุด ชาวบ้านจึงสลายตัวในเวลาประมาณ 14.00 น. 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใช้กฎอัยการศึกคุมตัว 5 คนที่จับย่านรามฯ ต่ออีก หลังครบ7วัน-เอ็นจีโอซัดผิดหลักกฎหมาย

$
0
0

ทหารใช้กฎอัยการศึกควบคุมตัว 5 คนที่ถูกกวาดจับย่านรามคำแหงต่อที่ มทบ.11 หลังคุมตัวครบแล้ว 7 วันตาม ม.44 – มูลนิธิผสานวัฒนธรรมชี้ไม่สามารถทำได้ หากจับกุมนอกพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก

17 ต.ค.2559 เวลาประมาณ 20.30 น. มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว 5 คนที่มทบ.11 โดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกในการควบคุมตัวต่อไปอีก หลังจากหมดอำนาจควบคุมตัว 7 วัน ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ทั้ง 5 คนถูกจับกุมมาในชุดเดียวกับการกวาดจับนักศึกษา ประชาชน จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 44 รายที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหง (อ่านข่าวเพิ่มเติม)

ทั้งนี้ขณะนี้กฎอัยการศึกประกาศใช้เพียงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสเท่านั้นและอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยในค่ายทหารได้ 7 วัน

ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยถึงกรณีนี้ว่า เจ้าหน้าที่พบว่าทั้ง 5 คน มีข้อพิสูจน์อันน่าเชื่อถือได้ว่าน่าจะมีข้อมูลสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่องานความมั่นคง ในส่วนทั้งของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในส่วนกลาง

ทั้งนี้ผู้ถูกควบคุมตัวทั้ง 5 คนมาจากจังหวัดนราธิวาส ถูกจับกุมตัวในย่านหอพักใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาและถูกควบคุมตัวอยู่ที่มทบ.11 และครบกำหนด 7 วันในวันนี้ ผู้ถูกควบคุมตัวมีรายชื่อดังนี้คือ 1.ตาลมีซี โตะตาหยง อายุ 31 ปี 2.มูฟตาดีน สาและ อายุ 18 ปี 3.อัมรีย์ หะ อายุ 18 ปี 4.นุรมัน อาบู อายุ 20 ปี 5.อุสมาน กาเด็งหะยี อายุ 22 ปี ทั้งหมดไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวทั้ง 5 คนต่อไปโดยอาศัยกฎอัยการศึก เนื่องจากการจับกุมในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากจะใช้อำนาจดังกล่าวผู้ถูกควบคุมตัวต้องถูกจับกุมภายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน หรือมีหมายจับอย่างเป็นทางการเท่านั้น ดังนั้น การควบคุมตัวต่อที่มทบ.11 โดยใช้กฎอัยการศึกถือเป็นการใช้อำนาจที่ผิดกฎหมายของเจ้าหน้าที่

“สิทธิที่พวกเขาควรจะได้ตอนนี้คือ เขาควรจะมีอิสระ เขาถูกจับและและใช้กฎอัยการศึกต่อไม่ได้นอกจากเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือมีหมายจับ ตอนนี้มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่กำลังพยายามกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การควบคุมตัวตั้งแต่ตอนนี้ไปคือการควบคุมตัวโดยมิชอบ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวต่อไปแล้ว ยังไม่รวมว่าการควบคุมตัวในครั้งนี้เป็นการควบคุมตัวโดยพลการ ไม่มีเหตุอันควรและเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ” พรเพ็ญกล่าว

เปาเซา อาบู บิดาของนุรมัน อาบู หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัว กล่าวว่า ตนได้เดินทางจากจังหวัดนราธิวาสมาที่ มทบ.11 ด้วยความช่วยเหลือของ ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อที่จะได้พบลูกชาย เนื่องจากได้ยินว่าจะมีการปล่อยตัวในช่วงบ่ายโมงวันนี้ (17 ต.ค.) เพราะครบ 7 วันแล้ว แต่หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงให้มีการควบคุมตัวต่อ โดยตนและผู้ปกครองคนอื่นก็ยังไม่ทราบว่าลูกๆ นั้นถูกควบคุมตัวด้วยสาเหตุอะไรแน่

“ตอนแรกผมคิดว่าจะได้พาลูกกลับไปด้วยกันวันนี้ เพราะเขาแค่ขอเข้ากรุงเทพมาเพื่อหางานทำระหว่างที่ไม่มีเรียน กศน. ตั้งใจว่าจะให้กลับไปเรียนหนังสือ ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่าโดนจับ แม่เขาก็ร้องไห้หนัก พอรู้ว่าวันนี้ไม่ได้ออกเขาก็เสียใจกว่าเดิม แต่เจ้าหน้าที่เขาก็ยืนยันว่าจะช่วยดูแล” เปาเซา อาบู กล่าว

ก่อนหน้านี้ มูฮัมหมัด เซาฟรี ผู้ประสานงานสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปัตตานี (PerMAS) ประจำกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์ว่าในช่วงเย็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารเตรียมส่งตัวผู้ถูกควบคุมตัวทั้ง 5 คนกลับไปควบคุมตัวต่อยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศกฎอัยการศึกและอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยในค่ายทหารได้ 7วัน แต่หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงการส่งตัว

ทั้งนี้มูฮัมหมัด ได้กล่าวอีกว่าในวันนี้มีการปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมเพิ่มเติมอีก 9 คน แต่ควบคุมตัวต่อ 5 คนตามที่เป็นข่าว อย่างไรก็ตามคาดว่ายังมีผู้ถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 10-15 ต.ค. ที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทาง PerMas กำลังเร่งรวบรวมข้อมูล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทูลกระหม่อม' รับสั่ง เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง

$
0
0

17 ต.ค. 2559 เมื่อเวลา 21.43 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ฉันจะเพอร์เฟกต์' ได้เผยแพร่วิดีโอคลิป ที่ ทูลกระหม่อมหญิง อุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จไปด้านหน้ากำแพงพระบรมมหาราชวัง ทรงนำอาหารมาประทานแก่ประชาชน ที่เดินทางมาถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการนี้ ทูลกระหม่อมมีพระปฏิสันถารกับประชาชน และทรงให้กำลังใจกับประชาชนด้วย พร้อมกล่าวด้วยว่า “มาร่วมแสดงความเสียใจ เราก็ครอบครัวเดียวกัน เราพวกเดียว พ่อของเรา พ่อของทุกคน เราภูมิใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่อไปก็จะช่วยกันทำงาน เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินไปข้างหลัง ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง โอเคขอบใจมาก แล้วเจอกันใหม่” 

เฟซบุ๊กดังกล่าวยังระบุอีกว่า พระองค์เดินปะปนกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง บางคนเดินผ่านพระองค์ เดินเฉียดพระองค์ พระองค์ทรงมาให้กำลังใจประชาชน มาแจกข้าว แจกน้ำ พระองค์ตรัสว่า "ต่อไปจะช่วยกันทำงาน..เดินไปข้างหน้าไม่ใช่เดินถอยหลัง" พระองค์ทรงเข้มแข็งมากๆ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปภ.ระบุน้ำท่วม 9 จังหวัด ผบ.สส.สั่งเหล่าทัพ เตรียมรับพายุเข้าไทย

$
0
0

ปภ. รายงานอุทกภัย 9 จังหวัด ผบ.สส.สั่งเหล่าทัพ เตรียมรับพายุเข้าไทย เวียดนามอ่วมดีเปรสชันน้ำท่วมสูง 4 จังหวัด เสียชีวิตอย่างน้อย 11 คน ไต้ฝุ่นสาริกาเคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ แล้ว

 ภาพการเคลื่อนตัวของไต้ฝุ่น SARIKA และ HAIMA 18 ต.ค.2559 เมื่อเวลา 00.00 น. (ที่มา Google Earth)

17 ต.ค. 2559  ฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำไหลหลาก และน้ำเอ่อล้นตลิ่งใน 9 จังหวัด รวม 57 อำเภอ 400 ตำบล แยกเป็น ภาคกลาง 8 จังหวัด 45 อำเภอ 340 ตำบล ได้แก่ นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี  สุพรรณบุรี และสระบุรี  ภาคเหนือ 1 จังหวัด 12 อำเภอ 60 ตำบล ได้แก่ พิจิตร  ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ร่วมกับหน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว พร้อมประสานการระบายน้ำกับหน่วยชลประทานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และติดตั้งเครื่องสูบน้ำระบายน้ำออกจากพื้นที่ชุมชน เขตเศรษฐกิจไปยังแหล่งรองรับน้ำ รวมถึงแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งจัดเจ้าหน้าที่พร้อมรถบรรทุก ขนาดใหญ่ เรือท้องแบนอำนวยความสะดวกในการสัญจรและขนย้ายสิ่งของแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและจัดทำบัญชีผู้ประสบภัย และทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือ
 

ผบ.สส.สั่งเหล่าทัพ เตรียมพร้อมช่วยปชช.รับพายุเข้าไทย

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ คร้งที่ 1 ประจำปี 2560 โดยมี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการทหารเรือ เข้าร่วม
 
พล.อ.สุรพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุม ช่วยเหลือประชาชนประสบน้ำท่วมว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนให้ทุกหน่วยช่วยเหลือเต็มที่ และทันทีปัจจุบันทำอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีบางพื้นที่ประสบอุทกภัย ทางหน่วยที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ส่วนพายุที่จะเข้ามาในช่วงเวลาอันใกล้นี้
 
“สั่งการติดตามสถานการณ์และเตรียมการช่วยเหลือประชาชนทันที ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ รวมถึง กทม. โดยเฉพาะช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วนจากปัญหาอุทกภัยภาคกลางตอนบน และในขณะนี้พายุในทะเลจีนใต้มีกำลังแรงเข้าสู่เขตภาคอีสานและภาคเหนือในเร็ววันนี้” พล.อ.สุรพงษ์ กล่าว
 

เวียดนามอ่วมดีเปรสชันน้ำท่วมสูง 4 จังหวัด เสียชีวิตอย่างน้อย 11 คน 

มีรายงานด้วยว่า เกิดเหตุน้ำท่วมใน 4 จังหวัดภาคกลางของเวียดนาม ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 11 คน และอีกหลายพันคนต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย ขณะที่พายุในทะเลจีนใต้กำลังมุ่งมายังชายฝั่งภาคกลาง

ขณะที่ ไต้ฝุ่นสาริกา (Sarika) ในเวลานี้กำลังเคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ มุ่งหน้ามายังภาคกลางของเวียดนาม และอาจทำให้มีฝนตกมากขึ้นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ที่มา :  เดลินิวส์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์และ MGR Online

       
       
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ออกระเบียบกลาโหม สิทธิประโยชน์กําลังพลสํารอง เบี้ยเลี้ยงอัตรา 240 บาทต่อเที่ยวต่อคน

$
0
0

17 ต.ค. 2559 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยสิทธิประโยชน์ของกําลังพลสํารอง พ.ศ. 2559 โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกําลังพลสํารอง พ.ศ. 2558 กระทรวงกลาโหมโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงวางระเบียบไว้

ระเบียบดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ เช่น ข้อ 6 การจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กําลังพลสํารอง 6.1 หลักเกณฑ์ ให้จ่ายในอัตรา 240 บาทต่อเที่ยวต่อคน 6.2 วิธีการจ่าย 6.2.1 ให้หน่วยกําลังพลสํารองหรือหน่วยทหารตามที่ส่วนราชการกําหนดเป็นผู้เบิกจ่ายให้กับกําลังพลสํารองที่เข้ารับราชการทหาร 6.2.2 ให้จ่ายในวันสุดท้ายตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งเรียกกําลังพลสํารองเข้ารับราชการทหาร

ข้อ 7 การจ่ายค่าอาหารให้กําลังพลสํารอง 7.1 หลักเกณฑ์ ให้จ่ายในอัตรา 240 บาทต่อวันต่อคน 7.2 วิธีการจ่าย ให้หน่วยกําลังพลสํารองหรือหน่วยทหารตามที่ส่วนราชการกําหนดเป็นผู้เบิกจ่ายให้กับกําลังพลสํารองที่เข้ารับราชการทหาร

ข้อ 12 กําลังพลสํารองอาจได้รับสิทธิประโยชน์อื่น อย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายหรือระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี ดังนี้ 12.1 เครื่องแต่งกาย 12.2 การแต่งตั้งยศ การเลื่อนยศ และการเลื่อนฐานะ 12.3 การขอใช้สวัสดิการของส่วนราชการ 12.4 ทุนการศึกษา 12.5 การขอกองทหารเกียรติยศ 12.6 คะแนนเพิ่มพิเศษ กรณีสอบบรรจุเข้าเป็นทหารประจําการ และ 12.7 การรับเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต พิการ หรือทุพพลภาพ
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้ 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข้อควรพิจารณาก่อนโกรธและลงมือ: ผู้ป่วยจิตเภทกับคดี 112

$
0
0
 

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2559  เวลาประมาณ 18.00 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Mai K. Phakaporn โพสต์คลิปยาว 3 นาที พร้อมข้อความว่า “ดราม่าบนรถเมล์ค่ะ ป้าแกนั่งด่าพ่อหลวงและพระองค์อื่นๆ ตลอดทาง พี่ๆ เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ” โดยคลิปดังกล่าวปรากฏภาพหญิงสูงวัยใส่เสื้อฟ้าโดนประชาชนบนรถเมล์รุมด่าและไล่ลงจากรถเมล์ ขณะที่ตำรวจจราจรขึ้นมาห้ามปรามและนำตัวไป เมื่อตำรวจถามคนบนรถเมล์ว่ามีหลักฐานหรือไม่ คนบนรถเมล์กล่าวว่า “ถ่ายไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไร” จากนั้นเมื่อป้าคนดังกล่าวเดินลงจากรถเมล์ขณะที่กำลังหัวเราะ มีผู้หญิงใส่เสื้อสีดำวิ่งเข้ามาตบปากป้าคนดังกล่าวอย่างแรง พร้อมด่าทอเธอ “มันด่าหมดเลย มันด่ามาตั้งแต่เยาวราชแล้ว” และเธอยืนยันว่าเธอฟังอยู่ตลอด ตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่ทหารที่รักษาความปลอดภัยสถานที่ในบริเวณดังกล่าวไม่ทันได้ห้ามปราม หลังจากปล่อยให้มีการโต้เถียงกันพักหนึ่ง ป้าคนดังกล่าวได้เดินผละจากไปทางอื่น โดยมีหญิงที่ตบปากวิ่งตามไป เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณนั้นจึงเดินตามไป ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเรื่องราวนี้จบลงเช่นไร เพราะผู้ถ่ายคลิปอยู่บนรถเมล์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกมา

คลิปดังกล่าวถูกแชร์และได้รับชมเยอะมากในเวลาอันรวดเร็ว ผ่านไป 7 ชม. มียอดผู้ชมคลิป 2.3 ล้าน มีผู้ like ประมาณ 55,000 มีผู้ share ประมาณ 82,000 โดยผู้คอมเม้นต์โดยส่วนใหญ่รู้สึกเห็นด้วย สะใจ กับการกระทำดังกล่าว มีจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการตบปากเพียง 1 ครั้งนั้นเป็นการลงโทษที่น้อยเกินไป ส่วนมีผู้ไม่เห็นด้วยหรือแสดงความเห็นใจป้าคนดังกล่าวก็มีปรากฏเช่นกันแต่ด้วยสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก

 

หลังการแพร่ของคลิปนี้ไม่นาน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตนักวิชาการที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่จะกระทำการเช่นนั้นในที่สาธารณะได้น่าจะต้องมีอาการทางจิตเวช จากนั้นเขาได้รวบรวมข้อความของคนใกล้ชิดหรือคนในเหตุการณ์ที่คอมเม้นท์ในเรื่องที่เกิดขึ้นมา 3 ชิ้น ประกอบด้วย

“คือแกสติไม่ดี กูขึ้นคันเดียวกับแก แกพูดคนเดียวแต่เหมือนคุยกับใครอีกคน แล้วก็หัวเราะ (ดังมากๆ) บางครั้งมึงต้องดูอาการคนด้วยว่าแกปรกติหรือเปล่า กูยืนอยู่ใกล้ๆ เบาะที่แกนั่งน่าจะซัก 20 นาทีได้ แกพูดหัวเราะตลอดทางก่อนกูจะลง”

“เห้ย คือ สงสารอ่ะ คือ วันนี้เจอแกบนรถเมล์ ขากลับจากสนามหลวง คือ แก เป็นคนเสียสติอ่ะ เรานั่งฟังแกมาตลอดทาง แกพูดไม่รู้เรื่องเลย ด่าเองคนเดียว พูดเองคนเดียว หัวเราะคนเดียว คือ แกเสียสติเต็มขั้นนะ เราพยายามฟังแกหลายรอบ แต่เราฟังไม่รู้ว่าแกพูดอะไรบ้าง แกนั่งรถเมล์วนไปกลับสนามหลวง เราลงก่อน แกพูดคนเดียวตลอดชั่วโมงกว่าที่เราอยู่บนรถเลย สงสารแกนะ”

“ทุกคนครับ ช่วยอ่านคอมเม้นต์นี้นิดนึง คือ ป้าแกเค้าสติไม่สมประกอบ เค้าทานข้าวที่ร้านแถวบ้านก้อพูดคนเดียวเสียงดัง เค้ามีอาการทางประสาทป่วยทางจิตครับ บ้านป้าเค้าอยู่หลังถนนหลวง ซอยด้านหลังวัดพลับพลาชัย ลองไปถามหาดูคนแถวนั้นรู้จักแกดีว่าแกเสียสติ คนปกติสมประกอบคงไม่มีใครกล้าที่จะหมิ่นพระบรมฯ ในที่สาธารณะแบบนั้นแน่นอนครับ ผมอยากให้ทุกคนถ้าเจอแก อย่าไปทำร้ายแกเลย ควรติดต่อไปที่บ้านเค้าเพื่อให้ญาติเค้าตักเตือนครับ ถ้าเอาผิดเค้า เค้าก็คงไม่มีสติที่จะสำนึกคิดได้ ก่อนหน้านี้เค้าจะพูดแต่เรื่องธุรกิจของเขาที่ล้มละลายจนกลายเป็นคนบ้าอยู่แบบนี้ อยู่คนเดียวเจอทีไรก็พูดเรื่องเดิมๆ แต่มาเห็นในคลิปแล้ว แกดันมาพูดด้วยถ้อยคำหมิ่นในหลวงขนาดนี้ได้ยังไงผมยังแปลกใจ เค้าเสียมามากครับชีวิตเค้าญาติพี่น้องก้อไม่ดูแลเลย ปล่อยเขาตะลอนไปไหนต่อไหนตามกลำพังเพียงคนเดียว สร้างปัญหามาโดยตลอดครับ อย่าพึ่งใจร้อนไปเอาผิดแกด้วยความรุนแรงเลยนะครับ ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านนะครับ”

นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กคอมเม้นท์ในที่อื่นอีกโดยระบุว่าป้าคนดังกล่าวฉี่บนรถเมล์

“แต่มีรุ่นน้องสมัยมัธยมบอกว่านั่งรถคันเดียวกับป้าละป้าด่าจริงค่ะ แต่แกฉี่บนรถด้วย”

- - - - - - - - - - -

กรณีของผู้ที่มีปัญหาจิตเภทและมีพฤติกรรมเช่นนี้ในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้ที่ป่วยจิตเภท ถูกจับกุมและดำเนินคดีไม่น้อย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยข้อมูลว่า หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 นอกจากการจับกุมดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จะเพิ่มขึ้นมากแล้ว ยังปรากฏกรณีผู้ต้องหาที่เป็นผู้ป่วยมีอาการเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 อย่างน้อย 7 ราย

ยกตัวอย่างพฤติกรรมประหลาดที่พวกเขาทำ เช่น กรณีของประจักษ์ชัยเขาเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลและติดต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูเพื่อขอพบนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่บอกให้เขาเขียนบันทึกร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีที่ศูนย์บริการประชาชน เขาเขียนในบันทึกร้องเรียนทำนองว่า มาขอความร่วมมือสี่เหล่าทัพปลดบุคคลสำคัญของประเทศ “หวังว่าคงให้ความร่วมมือทั้ง 4 เหล่าทัพ ขอบคุณๆ” หลังเจ้าหน้าที่ได้อ่านข้อความ แน่นอน ประจักษ์ชัย ถูกตำรวจจับกุมไปยัง สน.ดุสิต เขาถูกคุมขังในเรือนจำในชั้นสอบสวนอยู่หลายเดือน จนสุดท้ายทนายสามารถช่วยให้ศาลสั่งส่งตัวเขาไปตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชและได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีได้  แพทย์ลงความเห็นว่าเขาป่วยจริง มีประวัติการณ์รักษาด้วย แต่ศาลเห็นว่าพอสู้คดีได้ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ฐิตินันท์หญิงวัย 66 ปีป่วยเป็นไบโพลาร์ ท่ามกลางมวลชนที่ชุมนุมกันอยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญเพื่อฟังคำตัดสินทางการเมือง เธอเดินเข้าหาหัวแถวที่ชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ทำให้มันหล่นลงพื้นและกระทำการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งด้วยการเหยียบพระบรมฉายาลักษณ์ ท่ามกลางสายตานับร้อย และแน่นอนตำรวจต้องเร่งกันเธอออกจากมวลชนที่รุมล้อมด้วยความโกรธ ฐิตินันท์มีประวัติการรักษาตัวโดยตลอด ลูกๆ บอกว่าเธอชอบหนีออกจากบ้านไปข้างนอกเสมอๆ และไม่ยอมกินยาอย่างเคร่งครัด เธอถูกคุมขังในเรือนจำในชั้นสอบสวนจนอาการกำเริบ ป่วยหนักจนต้องให้ประกันตัวและส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาล ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปีแต่เนื่องจากไม่เคยทำผิดมาก่อนและป่วยจริงมีแพทย์รับรองจึงรอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญา เธอต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำเมื่อเดือนมกราคม 2559 และในระหว่างนั้นก็แทบเอาชีวิตไม่รอด

ลูกชายของเธอให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากแม่ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง เขาไม่สามารถส่งยารักษาอาการไบโพลาร์เข้าเรือนจำให้แม่ได้ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำระบุว่ามีหมอที่คอยตรวจอาการและจ่ายยาอยู่แล้ว ต่อมาราวต้นเดือนเมษายน 2559 หมอจาก รพ.ราชทัณฑ์เรียกให้มาเยี่ยมแม่ด่วนในห้องไอซียู โดยระบุว่าแม่มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด 

"ตอนนั้นทรุดเลย ไม่รู้แกจะรอดไหม แกไม่รู้สึกตัว แต่แล้วก็มีปาฏิหารย์ 2-3 วันแกอาการดีขึ้น ออกจากไอซียู แล้วรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลราชทัณฑ์อีกเกือบ 2 เดือนถึงส่งกลับเรือนจำ" ลูกชายกล่าว

เหล่านี้เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยว่า ผู้ป่วยในลักษณะนี้มักกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกระทั่งเป็นความผิดอย่างยิ่งในสายตาของคนทั่วไป พวกเขากระทำการในที่สาธารณะแบบที่มนุษย์ผู้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนไม่มีทางกระทำ

จิตแพทย์รายหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนไว้ว่า บางทีความเข้าใจเกี่ยวกับ “คนบ้า” ในสังคมไทยอาจไม่ถูกต้องนัก คงคิดเพียงว่า ต้องพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่งตัวแปลกๆ ทาแป้งปะหน้าขาวๆ เพียงเท่านั้น

“คนที่มีอาการทางจิตแบบ Schizophrenia หรือจิตเภท เขารู้สึกตัวตลอดเวลา เขาพูดคุยได้เหมือนเรา เขารู้วันที่เวลา เขารู้สถานที่ มีความทรงจำ แต่เขาไม่รู้ความหมายของการกระทำ มันก็เข้าใจยากน่ะ คือมีคำว่า “สาระของการกระทำ” ที่ดูเป็นคำทางกฎหมาย คือผู้ป่วยไม่รู้ความหมายของการกระทำ เช่น เมื่อคนไข้คนหนึ่งด่าแม่ เขารู้ตัว รู้ว่าทำอะไร จำได้ด้วย แต่เขาไม่รู้ความหมายของการกระทำนั้น” จิตแพทย์กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ งัด ม.44 ปลดสุขุมพันธุ์และทีมรองฯ ตั้ง 'อัศวิน ขวัญเมือง' เป็นผู้ว่าฯ กทม.

$
0
0
ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์  บริพัตร
 
18 ต.ค. 2559 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 64/2559 เรื่อง การให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตําแหน่ง และการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.
 
ตามที่มีคําสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 50/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 6 ลงวันที่ 25 ส.ค. 2559 โดยให้ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในกรุงเทพมหานครของ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว นั้น เนื่องจากการตรวจสอบหรือการสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาต่าง ๆ ขององค์กรที่มีอํานาจหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายยังต้องดําเนินไปอีกระยะหนึ่งในขณะที่วาระการดํารงตําแหน่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใกล้จะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
 
ซึ่งก็จะยังไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ได้ตามนัยแห่งประกาศคสช. และคําสั่งหัวหน้าคสช.ที่ยังใช้บังคับอยู่ แต่โดยที่มีความจําเป็นต้องเร่งจัดการบริหารราชการกรุงเทพมหานครให้เป็นที่เรียบร้อย เกิดความต่อเนื่อง สามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคประชาชนอย่างมีเอกภาพ
 
โดยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครมีอํานาจการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือดําเนินการต่างๆ และสามารถบริหารงบประมาณ บังคับบัญชาบุคลากรตลอดจนบริหารงานบุคคลได้โดยเด็ดขาดตามกฎหมาย สร้างความเชื่อมั่นแก่ข้าราชการกรุงเทพมหานครและประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความสะอาด การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การแก้ปัญหาการจราจร การพัฒนาชุมชน การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในช่วงเวลาที่มีงานพิธีสําคัญ และการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้ หากมิได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จะเกิดเป็นความเสียหายต่อราชการแผ่นดินอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคสช. โดยความเห็นชอบของคสช.
 
จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ผู้ดํารงตําแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ พ้นจากตําแหน่ง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
 
ข้อ 2 ให้พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และให้มีรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่เกินสี่คนตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้งตามมาตรา 49 (3) และมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือคสช. มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นประการอื่น การแต่งตั้งและถอดถอนรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้กระทําได้เมื่อได้รับความเห็นชอบ จากนายกรัฐมนตรี
 
ข้อ 3 ภายใต้บังคับมาตรา 49 (3) และมาตรา 52 นายกรัฐมนตรีอาจสั่งให้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกจากตําแหน่งได้เมื่อมีกรณีแสดงให้เห็นว่าได้กระทําการอันเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตําแหน่งหรือปฏิบัติการหรือละเลยไม่ปฏิบัติการอันควรปฏิบัติในลักษณะที่เห็นได้ว่าจะเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรงแก่กรุงเทพมหานครหรือแก่ราชการโดยส่วนรวมหรือแก่การรักษาความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน
 
ข้อ 4 นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้คสช.มีคําสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกคําสั่งนี้ได้ ข้อ 5 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
 
 

 

 
สั่ง ณ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาต
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คสช. สั่งจนท.ป้องกันความรุนแรง ดำเนินการตามกรอบกฎหมายปมโพสต์หมิ่นฯ

$
0
0

คสช. สั่งจนท. ปฏิบัติอย่างรอบคอบ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่นำตัวไปขอขมาในสถานที่ที่ล่อแหลม เสี่ยงที่จะถูกทำร้าย รมว.ยุติธรรมระบุ ส่งหนังสือขอตัวคนหมิ่นสถาบัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ชี้ไม่มีอะไรดีกว่ามาตรการทางสังคม หลายคนที่ไปเคลื่อนไหวต่างประเทศคงมีประชาชนที่เคารพรักเขาทำอยู่

18 ต.ค. 2559 พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังที่มีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 รับผิดชอบการปฏิบัติให้เกิดความเรียบร้อย โดยเวลา 08.00 น. จะมีการประชุมที่กองบัญชาการที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรวิหาร ซึ่งมีกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) เป็นหน่วยรับผิดชอบเพื่อสรุปภาพรวม และอุปสรรคของการปฏิบัติงานในแต่ละวัน และช่วงเย็นเวลา 15.00 น. จะเป็นการประชุมระดับกองทัพภาค โดยกองทัพภาคที่ 1 เป็นหน่วยหลักในการสรุปการทำงานแต่ละวันอีกครั้งที่ กองบัญชาการกลางท้องสนามหลวง สำหรับกองบัญชาการติดตามสถานการณ์ กองทัพภาคที่ 1 (บก.ศตส.ทภ.1) จะมี พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ดูแล ประสานงานกับ นายกรัฐมนตรีและรับมอบนโยบายและคำสั่งการจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยตรง โดย บก.ศตส.ทภ.1 จะเป็นหน่วยหลักในการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาง มูลนิธิ อาสาสมัคร ภาคเอกชน เป็นต้น ทั้งนี้ คสช.มีความมุ่งมั่นที่จะดูแลพี่น้องประชาชนที่มาถวายอาลัยอย่างดีที่สุด โดยการอำนวยความสะดวกให้การเดินทางและการเข้าถวายอาลัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่สับสน

พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการป้องกันความรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มคนที่เข้าไปล้อมกรอบบุคคลที่โพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เท่าที่ตรวจสอบพบว่า เกิดเหตุดังกล่าวแล้ว 3 กรณีที่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา ซึ่ง คสช.มีความเป็นห่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลและดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม รวดเร็ว แยกตัวบุคคลที่โพสต์หมิ่นออกมาเพื่อไม่ให้ถูกทำร้าย ในขณะนี้คงไม่มีใครอยากเห็นคนไทยใช้กำลังทำร้ายกัน หรือทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างรอบคอบ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการนำบุคคลนั้นไปขอขมาในสถานที่ที่ล่อแหลม เสี่ยงที่จะถูกทำร้าย หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยก็ควรเลือกเวลาที่เหมาะสมในห้วงเวลาอื่น

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการกับกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ขณะนี้ได้นำข้อมูลจากคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ที่ตนเป็นประธานอยู่ มาประสานกับ ศตส. โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นคนประสานข้อมูล โดยรายชื่อทั้งหมดก็เป็นรายชื่อเก่า 
 
“ผมได้สั่งไปแล้วว่าให้ไปดูว่าผู้กระทำผิดมาตรา 112 อยู่ประเทศอะไรบ้าง แล้วให้ร่างหนังสือมาให้ผม และผมจะเซ็นหนังสือไปยังเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย แต่เราต้องมั่นใจว่าคนพวกนี้มันเคลื่อนไหวอะไร ผมก็เห็นใจคนทำงาน เพราะมักจะติดในแง่ของกฎหมายต่างประเทศ เราต้องเคารพอำนาจอธิปไตยของประเทศอื่นเหมือนกัน ผมทำหนังสือโดยตรงไปยังสถานทูตแล้ว วันนี้ผมจะทำซ้ำอีกที ใช้ความเห็นอกเห็นใจ ใช้ความเป็นมิตรประเทศ ใช้ความรู้สึกความเคารพซึ่งกันและกัน เราไม่เคยละเมิดกฎหมายเขา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นความรู้สึกของคนไทยที่รับไม่ได้ เราก็ต้องช่วยกัน โดยรายชื่อที่มีก็จะแบ่งเป็น 7 กลุ่ม แต่ไม่อยากให้ประชาชนไปเผยแพร่ต่อ ขอให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ครั้งนี้มีโอกาสที่ประเทศต่าง ๆ จะส่งตัวผู้กระทำผิดให้เราหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า มันไม่ง่าย เราก็ต้องเคารพอำนาจอธิปไตยของเขา แต่เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด 
 
ส่วนกรณีที่เกิดเหตุประชาชนล้อมบ้านคนโพสต์หมิ่นสถาบัน พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนพูดหลายครั้งแล้วว่าไม่มีอะไรดีกว่ามาตรการทางสังคม หลายคนที่ไปเคลื่อนไหวต่างประเทศคงมีประชาชนที่เคารพรักเขาทำอยู่
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตร.ยันป้าถูกกล่าวหาว่าหมิ่นฯบนรถเมล์ มีบัตรผู้ป่วยจริง หลายคนยันพูดถึงเจ้าเมืองบาดาล

$
0
0
 

18 ต.ค.2559 จากกรณี เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.00 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Mai K. Phakaporn โพสต์คลิปยาว 3 นาที พร้อมข้อความว่า “ดราม่าบนรถเมล์ค่ะ ป้าแกนั่งด่าพ่อหลวงและพระองค์อื่นๆ ตลอดทาง พี่ๆ เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ” โดยคลิปดังกล่าวปรากฏภาพหญิงวัยกลางคนใส่เสื้อฟ้าโดนประชาชนบนรถเมล์รุมด่าและไล่ลงจากรถเมล์ ขณะที่ตำรวจจราจรขึ้นมาห้ามปรามและนำตัวไป เมื่อตำรวจถามคนบนรถเมล์ว่ามีหลักฐานหรือไม่ คนบนรถเมล์กล่าวว่า “ถ่ายไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไร” จากนั้นเมื่อป้าคนดังกล่าวเดินลงจากรถเมล์ขณะที่กำลังหัวเราะ มีผู้หญิงใส่เสื้อสีดำวิ่งเข้ามาตบปากป้าคนดังกล่าวอย่างแรง พร้อมด่าทอเธอ “มันด่าหมดเลย มันด่ามาตั้งแต่เยาวราชแล้ว” และเธอยืนยันว่าเธอฟังอยู่ตลอด ตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่ทหารที่รักษาความปลอดภัยสถานที่ในบริเวณดังกล่าวไม่ทันได้ห้ามปราม หลังจากปล่อยให้มีการโต้เถียงกันพักหนึ่ง ป้าคนดังกล่าวได้เดินผละจากไปทางอื่น โดยมีหญิงที่ตบปากวิ่งตามไป เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณนั้นจึงเดินตามไป ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเรื่องราวนี้จบลงเช่นไร เพราะผู้ถ่ายคลิปอยู่บนรถเมล์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกมา

ภาพขณะที่หญิงเสื้อดำเข้าไปทำร้ายร่างกายหญิงวัยกลางคนดังกล่าว

ล่าสุดวันนี้ ไทยรัฐออนไลน์​รายงานด้วยว่า ได้ติดต่อไปยัง ร.ต.ท.วีระยุทธ ศรีสุพัฒน์ รองสารวัตร (สอบสวน) สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นที่บริเวณแยกสะพานขาว แขวงสี่แยกมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญหญิงวัยกลางคนในคลิปมาที่ สน. พบว่าเป็นคนวิกลจริต มีปัสสาวะใส่กางเกง พูดจาไม่รู้เรื่อง และตรวจพบว่าบัตรประจำตัวผู้ป่วย จากนั้นจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งแพทย์ก็ได้ยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลจริง แต่ผู้ป่วยขาดยาและหนีออกจากบ้าน จึงแจ้งญาติให้มารับตัวกลับ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่าวิดีโอคลิปดังกล่าวของ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Mai K. Phakaporn ถูกปิดไปแล้ว แต่ก่อนปิด ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่าคลิปนี้ถูกแชร์และได้รับชมจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ผ่านไป 7 ชม. มียอดผู้ชมคลิป 2.3 ล้าน มีผู้ like ประมาณ 55,000 มีผู้ share ประมาณ 82,000 โดยผู้คอมเม้นต์โดยส่วนใหญ่รู้สึกเห็นด้วย สะใจ กับการกระทำดังกล่าว มีจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการตบปากเพียง 1 ครั้งนั้นเป็นการลงโทษที่น้อยเกินไป ส่วนมีผู้ไม่เห็นด้วยหรือแสดงความเห็นใจป้าคนดังกล่าวก็มีปรากฏเช่นกันแต่ด้วยสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังจากวิดีโอคลิปดังกล่าวถูกกระจายไปจำนวนมา มีผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนมาโพสต์ให้ข้อมูลยืนยันว่า หญิงวัยกลางคน ดังกล่าว สติไม่ดี รวมทั้งยืนยันด้วยว่า "เจ้า" ที่หญิงวัยกลางคนดังกล่าววิจารณ์นั้นเป็นเจ้าในละคร
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์กวดขันการส่งต่อโพสต์หมิ่นฯ ย้ำมีกฏหมาย แนะใช้ความเข้าใจ พร้อมแจงปมสืบสันตติวงศ์

$
0
0

ประยุทธ์ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกวดขันการส่งต่อโพสต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ชี้มีกฏหมายอยู่ แต่อยากให้ใช้ความเข้าใจ พร้อมชี้แจงการสืบสันตติวงศ์ ระบุเมื่อพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลผ่านพ้นช่วงเวลา 7 วัน 15 วัน ก็น่าจะเป็นเวลาอันสมควรดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ม. 23 ต่อไป รัฐบาลนำไปยังสภานิติบัญญํติแห่งชาติเพื่อมีมติตาม รธน.

 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

18 ต.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงว่าส่วนเรื่องการสวมเสื้อดำที่มีปัญหา ตนบอกไปว่าต้องเห็นใจผู้ที่มีรายได้น้อย อาจไม่มีเงินซื้อ เพราะตอนนี้ราคาแพงตัวละหลายร้อย รัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างแนะนำแม้กระทั่งสอนการย้อมผ้า ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เตรียมที่จะเปิดขายราคาถูกที่สุดเพื่อให้เข้าถึง ระหว่างนี้อาจมีปัญหาอยู่บ้างก็ใช้ริบบิ้นสีดำไปก่อนได้ แต่ขอให้ลดโทนสีเสื้อผ้าที่สวมใส่ลง ขออย่าไปติติง คนที่ไม่ใส่เสื้อดำว่าไม่รักพระเจ้าอยู่หัวฯ เดี๋ยวก็ตีกันอีก พอได้แล้ว วันนี้ไม่มีสักสี วันนี้เป็นสีแห่งความจงรักภักดี เชื่อว่าทุกคนอยากมาด้วยใจ เขาพร้อมแค่ไหนก็ให้เขามา ถ้าเขายังไม่พร้อมตรงไหน เราก็ไปช่วยเขาไม่ดีกว่าหรือ บางครั้งข้าราชการ พนักงานต่างๆ แอร์โฮสเตส เขาก็ต้องทำงาน เครื่องแบบอาจมีสีสันก็ติดริบบิ้นได้ แต่ถ้านอกเวลาเขาก็ใส่ชุดดำอยู่แล้ว ทุกคนรู้หน้าที่ ไม่ใช่ไปคอยไล่ล่าใครใส่ไม่ใส่ เดี๋ยวมีปัญหาอีก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในเรื่องการจัดงานรื่นเริง บันเทิงในช่วงนี้ ขอว่าในช่วง 30 วันแรกนับจากวันที่ 14 ต.ค. ขอให้มีการพิจารณาตามความเหมาะสม โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กำลังหารือกันในเรื่องนี้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะมีผลกระทบหลายๆอย่างด้วยกัน ซึ่งไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่ต้องดำเนินการด้วยความเหมาะสม อาจจะต้องงดในส่วนที่เป็นมหรสพหรือความบันเทิง ดนตรี ร้องรำทำเพลง แต่การจัดประชุม งานมงคลสมรส ทอดกฐิน ลอยกระทง งานบำเพ็ญกุศล หรือศาสนกิจตามประเพณี สามารถกระทำได้ในรูปแบบที่เหมาะสม เชื่อว่าทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว แต่เรื่องการเลี้ยงสังสรรค์ที่ทำในอาคารเฉพาะกลุ่ม ที่จัดปกติเนื่องจากได้เตรียมการไว้แล้ว ก็ต้องลองพิจารณาถ้าจำเป็นก็ดำเนินการได้ รวมถึงการรับนักท่องเที่ยวหรือผู้เข้าร่วมประชุม สามารถจัดได้ตามความเหมาะสม และคำนึงถึงความรู้สึกประชาชน และสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้เป็นหลัก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกวดขันระมัดระวังการแพร่ภาพหรือข้อความที่เข้าข่ายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ยุยงให้เกิดความแตกแยก และทำให้เกิดผลสะเทือนจิตใจของประชาชนในช่วงนี้ ดังนั้นขอความร่วมมืออย่าแพร่ภาพ หรือข้อความดังกล่าวต่อไปเป็นอันขาด เพราะจะเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทย และผิดกฎหมายด้วย 

"เราก็ระมัดระวังนะ ไม่อยากใช้กฏหมายในช่วงนี้นะครับ ก็ขอความร่วมมือทุกคน เข้าใจแล้วล่ะ ผมเห็น แต่อย่าไปสร้างความขัดแย้งกันอีก ไม่ใช่ว่าใช้มาตรการรุนแรง ผมว่ามันมีกฏหมายมีอะไรอยู่แล้วนะครับ ทำอย่างไรเขาจะเข้าใจ ทำอย่างไรเขาจะไม่ทำ นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรวมพลังกันให้ได้ อาจจะเกิดจากเข้าจผิด หรือตั้งใจไม่ตั้งใจต้องไปดูให้ดีนะ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงเรื่องการสืบสันตติวงศ์ด้วยว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ชัดเจน มีกฎมณเฑียรบาลและมีจารีตประเพณี ขอทุกคนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่าได้มีความกังวลใดๆ หรือสงสัยใดๆ เมื่อขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่า เมื่อพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลผ่านพ้นช่วงเวลา 7 วัน 15 วัน ไประยะหนึ่ง ก็น่าจะเป็นเวลาอันสมควรดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 23 ต่อไป คือขั้นตอนที่รัฐบาลนำไปยังสภานิติบัญญํติแห่งชาติเพื่อมีมติตามรัฐธรรมนูญ ระหว่างนี้ตามกฏหมายหรือตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วว่าก็มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน ในส่วนเฉพาะเท่าที่จำเป็นเร่งด่วน เรื่องใดที่สำคัญก็จะเป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จะทรงลงพระปรมาภิไธย ภายนกรอบเวลาที่กำหนดไว้ 

ขอความร่วมมือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากพบเว็บหมิ่นฯ

วันเดียวกัน เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงกรณีมีเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า หากประชาชนหรือบุคคลใดพบเจอเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะดังกล่าวทั้งการเผยแพร่ผ่านทางเฟสบุ๊ค ยูทูป หรือลิงค์ข้อมูลต่าง ๆ  ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อที่จะช่วยกันสกัดกั้นเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการทำลายความรู้สึกและหัวใจของประชาชนคนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ในส่วนเว็บไซต์ต่างประเทศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงพยายามดำเนินการอย่างเต็มที่อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้การดำเนินการเกี่ยวกับเว็บไซต์ต่างประเทศที่เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะดังกล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลหัวใจคนไทยในสิ่งที่ประชาชนคนไทยเคารพรักและเทิดทูนอย่างที่สุด
 
ดังนั้น ขอประชาชนอย่าได้ตั้งข้อรังเกียจหน่วยงานราชการคิดว่าเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ เพราะในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการแชร์ข้อมูลจะดำเนินการฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ ถ้าหากไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด จึงขอเรียนให้ทราบว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนพยายามทำงานอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นข้อมูลที่มาจากต่างประเทศ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารฟ้องนักข่าวพลเมือง-นักกิจกรรมสิทธิที่ดิน หมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0

18 ต.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 8 อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดย ร.ท.เลิศชัยจรุง วุฒิสาร แจ้งความ ศรายุทธ ฤทธิพิณ และเจด็จ แก้วสิงห์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน โดยล่าสุด มีหมายเรียกให้ทั้งสองไปรายงานตัวในวันที่ 25 ต.ค. ที่สถานีตำรวจภูธรชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

เบื้องต้น คาดว่ากรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายศรายุทธ กองเลขาฯ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงานข่าวในสำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสานโดยสัมภาษณ์ เจด็จ แก้วสิงห์ ซึ่งระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไปหาที่บ้าน แต่เขาไม่อยู่บ้าน มีเพียงแม่ซึ่งป่วยเป็นโรคความดันเท่านั้น ทำให้แม่ของเขากลัว ส่วนสาเหตุที่ทหารไปพบ เจด็จให้สัมภาษณ์ศรายุทธไว้ว่าทราบจากแม่ว่าเจ้าหน้าที่ทหารระบุว่าเขาโพสต์เฟซบุ๊กทำให้ทหารเสียหาย ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่ได้โพสต์ข้อความดังกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.ไฟเขียว ปรับเพดานเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ

$
0
0

18 ต.ค. 2559 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตามที่สำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา

สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า 1. กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทต่าง ๆ กำหนดเกี่ยวกับการได้รับเงินเดือนของข้าราชการไว้แตกต่างกันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรับเงินเดือนระหว่างข้าราชการแต่ละประเภท คือ 1. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 2. ข้าราชการทหารและข้าราชตำรวจ 3. ข้าราชการพลเรือนสามัญ 2. ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 9/2559 เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้พิจารณาปัญหาความเหลื่อมล้ำในการได้รับเงินเดือนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ แล้วเห็นว่า การที่ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนขั้นสูง (เงินเดือนตัน) ในอัตราที่ต่ำกว่าข้าราชการประเภทอื่น ถือเป็นกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นสมควรที่จะกำหนดให้ข้าราชการดังกล่าวได้รับการเยียวยาตามมาตรา 50/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 จึงได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง และให้หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559

สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง สรุปได้ ดังนี้ 1. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทและระดับใดที่ได้รับเงินเดือนถึงอัตรา เงินเดือนขั้นสูง (ตามบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญท้านกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน) หรือได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนสูงสุด (เงินเดือนตัน) เมื่อได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเงินเดือนตามรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการแล้วให้ได้รับเงินเดือนในระดับถัดไปของแต่ละประเภทตำแหน่ง เช่น ข้าราชการระดับชำนาญการที่เงินเดือนตัน (อัตรา 43,600 บาท) ให้ได้รับเงินเดือนในระดับชำนาญการพิเศษถึงขั้นสูง (อัตรา 58,390 บาท) เป็นต้น ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้

1) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษและผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ (ได้รับเงินเดือนขั้นสูงอัตรา 69,040 บาท) ให้ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ โดยให้ได้รับเงินเดือนไม่เกินอัตราที่ ก.พ. กำหนดตามข้อ 3 (2) ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2551 (อัตราไม่เกิน 64,340 บาท) ทั้งนี้ ในปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิได้รับเงินเดือนไม่เกิน 74,320 บาท (ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1012.2/ว 6 ลงวันที่ 25 พ.ค. 2558 เรื่อง การปรับเงินเดือนเข้าสู่บัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ)  2) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิให้ได้รับเงินเดือนไม่เกินขั้นสูงของประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (อัตรา 76,800 บาท)  3) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง (ได้รับเงินเดือนขั้นสูงอัตรา 70,360 บาท) ให้ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้นถึงขั้นสูง (อัตรา 74,320 บาท)

2. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างประเภทต่างสายงาน หรือต่างระดับ และเงินเดือนที่ได้รับอยู่สูงกว่าเงินเดือนขั้นสูงหรืออัตราเงินเดือนสูงสุดสำหรับตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมโดยให้ได้รับเงินเดือนตามข้อ 1 ตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างประเภทต่างสายงาน หรือต่างระดับ 3. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อ 1 ให้ได้รับเงินเดือนในวันที่ 1 เมษายน หรือวันที่ 1 ตุลาคม ตามรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการโดยคำนวณจากฐานในการคำนวณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนของตำแหน่งที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่ (ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. 2552) ยกเว้นกรณีผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสและประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ในสายงานที่ ก.พ. กำหนดอัตราเงินเดือนสูงสุดไว้ เมื่อได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนสูงสุดที่ ก.พ. กำหนดแล้วแต่กรณีแล้วให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนโดยคำนวณจากรากฐานในการคำนวณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนของตำแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสหรือตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ระดับบน  2 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. 2552 ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดต้องพ้นจากราชการเพราะเหตุเกษียณอายุ ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนดังกล่าวในวันที่ 30 กันยายน ของปีสุดท้ายก่อนที่จะพ้นจากราชการเพราะเหตุเกษียณอายุ

4. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ เมื่อได้รับเงินเดือนจนถึงอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดหรืออัตราเงินเดือนสูงสุดที่ ก.พ. กำหนดแล้ว ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือน หรือค่าจ้างถึงขั้นสูง หรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง

5. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือน หรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่งอยู่ในวันที่หลักเกณฑ์และวิธีการนี้มีผลใช้บังคับ ให้นำค่าตอบแทนดังกล่าวมารวมเป็นเงินเดือน ในกรณีที่มีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปรับเป็นสิบบาท และให้ได้รับเงินเดือนในอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่หลักเกณฑ์และวิธีการนี้มีผลใช้บังคับ และ 6. กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ให้นำเสนอ ก.พ. พิจารณา

                

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสิ่งแวดล้อมเขียนข่าว 'มรณกรรม' เชิงเสียดสี สะท้อนความย่ำแย่ของแนวปะการังระดับโลก

$
0
0

โรแวน จาคอบเซน นักเขียนเรื่องสิ่งแวดล้อมเขียน "ข่าวมรณกรรม" ของ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" (Great Barrier Reef) แนวปะการังขนาดใหญ่ที่สุดและจัดว่าสวยงามที่สุดในโลกลงในนิตยสารเอาท์ไซด์ (Outside) เผยปรากฏการณ์โลกร้อนและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมีส่วนทำลายแนวปะการังที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพถึงตอนนี้ยังไม่ได้ถูกทำลายไปหมด แต่ก็มีโอกาสเสื่อมสลาย

17 ต.ค. 2559 สื่อดิอินดิเพนเดนต์รายงานว่ามีคนเขียน "ข่าวมรณกรรม" ของ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" (Great Barrier Reef) ซึ่งเป็นแนวปะการังขนาดใหญ่ที่สุดและจัดว่าสวยงามที่สุดในโลกลงในนิตยสารเอาท์ไซด์ (Outside) เพื่อแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียแนวปะการังนี้โดยระบุว่าเกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็น "สมาชิกในชุมชนที่มีความกระตือรือร้นอย่างมาก"

ถึงแม้ว่าเกรตแบร์ริเออร์รีฟจะยังไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มีปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวบ่อยครั้งขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น รวมถึงการที่น้ำมีก๊าซคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้นทำให้ทะเลเป็นกรดและหลอมละลายผิวปะการัง โดยก๊าซคาร์บอนที่สูงขึ้นนี้ส่วนมากมาจากการที่น้ำดูดซับเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ที่ปล่อยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ปะการังสามารถฟื้นฟูตัวเองจากการฟอกขาวได้ถ้าหากเกิดในระยะเวลาไม่นานเกินไป แต่ในบทมรณกรรมดังกล่าวเปิดเผยว่าการฟอกขาวที่เกิดขึ้นในปีนี้เสียหายร้ายแรงที่สุดในระดับที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้

"ข่าวมรณกรรม" ดังกล่าวเขียนโดยโรแวน จาคอบเซน นักเขียนเรื่องสิ่งแวดล้อมเขาระบุว่า "เกรตแบร์ริเออร์รีฟแห่งออสเตรเลียเสียชีวิตแล้วในปี 2559 หลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน มันมีชีวิตอยู่มา 25 ล้านปีแล้ว" ในบทความระบุอีกว่า "ปะการังแห่งนี้เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแทบจะโดยตลอดชีวิตของมันและเป็นสิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ"

จาคอบเซนระบุว่าเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีความยาว 1,400 ไมล์ (ราว 2,300 กม.) มีจำนวนปะการังแยกเป็นตัวๆ ได้ 2,900 ตัว และเกาะ 1,050 เกาะ เมื่อรวมพื้นที่ทั้งหมดแล้วใหญ่ยิ่งกว่าสหราชอาณาจักรและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าทั้งยุโรปรวมกัน โดยมีพันธุ์ปลา 1,625 สายพันธุ์, สัตว์จำพวกหอยและปลาหมึก 6,000 สายพันธุ์, ปะการัง 450 สายพันธุ์, นก 220 สายพันธุ์ และวาฬกับโลมา 30 สายพันธุ์ นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในแง่เป็นหนึ่งในแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่สุดของพะยูนและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของเต่าตนุ

เกรตแบร์ริเออร์รีฟถือกำเนิดในแถบชายฝั่งของออสเตรเลียมาตั้งแต่สมัยไมโอซีน (Miocene ราว 23.03 - 5.33 ล้านปีที่แล้วตามการแบ่งยุคธรณีกาล) ซึ่งจาคอบเซนกล่าวว่าในช่วง 24.99 ล้านปีแรกของแนวปะการังนี้เป็นช่วงที่พวกมันดูมีความเป็นอยู่ที่ดี การบอกว่ามันเป็นสมาชิกในชุมชนที่มีความกระตือรือร้นอย่างมากยังถือว่าน้อยเกินไปเพราะชุมชนทางนิเวศวิทยาที่อยู่ล้อมรอบต้องอาศัยเกรตแบร์ริเออร์รีฟในการดำรงอยู่ มีหลักฐานว่าเมื่อราว 60,000 ปีที่แล้วมีมนุษย์คนแรกเดินทางจากเอเชียเข้าไปถึงออสเตรเลีย ชาวอะบอริจินใช้พื้นที่นี้หาปลามาเป็นเวลาเป็นพันปีแล้วและยังคงดำรงชีวิตโดยต้องพึ่งพาแหล่งธรรมชาตินี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเสื่อมสลายไป

แนวปะการังนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2524 ปีเดียวกับตอนที่เริ่มมีปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจำนวนมากเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จาคอบเซนระบุว่าพอถึงช่วงยุคมิลเลนเนียมก็เริ่มมีปรากฏการณ์ฟอกขาวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในช่วงฤดูหนาวของปี 2540-2541 ก็เกิดขึ้นครั้งใหญ่ และมีปรากฏการณ์นี้หนักๆ อีกในปี 2544-2545 และ 2548-2549 โดยในปี 2559 นี้เกรตแบร์ริเออร์รีฟเผชิญปรากฏการณ์ฟอกขาวอย่างหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ในระดับที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก โดยมีปะการังในเขตพื้นน้ำที่อุ่นกว่าทางตอนเหนือตายไปแล้วร้อยละ 50

บทมรณกรรมยังระบุโจมตีรัฐบาลออสเตรเลียที่อนุมัติโครงการเหมืองแร่ถ่านหินขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่อแนวปะการังมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลออสเตรเลียยังชักจูงให้สหประชาชาติยกเลิกรายงานเกี่ยวกับเกรตแบร์ริเออร์รีฟในรายงานเรื่องโลกร้อนด้วย

ท้ายบทมรณกรรมระบุว่าเกรตแบร์ริเออร์รีฟจะตายก่อนแนวปะการังอื่นๆ อย่างสามเหลี่ยมปะการังของแปซิฟิกใต้ กับฟลอริดารีฟ แต่ก็อาจจะตายทีหลังเบลีซแบร์ริเออร์รีฟ ผู้เขียนบทมรณกรรมระบุอีกว่าผู้ที่ต้องการช่วยเหลือแนวปะการังสามารถบริจาคให้กับหน่วยงานโอเชียนอาร์คอะไลอันซ์ได้

ฝ่ายรัฐบาลออสเตรเลียกล่าวว่าการกอบกู้แนวปะการังกำลังมี "ความก้าวหน้าอย่างดี" แต่ก็แถลงเพิ่มเติมว่าพวกเขาไม่มีเครื่องมือที่จะช่วยฟื้นแนวปะการังได้อย่างเกิดผลและพวกเขาต้องการเครื่องมือที่สามารถดำเนินการได้อย่างมีการวางเป้าและประสานงานได้ดีขึ้น

 

เรียบเรียงจาก

Great Barrier Reef declared dead 'after a long illness' in obituary, The Independent, 17-10-2016
http://www.independent.co.uk/environment/great-barrier-reef-dead-obituary-coral-bleaching-climate-change-a7361266.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาทัณฑ์คนงานวัยรุ่นชลบุรี ถูกกล่าวหาโพสต์หมิ่นฯ

$
0
0

หนุ่มโรงงานวัย 19 ปีถูกประชาชนบุกจับกุมตัวจากห้องพัก ทำร้ายร่างกาย สอบสวน และให้กราบขอขมาพระบรมฉายาลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลแจงไล่ออกทันที่ที่รู้เรื่อง ให้ที่อยู่หลังถูกมวลชนบีบ ไม่คิดว่าจะไปรุมทำร้าย ตร.เร่งสอบสวนคาดขอหมายจับพรุ่งนี้

ภาพ ขณะขอขมา ขณะที่มีผู้ใช้เท้ากดหัว (ที่มา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'คนข่าวบางปะกง' )

18 ต.ค. 2559 เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'คนข่าวบางปะกง' ได้เผยแพร่ภาพประชาชนบุกจับกุมตัวชายวัยรุ่นจากห้องพักแห่งหนึ่งแล้วนำตัวมากราบขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ระหว่างนั้นมีการทำร้ายร่างกายชายคนดังกล่าวด้วย เพจดังกล่าวมีข้อความบรรยายภาพว่า "โพสต์หมิ่นเบื้องสูง ชาวบ้านเค้ารับไม่ได้ เลยช่วยกันตามล่าตัวจนเจอ และนำมากราบขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ จะด้วยความคึกคะนองหรือมึนเมาแอดไม่ทราบนะครับ แต่ที่ทราบคือสังคมได้ลงโทษเค้าแล้ว แถมโดนไล่ออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดต่าง เห็นต่างได้ แต่อย่าลืม ว่าเรามีพ่อคนเดียวกัน"

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะประชาชนจับกุมตัวชายคนดังกล่าวจากห้องพักได้มีการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กด้วย ซึ่งปรากฏมีการทำร้ายร่างกายด่าทอข่มขู่ชายคนดังกล่าวตลอด ส่งผลให้บริเวณใบหน้าชายคนดังกล่าวมีรอยแดงช้ำ อย่างไรก็ตามมีผู้พยายามห้ามปรามการทำร้ายร่างกายอยู่เป็นระยะเช่นกันโดยระบุว่าควรรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อ ทั้งนี้ คลิปจากเฟซบุ๊กต้นทางถูกลบออกในเวลาไม่นาน แต่มีผู้นำไปเผยแพร่ต่อในยูทูบ

อย่างไรก็ตามระหว่างการขอขมาต่อหน้าพระบรมฉาลักษณ์ มีชายสวมเสื้อดำใช้เท้ากดศรีษะ ใช้มือตบศรีศษะชายคนดังกล่าว และทำการสอบสวนถึงสาเหตุของการโพสต์ข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง ระหว่างนั้นมีผู้พยายามห้ามปรามไม่ให้ทำร้ายร่างกายอยู่ตลอดเช่นกัน

เว็บไซต์ข่าวสดอิงลิชรายงานว่า ในวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ที่มวลชนชุลมุนนำตัวชายคนดังกล่าวมานั้น มีผู้มาคอมเม้นต์ระบุว่าเขาทำงานที่บริษัท Thai Steel Cable PCL ในจังหวัดชลบุรี เมื่อมีการโทรศัพท์สอบถามไปยังผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้ความว่า ชายคนดังกล่าวอายุ 19 ปีเคยทำงานที่บริษัทจริง และเมื่อบริษัททราบว่าเขาโพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นฯ เมื่อคืนวันจันทร์ (17 ต.ค.) เมื่อบริษัททราบเรื่องในตอนเช้าวันอังคารก็ได้ไล่ชายคนดังกล่าวออกทันที 
 
“เราเรียกญาติของเขามาที่บริษัทก่อนเกิดการทำร้ายดังกล่าว และบอกให้ญาติสั่งให้เขาเอาชื่อบริษัทออกจากประวัติในเฟซบุ๊ก” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลกล่าว 
 
ข่าวสดอิงลิชยังระบุด้วยว่า ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเปิดเผยว่าเป็นผู้อนุญาตให้ให้ที่อยู่ของชายคนดังกล่าวกับมวลชนซึ่งมาล้อมบริษัทและต้องการพบชายคนนี้ โดยเขาไม่คิดว่าเขาจะถูกลงโทษโดยพลการเช่นนี้ 
 
“ผมให้ข้อมูลเขาไปเพื่อแสดงว่าเราไม่ได้จะซ่อนอะไร แต่มวลชนควรจะให้ตำรวจเป็นผู้จัดการกรณีนี้ พวกเขาไม่ควรจะประชาทัณฑ์ชายคนนั้นแบบนั้น” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลกล่าว 
 
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง ร.ต.อ.สมศักดิ์ ใจแล พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง จ.ชลบุรี กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนชายคนดังกล่าว เพื่อพิจารณาขอศาลออกหมายจับในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.)
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชลธิชา NDM ลงบันทึกประจำวันกรณีถูกโยงสาวเสื้อส้ม หวั่นเกิดความรุนแรง

$
0
0

กรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กโยงชลธิชา NDM กับสาวเสื้อส้ม ชลธิชาเดินทางไปลงบันทึกประจำวัน แจงไม่ใช่ตนเอง ชี้ข้อความ-รูปภาพมีลักษณะปลุกระดม หวั่นเกิดความรุนแรง

18 ต.ค. 2559 กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ผู้กองฟา ณ. เชียงใหม่ โพสต์ภาพของชลธิชา แจ้งเร็ว สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เทียบกับภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้ม โดยมีข้อความประกอบว่า “ช่วยดูกันซิคะ... ตัวเดียวกันหรือเปล่า ?” โดยมีการแชร์ภาพและข้อความดังกล่าวกว่า 700 ครั้ง พร้อมการแสดงความเห็นกว่า 400 ข้อความ โดยจำนวนมากมีลักษณะด่าทอ และผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า เตชะ ทับทอง หนึ่งร้อยตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ใช้รูปชลธิชาเทียบกับผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มในลักษณะเดียวกัน พร้อมมีข้อความประกอบว่า “เดวนะ... อิน้องพับนกกระดาษ ... กับหญิงสติประหลาดชุดส้ม หน้ามึงเหมือนกันเกินไปป่าว!!! มึงเล่นอะไรกันอยู่เหรออิพวกนี้ .... จัญไรไปป่าวครับ พับนกหาประชาธิปไตย แต่มาแต่งส้มเล่นละครนี่น้องเข้าค่ายหา “ประชาธิปตีน” นะครับ คนเดียวกันไหมน้อ???? ช่วยกันดูครับ ปล. ภาพมีคนส่งมาให้ดู ผมเลยถามต่อ”

ทั้งนี้ ภาพของหญิงเสื้อส้มคนดังกล่าวถูกแชร์ภาพในเฟซบุ๊กวานนี้ โดยมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นในเชิงไม่พอใจจำนวนมาก โดยเป็นภาพเธอสวมชุดสีส้มนั่งหน้าโต๊ะลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และภาพเธอพับแขนเสื้อ โดยมีข้อความประกอบ "สติดีป่าว? มาลงนามที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ลำพังเสื้อผ้าพอทน นี่มานั่งแต่งหน้า ทาปาก พับแขนเสื้อ นั่งเป็น 15 นาทีได้ ไม่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้าง @ แตน ลูกสาวกำนัน"

ล่าสุด ชลธิชา แจ้งเร็ว เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว

"รูปภาพและข้อความที่แพร่ออกไปเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความโกรธแค้น เกลียดชัง และพยายามปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งทำลายชื่อเสียงของผู้แจ้ง และขณะนี้ ผู้แจ้งมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้แจ้งและครอบครัว" ชลธิชาระบุในใบบันทึกประจำวันและว่า หากเกิดความรุนแรงขึ้น จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ชลธิชา ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยความที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนนี้ตนเองจึงยังไม่มีข้อมูลมากพอ แต่เห็นว่ามีการขุดข้อมูลส่วนตัวออกมาด้วย จากนี้จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดออกมาก่อนและประเมินดู หากสถานการณ์ร้ายแรงขึ้น ส่วนตัวคงดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยวันนี้จะเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจในท้องที่ของตนด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ผู้กองฟา ณ. เชียงใหม่ ได้โพสต์เพิ่มเติมว่า "!! ขอแก้ข่าว จากบุคคลในภาพนะค่ะ เป็นคนละคนกัน ยืนข้างๆจ่านิวที่แท้จริง เธอคือ นส.ชลธิชา แจ้งเร็ว นศ.กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ส่วนยัยปากแดง ชื่อ นส.จักรี แตะต้อง.....แต่เหมือนเนอะ" ขณะที่ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ เตชะ ทับทอง ได้ลบภาพก่อนหน้าออกพร้อมโพสต์ว่า "มีมิตรท่านหนึ่งยืนยันมาแล้วว่า "สาวชุดส้ม" และ "สาวพับนก" เป็นคนละคนกันนะครับ ขอบคุณมากครับ ที่ให้ความกระจ่าง ยินดีปรับแก้ และช่วยบอกต่อครับ..... ฝากชี้แจงกันตามนี้เลยนะครับ... จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมอะไร แจ้งกันมาครับ"

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images