นักวิชาการด้านจีนศึกษา “วรศักดิ์ มหัทธโนบล” ชี้ การช่วงชิงอำนาจในพม่าจะซับซ้อนกว่าเดิมเมื่อพม่า “สวยเลือกได้” และจีนไม่ใช่ “พี่ใหญ่” เพียงผู้เดียวอีกต่อไป ด้านผู้เชี่ยวชาญพม่าชี้ ปัญหาชนกลุ่มน้อยและแรงกดดันภายนอกอาจนำมาสู่สงครามกลางเมืองในพม่าไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อวันที่ 29 มี.ค 55 ในงานเสวนา “จีน-พม่า: ความสัมพันธ์ที่สั่นคลอน” จัดโดยโครงการจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษา “วรศักดิ์ มหัทธโนบล” มองความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะซับซ้อนขึ้นจากการเข้าไปมีบทบาทของชาติตะวันตกในพม่าหลังเปิดประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลของจีนในพม่า ในขณะที่บางส่วนมองการเลือกตั้งซ่อมของพม่าว่าเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล เพราะฝ่ายค้านจะไม่มีพื้นที่มากนักแม้จะได้คะแนนเสียงทั้งหมดก็ตาม
เมื่อพม่า “สวยเลือกได้”
วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงผลประโยชน์ของจีนในพม่าว่า ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนและพม่าถูกคว่ำบาตรจากต่างประเทศ มูลค่าทางการค้าระหว่างสองประเทศได้เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยจากราวศูนย์ในช่วงแรกมาเป็นราว 3 พันล้านดอลลาร์ในระยะสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงทุนในความร่วมมือโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน ทางรถไฟ ท่าเรือน้ำลึก และพลังงาน ซึ่งในปัจจุบันจีนเป็นผู้ลงทุนในพม่ารายใหญ่ที่สุด
วรศักดิ์ อธิบายว่า ทั้งโครงการสร้างทางรถไฟ การเข้าไปลงทุนใน “เขตอุตสาหกรรมจ๊อกพิว” (Kyauk Phyu) ในพม่าของจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมต่างๆ ท่าเรือน้ำลึกและทางรถไฟ ประกอบกับโครงการทางพลังงานในพม่าที่มีท่อส่งน้ำมันดิบส่งน้ำมันไปจีนราว 22 ล้านตันต่อปี เขาชี้ว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พม่าจะได้จากจีนบนความสัมพันธ์ที่ดี และถ้าหากความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้สั่นคลอน ก็ต้องจับตาดูว่าโครงการเหล่านี้จะถูกสันคลอนไปด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ หลังจากที่พม่าได้เปิดประเทศมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐและ สหภาพยุโรป เข้าไปหารือและให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านอื่นๆ มากขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลพม่ากลายเป็นประเทศที่ “สวยเลือกได้” และไม่จำเป็นต้องง้อจีนอีกต่อไปดังเช่นในสมัยก่อน โดยวรศักดิ์ยกตัวอย่างกรณีการระงับการสร้างเขื่อนมิตโซนซึ่งเป็นการลงทุนร่วมระหว่างพม่าและจีนมีมูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรัฐบาลพม่าอ้างเหตุผลว่าขัดเจตนารมณ์ของประชาชนและปัญหาทางสิ่งแวดล้อม
“ดูแล้วเหมือนจะเป็นว่านี่เป็นนิมิตหมายของประชาธิปไตย แต่นัยยะที่สำคัญ คือ มันสะท้อนความสัมพันธ์ของพม่าที่มีต่อจีน เพราะทันทีที่พม่าสวยเลือกได้ ก็สามารถเซย์โนกับจีนได้” วรศักดิ์กล่าว
ยังต้องจับตาวันปะทุ “สงครามกลางเมือง”
เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์ สื่อสารมวลชนอิสระ ผู้เขียนหนังสือ “พม่าผ่าเมือง” กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพม่าและนานาชาติเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความหวาดระแวง ตั้งแต่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในทศวรรษ 1950 นานาชาติก็กลัวว่าพม่าจะตกไปอยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ และหลังสมัยสงครามเย็นเป็นต้นมา จีนกับพม่าก็เกิดความตึงเครียดยิ่งขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจีนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์พม่าให้ล้มล้างรัฐบาลพม่า ทำให้เกิดความบาดหมางกันตั้งแต่นั้นมา
ต่อมา หลังจากที่พม่าและจีนถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติในปลายทศวรรษที่ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลง เช่น การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินและการสิ้นสุดของสหภาพโซเวียต จีนก็ได้เปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของตนเองต่อพม่า แต่ยังคงใช้พื้นฐานจากความกลัว ซึ่งต่อมาจีนได้ทำให้พม่ากลายเป็นบริวารของตนเอง เนืองจากที่ตั้งของพม่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างจีนลงมายังไทย ประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน และเอเชียใต้
อย่างไรก็ตาม เกียรติชัยมองว่า การประชุมอาเซียนบวกสาม ซึ่งมีจีน เกาหลี และญี่ปุ่นเข้าร่วมในปี 1995 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ชาติตะวันตก จีน และอินเดียต้องปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศต่อพม่าอีกครั้ง จากแต่ก่อนที่รัฐบาลอินเดียเคยให้ความสนับสนุนกลุ่มฝ่ายค้านของพม่าและให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่หลังจากนั้นมา เมื่อจีนได้เข้าร่วมความร่วมมือกับอาเซียน ทำให้อินเดียหันมาเอาใจรัฐบาลพม่าเพื่อพยายามช่วงชิงผลประโยชน์กับจีน
นอกจากนี้ เขาชี้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปปี 2010 ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากเป็นสัญญาณของการปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งเมื่อชาติตะวันตกเริ่มเข้ามา ทำให้จีนที่เป็นผู้ครอบงำจำเป็นต้องแสดงบทบาทที่ซับซ้อนกับพม่ามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่นั้นมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์จีน-พม่า สั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปลดผู้นำทหารคนสนิทของรัฐบาลจีน พลเอกขิ่น ยุ้นต์ ในปี 2010 มาจนถึงการยุติการสร้างเขื่อนมิตโซน ซึ่งกรณีหลังสุด เกียรติชัยกล่าวว่า จริงๆ แล้วผู้นำรัฐบาลพม่าตัดสินใจเช่นนั้นด้วยเหตุผลทางไสยศาสตร์เป็นหลักมากกว่าเรื่องเจตนารมณ์ของประชาชน
เกียรติชัยมองว่า นอกจากการเปิดประเทศของพม่า เป็นไปเพื่อการลดแรงกดดันจากประชาคมโลกแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการเป็นประธานอาเซียนในปี 2015 ด้วย และคาดการณ์ว่า สถานการณ์หลังเลือกตั้งซ่อม จะยังไม่น่านำมาซึ่งเสถียรภาพได้มากนัก
“ปัจจัยสามเรื่องที่จะเกิดขึ้นในพม่า จะมีเรื่องการเมืองซึ่งยังไม่นิ่ง คือจะมีการต่อสู้สามเส้าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ กับการตกลงหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อย จะไม่เป็นผลสำเร็จ กับอิทธิพลกดดันจากภายนอก ทั้งสามปัจจัยจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในพม่าอย่างน้ำที่เดือดอยู่ในกาที่จะพวยพุ่งออกมา ไม่ช้าก็เร็ว” เกียรติชัยกล่าว
เขาเสริมด้วยว่า หากจะให้ความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อยยุติได้ ต้องพูดเรื่องการให้อำนาจการปกครอง เพราะเพียงการเจรจาหยุดยิงนั้นไม่สามารถสร้างสันติภาพได้แน่นอน
มองการเลือกตั้งซ่อมเป็นเพียงสร้างความชอบธรรมให้ รบ.
สุรชัย ศิริไกร ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองการเลือกตั้งซ่อมพม่าที่จะมีขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนนี้ว่า เป็นเพียงเครื่องมือที่จะสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลพม่าว่าเป็นประชาธิปไตยและเสรีแล้วเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าฝ่ายค้านคือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ได้รับที่นั่งทั้งหมด 48 เสียง แต่ก็ไม่อาจเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่หวังได้ เพราะมีเสียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของที่นั่งในสภาทั้งหมดคือ 664 ที่นั่งเท่านั้น
เกียรติชัย เสริมว่า ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพม่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจเป็นไปเพื่อ “การแบ่งแยกและปกครอง” โดยหวังว่าหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลจะเอานางซูจีไปเป็นขั้วหนึ่งในรัฐบาล และแยกออกจากกลุ่มผู้นำนักศึกษายุค 8888 ในขณะที่ทหารก็จะยังกุมอำนาจไว้อย่างแน่นหนาเช่นเคย
“เรื่องทหารเองก็คงไม่ปล่อยอำนาจง่ายๆ ดูจากการที่นางออง ซาน ซูจีออกแถลงการณ์มาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อวันกองทัพพม่าเมื่อ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็บอกว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แสดงว่ายังไงก็แตะไม่ได้ เมื่อปัจจัยสามตัวนี้ยังคงอยู่ ก็ย่อมจะมีความไม่แน่นอน” เกียรติชัยกล่าว