Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

"ชุมชนพึ่งตนเอง" ทางออกหรือทางตัน

$
0
0

 


ภาพจากชาวบ้านกลุ่ม "ตนรักบ้านเกิด" ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย

ความคิดว่าด้วยการพึ่งตนเอง (self-reliance) ปรากฏในหลายสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะด้านจิตวิทยา และสาขาว่าด้วยการพัฒนา แม้ว่าความคิดนี้จะระบุว่า เป็นการค้นหาศักยภาพความสามารถที่ตนเองมีอยู่เพื่อนำออกมาใช้ ซึ่งจะนำไปสู่สู่ความภาคภูมิใจ ก่อให้เกิดพลังความสามารถ ที่จะกำหนดวิถีชีวิต เส้นทางเดินได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้นในด้านการพัฒนาแล้ว การพึ่งตนเองยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาร่วมกับหน่วยงานภายนอกด้วย

แต่ในทางปฏิบัติการพึ่งตนเองได้กลายเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐ หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงต่อการพัฒนา ลดบทบาทการสนับสนุนชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ลง ในหลายประเทศแนวคิดเรื่องการพึ่งตนเอง เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการตัดลดงบประมาณด้านสวัสดิการทางสังคมจากภาครัฐ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จัดหาเงินกู้ในรูปของสถาบันการเงินขนาดเล็กพร้อมไปกับการส่งเสริมให้เกิดรายได้จากภาคการเกษตร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยรัฐทำหน้าที่ให้ความรู้ จัดฝึกอบรม และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อให้เอกชนเข้ามาบุกเบิกลงทุนและช่วงชิงทรัพยากรเพื่อนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

การส่งเสริมให้เกิดการพึ่งตนเองนั้นมีวิธีคิดที่สำคัญอยู่ว่า ชาวบ้าน พึ่งตนเองไม่ได้ เป็นภาระที่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก ดังนั้นในโลกของทุนนิยมเสรีจึงต้องทำให้ชาวบ้านเหล่านี้สามารถพึ่งตนเองให้ได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐลง อย่างไรก็ตามในยุคสมัยของการพยายามรวมรัฐ-ชาติ ของไทย ที่อำนาจรัฐยังแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปไม่ถึงในชนบท ประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลดำรงชีวิตด้วยการพึ่งตนเองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องให้บุคคลภายนอกมาบอกให้เขาเหล่านั้นต้องพึ่งตนเอง บทความเรื่อง ครอง จันดาวงศ์ กับการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของชาวอีสาน เป็นตัวอย่างอันดีของการพึ่งตนเอง ของชาวอีสานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากข้าราชการและรัฐบาล

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ชาวนาอีสานจะลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อปกป้อง และเรียกร้องความเป็นธรรม ชาวบ้านเหล่านี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการเข้าร่วมช่วยเหลือขบวนการเสรีไทยที่เคลื่อนไหวในบริเวณเทือกเขาภูพานด้วย บทความอีกเรื่องที่ทำให้เห็นว่า การพึ่งตนเองเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิดคือ บทความเรื่อง คนกลุ่มใหม่ในชนบทกับการเมืองท้องถิ่น ที่แสดงให้เห็นถึงการเกิดเครือข่ายทางการเมืองที่เปลี่ยนโฉมหน้าคนชนบทจากผู้ที่เคยถูกกำหนดบทบาททางการเมืองให้เป็นเพียงผู้สนับสนุนนักการเมือง ได้กลายเป็น “ผู้เล่น” และกลายเป็นนักการเมืองเอง ทำให้การเมืองส่วนกลางลดบทบาทด้านการพัฒนาลง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้องรอการจัดสรรงบประมาณจากส่วนกลางอีกต่อไป

สิ่งสำคัญอีกประการที่พบในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้คือ การพึ่งตนเองของชาวบ้าน ชาวชนบทนั้น แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากรัฐผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ เลย แต่การพึ่งตนเองเหล่านั้นเกิดจากการสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ และทักษะการดำรงชีวิตในถิ่นอาศัย รัฐ ดังเช่น การใช้ชีวิตในฤดูน้ำหลาก ของชาวบ้านตาลเอน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากบทความเรื่อง นิเวศภูมิปัญญากับการปรับตัวในช่วงฤดูน้ำหลากของชาวบ้านตาลเอนฯ หรือบทความเรื่องพลวัตรในสิทธิการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนชาวลัวะอพยพฯ นอกจากนั้นบทความเรื่อง ชุมชนพึ่งตนเอง : แนวทางแห่งวิถีชีวิตอิสระของคนพิการ และความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุในศูนย์บริการผู้สูงอายุฯ ได้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพึ่งตนเองได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องให้บุคคลภายนอกมาบอกให้ต้องพึ่งตนเอง

การพึ่งตนเองในงานพัฒนาจึงเป็นกลไกกำกับความสัมพันธ์ (dispositif) ซึ่งเป็นเครื่องมือของอำนาจ เพื่อผลักภาระการจัดสวัสดิการทางสังคม และการสร้างหลักประกันการดำรงชีพให้กับประชาชน กลายเป็นเรื่องของธุรกิจเอกชนที่ประชาชนมีภาระต้องจ่าย หรือมิเช่นนั้นก็ให้ประชาชนรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือกันเอง โดยรัฐหันไปสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในกิจการดังกล่าวแทน การพึ่งตนเองจึงอาจเป็นทางออกสำหรับการพัฒนาโดยองค์กรภาครัฐที่ไม่สามารถจะเข้ามาดำเนินการพัฒนา ชาวบ้าน ชาวชนบท ที่รู้เท่าทันและเปลี่ยนแปลงจนองค์กรการพัฒนาทั้งหลายเหล่านี้ตามไม่ทัน โดยหันไปจับมือกับภาคธุรกิจเพื่อให้เข้ามายึดฉวยทรัพยากรในชนบทแทน เพื่อทำให้ทรัพยากรกลายเป็นสินค้า สะสมทุนเร่งการเติบโตของรัฐ ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า การเข้ามาของการลงทุนจะนำพาชาวบ้านไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน

ในขณะที่อีกด้านหนึ่งการพึ่งตนเองของชาวบ้านก็คือ การลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐ และการเข้ามาของนายทุนส่วนกลาง ซึ่งการพึ่งตนเองแบบนี้ ไม่เคยถูกกล่าวถึงในสาขาวิชาว่าด้วยการพัฒนาที่สอนกันอยู่ในสถาบันการศึกษา ดังเช่นภาพปกวารสารฉบับนี้ ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จังหวัดเลย ชู 3 นิ้ว กลางทุ่งนา ให้กำลังใจนักศึกษากลุ่ม 'ดาวดิน' ด้วยห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตของลูกๆ นักศึกษา ปฏิบัติการให้กำลังใจกลางทุ่งนาในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ท่ามกลางสถานการณ์การคุกคามจากบริษัทเหมืองแร่ทองคำ และฝ่ายความมั่นคง นับเป็นความกล้าหาญ และสะท้อนถึงการพึ่งตนเองอย่างถึงที่สุดโดยไม่มีหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานใดยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
 

 

สรุปบทความตีพิมพ์วารสาร สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร

 ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2557)

ชื่อเรื่อง

ผู้เขียนบทความ

ครอง จันดาวงศ์กับการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของชาวนาอีสาน

 

สมชัย ภัทรธนานันท์

คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

 

การตระหนักรู้ในตนเอง การมองโลกในแง่ดี ความพึงพอใจในชีวิตและ    ความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุในศูนย์บริการผู้สูงอายุดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

กนิษฐา ลิ้มทรัพย์

นิสิตปริญญาโทจิตวิทยาชุมชน คณะสังคมศาสตร์

 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

พลวัตในสิทธิการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนชาวลัวะอพยพ กรณีศึกษา บ้านน้ำมีด ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน

จิรัฐติกาล  ไชยา

นักศึกษาปริญญาโท

ชนบทศึกษาและการพัฒนา มธ.

ชุมชนพึ่งตนเอง : แนวทางแห่งวิถีชีวิตอิสระของคนพิการ

Self-Reliance Community:

The Way for Independent Living of Persons with Disabilities

 

อ.ดร.วรอนงค์ โกวิทเสถียรชัย อาจารย์ประจำ ภาควิชาฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล

 

คนกลุ่มใหม่ในชนบทกับการเมืองท้องถิ่น

 

 

ชัยพงษ์  สำเนียง

สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

 

นิเวศภูมิปัญญาการปรับตัวช่วงฤดูน้ำหลากในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

Ecological Wisdoms and an adaptation of local people during flooding in Phranakhon Si Ayutthaya

 

คมลักษณ์  ไชยยะ

อาจารย์ประจำสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

บทวิจารณ์หนังสือ

พัฒนา กิติอาษา, สู่วิถีอีสานใหม่ (Isan becoming : agrarian change the sense of mobile community in Northeastern Thailand)

อิทธิพล โคตะมี

นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลไม่ให้ประกันตัว 2 ผู้ต้องหาคดีเกาะเต่า แม้ทูตพม่ายื่นประกัน

$
0
0

ทูตพม่ายื่นขอประกันตัว 2 ผู้ต้องหาคดีเกาะเต่า ชี้ถูกฝากขังไว้เป็นเวลานานแล้ว ขณะที่ศาลยังคงไม่ให้ประกัน ระบุความผิดร้ายแรงและเกรงจะหลบหนี

จากกรณีเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมาเกิดเหตุสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษถูกทำร้ายและเสียชีวิตอยู่ริมชายหาดเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาในวันที่ 2 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นแรงงานชาวพม่า พร้อมทั้งฝากขัง 2 ผู้ต้องหาในเวลาต่อมา

ล่าสุด วันนี้(26 พ.ย.) บีบีซีไทย - BBC Thaiรายงานว่า สถานทูตพม่าประจำประเทศไทยได้มอบให้เลขานุการโทของสถานทูตพร้อมคณะทนายความพม่า และเจ้าหน้าที่ของสภาทนายความ เดินทางไปที่ศาลจังหวัดเกาะสมุย เพื่อขอยื่นประกันตัวนายซอ วิน ทัน และ นายซอ ลิน โดยให้เหตุผลว่าคนทั้งสองถูกฝากขังไว้เป็นเวลานานแล้ว

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความบอกว่า คนทั้งสองถูกขังมา 5 ผลัด รวมเวลาที่ถูกฝากขังนับเดือนแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีประจักษ์พยานหรือหลักฐานที่ชัดเจนหรือมีผู้เห็นว่าคนทั้งสองกระทำความผิด

นอกจากนี้คนทั้งสองก็ให้การปฏิเสธว่าดีเอ็นเอที่ตรวจพบก็ไม่ใช่ของตน ดังนั้นเพื่อให้ได้มีโอกาสออกมาแสวงหาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างถูกคุมขังก่อนส่งฟ้องศาล ทางสถานทูตพม่าจึงยื่นขอประกันตัว โดยสถานทูตพม่ายินดีเป็นผู้รับประกัน และจะให้คนทั้งสองมาอยู่ในการดูแลและพักอาศัยในบริเวณสถานทูต ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้าน

อย่างไรก็ดี ศาลปฏิเสธคำขอดังกล่าว โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเกรงวาจะหลบหนี จึงไม่อนุญาต

นายสุรพงษ์ แสดงความแปลกใจกับการตัดสินดังกล่าว และเห็นว่าผู้ที่ขอประกันตัวคือสถานทูตพม่า ดำเนินการในนามของรัฐบาลพม่า ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติและไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย แต่ศาลก็ยังไม่อนุญาต ทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ

นายสุรพงษ์กล่าวด้วยว่า หากศาลจะให้ฝากขังคนทั้งสองอีกต่อไปก็คงจะต้องมีเหตุผลมากกว่าเดิม และหากจะมีการส่งฟ้องก็ควรดำเนินการ สำหรับสภาทนายความและสถานทูตพม่ากำลังพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำสั่งศาลต่อไปอย่างไรหรือไม่ แต่เห็นว่าศาลคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โจชัว หว่อง แกนนำ นศ. ในฮ่องกง ถูกจับกุมขณะตำรวจสลายการชุมนุม

$
0
0

เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างคำสั่งศาลเดินหน้าเคลียร์พื้นที่ชุมนุมย่านมงก๊กจับกุมแกนนำนักศึกษา โจชัว หว่อง และเลสเตอร์ เฉิน และประชาชนอีก 116 คน หลังจากเกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ โดยผู้ชุมนุมในย่านมงก๊กจำนวนหนึ่งยังแสดงเขตจำนงค์ว่าจะปักหลักชุมนุมต่อไปแม้ว่าจะถูกสลายการชุมนุม


26 พ.ย. 2557 เจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงจับกุมแกนนำนักศึกษา 2 คน หลังจากพยายามเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบในฮ่องกงโดยมีการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเกิดขึ้น

กลุ่มสหพันธ์นักศึกษาฮ่องกงและสำนักข่าวเซาธ์ไชน่ามอร์นิงโพสต์เปิดเผยว่าแกนนำนักศึกษาที่ถูกจับกุม 2 คน คือ โจชัว หว่อง และเลสเตอร์ เฉิน หลังจากในช่วงกลางคืนก่อนหน้านี้มีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจในย่านมงก๊ก นอกจากนี้ยังมีประชาชนอีก 116 คนถูกจับกุมในข้อหาชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย ทำร้ายเจ้าพนักงานหรือขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพยายามใช้สเปรย์พริกไทยในการสลายการชุมนุมแต่ผู้ชุมนุมจำนวนมากก็ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

ก่อนหน้านี้โจชัว หว่อง เคยถูกจับกุมมาแล้วครั้งหนึ่งในที่ชุมนุมที่ย่านแอดไมรัลตี้ในช่วงเริ่มต้นการชุมนุมไม่นาน แต่การจับกุมในครั้งนั้นทำให้เกิดผลสะท้อนทำให้มีผู้คนหลายพันคนออกมาร่วมชุมนุมบนท้องถนนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หลังจากนั้นศาลได้ตัดสินให้ตำรวจปล่อยตัวเขาเนื่องจากมีการกักตัวหว่องไว้นานโดยไม่มีเหตุผล

ในการจับกุมครั้งล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพหว่องกำลังถูกตำรวจ 2 นายควบคุมตัวเขาออกไปผ่านทางเฟซบุ๊คของกลุ่มสกอลลารริซึ่ม ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมประท้วง

เดอะ การ์เดียนระบุว่าการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้วโดยรวมเป็นไปอย่างสงบ แต่หลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้เปิดพื้นที่บนในที่ชุมนุมย่านมงก๊กก็มีการวางกำลังตำรวจ 4,000 นาย เพื่อทำตามคำสั่งศาลและมีกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายเข้าไปก่อกวนผู้ชุมนุมซึ่งมีบางส่วนเป้นคนที่เกี่ยวข้องกับแก็งค์อาชญากรรมและตำรวจ

เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าในการจับกุมครั้งล่าสุดนี้มีคนหนึ่งถูกจับในข้อหาพกพาอาวุธเพื่อป้องกันตัวเช่นขวาน ค้อน ชะแลง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 9 นายได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้

ในช่วงคืนวันอังคารที่ผ่านมามีประชาชนเข้าไปร่วมชุมนุมในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นหลายร้อยคนจนกระทั่งในวันพุธมีความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นเพื่อตำรวจเข้ามาดูแลการเปิดทางถนนที่มีการชุมนุมในขณะที่ผู้ชุมนุมซึ่งสวมหมวกกันน็อกและหน้ากากพยายามยืนหยัดชุมนุมต่อไป นอกจากนี้ในช่วงเช้าวันพุธยังมีกลุ่มคนสวมหมวกเบสบอลสีแดงและเสื้อยืดเขียนว่า "I (Heart) HK" (ฉันรักฮ่องกง) พยายามช่วยนำแนวกั้นของผู้ชุนนุมออกหลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศว่าจะใช้คำสั่งศาลเคลียร์พื้นที่ชุมนุมโดยไม่ทราบว่าคนเหล่านี้มาจากกลุ่มใด

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าไปรื้อแนวกั้นเหล็กออกพร้อมทั้งกำจัดสิ่งอื่นๆ ที่พวกเขามองว่ากีดขวางเช่นเต็นท์หรือเครื่องเรือนที่ผู้ชุมนุมนำเข้าไป มีตำรวจหลายร้อยนายเคลื่อนขบวนต่อไปตามท้องถนนอย่างช้าๆ

เจ้าหน้าที่ประกาศในช่วงเช้าสั่งให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และไม่กีดขวางถนน อีกทั้งยังบอกให้สื่อมวลชนดูแลความปลอดภัยของตนเอง ในคำประกาศระบุอีกว่าพวกเขาขอให้ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาไม่เข้าไปปะปนกับ "กลุ่มหัวรุนแรง" และ "ผู้ก่อปัญหา" เพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บหรือถูกยั่งยุให้ก่ออาชญากรรม อย่างไรก็ตามมีสื่อในพื้นที่หลายคนรายงานพวกเขาถูกผลักและปฏิบัติอย่างไม่เป็นมิตรจากตำรวจ

กลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกงไม่พอใจที่ทางการจีนจะเป็นผู้คัดเลือกตัวแทนลงเลือกตั้งผู้ว่าการเขตปกครองฮ่องกงในปี 2560 แทนที่จะเปิดให้มีการรับสมัครผู้แทนทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้มีทางเลือกอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขาปักหลักชุมนุมในย่านต่างๆ 3 แห่งในฮ่องกงตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แต่เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าผู้ชุมนุมจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปลดลง อีกทั้งยังมีความแตกแยกทางความคิดในกลุ่มผู้ชุมนุมเองเนื่องจากกลุ่มที่มีความสุดโต่งคิดว่าพวกตนจะต้องยืนหยัดชุมนุมให้ถึงที่สุด


เรียบเรียงจาก

Hong Kong student leaders arrested as police try to clear protest zone, The Guardian, 26-11-2014
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับ 'บัณฑิต อานียา' ตั้งข้อหา 112 หลังแสดงความเห็นเวทีปฏิรูป

$
0
0

ตร.รวบนักเขียนวัย 73 ปี บัณฑิต อานียา แจ้งความ 112  หลังแสดงความเห็นเวทีปฏิรูปจัดโดยพรรคนวัตกรรม ทนายเผยเจ้าตัวปฏิเสธข้อกล่าวหา ยันแสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ ล่าสุด ตร.เตรียมค้นบ้านเพิ่ม

27 พ.ย. 2557 เวลา 12.00 น. ภาวิณี ชุมศรี ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ว่า นายบัณฑิต อานียา นักเขียน วัย 73 ปี ถูกคุมตัวมายังสน.สุทธิสารตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ และทำการสอบปากคำในเช้าวันนี้ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 112 กฎหมายอาญา

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากบัณฑิตได้ไปแสดงความคิดเห็นในเวทีเสวนาที่จัดขึ้นโดยพรรคนวัตกรรม ซึ่งเป็นพรรคตั้งใหม่ยังไม่ได้จดทะเบียน โดยการเสวนานี้เป็นการระดมความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปในประเด็นต่างๆ เช่น กกต. ที่มา ส.ส. สถาบันกษัตริย์ ส่ง สปช. โดยขณะที่บัณฑิตกำลังแสดงความเห็นยังไม่ทันจบประโยคแรกก็ถูกควบคุมตัว

ภาวิณีกล่าวว่า บัณฑิตปฏิเสธข้อกล่าวหาในชั้นสอบสวน โดยให้เหตุผลว่า เป็นการแสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ และพูดถึงสภาพความเป็นจริงในสังคมไทยที่เกิดความแตกแยกเป็นสองฝ่ายชัดเจนรวมถึงแนวคิดสถาบันกษัตริย์นิยมด้วย

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้คุมตัวบัณฑิตเพื่อไปค้นบ้านเพิ่มเติมในช่วงบ่ายนี้

สำหรับบัณฑิต เจ้าของฉายา 'กึ่งบ้า กึ่งอัจฉริยะ'  นั้น เคยถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตาม มาตรา 112 มาแล้ว โดยความผิด 2 กระทง เหตุเกิดเมื่อปี 46 จากกรณีที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.(ขณะนั้น) แจ้งความกล่าวหาเขาว่าพูดแลกเปลี่ยนในงานเสวนาและขายเอกสารที่จัดทำขึ้นเองเข้าข่ายหมิ่นฯ โดยเอกสารดังกล่าวมี 2 เรื่อง ได้แก่ สรรนิพนธ์เพื่อชาติ (ฉบับตัวอย่าง) และ วรสุนทรพจน์ (ฉบับร่าง) เนื่องในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

โดยบัณฑิต เคยถูกคุมขังรวม 98 วันในระหว่างพิจารณาคดีก่อนจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท วันที่ 23 มี.ค.49 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 4 ปี แต่เห็นว่าจำเลยอายุมากและป่วยด้วยโรคจิตเภทจึงให้รอลงอาญา 3 ปีโดยให้โอกาสบำบัดแล้วรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.50 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือนไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าจำเลยรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้ทั้งหมด ในชั้นนี้จำเลยได้รับการประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท

และเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่สั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาจำคุก 4 ปี รอลงอาญา 3 ปี และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี 

นอกจากวัย 73 แล้ว บัณฑิตยังมีโรคประจำตัว คือ ต่อมลูกหมากโต เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ปกติมีอาการปวดมาก โรคภูมิแพ้ และยังพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ กดทับท่อไต  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : รายงาน: เปิดชีวิต-คำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ คดี ‘บัณฑิต อานียา”)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุ กมธ.ชง กมธ.ยกร่างฯ ‘นิรโทษกรรมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 48’

$
0
0

‘เอนก’ อนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ เสนอคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรมคู่ขัดแย้งที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่ปี 48 เว้นความผิดที่ถึงแก่ความตายและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

27 พ.ย.2557 หลังจากเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 10 ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง หมวด 2 การสร้างความปรองดอง ในคณะกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน โดยมี อนุ กมธ. ได้อภิปรายเสนอแนะประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมขึ้นมา

โดยนายบุญเลิศ คชายุทธเดช อนุ กมธ. กล่าวว่า น่าจะมีการวางกลยุทธ์รับฟังเสียงสะท้อนของพรรคการเมือง กลุ่มเคลื่อนไหว แนวร่วมประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการระบายความรู้สึก แล้วจะได้นำแนวทางดังกล่าวไปสู่การแก้ไขและทำให้เห็นแนวทางไปสู่การปฏิรูปสร้างความปรองดองได้ง่ายขึ้น ตลอดจนการสร้างแนวทางไปสู่ความปรองดอง คือ 1.ให้อภัยกันทุกฝ่าย โดยอาจจะมีการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมา แต่ไม่ควรเป็นแบบเหมาเข่งที่ทำให้สะดุดลงกลางคัน 2.ถึงเวลาแล้วที่ควรให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองและพรรคการเมืองหันหน้าคุยกันแบบไม่มีข้ออ้างใด ๆ และ 3.ดำเนินตามแนวทางของ อนุ กมธ.ที่เสนอให้มีการตั้งคณะกมธ.เสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติเพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์

ซึ่งในวันนั้น นายเอนก กล่าวต่อที่ประชุมด้วยว่า น่าจะมีข้อเสนอแนวทางนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่ โดยอาจให้เริ่มตั้งแต่ปี 2548 – ปี 2557 และอาจคลอบคลุมแกนนำในการเคลื่อนไหว และทหารดีหรือไม่ แต่อาจจะยกเว้นกรณีที่ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิต คดีละเมิดและคดีหมิ่นฯเพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์ที่แท้จริง

ล่าสุดวานนี้(26 พ.ย.) นายเอนก ยังเสนอต่อ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้นิรโทษกรรมคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเดินขบวนจนนำไปสู่จลาจล ความวุ่นวายทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่โดยจะนิรโทษกรรมนับตั้งแต่ปี 2548 จนถึงก่อนเหตุการณ์ยึดอำนาจการปกครองปี 2557 โดยจะไม่นิรโทษกรรมกรณีผู้ที่กระทำความผิดที่ถึงแก่ความตาย รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่วนจะออกเป็น พ.ร.บ. หรือบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญจะต้องให้ กมธ.ยกร่างฯได้พิจารณา ซึ่งภารกิจของอนุ กมธ. ได้เสร็จสิ้นแล้ว

เมื่อถามว่า ข้อเสนอให้นิรโทษกรรมเหตุการณ์ชุมนุม เชื่อว่า จะไม่เป็นชนวนให้นำไปสู่การต่อต้านใช่หรือไม่ นายเอนก กล่าวว่า “ผมถึงบอกแล้วแต่ 2 ฝ่าย แล้วแต่ประชาชนจะพิจารณา แต่อยากวิงวอนให้เราเข้าสู่โหมดปรองดอง โดยยอมรับความคิดที่หลากหลาย เพราะบ้านเมืองถ้ายังแตกหักอยู่ก็จะเสียหายอย่างหนัก”

เรียบเรียงจาก ผู้จัดการออนไลน์, เดลินิวส์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมว.ศึกษาระบุนักศึกษาชูสามนิ้วคงห้ามไม่ได้-แต่จะดูแลให้แสดงออกเหมาะสม

$
0
0

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย กล่าวว่าจะดูแลนักศึกษาให้แสดงออกในที่เหมาะสม ไม่รับปากงานอาชีวศึกษา 28 พ.ย. นี้จะมีคนชูสามนิ้วหรือไม่ เพราะคนร่วมงานมีมาก-ต่างจิตต่างใจ ด้านปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เชิญนักศึกษาร่วมแสดงความเห็นเวทีปฏิรูปของรัฐบาล เตือนอย่ายึดติดรัฐประหาร ขอให้มองปลายทางที่ดี

พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. และ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ (ที่มา: ข่าวสำนักงาน รมว.ศึกษาธิการ/สถาพร ถาวรสุข/แฟ้มภาพ)

27 พ.ย. 2557 - เว็บไซต์ข่าวสำนักงาน รมว.ศึกษาธิการเมื่อวันที่ 25 พ.ย. รายงานว่า พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายสังคมจิตวิทยา และ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการแสดงออกของนักศึกษาด้วยการชูสามนิ้วว่า กระทรวงศึกษาดูแลพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษาให้เป็นไปในทางที่เหมาะสมอยู่แล้ว แต่คงจะห้ามไม่ได้ เพียงแต่ดูแลให้มีการแสดงออกในสถานที่ที่เหมาะสม

สำหรับการจัดงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทยที่นายกรัฐมนตรีจะมาร่วมงานในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 นั้น ทางผู้จัดงานพยายามเตรียมการอย่างเต็มที่ ส่วนจะเกิดเหตุการณ์อีกหรือไม่ ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดความไม่เหมาะสม เพราะภายในงานมีคนจำนวนมากและต่างจิตต่างใจ ศธ.ทำได้เพียงดูแลภายนอกไม่ให้แสดงออกในทางที่ไม่เหมาะสม และไม่ให้แสดงอะไรที่เป็นการฝ่าฝืนในช่วงเวลานี้เท่านั้นเอง  ทั้งนี้เชื่อว่าทุกมหาวิทยาลัยก็รับทราบและกำชับนักศึกษาอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่นักเรียนชั้น ม.6 รายหนึ่งจากสนามสอบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) และได้ถ่ายรูปข้อสอบและกระดาษคำตอบจากห้องสอบ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 เพื่อโพสต์แชร์ผ่าน INSTAGRAM โดยระบุชื่อและนามสกุลจริง รวมถึงเลขบัตรประจำตัวประชาชนนั้น พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องอุบัติเหตุ เป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็ก ซึ่งไม่มีเจตนาอะไรนอกเหนือไปจากนี้ แต่ในขณะเดียวกันอาจเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ควบคุมห้องสอบ ที่ไม่รอบคอบปล่อยให้เด็กนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปในห้องสอบได้ ซึ่งหน่วยงานจะสอบสวนถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และมีการว่ากล่าวตักเตือนเจ้าหน้าที่ควบคุมห้องสอบเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ในส่วนของมาตรการการคุมสอบ โดยปกติก็เข้มงวดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีจำนวนเด็กเข้าสอบเป็นแสนคน และมีศูนย์สอบ 19 แห่งทั่วประเทศ อาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ซึ่งครั้งนี้ก็ผิดเฉพาะห้องสอบเดียวและเป็นเด็กเพียงรายเดียว ก็ถือว่ายอมรับได้ แต่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เพราะจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กเอง

 

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเตือนนักศึกษาอย่ายึดติดรัฐประหาร ขอให้มองปลายทาง

ขณะเดียวกันล่าสุด มติชนออนไลน์รายงานวันนี้ (27 พ.ย.) ว่า สุทธศรี วงศ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่ากรณีที่รัฐบาลจัดเวทีรับฟังความเห็นในการปฏิรูปการเมืองของนักศึกษาว่า ขอให้นักศึกษาทุกคนเข้าร่วมในเวทีรับฟังความเห็นที่รัฐบาลจัดขึ้น ถือว่านักศึกษาทุกคนมีสิทธิ์ โดยกระทรวงศึกษาจะให้ความเป็นอิสระของแต่ละมหาวิทยาลัย ในการดำเนินการ หรือ สถาบันการศึกษาต่างๆ จะส่งตัวแทนนักศึกษาไปเข้าร่วมก็ได้

ยืนยันว่ากระทรวงศึกษาไม่ได้บังคับ และฝากไปยังนักศึกษาที่เคลื่อนไหวและแสดงความเห็นทางการเมืองขณะนี้ ว่า ขอให้นึกถึงความเหมาะสมและกาละเทศะ ในการแสดงออก เช่นกรณีการแสดงออกชู 3 นิ้ว ต่อหน้า นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ควรกระทำ

ทั้งนี้การที่นักศึกษาหัวรุนแรง เรียกร้อง และอ้างหลักการประชาธิปไตย และ สามารถแสดงออกทางความคิดได้ แต่ขอให้นักศึกษาทุกคน คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งสถานการณ์การเมืองจากการรัฐประหารในขณะนี้อาจไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดของประเทศ แต่ขอให้อย่ายึดติดกับกระบวนการที่มา และมองถึงจุดประสงค์และปลายทางที่ดีของสังคม ว่าจะเป็นอย่างไรดีกว่า

ทั้งนี้ในส่วนผู้กำลังคิดจะแสดงออกทางการเมือง ก็ขอให้คำนึง ว่าทำเพื่อตนเอง หรือ ทำเพื่อส่วนรวมกันแน่ ทั้งนี้เชื่อว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่การเอาความคิดของนักศึกษาไปแทนความคิดของคนอื่น แต่ให้นำความคิดของเราให้เข้ากับความคิดของคนอื่น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบใบปลิวต้านเผด็จการ-ติดที่ มรภ.เชียงใหม่

$
0
0

มีผู้นำใบปลิวเรียกร้องให้นักศึกษาแสดงจุดยืนปกป้องประชาธิปไตย-ต่อต้านเผด็จการ ติดหลายจุดในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

27 พ.ย.2557 – ที่ จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ มีผู้พบเห็นใบปลิวที่มีข้อความต่อต้านเผด็จการ และเรียกร้องให้นักศึกษาแสดงจุดยืนปกป้องประชาธิปไตย ติดอยู่ในบริเวณต่างๆ หลายจุดภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (มรภ.เชียงใหม่) โดยในใบปลิวระบุว่ากลุ่มที่นำมาติดคือ “สมัชชาสิทธิเสรีภาพนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย ราชภัฎเชียงใหม่”

สำหรับจุดที่มีผู้พบใบปลิวดังกล่าวติดอยู่ ได้แก่ บริเวณโรงอาหารของ มรภ.เชียงใหม่ ป้ายประชาสัมพันธ์หลายจุด โต๊ะม้านั่งในมหาวิทยาลัย และอาคารเรียนหลายแห่ง รวมแล้วติดอยู่มากกว่า 100 แผ่น มีนักศึกษาให้ความสนใจหยุดดูใบปลิวดังกล่าวค่อนข้างมาก

ใบปลิวดังกล่าวมีข้อความต่างๆ อาทิเช่น “อาจารย์ฉันหาย ไร้ซึ่งประชาธิปไตย” “เผด็จการ หยุดคุกคามนักศึกษา” “ถึงยุคทมิฬมารจะครองเมืองด้วยควันปืน แต่คนย่อมเป็นคน” “เป็นนักศึกษาปัญญาชน ต้องมีอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย” “จุดยืนมหาลัยอยู่ที่...ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ” “นักศึกษายอมรับอำนาจเผด็จการแล้วหรือ” เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ใบปลิวบางส่วนซึ่งติดที่สำนักงานอธิการบดี มรภ.เชียงใหม่ ถูกเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยปลดออกแล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ-มจธ. หนุน ‘ประยุทธ์’ เปิดเวทีให้นักศึกษาแสดงความเห็นปฏิรูปประเทศ

$
0
0

นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ-ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเปิดเวทีให้นักศึกษาแสดงความคิดความเห็นปฏิรูปประเทศ ชี้การชู 3 นิ้ว-โปรยใบปลิว เพราะถูกปิดกั้น ไม่มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น

หลังจาก เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องแนวทางเปิดเวทีให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในการปฏิรูปประเทศ(อ่านรายละเอียด)

การแถลงข่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรีโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

ล่าสุดวันนี้(27 พ.ย.) มติชนออนไลน์รายงาน ความคิดเห็นของนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ นายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า นายปิยะฉัตร นิกรพงษ์สิน นิสิตชั้นปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ เปิดเผยว่า ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยที่นายกฯ เปิดพื้นที่ให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ แต่ไม่อยากให้จำกัดเฉพาะนิสิตนักศึกษา อยากให้เปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิรูปประเทศ เพราะคนแต่ละช่วงวัยก็จะมีประสบการณ์ต่างกัน และมักจะมีข้อเสนอที่เป็นที่ต้องการของตนเอง ดังนั้น หากเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วน หรือทุกคนมีพื้นที่แสดงความคิดเห็น มีพื้นที่แสดงออก ก็เชื่อว่าเราจะได้รับความคิดเห็นที่แตกต่าง สามารถนำไปพัฒนาประเทศได้ตรงเป้าหมาย

ขณะที่ น.ส.ธรภรณ์ ลิ้มตระกูล นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ ในฐานะนายกองค์การนักศึกษา มจธ. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาการที่เพื่อนๆ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยที่ออกมาเคลื่อนไหว หรือแสดงออกทางการเมือง ทั้งการไปชูสัญลักษณ์ 3 นิ้วในที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งโปรยใบปลิว ก็เป็นเพราะเขาเหล่านั้นถูกปิดกั้น และไม่มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น ดังนั้น จึงคิดว่า การเปิดพื้นที่ครั้งนี้ จะเป็นเหมือนเวทีให้นักศึกษา หรือคนกลุ่มอื่นๆ ได้แสดงออกอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องกลัวจะจะถูกจับ หรือควบคุมตัว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มนักศึกษา มจธ.ต้องขอดูรายละเอียดว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องใดได้บ้าง หากมีประเด็นที่เข้าไปช่วยแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ส่วนร่วมได้ก็ยินดี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

96:82 สนช. ไม่รับคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานจาก ‘นิคม’

$
0
0

ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติ 96:82 ไม่รับคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานจากอดีตประวุฒิสภา กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรธน. ที่มา ส.ว. และกำนดวันแถลงเปิดคดี 8 ม.ค. 2558

ที่มาภาพ :ข่าวรัฐสภา

27 พ.ย. 2557 -  ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้มีการพิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน กรณีพยายามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550 เรื่องที่มาของสภาชิกวุฒสภา โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ได้ขอใช้สิทธิ์ในการยื่นหลักฐานวีดีทัศน์บันทึกการประชุมร่วมกันของรัฐสภาใน การพิจารณาร่าง รธน.แก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวจำนวน 2 แผ่น ความยาวประมาณ 4 ชั่วโมง ต่อที่ประชุม สนช. เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาตามสำนวนของคณะกรรมป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช,) โดยนิคม ได้ชี้แจงว่า ได้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมดังกล่าวตามระเบียบข้อบังคับการประชุม และเชื่อว่าหลักฐานเพิ่มเติมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี

ด้านนายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้กล่าวหา ได้กล่าวว่า ตามที่อดีตประธานวุฒิสภาได้ขอยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้น ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้ก่อนพิจารณาข้อ กล่าวหาแล้ว เป็นเพียงการรวบรวมเนื้อหาบันทึกการประชุมฯ ให้เห็นแต่ละส่วนประกอบคำชี้แจงให้กระชับขึ้นเท่านั้น จึงไม่ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ ทั้งนี้ยืนยันว่า ป.ป.ช.ดำเนินการพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยความรอบคอบ เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับในกระบวนการยุติธรรม พร้อมขอขอบคุณอดีตประธานวุฒิสภาที่ให้ความร่วมมือ ป.ป.ช. ทั้งการรับฟังข้อกล่าวหาและการเข้าชี้แจงอย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ในฐานะที่ได้มอบหมายให้ทำหน้าที่ตรวจสอบดังกล่าวก็ต้องทำหน้าที่อย่าง เที่ยงธรรม และดีที่สุด

ภายหลังการชี้แจงที่ประชุม สนช.มีมติ 96:82เสียง งดออกเสียง 14 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 192 คน ไม่รับคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานจากอดีตประธานวุฒิสภา เนื่องจากเป็นหลักฐานที่อยู่ในการพิจารณาคดีก่อนหน้านี้อยู่แล้ว

อีกทั้งที่ประชุมสนช. มีมติกำหนดวันแถลงเปิดคดี กรณีที่ ป.ป.ช. ส่งสำนวนถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ฐานจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ กรณีพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมปี 2550 ประเด็นที่มา ส.ว. ตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557 ข้อ 154 ในวันพฤหัสบดีที่ 8 ม.ค. 2558 เวลา 10.00 น.

 

เรียบเรียงจาก : ข่าวรัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลี้ยงอาหารคนไร้บ้าน-ในโอกาส 45 ปีวันเกิดไม้หนึ่ง ก.กุนที

$
0
0

มูลนิธิอิสรชนร่วมจัดเลี้ยงอาหารผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในโอกาสครบรอบวันเกิด 45 ปี ไม้หนึ่ง ก.กุนที ผู้ล่วงลับ โดยมี จนท.นอกเครื่องแบบ มาร่วมสังเกตการ

27 พ.ย. 2557 - เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) ที่ตรอกสาเก ด้านข้างโรงแรมรัตน์โกสินทร์ ได้มีการจัดเลี้ยงอาหาร เพื่อนไร้บ้าน เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด 45 ปี "ไม้หนึ่ง ก. กุนที" หรือนายกมล ดวงผาสุก ผู้ล่วงลับ

โดยมีมูลนิธิอิสรชนเป็นผู้ประสานงานจัดอาหาร ก๋วยเตี๋ยวและไอศกรีมมาจัดเลี้ยง มีผู้มารอรับจนอาหารที่ได้จัดเตรียมมากว่าสองร้อยชุดหมดลง ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจนอกเครืองแบบมาสังเกตการอยู่รอบๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แพทย์ชาวกานาตั้งข้อสงสัยกรณีการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อคนไข้ 'อีโบลา'

$
0
0

คเวย์ ควอร์เตย์ แพทย์จากประเทศกานาที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ระบุในบทความถึงหลายกรณีที่คนไข้อีโบลาจำนวนหนึ่งกลับได้รับการรักษาที่ดีและทันท่วงทีกว่าคนไข้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนเชื้อสายแอฟริกัน ซึ่งอาจจะสะท้อน 'การเลือกปฏิบัติ' ที่ขัดหลักจรรยาบรรณทางการแพทย์

27 พ.ย. 2557 เว็บไซต์ Foreign Policy In Focus เผยแพร่บทความเรื่องการรักษาโรคอีโบลาโดยตั้งคำถามถึงกรณีคนที่ติดเชื้อไวรัสและได้รับการรักษาว่ามีการเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติหรือสีผิวอยู่ด้วยหรือไม่

คเวย์ ควอร์เตย์ แพทย์จากประเทศกานาที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เขียนถึงกรณีที่ผู้ติดเชื้ออีโบลาส่วนหนึ่ง ได้แก่คนทำงานด้านสาธารณสุขชาวอเมริกันคือ แนนซี ไรท์โบล, เคนท์ แบรนท์ลี, เครก สเปนเซอร์ และริค ซาครา รวมถึงช่างภาพข่าวเอ็นบีซี อะโชกา มุปโก ได้รับการรักษาอย่างดีในระบบการพยาบาลของสหรัฐฯ และสามารถรอดชีวิตจากโรคได้

ควอร์เตย์ระบุว่าพวกเขาเหล่านี้ได้รับการวินิจฉัยโรคหลังจากติดเชื้อไม่นาน มีการลำเลียงพวกเขาไปที่ศูนย์แยกตัวผู้ป่วยพิเศษของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว และในบางกรณีมีการให้เซรุ่มระยะฟื้นโรค (convalescent serum) และยารักษาซีแมป (ZMapp) ซึ่งยังอยู่ในขั้นทดลอง

แต่กับคนไข้ที่มีชื่อเสียงบางรายกลับได้รับการปฏิบัติต่างกันออกไป เช่น มาติน ซาเลีย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเซียร์ราลีโอนซึ่งเป็นผู้อาศัยถาวรในรัฐแมรีแลนด์ ซาเลียเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็จริงแต่เนื่องจากการขาดแคลนแพทย์ในประเทศเซียร์ราลีโอนทำให้เขาเป็นแพทย์ที่ปฏิบัติงานเต็มเวลาคนเดียวในโรงพยาบาลด้วย อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่หลายสายงานทั้งการรักษากระดูกไปจนถึงการรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย

แต่ซาเลียเป็นคนที่ศรัทธาในศาสนามาก เขาเชื่อว่าที่เขาถูกเรียกไปทำงานเป็นแพทย์ที่เซียร์ราลีโอนเพราะเขามีหน้าที่ต้องรับใช้ประชาชนของที่นั่นในขณะที่ยังมีการแพร่เชื้ออีโบลาอย่างหนัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำงานในศูนย์รักษาอีโบลาโดยตรงแต่ก็มีโอกาสติดเชื้อได้จากการที่ต้องสัมผัสคนไข้ผ่าตัด

ซาเลียเริ่มป่วยเมื่อต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เขารับการตรวจหาเชื้ออีโบลาในตอนแรกผลออกมาเป็นลบ แต่อีกสามวันถัดมาผลการตรวจหาเชื้อออกมาเป็นบวก แต่เขาก็ไม่ได้ถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ โดยทันทีเช่นเดียวกับคนผิวขาวคนอื่นที่ติดเชื้อ

ซาเลียได้รับเซรุ่มระยะฟื้นโรคในเซียร์ราลีโอนเป็นเวลา 5 วันก่อนที่จะถูกส่งไปยังศูนย์แยกตัวผู้ป่วยพิเศษของสหรัฐฯ ซึ่งช้ากว่าคนไข้ชาวอเมริกันผิวขาวเกือบหนึ่งสัปดาห์ ควอร์เตย์มองว่าการวินิจฉัยโรคและการรักษาซาเลียที่ล่าช้าเกินไปส่งผลต่อสภาพร่างกายเขาที่ไม่อาจเยียวยาได้ และเมื่อซาเลียถูกส่งตัวไปที่สหรัฐฯ ในวันที่ 15 พ.ย. การติดเชื้อของเขาก็เริ่มรุนแรงจนเขาป่วยเกินกว่าจะให้ความช่วยเหลือได้แล้ว

มีกรณีที่เลวร้ายกว่านั้นคือกรณีของชีค อูมาร์ คาน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาการไข้เลือดออกจากไวรัสชาวเซียร์ราลีโอนผู้ที่ถูกระงับการรักษาโดยสิ้นเชิง คานถูกตรวจพบว่าติดเชื้อในช่วงเดือน ก.ค. และถูกส่งตัวไปรักษาที่ศูนย์รักษาอีโบลาในเซียร์ราลีโอน หลังจากนั้นกลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนและองค์การอนามัยโลกก็ให้การรักษา แต่ก็ลังเลว่าจะให้ยาซีแมปแก่เขาดีไหม จนกระทั่งตัดสินว่าไม่ให้ยาโดยอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ต้องการให้หรือเกรงว่ายาที่ยังอยู่ในขั้นทดลองอาจจะส่งผลให้คานเสียชีวิตได้ หรือระดับของไวรัสอาจจะสูงเกินไปจนยาอาจจะไม่ได้ผล

แต่ควอร์เตย์ไม่เชื่อคำกล่าวอ้างที่ว่ายาซีแมปจะรักษาคานไม่ได้ เพราะหลังจากที่คานเสียชีวิตก็มีการส่งยาซีแมปไปที่ไลบีเรียเพื่อใช้กับไรท์โบลและแบรนท์ลี ผู้ที่ต่อมาฟื้นฟูจากอาการได้อย่างดี แม้จะยังระบุไม่ได้แน่ชัดว่าซีแมปมีผลต่อการฟื้นฟูอาการของพวกเขาแค่ไหน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการสเปนก็กล่าวยืนยันว่าพวกเขาได้รับยาซีแมปสำหรับคนไข้รายที่ 3 ซึ่งเป็นนักบวชอายุ 75 ปีผู้ที่ต่อมาเสียชีวิตหลังจากถูกส่งตัวจากไลบีเรียไปยังแมดริด

อีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือโธมัส อิริก ดันแคน ชาวไลบีเรียผู้ที่ติดเชื้ออีโบลาแล้วเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเท็กซัส ซึ่งหลานชายของดันแคนชื่อโจเซฟุส วีคส์ กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะมีอคติด้านเชื้อชาติอยู่ด้วยเนื่องจากก่อนหน้านี้ในวันที่ 25 ก.ย. ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเลือกส่งตัวดันแคนกลับบ้านทั้งๆ ที่ดันแคนมีอาการเป็นไข้ ทำให้เกิดเป็นคำถามในด้านจรรยาบรรณว่ามีการเลือกปฏิบัติในการรักษาคนติดเชื้ออีโบลาโดยแบ่งแยกเชื้อชาติหรือสีผิวอยู่ด้วยใช่หรือไม่

แพทย์ที่ดูแลรักษาคนป่วยอาจจะปฏิเสธว่าไม่มีอคติเรื่องเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้องในระดับจิตสำนึก แต่ควอร์เตย์ก็ระบุถึงบทความเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่นำเสนอว่าแพทย์อาจจะปฏิบัติอย่างมีอคติทางเชื้อชาติหรือสีผิวโดยไม่รู้ตัวเพราะมันอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ทำให้แพทย์ต้องมีความระมัดระวังอย่างมากว่าการตัดสินใจของพวกเขาสะท้อนให้เห็นการเลือกปฏิบัติแบบสองมาตรฐานต่อคนไข้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีอีโบลาหรือกรณีอื่นก็ตาม

 

เรียบเรียงจาก

Ebola’s Racial Disparity, Foreign Policy In Focus, 26-11-2014
http://fpif.org/ebolas-racial-disparity/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อภิสิทธิ์' เสนอสูตร รธน. ฉบับใหม่ พร้อมยันยังรักกันดี กับ 'อลงกรณ์'

$
0
0

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะ กมธ.ยกร่าง อยากเห็นรธน. ที่ยั่งยืน ก้าวหน้า และจัดการปัญหาการใช้อำนาจโดยมิชอบ พร้อมกล่าวถึงการลาออกของ 'อลงกรณ์' ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่ได้มีปัญหากับพรรค ยืนยันว่ายังรักกันดี

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนเข้าให้ควาามคิดเห็น

ต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2557 (ภาพจาก : ข่าวรัฐสภา)

27 พ.ย. 2557 - ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตาามที่ทางกมธ. ยกร่าง รธน. ได้เปิดช่องทางให้พรรคการเมืองและกลุ่มเคลือนไหวทางการเมืองได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าให้ข้อมูล ว่าการเข้าให้ข้อมูลครั้งนี้ถือเป็นความเห็นส่วนตัวไม่ผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยสิ่งที่ต้องการเห็นคือ รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การปฏิรูปที่ยั่งยืน ดังนั้นจะเสนอใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ทำอย่างไรให้ รธน.มีความยั่งยืน ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการทำประชามติ 2.รธน.ไทยไม่ควรถอยหลัง ไม่ควรมีการลดทอนสิทธิ เสรีภาพหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาชนควรมีสิทธิในการเลือกผู้บริหารประเทศและกำหนดทิศทางประเทศ 3.รธน.ต้องแก้ปัญหาหลักของระบบการเมืองที่ผ่านมา ทั้งปัญหาทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายการเมือง เพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน

พร้อมกันนี้จะให้ความเห็นต่อแนวคิดต่างๆ ที่มีผู้เสนอต่อ กมธ.ยกร่างฯ เพราะตนมองว่า บางแนวคิดเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด อาทิ จะเลือกตั้งอย่างไร เราควรมองว่าจะป้องกันไม่ให้คนที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำการทุจริต คอรัปชั่นได้อย่างไรมากกว่า และเห็นว่า ควรมีการทำประชามติ เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งจนอาจทำให้เสียเวลายกร่าง รธน.กันใหม่

อภิสิทธิ์์กล่าวด้วยว่าการตรวจสอบที่ผ่านมาไม่ได้ผลและเป็นที่มาของวิกฤตการเมือง ระบบรัฐสภา รัฐบาลต้องมีเสียงข้างมาก พรรคการเมืองต้องเป็นสถาบันที่เข้มแข็งแต่เมื่อพรรคการเมืองและนักการเมืองมีอำนาจ จะต้องถูกตรวจสอบ รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น การตรวจสอบ การถ่วงดุล ความรับผิดชอบ ต้องทันต่อเหตุการณ์ เพื่อไม่ก่อให้เกิดวิกฤตการเมือง ส่วนประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี เห็นว่า ควรมาจากการเลือกตั้ง ขณะที่ ที่มาของ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มองว่า วิธีการได้มาไม่ควรเหมือนกับฐานการได้มาซึ่ง ส.ส. เพราะการเข้ามาทำหน้าที่แตกต่างกัน 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควรผ่อนปรนการประกาศใช้กฎอัยการศึกหรือไม่ อภิสิทธิ์กล่าวว่า ควรผ่อนปรน เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย และหากผ่อนปรนแล้วเกิดปัญหาขึ้นก็สามารถประกาศใช้เป็นบางพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ คสช.ที่จะชั่งน้ำหนักระหว่างการจำกัดเสรีภาพ กับการเสียโอกาสที่จะรับฟังความเห็นของประชาชนว่าส่วนใดมีความคุ้มค่ากว่ากัน

ขณะเดียวกันอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงกรณีการลาออกของนายอลงกรณ์ พลบุตร ว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งนายอลงกรณ์ให้เหตุผลว่า การลาออกก็เพื่อการทำหน้าที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้อย่างอิสระและเป็นกลาง ซึ่งถือว่าตรงกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแนวคิดไม่ส่งสมาชิกพรรคเข้าร่วมเป็น สปช. เพราะถ้าสังกัดพรรคก็จะถูกมองในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาต่อกันและยังรักกันดี ส่วนที่ว่าหลังจากที่นายอลงกรณ์ พ้นจากการทำหน้าที่ สปช. แล้วจะเข้าร่วมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขอให้เป็นการตัดสินใจของนายอลงกรณ์เอง

 

เรียงเรียงจาก : ข่าวรัฐสภา

เอกสารประกอบการให้ความเห็นต่อคณะกรรมรัฐธรรมนูญ

ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชุมนานาชาติ แลกเปลี่ยนนโยบายรักษาไตวาย ครั้งแรกภูมิภาคอาเซียน

$
0
0

เปิดประชุมนานาชาติ “PD First Policy” ครั้งแรกภูมิภาคอาเซียน เผยหลัง 7 ปี ดำเนินนโยบายประสบผลสำเร็จ ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา ส่งผลไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ CAPD อาเซียน 

27 พ.ย. 2557 นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ “นโยบายล้างไตผ่านช่องท้องเป็นทางเลือกแรก” (PD First Policy) ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2557 ณ โรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของหลายองค์กรในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิร๊อคกี้เฟลเลอร์  ไนท์ และ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) เพื่อรวบรวมและเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคในการกำหนดแนวทางและนโยบายการดำเนินการรักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวายอย่างเข้มแข็ง

ทั้งนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานระบบสาธารณสุขและสุขภาพจากประเทศต่างๆ เข้าร่วม อาทิ รัฐมนตรีสาธารณสุขประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, ผู้แทนรัฐมนตรีสาธารณสุขประเทศกัมพูชา และผู้แทนหน่วยงานประกันสุขภาพ ทั้งจากประเทศฟิลิปปินส์ ฮ่องกง เวียดนาม และมาเลเซีย ตลอดจนผู้แทนจากโรงเรียนแพทย์จากประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น

นพ.รัชตะ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้กำหนดสิทธิประโยชน์บำบัดผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 โดยเน้นวิธีการล้างไตผ่านช่องท้อง (CAPD: Continuous Ambulatory Peritaneal Dialysis) เป็นการรักษาในขั้นแรก นอกจากการฟอกไตผ่านเครื่อง และการปลูกถ่ายไต สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง ซึ่งวิธีล้างไตผ่านช่องท้องนับเป็นรักษาผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่เป็นมาตรฐาน ประหยัด ใช้บุคลากรทางการแพทย์ไม่มาก และผู้ป่วยสามารถล้างไตได้เองที่บ้าน ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลามารับการฟอกไตที่หน่วยบริการสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ทั้งนี้ช่วง 7 ปีของการดำเนินนโยบายสิทธิประโยชน์ล้างไตผ่านช่องท้อง จากความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบการดูป่วยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การให้บริการ การดูแลรักษา รวมไปถึงการจัดส่งน้ำยาล้างไตที่ส่งตรงถึงบ้านผู้ป่วย ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่เพียงแต่มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่ยังมีคุณภาพชีวิตมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานล้างไตผ่านช่องท้อง ที่ผ่านมาจึงมีผู้แทนจากประเทศต่างๆ เข้าดูการดำเนินนโยบายนี้ของไทยอย่างต่อเนื่อง

“ไม่แต่เฉพาะประเทศไทยที่ให้บริการการล้างไตผ่านช่องท้อง แต่หลายประเทศได้นำวิธีการนี้ไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศไต้หวัน ฮ่องกง และอินเดีย รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งในการประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำไปสู่การพัฒนาการดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่ได้มีการดำเนินนโยบาย ส่งผลสำเร็จให้ผู้ป่วยไตเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง”

ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเข้ารับการล้างไตผ่านช่องท้อง 17,281 คน ขณะที่หน่วยบริการ CAPD เพิ่มขึ้นจาก 23 แห่งในปี 2550 เป็น  175 แห่ง มีศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและฝึกอบรม 4 เครือข่าย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไตที่ผ่านการอบรมการผ่าตัดวางสายล้างไตทางช่องท้องมีจำนวนเพิ่มขึ้น 266 คน พยาบาลวิชาชีพที่ผ่านการอบรมหลักสูตร 4 เดือน มีจำนวน 13 รุ่น รวม 466 คน และเริ่มมีการอบรมให้กับพยาบาลที่ปฏิบัติงานใน รพ.สต. ที่เป็นลูกข่ายรับส่งต่อดูแลผู้ป่วยในชุมชนร่วมกับ รพ.แม่ข่าย และยังมีชมรมเพื่อนโรคไต จิตอาสาและมิตรภาพบำบัดเพื่อผู้ป่วยโรคไตในจังหวัดต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

น.ศ.รามคำแหง กลุ่มพิทักษ์ประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์โต้ ปลัดศธ.

$
0
0

27 พ.ย. 2557 - วันนี้ภายหลังจาก นางสุทธศรี วงศ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน โดยได้ฝากถึงกรณีที่นักศึกออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วยการชูสามนิ้วต่อหน้าพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตี และหัวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกับกาละเทศะ และนักศึกษาควรที่จะมองไปที่อนาคต โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก อย่าไปยึดติดกับกระบวนการที่ผ่านมา(อ่านข่าวที่นี่)

ล่าสุดที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประขาธิปไตย มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าวโดยมีรายละเอียดดังนี้

00000

เนื่องในวันที่ 27 พฤษจิกายน 2557 นางสุทธิศรี วงศ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ฝากไปยังนักศึกษาที่เคลื่อนไหวและแสดงความเห็นทางการเมืองขณะนี้ ว่า ขอให้นึกถึงความเหมาะสมและกาละเทศะ ในการแสดงออก เช่นกรณีการแสดงออกชู 3 นิ้ว ต่อหน้า นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ควรกระทำ

ทั้งนี้ กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประชาธิปไตย เห็นว่าการชู 3 นิ้ว ต่อหน้านายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ผิด แม้จะไม่เหมาะสมทางกาละเทศะ แต่เป็นการแสดงความเป็นเสรีภาพบนพื้นฐานประเทศที่เป็นประชาธิปไตย โดยรวมกลุ่มนักศึกษาต่างๆ ในหลายสถาบัน ซึ่งไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารเช่นนี้ แม้การอ้างอนาคตประเทศ แต่ก็ไม่ยอมรับการต่อต้าน หรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนทั่วไป

ดังนั้น กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้ มีการยกเลิกกฏอัยการศึกโดยเร็วและหยุดการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก่อน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนโดยมีการจัดการเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมเสนอแนวความคิดต่างๆ

กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่ได้มีความนิ่งเฉยใดๆ ต่อสถานการณ์บ้านเมือง สมาชิกทุกคนมีการติดตามพฤติกรรมของรัฐบาลมาโดยตลอด

กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประชาธิปไตย
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
27 พฤษจิกายน 2557

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ดาวดิน' พบสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิ UN ให้ข้อมูลคุกคามสิทธิ

$
0
0

สมาชิกกลุ่มดาวดินเข้าให้ข้อมูลเรื่องการคุกคามสิทธิต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ยันจุดยืนเชื่อมั่นในประชาธิปไตย-ขอสังคมมองข้ามสีเสื้อ-ย้ำจะปฏิรูป ต้องเลิกอัยการศึกก่อน

กรณีนักศึกษานักกิจกรรมกลุ่มดาวดิน 5 คน สวมเสื้อ "ไม่เอารัฐประหาร" พร้อมชูสามนิ้ว อันเป็นสัญลักษณ์ต้านรัฐประหาร ต่อหน้า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ขณะลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น โดยต่อมา ทั้งห้าได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ถูกตั้งข้อหาใดๆ แต่จากนั้น เฟซบุ๊กกลุ่มดาวดินมีการรายงานสถานการณ์ที่มีบุคคลต้องสงสัยมาขับรถวนหน้าบ้านสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นระยะๆ

ล่าสุด (27 พ.ย. 2557) สมาชิกกลุ่มดาวดิน 2 คน เข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ข้อมูลสถานการณ์การคุกคามในพื้นที่

หลังการเข้าพบ ประชาไทได้มีเวลาสั้นๆ สนทนากับพวกเขาอีกครั้ง
 

ประชาไท: วันนี้ ไปสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นอย่างไรบ้าง
ดาวดิน: ทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักข้าหลวงใหญ่ฯ ยืนยันว่าตระหนักต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และสถานการณ์ด้านการคุกคามสิทธิที่เกิดขึ้นกับพวกเรา เขายืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์ของพวกเราอย่างใกล้ชิด และรับปากว่าจะนำสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราเข้าปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลไทย

นอกจากนั้นยังเสนอให้กลุ่มดาวดินทำเอกสารเรื่องสถานการณ์การคุกคามสิทธิของกลุ่มกิจกรรมนักศึกษาดาวดินเสนอต่อทาง UN ด้วยเป็นระยะ

ประชาไท: ลำบากใจไหมกับการถูกกล่าวหาว่าเป็นเสื้อแดง
ดาวดิน: เฉยๆ นะ เพราะเราชัดเจนอยู่แล้ว อยากจะบอกว่า คนที่ออกมาต้านรัฐประหารก็ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง คนที่อึดอัดกับสถานการณ์มันมีทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับเรา เราทำในนามของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นในประชาธิปไตย และอยากให้สังคมมองข้ามเรื่องสีเสื้อเสียที ในอีกด้านมันทำให้การทำกิจกรรมเรื่องปัญหาของชาวบ้านที่พวกเราลงไปทำงานลำบากมากเนื่องจากถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น และปิดกั้นความคิดของคนรุ่นใหม่ด้วยหากมีการแบ่งสีเสื้อ

ประชาไท: ดาวดินจัดความสัมพันธ์กับคนเสื้อแดงอย่างไร
ดาวดิน:ในบางประเด็น เช่น เรื่องการเลือกตั้ง เราสนับสนุนการเลือกตั้ง และเรามีการปฏิบัติการสนับสนุนการเลือกตั้ง เมื่อศาลปกครองตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เราไปยื่นศาลปกครอง ให้ศาลปกครองยื่นฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดินที่เป็นผู้ยื่นฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะว่าไม่มีอำนาจยื่นฟ้องในกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเราเป็นอิสระไม่อยู่ในอาณัติของคนเสื้อแดง เรามีวิธีของเรา (อ่านข่าวที่นี่)

ประชาไท: ตอนนี้รัฐบาล คสช.เสนอเรื่องการปฏิรูป เสนอเรื่องการความคิดเห็นของเยาวชน นักศึกษา ถ้ามีคำเชิญให้เข้าร่วมเวทีปฏิรูป จะเข้าร่วมไหม
ดาวดิน:  โดยหลักการมันไปด้วยกันไม่ได้ คุณถือปืนเรามีมือเปล่า จะร่วมปฏิรูปกันได้อย่างไร ถ้าจะปฏิรูปจริงคุณยกเลิกกฎอัยการศึกก่อนสิ!
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บันทึกก่อน-หลังเข้าค่ายรายงานตัว การเมือง?-เรื่องปากท้อง?

$
0
0



           
พรุ่งนี้ (24 พฤศจิกายน 2557) เวลา 13.30 น. มีนัดเข้ารายงานตัวที่ มทบ.22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี จึงขอประมวลเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเอง

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 หลังจากที่เดินทางกลับจากตลาด “วังเตา” สปป.ลาว จึงแวะทานอาหารเย็นขณะที่กำลังทานอาหารเย็นอยู่นั้น เวลาประมาณสองทุ่มเศษ มีนายทหารท่านหนึ่งโทรมาบอกว่า ผู้ใหญ่ไม่สบายใจต่อเนื้อหาที่มีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร” อยากขอความร่วมมือให้ช่วยปิดเฟซ ดังกล่าวนี้ด้วย

เวลาประมาณสามทุ่มเศษ จึงได้ปรึกษาหลายท่านและมีความเห็นร่วมกันว่า ก็ต้องให้ความร่วมมือกับทางทหาร และในเวลา 23.54 น. จึงแจ้งปิดเฟซบุ๊ก “ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร” อย่างเป็นทางการ

ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มีเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ทางไกล (รับราชการ) ได้โทรมาแนะนำว่า ควรเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ เปลี่ยนทั้งเครื่องและเบอร์โทร และในระหว่างนี้ให้เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ไม่ควรอยู่บ้านหรือที่สำนักงาน

และหลังจากวางสายนี้แล้วผมก็เก็บเสื้อผ้า และปิดเครื่องโทรศัพท์ เดินทางออกจากพื้นที่ในคืนนั้นเลย

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เวลาประมาณเที่ยงเศษ ผมเปิดเครื่องโทรศัพท์อีกครั้ง และเป็นจังหวะที่นายทหารคนดังกล่าวโทรมาพอดี แต่ผมตัดสายทิ้ง (ไม่รับสาย) พร้อมกับปิดสัญญาณโทรศัพท์ ระหว่างนั้นได้ปรึกษาคนที่ใกล้ชิดว่าจะเอายังไงดี ซึ่งเห็นตรงกันว่าก็คุยเลย ไม่มีอะไรเสียหาย

เมื่อสรุปแบบนั้นผมจึงโทรกลับไปหานายทหารคนดังกล่าว โดยนายทหารกล่าวขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการปิดเฟซบุ๊ก “ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร” แต่ยังมีอีกเฟซบุ๊กหนึ่งชื่อ “คุณไพจิต กฤษกร ศิลารักษ์” ซึ่งเป็นเฟซส่วนตัวอยากให้ปิดเฟซนี้ด้วย ซึ่งผมได้บอกเขาว่า เฟซนั้นเป็นเฟซเก่า ซึ่งผมปิดไปนานแล้ว และก็ไม่มีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่แจ้งปิดแล้ว ที่สำคัญเฟซนั้น ผมเข้าไม่ได้ เพราะผมจำรหัสไม่ได้ และไม่สามารถกู้รหัสได้เพราะอีเมลที่ใช้เปิดเฟซนี้ (Hotmail.com) ก็ได้เลิกใช้มากว่า 4 ปีแล้ว

..นายทหารพูดว่า ไม่น่าจะใช่เพราะมีการเคลื่อนไหวในเฟซนี้ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ปีนี้

..ผมตอบว่า เมลเข้าไม่ได้และทิ้งไปเกือบ 4 ปีแล้วจริงๆ แต่ที่สามารถใช้เฟซบุ๊กอันนั้นได้อยู่ (คุณไพจิต กฤษกร ศิลารักษ์) เพราะคอมพิวเตอร์มันจำรหัสอัตโนมัติ และเมื่อช่วงที่ผมตัดสินใจเลิกใช้เฟซนั้นแล้ว และเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมนำคอมพิวเตอร์ไปอัปเดตโปรแกรมใหม่ คอมพิวเตอร์ก็เลยลืมการตั้งค่าเดิมที่มีอยู่ ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าไปใช้เฟซนั้นอีกเลย..ที่สำคัญเฟซนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

..นายทหาร พูดว่า พี่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดูเฟซน้องอยู่น้องไปหาวิธีลบเองแล้วกัน ถ้าลบไม่ได้เดี๋ยวพี่ให้คนไปรับน้อง มานั่งลบเฟซที่ในค่ายแล้วกัน

..ผมตอบกลับว่า ผมจะลองไปร้านคอมพิวเตอร์ดูแล้วกัน ถ้าเขากู้ได้ก็จะลบ แต่ถ้ากู้ไม่ได้มันก็ทำอะไรไม่ได้จริงครับ..

..นายทหาร พูดอีกว่า ตอนนี้น้องอยู่ไหน

..ผมตอบว่า ผมออกมากินข้าวเที่ยงข้างนอก ไม่ได้อยู่ในสำนักงาน..

การสนทนาก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ..และจากนั้นผมก็ปิดเครื่องโทรศัพท์อีกครั้ง


เฟซบุ๊ก คุณไพจิต กฤษกร ศิลา ขึ้นภาพปก ประกาศปิดเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2557

เวลาประมาณ 14.00 น. ผมได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ สำนักงาน ส่งข่าวมาบอกว่า มีทหารและตำรวจ สิบกว่าคนมาที่สำนักงาน แต่ไม่เจอใคร เขาอยู่สักพักแล้วก็พากันกลับ

ต่อมาในช่วงค่ำ ผมทราบข่าวว่า ชุดทหารและตำรวจทีมนั้น หลังจากที่ไม่เจอผมก็ได้ไปพบกับชาวบ้าน (ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกัน) และสอบถามเกี่ยวกับการออกแถลงการณ์ (แถลงการณ์ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก) ชาวบ้านบอกไม่รู้เรื่องเพราะเป็นคนละกลุ่มกัน คนกลุ่มนั้นจึงเดินทางกลับ

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 ผมอยู่ในเวทีสัมมนา จึงปิดเครื่องโทรศัพท์ทั้งวัน และมาเปิดเครื่องโทรศัพท์อีกครั้งในเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ก็พอดีมีเจ้าหน้าที่ป้องกันจังหวัดอุบลฯ โทรเข้ามา

..ป้องกันอุบล พูดว่า พี่อยู่ไหน ทหารเขาตามหาพี่ท้ังวัน โทรหาพี่ก็ไม่ติด พี่อย่าปิดโทรศัพท์หนีสิ คุยกับเขาหน่อย ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่อยากให้พี่เข้าไปลบเนื้อหาในเฟซบุ๊กเท่านั้นเอง พี่ก็ให้ความร่วมมือกับเขาหน่อย แค่นั้นก็จบเรื่องแล้ว

..ผมตอบว่า เฮ้ย คุยกันแล้ว นั่นมันเฟซเก่าที่เลิกใช้แล้ว มันจำรหัสไม่ได้ มันเข้าไม่ได้ จะให้ลบได้ไง ทำไมไม่บล็อคเองเลย

..ป้องกันอุบล แล้วทำไมพี่ไม่บอกเขาไปตรงๆ เลย แล้วพี่มาปิดโทรศัพท์ เขาก็คิดว่าพี่หนีออกนอกประเทศไทยแล้ว เลยทำให้พวกผมต้องวุ่นวาย มาตามหาพี่ด้วย

..ผมตอบว่า บอกแล้ว แต่ทหารเขาหาว่าเราลูกเล่น เลยไม่รู้ทำไง ..แต่ไม่ได้หนีนะ ติดประชุมเลยปิดเครื่องเฉยๆ

..ป้องกันอุบล งั้นพรุ่งนี้พี่ไปพบเขา (ทหาร) หน่อยสิ ก็แค่ไปคุยกับเขา และทำ MOU ก็จบแล้ว ..เดี๋ยวผมจะแจ้งเขาให้ พี่จะไปกี่โมง สักสิบโมงได้ใหม จะไปกันกี่คนบอกน้องนุ่งด้วย

..ผมตอบกลับว่า พรุ่งนี้ไม่ได้ไป ไปไม่ได้ อยู่ต่างจังหวัด ประชุมอยู่

..ป้องกันอุบล พี่ก็กลับมาก่อน มาพบกับเขา (ทหาร)ก่อน เรื่องมันจะได้จบๆ ไป

..ผมพูดว่า  อยู่ต่างจังหวัดจะกลับไง ไม่ได้หรอก พวกคุณนะอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ แค่เฟซบุ๊ก มันจะอะไรนักหนา เขาไปดูหรือยังไม่ได้ด่าใครสักหน่อย ..แค่นี้ก่อนนะ หิวข้าว..และผมก็วางสายไป

ต่อมาประมาณ 20 นาที ป้องกันจังหวัดอุบล (คนเดิม) ก็โทรกลับมาอีก

..ป้องกันอุบล พี่ ทหารเขาออกหนังสือไปให้พี่แล้วนะ หนังสือถึงอำเภอพิบูลแล้ว เดี๋ยวคงมีตำรวจเอาเข้าไปให้พี่ที่ศูนย์ (สำนักงานผม) นัด 10.00 น. พรุ่งนี้ (วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557) แล้วพวกพี่จะมากันกี่คน ผมจะอำนวยความสะดวกให้

..ผมตอบว่า ไม่ได้ไป อยู่ต่างจังหวัด ก็บอกแล้วไง ไม่มีทางไม่ได้ไปหรอก

..ป้องกันอุบล ถ้าพี่ไม่ไปมันก็ไม่จบ พี่ก็ไปหน่อยแล้วกัน ให้มันจบไป ถ้าพี่ขัดขืน เขาจะออกหมายจับพี่นะ เดี๋ยวจะว่าไม่บอกกัน

..ผมตอบว่า ก็ไม่อยู่ได้อยู่อุบลไง จะให้ไปได้ไง ไม่หนี แต่ไปไม่ได้ ก็เข้าใจกันบ้าง เราทำงานร่วมกันมากี่ปีแล้ว  ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าใครทำอะไร ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย

..ป้องกันอุบล งั้นก็ถือว่าผมได้แจ้งพี่แล้ว ส่วนพี่จะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่พี่นะ

..การสนทนาก็จบลง ..

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 เวลาประมาณบ่ายโมง ได้รับแจ้งจากเพื่อนทางไลน์ว่า ให้โทรกลับบ้านด่วน มีทหาร ตำรวจ ไปหาที่บ้าน แม่ตกใจมาก จากนั้นผมจึงได้โทรไปหาแม่ ซึ่งแม่เล่าให้ฟังว่า

..แม่พูดว่า มีทหารจากค่ายทหารในจังหวัดศรีสะเกษ และตำรวจ สภ.อ.ราษีไศล เกือบยี่สิบคน มาตามหาที่บ้าน เขาบอกให้ไปลบเฟซ เฟซอะไร ไปเขียนด่าทหารเขาเหรอ และเขาให้เบอร์โทรไว้ ให้โทรหาเขา (ทหารศรีสะเกษ) ด้วยที่เบอร์ 08..................

..ผมพูดกับแม่ว่า เห็นไหม บอกแล้วไงว่าทหารจะมาหาที่บ้าน (ผมบอกแม่ไว้ล่วงหน้าแล้ว) ว่าไม่ต้องตกใจ แล้วแม่ตกใจไหม กลัวไหม

..แม่พูดว่า กลัวสิ เขามากันเยอะ คนแตกตื่นกันทั้งหมู่บ้าน

..ผมพูดกับแม่ว่า เอ้ากลัว แล้วไม่วิ่งหละ

..แม่พูดว่า อย่ามาพูดเล่น ไปด่าอะไรเขาไว้ ในฟง ในเฟซ ก็ไปลบออก เฮ้ย เกิดมาไม่เคยเจอ มากันเต็มบ้านไปหมดเลย ..อย่าลืมโทรหาเขาด้วย

..ผมพูดกับแม่ว่า แม่นี่ถือว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเลยนะ ผู้หลักผู้ใหญ่เขาให้เกียรติขนาด นี่เห็นไหมนามสกุลศิลารักษ์ มีความสำคัญขนาดไหม มันเรื่องน่าภูมิใจนะแม่ เราไม่ได้ไปปล้นใคร ไปฆ่าใครเขา มันเป็นเรื่องการเมือง

..แม่พูดกับผมว่า การเมือง อะไรก็การเมือง ครั้งก่อนก็เกือบติดคุก รอดมาได้ก็สัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องอีก ไม่เอา โทรไปบอกเขาซะ ไปพบเขาให้มันเสร็จๆ ไป

..ผมพูดกับแม่ว่า แม่ แม่ถามเขาไหมว่าหากผมไม่ไป เขาจะทำอะไร

..แม่พูดว่า ไม่ได้ถาม และไม่ต้องมาถามด้วย โทรไปหาเขาซะ

..ผมพูดกับแม่ว่า แม่ นี่มันเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลนะแม่ ไปกลัวทำไมทหาร มันวิ่งไม่เร็วหรอก ผมวิ่งเร็วกว่าพวกนี้เยอะ

..แม่พูดว่า ไม่ต้องมาพูดเล่นแล้ว รีบโทรไปหาเขาเลย แล้วนี่อยู่ที่ไหน อย่าให้เขามาที่บ้านอีกนะ ชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมด

ผมพูดกับแม่ว่า รับทราบครับ ไม่กลัวแล้วนะแม่ เดี๋ยวโทรไปครับ...

..การสนทนาก็จบลง / ปิดโทรศัพท์อีกครั้ง...

เวลาประมาณ 15.00 น. ได้ข่าวจากไลน์ว่า แม่ให้โทรกลับด่วน ผมจึงโทรหาแม่อีกครั้ง

..ผมพูดว่า แม่ มีอะไรอีกเหรอ

..แม่พูดว่า ยังไม่ได้โทรหาเขา (ทหาร) เหรอ เขาโทรมาตามทุกสิบนาทีเลย เดี๋ยวคนนั้นก็โทรมา เดี๋ยวคนนี้ก็โทรมา ทั้งตำรวจ ทั้งทหาร

..ผมพูดกับแม่ว่า ลืมไปแม่ ประชุมอยู่ เดี๋ยวโทรไปเดี๋ยวแหละ

..แม่พูดว่า โทรไปหาเขาแล้ว โทรกลับมาบอกด้วย และอย่าปิดเครื่องนะ

จากนั้นผมจึงได้โทรไปหานายทหารคนหนึ่งที่ให้เบอร์ไว้ (ทหารที่ศรีสะเกษ)

..ผมพูดว่า ผมกฤษกรครับ ทราบว่าท่านไปหาผมที่บ้านเหรอครับท่าน

..นายทหารศรีสะเกษ พูดว่า กฤษกรเหรอ กำลังอยากเจออยู่พอดี อยู่ไหนตอนนี้

..ผมพูดว่า อยู่ต่างจังหวัดครับ มีอะไรครับท่าน

.. นายทหารศรีสะเกษ พอดีผู้ใหญ่ทางอุบล ท่านประสานงานมาว่าติดต่อกฤษกรไม่ได้ เลยให้ทางพวกผมช่วยติดต่อให้หน่อย ก็เลยไปพบกฤษกร ทางผู้ใหญ่เขาเห็นเฟซบุ๊กเรา ก็เลยไม่ค่อยสบายใจ อยากให้ลบออกหน่อย บ้านเมืองเรากำลังไปได้ดี เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยมันไปนะ ..แล้วตอนนี้กฤษกรอยู่ไหน จะเข้ารายงานตัวได้วันไหน ผมจะได้เรียนผู้ใหญ่ให้

..ผมพูดว่า อยู่ต่างจังหวัดครับ ท่านครับ ทำไมต้องโทรไปหาแม่ผม โทรทุกสิบนาทีเลย ทั้งทหารตำรวจ เอาอย่างนี้ได้ไหม หากรับปากกับผมว่าจะไม่ไปยุ่งกับทางบ้าน ผมจะไปรายงานตัว แต่หากยังมีการโทรไปกวน มีการส่งคนไปบ้าน ผมรู้สึกไม่ดีครับ

..นายทหารศรีสะเกษ กฤษกรพี่แนะนำว่า กฤษกรสามารถไปรายงานตัวได้ที่จังหวัดไหนก็ได้ แต่ควรไปนะ เพราะหากไม่ไปผู้ใหญ่ก็จะไม่ยอม

..ผมพูดว่า ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนท่านประสานงานไปที่ มทบ.22 อุบล ว่าผมจะไปรายงานตัววันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา 13.30 น. เอาตามนี้แล้วกันครับ

..นายทหารศรีสะเกษ ตกลงตามนี้ พี่จะแจ้งเขาไปว่ากฤษกร จะไปรายงานตัววันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 นี้นะ ระหว่างนี้ก็คงไม่มีการตามแล้ว แต่หากน้องไม่ไปตามนัด มันไม่จบนะ มันจะบานปลาย กฤษกร ก็คงพอเข้าใจอยู่นะ

..การสนทนาสิ้นสุดลง..

จากนั้นผมก็แจ้งผ่านทางเฟซบุ๊ก ส่วนตัว “คนไม่เอาเขื่อน บูรพาไม่แพ้” ว่าจะเข้ารายงานตัวตามวันเวลาดังกล่าว ซึ่งก็คือพรุ่งนี้ แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุหลักก็เกิดจากการออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก และลุกลามจนมาสู่การให้ปิดเฟซบุ๊ก และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ไม่มีอะไรมากกว่านี้..

(ต่อ) ความจริงถูกตามเพราะเรื่องเขื่อนปากมูล

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา 13.30 น. ผมและเพื่อน 4 คนได้เข้าไปติดต่อเพื่อขอรายงานตัว ตามนัดหมายที่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ในวันดังกล่าว ทางทหาร มทบ. 22 ติดภารกิจนอกค่าย จึงนัดหมายใหม่เป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา 09.00 น. ที่ บก.มทบ. 22

ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา 09.00 น. ผมและเพื่อน 4 คน ได้เดินทางไปยัง บก.มทบ. 22 เพื่อรายงานตัว โดยทาง เสธ. มทบ.22 และนายทหารชั้นสัญญาบัตร กว่า 7 นาย รอรับตัวอยู่


ห้องรับรอง
..นายทหาร กฤษกร ใช่ใหม เชิญ เชิญ พี่รอเราอยู่ ไม่มีอะไรมาก พี่แค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง พี่ไม่ได้ให้เราปิดเฟซบุ๊กนะ แค่ว่ามีข้อความบางส่วนเท่านั้นที่มันไปกระทบกระเทือนต่อการทำงานของ คสช. ผู้ใหญ่ก็เลยไม่สบายใจ แค่ลบออกก็ได้ ไม่ต้องปิด แต่ไม่เป็นไรมันผ่านมาแล้ว กฤษกรมาก็ดี บ้านเมืองกำลังไปได้ด้วยดี อยากชวนมาร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง

..นายทหาร (อีกคน) กฤษกร แถลงการณ์ฉบับที่ 4 (แถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก) ที่ออกไป มันแรงไปนะ มันเหมือนการต่อต้าน คสช. ผู้ใหญ่ก็เลยไม่สบายใจ และที่สำคัญมันเป็นแถลงการณ์ที่ออกจากพื้นที่เรา (อุบล) พี่ทำไงหละ เพราะว่าพี่ดูแลพื้นที่นี้ ผู้ใหญ่ก็ต้องถามมาว่า ดูแลพื้นที่อย่างไร ทำไมเกิดเรื่องนี้ขึ้น พี่ก็ต้องตามตัวเรามาพูดคุยกัน แต่ไม่มีอะไรนะ แหมกฤษกร ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่เลย

..นายทหาร (อีกคน) ไม่เป็นไรนะ ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องเฟซบุ๊ก ชื่อ “คุณไพจิต กฤษกร ศิลารักษ์” เข้าไปลบที่โพสต์ออกหน่อยสิ มันดูไม่ดีนะ

..ผมพูดว่า ท่านครับ ผมเข้าไม่ได้ มันเป็นเฟซเก่า ผมทิ้งไปนานแล้ว และเฟซก็ไม่มีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้วครับ และเมลที่ผมใช้เปิดเฟซ ผมก็เลิกใช้ไปนานแล้ว ผมกู้เฟซไม่ได้จริงๆ มันเกินความสามารถครับ

..นายทหาร (หัวโต๊ะ) งั้นไม่เป็นไร ก็รายงานหน่วยเหนือไปตามนี้แล้วกันว่ากฤษกรเขาเลิกใช้ เอาตามนี้นะ

..นายทหาร (อีกคน) เรื่องเขื่อนปากมูล มันจะจบอย่างไร บ้านเรา (อุบล) คนใช้น้ำมันเยอะ หากเปิดเขื่อนแล้วจะเอาน้ำที่ไหนมาใช้ พวกพี่ก็ต้องใช้น้ำกัน ถ้าน้ำไม่มี ทหารก็เดือดร้อนเหมือนกันนะ พี่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องไปเดือดร้อนรัฐบาลหรอก เรามาคุยกันในพื้นที่ก็น่าจะดีกว่ามั้ง เอาให้้มันจบในพื้นที่ พี่ว่าดีกว่ามั้ง

..ตัวแทนจังหวัดอุบล ผมว่าพี่กฤษกร พูดมาเลยตรงๆ ดีกว่าว่าปัญหาเขื่อนปากมูล พี่จะเอายังไงให้มันจบเลย จบแบบไม่ต้องมีปัญหาอีกเลยนะ

..ผมพูดว่า ก็ชัดเจนแล้วนี่ครับ 2 ข้อ ทดลองเปิดเขื่อน 5 ปี เยียวยาชาวบ้าน ครอบครัวละ 310,000 บาท ทำได้ก็จบ

.. ตัวแทนจังหวัดอุบล พี่กฤษกร เอาให้ชัดดีกว่า แบบนี้ดีไหม ค่าชดเชยพวกพี่ก็ไปเรียกร้องกับทางรัฐบาลเอา ส่วนเรื่องปิดเปิดเขื่อน เราก็มาคุยมาตกลงกันที่จังหวัดดีกว่า ผมว่าให้การตัดสินใจมาอยู่ที่จังหวัดดีกว่า

..ผมพูดว่า เรื่องนี้ชาวบ้านปากมูนเขาน้อยใจผู้ว่าฯ อยู่นะครับ เวลาปิดเขื่อนแต่ละครั้งทางจังหวัดก็ไม่เคยถามพวกเขา แล้วจะให้พวกเขาเชื่อใจได้อย่างครับว่าท่านเป็นกลาง

.. นายทหาร (ท่านหนึ่ง) กฤษกรเป็นคนที่ไหน

..ผมพูดว่า คนราษีไศล ศรีสะเกษ ครับ

..นายทหาร (ท่านหนึ่ง) กฤษกรเป็นคนมีความรู้ เวลาเราใช้ความรู้ เราก็ต้องแนะนำชาวบ้านเขาให้เขาใจในสิ่งที่ถูก สิ่งที่ควร เรามาใช้ความรู้ที่กฤษกรก็มี พวกพี่ก็มี มาแก้ไขปัญหาร่วมกันน่าจะดีกว่านะพี่ว่า

..ผมพูดว่า เป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ แต่สิ่งที่เราต้องช่วยกันทำเรื่องแรก คือการสร้างบรรยากาศความไว้วางใจกันก่อน ที่ผ่านมาทางผู้ว่าฯ ไม่เคยถามความเห็นชาวบ้านปากมูนเลย ซึ่งหากทางผู้ว่าฯ ให้ความสำคัญแก่พวกเขา มันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ขณะนี้ชาวบ้านเขาไม่ค่อยจะวางใจกับท่าทีของท่านผู้ว่าฯ ครับ

.. ตัวแทนจังหวัดอุบล พี่กฤษกร เอางี้ไหม เรามาคุยกัน พี่ว่างเมื่อไหร่ ผมจะนัดทางท่านผู้ว่าฯ และเชิญกลุ่มอื่นๆ มาคุยกัน และวางแผนการตัดสินใจเรื่องการบริหารเขื่อนร่วมกัน ส่วนเรื่องค่าชดเชย พวกพี่ก็ไปเรียกร้องกับทางรัฐบาลได้อย่างเต็มที่

..ผมพูดว่า อ้าว แล้วแบบนี้มันจะจบอย่างไร อันนี้มันก็เป็นปัญหาอีก พวกคุณก็เหมือนเดิมหาเรื่องสร้างแต่ความชอบธรรมอยากจะปิดเขื่อน แต่พอจะเปิดเขื่อนก็บ่ายเบี่ยงเช่นเคย มันมีข้อตกลงแล้วว่า ทดลองเปิด 5 ปี เยียวยาชาวบ้านครอบครัวละ 310,000 บาท หากจะแก้ก็คุยต่อว่า เราจะเริ่มเปิดเขื่อนเมื่อไหร่ จะมีกระบวนการติดตามการเปิดเขื่อนอย่างไร เราจะเยียวยาชาวบ้านเมื่อไหร่ ใครบ้าง ผมว่าหากเริ่มแบบนี้ มันก็พอไปได้ แต่หากไม่เริ่มแบบนี้ ก็ลำบากครับ

การพูดคุยวนเวียนอยู่กับเรื่องเขื่อนปากมูลนานมาก ผมเลยตัดบทว่า จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาชาวบ้านดูก่อน

..นายทหาร (ท่านหนึ่ง) งั้นวันนี้สรุปอย่างนี้ กฤษกร บันทึกให้หน่อยนะ ก็เขียนในสิ่งที่คุยกันมา

หลังจากเขียนบันทึกเสร็จแล้ว นายทหาร (หัวโต๊ะ) ก็เลยพูดว่า ช่วยบันทึกอีกนิด วงเล็บไว้ก็ได้ว่า “จะไม่ทำที่ขัดต่อกฎอัยการศึก”

หลังจากทำบันทึกเสร็จเรียบร้อย ผมและเพื่อนรวม 4 คนก็เดินทางออกจากค่าย

โดยส่วนตัวเห็นว่า การออกหนังสือเรียกตัว รวมทั้งการส่งกำลังจำนวนมากไล่ตามตัวผม น่าจะมาจากการพยายามแสดงอะไรบางอย่าง เพื่อเมื่อถึงเวลาพูดคุยกันกลับเป็นเรื่องเขื่อนปากมูล ซึ่งเรื่องแบบนี้ ไม่ควรให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะปัญหาเรื่องเขื่อนปากมูล เป็นปัญหาเรื่องปากท้องชาวบ้าน ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความมั่นคง และหากเป็นเช่นนี้ ที่ทหารไม่แยกแยะว่าเรื่องไหนเป็นปัญหาทางการเมือง เรื่องไหนเป็นปัญหาปากท้อง แต่ตีขลุมมั่วไปหมดเช่นนี้ ก็จะทำไห้ความไม่พอใจของชาวบ้านที่มีต่อ คสช. และรัฐบาลเพิ่มมากยิ่งขึ้น


กฤษกร ศิลารักษ์
27 พฤศจิกายน 2557

 

 

หมายเหตุ:
ชื่อบทความเดิม: ก่อนเข้าค่ายทหาร รายงานตัวพรุ่งนี้ จะอยู่ต่อ 7 วัน หรือกลับบ้าน ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้

กฤษกร ศิลารักษ์ เป็นผู้ประสานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) (พีมูฟ) กรณีเขื่อนปากมูล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โฆษก กอ.รมน ภาค 4 แจงกรณีศาลสั่งประหาร 5 ผู้ต้องหา ยันทำตามหลักฐาน

$
0
0

โฆษก กอ.รมน. ภาค 4 สน. แจงถึงกรณีศาลสั่งประหารชีวิต 5 ผู้ต้องหาคดียิงทหารดับ 4 นาย มีพยานหลักฐานชัดเจน พร้อมเผยทุกคนจะได้รับการปฏิบัติ ภายใต้หลักกฎหมายที่เสมอภาคและเป็นธรรม

ภาพเหตุการณ์จู่โจมเจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.153261 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25

เมื่อวันที่ 28 กค.2555 (แฟ้มภาพประชาไท)

27 พ.ย. 2557 – เมื่อวานนี้  ที่ศาลจังหวัดปัตตานี ได้มีการนัดไต่สวนพิพากษาผู้ต้องหา คดีคนร้ายใช้รถกระบะเป็นพาหนะไล่ยิงถล่มเจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.153261 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ขณะลาดตระเวนเส้นทางด้วยรถจักรยานยนต์ 3 คัน ในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตทันที 4 นาย คือ ส.อ.ลือชัย จุลทอง อายุ 26 ปี พลทหารเบญจรงค์ สีแก้ว อายุ 22 ปี พลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ อายุ 22 ปี และพลทหารภาคิน หงส์มาก อายุ 22 ปี และบาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย คือ ส.อ.ปรีดา นพคุณ อายุ 30 ปี และพลทหารอาคม ชูกล่อม อายุ 22 ปี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 กค.2555

ซึ่งศาลได้พิพากษาให้ตัดสินประหารชีวิตจำเลยทั้ง 5 ประกอบด้วย  นายอิสมาแอ ดาโองอายุ 33 ปี นายมะซาฮาฟี มีทอ อายุ 28 ปีนายกอเดร์ เจะแต  อายุ 31 ปี นายนิมูหัมหมัด นิเซ็งอายุ 32 ปี และนายฮิสบุลลอฮ บือซาอายุ 36 ปี ในการอ่านคำพิพากษาครั้งใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง

พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า

(ภาพจาก :ไทยรัฐออนไลน์)

ด้านพันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ถึงคำตัดสินของศาลและคดีดังกล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หน่วยได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และงานทางนิติวิทยาศาสตร์ จนสามารถนำไปสู่การออกหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 11 คน จากที่รู้ตัว 13 คน ซึ่งในจำนวนนี้ได้เสียชีวิตจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ 2 คน ควบคุมตัวได้ 6 คน (มีคำสั่งพิพากษา 5 คน และอยู่ในระหว่างดำเนินการ 1 คน) และหลบหนี 5 คน

"กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จะยังคงดำรงความมุ่งหมายในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ภายใต้แนวคิด “ปรับทุกข์ ผูกมิตร ร่วมคิด ร่วมทำ” โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการทำงานร่วมกันอย่างประสานสอดคล้อง ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน รวมทั้งจะทำการติดตามจับกุม ผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างหลบหนี ก็พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามโครงการพาคนกลับบ้าน ในส่วนของผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ก็มีสิทธิที่จะยื่นขออุทธรณ์ได้ ทั้งนี้ ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติ ภายใต้หลักกฎหมายที่เสมอภาคและเป็นธรรม" พันเอกปราโมทย์กล่าว

 

เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวทีนิวส์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์เยือนเวียดนามหวังเชื่อมโยงแนวเศรษฐกิจ 4 ทิศ-ลงนามความร่วมมือ 3 ฉบับ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ หารือนายกรัฐมนตรีเวียดนาม หวังขยายการค้า-ลงทุน เชื่อมโยงการเดินทางไทย-เวียดนามทั้งทางบก เรือ อากาศ เสนอเปิดการเดินรถโดยสารเชื่อมภาคอีสานสู่เวียดนามภาคกลาง เชื่อมโยงเส้นทางการบิน ลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฉบับ พร้อมทั้งสถาปนาบ้านพี่เมืองน้องฉะเชิงเทรา-เกิ่นเทอ

นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2557 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ คือ 1. แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม 2. แผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนว่าวัฒนธรรมไทย – เวียดนาม 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับนครเกิ่นเทอ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2557 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

 

27 พ.ย. 2557 - เว็บไซต์รัฐบาลไทยรายงานว่า เมื่อเวลา 16.05 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. พบหารือกับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ณ สำนักนายกรัฐมนตรีเวียดนาม สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามมีความใกล้ชิดและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภายหลังการประกาศความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 ทั้งนี้ในปี 2559 ไทยและเวียดนามจะครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ด้านการค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้ามูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2020 ทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินหน้าหาช่องทางในการขยายการค้าระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวกและผลักดันให้มีการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างกันมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกัน ได้แก่ ข้าวและยางพารา ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ด้านการลงทุน นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลเวียดนามที่ดูแลนักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามมาโดยตลอด และขอเสนอให้หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนสองฝ่ายพิจารณาจัดตั้งกลไกหรือคณะทำงานส่งเสริมและคุ้มครองด้านการลงทุนระหว่างกัน เพื่อใช้ความตกลงด้านการลงทุนที่มีอยู่ เช่น ความตกลงคุ้มครองการลงทุน และอนุสัญญายกเว้นการเก็บภาษีซ้อนให้ได้ประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมให้ธนาคารไทยมาเปิดสาขาในเวียดนามมากขึ้น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังยินดีที่ทราบว่า รัฐบาลเวียดนามอนุมัติให้บริษัท ปตท. ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีในเขตเศรษฐกิจเญินโห่ย จ. บิ่งห์ดิ่งห์ รวมทั้ง บริษัท EGAT I ของไทยเข้ามาลงทุนโรงงานผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานทั้งในไทย เวียดนามและภูมิภาค

ด้านการเชื่อมโยง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่จะช่วยทำให้การรวมกลุ่มของอนุภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ โดยให้ความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากเส้นทาง R8 R9 และ R12 เชื่อมต่อไทย ลาวและเวียดนามโดยฝ่ายไทยขอเสนอให้เปิดบริการรถโดยสาร ในเส้นทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับภาคกลางของเวียดนาม ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระตุ้นการค้าและการลงทุนแล้ว ยังจะเพิ่มการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคโดยรวมด้วย นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนให้สายการบินต้นทุนต่ำเปิดเส้นทางการบินใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของสายการบินเองและช่วยสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ รวมทั้งให้มีการพัฒนาการเดินเรือตามแนวชายฝั่งทะเล เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของการท่องเที่ยวระหว่างกัน

สำหรับสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียน - จีน ไทยมุ่งส่งเสริมให้การเจรจาจัดทำ COC มีความคืบหน้า และส่งเสริมให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันเพื่อความสงบในพื้นที่และในภูมิภาค

โดยโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีเชิญนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการและเป็นประธานร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ที่ฝ่ายไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2558 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คณะรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนในด้านต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ตอบรับคำเชิญของนายกรัฐมนตรีที่จะเข้าร่วมการประชุม GMS ที่จัดขึ้นในไทย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ในต้นปีหน้า

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เวียดนามพร้อมที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก และเหนือ-ใต้ รวมทั้งความร่วมมือในมิติอื่นๆ ทั้ง การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า พร้อมจะสนับสนุนไทยในทุกเวที ทั้งระดับประเทศ ภูมิภาคและภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ที่มีความเข้มแข็งในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างสร้างสรรคแก่อาเซียน และภูมิภาคโดยรวม

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ คือ 1. แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม 2. แผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนว่าวัฒนธรรมไทย – เวียดนาม 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับนครเกิ่นเทอ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง คดี 112 'ยุทธภูมิ' พี่ฟ้องน้อง

$
0
0
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง ยุทธภูมิ ซึ่งถูกกล่าวหาโดยพี่ชายแท้ๆ ว่าทำผิดมาตรา 112 
 
28 พ.ย.2557  ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา รัชดา เวลา 9.50 น. มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายยุทธภูมิ เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้านี้ วันนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจำเลยและญาติมาศาล รวมถึงผู้สังเกตการณ์คดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติราว 10 คน
 
ศาลอุทธรณ์ระบุว่า คดีนี้มีพยานซึ่งเป็นพี่ชายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยพูดบ่นข้อความตามฟ้องระหว่างดูข่าวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็น ต่อมาอีก 5 วันพยานเห็นจำเลยเขียนข้อความไม่เหมาะสมลงแผ่นซีดี ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์เพียงลำพัง ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง อีกทั้งคุณลักษณะพยานยังมีข้อบกพร่องเนื่องจากมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน คดีนี้พยานก็เป็นร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยเอง มีลักษณะเป็นการกระทำตอบโต้จำเลย อาจมีการปรุงแต่งข้อเท็จจริง ในการสืบพยานก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารายการทีวีดังกล่าวคือช่องใด ไม่มีการนำภาพข่าวดังกล่าวมาแสดงต่อศาล จึงนับเป็นการนำสืบอย่างเลื่อนลอย ส่วนซีดีแม้มีผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเป็นลายมือของจำเลย แต่ก็เป็นเพียงความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่มีการนำสืบถึงวิธีการตรวจพิสูจน์โดยละเอียดโจทก์นำสืบเพียงข้อสรุปว่าลายมือนั้นเป็นของจำเลย อีกทั้งผู้ตรวจพิสูจน์ยังยอมรับว่าการตรวจพิสูจน์ความหนักเบาของลายเส้นบนซีดีนั้นทำได้ยาก เนื่องจากมีพื้นผิวแข็งและลื่น จึงยังมีเหตุแห่งความสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
 
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากพี่ชายแท้ๆ ของยุทธภูมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจว่าน้องชายตนเองกระทำการหมิ่นสถาบันโดยการพูดระหว่างดูข่าวราชสำนักในบ้านและเขียนถ้อยคำลงบนปกซีดี เขาถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปให้ปากคำแล้วปล่อยตัว แต่ต่อมาเมื่ออัยการฟ้องคดีต่อศาล เขาก็ถูกจำคุกราว 1  ปีโดยไม่ได้รับการประกันตัว ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2556 ให้ยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เนื่องจากมีพี่ชายคนเดียวที่เบิกความยืนยันและก่อนหน้านั้นทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงจนจะใช้อาวุธมีดทำร้ายกันหลายครั้ง จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างรุนแรง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีสุภิญญาหมิ่นช่อง 3 – รีทวีตแคน สาริกา 1 ธ.ค. นี้

$
0
0

วันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. 2557 ศาลอาญา นัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.2888/2557 ตามที่โจทก์ ได้แก่ บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด หรือ ช่อง 3 ยื่นฟ้องจำเลย คือ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.  ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท จากการให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา กับสื่อโทรทัศน์ อาทิ ช่อง Voice TV อาร์เอสทีวี พีพีนิวส์ ช่อง 7 สี และวิทยุ รวมทั้งทางสื่อต่างๆ ในประเด็นว่า หากช่อง 3 บีบบังคับ กสทช. ต้องผ่อนปรนช่อง 3 เท่ากับหักหลังผู้ให้บริการโครงข่าย ผู้ประมูลดิจิตอลทีวี และประชาชนที่จะได้รับคูปอง เพราะช่อง 3 ได้รับอภิสิทธิ์ ในระบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์มานานหลายปี รวมทั้ง กล่าวหาว่า จำเลยได้ใช้ทวิตเตอร์ @supinya รีทวีตข้อความของผู้ใช้ชื่อว่า “แคน สาริกา” @can_nw ที่ปรากฏข้อความเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ที่อาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์ใช้อำนาจทุนและความสัมพันธ์ส่วนบุคคลในการประกอบธุรกิจเพื่อให้ผูกขาด และเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค โดยเป็นการนำเข้า และจงใจยินยอมให้มีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ ในคดีเดียวกัน โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลย กสท.ทั้ง 3 คน ได้แก่ นางสาวสุภิญญา พร้อมด้วย พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ และ ผศ.ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ด้วยข้อหาร่วมกันและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2557 โดยมุ่งหมายเพื่อออกคำสั่งทางปกครองให้ระงับการนำสัญญาณของโจทก์ไปถ่ายทอดผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิล ต่อมา วันที่ 18 ก.ย. 57 ศาลได้ยกฟ้องคดีที่จำเลยทั้งสาม ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ยังคงเหลือแต่คดีฟ้องหมิ่นประมาทเฉพาะนางสาวสุภิญญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  326, 328 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 และ 15 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ซึ่งศาลอาญาได้นัดไต่สวนในวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. นี้ เวลา 13.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images