Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

ประธานอิสลามปัตตานีเสียใจ คาร์บอมบ์ซีเอส ยันผิดหลักศาสนา

$
0
0

ประธานกรรมการอิสลามปัตตานียันระเบิดคาร์บอมบ์ที่ รร.ซีเอสปัตตานี ผิดหลักศาสนาอิสลาม แม่ทัพย้ำผู้ก่อเหตุเป็นพวก “สุดโต่ง” วอนพี่น้องมุสลิมปฏิเสธ เลขาฯ ศอ.บต. แจงเร่งฟื้นฟูซีเอส สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม 2555 พล.ท. อุดมชัย  ธรรมสาโรรัชต์  แม่ทัพภาค 4 และผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาคสี่ส่วนหน้า พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และนายแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานีได้เข้าเยี่ยมดูสถานที่เกิดเหตุระเบิดด้านหลังโรงแรมซีเอส ปัตตานี  โดยมีนายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล เจ้าของโรงแรมซีเอส.ปัตตานีและสมาชิกวุฒิสภาให้การต้อนรับ

นายแวดือราแมกล่าวว่า “ผมในฐานะเป็นตัวแทนของผู้นำศาสนาและบ้านเกิดอยู่ที่นี่ อันดับแรกก็ต้องแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความคิดของผมเองก็ไม่อยากให้เกิด เพราะว่าเรื่องนี้ผิดกับหลักศาสนาเป็นความคิดนอกกรอบนอกระบบ โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอนเป็นเดือนมหาประเสริฐยิ่ง ให้ทุกคนเป็นบ่าวอัลลอฮ์  ทุกคนอยู่ในเดือนนี้ก็ต้องสนับสนุนส่งเสริมให้ทำความดี” 

“ต้องอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนในเดือนรอมฎอน  ต้องทำบุญและศาสนกิจที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนอื่นเดือดร้อน  ทุกคนก็เดือดร้อน มันก็กระทบกับหลายๆ เรื่อง หลายๆ ด้าน ซึ่งก็ผิดกับหลักศาสนาตามที่ท่านศาสดาได้กำหนด” นายแวดือราแมกล่าว

นายแวดือราแมระบุว่าในการแก้ไขปัญหาเรื่องความรุนแรงนั้นจะต้องส่งเสริมให้ชาวมุสลิมและชาวพุทธอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความรักและสามัคคี

เหตุคาร์บอมบ์เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ที่ถนนเทศบาล 5 บริเวณด้านหลังโรงแรมซีเอสปัตตานี  แรงระเบิดทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าของโรงแรมเสียหาย ผนังอาคารที่อยู่ใกล้ๆ มีรอยร้าว ไฟไหม้ในบริเวณโรงครัวด้านข้างและในห้องพักชั้น 7 ของโรงแรม  กระจกห้องพักด้านหลังแตกเกือบทั้งหมด   โดยมีผู้บาดเจ็บจากการถูกกระจกบาด 5 คน

แม่ทัพภาคสี่ยันใช้กม. จัดการ “ผู้สุดโต่งทางความคิด”

พล.ท. อุดมชัย กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องพร้อมในการทำเกิดสันติสุขภายใต้หลักกฎหมาย แต่เราก็จะใช้การปฏิบัติอย่างเข้มข้นต่อ “ผู้ที่สุดโต่งทางความคิด” ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อพี่น้องมุสลิม

“ถ้าพี่น้องไม่เห็นด้วย ครั้งนี้ครับ เราต้องออกมาปฏิเสธการก่อเหตุของพวกเขา ถ้าเราอยู่เฉยอยู่ เขาก็จะได้ใจและทำให้พี่น้องมุสลิมเสียหาย”  พล.ท. อุดมชัยกล่าว “เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการทำความดี  คนที่ฆ่ามนุษย์ คนที่ทำลายหรือทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไม่ใช่มุสลิม”

แม่ทัพภาค 4 ได้เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีอยู่ไม่มากแล้ว แต่ว่าในสงครามลักษณะนี้ “กำลังน้อยก็จะต้องทำให้เป็นกำลังมาก”  เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันมวลชนของเขา เพราะเขาไม่ต้องการให้พี่น้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

“ภายในเขาก็รู้ดีว่า สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถูกต้องคือความรุนแรง  ผมยืนยันว่าผมสนับสนุนการต่อสู้ของพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกเรื่อง  ยกเว้นการต่อสู้ด้วยอาวุธ” พล.ท. อุดมชัยกล่าว

พล.ท.อุดมชัยชี้แจงว่าพลเรือน ตำรวจ ทหารพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่  แต่ว่าต้องขอร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการช่วยกันให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่  หากมีอะไรผิดสังเกตขอให้แจ้งที่เบอร์ 1341 เจ้าหน้าที่ก็พร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบ

เลขาฯ ศอ.บต. ยันเร่งฟื้นฟูซีเอส เรียกคืนความเชื่อมั่น

ด้านพ.ต.อ. ทวีระบุว่าได้นำเจ้าหน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมืองทั้งจากส่วนกลางและในท้องที่มาประเมินความเสียหาย  แต่ว่าในเบื้องต้นก็จะต้องทำให้มีไฟฟ้าใช้ภายในโรงแรมก่อน

“นี่เป็นวิธีการทำลายความเชื่อมั่น  โรงแรมแห่งนี้เป็นเหมือนสถาบัน เราเองก็ต้องเร่งฟื้นฟู เยียวยา  ...อันนี้เป็นการทำลายอนาคตของพี่น้องประชาชน” พ.ต.อ. ทวีกล่าว

เลขาฯ ศอ.บต. ได้ชี้แจงว่าจะต้องส่งเสริมให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนในการร่วมเป็นอาสาสมัครพิทักษ์เมืองมากขึ้น  เพราะว่าบางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนนอกพื้นที่ ความสามารถในการสังเกตอาจจะสู้คนในพื้นที่ไม่ได้

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของหน่วยใดหน่วยหนึ่ง  ผมคิดว่าชัยชนะหรือสันติสุขต้องให้ประชาชนมาช่วย” พ.ต.อ. ทวีกล่าว  

รองโฆษก กอ.รมน. แจงเพิ่มการรักษาความปลอดภัย 7 อำเภอเศรษฐกิจ

พ.อ. ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองโฆษกกอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวว่าทางหน่วยงานได้เตรียมแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย ด้วยการบูรณาการปฏิบัติร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กอ.รมน. ,ศอ.บต. และ 17 กระทรวงหลัก 66 หน่วยงานให้มีเอกภาพ โดยการจัดทำแผนปฏิบัติให้สอดคล้องกับ 29 เป้าหมายร่วมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ

โดยในระยะเร่งด่วน จะให้มีการรักษาความปลอดภัยในเขตพื้นที่ 7 หัวเมืองเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วยอำเภอเมืองในจ. ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมทั้งเขตเศรษฐกิจอีกสี่อำเภอได้แก่ อ.เบตง จ.ยะลา, อ.ตากใบ, อ.สุไหงโก-ลก ใน จ.นราธิวาส และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยจะมีการรักษาความปลอดภัยสูงสุดด้วยวิธีการเสริมยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น CCTV, เสริมกำลังทหารดูแลในเขตเมืองให้มากขึ้น รวมทั้งการทบทวนการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย (safety zone ) ให้มีความเหมาะสม

พ.อ. ปราโมทย์ชี้แจงว่าจากการตรวจสอบของหน่วยในพื้นที่และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สน้ำหนักประมาณ 50 กก. บรรทุกในรถยนต์ปิ๊กอัพอีซูซุแบบตอนเดียวสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 8515 ปัตตานซึ่งตรวจสอบแล้วเป็นรถยนต์ซึ่งถูกปล้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 ในพื้นที่ ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี โดยในเหตุการณ์ดังกล่าวคนร้ายซึ่งแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ได้ปล้นชิงทรัพย์และฆ่าราษฎรชาวมุสลิมเสียชีวิต 3 คน สำหรับทะเบียนรถดังกล่าวพบว่าเป็นทะเบียนป้ายปลอม โดยป้ายทะเบียนจริงคือ ถล  8099 กทม.  

เจ้าของ รร. ซีเอสปัตตานีครวญเสียหายหนัก

นายอนุศาสน์กล่าวว่าเหตุระเบิดในครั้งนี้แม้ไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต  แต่โรงแรมได้รับความเสียหายมากกว่าเหตุระเบิดในปี 2551

โรงแรมซีเอส ปัตตานีเคยถูกลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ในวันที่ 13 มีนาคม 2551 ที่บริเวณด้านหน้าโรงแรม ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนและบาดเจ็บ 13 คน   

“ห้องพักน่าจะปรับปรุงได้เร็ว เพื่อให้สามารถรับแขกที่มาพักได้ แต่การกู้ภาพลักษณ์เรื่องความปลอดภัย รวมทั้งขวัญกำลังใจของพนักงาน คงเป็นเรื่องยาก” นายอนุศาสน์กล่าว

นายอนุศาสน์ชี้แจงว่าก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์แล้วว่าอาจมีการลอบวางระเบิดในจ.ปัตตานีในช่วงเดือนรอมฎอนนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุคาร์บอมบ์ขึ้นแล้วที่จ. ยะลาและนราธิวาส  แต่ตนคาดว่าการวางระเบิดในจ.ปัตตานีน่าจะเกิดในเขตเทศบาลหรือย่านเศรษฐกิจมากกว่า

นายอนุศาสน์เปิดเผยด้วยว่าทางโรงแรมไม่ได้ทำประกันที่คุ้มครองการก่อวินาศกรรมไว้  เพราะว่าหาบริษัทที่รับประกันยากหรือไม่ก็ต้องวางเงินประกันสูงมาก  ซึ่งเรื่องนี้ตนเคยนำไปคุยในวุฒิสภาแล้ว แต่เมื่อผ่านไป เรื่องก็เงียบ  ที่เคยเสนอไว้ก็คือจะขอให้รัฐบาลเข้ามาดูแลส่วนหนึ่งและบริษัทประกันเข้ามาดูแลด้วยส่วนหนึ่ง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวฟูกุชิมาบอก 'ไม่เอา' นิวเคลียร์ หลังรบ. ทำเวทีประชาพิจารณ์

$
0
0

ประชาชนชาวฟูกุชิมากว่า 90% คัดค้านการเปิดใช้โรงงานนิวเคลียร์อีกครั้ง เหตุยังเกรงภัยซ้ำซ้อนจากวิกฤติการณ์โรงงานนิวเคลียร์ระเบิดเมื่อปีที่แล้ว โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาประชาชนหลายหมื่นคนได้เดินขบวนคัดค้านหน้ารัฐสภาเพื่อคัดค้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ด้วย  

 1 ส.ค. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นได้จัดทำเวทีประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นเรื่องนโยบายพลังงานที่เมืองฟูกุชิมาในวันนี้ ประชาชนฟูกุชิมาต่างแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ และต้องการให้ยุติการใช้โรงงานนิวเคลียร์ เหตุยังกลัวซ้ำรอยการระเบิดของโรงงานนิวเคลียร์ฟูกุชิมาหลังเกิดคลื่นสึนามิในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว

"ฉันต้องการให้โรงงานนิวเคลียร์ทุกแห่งในญี่ปุ่นปิดลงและยุติการทำงานโดยทันที" ผู้หญิงผมสีเทาคนหนึ่งกล่าวในเวทีประชาพิจารณ์ เธอแนะนำตนเองว่าเป็นชาวนาที่อยู่ห่างไปจากโรงงานฟูกุชิมาไป 65 กิโลเมตร

"ตอนนี้คนหลายคนได้รู้แล้วว่า คำที่รัฐบาลบอกว่า 'ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพในทันที' ที่จริงแล้วมันหมายถึง 'ความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว' ต่างหาก" เธอพูด ตามด้วยเสียงปรบมือของคนอีก 200 คนในเวทีประชาพิจารณ์ในฟูกุชิมา 

ทั้งนี้ ทางการญี่ปุ่นได้จัดทำเวทีประชาพิจารณ์ทั้งหมด 11 แห่งทั่วประเทศ โดยจัดที่เมืองฟูกุชิมาเป็นครั้งที่ 9 เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าด้วยเรื่องนโยบายพลังงานของประเทศ โดยมีสามตัวเลือกเป็นข้อเสนอแก่ประชาชน ได้แก่ 1) เริ่มการใช้พลังงานนิวเคลียร์ต่อเนื่องเลยทันที 2) ให้ใช้พลังงานนิวเคลียร์คิดเป็นร้อยละ 15 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030 หรือ 3) ให้ใช้พลังงานนิวเคลียร์คิดเป็นร้อยละ 20-25 ของพลังงานทั้งหมดภายในปี 2030 

โดยผลที่ออกมาพบว่า ประชาชนชาวฟูกุชิมาได้เลือกตัวเลือกแรกกันอย่างถล่มทลาย ในขณะที่ หนังสือพิมพ์อาซาฮีของญี่ปุ่นรายงานว่า ร้อยละ 70 ของประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ได้เข้าร่วมในเวทีความคิดเห็นในที่อื่นๆ เลือกที่จะไม่ให้มีการใช้พลังงานนิวเคลียร์เลย แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ผลการประชาพิจารณ์ที่ออกมาจะมีผลอย่างไรต่อการกำหนดนโยบายพลังงานที่อาจจะออกมาภายในเดือนนี้  

มีรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประชาชนชาวญี่ปุ่นหลายหมื่นคนได้ออกมาเดินขบวนประท้วงคัดค้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์บริเวณหน้ารัฐสภา และตะโกนคำขวัญว่า "ไม่เอาการเปิดโรงงาน" หลังจากที่เท็ตสึนาริ ลิดะ ผู้สมัครในการเลือกตั้งผู้ว่าจังหวัดยามากูจิ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน พ่ายแพ้ให้การเลือกตั้งให้กับ ชิเกทาโร่ ยามาโมโต จากพรรค Liberal Democratic Party ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการใช้พลังงานนิวเคลียร์

ผู้สังเกตการณ์บางส่วนมองว่า การประท้วงดังกล่าว เป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์จำนวนผู้เข้าร่วมจากผู้จัดงานตั้งแต่ 200,000 คน ไปจนถึง 14,000 คนจากการประมาณการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

"คนพวกนี้ได้รวมกันและต้องการที่จะมีเสียงของตนเอง" โชจิ กิตาโน ชายวัย 64 ซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ที่เกษียณแล้ว กล่าว เขาระบุว่า ตนไม่เคยเห็นการประท้วงที่ใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 และย้ำว่า คนญี่ปุ่นทั่วไปไม่ได้นิยมการออกมาประท้วง แต่สำหรับการเปิดโรงงานนิวเคลียร์แล้ว พวกเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

หลายเดือนที่ผ่านมา ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ ได้จัดการชุมนุมบริเวณหน้าสำนักงานของนายกรัฐมนตรีโนดะในทุกๆ วันศุกร์ โดยมีจำนวนผู้ชุมนุมคัดค้านมากขึ้นเรื่อยๆ จากพันคนเป็นจำนวนหลายหมื่นคน โดยมีผู้สูงอายุวัยเกษียนอายุ คนทำงานออฟฟิศ และครอบครัวซึ่งนำพาเด็กๆ มาด้วย

โดยเมื่อเดือนที่แล้ว นายกฯ โนดะ ได้อนุมัติให้โรงงานนิวเคลียร์สองแห่งที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเปิดดำเนินการอีกครั้ง เนื่องจากอ้างว่าจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจ

 
ที่มาของคลิป: ถ่ายทำและตัดต่อโดย Hikaru Fujii via EngageMedia
 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก

Fukushima residents say resounding 'no' to nuclear energy
http://www.timeslive.co.za/scitech/2012/08/01/fukushima-residents-say-resounding-no-to-nuclear-energy

Japan anti-nuclear groups protest at parliament
http://www.reuters.com/article/2012/07/29/japan-nuclear-demo-idUSL6E8IT2D320120729

Japan anti-nuclear candidate loses state governor election as thousands protest nuclear power
http://www.washingtonpost.com/world/asia_pacific/japan-anti-nuclear-candidate-loses-state-governor-election-as-thousands-protest-nuclear-power/2012/07/29/gJQAjbBNJX_story.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เดือนรอมฎอนและละหมาดตาราเวียะห์ที่มัสยิดกลาง จ.ปัตตานี

$
0
0

ที่มาของคลิป: เอื้อเฟื้อโดย INSouthmedia  (รับชมแบบ HD คลิกที่นี่)

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา INSouthmedia เผยแพร่คลิปบรรยากาศเดือนรอมฎอนและการละหมาดตาราเวียะห์ที่มัสยิดกลาง จ.ปัตตานี โดยการละหมาดตาราเวียะห์ เป็นการละหมาดของชาวมุสลิมในช่วงกลางคืนของเดือนรอมฎอน

ผู้บันทึกภาพเผยแรงบันดาลใจในการถ่ายทำว่า "คล้ายกับว่าเป็นความทรงจำในเดือนรอมฎอน ผมจะเก็บภาพเรื่อยๆ ในวันที่ผ่านๆ มา งานชิ้นนี้พยามที่จะนำเสนอเหรียญอีกด้านของที่นี่ ความสวยงามที่ถูกกลบจากความรุนแรงของพื้นที่"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ร้อง ผวจ.ตรัง เร่งประชุมแก้ปัญหาการตัดฟันสวนยาง

$
0
0

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ยื่นหนังสือจี้ผู้ว่าฯ ตรัง จัดประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกแก้ปัญหาที่ดินเขตอุทยานฯ-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ กลาง ส.ค.นี้ ด้านป้องกันจังหวัดรับหน้าที่ประสานผู้ว่าฯ ต่อไป

 
 
วันนี้ (1 ส.ค.55) ตัวแทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เข้าพบ นายอิศราพันธ์ บุญมาศ ป้องกันจังหวัดตรัง เพื่อเร่งรัดให้มีการจัดประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด พร้อมกับยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ผ่านป้องกันจังหวัดตรัง ด้วย
 
สำหรับประเด็นในการหารือ ทางเครือข่ายฯ ได้เรียกร้องให้มีการประชุมภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กองทัพภาคที่ 4 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง หัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด หัวหน้าสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง อัยการจังหวัดตรัง และนายอำเภอ 6 อำเภอ โดยป้องกันจังหวัดตรังจะนำเรียน ผวจ.ตรัง ต่อไป
 
 
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ได้มายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาของสมาชิกเครือข่ายฯ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.55 โดยได้เข้าพบ นายอมรเศรษฐ์ สุวรรณมาศ ปลัดจังหวัดตรัง เพื่อรายงานสภาพปัญหา และหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย ได้แก่ ป้องกันจังหวัดตรัง ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง และหัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า
 
ในการประชุมดังกล่าว หัวหน้าอุทยานฯ ยืนยันว่าจะรื้อถอนสวนยางพาราในพื้นที่โฉนดชุมชนของสมาชิกเครือข่ายฯ ที่มีการพ่นสีไว้ ทั้ง 5 แปลง ได้แก่ นายคล้าว-นางเดียม อยู่ทอง, นายประพันธ์ จันทร์ขาว, นายสุทัศน์ ศรีดี, นางอุทัย ชูทิ่ง และนายชิต มีสุข นอกจากนี้ จะรื้อถอนสวนยางพาราในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน และพื้นที่ดำเนินการโฉนดชุมชนแปลงอื่นด้วย โดยเฉพาะพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู พื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) เห็นชอบให้ดำเนินการโฉนดชุมชน รวมทั้งพื้นที่ดำเนินงานโฉนดชุมชนบ้านหาดสูง
 
ดังนั้น ทางเครือข่ายฯ จึงมาพบป้องกันจังหวัดตรัง และยื่นหนังสือถึง ผวจ.ตรัง เพื่อเร่งรัดให้จังหวัดตรัง จัดการประชุมเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จิตรา คชเดช: ความยุติธรรมแบบพอเพียง

$
0
0

เริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 คนงานตัดเย็บชุดชั้นใน Triumph ถูกบริษัทเลิกจ้างด้วยจำนวนครึ่งหนึ่งของคนงานในโรงงานเกือบ 2000 คน  ในขณะที่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ และพ่วงด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันได้ เข้าร่วมชุมนุมกับคนงานที่ข้างโรงงานที่ นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี

ด้วยข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานมีต่อบริษัทบอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย)จำกัด ตอนนั้นก็คือให้รับคนงานกลับเข้าทำงานโดยไม่มีเงื่อนไข และปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้างที่ทำไว้กับสหภาพแรงงานคือ ต้องปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาค ต้องจ่ายค่าชดเชยที่มากกว่ากฎหมายกำหนด และสุดท้ายบริษัทในฐานะบรรษัทข้ามชาติต้องยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณทางการค้า

การเลิกจ้างครั้งนี้คนงานแบ่งเป็นสองกลุ่มคือผู้ที่ถูกเลิกจ้างกับไม่ถูกเลิกจ้างและในจำนวนผู้ไม่ถูกเลิกจ้างคือประธานสหภาพแรงงานรวมอยู่ด้วย  การชุมนุมประท้วงทุกรูปแบบ และการประชุมปรึกษาหารือเพื่อวางแผนในการเจรจาคนงานเริ่มไม่เห็นประธานสหภาพแรงงานเข้าร่วม

ข่าวลือต่างๆเข้ามาไม่ขาดสายเกี่ยวกับประธานสหภาพแรงงาน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องรับผลประโยชน์ต่างๆนาๆ  สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือเรียกร้องให้ทุกคนหยุดพูดและไม่เชื่อเพราะเชื่อว่านี่คือขบวนการทำลายสหภาพแรงงานจากบริษัทฯ  และสุดท้ายมีการลงรายมือชื่อของสมาชิกสหภาพแรงงาน เข้าชื่อกันเรียกร้องให้เปิดประชุมวิสามัญด้วยหัวข้อไม่ไว้วางใจประธานสหภาพแรงงงาน ในวันที่ 18 กันยายน 2552 และผลการประชุมก็เป็นไปตามที่คนงานต้องการ มติที่ประชุมปลดประธานสหภาพแรงงานและปลดจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและแต่งตั้งประธานใหม่

ในวันที่ 26 กันยายน 2552 มีหมายเรียกให้ฉัน เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางเสาธง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการกระจายเสียงอดีตประธานสหภาพแรงงาน ในชั้นสอบสวนฉันปฎิเสธทันทีเพราะไม่เคยพูดในสิ่งที่ถูกล่าวหา และเชื่อว่านี่คือการทำลายสหภาพแรงงานโดยใช้คนงานด้วยกันเป็นเครื่องมือ

และที่สุดอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้อง สองกรรมต่างวาระ ในขณะที่พวกเราคนงานยังชุมนุมกันอยู่ที่กระทรวงแรงงงาน และได้มีอาจารสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯใช้ตำแหน่งอาจารย์ประกันตัวในวงเงิน 100000 บาท และมีเงินสดอีก 10000 บาท และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราว

ประมาณปี2554 เริ่มมีการสืบพยาน ฝ่ายโจทย์มีพยาน 5 ปาก พอสรุปได้ว่า โจทย์โดยผู้เสียหายไม่เคยได้ยินการหมิ่นด้วยตัวเองแต่มีเพื่อร่วมงานมาเล่าให้ฟัง และเพื่อนร่วมงานเป็นสมาชิกสหภาพที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้างมาได้ยินในขณะที่ฉันใช้โทรโข่งกล่าวคำหมิ่นประมาทและพยานได้ยินก็เดินหนีไปขึ้นรถกลับบ้าน

พยานที่สองเป็นพนักงานขับรถได้ยินฉันหมิ่นโจทย์ผู้เสียหายในวันที่ที่มีการประชุมใหญ่วิสามัญสหภาพแรงงานวันที่ 18 กันยายน  2552 บอกว่าฉันหมิ่นโจทย์ด้วยเครื่องเสียง และเขาไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนเลยรีบไปถามรปภ.ว่าใครเป็นคนพูด รปภ.ตอบว่าคือฉันเป็นคนพูด

เมื่อรปภ.มาให้การบอกว่าไม่รู้จักฉันไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าใครพูดแต่ได้ยินว่ามีการกล่าวหมิ่นโจทย์จริง

ฝ่ายฉันใช้พยานฉันเอง ประธานสหภาพแรงงาน ปัจจุบันและไม่ได้ถูกเลิกจ้าง  อดีตเลขาธิการสหภาพแรงงาน เหรัญญิกสหภาพแรงงาน และพยานวัตถุคือซีดีวีดีโอบันทึกการประชุมใหญ่วิสามัญ และภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ


พอสรุปประเด็นสู้ว่าฉันไม่เคยพูดและเรื่องข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นกับประธานทุกคนจนถึงคนปัจจุบัน และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้สหภาพแรงงานมีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงาน ประธานไม่เคยนำเรื่องเข้าที่ประชุม และสหภาพแรงงานไม่เคยใช้โทรโข่งในการกล่าวปราศรัย การจะใช้เครื่องเสียงเลขาธิการสหภาพจะเป็นคนจัดคิว และไม่เคยมีใครเคยได้ยินฉันการกล่าวหมิ่นประมาท และในวันที่ 18 กันยายน 2552 มีการบันทึกวีดีโอจึงให้ส่งเป็นพยานวัตถุ


และวันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ใช้เวลาทั้งหมดไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกือบสามปี

วันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาสรุปได้ว่า ให้ลงโทษฉันในฐานะจำเลยจำคุก 4 เดือนโทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้รายงานตัว 1 ปี บริการสาธารณะ 12 ชม. และเสียค่าปรับ 80000 บาท



วีดีโอที่เรายื่นเชื่อถือไม่ได้ และก่อนศาลอ่านคำพิพากษาเล็กน้อยหน้าบัลลังค์เชิญทนายเข้าไปบอกว่าขอร้องอย่าให้มีการแจกเอกสารหน้าศาล ทนายบอกว่าไม่มีและไม่เคยทำ หน้าบัลลังค์บอกว่าจำได้ว่าฉันเคยร่วมทำ

ในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษาฉันยืนขึ้น ผู้พิพากษาตั้งใจอ่านคำพิพากษาโดยไม่สบตากันเลยและเมื่ออ่านจบก็ลงบัลลังค์ไปทันที และตำรวจศาลก็ถามฉันว่ามีเงินค่าปรับหรือเปล่า น้องจาก Try Arm รีบบอกว่ามีเงินสดเดี๋ยวไปเสียค่าปรับ ขั้นตอนก็คือเมื่อเสียค่าปรับแล้วเอาใบเสร็จมาให้ตำรวจและฉันจะถึงจะได้รับอิสรภาพ และจากนั้นฉันต้องไปทำประวัติที่สำนักงานคุมประพฤติ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยเมือพวกเราเตรียมเงินไปแค่ 50000 บาท อีก 30000 บาทก็หาเอากันตรงนั้นก็ได้ครบก็ไปจ่ายค่าปรับ “น้องคนหนึ่งผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาไอซ์บอกว่าค่าปรับพี่แพงกว่าค้ายาอีกนะ” และได้ถามน้องว่าในคุกลำบากหรือเปล่า น้องบอกว่าก้ไม่หรอกถ้าเรามีเงินก็สบาย เช้ามาก็เข้าโรงงานทำหัวไฟแช็ค ลำบากตอนนอนกะอาบน้ำ ที่นอนน้อย น้ำก็แย่งกันอาบ

เริ่มกระบวนการรายงานตัวที่คุมประพฤติ ถือป้ายหมายเลขถ่ายรูป(เลยถึงถึงภาพคนที่ถ่ายรูปในค่ายกักกันในเขมรแดง) และขึ้นไปกรอกประวัติ เจ้าหน้าที่บอกว่ารีบหน่อยนะเดี๋ยวเขาจะรีบไปถวายเทียน

มีคำถามทั่วไปพ่อแม่ชื่ออะไรพักที่ไหน แต่ที่ไม่ทั่วไปคือ คุณยอมรับคำตัดสินว่าอย่างไร  เช่นจะปรับปรุงตัว ไม่สนใจ ส่วนฉันตอบว่าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์  ถามนิสัยก็ตอบไปว่าชอบช่วยเหลือผู้อื่น ร่าเริง แจ่มใส ใจดี รักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ 555  

ถามหาความสามารถพิเศษเลยเขียนไป"พูดในที่สาธารณะ" ก็พิเศษแล้วแค่นี้ แล้วก็เย็บผ้า อันนี้โม้เต็มที่ว่าเคยอบรมอะไรมาบ้าง และงานอดิเรกยามว่างก็อ่านหนังสือและไปฟังเสวนา ลืมบอกว่าชอบเล่นเฟชบุคด้วย

คราวนี้เจ้าหน้าที่ก็ขอทำแผนที่บ้านปัจจุบัน และให้สมุดนัดมา 1 เล่ม และวันที่ 4 กันยายน 2555 จะมีปฐมนิเทศพร้อมเพื่อนร่วมรุ่น มีทั้งขับรถประมาท หลายประเภท และวันนั้นเราจะเลือกงานบริการสังคมกันถ้าบริจาคเลือดก็ได้ 6 ชม. ใครมีความรู้สูงๆ ก็อาจจะได้ทำเอกสาร ใครความรู้น้อยๆก็ทำความสะอาดวัด (งานนี้กวาดสิ่งชั่วร้ายออกหมดวัดแน่ๆ)

อีกเรื่องให้ใส่ชื่อบุคคลที่เรารู้จักเช่นผู้นำศาสนา ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หรับผู้ใหญ่ ก็เลยใส่ชื่อ อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธ์  (เผื่อเขาเห็นนามสกุลจะแอบหมั่นไส้เราบ้าง)

จบกระบวนการคุมประพฤติ ส่วนการอุทธรณ์ก็คงให้ทนายดำเนินการต่อมีทนายเสาวลักษ์ โพธ์งาม  เป็นทนายความคดีนี้
ขอบคุณสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สื่อ นักวิชาการ เพื่อนๆเสื้อแดง เพื่อนในเฟชบุค  เพื่อนในโลกจริง เพื่อนในโลกออนไลน์ และที่สำคัญเพื่อนในกลุ่มคนงาน Try Arm

กระบวนการยุติธรรมไทยต้องปฎิรูป การสืบค้นความจริงต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายที่อยู่ในคุก



"ฉันเชื่อมั่นในสิทธิการรวมตัว ถ้าวันนี้ไม่ยืนหยัดการรวมตัวมี Try Arm ฉันคงติดคุก "








จิตรา คชเดช

1 สิงหาคม 2555

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.เตือนเอกชนเร่งทำตามกติกา “ครอบงำกิจการ” ก่อนประมูลคลื่น 3จี

$
0
0

วันที่ 2 ส.ค.55 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม เปิดเผยว่า จากการที่ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ.2555 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.55

ส่งผลทำให้ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ.2554 ถูกยกเลิกไปทันที ดังนั้นจึงอยากให้ภาคเอกชนหรือนิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อประกาศฉบับนี้ ควรศึกษาและปฏิบัติตาม กฎ กติกาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อสร้างมาตรฐานการเป็นบรรษัทธรรมาภิบาลที่ดีในกิจการโทรคมนาคม ที่มุ่งเน้นการแข่งขันโดยเสรีและเป็นธรรม
 
สำหรับแนวทางการปฏิบัติของบริษัทเอกชน หรือ นิติบุคคล  หลังจากที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ก็คือ มีหน้าที่ต้องกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว โดยอาศัยข้อห้ามตามที่ระบุไว้ในท้ายประกาศ ทั้ง 8 ข้อ เป็นแนวทางในการกำหนดข้อห้ามให้กับตัวเอง และให้รายงานเข้ามายัง กสทช.ตามกำหนดเวลาต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติดังกล่าวจะมีรอยต่อระหว่าง กติกาเก่า (ประกาศครอบงำกิจการฯ พ.ศ.2554) และกติกาใหม่ (ประกาศครอบงำกิจการฯ 2555) ซึ่งในบทเฉพาะกาลของประกาศฯฉบับใหม่ ได้ให้การรับรองผู้ประกอบการ หรือนิติบุคคล ที่ได้ยื่นข้อห้ามตามประกาศ กสทช.เดิมนั้น ให้ถือเป็นการกำหนดข้อห้ามตามที่ประกาศฉบับใหม่กำหนดไว้
 
ส่วนผู้ประกอบการหรือนิติบุคคล ซึ่งก่อนหน้านี้มีการขอผ่อนผัน และยังไม่มีการยื่นข้อห้ามฯเข้ามาให้ กสทช.ตรวจสอบ เนื่องจาก ประกาศ กสทช.ฉบับเดิม เปิดช่องให้มีการผ่อนผันในการยื่นข้อห้ามฯนั้น เมื่อประกาศฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ก็มีหน้าที่จะต้องไปกำหนดข้อห้ามตามที่ประกาศฉบับใหม่กำหนดไว้และต้องกำหนดข้อห้ามและยื่นต่อ กสทช.ตามกำหนด
 
การปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้จะเห็นได้ชัดก็คือ ในช่วงของการประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ซึ่งบริษัทที่อยู่ในกิจการโทรคมนาคมที่สนใจเข้าประมูลคลื่น 3 จี จะต้องเคลียร์ตัวเองให้โปร่งใส เพราะในเงื่อนไขของผู้ที่จะเข้ารับการประมูลนั้นจะต้องเสนอหลักฐานที่กำหนดไว้ว่า ผู้ขอรับใบอนุญาต และผู้รับใบอนุญาต จะต้องกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว เพื่อยื่นต่อ กสทช.พร้อมคำรับรองที่ลงนามโดยผู้มีอำนาจในการผูกพันนิติบุคคลว่าจะไม่ดำเนินการใดๆ อันเป็นการขัดข้อห้ามข้อหนึ่งข้อใดเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 8 วรรค 3 (1) ผู้ขอรับใบอนุญาตแบบที่สองและผู้ขอรับใบอนุญาตแบบที่สามต้องมิใช่เป็นคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วย ในการนี้คณะกรรมการอาจกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตสำหรับการประกอบกิจการบางลักษณะหรือบางประเภทที่เป็นนิติบุคคลจะต้องกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าวด้วยก็ได้
 
ดังนั้น หากมีการยื่นหลักฐานครบถ้วนให้ถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการกลั่นแกล้งกันในระหว่างที่มีการประมูลคลื่น 3 จี 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โอลิมปิก 2012 : นักกีฬาไม่พอใจ “กฎข้อ 40” ป้องกันโฆษณาแฝง

$
0
0

นักกีฬาที่ชอบ “แชร์” กิจวัตรหรือความรู้สึกนึกคิดลงในโปรแกรมโซเชียลเน็ตเวิร์คระหว่างการแข่งขันโอลิมปิก กำลังปวดหัวกับ “กฎข้อ 40” ของ OIC ว่าด้วยเรื่องโฆษณาแฝง อันมีขึ้นเพื่อปกป้องผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน

 

Dawn Harper นักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกาจัดตั้งเพื่อนนักกีฬา
เพื่อกดดันให้ OIC ผ่อนคลายกฎข้อ 40 ว่าด้วยการโฆษณาแฝง

ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ไฮเทคที่สุดนี้ กรรมการโอลิมปิกสากล (OIC) ก็ได้ออกมากระตุ้นให้บรรดานักกีฬาใช้โปรแกรมเครือข่ายสังคมออนไลน์ (twitter, facebook และอื่นๆ) ในระหว่างการแข่งขัน เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ที่จมจ่ออยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาสนใจเรื่องกีฬาบ้าง

แต่กระนั้นก็มีความลักลั่นย้อนแย้งในนโยบายส่งเสริมการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คตามสมัยนิยม เมื่อ OIC เองก็กลับเข้มงวดอยู่กับกฎข้อที่ว่าด้วย “การป้องกันโฆษณาแฝง” อันมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Rule 40”

Dawn Harper นักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกา เจ้าของเหรียญทองวิ่งข้ามรั้ว 100 เมตรที่ปักกิ่ง 2008 ออกมาฟอร์มทีมจัดตั้งเพื่อนนักกีฬากดดันให้ OIC ผ่อนคลายกฎข้อ 40 นี้ พร้อมระบายความรู้สึกว่า เธอรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นนักกีฬาโอลิมปิก แต่เราต้องการเปลี่ยนแปลงกฎข้อ 40 นี้

ทั้งนี้กฎข้อ 40 ของโอลิมปิกนั้น มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักกีฬาโฆษณาแฝงให้กับสินค้าและบริการอื่นๆ นอกเหนือจากผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน เช่น Coca-Cola, McDonalds, GE, Dow, Panasonic, Acer, Atos, Omega, Visa, P&G, Samsung และแบรนด์อื่นๆ ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโอลิมปิกถึงปีละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 4 ปีเพื่อเป็นผู้สนับสนุนให้กับทั้งการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนและโอลิมปิกฤดูหนาว (ดูรายชื่อผู้สนับสนุนโอลิมปิกเพิ่มเติม)

กฎข้อห้ามนี้ได้มีการออกคู่มือแจกนักกีฬาและเอเยนต์ก่อนเริ่มการแข่งขัน (Rule 40 - London 2012 Olympics) ที่ระบุถึงความเข้มงวดในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตและการโฆษณาแฝงโดยตรง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันหมดสิทธิ์โฆษณาสินค้าที่เป็นผู้สนับสนุนส่วนตัวของตัวเอง โดย OIC เตือนว่าหากคนไหนฝ่าฝืนต่อกฎนี้ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษ ซึ่งรวมถึงการเชิญออกจากการแข่งขันโอลิมปิก

อนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 UEFA ได้ลงโทษสั่งปรับเงิน Nicklas Bendtner นักฟุตบอลทีมชาติเดนมาร์ก 1 แสนยูโร พร้อมห้ามลงสนาม 1 นัด หลังจากที่เขาได้แอบโฆษณาแฝงระหว่างฉลองการทำประตูได้ในเกมแพ้โปรตุเกส 2-3 ด้วยถกเสื้อโชว์ขอบกางเกงในบ็อกเซอร์ ที่มีชื่อสปอนเซอร์ร้านรับพนัน แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขัน

 

ที่มาข่าวบางส่วน:

Olympic athletes use Twitter to protest sponsorship rules (metronews.ca, 30-7-2012)

Rule 40 - London 2012 Olympics (เข้าดูเมื่อ 1-8-2012)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิสา เบ็ญจะมโน

$
0
0

เป็นการผสานระหว่างจินตนาการ และงานศิลปะเข้าด้วยกัน ไม่ได้มองว่าเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ความเห็นกรณีโปสเตอร์ "อย่าเสียความเป็นคน ด้วยน้ำเมา"

เตรียมยื่นผู้ว่าฯ ภูเก็ต เสนอตั้ง กก.สอบ กรณีเลิกจ้าง พนง.รร.ร่วม 800

$
0
0

สหพันธ์แรงงานธุรกิจโรงแรมและบริการภูเก็ตเตรียมยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ภูเก็ต ร้องตั้งกรรมการสอบกรณีเลิกจ้างพนักงานโรงแรม ขาดทุนจริง หรือทำลายสหภาพฯ

จากกรณีการเลิกจ้างพนักงานโรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท และโรงแรมดิเอวาซอนภูเก็ต โดยต่อมา ศาลแรงงาน จ.ภูเก็ต อนุญาตให้โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท เลิกจ้างกรรมการลูกจ้างได้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา

(2 ส.ค.55) วิจิตร ดาสันทัด ประธานสหพันธ์แรงงานธุรกิจโรงแรมและบริการภูเก็ต ให้สัมภาษณ์ว่า สหพันธ์ฯ เตรียมยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเลิกจ้าง ว่าเหตุผลที่เลิกจ้างเนื่องจากการขายกิจการ และการขาดทุน เป็นความจริงหรือไม่ หรือมีความต้องการล้มสหภาพแรงงาน โดยจะเสนอให้คณะกรรมการมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ แรงงานจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดหางาน ประกันสังคม อัยการจังหวัด อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยว ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมต่อลูกจ้าง และไม่ให้ลูกจ้างรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง โดยเชื่อว่าหากผลสอบออกมาว่านายจ้างขาดทุนจริง ก็เชื่อว่าลูกจ้างจะเข้าใจได้อยู่แล้ว แต่หากเป็นการกลั่นแกล้งสหภาพฯ ก็ต้องว่ากันต่อไป ว่าจะจัดการอย่างไรกับนายจ้าง

ประธานสหพันธ์แรงงานธุรกิจโรงแรมและบริการภูเก็ต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท ภูเก็ต ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานประมาณ 350 คน โดยมีการแจ้งล่วงหน้า 30 กว่าวัน และให้เหตุผลว่า เนื่องจากขายโอนกิจการให้ผู้ซื้อรายใหม่จึงต้องปิดกิจการ ขณะที่โรงแรมดิเอวาซอน ภูเก็ต มีการประกาศเลิกจ้างพนักงาน 400 คนโดยไม่แจ้งล่วงหน้าและไม่เคยมีการพูดคุยกับกรรมการลูกจ้างมาก่อน แม้จะมีการติดต่อขอประชุมกับฝ่ายบริหารเพื่อขอคำยืนยันเนื่องจากมีกระแสข่าวว่าจะมีการเลิกจ้าง โดยมีการเลื่อนนัดกรรมการลูกจ้างถึงสองครั้ง โดยในการเลิกจ้างนี้ โรงแรมให้เหตุผลว่าขายกิจการและที่ผ่านมาขาดทุน 4 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ พนักงาน 60-70% ของทั้งสองโรงแรมล้วนแต่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน

วิจิตร กล่าวว่า กรณีโรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท นั้น นายจ้างได้ขออำนาจศาลในการเลิกจ้างคณะกรรมการลูกจ้าง ซึ่งศาลได้อนุญาตเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการลูกจ้างจะอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว ขณะที่โรงแรมดิเอวาซอนนั้น ติดประกาศว่าไม่ได้เลิกจ้างคณะกรรมการลูกจ้าง แต่กลับมีการโอนเงินค่าชดเชยเข้าบัญชีของทุกคนแล้ว เป็นการสื่อว่าเลิกจ้างแน่ๆ โดยกรณีของพนักงานทั้งสองโรงแรมนี้ สภาทนายความได้เข้ามาช่วยเหลือด้านคดีความ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด

เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเลิกจ้างในลักษณะนี้ โดยเมื่อเปลี่ยนเจ้าของก็มักมีการโอนทั้งสภาพหนี้และลูกจ้าง และว่าแทนการใช้มาตรา 75 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยจ่ายเงินให้ลูกจ้างในช่วงที่หยุดกิจการ แต่โรงแรมกลับล้างไพ่ใหม่ เพื่อคัดเอาพนักงานหนุ่ม-สาว เข้ามาแทนพนักงานเก่าที่อายุงานนาน ค่าจ้างสูง สิทธิประโยชน์-สวัสดิการเยอะ โดยไม่คำนึงถึงพนักงานที่ทำงานมานานกว่า 20-30 ปี จนอายุ 40-50 ปี ว่าจะหางานใหม่ได้อย่างไร

วิจิตร กล่าวว่า อยากให้ผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย บังคับใช้กฎหมายอย่างทั่วถึง เท่าเทียม อย่าเลือกปฏิบัติหรือปล่อยให้จบที่การจ่ายค่าชดเชย จะต้องคุ้มครองแรงงานด้วย ทั้งนี้ กังวลว่าหากปล่อยให้มีการโละพนักงานคนเก่าได้ จะเกิดลัทธิเอาอย่าง เกิดการเลิกจ้างเป็นโดมิโนแน่ๆ

ประธานสหพันธ์ฯ กล่าวว่า คนงานตระหนักดีว่า ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นแหล่งทำมาหากินของประเทศชาติ ก็พยายามไม่ประท้วง รวมตัวปิดถนน เพราะเกรงจะสร้างภาพไม่ดีต่อการท่องเที่ยว แต่รัฐในฐานะผู้กุมกลไกทางกฎหมายก็ต้องช่วยเหลือลูกจ้างด้วย หากลูกจ้างมองว่าพึ่งกฎหมายไม่ได้ ก็อาจพึ่งตัวเอง เมื่อนั้นก็อาจจะสายไปแล้ว

 

 


--------------------------------

เพิ่มเติม
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 75 กำหนดว่า “ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่สำคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน

ให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวันทำการ”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: มาตรา 112 กับการล่าแม่มดครั้งใหม่

$
0
0

ในสมัยกลางของยุโรป เมื่อคริสตศาสนายังคงเป็นความคิดอันครอบงำ ชนชั้นปกครองและพระชั้นสูงในสมัยนั้น รักษาอำนาจโดยการอ้างอิงตนเองว่า เป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอันแท้จริง และกล่าวหาคนที่คิดต่างว่า เป็นพวกแม่มด ต้องถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น ผลจากกรณีนี้ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ถูกสอบสวนและถูกลงโทษ เมื่อเวลาผ่านไป มาตราการล่าแม่มดเช่นนี้ ถือว่าเป็นมาตราการป่าเถื่อนจึงถูกยกเลิก เสรีภาพในด้านความคิดความเชื่อจึงเป็นที่ยอมรับ และชาวยุโรปก็จะเลิกบังคับให้คนคิดและศรัทธาในแบบเดียวกัน

 

แต่ในกรณีของประเทศไทย การล่าแม่มดยังคงดำเนินการอยู่ กรณีล่าสุด เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ศาลเองไปทำการละเมิดอำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการใช้คำสั่งให้รัฐสภายุติการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่จะต้องมีการลงมติในวาระที่สาม ในวันนั้น กลุ่มประชาชนฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชน ได้ไปชุมนุมกันที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยอ้างเหตุผลว่าจะปกป้องศาล ซึ่งในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้เสนอข้อวินิจฉัยอันไร้สาระออกมาชุดหนึ่ง แต่ปัญหาของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัย หากแต่อยู่เหตุการณ์หน้าศาล ดังที่เอเอสทีวีรายงานว่า

“ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก”

เหตุการณ์นี้เองได้กลายเป็นที่มาของการล่าแม่มดครั้งใหม่ เพราะกลุ่มพลังฝ่ายขวาทั้งหลายได้ถือโอกาสนำมาเป็นเรื่องสร้างกระแสติดตามและสำแดงพลังคุกคาม โดยส่วนหนึ่งก็ได้นำเรื่องนี้มาโจมตีกล่าวหาฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโจมตีไปถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่า ไม่สนใจติดตามตัวคุณฐิตินันท์มาดำเนินคดี แม้ว่าจะมีรายงานข่าวว่า คุณฐิตินันท์เป็นบุคคลไม่ปกติ มีอาการทางประสาท ทั้งเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่กลุ่มฝ่ายขวาก็ยังคงไม่ละเว้น ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเล่นงานคุณฐิตินันท์ให้เป็นเหยื่อกรณี 112 อย่างปราศจากความเมตตา และยังโจมตีไปถึงสื่อกระแสหลัก เช่น ไทยรัฐ มติชน และ โทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมไปถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่ามิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงชรารายนี้

เหตุผลในการติดตามไล่ล่าคุณฐิตินันท์ครั้งนี้ กลุ่มฝ่ายขวาก็กระทำเช่นเดิม คือโจมตีคุณฐิตินันท์ว่าเป็นคนชั่ว หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ นำรูปมาขึ้นปกแล้วเปรียบเทียบว่าเป็น “เห็บหมา” พวกฝ่ายขวาพยายามอ้างตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าใคร และได้แสดงความเห็นในทางที่ไม่เชื่อว่า คุณฐิตินันท์จะเป็นผู้มีอาการป่วย แต่กล่าวหาไปว่า ทางการตำรวจใช้ข้ออ้างนี้ในทางที่จะไม่ดำเนินคดี เช่นในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาได้นำหุ่นแทนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำใส่โลงศพจำลอง มายังบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนทำการฌาปนกิจ ด้วยการฉีดสารเคมีแทนการเผาหุ่น เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

 ในการติดตามไล่ล่าแม่มดครั้งนี้ ได้นำเอาประวัติของคุณฐิตินันท์มาเปิดเผยว่า เป็นชาวอำเภอพล ขอนแก่น และเปิดร้านอาหารที่เมืองไครสเชิร์ส ประเทศนิวซีแลนด์ อ้างกันว่ามีเฟสบุคในโลกไซเบอร์ และมีการกดไลค์เพจของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับอดิศร เพียงเกษ และขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ วิสา คัญทัพด้วย และยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ทั้งที่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นพฤติกรรมอันผิดกฎหมายแต่อย่างใด

กรณีที่คุกคามอย่างมาก คือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มฝ่ายขวาจำนวนหนึ่งได้ไปรวมกลุ่มกันถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อมีข่าวว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางกลับนิวซีแลนด์ ผู้ชุมนุมฝ่ายขวาอ้างว่า ต้องการไปยุติการเดินทาง เพราะทราบมาว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทยในเวลา 18.40 น. และยังบางกระแสข่าวระบุว่า กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวได้ประกาศว่า เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อแน่ใจว่า นางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์ จึงสลายตัวในเวลาต่อมา

ปรากฏว่า พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่า ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อคุณฐิตินันท์แล้ว พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิต จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ประกอบกับพาสปอร์ตของคุณฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นั้นเป็นการซื้อตั๋วแบบไป – กลับ ราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทาง ก็จะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย และมีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามี และบุตรชายของนางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่า ช่วงหลัง นางฐิตินันท์ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย

กรณีนี้จึงอธิบายได้ว่า คุณฐิตินันท์ก็ตกเป็นเหยื่ออีกกรณีหนึ่งของกรณีมาตรา 112 ที่เริ่มต้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างเอาสีเหลืองของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มของตน เพื่ออ้างอิงผูกขาดความภักดี และใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและใส่ร้ายบุคคลที่มีความคิดต่าง และต่อมาในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็มีการขานรับการดำเนินการของฝ่ายเสื้อเหลือง โดยกวาดจับประชาชนจำนวนมากในข้อหาความผิดตามมาตรา 112

พร้อมกันนั้น สื่อมวลชนของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ใช้วิธีปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดต่าง โดยดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นข้ออ้างตลอดเวลา ในระยะที่ผ่านมาจึงมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ต้องตกเป็นเหยื่อตามข้อกล่าวหาในมาตารานี้ ตัวอย่างเช่น กรณีของ คุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข คุณสุรชัย ด่านวัฒนุสรณ์ และ คนอื่นอีกหลายคน และยังมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกขังจนถึงแก่กรรมในคุกมาแล้ว เช่น กรณีคุณอำพน ตั้งนพคุณ

ปัญหาคือ การเคลื่อนไหวปลุกเร้าประชาชนลักษณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดพุทธิปัญญาแต่อย่างใด และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับยิ่งทำให้เกิดความงมงายคับแคบ คิดและศรัทธาแบบเดียวตายตัว เห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่ต้องกวาดล้างทำลาย ย้อนกลับไปในเมื่อปี พ.ศ.2519 กลุ่มฝ่ายขวาของสมัยนั้นก็ดำเนินการลักษณะเดียวกันในการปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อขบวนการนักศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ไม่จงรักภักดี และผลจากการเคลื่อนไหวปลุกกระแสเช่นนั้น ก็นำมาสู่การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิจำนวนมากในกรณี 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นรอยมลทินครั้งใหญ่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน

คำถามก็คือ ถ้าคิดอย่างมีสติแล้ว สังคมไทยจะได้คุณประโยชน์อย่างใดหรือ ถ้าจะต้องจับเอาผู้สูงอายุ เช่น คุณฐิตินันท์มาเป็นจำเลย หรือต้องถูกจำคุกต่อแถวอีกคนหนึ่ง ในจำนวนนักโทษการเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จิตอาสากับจริตชนชั้นกลางเมืองหลวง

$
0
0

ภาพนี้มีชื่อว่า "เพื่อนกันวันอาทิตย์ กิจกรรมอาสาข้างถนน 29/7/55" อัลบั้มภาพชื่อว่า โครงการผู้ป่วยข้างถนน ของมูลนิธิแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นภาพครั้งแรกรู้สึกถึงความขัดแย้งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ขณะที่หลายคนมองเป็นความงดงาม กดแชร์ กดไลค์ มากมาย ในอีกด้านกลับพบความประดักประเดิดของผู้ถูกจับทำความสะอาด ตัดเล็บ ล้างแผล ล้างเท้า ถ้าผมเป็นเขาคงไม่เพียงทำตัวไม่ถูก แต่คงหวาดระแวง ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน และฉันทำผิดอะไรจึงต้องถูกจับล้างทำความสะอาดเช่นนี้ การรุมล้อมทำความสะอาดร่างกายดังปรากฏในภาพมีนัยสำคัญ 2 ประการ คือ การไม่ได้มองว่าร่างกายนั้นมีชีวิตหากแต่เป็นวัตถุที่ถูกจับจ้อง ควบคุม ที่ผ่านเข้ามาในอาณาบริเวณของการตรวจจับ  เพราะในชีวิตจริงเราจะไม่รุมล้อมสวมถุงมืออาบน้ำให้ใครด้วยจำนวนคนมากขนาดนั้น  ประการที่สองวัตถุที่ต้องใช้คนมากขนาดนี้ทำความสะอาด ก็ย่อมมีความสกปรกเป็นที่สุด ป่วยไข้เป็นที่สุด

ย้อนไปถึงวันที่ชนชั้นกลางไปล้างรอยเลือดในวัน big cleaning day ที่ไม่ใช่มีความหมายตื้นเขินเพียงแค่การรวมตัวกันมาทำประโยชน์สาธารณะ หากแต่เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษ์ ที่มองร่างกายของคนจน คนข้างถนน เสื้อแดงว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมไม่สะอาด และ "จิตอาสา" มีหน้าที่ ต้องกวาดล้างทำความสะอาด ให้เกลี้ยงเกลา โล่ง ใส สบายตา ในแบบร่างกายของคนชั้นกลาง ซึ่งผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การพัฒนา”  กล่าวคือเป็นร่างกายที่ได้รับการ ตกแต่ง ประทิน เสริม เติมอย่างพิถีพิถัน ห่อคลุมด้วยสิ่งสะอาด งดงาม  ขณะที่ร่างกายที่มีลักษณะตรงข้าม สกปรก เลอะเทอะ ปล่อยปะละเลย ขาดการปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งสวยงามห่อหุ้ม ไม่ได้พอก ปิดด้วยเครื่องสำอาง เป็นร่างกายของความด้อยพัฒนา ร่างกายประเภทแรกจะสมบูรณ์ได้ก็ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความเมตตาสงสาร การเข้ามาช่วยเหลือ ขจัดปัดเป่าร่างกายประเภทที่สอง เพื่อยกสถานะทางร่างกายให้สูงส่งเหนือขึ้นไปอีกระดับภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “จิตอาสา”

จิตอาสา ในยุคสมัยปัจจุบันทำหน้าที่สำคัญ คือการเข้ายึดพื้นที่ความดี งาม ในความหมายของการเยียวยา สงเคราะห์ ที่ทำได้ง่าย ๆ ทุกที่ ทุกเวลา ขอให้มารวมกันเยอะ ๆ จากตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมที่หลากหลาย และถ้าเป็นข่าวด้วยก็จะเป็น จิตอาสาที่สมบูรณ์   พื้นที่ทำกิจกรรมจิตอาสามักเป็นพื้นที่ของคนหนุ่มสาวเมืองหลวง มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันตามรสนิยมรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น ถนนคนเดิน ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ป่าชายเลน ทุ่งนาป่าเขา ลำธาร  หมู่บ้านชนบท  ท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนิน ถนนราชประสงค์  

กิจกรรมจิตอาสาของคนเมืองหลวงเหล่านี้เป็นไปในลักษณะตรวจตรา ควบคุม เมื่อพบเห็นสิ่งใดไม่ดีงามก็เข้าไปกำกับ จัดการ โดยเรียกสิทธิอำนาจการเข้าไปจัดการนี้ว่า “จิตอาสา”  ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในแบบที่ไม่ได้ใช้กำลังบังคับ หรืออาวุธเข้าทำร้ายต่อร่างกาย แต่ใช้ความเมตตา สงสาร ในรูปการช่วยเหลือ เข้าไปจัดกระทำให้สะอาด สมบูรณ์ เช่น การจับอาบน้ำ การสั่งให้เข้าแถวเพื่อรับของบริจาคในบริเวณน้ำท่วม (เพื่อถ่ายภาพออกโทรทัศน์)  ปลูกป่าชายเลน (ที่ปลูกซ้ำพื้นที่เดิมที่เคยปลูกทุกปี)   จัดเรียงกระสอบทราย  การช่วยงานในศูนย์อพยพ (มีข่าวแย่งของบริจาคกลับไปใช้ที่บ้าน) ปั้นก้อนจุลลินทรีย์  การเข้าไปทำความสะอาด ทาสี  เลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก คนแก่ ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อมอบสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมที่ขาดแคลน

หากพิจารณาให้ดีกิจกรรมจิตอาสา  มักมีลักษณะ “สมัครเล่น” ไม่สนใจว่าผู้ร่วมกิจกรรมจะมีทักษะความรู้  ความเข้าใจ หรือไม่  การทำงานจิตอาสาจึงไม่สามารถคาดการณ์คุณภาพของผลงานได้ เพราะเพียงมีใจมาช่วยโดยไม่คิดถึงรายได้ตอบแทนก็ถือว่าน่ายกย่อง ศรัทธามากพอแล้ว กิจกรรมจิตอาสาจึงมักเป็นกิจกรรมที่ออกแบบมาสำหรับความสนุกสนามเพลิดเพลิน ไม่ต้องหวังผลจากสิ่งที่ทำมากนัก ง่ายทำได้หลายคน ให้ปริมาณมากกว่าคุณภาพ  ที่สำคัญต้องได้ท่องเที่ยวหรือไปอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ ได้พบปะผู้คน มีเพื่อนใหม่ ๆ วัยเดียวกัน กิจกรรมเหล่านี้ถูกยกย่องว่าเป็นคุณงามความดีตามการนิยามของคนเมือง คนชั้นกลาง  และไม่เคยที่จะถูกถามถึง “ความรับผิดชอบ”  (responsibility) ต่อผลที่ตามมาจากกิจกรรมอาสาเหล่านั้น และยิ่งละเลยอย่างยิ่งต่อการคำนึงถึงการล่วงละเมิดสิทธิของคนผู้รับความช่วยเหลือ  การที่สังคมจะอ้างว่าเมื่อไม่ได้รับเงิน ก็สมควรยกเว้นไว้สำหรับความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่เข้าใจผิด เนื่องจากกิจกรรมจิตอาสาได้สร้างสิทธิพิเศษให้แก่อาสาสมัคร  สิทธินี้เป็นสิทธิอำนาจ ได้แก่

การเข้าสู่พื้นที่ สถานที่เป็นอื่นได้เสมือนเป็นเจ้าของพื้นที่ เพราะถือเป็นผู้รู้ ผู้ให้ หรือผู้เข้ามาปลดปล่อย เช่นพื้นที่ชนบทห่างไกล พื้นที่อนุรักษ์ป่าชายเลน เขตอุทยานแห่งชาติ เป็นต้น

สิทธิของการทำหน้าที่ตรวจตรา ควบคุม จัดการ ในสิ่งแปลกปลอมที่พลัด หลงเข้ามาในพื้นที่  เช่น จัดการกับคนเร่อน จรจัด สิ่งสกปรกเลอะเทอะที่คนต่างจังหวัดเข้ามาทิ้งไว้

สิทธิเข้าควบคุม สั่งการ ต่อร่างกายของผู้ที่รับความช่วยเหลือ

สิทธิดังกล่าวข้างต้นทำให้จิตอาสา มีอำนาจในการกำหนดนิยาม และกดทับให้ผู้รับความช่วยเหลือเป็นวัตถุแปลกปลอม

ดังผู้มาแสดงความเห็นท้ายภาพข้างต้นข้อความว่า

"สุดยอด นับถือน้ำใจทุกคนเลยค่ะ เคยเห็นคนลักษณะแบบนี้แต่ย่ำแย่กว่านี้ที่อนุสาวรีย์ชัย เคยคิดอยากให้มีองค์กรจับไปขัดสีฉวีวรรณบ้าง แต่ถ้าให้ไปจับเองไม่กล้าค่ะ ตาขวางมาก" Monday at 12:21pm · Like · 6,"อาบน้ำให้คนไร้บ้าน น่าคารวะมากครับ" Monday at 12:30pm · Like · 2

จิตอาสาในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงมีลักษณะขยายช่องว่างความไม่เท่าเทียม ในสถานะของความเป็นมนุษย์ และทำให้ช่องว่างทางอำนาจระหว่างคนจน กับคนรวย คนชนบท กับคนเมืองกว้างขวางขึ้น 

จิตอาสาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นควบคู่กับความรู้เข้าใจในสิ่งที่ทำ  มีความรับผิดชอบ และเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น โดยระลึกรู้ไว้เสมอว่า คนที่กำลังรับความช่วยเหลือนั้นมีสถานะความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับตนผู้มีจิตอาสา

 

 

หมายเหตุ : ผู้เขียนต้องขออภัยหน่วยงานเจ้าของภาพและผู้ที่ปรากฏในภาพ ทั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวพาดพิงบุคคลหรือองค์กรใดในภาพ แต่กำลังกล่าวถึงจิตอาสาที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.ร้องยุติพิจารณาร่าง ม.นอกระบบ ยันฟังความเห็น นศ.ก่อน

$
0
0

1 สิงหาคม 2555 แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านมหาวิทยาลัยนอกระบบ ยื่นหนังสือต่อ รศ.นพ. กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ คณะกรรมการการอุดมศึกษา เพื่อขอให้ยุติกระบวนการผ่านร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ (มหาวิทยาลัยนอกระบบ) พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการทำประชาพิจารณ์จากฝ่ายต่าง ๆ ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ยืนยันความพร้อมในการแปรสภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ

นายนิพิฐพนธ์ คำยศ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เหตุผลที่มายื่นหนังสือ เพราะทางกลุ่มแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ เห็นว่าทั้งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่ออกนอกระบบไปแล้ว หรือที่กำลังดำเนินการออกนอกระบบ ไม่มีส่วนร่วมจากนักศึกษาในการร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนอกระบบ อีกทั้งการให้ข้อมูลความรู้ไม่เต็มที่ ไม่ทั่วถึง แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใสในการกระบวนการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ

“แนวร่วมฯ เห็นว่า ถ้ามหาวิทยาลัยยังพยายามที่จะออกนอกระบบ โดยไม่ฟังเสียงประชาคม ผลเสียก็จะเกิดกับนิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ส่งลูกหลานมาเรียน ดังนั้นทางกลุ่มจึงขอให้คณะกรรมการการอุดมศึกษา ยุติกระบวนการการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ของทุกมหาวิทยาลัย และให้ส่งร่าง พ.ร.บ.ของแต่ละมหาวิทยาลัยกลับไปยังมหาวิทยาลัยนั้น ๆ เพื่อทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย” นายนิพิฐพนธ์ กล่าว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"เฟซบุ๊ก" คาดมีผู้ใช้ปลอมมากกว่า 83 ล้านชื่อ

$
0
0

จัดประเภทเป็นแอคเคาท์ที่สองของผู้ใช้ แอคเคาท์ของสัตว์เลี้ยง และสแปม ด้านบริษัทผู้ลงโฆษณา เริ่มไม่แน่ใจทำตลาดบนเฟซบุ๊ก คนมากดไลค์ใช่ตัวจริง?


 

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เฟซบุ๊ก เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งของโลกคาดการณ์ว่า ขณะนี้มีผู้ใช้ปลอม 83.09 ล้านชื่อในเฟซบุ๊ก โดยจากข้อมูลของบริษัทที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ระบุว่า 8.7% ของผู้ใช้ที่ยังมีความเคลื่อนไหว (แอคทีฟ) อยู่ 955 ล้านราย ไม่ใช่ตัวจริง โดยแบ่งเป็นโปรไฟล์สำเนาตัวจริง 4.8% ผู้ใช้ "ผิดประเภท" 2.4% และผู้ใช้ที่ "ไม่เป็นที่พึงปรารถนา" อีก 1.5%

เฟซบุ๊กอธิบายว่า โปรไฟล์สำเนาตัวจริง หมายถึงบัญชีที่ผู้ใช้มีไว้นอกเหนือจากบัญชีหลัก ส่วนผู้ใช้ผิดประเภท คือผู้ใช้ที่สร้างโปรไฟล์ส่วนตัวให้กับธุรกิจ องค์กร หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น สัตว์เลี้ยง ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา หมายถึงโปรไฟล์ซึ่งใช้เพื่อส่งข้อความสแปมหรือเนื้อหาอื่นๆ

บีบีซีระบุว่า เฟซบุ๊ก ซึ่งมีโมเดลธุรกิจขึ้นกับการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย เริ่มถูกตรวจสอบถึงคุณค่าของโมเดลโฆษณาที่มาจากการนับการกด "ไลค์" จากผู้ใช้

โดยเอกสารระบุว่า เฟซบุ๊กนั้นมีรายได้หลักที่สำคัญจากการขายโฆษณา และว่า หากขาดผู้ลงโฆษณา หรือผู้ลงโฆษณากับเฟซบุ๊กน้อยลงอาจเป็นอันตรายต่อธุรกิจของเฟซบุ๊ก

เมื่อเดือนก่อน โรรี เซลลัน-โจนส์ ผู้สื่อข่าวสายเทคโนโลยีของบีบีซี ได้ตั้งบริษัทปลอมชื่อ VirtualBagel เพื่อสืบเรื่องการปลอมแปลง "ไลค์" และพบว่า การปลอม "ไลค์" จำนวนมากมาจากบริษัทปลอมในตะวันออกกลางและเอเชีย

สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Limited Press กล่าวหาว่า จากการวิเคราะห์ด้วยซอฟต์แวร์ของบริษัท พบว่า จำนวนการกดไลค์ 80% ของโฆษณาในเฟซบุ๊กมาจากผู้ใช้ปลอม โดยโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กของบริษัทว่า พวกเขาพบว่ามี บอท (โปรแกรมอัตโนมัติ) กำลังโหลดเพจของพวกเขา และกำลังถีบราคาโฆษณา ทั้งยังระบุว่า พวกเขาเหนื่อยแล้วกับการติดต่อกับเฟซบุ๊กในเรื่องนี้ เพราะเฟซบุ๊กไม่ตอบกลับเลย

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเด็นนี้ทำให้บริษัทดังกล่าวกลายเป็นที่สนใจขึ้นมา บริษัทดังกล่าวก็มีการลบโพสต์ และระบุว่า เฟซบุ๊กกำลังตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

ในส่วนบทวิเคราะห์ โรรี เซลลัน-โจนส์ ผู้สื่อข่าวสายเทคโนโลยีของบีบีซี แสดงความเห็นว่า เมื่อตอนที่เขาพบว่ามีโปรไฟล์ปลอมนั้น โฆษกของเฟซบุ๊กตอบกลับว่าไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้จากข้อมูลของเฟซบุ๊กเองก็ปรากฏแล้วว่ากว่า 80 ล้านผู้ใช้ที่เฟซบุ๊กมีอาจไม่มีผลอะไรเลยต่อผู้ลงโฆษณา และว่า ขณะนี้ผู้ลงโฆษณาจำนวนมากกำลังท้าให้เฟซบุ๊กพิสูจน์ว่า จำนวนคลิกที่โฆษณาของพวกเขาได้รับนั้นเป็นของจริง

 

 

ที่มา:
Facebook has more than 83 million 'fake' users
http://www.bbc.com/news/technology-19093078

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แนวทางการพัฒนากฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัย

$
0
0

เกรินนำ

ก่อนปี พ.ศ. 2542 ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในมหาวิทยาลัยโดยมากมีสถานภาพเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507 ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจะได้รับสิทธิและสวัสดิการในฐานะที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นข้าราชการพลเรือน แต่ภายหลังจากปี พ.ศ. 2542 หลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลากรของมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไป อันเนื่องมาจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยเพื่อทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี พ.ศ. 2545 อันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ที่ได้วางกรอบนโยบายให้ทบวงมหาวิทยาลัยได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการจ้างพนักงานทดแทนเท่ากับจำนวนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยที่เกษียณอายุในปีงบประมาณนั้น ๆ จนกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ปรับเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐภายในปี พ.ศ. 2545

ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการที่เกษียณอายุในแต่ละปีดังกล่าว ให้จัดสรรเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการในตำแหน่งที่เกษียณอายุในปีนั้น ๆ กล่าวคือ[2] เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า จากอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการ สำหรับการจัดสรรงบประมาณทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย สาย ก[3]

 และเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า จากอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการ สำหรับการจัดสรรงบประมาณทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย สาย ข. และสาย ค.[4]

  เหตุที่มติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้เช่นนี้ ก็เพราะต้องการจูงใจให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนของสายวิชาการและสายสนับสนุน จัดทำและขับเคลื่อนบริการสาธารณะด้านการให้การศึกษาระดับอุดมศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้สภามหาวิทยาลัยสามารถบริหารจัดการงบประมาณในส่วนของค่าจ้างได้ด้วยตนเองเพื่อให้ผู้มีความรู้ความสามารถได้ค่าจ้างที่เหมาะสมและเป็นธรรมกว่าหน่วยงานราชการอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนสถานภาพจากข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษามาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ได้ส่งกระทบหลายประการต่อพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุน ตัวอย่างเช่น[5]

การกำหนดอัตราเงินเดือนที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2542 โดยไม่มีการปรับเงินเดือนให้เทียบเท่ากับเงินเดือนข้าราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2554 และเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 และการเลิกจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น

ดังนี้ การเปลี่ยนสถานภาพจากข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษามาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ได้ส่งผลกระทบหลายประการต่อพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุน อันก่อเกิดการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) ต่อพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจากความไม่เท่าเทียม ในการจ้างงาน (Employment Inequality) ในภาครัฐ อันอาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคมสถาบันอุดมศึกษา นอกจากนี้ การเลือกปฏิบัติที่สามารถส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นแรงงานประเภทหนึ่งในสังคมแรงงานและส่งผลเสียต่อคุณภาพในการจำทำบริการสาธารณะด้านการให้บริการทางวิชาการด้วย

ปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัย

แม้มติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 ได้กำหนดหลักการเพื่อต้องการจูงใจให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนของสายวิชาการและสายสนับสนุน โดยกำหนดอัตราเงินเดือนที่พิเศษให้กับผู้ดำรงตำแหน่งพนักงานมหาวิทยาลัย แต่นโยบายตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวกลับสร้างปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นธรรมในเวลาต่อมา โดยอาจพิจารณาประเด็นปัญหาดังต่อไปนี้ ได้แก่ ประการแรก สิทธิในการฟ้องคดีปกครองของพนักงานมหาวิทยาลัยในกรณีเกี่ยวกับกระบวนการในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานมหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณาเป็นการภายในเพื่อต่อสัญญาจ้างได้ถูกจำกัด เพราะพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ไม่ได้รองรับสิทธิให้พนักงานมหาวิทยาลัยสามารถฟ้องคดีได้ โดยถือว่ากระบวนการในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น ถือเป็นเพียงแค่ขั้นตอนภายในของคณะกรรมการประเมินเพื่อเสนอผลการพิจารณาต่อผู้บังคับบัญชาต่อไปเท่านั้น กระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานดังกล่าวมิได้มีผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดีอันจะมีสถานะเป็นคำสั่งทางปกครองแต่อย่างใด[6]

ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวอาจทำให้สถานภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีความมั่นคงในอาชีพและผู้บังคับบัญชาอาจอาศัยช่องทางกฎหมายดังกล่าวมาต่อรอง กลั่นแกลงหรือล่วงละเมิดทั้งทางร่างกายและจิตใจในกรณีอื่นๆ ตามมา ตัวอย่างเช่น การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual Harassment) ต่อพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนโดยอาศัยเงื่อนไขสัญญาจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยที่กำลังจะหมดอายุมาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อคุกคามทางเพศและการเปิดช่องให้ใช้ระบบอุปภัมภ์ (Patronage System) โดยไม่สนใจถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่แท้จริงของพนักงานมหาวิทยาลัยที่มิได้อยู่ในอุปถัมภ์ของตน เป็นต้น

ประการต่อมา รัฐบาลและมหาวิทยาลัยต้นสังกัดของพนักงานมหาวิทยาลัยมักกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการโดยไม่คำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 ที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น แต่กลับอาศัยช่องว่างทางกฎหมายและข้อกำหนดในเรื่องสถานภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยมากำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นเพื่อเอารัดเอาเปรียบพนักงานมหาวิทยาลัยที่สังกัดมหาวิทยาลัยของรัฐ เช่น การหักเงินเดือนบางส่วนไปใช้จัดสวัสดิการให้พนักงานมหาวิทยาลัย ทำให้พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้รับเงินเดือนในอัตรา 1.5 ถึง 1.7 เท่าของอาจารย์ประเภทข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ การจ่ายเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ประเภทพนักงานมหาวิทยาลัย ที่ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ได้แก่ ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยังเหลื่อมล้ำหรือไม่เท่ากับอาจารย์มหาวิทยาลัยประเภทข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งในระดับเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยอาศัยสถานภาพในสัญญาจ้างแรงงานมาปิดกั้นโอกาสไม่ให้ได้รับสิทธิหรือสวัสดิการที่เท่าเทียมกัน

ประการที่สาม ในปัจจุบันประเทศไทยมีข้อจำกัดทางกฎหมายโดยไม่เปิดช่องให้มีการจัดตั้งสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยเหมือนอย่างบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ เพราะการบริหารงานบุคลากรประเภทพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการและสายสนับสนุนไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายแรงงานสัมพันธ์เหตุผลที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงาน เหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะเกิดจากเหตุผลสองประการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยไม่ต้องการให้พนักงานมหาวิทยาลัยนัดหยุดงานหรือใช้สิทธิทางแรงงานเหมือนกับแรงงานในตลาดแรงงานประเภทอื่นๆ เพราะพนักงานมหาวิทยาลัยถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการศึกษาอันถือเป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาอย่างหนึ่ง หากพนักงานมหาวิทยาลัยสามารถนัดรวมตัวหรือหยุดงานได้ อาจไปกระทบต่อการจัดทำบริการสาธารณะของมหาวิทยาลัยและหลักการจัดทำบริการสาธารณะที่บริการสาธารณะต้องต่อเนื่อง (Le principe de continuité du service public) ไม่สะดุดเพราะหน่วยงานหรือคนในหน่วยงานผู้จัดทำเอง นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องการออกหลักเกณฑ์และวิธีการในการควบคุมและบริหารบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัยแตกต่างกัน เพราะขึ้นอยู่กับสภาพและปัจจัยภายในและภายนอกของมหาวิทยาลัยหลายประการ เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ความต้องการจำกัดอำนาจของกลุ่มอิทธิพลที่เป็นข้าราชการมีตำแหน่งบริหารในสถาบัน เป็นต้น

ประการที่สี่ แม้ว่าในปัจจุบันรัฐได้กำหนดกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับเพื่อส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ในมหาวิทยาลัย เช่น ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง มาตรฐานของจรรยาบรรณที่พึงมีในสถาบันอุดมศึกษา พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 และพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2550[7]

เป็นต้น แต่กฎหมายฉบับต่างได้กำหนดเพียงหลักการเรื่องธรรมาภิบาลในการบริหารการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างกว้างๆ แต่มิได้ระบุแนวทางในการปฏิบัติ (Code of Practice) หรือเกณฑ์กลาง ในการกำหนดมาตรฐานการบริหารงานพนักงานมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด

ประการสุดท้าย แม้ผู้ดำรงตำแหน่งหรือสถานภาพพนักงานมหาวิทยาลัยที่เหมือนกันและมีหน้าที่ในการทำภารกิจบริการสาธารณะด้านการศึกษาที่เหมือนกัน แต่ต่างกันแต่เพียงที่มาของแหล่งเงินเดือน ก็ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม โดยพนักงานมหาวิทยาลัยบางประเภทไม่มีสิทธิที่จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เช่นเดียวกับข้าราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณแผ่นดิน

แนวทางในการพัฒนากฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัย

ในบางประเทศได้มีการบัญญัติกฎหมายเพื่อขยายหลักการในเรื่องของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นลูกจ้าง (Contractual Employees) ภายใต้สัญญาจ้าง ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษได้บัญญัติกฎหมาย Equality Act 2010 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อขยายสิทธิและเสรีภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นลูกจ้างตามสัญญา ให้ได้รับความเท่าเทียมกันในระบบแรงงานสัมพันธ์และปราศจากการเลือกปฏิบัติจากนายจ้างหรือระบบการบังคับบัญชาภายในองค์กร เช่น การกำหนดมาตรการลงโทษนายจ้างที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศแก่ลูกจ้างและการห้ามไม่ให้เลือกปฏิบัติในกรณีที่มีการพิจารณาการเลื่อนขั้นหรือเลื่อนระดับของลูกจ้างของลูกจ้าง เป็นต้น นอกจากกฎหมายของอังกฤษฉบับดังกล่าวคุ้มครองลูกจ้างมิให้ถูกเลือกปฏิบัติหรือกีดกันจากนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาตามสายการบังคับบัญชา กฎหมายดังกล่าวยังมุ่งประสงค์ที่คุ้มครองผู้สมัครเข้าทำงาน (Applicants) ในมหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในการคัดเลือกบุคคลเพื่อรับเข้าทำงานในหน่วยงานต่างๆ จากบทบัญญัติดังกล่าว จากที่กล่าวมาอาจเห็นได้ว่าสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในประเทศอังกฤษต้องปฏิบัติตามกฎหมาย Equality Act 2010 เพื่อให้พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการและพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนได้มีโอกาสได้รับการปฏิบัติในด้านการจ้างแรงงานจากมหาวิทยาลัยอย่างเท่าเทียม ในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่ทำงานภายใต้สัญญาจ้างปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย (Contract Worker) โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างและความหลากหลายด้านอายุ ความพิการทางกาย การแปลงเพศ การแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร สีผิว ศาสนาและความเชื่อ เพศ และรสนิยมทางเพศ[8]

แม้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีความหลากหลายและความแตกต่างในด้านวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อรสนิยมและสีผิวแบบผู้คนในสังคมมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษ[9]

แต่อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัย นั้นคือ การอาศัยความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางด้านสถานภาพของบุคคลกรในมหาวิทยาลัยในการเลือกปฏิบัติ (Labour Discrimination) อันก่อให้เกิดความเหลือมล้ำระหว่างผู้ที่ปฏิบัติงานในหน้าที่และภารกิจบริการสาธารณะในลักษณะงานบริการสาธารณะด้านการศึกษาแบบเดียวกัน แต่กลับได้รับการปฏิบัติทางด้านสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงานที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การกระทำภายในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลประเภทพนักงานมหาวิทยาลัย ก็ยากที่จะตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง เพราะศาลปกครองภายใต้กฎหมายวิธิพิจารณาคดีทางปกครองไม่อาจก้าวล่วงมาตรวจสอบการพิจารณาหรือวินิจฉัยเป็นการภายในมหาวิทยาลัยในฐานะที่เป็นหน่วยงานทางปกครองได้ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ซึ่งการที่กระบวนการยุติธรรมทางปกครองไม่สามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ย่อมเปิดช่องให้ผู้บังคับบัญชาอาจใช้อคติในการตัดสินหรือพิจารณาการต่ออายุสัญญาของพนังงานมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ อันเนื่องมาจากความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางด้านสถานภาพของบุคคลกรในมหาวิทยาลัย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดและบัญญัติมาตรการทางกฎหมายเฉพาะขึ้น เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากสถานภาพทางตำแหน่ง (Anti-discrimination) และส่งเสริมสวัสดิการด้านต่างๆ ให้เท่าเทียมกับสถานภาพของบุคคลกรประเภทอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย ที่ปฏิบัติงานในภารกิจหรือหน้าที่การจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาที่เหมือนกัน เช่น ข้าราชการ เป็นต้น นอกจากการขจัดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากสถานภาพทางตำแหน่งโดยอาศัยมาตรการทางกฎหมายแล้ว รัฐควรบัญญัติแนวทางในการปฏิบัติหรือเกณฑ์กลาง (Code of Practice) ตามมาตรการทางกฎหมายที่ได้จัดทำขึ้น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทางและวิธิการเพื่อสร้างปทัสถานที่ดีในการขจัดการเลือกปฏิบัติในกรณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลประเภทพนักงานมหาวิทยาลัย เช่น การกำหนดเกณฑ์กลางด้านธรรมาภิบาลในการประเมินผลงาน (Performance Appraisal Governance) สำหรับผู้บังคับบัญชาหรือคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานมหาวิทยาลัย เพื่อให้มีแนวการปฏิบัติอย่างเดียวกันและป้องกันการใช้ดุลพินิจและอคติที่ไม่เป็นธรรมในการประเมินผลการปฏิบัติงาน

สรุป

จากข้อจำกัดด้านต่างๆ ของข้อจำกัดการบริหารงานบุคคลประเภทพนักงานมหาวิทยาลัย ช่องว่างที่กระบวนการยุติธรรมทางปกครองไม่สามารถตรวจสอบการกระทำอันเป็นการภายในได้และข้อผูกมัดของสัญญาจ้างตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่พนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้ทำกับมหาวิทยาลัย อาจส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนอาจนำมาซึ่งการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในสถาบันอุดมศึกษาได้ ดังนั้น การขจัดการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากสถานภาพทางตำแหน่งพนักงานมหาวิทยาลัยโดยอาศัยมาตรการทางกฎหมายการจัดทำแนวทางในการปฏิบัติหรือเกณฑ์กลาง ย่อมถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างธรรมาภิบาลภายในมหาวิทยาลัยของรัฐและอาจเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีขวัญและกำลังใจในการพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต

 


[1] สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดอมงฟอร์ต สหราชอาณาจักร

[2] มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2555. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 เรื่อง ผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เกี่ยวกับอัตราที่ยุบเลิกจากผลการเกษียณอายุปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี. [Online]. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม, 2555 , จาก http://www.cau.ku.ac.th/01_intro/resolution/2542_10_12.htm

[3] อัตราพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการมาทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย สาย ก.

[4 อัตราพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนมาทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย สาย ข. และสาย ค.

[5] คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล้านนา. 2555. สรุปผลการประชุม. [Online]. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม, 2555 , จากhttp://engineering.rmutl.ac.th/engineer/attachments/article/205/สรุปผลการประชุม1.pdf

[6] คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 236/2554

[7] มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์. 2552. โครงการวิจัยสถานภาพธรรมาภิบาลมหาวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยราชภัฏ. [Online]. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม, 2555 , จาก http://www.vru.ac.th/goodgovru/law.html

[8] ปีดิเทพ อยู่ยืนยง. 2555. ความเสมอภาคในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายอังกฤษ. [Online]. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม, 2555 , จาก http://www.midnightuniv.org/

[9] กฎหมาย Equality Act 2010 ได้กำหนดลักษณะของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง (Protected characters) ภายใต้กฎหมายเฉพาะ ได้แก่ อายุ (age) ความพิการทางกาย (disability) การแปลงเพศ (gender reassignment) การแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ (marriage and civil partnership) การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร (pregnancy and maternity) สีผิว (race) ศาสนาและความเชื่อ (religion or belief) เพศ (sex) การแสดงออกรสนิยมทางเพศ  (sexual orientation) แต่สำหรับการพัฒนากฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น อาจพัฒนาหลักการโดยกำหนดลักษณะของ “สถานภาพพนักงานมหาวิทยาลัย” (Protected Employee Status) ให้ได้รับความคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติทางแรงงานและสวัสดิการ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กะเหรี่ยงตะวันตกเร่งรัฐ ทำตามมติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยง

$
0
0

เตือน มติ ครม.เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงออกมาได้ครบสองปีแต่ไร้วี่แววปฏิบัติตาม ชูให้เห็นความสำคัญทางมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

มหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี – คณะอนุกรรมการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงร่วมกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมตะวันตก 6 จังหวัดเร่งผลักดันให้รัฐบาลปฏิบัติตามมติ ครม.เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงที่ออกมาสองปีที่แล้วให้นำไปปฏิบัติจริง หลังไร้วี่แววปฏิบัติ โดยชูให้เห็นความสำคัญทางมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

ภายหลังจากที่รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2553 แต่ยังไร้วี่แววในทางปฏิบัติ ทางคณะอนุกรรมการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมตะวันตกจาก 6 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จัดโครงการประสานพลังท้องถิ่นเพื่อการผลักดันมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ให้นำไปสู่การปฏิบัติ เมื่อวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2555 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี  โดยมีแกนนำกะเหรี่ยงเข้าร่วมกว่า 100 คน

นางภินันท์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มสตรีเมืองกาญจน์ ซึ่งมีบทบาทรณรงค์เรื่องการปกป้องป่าและวิถีชีวิตคนกะเหรี่ยงมาตลอดได้กล่าวเปิดว่า กะเหรี่ยงมีบุญคุณต่อสังคมไทยมาตั้งแต่โบราณ นับแต่ร่วมปกป้องชายแดนไทยจากการรุกรานจากพม่า มาจนถึงปัจจุบันที่มีบทบาทการดูแลรักษาป่า โดยเฉพาะป่าทุ่งใหญ่นเรศวรที่มีความสำคัญเป็นมรดกโลกที่สร้างธรรมชาติสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อมีเหตุอะไรมากระทบต่อคนกะเหรี่ยงเราควรจะนึกถึงบุญคุณโดยร่วมปกป้องสิทธิของคนกะเหรี่ยงเฉกเช่นพลเมืองอื่นๆ ของไทย

นายสุรพงษ์ กองจันทึก รองประธานอนุกรรมการอำนวยการเพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงที่มาของมติครม.ว่า เกิดจากเครือข่ายกะเหรี่ยงตะวันตกจัดศูนย์วัฒนธรรมที่ไล่โว่ กาญจนบุรี โดยเชิญรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมธีระ สลักเพชร มาร่วมงาน ทำให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของกะเหรี่ยงทั้งในเรื่องการรักษาป่าและวัฒนธรรม พร้อมเห็นถึงปัจจัยคุกคามต่อวิถีชีวิตคนกะเหรี่ยง จึงได้เกิดการตั้งคณะกรรมการเพื่อฟื้นฟูชีวิตกะเหรี่ยงที่มาจากหลายฝ่าย และเกิดเป็นมติคณะรัฐมนตรีขึ้นมา โดยก้าวต่อไปจะผลักดันให้ไร่หมุนเวียนได้รับการรับรองเป็นมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรมของชาติและของโลกด้วยการจัดงานครั้งนี้จะเป็นการระดมความคิดเห็น ข้อเสนอเพื่อผลักดันต่อรัฐบาลดำเนินการตามมติครม.อย่างเป็นรูปธรรมในเวลาไม่ช้า

อนึ่ง ปัจจุบันกะเหรี่ยงทั้งภาคตะวันตกและภาคเหนือเผชิญภัยคุกคามหลายด้าน ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกทำลายป่า ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ป่ามานับร้อยปีและมีบทบาทรักษาป่ามาตลอด และยังถูกจำกัดการทำไร่หมุนเวียนโดยกล่าวหาว่าเป็นไร่เลื่อนลอย ทั้งที่มีงานศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์และสังคมยืนยันตรงกันว่าเป็นระบบการผลิตบนที่สูงที่มีความยั่งยืนทางนิเวศและความมั่นคงอาหารมากที่สุด ในด้านสิทธิ หลายชุมชนไม่ได้รับรองสัญชาติ ทำให้เข้าไม่ถึงระบบสวัสดิการของรัฐทั้งเรื่องการศึกษา สาธารณสุขและอื่นๆ อีกทั้งกระแสเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกำลังกระทบต่อวัฒนธรรมกะเหรี่ยงอย่างรุนแรง ดังนั้นคนกะเหรี่ยงต้องการฟื้นฟูวัฒนธรรมกะเหรี่ยง

การจัดงานเวทีประสานพลังท้องถิ่นเพื่อผลักดันมติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 ผ่านกระบวนการความคิดเห็นของเครือข่ายกะเหรี่ยงในระหว่างวันที่ 28 - 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการผลักดันมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ดังนี้

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เสนอต่อรัฐบาล / ราชการ

1. รัฐบาลต้องกำกับ ดูแลให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามมติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 (การเข้าถึงบริการสาธารณะที่เท่าเทียมทั่วถึงเปรียบเสมือนประชาชนโดยทั่วไป

2. รัฐบาลต้องปรับแก้กฎหมาย ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต (สอดคล้องกับไร่หมุนเวียน)

3. รัฐบาลต้องส่งเสริมให้เกิดกระบวนการพัฒนาร่วมระหว่างภาคราชการและชุมชนชาวบ้าน

เสนอต่อองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีแผนพัฒนาที่สอดคล้องกับมติ ครม. 3 สิงหาคม 2553
2. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องออกระเบียบ / ประกาศที่เอื้อต่อมติ ครม. 3 สิงหาคม 2553
3. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูวัฒนธรรม

เสนอต่อองค์กรพัฒนา
1. องค์กรพัฒนาต้องส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
2. องค์กรพัฒนาต้องสนับสนุนความรู้ให้กับชุมชนเพื่อการผลักดันมติครม. 3 สิงหาคม 2553 สู่การปฏิบัติ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "พึ่งจะรู้"

$
0
0

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "พึ่งจะรู้"

กอ.รมน.ภาค 4 ยันไม่ประกาศเคอร์ฟิวชายแดนใต้

$
0
0

 

กอ.รมน. ภาค 4 ยันไม่มีความจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิว รัฐบาลเตรียมตั้งศูนย์แก้ปัญหาภาคใต้ส่วนหลังที่ กทม. รองนายกฯ ยุทธศักดิ์นั่งเป็นประธาน  ใต้ยังป่วน เผาโรงเรียนรัฐในปัตตานี

พ.อ. ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวว่าทางหน่วยยังไม่มีนโยบายในการประกาศเคอร์ฟิวพี้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  แม้ว่าทางรัฐบาลจะได้แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฏาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการเข้าสู่เดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม 

ก่อนหน้านี้ สื่อหลายฉบับได้รายงานว่าทางกอ.รมน.เตรียมจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการประกาศใช้เคอร์ฟิวในบางพื้นที่ในช่วงหลังเดือนรอมฎอน

ตามที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้มีคำสั่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กรุงเทพฯนั้น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในกองทัพบกว่าทางผู้บัญชาการทหารบกได้ประชุมร่วมกับกอ.รมน.แล้ว และเสนอที่ตั้งศูนย์ฯ สามแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาล กองทัพบก หรือกอ.รมน.  

โดยศูนย์นี้จะมีพล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการ  และมีนายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา  มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ และมีเสนาธิการทหารบกเป็นเลขานุการ  โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์และรายงานตรงต่อผอ.ศูนย์ฯ และนายกรัฐมนตรี รวมถึงอำนวยการแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นอีกด้วย

สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้  ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้ารายงานว่าเมื่อเวลา 19.15 น. วันที่ 1  สิงหาคม 2555 คนร้าย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ลอบวางเพลิงอาคารเรียนโรงเรียนบ้านกูวิง หมู่ที่ 1 ต.สาคอใต้ อ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้อาคารเรียนไม้ 2 ชั้น 8 ห้องเรียนได้รับความเสียหายทั้งหลัง โดยอาคารนั้นเป็นอาคารเรียนเก่า ไม่ได้ใช้งาน ในขณะเกิดเหตุ ชุดรักษาหมู่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบที่เฝ้าโรงเรียนออกไปทำการละศีลอด คนร้ายจึงอาศัยเวลาดังกล่าวก่อเหตุ กอ.รมน. เชื่อว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง 

ต่อมาเมื่อเวลา 2.30 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 2555 คนร้ายได้ดักยิงนายฮามะ ดอมิ อายุ  64 ปี ขณะเดินทางกลับจากมัสยิดเพื่อจะกลับบ้าน  นายฮามะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ  เหตุเกิดที่บ้านมาหยอ หมู่ที่ 2 ต.มายอ อ.มายอ จ.ปัตตานี สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ในเวลา 7.00 น. มีผู้พบศพนายซาการียา สามะ อายุ 26 ปี อยู่ที่บริเวณสวนยางพาราหลังโรงเรียนตาดีกา บ้านบาลูกาตือเงาะ หมู่ที่ 1 ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ  จ.ปัตตานี  เขาถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองบริเวณหน้าอกคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8 ชั่วโมง กอ.รมน. คาดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือลักขโมย  

 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กอ.รมน.ภาค 4 ยันไม่ประกาศเคอร์ฟิวชายแดนใต้

$
0
0

 

กอ.รมน. ภาค 4 ยันไม่มีความจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิว รัฐบาลเตรียมตั้งศูนย์แก้ปัญหาภาคใต้ส่วนหลังที่ กทม. รองนายกฯ ยุทธศักดิ์นั่งเป็นประธาน  ใต้ยังป่วน เผาโรงเรียนรัฐในปัตตานี

พ.อ. ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวว่าทางหน่วยยังไม่มีนโยบายในการประกาศเคอร์ฟิวพี้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  แม้ว่าทางรัฐบาลจะได้แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฏาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการเข้าสู่เดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม 

ก่อนหน้านี้ สื่อหลายฉบับได้รายงานว่าทางกอ.รมน.เตรียมจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการประกาศใช้เคอร์ฟิวในบางพื้นที่ในช่วงหลังเดือนรอมฎอน

ตามที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้มีคำสั่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กรุงเทพฯนั้น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในกองทัพบกว่าทางผู้บัญชาการทหารบกได้ประชุมร่วมกับกอ.รมน.แล้ว และเสนอที่ตั้งศูนย์ฯ สามแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาล กองทัพบก หรือกอ.รมน.  

โดยศูนย์นี้จะมีพล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการ  และมีนายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา  มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ และมีเสนาธิการทหารบกเป็นเลขานุการ  โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์และรายงานตรงต่อผอ.ศูนย์ฯ และนายกรัฐมนตรี รวมถึงอำนวยการแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นอีกด้วย

สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้  ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้ารายงานว่าเมื่อเวลา 19.15 น. วันที่ 1  สิงหาคม 2555 คนร้าย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ลอบวางเพลิงอาคารเรียนโรงเรียนบ้านกูวิง หมู่ที่ 1 ต.สาคอใต้ อ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้อาคารเรียนไม้ 2 ชั้น 8 ห้องเรียนได้รับความเสียหายทั้งหลัง โดยอาคารนั้นเป็นอาคารเรียนเก่า ไม่ได้ใช้งาน ในขณะเกิดเหตุ ชุดรักษาหมู่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบที่เฝ้าโรงเรียนออกไปทำการละศีลอด คนร้ายจึงอาศัยเวลาดังกล่าวก่อเหตุ กอ.รมน. เชื่อว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง 

ต่อมาเมื่อเวลา 2.30 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 2555 คนร้ายได้ดักยิงนายฮามะ ดอมิ อายุ  64 ปี ขณะเดินทางกลับจากมัสยิดเพื่อจะกลับบ้าน  นายฮามะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ  เหตุเกิดที่บ้านมาหยอ หมู่ที่ 2 ต.มายอ อ.มายอ จ.ปัตตานี สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ในเวลา 7.00 น. มีผู้พบศพนายซาการียา สามะ อายุ 26 ปี อยู่ที่บริเวณสวนยางพาราหลังโรงเรียนตาดีกา บ้านบาลูกาตือเงาะ หมู่ที่ 1 ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ  จ.ปัตตานี  เขาถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองบริเวณหน้าอกคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8 ชั่วโมง กอ.รมน. คาดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือลักขโมย  

 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Human Resource ปัญหาที่ท้าทายของเมียนมาร์

$
0
0

            ภาพของ “เมียนมาร์” ในปัจจุบันดูจะเปรียบดั่งขุมทรัพย์อันหอมหวานของหลายประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” รวมถึงการปรับปรุงและผ่อนคลายเงื่อนไขทางกฎหมายและการวางแผนทางเศรษฐกิจตลอดช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนและการค้า โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก โครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้เริ่มปรากฎให้เพิ่มมากขึ้นในดินแดนแห่งนี้ พร้อมกับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยไหลบ่าจากหลากหลายประเทศและองค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

            กระนั้นก็ดี “การปิดตัวเอง” และถูก “คว่ำบาตร” มาอย่างน้อยกว่า 2 ทศวรรษ ได้ทำให้ “เมียนมาร์” มีหลายปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน บางปัญหามีรากฐานมาแต่ครั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทศวรรษ 1960 โดยที่ปัญหาเหล่านี้ในมุมหนึ่งได้ส่งผลต่อการสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต

            ในมุมมองของผู้เขียน “ทรัพยากรบุคคล” เป็นปัญหาหลักสำคัญหนึ่งของเมียนมาร์ที่ต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้นี้ แม้เมียนมาร์จะมีแรงงานราคาถูกอันล้นเหลือที่พร้อมรองรับการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมประเภทใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) หากแต่บุคลากรในระดับเทคนิค วิชาชีพ วางแผน และบริหารเป็นสิ่งที่เมียนมาร์ยังคงขาดแคลนอยู่อย่างมากทั้งในภาครัฐและเอกชน

            ปัญหาทรัพยากรบุคคลของเมียนมาร์เป็นสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึงมานานตั้งแต่ทศวรรษ 1950 หลุยส์ เจ วาลินสกี้ (Louis J Walinsky) นักวิชาการและอดีตหัวหน้าที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพม่า (1953 – 1958) ได้ชี้ให้เห็นว่าการขาดทรัพยากรบุคคลทางด้านต่างๆ เป็นปัญหาหลักสำคัญประการหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาประเทศ บุคลากรชาวอังกฤษและอินเดียส่วนใหญ่ที่เคยกุมบทบาทในระดับวิชาชีพและการวางแผนได้ได้ย้ายออกจากประเทศภายหลังการประกาศเอกราช

            ในทางเดียวกัน นักประวัติศาสตร์หญิงคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงหลังอาณานิคมของเมียนมาร์ ได้เคยกล่าวกับผู้เขียนว่าปัญหาทรัพยากรบุคคลนี้ นอกจากจะแทบไม่ได้รับการแก้ปัญหาแล้ว ยังประสบปัญหาซ้ำอีก ในทศวรรษ 1960 หลังการรัฐประหารของนายพลเนวิน และการประกาศใช้ “ระบบสังคมนิยมวิถีพม่า” ได้ส่งผลให้บรรดานักเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งทยอยเดินทางออกนอกประเทศ อีกจำนวนหนึ่งได้ยุติบทบาทของตัวเองลง รวมถึงระบบเศรษฐกิจที่ว่านี้ยังทำให้ภาคเอกชนมีการขยายตัวที่ต่ำ อันหมายถึงบุคลากรและเจ้าหน้าที่ภาคเอกชนที่มีจำนวนเพียงน้อยนิด ในทางเดียวกัน การละเลยที่จะให้ความสำคัญกับการศึกษาในทุกระดับ และการปิดมหาวิทยาลัยหลายครั้งเพื่อยุติบทบาทการเคลื่อนไหวนักศึกษาได้กระทบต่อการพัฒนาและวางรากฐานทรัพยากรบุคคลของประเทศด้วยเช่นกัน

            สถานการณ์ในปัจจุบัน แม้จะมีสภาพในหลายด้านที่ดีขึ้นกว่าในอดีต หากแต่ในด้านทรัพยากรบุคคลในระดับกลางและสูงดูจะยังประสบปัญหาอย่างมาก แม้ในหลายภาคส่วนทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจและการเงินจะปรากฎข่าวการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและการอบรมจากสถาบันการเงินต่างประเทศ หากแต่นั่นเป็นสิ่งที่ยังคงต้องเวลาและการสร้างความคุ้นเคยสำหรับเจ้าหน้าที่ในประเทศที่แทบจะตัดขาดจากระบบการเงินสมัยใหม่ของโลก ทำนองเดียวกับ การพัฒนาบุคลากรผ่านการศึกษาที้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมากกว่าจะเห็นผล ทว่าสภาพการศึกษาและการบุคลากรของเมียนมาร์ยังดูแทบจะหยุดนิ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฎในแผนงานและเอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการศึกษาของรัฐดูจะยังแทบห่างไกลกับสภาพการศึกษาที่เป็นจริง รวมถึงการที่รัฐบาลแทบจะไม่มีการส่งคนหรือบุคลากรไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเพื่อซึมซับระบบการทำงานและสภาพความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคนิควิธีการเลย

            นอกจากนี้ ชาวเมียนมาร์ที่มีหน้าที่ในภาคเอกชนและบริษัทชั้นนำในหลายประเทศ แม้พวกเขาจะอยากกลับไปช่วย “พัฒนา” บ้านเกิดที่จากมาแสนนาน หากแต่ปัญหาสำคัญดูจะอยู่ที่เสถียรภาพทางการเมืองที่ถึงจะมีการปรับปรุงในหลายด้าน ทว่ายังคงมีความคุมเครือในอนาคตอยู่มาก และปัญหาของการกีดกัน/ขัดแย้งทางศาสนาดูจะทำให้พวกเขาหลายคนต้องคิดหนักกับการกลับไปเมียนมาร์

            จากที่กล่าวมา เมียนมาร์ในอนาคตอันใกล้จึงอาจประสบปัญหากับการขาดแคลนบุคลากรระดับกลางและสูงที่จะมีส่วนช่วยผลักดันและวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ถึงแม้กฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศฉบับใหม่ที่มีแผนประกาศใช้ในอีกไม่นาน จะปรากฎเงื่อนไขที่บริษัทต่างประเทศต้องเพิ่มสัดส่วนแรงงานมีฝีมือชาวเมียนมาร์อันอาจรวมบุคลากรในระดับวิชาชีพและเทคนิค จากร้อยละ 25 ในปีที่ 5 เป็นร้อยละ 50 และ 75 ในปีที่ 10 และ 15 ของกิจการ หากแต่เป็นที่น่าจับตาว่าในทางปฏิบัติจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด และแรงงานมีฝีมือที่ระบุนั้นมีขอบเขตกว้างขวางขนาดไหน

            ทรัพยากรบุคคลของเมียนมาร์จึงเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่ง ที่ควรตระหนักท่ามกลางภาพแห่งความหวังของการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะความยั่งยืนและทิศทางแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากแรงงานระดับล่างจะมีความสำคัญแล้ว บุคลากรในระดับกลางและสูงยังมีความสำคัญไม่แพ้กัน และเป็นรากฐานให้เมียนมาร์ยกระดับการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศจากการพึ่งพาแรงงานราคาถูก มาเป็นการผลิตและเศรษฐกิจที่พึ่งพาเทคโนโลยีและภาคบริการในอนาคต

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พันธมิตรฯ แนะรัฐบาลหากคิดจะสานเสวนา ขอให้ถอน พ.ร.บ.ปรองดองฯ

$
0
0

โฆษกพันธมิตรชี้สภาเลื่อนพิจารณา พ.ร.บ.ปรองดองฯ เป็นแค่การถ่วงเวลา ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ลั่นหากมีการลักไก่ เลื่อนวาระพิจารณาเมื่อไหร่พันธมิตรฯ จะชุมนุมทันที

เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลงข่าวภายหลังแกนนำพันธมิตรฯ ได้มีการหารือกัน

โดยนายปานเทพกล่าวว่า แกนนำพันธมิตรฯ ได้มีการประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ และมีข้อสรุปต่อกรณีที่ทางพันธมิตรฯ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ต่อกรณีที่มีการเสนอกฎหมายดังกล่าวที่จะสร้างความแตกแยกให้แก่คนในชาติต่อไปในอนาคต ทางพันธมิตรฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องว่าขอให้ถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ประชุม โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ถ้ามีปรากฏอย่างชัดเจนว่าจะประชุมเมื่อไหร่ และวาระปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว พันธมิตรฯ จะดำเนินการชุมนุมโดยทันที

แต่เนื่องปรากฏเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีการบรรจุวาระร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าไปในที่ประชุม และมีการเสนอให้นำวาระ 10 เรื่องขึ้นมาเป็นวาระในการประชุมคราวหน้า ทำให้วาระกฎหมายปรองดองซึ่งเดิมอยู่ในบัญชีวาระเร่งด่วนพิเศษลำดับที่ 1 นั้นได้ตกลงไปเป็นลำดับที่ 11 เราจึงเห็นว่ากรณีดังกล่าวนั้นเป็นการถ่วงรั้งเวลาสถานการณ์ ไม่สามารถที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

“สืบเนื่องมาจากกรณีดังกล่าวได้ล่วงเลยมาถึงวันที่ 1 ส.ค.แล้ว และประกอบกับมีการเลื่อนวาระดังกล่าวออกไปถึง 10 วาระดักหน้าเอาไว้กับกฎหมายปรองดอง เราจึงเห็นว่าถ้ายังไม่ปรากฏอย่างชัดเจนว่าจะมีการพิจารณาในวันที่ 8 ส.ค.นี้ เราก็จะยังชะลอการชุมนุมออกไปก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าปรากฏว่าจะมีการบิดพลิ้ว หรือมีการพิจารณาเสร็จสิ้นใกล้ถึง 10 วาระแล้ว พันธมิตรฯ ก็จะประชุมกันอีกครั้งเพื่อกำหนดวันชุมนุมครั้งต่อไป และก็จะกำหนดให้ทราบ แต่หากมีการลักไก่หรือมีการพลิกผันของมติฉุกเฉินในการพิจารณาว่าด้วยกฎหมายปรองดองเร่งด่วนพิเศษขึ้นมาลำดับแรกเมื่อไหร่ พันธมิตรฯ ก็จะจัดชุมนุมโดยทันทีเช่นเดียวกัน” นายปานเทพกล่าว

นายปานเทพกล่าวว่า เราเรียกร้องให้ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ การถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ประชุม เพราะเห็นว่าถ้ารัฐบาลมีความคิดจะสานเสวนาแล้ว ตราบใดที่ยังมีกฎหมายดังกล่าวคาอยู่เอาไว้ในสภา สะท้อนถึงความไม่จริงใจในการที่จะนำไปสู่ทางออกของประเทศ และเป็นไปไม่ได้ที่การคากฎหมายดังกล่าวเสมือนเป็นการตั้งธงเอาไว้ก่อนแล้วจะเชิญคนทุกกลุ่มมาสานเสวนานั้น พันธมิตรฯ ไม่มีทางจะเข้าร่วมได้เลย นอกจากการรอคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เราจึงเห็นว่าในชั้นนี้เราจึงชะลอการชุมนุมออกไปก่อน และจะกำหนดอีกครั้งเมื่อถึงสถานการณ์ที่เหมาะสม ถ้ามีปรากฏอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการพิจารณาแล้ว เราก็จะมีการจัดชุมนุมโดยทันที และเรียกร้องเหมือนเดิมคือถอนกฎหมายดังกล่าวออกจากวาระการประชุม

ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวว่า โดยสรุปก็คือ ถ้าจะมีการประชุมเรื่องกฎหมายปรองดองในสภาเมื่อไหร่ เราจะเรียกชุมนุมใหญ่ทันที ซึ่งเวลานี้ผู้ที่อัดอั้นตันใจอันเนื่องมาจากกฎหมายฉบับนี้ที่จะทำลายบ้านเมือง พร้อมอยู่แล้ว ไปที่ไหนเขาก็ถามว่าเมื่อไหร่จะชุมนุม เราบอกว่าเป็นไปตามเดิม คือจะมีการพิจารณากฎหมายนี้ในสภาเมื่อไหร่เราก็เรียกชุมนุมเมื่อนั้น ยืนยันว่าทัน และพร้อมอยู่แล้วในขณะนี้ ก็มีแต่คนของรัฐบาลออกมาให้ข่าวในทำนองว่าถ้าตัดเงื่อนไขบางอย่างออกไปก็น่าจะใช้ได้ เช่น ถ้าบอกว่าตัดการคืนทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาทให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกไป กฎหมายนี้ก็น่าจะผ่านได้ เรายอมไม่ได้ เพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้งฉบับยังมีเรื่องอื่นที่ทำลายกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เรายืนยันแล้วว่าแม้กฎหมายปรองดองเราจะได้ประโยชน์ โดยเฉพาะคดีฟ้องร้อง แต่ยืนยันว่าเราทำเพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง และเรามั่นใจว่าเราไม่ผิด ถ้าเราผิดเราก็ยอมรับตามกระบวนการยุติธรรม ดีกว่าที่เอาตัวรอดไปแล้วทำให้บ้านเมืองเสียหาย ซึ่งเรายอมไม่ได้ ขอยืนยันอีกทีว่าเราไม่ได้เพิกเฉย เราติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา และเป็นไปตามที่เราได้พูดได้กล่าวไว้แล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images