ศาลอาญากำหนดสืบพยานคดีปีนรั้วรัฐสภาเหตุจำเลย 10 คน ร่วมกับประชาชนคัดค้าน สนช ที่ออกกฎหมายกระทบสิทธิประชาชน ผลพวงการรัฐประหารปี 2549
21 มกราคม 2556 รายงานข่าวจากนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า ศาลอาญากำหนดสืบพยานคดีหมายเลขดำที่ อ. 4383/2553 ระหว่าง พนักงานอัยการโจทก์ นายจอน อึ้งภากรณ์ กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยกรณีปีนรั้วรัฐสภาเข้าไปนั่งชุมนุมบริเวณหน้าห้องประชุมภายในอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านการออกกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่กระทบสิทธิเสรีภาพประชาชน นัดพิจารณาวันที่ 22 มกราคม 2556 เวลา 09.00 น. ณ ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก
ศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย รวม 27 นัด เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2556[1] โดยการสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์จะนำพยานที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในวันเกิดเหตุ เข้าเบิกความต่อศาล ส่วนการสืบพยานของจำเลยจะมีการนำนักวิชาการจากหลายสถาบันมาให้ข้อมูลหลักการใช้สิทธิของประชาชาชนในการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านการชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ โดยจะให้ความเห็นเรื่องความชอบธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการปฏิบัติหน้าที่ช่วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550
คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ในการดำเนินกระบวนพิจารณา มีการโต้แย้งกันในศาลระหว่างจำเลย ทนายความจำเลย กับพนักงานอัยการและศาล ซึ่งเป็นกลไกในกระบวนการยุติธรรมอย่างเข้มข้น จนเป็นที่สนใจติดตามจากกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน และผู้สนใจเข้ารับฟังการพิจารณาคดี ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในการพิจารณาคดีในครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการพิจารณาและสังเกตการณ์คดีจำนวนมาก เพราะเห็นความสำคัญของการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่บัญญัติคุ้มครองไว้ อีกทั้งยังเป็นการใช้สิทธิพลเมืองในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 21 และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า ระหว่างจำเลยที่อ้างว่า การกระทำของตนและประชาชนได้กระทำไปด้วยความสุจริตและยึดมั่นต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และห่วงใยในผลที่จะเกิดขึ้นกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการพิจารณากฎหมายของ สนช. กับข้อกล่าวหาของโจทก์ที่อ้างว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการยุยงให้ประชาชนล้มล้างกฎหมายบ้านเมือง บุกรุก ก่อให้เกิดความวุ่นวาย อันเป็นการกระทำที่กฎหมายบ้านเมืองกำหนดว่าเป็นความผิดนั้น ศาลซึ่งเป็นกลไกสำคัญในกระบวนการยุติธรรม จะพิจารณาชั่งนำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายอย่างไร และจะใช้เหตุผลและหลักคิดในการปรับบทกฎหมายและรัฐธรรมนูญในการทำคำพิพากษาแสดงผลการตัดสินออกมาในลักษณะใด
ทั้งนี้รายละเอียดข้อมูลคดีติดตามย้อนหลังได้ที่ http://www.naksit.org/2012-02-03-08-40-11/2012-02-03-09-22-49/45-2012-02-23-09-24-40/231--10-.html
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai