8 ก.ค.55 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน กลุ่ม ‘ประกายไฟการละคร’ ได้จัดกิจกรรมแถลงชี้แจงเหตุยุติการทำกิจกรรมของกลุ่ม (อ่านได้ที่นี่...คลิก) โดยในการแถลงครั้งนี้ยังได้มีเสวนา ‘คำถามถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านงานวัฒนธรรม’ โดยมีวิทยากรประกอบด้วย เพียงคำ ประดับความ กวีเสื้อแดง, ประกิต กอบกิจวัฒนา แอดมินเพจ ‘อยู่เมืองดัดจริตชีวิตต้องป๊อป’ และนิธิวัต วรรณศิริ นักร้องวงไฟเย็น และปิดท้ายด้วยการแสดงดนตรีของวงไฟเย็น
สำหรับการเสวนา ‘คำถามถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านงานวัฒนธรรม’ ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในงานเลี้ยงของคุณของกลุ่มประกายไฟการละคร มีประเด็นการอภิปรายที่น่าสนใจดังนี้
ประกิต กอบกิจวัฒนา
แอดมินเพจ ‘อยู่เมืองดัดจริตชีวิตต้องป๊อป’
สิ่งที่กระทบผมมากๆ จนทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาทำจริงๆคือวันที่ท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพฯมาทำเรื่อง Big Cleaning Day ทั้งๆที่พึ่งฆ่ากันตายเมื่อ 2 วันก่อน แล้วมาทำอีเว้นท์ (Event) Big Cleaning Day จะ Sale(ขาย)อีกแล้วหรือ ประเทศอะไรจะ Sale(ขาย)ตลอดเวลา ฆ่ากันตายก็ยังจะ Sale(ขาย)อีก สำนึกของความเป็นมนุษย์มันไม่มีเลย
คิดได้ดังนั้นเลยเอารองเท้าคู่หนึ่งของเมียมา เรารู้สึกว่า Big Cleaning Day มันทำให้ชีวิตคนไม่มีคุณค่า การมองคนไม่มีค่าแบบนี้คิดว่าจะกลบเกลื่อนเรื่องแบบนี้ได้ อีเดียดเท่าที่ตนเคนเจอมา เลยหยิบรองเท้าเมียมาคู่หนึ่งเริ่มเขียนทุกอย่างลงไปในรองเท้า อันหนึ่ง “มันไม่มีอะไรแพงไปกว่าชีวิตคนไทยหรอก” ต่อจากนั้นเอาถุงช๊อปปิ้งของเมียมาบ้างที่เป็นสัญญาลักษณ์ของคนเมืองดัดจริตนี่ คือคนกรุงเทพเป็นคนดัดจริตที่สุด ตลอด 6 ปีมานี้แสดงทุกวันให้เรารู้สึกแบบนั้น
เปิดพื้นที่ใหม่ให้คนได้มาคริททิเคิล
เมืองไทย เป็นสังคมที่ทำซ้ำ
ทำให้เขาเห็นซึ่งกันและกันมากขึ้น
ศิลปินก็เหมือนประชาชนในสังคมทั่วไปที่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวสังคมและมีผลกระทบกับสังคม คิดว่าศิลปินหรือศิลปะมันไม่มีทางขาลอยออกไปจากสภาพการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ตนทำอยู่มันก็ควรสะท้อนในมุมนี้ออกไป
บรรยากาศของการกดมันมาจากรากของครอบครัว มันมาจากรากของศาสนา
บรรยากาศของการกดมันมาจากรากของครอบครัว มันมาจากรากของศาสนา สิ่งเหล่านี้มันต่างจากสังคมในยุโรป สังคมในยุโรปเองการวิวาทะทางปัญญามันเกิดขึ้นเป็นพันๆปี แต่เรามาจากวัฒนธรรมหมอบคลาน วันที่เราประกาศเลิกทาส คิดว่าคนยังงงว่าทำไมต้องยืนตรง หมอบก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ มันก็ใช้เวลาในการพัฒนาอยู่ คิดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
ศิลปะมันไปรับใช้ทุกชนชั้น แต่การเปลี่ยนแปลงสังคมมันก็เกิดขึ้นด้วยคนกลุ่มเล็กๆ เสมอ
วัฒนธรรมของทหารที่เข้ามามีบทบาทในศิลปวัฒนธรรมนานอย่างเนียนๆ
วัฒนธรรมการเล่าเรื่องแบบฮอลลีวูด Hollywood)
การส่งผ่านงานศิลปวัฒนธรรมต่างๆคิดว่ามีการสอดแทรกเรื่องการปกครอง ว่าจะเรื่องของสถาบันนิยม หรืออะไรต่างๆ คิดว่าก็แทรกมาตลอด อย่างล่าสุดน่าจะเป็น ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องนี้เมื่อก่อนตนก็เฉยๆ จนวันหนึ่งขับรถและเปิดทีวีดู ณเดชน์(พระเอก)กับ ญาญ่า(นางเอก)ก็เถียงกันทำให้นึกถึงตอนเด็กที่เคยดู ที่มายุคเดียวกับยุคเพลงหนักแผ่นดิน มันเป็นการส่งผ่าน และการสร้างใหม่ของหนังมันมีวิธีการของมัน
ขบวนศิลปวัฒนธรรมมีความหลากหลายเป็นเรื่องดี ถ้าเราต้องการต่อสู้ในเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยคิดว่าใช้อาวุธเดียวไม่พอ ต้องมีอาวุธทางวัฒนธรรมที่หลากหลายรูปแบบมากกว่านี้และสามารถช่วงชิงพื้นที่ทางปัญญาได้ในหลายๆพื้นที่ คิดว่าวันนี้เสื้อแดงได้มวลชนไปในระดับหนึ่ง เพียงแต่จะยกระดับการต่อสู้ให้ขึ้นไปสู่ในพื้นที่ของความคิด ถ้าจะไปตรงนั้นได้มันต้องไปด้วยศิลปวัฒนธรรมและไปด้วยหลักคิดที่มีความคม
เรายังต่างคนต่างทำเกินไป ต้องมีกลยุทธ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเราทำกันเองดูกันเอง
วันนี้สิ่งที่เรายกระดับไปไม่ได้ เรายังต่างคนต่างทำเกินไป ทางฝ่ายเผด็จการต้องยอมรับเขาเรื่องหนึ่งเขาครบเครื่องกว่า ทั้งเงิน ทั้งความรู้ ทั้งสื่อที่อยู่ในมือ ทหารมียุทธศาสตร์ มีการวางแผน เรื่องของ strategic เรื่องของกลยุทธ์ต้องการทำลายความชอบธรรมเรื่องนี้ต้องทำอย่างไร ต้องการสร้างความเชื่อถือเรื่องนี้ต้องทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้เรายังไม่ถูกยกไปสู่สิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำมันเลยเป็นการกระจัดกระจาย บางเรื่องก็สนุก บางเรื่องก็สะใจดี แต่ว่าผลสุดท้ายแล้วเราต้องการให้วัตถุประสงค์บรรลุเรื่องอะไร คิดว่าเรื่องนี้ทหารเก่งกว่า
เรื่องการยกระดับต่อสู้ความคิดเราต้องมีกลยุทธ เราจะทำเรื่องนี้เพื่อสื่อสารไปให้ใคร ต้องการให้เป้าหมายนี้เข้าใจภารกิจว่าอะไร คิดว่าเรื่องนี้เราไม่ถูกคิดไม่ถูกพูดถึง ถ้าเราคิดเรื่องนี้เมื่อไหร่เราจะรู้ว่าสื่อจะต้องปอยู่ที่ไหน คิดว่ามันจะมาเป็นขั้นตอนของการคิด ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเราทำกันเองดูกันเอง แล้วเราก็ไม่ได้ขยายฐานมวลชนหรือขยายความคิดของกลุ่มเสื้อแดงให้ออกไปในวงกว้าง และลบล้างทัศนะบางอย่างที่เขามีต่อเรา หลายๆอันนี้เราไม่ได้สร้าง ศิลปวัฒนธรรมของเราบางเรื่องเลยกลายเป็นการตอบโต้เสียเป็นส่วนใหญ่ เรายังไม่ได้ข้ามถึงขนาดจะเกณฑ์เข้ามาเป็นพวกอย่างไร จะล้างทัศนะที่เขามีต่อเราอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท้าทายเราให้เราทำ ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ของเสื้อแดงจะเป็นเพียงการกดดันเชิงมวลชนเฉยๆ
เพียงคำ ประดับความ
กวีเสื้อแดง
"บทกวีที่สวยหรูถ้ามันไม่ได้รับใช้ประชาชนแล้วมันจะมีคุณค้าหรือสะท้อนอะไร"
คิดว่าแนวรบศิลปวัฒนธรรมช่วงที่ผ่านมาอยากเป็นกวีราชสำนักกันเกินไปจนไม่ออกมาทำหน้าที่ ตนเองเดินไปในที่ชุมนุมของเสื้อแดงปี 53 เห็นชาวบ้านเขียนบทกวีด้วยตัวเอง เขียนใส่แผ่นป้ายกันมาถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ผิดฉันทลักษณ์บ้าง ใช้คำไม่สวยบ้าง ซึ่งถ้าเป็นกวีใหญ่ๆมาดูก็บอกว่าชาวบ้านเขียนไม่ผ่าน แต่ว่าบทกวีที่สวยหรูของคุณถ้ามันไม่ได้รับใช้ประชาชนแล้วมันจะมีคุณค้าหรือสะท้อนอะไร เป็นความอึดอัดใจของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ปัจจุบันสถานการณ์ของเสื้อแดง แนวรบศิลปวัฒนธรรมก็น่าจะพูดได้ว่าดีขึ้น แต่ว่าถ้าเข้าสู่สนามรบ คนที่มีพื้นที่หน้ากระดาษ คนที่พูดแล้วเสียงดัง ช่วยออกมาพูด อย่าให้เป็นอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมาล้มปราบปี 53 คุณอาจจะออกคำสั่งทหารไม่ได้แต่ช่วยกันออกมาพูดว่าการฆ่าคนกลางเมืองมันไม่ใช่เรื่องปกติ สังคมไทยเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมที่แข็งมาก และการต่อสู้กับสังคมอนุรักษ์นิยมที่แข็งมากนี้ คิดว่ามันเป็นภาระอันหนักอึ้งของคนทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม
การแย่งชิงกันระหว่างฝ่ายอำนาจเก่ากับฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย
คนทำงานศิลปวัฒนธรรมที่พร้อมไปกับนิติราษฎร์และนักวิชาการต่างๆที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม
แนวรบศิลปวัฒนธรรมถ้าจะได้ดิบได้ดีก็ต้องอยู่กับฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
นิธิวัต วรรณศิริ
นักร้องวงไฟเย็น
"งานวัฒนธรรมพวกนี้มันเหมือนการ Save ข้อมูลของยุคสมัยนั้นๆ"
งานวัฒนธรรมของเวทีพันธมิตรเป็นงานที่ผลิตซ้ำ แล้วไม่ได้ถือเป็นแนวรบจริงๆจังๆ เหมือนหงา คาราวาน ก็เอาเพลงถังโถมโหมแรงไฟ อยู่บนเวทีพันธมิตร และในเวทีก็มีเพลงความฝันอันสูงสุดมันย้อนแย้งกันในทางการต่อสู้เหมือกัน แต่ว่าเขาได้เครดิตจากที่เขาสร้างมาแต่ยุคก่อน ซึ่งมองว่าเพลงและงานวัฒนธรรมพวกนี้มันเหมือนการ Save ข้อมูลของยุคสมัยนั้นๆเอาไว้ในบทเพลง ต่อให้เวลาเปลี่ยนไป แต่เนื้อหาเพลงมันก็จะเป็นช่วงยุค ณ วันที่เขียนเพลงนั้น อยากเพลง ฝนแรก (http://www.youtube.com/watch?v=4Qq3ZrUvYb8) ทางฝ่ายเหลืองก็จะไม่ร้องเพลงนี้ในตอนนี้เพราะมันตรงกับเหตุการณ์ของเสื้อแดง ซึ่งมันเกิดจากคนที่เป็นศิลปินในในอีกฝากอุดมการณ์เขาไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนที่เดิม
งานวัฒนธรรมคือการทะลวงกรอบที่การพูดธรรมดาทำไม่ได้ และเป็นอิมแพ็คที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตซ้ำ
งานศิลปวัฒนธรรมคิดว่าฝ่ายตรงข้ามกล้าเล่นงานน้อยกว่า และเป็นการสร้างเกราะให้ตัวเองด้วย ถ้าคุณมีผลงานเป็นที่รู้จักมันยากที่เขาจะเล่นงาน งานศิลปวัฒนธรรมมีความสำคัญในแง่ของการทะลวงเพดาล อย่างมาตรา 112 คิดว่าในชข่วง 3-4 ปีที่ผ่านมามันถูกทะลวงขึ้นไปเยอะ จนกลายเป็นเรื่องปกติที่พูดกันได้
จุดอ่อนของศิลปันคือไส้แห้ง
คิดว่าอีกนานแนวรบของแต่ละฝั่งจะออกมาทิ่มแทงกันมากขึ้น หลังจากที่ หงา คาราวาน กับเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ออกมาถือเป็นเกมส์รุกของฝ่ายเขา ตอนเกิดพันธมิตรจะมีการเปิดพวกนี้มาเป็นแนวรบแนวหน้าแล้วพวกการกระทำตามมาที่หลัง หลอมรวมใจขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั้งถึงจุดที่เขาต้องการกระทำ ฝ่ายเราต้องอัพเกรดตัวเองกัน และช่วยกันเผยแพร่ ช่วยกันให้งานศิลปวัฒนธรรมของเราเป็นสาธารณะมากขึ้น ดีใจที่หงาเขียนกวีออกมาแล้วใน facebook ผุดนักกวีออกมา ศิลปินขึ้นเป็นดอกเห็ดเลย มีกลอนคนโน้นก็เขียนคนนั้นก็เขียน กลอนออกมาโต้น้าหงาเป็นร้อยกับกลอนบทเดียว
ต้องผ่าไปให้ถึงกระบวนสื่อของเสื้อแดงเองก่อน
คลืปเสวนา วิทยากรประกอบด้วย เพียงคำ ประดับความ กวีเสื้อแดง, และนิธิวัต วรรณศิริ นักร้องวงไฟเย็น
เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
‘หนูน้อยหมวกแดง’ พรุ่งนี้... จะทำอย่างไรต่อไป?
เยาวชนอีสาน-3 จว.ชายแดนใต้ ร่วมรำลึกเหตุความรุนแรง 19 พ.ค. หน้าบ้าน ‘ส.ส.ภูมิใจไทย ขอนแก่น’
ประกายไฟการละครตอน ‘แม่-พิมพ์’ การตั้งคำถามต่อความรักของ ‘แม่ตัวเอง’
โทรข่มขู่กลุ่มประกายไฟ เลิก ‘ละครแขวนคอ’ อ้างนักศึกษาไม่พอใจ
เวทีเล็ก ทวงสิทธิ 'นักโทษการเมือง'- ประกายไฟการละครสะท้อนปัญหาภายในเสื้อแดง
รายงานและสนทนา: ยุบ 'ประกายไฟการละคร'