ประชาธรรม: เครือข่ายเกษตรทางเลือกฮือค้านทดลองพืช GMOs ในแปลงเปิด-ปลูกเพื่อพาณิชย์
เครือข่ายแรงงานชุมนุม-ยื่นหนังสือ สนช.ชะลอร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม เปิดเวทีรับฟังความเห็น
เครือข่ายประกันสังคมประกาศเดินหน้าปฏิรูปประกันสังคมเพื่อคนทำงาน สปช. ชี้หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงผู้ประกันตน ถือว่าเป็นการลักไก่ไม่ชอบธรรม ด้าน สนช.เดินหน้าพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมต่อ ตอบหยุดไม่ได้เพราะคำสั่ง ครม.หากจะเบรกต้องให้รัฐมนตรีแรงงานดึงกลับไปสร้างการมีส่วนร่วมเองประกาศพรุ่งนี้ (31) เข้าพิจารณา เสนอตั้งนายมนัส โกศล และเครือข่ายอีก 6 คน เป็นกรรมาธิการ
30 ต.ค. 2557 เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) ประกอบด้วย 14 องค์กรด้านแรงงาน ราว 100 คน ชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือต่อรองประธานสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) นายสุรชัย เลี้ยงบุญชัย เพื่อให้ชะลอการนำร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม(ฉบับที่..)พ.ศ. ….ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเสนอเข้าวาระการประชุมของ สนช.
นายมนัส โกศล ตัวแทนเครือข่ายฯ กล่าวว่า ด้วยทราบว่าสนช.มีการบรรจุร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่..) พ.ศ. …. (คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ) ในระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติครั้งที่ 19/2557 วันที่ 30 ตุลาคม 2557 ซึ่งมีสาระสําคัญส่วนใหญ่คล้ายกับร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม ฉบับคณะรัฐมนตรีเสนอก่อนยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนธันวาคม 2556 โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับประกันสังคมส่วนใหญ่ยังไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณา เสนอแนะต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ ในขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกําลังจะเร่งพิจารณา
ในการนี้ เครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) ได้ศึกษาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับดังกล่าวแล้ว จึงมีข้อเสนอต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังนี้
(1) ควรชะลอเวลาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ) และขอให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากตัวแทนภาคประชาสังคมที่เกี่ยวของ ทั้งฝ่ายผู้ประกันตน (มาตรา 33, มาตรา 39 และมาตรา 40) ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายสถานพยาบาล และหน่วยราชการต่างๆ เช่นกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
(2) ด้วยร่างกฎหมายประกันสังคมดังกล่าวมีหลายประเด็นไม่สอดคล้องกับหลักการ 4 ประการ เพื่อการปฏิรูปประกันสังคม “หลักประกันเพื่อคืนความสุขสู่ประชาชน” ที่เครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) เคยเข้าพบหารือกับรองประธานสภานิติบัญญัติ (นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 แม้บางประเด็นในร่างกฎหมายได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม และสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายประกันสังคมให้ดีไปอีกตามหลักการการปฏิรูปประเทศ โดยขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาแต่งตั้งผู้แทนเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) ซึ่งประกอบด้วย 14 องค์กร เข้าร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคม
(3) เนื่องจากกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ) ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่มีร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) เข้าสู่การพิจารณาคู่ขนานไปด้วยกัน ทําให้การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมาย อาจไม่มีข้อมูลและความเห็นรอบด้านและเป็นปัจจุบัน จึงขอให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคมดังกล่าวด้วย ก่อนที่จะนําไปสู่การลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวให้ใช้บังคับต่อไป
โดยทางนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับดังกล่าวยังไม่ได้เข้าสู่การประชุมเพื่อพิจารณา แต่จะเข้าสู่การพิจารณาในวันพรุ่งนี้ ซึ่งคงยับยั้งหรือชะลอการนำเข้าพิจาารณาไม่ได้ ด้วยทางคณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเข้า หากเครือข่ายฯต้องการให้ชะลอต้องบอกให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดึงร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมออกไปก่อนเพื่อรับฟังข้อเสนอ เมื่อมาสู่การพิจาณาของ สนช.ก็คงอยู่ที่ว่าสมาชิกสภาฯจะเห็นว่าอย่างไร ซึ่งทาง สนช.ก็จะมีการเว้นเรื่องระเบียบข้อบังคับเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขได้ในขั้นกรรมาธิการแรงงาน โดยได้เสนอให้มีนายมนัส โกศล เข้าไปเป็นตัวแทน และมีสัดส่วนของแรงงานอีก 6 คน ซึ่งก็ให้เสนอเข้ามาว่าเป็นใครบ้าง
ทั้งนี้ในวันเดียวกันเครือข่ายฯได้ยื่นหนังสือต่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อให้ทราบว่าทางคณะรัฐมนตรีได้บรรจุร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมเข้า สนช.แล้ว และต้องการให้ สปช.สนับสนุนกระบวนการปฏิรูปประกันสังคมคนทำงานของแรงงานด้วยโดยมี นางสารี อ๋องสมหวัง นายวิทยา กุลสมบูรณ์ และนางสาวสุภัทรา นาคะผิว สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มารับหนังสือ
โดยนางสารี อ๋องสมหวัง สมาชิก สปช.กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกันตนคนหนึ่งก็ได้เห็นถึงความเสียเปรียบของผู้ประกันตนในด้านสิทธิ สวัสดิการ การเข้าถึงสิทธิของกองทุน และเห็นถึงจุดอ่อนของการบริหารจัดการกองทุน และร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับนี้ยังขาดการมีส่วนร่วมจากผู้ประกันตน ด้วยสถานการณ์ที่มีการนำร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมเข้าสู่วาระการประชุมหากผ่านวาระที่ 1 การแก้ไขเพื่อนำเอาข้อเสนอของตัวแทนผู้ประกันตนที่มาร้องในวันนี้เข้าสู่การพิจารณาหลักการใหญ่คงไม่ได้แน่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติของ สนช.
สารี ระบุว่า เห็นด้วยกับการนำร่างออกมาเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ที่ทำได้คือการชะลอร่างกฎหมายฉบับนี้ไว้ก่อน เพื่อสร้างหลักการที่สอดคล้องกัน เพราะบางประเด็นก็ต้องปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมที่มีอยู่ไม่ใช่ลดลง การที่นำร่างกฎหมายประกันสังคมเข้าโดยเร่งด่วนเช่นนี้ถือเป็นการลักไก่ประชาชนผู้ประกันตน
นางสาวสุภัทรา นาคะผิว สมาชิก สปช. กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองจะเข้าไปเป็นตัวแทนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คิดว่าหลักการกระบวนการร่างกฎหมายของภาคประชาชนเพื่อสร้างแนวทางการมีส่วนร่วม โดยการล่าลายมือชื่อต้องทำได้จริง ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมที่ขบวนแรงงานร่วมกับภาคประชาชนช่วยกันลงลายมือชื่อนั้นดีอยู่ในหลักการแต่กลับไม่ได้รับการพิจารณา วันนี้เพียงที่จะนำหลักการมาเสนอต่อ สนช.ให้ชะลอร่างแล้วมาทำกระบวนการร่วมกันใหม่ ตนคิดว่า สนช.ต้องรับฟังข้อเสนอและนำร่างออกมาก่อน ช่วยกันพิจารณาอย่างมีส่วนร่วม
จากนั้นก็มีการประกาศเจตนารมณ์โดยนางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ว่าตามที่เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน 14 องค์กรได้ร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการปฏิรูประบบประกันสังคมนั้น บัดนี้ทางครม.ได้มีมติในการนำร่างกฎหมายประกันสังคมเร่งเข้าสู่การพิจารณา ซึ่งเห็นว่าเนื้อหายังไม่ใช่การปฏิรูปหรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนอย่างแท้จริง หากต้องการปฏิรูปจริงต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนได้มีส่วนร่วมปฏิรูปในครั้งนี้ด้วยการฟังเสียงผู้ประกันตน หากทาง สนช.ยังคงเดินหน้าพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคมฉบับนี้ ทางเครือข่ายฯจะร่วมพลังกันขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิรูประบบประกันสังคมต่อไปเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อผู้ประกันตน
ใบตองแห้งออนไลน์: วิบากกรรม NGO
สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่วันพฤหัสบดีนี้ หลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม คาดว่า สนช.จะผ่านฉลุย มิไยที่เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน 14 องค์กรคัดค้าน ต้องการ "มีส่วนร่วม" แก้ไขประเด็นสำคัญๆ เช่นให้ผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกผู้บริหารกองทุน ไม่ให้อยู่ใต้ระบบราชการกระทรวงแรงงาน
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันเดียวกัน ยังเห็นชอบร่างพ.ร.บ.แร่ ซึ่งองค์กรชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบออกมาค้านเซ็งแซ่ว่า "เอื้อประโยชน์นายทุน" กฎหมายนี้มุ่งตัดอำนาจ "นักการเมืองชั่ว" โดย "กระจายอำนาจ" ออกประทานบัตร ให้ผู้ว่าฯ อธิบดี ปลัดกระทรวง อนุมัติเป็นกรณี จากเดิมที่เรื่องต้องถึงรัฐมนตรี ตอนนี้จะทำ One Stop Service แต่ชาวบ้านบอกว่า Fast Food เสียมากกว่า เพราะบางกรณียังยกเว้นไม่ต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือต่อให้ทับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ก็ให้อำนาจอธิบดีอนุมัติโดยไม่ต้องผ่านคณะรัฐมนตรี (นักการเมืองชั่ว)
นับแต่ คสช.ยึดอำนาจ จนตั้งสนช. ตั้งคณะรัฐมนตรี มีประกาศ คำสั่ง และกฎหมายหลายฉบับ ที่ถูกคัดค้านจาก NGO "ภาคประชาชน" ซึ่งก็ค้านได้เพียงบางเรื่อง แต่หลายเรื่องค้านไม่ได้ ค้านไม่ทัน หรือเกือบไม่รู้ด้วยซ้ำ ภายใต้อัตราฉับไว 5 เดือนมีกฎหมายเข้า สนช. 57 ฉบับ
กระบวนการอนุมัติใน ครม.ยุคกองทัพ ทั้งเฉียบขาด รวดเร็ว และปิดลับ รัฐมนตรีต่างกระทรวงได้อ่านเอกสารก่อนประชุมวันเดียว ไม่มีข่าวรั่วไหลให้สื่อรู้ตาม "ประเพณีประชาธิปไตย" ว่าวันอังคารนี้ ครม.จะพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง NGO จะได้ยกพลมาค้าน ขณะที่สภาซึ่งมีทหารร่วมครึ่ง ก็เชื่อว่ากฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของ ครม.ที่เป็น "ผู้บังคับบัญชา" อยู่ด้วย น่าจะถูกต้องชอบธรรมแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกฎอัยการศึก เอาแค่ความรวบรัด อย่างร่าง พ.ร.บ.ศุลกากร ซึ่งมาตรา 7 ให้อำนาจศุลกากรตรวจค้นสินค้าผ่านแดนหรือถ่ายลำโดยไม่ต้องมีหมายค้น หากเชื่อได้ว่าเป็นภัยก่อการร้ายหรือผิดกฎหมาย ให้ยึดได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล กฎหมายนี้ผ่านสภาโดยแปรญัตติเพียง 7 วัน FTA Watch ต้องไปตามขอคำมั่นว่าจะไม่บังคับใช้กับยา เพราะบริษัทยาข้ามชาติอาจฉวยโอกาสใช้ยึดยาสามัญที่ไม่มีสิทธิบัตร
กฎหมาย ที่ค้านได้ก็อย่าง พ.ร.บ.ยา ซึ่งวิชาชีพเภสัชกรออกมาต้านอื้ออึง เนื่องจากอนุญาตให้วิชาชีพอื่นที่ไม่ใช่แพทย์และเภสัชกรจ่ายยาได้ รวมทั้งเปิดช่องให้พวกคลินิกความงาม คลินิกผิวหนัง กวนยาขายเอง
ถามว่าผู้นำ คสช.ผู้นำรัฐบาลรู้เรื่องไหม ไม่รู้หรอกครับ หลายเรื่องไม่รู้หรือรู้บ้างแต่ไม่รู้รายละเอียด แล้วกฎหมายออกมาได้ไง ก็ส่วนราชการชงขึ้นมาให้ บางเรื่องก็เสนอมาจากภาคธุรกิจ เพราะเมื่อ คสช.ยึดอำนาจก็ใช้ระบบราชการทำงาน และด้วยความที่กลัวปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ต้องการเป็นรัฐประหาร "ปิดประเทศ" ก็เปิดรับฟังภาคธุรกิจขนานใหญ่ แล้วใช้อำนาจเบ็ดเสร็จจัดการปัญหา ในแนวทางที่ท่านคิดว่าถูกต้อง
ยกตัวอย่าง พ.ร.บ.ยา ซึ่งเสนอโดย อย. เป็นกฎหมายที่คั่งค้างมานาน NGO พยายามเสนอกฎหมายประกบแต่ตกไปในยุครัฐบาลเลือกตั้ง พอ คสช.เข้ามาก็ตั้งใจจะเคลียร์ให้เสร็จสรรพ แต่พอผ่านกฤษฎีกาไม่ทราบว่าเนื้อหางอกมาจากไหน กลายเป็นเอื้อประโยชน์ให้หมอคลินิกไปเสียได้
ความรวบรัดเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งอย่างน้อยก็ยังค้านได้ ยังมีเวลา มีโอกาส
อันที่จริงอยากจะบอกว่า "สมน้ำหน้า NGO" เพราะ NGO จำนวนมากมีบทบาทโค่นรัฐบาลเลือกตั้ง ผู้นำแรงงานที่ค้านร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมบางคนก็เป่านกหวีดสนั่น ด้วยความเกลียดนักการเมือง เกลียด "ทุนสามานย์" เพ้อฝันว่าจะมี "ปฏิวัติประชาชน" หรือ "สภาประชาชน" กระทั่งเกิดรัฐประหารก็ยังหวังจะ "มีส่วนร่วม" ปฏิรูป
แล้วเป็นไง ปฏิรูปพลังงาน ก็ได้ รสนา โตสิตระกูล เข้าไปคนเดียวโด่เด่ กระทรวงสาธารณสุข ก็ยังดีที่ปลัดณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่งั้นแพทย์ชนบทขี้แตกกระเจิง
ภายใต้รัฐราชการ เผลอๆ "ภาคประชาชน" เดือดร้อนกว่าเสื้อแดงด้วยซ้ำ ตั้งแต่คำสั่ง คสช.ที่ 64 และ 66 แผนแม่บทพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งกระทรวงทรัพย์ฯ ฉวยมาใช้ไล่รื้อชุมชน ผลักดันชาวบ้านออกจากป่า และป่านฉะนี้ยัง "ตามหาบิลลี่" ไม่เจอ กรณีพิพาทตั้งแต่เหนือจดใต้ โฉนดชุมชน เหมืองแร่ ปากบารา ฯลฯ เมื่อข้าราชการเป็นใหญ่ NGO ก็ร้องไม่ออก
นี่ได้ยินว่ายังจะต่อต้านนโยบายพืช GMO ที่รัฐบาลจะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ยังจะค้านไหวหรือ
ใจหนึ่งอยากบอกว่าสมน้ำหน้า ไหนว่าอยากปฏิรูปกับกองทัพ ก็เจรจากับทหารเองสิครับ แต่ก็พูดเต็มปากไม่ได้อีก เพราะ NGO อีกมากไม่ได้เป่านกหวีด และท้ายที่สุดคนเดือดร้อนคือประชาชน
กระนั้นมาถึงขั้นนี้แล้วทำไง ไม่มีใครช่วยได้ ก็เก็บรับบทเรียนกันไปเถอะว่า "กระบวนการประชาธิปไตย" เท่านั้นที่เป็นหลักประกันให้ภาคประชาชน
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์
พื้นที่พูดคุยเพื่อการหนุนเสริมสันติภาพ
ปฏิบัติ การที่ภาครัฐกำลังดำเนินการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในกรณีปัญหาความไม่สงบ ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงการพูดคุยกับกลุ่มขบวนการ BRN ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในอีกหลายกลุ่มที่เรียกร้องความเป็นอัตลักษณ์ของรัฐปัตตานีด้วยการให้ได้มาซึ่งเอกราชของความเป็นมลายูปัตตานี จากการพบปะชาวบ้าน นักวิชาการ นักพัฒนาจากองค์กรเอกชนหลายภาคส่วน บางส่วนเห็นด้วยกับมิติที่รวดเร็ว ทันด่วน ของรัฐบาลเพื่อไทยที่เกิดกระบวนการลงนามเพื่อให้เกิดกระบวนการเจรจา เพื่อนำไปสู่กระบวนการการสร้างสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนใต้ ถึงแม้ว่ายังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยว่ามีเนื้อหาอะไรแอบอยู่ข้างใน และยังคงมีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งตั้งคำถามว่าเกาถูกที่คันไหม หมายถึงว่าได้แก้ปัญหาตรงจุด ตรงประเด็นหรือไม่ หรือเป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นการขายภาพประชานิยม สร้างความเชื่อมั่นทางฐานเสียงทางการเมืองซึ่งได้กระทำการแต่งตั้งกลุ่มการ เมืองต่างๆ เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นทั้งฝ่ายทางการไทยและมาเลเซีย
กระบวนการพูดคุยเริ่มมีมานานแล้ว อย่างน้อยที่เป็นจริงและไม่น้อยกว่าสิบปี ซึ่งเป็นมีการพูดคุยเป็นรูปแบบไม่เป็นทาง (Informal Dialogue) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความจริงใจของฝ่ายรัฐและฝ่ายกลุ่มขบวนการฯ แต่ไม่สามารถหาความจริงใจได้จากทั้งสองฝ่าย เพราะต่างยืนกระต่ายขาเดียวแสดงจุดยืน (Position) ของตนเองอย่างชัดเจน, มีการปะทะด้านแนวคิดตลอดเวลา รวมถึงการต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรงเข้ามาห้ำหั่น แย่งชิงมวลชนและผลประโยชน์กัน ผลการกระทำเหล่านี้แทบทั้งสิ้นผู้รับชะตากรรมคือชาวบ้านในพื้นที่ไม่ว่าจะ เป็นไทยพุทธหรือมุสลิม ทั้งการปฏิเสธการประนีประนอม (compromise) เพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกันในแนวทางที่ต่างได้รับตอบแทน(win-win) ที่จะไปนำสู่การแก้ปัญหา (Problems solving) จึงไม่สามารถเปิดพื้นที่พูดคุยได้ เพราะไม่มีระบบหรือแนวทางที่จะสามารถรับรองว่าเมื่อมีการเปิดการพูดคุย ทั้งสองฝ่ายจะปลอดภัยจากการถูกลอบทำร้าย
การ เปิดพื้นที่พูดคุยเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรทำมานานแล้วสำหรับระดับนโยบายคือ รัฐบาล ประเด็นหนึ่งที่ควรตระหนักคือไม่ควรลงนามกับทีมใดทีมหนึ่งทีมเดียว ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งและก่อให้เกิดความรุนแรง ประเด็นที่รัฐควรทำความเข้าใจในขณะนี้คือการพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มคนในสังคม ไทยที่ยังขาดความเข้าใจ ขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ ขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ขาดความเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ความเป็นรอยยิ้มสยาม ที่ลบเลือนหายไป และประกอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นประชากรเกือบค่อนประเทศอยู่บนพื้นฐานของ ความสะใจ มีประชากรน้อยมากที่จะอยู่บนพื้นฐานของความเห็นใจ เพราะรับฟังข่าวด้านเดียว เช่นคนไทยทั้งประเทศรับข้อมูลตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชน คงมีเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยในพื้นที่ที่เกิดปัญหา เท่านั้นที่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนี้
สิ่งที่อยากเสนอให้รัฐบาลควรทำในขณะนี้
- สร้างพื้นที่ความปลอดภัยเพื่อให้เกิดความวางใจแก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดการเปิดพื้นที่การพูดคุยรับฟังกับประชาชนทุกภาคส่วน
- ในการเปิดพื้นที่พูดคุยควรมีเครือข่ายที่สามารถเข้าถึงได้และสามารถประสานงานกันได้
- ต้องยอมรับว่ากระบวนการสร้างสันติภาพเป็นแนวทางความดีร่วมกันทุกฝ่าย
ผู้ เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมการจัดเวทีพูดคุยของภาคประชาสังคมในปัตตานีหลายต่อ หลายครั้ง ในประเด็นการพิจารณาหาทางออกร่วมกันว่าเราควรเดินทางไหน สรุปสาระสำคัญคือการสร้างพื้นที่ความปลอดภัยในการพูดคุยเพื่อหาทางออกอย่าง แท้จริง มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา โดยประเด็นปัญหาทั้งหมดที่กล่าวยกมาต้องอยู่บนพื้นฐานของการไม่ใช้ความ รุนแรงและใช้แนวทางสันติวิธีเพื่อให้เกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง
ตำรวจห้ามจัดกิจกรรม ระลึก ลุงนวมทอง แท็กซี่ประชาธิปไตย
ปธน.บูร์กินาฟาโซประกาศภาวะฉุกเฉิน-ยุบสภา
เหตุประท้วงในกรุงวากาดูกูไม่พอใจประธานาธิบดีซึ่งครองอำนาจหลังรัฐประหาร 27 ปี เตรียมแก้ไขกฎหมายเลิกข้อจำกัดวาระดำรงตำแหน่ง - การชุมนุมบานปลายเป็นจลาจลบุกรัฐสภา สุดท้ายประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินให้ผู้นำกองทัพควบคุมสถานการณ์และยุบสภา ยอมเจรจากับฝ่ายค้าน ขณะที่สถานการณ์ยังไม่แน่ชัดว่าจะคลี่คลายไปทิศทางใด
(ซ้าย) แบลส คอมปาโอเร ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซ ซึ่งครองอำนาจมานานถึง 27 ปี และ (ขวา) ธงชาติของบูร์กินาฟาโซ (ที่มา: วิกิพีเดีย/cc)
30 ต.ค. 2557 - ในบล็อกรายงานสดของบีบีซี ที่กรุงวากาดูกู เมืองหลวงของประเทศบูร์กินาฟาโซ ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ผู้ชุมนุมได้ยึดถนนในกรุงอูกาดูกู จุดไฟเผาอาคารรัฐสภา และบุกสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาโกรธที่จะมีการลงมติในสภาเพื่อขยายวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี แบลส คอมปาโอเร ซึ่งครองอำนาจมา 27 ปี นับตั้งแต่ทำรัฐประหารในปี 2530
โดยในขณะที่สถานการณ์ยังคงสับสน ผู้นำฝ่ายค้านของบูร์กินาฟาโซ เซฟิริน ดิอาเบร ได้ทวีตด้วยว่า "พวกเราไม่ยอมรับการขึ้นสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังอาวุธ พวกเราขอให้ท่านเคารพหลักประชาธิปไตย"
Nous ne cautionnons pas la prise du pouvoir par la force. Nous voulons juste le respect de la démocratie. #Burkina#Faso#bf226#lwili
— Zéphirin Diabré (@Zephirindiabre) 30 ตุลาคม 2014
ด้านสหภาพแอฟริกา ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศของชาติในทวีปแอฟริกา ได้ทวีตเช่นกันว่า "พวกเรากำลังติดตามสถานการณ์และขอให้ชาวบูกินาฟาร์โซอยู่ในความสงบ"
มีรายงานด้วยว่าบัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ จะส่งผู้แทนพิเศษเข้ามาสังเกตการณ์บูร์กินาฟาโซด้วย
ขณะที่จำนวนผู้ร่วมชุมนุมในวากาดูกู สามารถชมได้วิดีโอที่โจ เพนนี ช่างภาพรอยเตอร์ ทวีต
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทหารในบูกินาฟาร์โซใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมที่บุกเข้าไปในรัฐสภาด้วย และมีผู้เสียชีวิต 5 ราย โดยมีรายงานด้วยว่า สนามบินของวากาดูกูถูกปิด เที่ยวบินทั้งหมดถูกยกเลิก
ในเวลา 17.07 น. ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซ ได้กล่าวผ่านทางสถานีวิทยุ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยให้ผู้บัญชาการกองทัพเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ประธานาธิบดียังประกาศยุบสภาเพื่อที่จะเจรจากับผู้ประท้วงด้วย และขอให้ผู้นำฝ่ายค้านยุติการประท้วง "ผมขอรับประกันว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะเปิดการเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อยุติความขัดแย้ง"
สำหรับประธานาธิบดี แบลส คอมปาโอเร ครองอำนาจมา 27 ปี นับตั้งแต่ทำรัฐประหารในปี 2530 หลังจากประธานาธิบดีโธมัส ซานคาราถูกสังหารโดยฝีมือของทหารกลุ่มหนึ่ง จากนั้นประธานาธิบดีคอมปาโอเร ได้รับเลือกตั้งในปี 2534 และ 2541
ชนวนที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองรอบใหม่ขึ้นนั้น เกิดขึ้นหลังจากมีการนัดอภิปรายในสภาในวันที่ 30 ต.ค. ในวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่ในปีหน้า ทำให้ผู้ประท้วงฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีคอมปาโอเรไม่พอใจ โดยพยายามบุกรัฐสภา และเผาอาคารในรัฐสภา
นอกจากนี้ในรอบปีมานี้เกิดภาวะค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นในประเทศแห่งนี้ด้วย
เภสัชใต้จี้ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับปรับปรุงใหม่ก่อนส่ง ครม.
ยกฟ้องคดีโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทรัฐบาลยิ่งลักษณ์
กวีประชาไท: นวมทอง ไพรวัลย์
นวม สวมใส่ใจสู้รู้เกณฑ์กฎ
ทอง นั้นคืออนาคตผู้ทุกข์เข็ญ
ไพร ไกลห่างชนชั้นล่างผู้ลำเค็ญ
วัลย์ เลื้อยเด่นเป็นผู้นำปูทาง
นวม สวมชกตามกติกาประชาธิปไตย
ทอง เหรียญชัยมอบให้หัวใจกว้าง
ไพร ทั้งผืนตื่นตามลำดับพลาง
วัลย์ ที่นำทางผลิชูช่องาม
นวม ที่สวมแขวนแล้วอาลัยนัก
ทอง อนาคตที่ฟูมฟักถูกยักษ์ย่ำ
ไพร ไม่มีให้หลบหลีกเลียปีกช้ำ
วัลย์ ผลผลิตนำเป็นพลวัต
นวม จึงถูกหยิบสวมต่อแล้วขึ้นชก
ทอง นั้นคืออนาคตแม้รกชัฏ
ไพร หรือไพร่ตื่นสู้รู้ปฏิบัติ
วัลย์ คืบคลานปฏิวัติ "ประชาชน"
31 ตุลาคม 2557
ครบรอบ 8 ปีการจากไปของ "นวมทอง ไพรวัลย์"
ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สิน ครม. พบ 'ประยุทธ์-คู่สมรส' มี 128 ล้านบาท
ป.ป.ช. แถลงเปิดคดีถอดถอน 'ยิ่งลักษณ์' ต่อ สนช. 12 พ.ย. นี้
ศาลไม่ให้ประกัน รอบสอง คดี 112 ลุงวัย 67 ปีเขียนผนังห้องน้ำห้าง
ที่ศาลทหาร เจ้าหน้าที่นำตัวนายโอภาส (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี ผู้ต้องหาคดี 112 จากกรณีเขียนข้อความในผนังห้องน้ำห้างสีคอนสแควร์ โดยผู้ต้องหาถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.และถูกคุมขังมาจนปัจจุบัน ก่อนหน้านี้เคยยื่นประกันตัวไปแล้วครั้งหนึ่งโดยใช้โฉนดที่ดินมูลค่า 2.5 ล้านบาทแต่ศาลไม่อนุญาต
ในวันนี้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหามายื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 2 ที่ศาลทหารในช่วงเช้า ทนายความผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขอฝากขังครั้งที่ 2 และขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวน โดยคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ เนื่องจากคดีมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ไม่ซับซ้อน คำให้การของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนก็เป็นประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีนี้แล้ว ไม่มีเหตุที่ผูต้องหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้อีก สอบผู้ร้องแล้วยืนยันตามคำร้องฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ที่ยื่นต่อศาล
จากนั้นมีการสอบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแถลงต่อศาลว่า พนักงานสอบสวนได้เร่งรัดทำการสอบสวนมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 ปาก รอผลการพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องถูกหล่าวหาว่ากระทำผิดข้อหาร้ายแรงตามคำแถลงของพนักงานสอบสวน ปรากฏว่ายังมีเหตุจำเป็นที่จะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ในระหว่างสอบสวนต่อไป
ศศินันท์ ธรรมนิฐินัน
ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น.ศาลทหารมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาโดยระบุว่า
“พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลนี้เคยสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง แจ้งผู้ต้องหาและผู้ยื่นคำร้องทราบ”
ทั้งนี้ โอภาสถูกจับวันที่ 15 ต.ค.โดยเจ้าหน้าที่ของห้างซีคอนสแควร์เป็นผู้นำตัวส่งหทาร หลังเขายอมรับและเสียค่าปรับทำห้องน้ำห้างสกปรก 2,000 บาท ต่อมาพ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญได้นำตัวโอภาสมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กองบังคับการปราบปรามก่อนนำตัวไปขอฝากขังที่ศาลทหาร
โอภาส เป็นชายวัย 67 ปีชาวกรุงเทพฯ มีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ด เขากล่าวว่า ไม่เคยร่วมชุมนุมแต่อย่างใด และเป็นผู้ติดตามการเมืองเพียงห่างๆ จนกระทั่งในราวปี 2552 ได้เจอคลื่นวิทยุชุมชนทั้งฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงโดยบังเอิญจึงรับฟังมานับแต่นั้นมา และพบว่าชอบฟังสถานีของฝ่ายเสื้อแดงมากกว่า แต่ก็จะเลือกฟังเฉพาะดีเจบางคน เขายืนยันว่าไม่ได้ถูกล้างสมองจากวิทยุชุมชนตามที่เจ้าหน้าที่ทหารพยายามแถลงข่าวไปในแนวทางดังกล่าว
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันคดี 112 มีอยู่เกือบ 20 คดี ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 คดีที่ถูกส่งไปดำเนินคดียังศาลทหาร คดีล่าสุดคือคดีของโอภาสนับเป็นคดีที่ 2 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดหลังรัฐประหาร (คดีทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่จังหวัดเชียงรายนับเป็นกรณีแรก) นอกเหนือจากนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร
5 วิธีใช้ 'โดรน' ให้เป็นประโยชน์ต่อโลก
แม้ว่า 'โดรน' หรือเครื่องบินไร้คนขับมักจะถูกใช้เป็นอาวุธโจมตีจนกลายเป็นกรณีอื้อฉาวสำหรับกองทัพสหรัฐฯ แต่สื่อต่างประเทศก็นำเสนอการใช้เทคโนโลยีนี้ในมุมอื่นๆ ที่บางมุมก็เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์เช่นการใช้ช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ หรือช่วยพัฒนาด้านการขนส่งลำเลียง
ภาพโดย Don McCullough (CC BY 2.0)
30 ต.ค. 2557 สำนักข่าวโกลบอลโพสต์นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องบินไร้คนขับควบคุมจากระยะไกลหรือ 'โดรน' โดยระบุว่าแม้โดรนจะถูกนำมาใช้เป็นอาวุธอันตรายที่สังหารคนจำนวนมาก แต่ก็มี 5 วิธีการที่จะทำให้เทคโนโลยีโดรนกลายเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้
สำนักงานข่าวสืบสวนสอบสวนของอังกฤษซึ่งเป็นผู้คอยติดตามเฝ้าระวังการใช้งานโดรนระบุว่ามีคนจำนวนมากถูกโดรนสังหารเช่นในประเทศปากีสถาน โซมาเลีย และเยเมน อย่างไรก็ตามในตอนนี้กำลังมีการจับตาโดรนในบทบาทใหม่ซึ่งไม่ใช่การสังหารผู้คนแต่เป็นการช่วยเหลือทำให้โลกดีขึ้น รวมถึงการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น โครงการ 'ไพร์มแอร์' ของอมาซอน และโครงการ 'โปรเจกต์วิง' ของกูเกิลซึ่งกำลังทดลองใช้โดรนในการช่วยส่งสินค้าตามบ้าน
ทางด้านนักช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็กำลังศึกษาการใช้โดรนเพื่อช่วยงานในด้านนี้โดยมีการศึกษาประสิทธิภาพและผลกระทบเช่นงานศึกษาจากศูนย์วิจัยด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของนอร์เวย์
แพทริก ไมเออร์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมสังคมจากสถาบันวิจัยวิชาการคอมพิวเตอร์ของกาตาร์ประเมินว่าการใช้โดรนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนพบเห็นได้ทั่วไป จากช่วงเริ่มต้นที่อาจจะมีราคาสูงมากหลายแสนดอลลาร์ แต่จะเริ่มถูกขึ้นจนเท่ากับราคาโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังจะมีความซับซ้อนมากขึ้น มีการใช้งานอัตโนมัติมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น ขณะที่ขนาดจะเล็กลง เบาลง และปลอดภัยมากขึ้น
แต่ก็มีกรณีที่ผู้มีอำนาจควบคุมพยายามควบคุมการใช้โดรนและนักวิจัยก็ยังมีความกังวลว่าผู้ผลิตให้กองทัพอาจจะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อขยายตลาดใหม่ในขณะที่ทำให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ดูดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการเอาป้ายแปะโดรนที่ตนเองต้องการจะโปรโมทว่า "เป็นการใช้ช่วยเหลือในเชิงมนุษยธรรม"
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวโกลบอลโพสต์นำเสนอวิธีการใช้งานโดรนในทางที่ไม่ใช่การสังหารผู้คนเอาไว้ 5 วิธีดังนี้
1. ใช้โดรนเพื่อคุ้มกันสัตว์ป่า
นักกิจกรรมด้านสัตว์ที่เป็นขาโหดอาจจะอยากได้โดรนล่าสังหารไว้จัดการกับพวกล่าช้างล่าแรด แต่ที่จะกล่าวถึงในตอนนี้ไม่ใช่โดรนจำพวกนั้น แต่เป็นโดรนที่ใช้ในการติดตามการเคลื่อนที่ของสัตว์ เช่นในองค์กรอนุรักษ์โอลเพฮาตาที่ประเทศเคนยามีการทดลองใช้โดรนขนาดกว้าง 6 ฟุตครึ่งเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของสัตว์
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนใช้โดรนในการติดตามการบุกรุกล่าสัตว์ในพื้นที่ 90,000 เอเคอร์ ซึ่งถือว่ากว้างมาก หรือใช้โดรนเพื่อปฏิบัติงานประจำวันของอุทยาน ช่วยเหลือนำทางนักท่องเที่ยว รวมถึงช่วยงานเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งเป็นงานอันตรายเช่นการขับไล่ผู้บุกรุกล่าสัตว์
นอกจากในเคนยาแล้วประเทศนามิเบียและอินเดียยังวางแผนจะนำโดรนมาใช้ในการคุ้มครองสัตว์ป่าด้วย
2. ใช้ในการรับมือเชิงมนุษยธรรม
ถึงแม้ว่าคริสติน แซนด์วิค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของนอร์เวย์จะกล่าวว่า "การระบุถึงปัญหาวิกฤติด้านมนุษยธรรมเป็นคำถามเชิงการเมืองและการใช้โดรนจะไม่สามารถช่วยเหลือพวกเราด้านข้อจำกัดทางการเมืองหรือทรัพยากรได้" แต่ก็เริ่มมีการนิยมใช้โดรนเพิ่มมากขึ้นในการรับมือเชิงมนุษยธรรมแล้ว
ทางด้านแพทริก ไมเออร์ ผู้ก่อตั้งเครือข่ายให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมโดยเครื่องบินไร้คนขับหรือ UAViators กล่าวว่า ในตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นสำหรับการใช้โดรนให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่การใช้โดรนในการนี้ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาสำนักงานสหประชาชาติในนิวยอร์กก็เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของเหล่าผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต และคนทำงานให้ความช่วยเหลือ เพื่อหารือเรื่องการใช้โดรนในทางมนุษยธรรม ซึ่งไมเออร์บอกว่ามีหน่วยงานราว 20 หน่วยงานที่สนใจการใช้โดรนในแง่นี้
วิธีการใช้โดรนในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ได้แก่ การช่วยฟื้นฟูและดูแลด้านสุขภาวะหลังเกิดภัยพิบัติ การทำแผนที่วิกฤตการณ์เพื่อส่งความช่วยเหลือ ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย รวมถึงการสอดส่องดูแลด้านสิทธิมนุษยชน ในบางกรณีโดรนยังอาจช่วยเหลือร่วมกับการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลาย อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงวัตถุในสถานที่ๆ เข้าถึงยากหรือมีอันตรายด้วย
3. ใช้กับงานด้าน "รักษาสันติภาพ"
เมื่อเดือน ธ.ค. 2556 สหประชาชาติหรือยูเอ็นได้ใช้โดรนของพวกเขาเป็นครั้งแรกที่ทางภาคตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกซึ่งเป็นเขตที่เต็มไปด้วยป่าเขามีกองกำลังติดอาวุธหลากหลายทั้งกลุ่มเล็กและใหญ่ ซึ่งถือเป็นการขยายผลภารกิจรักษาสันติภาพของยูเอ็น
โดรนที่ใช้นี้ไม่ใช่โดรนล่าสังหารแต่เป็นโดรนรุ่น 'เซเล็กซ์อีเอส ฟัลโค' (Selex-ES Falco) ซึ่งนำมาใช้ลาดตระเวนสอดส่องการค้าอาวุธผิดกฎหมายหรือการเคลื่อนพลของกลุ่มติดอาวุธ นอกจากนี้ยังช่วยค้นหาการค่ายของกลุ่มติดอาวุธเพื่อชี้นำปฏิบัติการของกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นและกองทัพคองโก ช่วงที่โดรนของยูเอ็นบินกลับในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มีการพบเหตุเรือล่มระหว่างทางที่ทะเลสาบคีวูจนพวกเขาสามารถส่งเรือกู้ภัยช่วยเหลือคนได้ 17 คน
กลุ่มให้ความช่วยเหลือบางส่วนยังคงไม่ไว้ใจการใช้โดรนโดยปฏิเสธที่จะแบ่งปันข้อมูลเพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง แต่ฝ่ายปฏิบัติการรักษาสันติภาพของยูเอ็นเชื่อว่าพวกเขาประสบความสำเร็จโดยมีคองโกตะวันออกเป็น "หนูทดลอง" ซึ่งตอนนี้พวกเขายังได้นำโดรนไปใช้กับประเทศมาลี และกำลังวางแผนใช้กับสาธารณรัฐแอฟริกากลางรวมถึงปฏิบัติการในที่อื่นๆ ทั่วโลก
4. ใช้เพื่อขนส่งพัสดุ
ขณะที่กลุ่มให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกำลังพิจารณาใช้โดรนในการช่วยเหลือลำเลียงสิ่งให้ความช่วยเหลือไปในเขตที่เกิดภัยพิบัติ องค์กรบางแห่งก็กำลังคิดนำโดรนมาใช้กับการขนส่งเครื่องใช้ประจำวัน บ้างก็คิดว่าจะใช้โดรนในการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐานในระดับก้าวกระโดด เช่น โครงการ "ลาบินได้" ที่พยายามดัดแปลงการขนส่งสินค้าในเคนยาด้วยการใช้โดรนแทนลา ผู้นำเสนอพยายามอธิบายกับคนแก่ในเคนยาว่าโดรนก็เปรียบเสมือนลาที่บินบนท้องฟ้าได้
บริษัทอโฟรเทควางแผนออกแบบโดรนไว้ใช้ในเคนยาเพื่อ "ขนส่งพัสดุในระดับกลางเดินทางในระยะทางระดับกลางเพื่อส่งไปในเมืองระดับกลาง" แต่เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาความพยายามทดสอบโดรนนี้ก็ถูกทางการเคนยาควบคุมการดำเนินการ แต่ผู้วางแผนใช้โดรนยังคงเดินหน้าผลักดันให้มีการใช้ในประเทศใกล้เคียง
เจ.เอ็ม เลดการ์ด ผู้วางแผนริเริ่มใช้โดรนในประเทศแถบแอฟริกาบอกว่าเขามีเป้าหมายต้องการวางเส้นทางบินของโดรนเพื่อการค้าเป็นแห่งแรกในแอฟริกาภายในปี 2559 โดยพัสดุที่โดรนจะนำส่งอย่างแรกคือคลังโลหิตที่ใช้ถ่ายให้ผู้ป่วยหรือบาดเจ็บเพื่อช่วยชีวิตโดยวางเส้นทางนำส่งเป็นระยะทาง 50 ไมล์ หลังจากนั้นจะพัฒนาให้สามารถขนน้ำหนักได้มากขึ้นเป็น 44 ปอนด์ และมีระยะการเดินทางหลายร้อยไมล์เพื่อขนส่งพัสดุในเส้นทางกันดาร
5. ใช้เพื่อทำแผนที่วิกฤตการณ์
หลังเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนพัดถล่มฟิลิปปินส์ในเดือน ก.ย. ปี 2556 มีการใช้โดรนแบบ 4 ใบพัดเพื่อช่วยระบุตำแหน่งแก่นักให้ความช่วยเหลือว่าควรจะตั้งแคมป์ตรงไหนและมีจุดไหนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ขณะที่โดรนแบบปีกเครื่องบินจะทำหน้าที่เก็บภาพถ่ายทางอากาศเพื่อทำแผนที่รายละเอียดในแบบ 2D และ 3D ในเรื่องผลกระทบจากไต้ฝุ่นที่มีต่อเมืองทาโคลบาน
การทำแผนที่วิกฤตการณ์ด้วยโดรนจะช่วยให้การรับมือต่อเหตุฉุกเฉินของคนทำงานให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งต้องการความช่วยเหลือได้เร็วขึ้น แซนด์วิคกล่าวว่ากรณีในเมืองทาโคลบานเป็นข้อพิสูจน์ว่าเครื่องบินโดรนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ได้จริง
เรียบเรียงจาก
5 ways drones are making the world a better place (without killing anyone), Globalpost, 25-10-2014
http://www.globalpost.com/dispatch/news/business/innovation/141024/drones-wildlife-humanitarian-peacekeepers
วาด รวี: เพลงลาจากของนวมทอง ไพรวัลย์
นวมทอง ไพรวัลย์ฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 เขาจงใจสังหารตนเองในเดือนตุลาคม ด้วยเหตุผลว่าเพราะเป็นเดือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ผมสงสัยมาตลอดว่านวมทองเลือกเดือนผิดหรือไม่ ยิ่งเมื่อคิดถึงพฤติกรรมของบรรดา “วีรชนเดือนตุลา” จำนวนมากที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และยิ่งเมื่อย้อนทบทวนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ตุลาคมปี 2516 เดือนตุลาคมสมควรเป็นเดือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่? “คนเดือนตุลา” มีจิตใจและการกระทำสมควรแก่การยกย่องและโอ่อวดมาตลอด 41 ปีที่ผ่านมาหรือไม่?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนวมทองก็เลือกไปแล้ว และการเลือกของเขาก็ช่วยต่อชีวิตและจิตวิญญาณให้กับสัญลักษณ์เดือนตุลาคมที่ผูกพันกับประชาธิปไตย
นวมทอง ไพรวัลย์ไม่ได้ฆ่าตัวตายครั้งเดียว แต่ทำทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกเขาขับรถแท๊กซี่พุ่งชนรถถัง การแลกชีวิตครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ เขารอดตาย แต่ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง “แท็กซี่ขับชนรถถัง” เพื่อประท้วงการรัฐประหาร
ตามที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา หลังจากฆ่าตัวตายครั้งแรกไม่สำเร็จ เขาไม่ได้คิดที่จะทำอีก แต่ตั้งใจจะกลับไปทำมาหากินตามปรกติ แต่เมื่อมีนายทหาร คมช. ออกมาสบประมาทว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์พอที่จะตายได้หรอก” นวมทอง ไพรวัลย์จึงตัดสินใจอีกครั้ง...
เป็นการตัดสินใจท่ามกลางการมอบดอกไม้และถ่ายรูปกับรถถังของชนชั้นกลาง ท่ามกลางความเงียบใบ้ หรือไม่ก็แอบเชียร์รัฐประหารของปัญญาชน นักเขียน บรรณาธิการ... ผมจำได้ว่าตอนนั้น การตายของนวมทอง ไพรวัลย์ สั่นสะเทือนผมอย่างรุนแรง เป็นเหมือนมือที่ตบผลัวะเข้าที่ใบหน้าในขณะที่ผมกำลังเกือบจะเคลิ้มไปกับคำออกตัวต่าง ๆ นานาเพื่อจะไม่คัดค้านต่อต้านการรัฐประหารของบรรดาปัญญาชน นักเขียน บรรณาธิการ... ล้วนเป็นคนที่ผมเคยนับถือทั้งสิ้น
ความตายของนวมทองเปรียบได้กับมือที่ตบหน้าผมให้ตื่นขึ้นจากความหลอกหลวง หลับใหล หรือแม้แต่กะล่อนของคนเหล่านั้น และทำให้ผมมองพวกเขาใหม่อีกครั้งด้วยดวงตาที่กระจ่างแจ้งกว่าเดิม
การฆ่าตัวตายของนวมทองเป็นการกระทำของ “ผู้ตื่นรู้” ที่ถือครองอำนาจของการปลดปล่อยอย่างแท้จริง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และเป็นอดีตทหารชั้นผู้น้อย ไม่ใช่ปัญญาชน นักวิชาการโก้หร่าน นักเขียน กวี ใหญ่คับกะลา พ่นน้ำลายปนน้ำหมึกตอแหลหลอกลวงเทศนาโอ้อวดตัวว่าตื่นว่ารู้และคอยเก็บเกี่ยวอ้าปากรับเศษผลประโยชน์ที่กระเด็นมาเข้าปากตัวเอง
ท่วงทีแห่งการตายของเขาคือหลักฐานว่านวมทอง ไพรวัลย์ไม่ใช่คนสิ้นคิด และไม่ใช่คนไม่รักชีวิต การฆ่าตัวตายของเขาไม่ใช่การปราศจากศรัทธาที่จะมีชีวิตต่อ ไม่ใช่การพยายามวิ่งหนีจากอะไร แต่เป็นการออกไปเผชิญหน้า ออกไปรบ...ก้าวสู่สมรภูมิที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับการปลุกผู้คนและทำลายความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ก่อนตายเขาอัดเทปและฝากเพลง “ลูกแก้วเมียขวัญ” ถึงครอบครัว แสดงให้เห็นถึงความอาลัยอาวรณ์อย่างซื่อสัตย์จริงใจ ไม่ต้องการจากผู้เป็นที่รัก ทว่า สมรภูมิรออยู่เบื้องหน้า และเขาต้องออกไปแลกชีวิตกับมัน และนี่คือความหมายมนุษย์ที่ยืนหยัดอยู่บนส้นตีนและศักดิ์ศรีของตน ไม่ใช่ฝุ่นละอองใต้ฝ่าเท้าหรือไม้เถาที่ต้องเลื้อยพันสิ่งอื่น
ลาก่อนเถิดหนาจอมขวัญ
เพลาสายัญพี่จะต้องจากไปทัพ
อยู่บ้านจงหมั่นดูแล ดูลูกดูแม่กว่าผัวจะกลับ
แม้นเสร็จศึกทัพ แล้วพี่จะกลับมาเชย
อยู่บ้านเถิดหนานวลเนื้อ
ผู้ชายพายเรือน้องอย่าได้เชื่อคำเลย
สงวนทรามเชยไว้อย่าให้เปื้อนราคี
อยู่บ้านหมั่นสวดมนต์สวดพร
ก่อนหลับก่อนนอนวอนคุณพระให้ช่วยที
ถ้าแม้นบุญมีแล้วพี่คงได้กลับมา
ไก่แก้วตะโกนแว่วร้อง แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า
ถึงเวลาแล้วพี่ต้องจากบังอร
จูบลูกเป็นครั้งสุดท้าย โอ้ยอดดวงใจพ่อต้องลาไปก่อน
ขวัญเอยขวัญอ่อนจงสุขสบาย
อยู่บ้านอย่ากวนแม่นัก
ลูกเอ๋ยลูกรักจงอย่าเที่ยวให้ไกล
โรงร่ำโรงเรียนเจ้าจงได้หมั่นเพียรไป
สางแล้วไก่แก้วแว่วมา
ถึงเวลาแล้วที่พ่อต้องจากไกล
ต้องขอลาไปแล้วลูกแก้วเมียขวัญ
ยิ่งลักษณ์-ทักษิณไหว้บรรพบุรุษที่เหมยเซียน มณฑลกวางตุ้ง
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนเดินทางไปเคารพบรรพบุรุษที่เหมยเซียน เมืองเหมยโจว ในมณฑลกวางตุ้ง
31 ต.ค. 2557 - เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโพสต์ภาพยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่อำเภอเหมยเซียน เมืองเหมยโจว ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวจีนฮากกา หรือจีนแคะ อยู่ติดต่อกับเมืองซัวเถา ถิ่นฐานของชาวจีนแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง
ที่มาของภาพ: เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ในเฟซบุ๊คเพจของยิ่งลักษณ์ยังมีการโพสต์สเตตัสว่า
"วันนี้เดินทางมาที่เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว เพื่อมาเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เรียกว่ายายทวด และไปดูบ้านที่แม่เคยอยู่ตอนช่วงอายุ 9 ถึง 13 ขวบตอนตามคุณตามาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่จะอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกงและนั่งเรือจากฮ่องกงเพื่อมายังประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบญาติที่ยังเหลืออยู่ในรุ่นหลานซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับดิฉันและพี่ชาย ท่านทักษิณได้ใช้เวลาในการสืบหาสถานที่นี้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านเป็นนายกฯจากคำบอกเล่าของคุณแม่และท่านก็เคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่มาเยือนเมืองจีนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญมาครั้งนี้มีข่าวดีเพิ่มคือมีโอกาสได้ไปเคารพหลุมฝังศพและบ้านที่เคยอยู่ของสายคุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 300 ปี ต้องขอขอบคุณฝ่ายทางการจีนที่ช่วยสืบหาให้จนพบต้นกำเนิดบรรพบุรุษสายทางคุณพ่อด้วยค่ะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกที่บรรพบุรุษสายคุณพ่อและคุณแม่ มาจากมณฑลเดียวกัน อยู่ห่างกันเพียง 3 ชม หากเดินทางโดยรถยนต์"