Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

อะไรจะเกิดขึ้นในการเมืองพม่าปี 2012?

$
0
0

 

เกมการเมืองที่ถูกเล่นในปี 2011 จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการเมืองพม่าในปีนี้

ปี 2011 เป็นปีที่พม่าเปลี่ยนโฉมการเมืองใหม่จากเผด็จการไปสู่รูปแบบที่ดูประหนึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือน นายพลอาวุโสตานฉ่วย และนายพลอาวุโสหม่องเอ ผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการทหารที่ทรงอิทธิพลของกองทัพพม่า ได้หมดอำนาจไปตามหลักการภายหลังที่รัฐบาล “พลเรือน”ชุดนี้นี้ขึ้นสู่อำนาจท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการโกงการเลืกตั้ง

ตลอดปี 2011รัฐบาล”พลเรือน”ของพม่าได้แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นเหมือนกับรัฐบาลชุดก่อน รัฐบาล “พลเรือน”ได้สั่งระงับโครงการสร้างเขื่อนเมียนต์ ส่ง (Myintsone dam Project) มูลค่า 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ; ประกาศเจรจาสันติภาพกับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ; ประธานาธิบดีเต็งเส่งมีการพบปะหารือกับนางอองซาน ซูจี; รัฐบาลฯผ่อนปรนเรื่องการเซ็นเซอร์สื่อบางส่วน; นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองประมาณ 200 คน; รัฐบาลฯ เตรียมตัวสำหรับวาระการเป็นประธานอาเซียนในปี 2014; มีการแก้ไขกฎหมายจดทะเบียนพรรคการเมือง, และอดีตพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี (National League for Democracy: NLD) ได้จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองอีกครั้งโดยไม่นำเอาผลการเลือกตั้งเมื่อปี 1990 มาเป็นประเด็นอีกต่อไป; กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆได้ร่วมกันจัดตั้งสภาสหพันธรัฐแห่งชาติ (United Nationalities Federal Council: UNFC) เพื่อเจรจากับรัฐบาลพม่า; กองทัพพม่าเปิดฉากโจมตีกองกำลังอิสระคะฉิ่น (Kachin Independence Army : KIA) และ กองกำลังไทใหญ่ส่วนเหนือ (Shan State Army: SSA –North); รัฐบาลฯมีการเจรจากับกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มและบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกองกำลังชนชาติว้า (United Wa State Army: UWSA), กองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ – รัฐฉานภาคตะวันออก (National Democratic Alliance Army-Eastern Shan State NDAA-ESS), และ กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (Democratic Karen Buddhist Army: DKNB) แต่สมาชิกของสภาหพันธรัฐแห่งชาติยังคงดำเนินการเจรจาอยู่กับรัฐบาลพม่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (Myanmar National Human Rights Commission : MNHRC) ขึ้น และสิ่งที่แตกต่างไปจากรัฐบาลชุดที่แล้ว คือ เจ้าหน้าที่ในรัฐบาล “พลเรือน”ชุดนี้รวมถึงบรรดาที่ปรึกษาของประธานาธิบดีเต็งเส่งได้มีปฏิสัมพันธ์กับสื่อในประเทศ, สื่อพลัดถิ่นของพม่า และสื่อต่างประเทศ รวมทั้งนักการทูตต่างประเทศ เช่น นางฮิลลารี่ คลินตัน ซึ่งเดินทางมาเยือนพม่าด้วย

การปฏิรูปที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นของปลอม หรือกลวิธี หรืออะไรก็ตามในปี 2011 แต่ก็ได้รับการขานรับด้วยความระมัดระวัง และมีเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงที่มากยิ่งขึ้น

เป็นเรื่องสำคัญที่จะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของนโยบายรัฐบาลพม่าใน ปี 2012 ซึ่งตั้งอยู่บนฐานการเปลี่ยนแปลงในปี 2011 การแก้ไขกฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมืองในปี 2011 แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายอื่นๆในอนาคตได้ถ้ารัฐบาลฯมีความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น สภาสูงและสภาล่างนั้นไม่ได้เป็นทั้งฝ่ายที่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงและผู้เขียนกฎหมาย ผู้มีอำนาจที่แท้จริงและผู้เล่นหลักในเกมการเมืองคือ ประธานาธิบดีเต็งเส่ง, และรองประธานาธิบดี 3 คน คือ ตีฮ่า ตูระ ติน อ่อง เมียนต์ (Thiha Thura Tin Aung Myint), อู ขิ่น อ่อง เมียนต์ (U Khin Aung Myint) และตูระ ฉ่วย มาน (Thura Shwe Mann) โดย ประธานาธิบดีเต็งเส่ง และรองประธานาธิบดีตูระ ฉ่วย มาน จะเป็นผู้ได้รับความนิยมในปี 2012 ในฐานะที่เป็นนักปฏิรูป

ดังนั้น หากดอว์อองซาน ซูจี และสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีชนะเลือกตั้งและต้องการแก้ไขกฎหมายใด แทนที่จะไปใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงในสภาผู้แทนและสภาสูงแล้ว พวกเขาควรพยายามโน้มน้าวทั้งสองคนนี้ แน่นอนที่การแสวงหาทางออกในสภาฯนั้นเป็นเรื่องถูกต้องในเชิงหลักการ แต่มันอาจเป็นการใช้เวลาที่สูญเปล่าเมื่อผู้เล่นเกมหลักเป็นผู้ตัดสินใจและผู้วางนโยบายมากกว่าสมาชิกสภาสูงและสภาล่าง มันคือสภาพที่เป็นจริงที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพม่ากำลังบริหารงานอย่างไร อาจเป็นไปได้ว่าเราจะเห็นรัฐบาลพม่าที่มีรูปแบบการนำแบบเดิมๆจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า

ถ้าในปี 2012 นี้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมดรวมถึงกลุ่มนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยรุ่น 8-8-88 ขบวนการประชาธิปไตยและกระบวนการสมานฉันท์แห่งชาติก็จะก้าวต่อไปได้เร็วขึ้น อันที่จริง กลุ่มนักเคลื่อนไหวรุ่น 8-8-88 นี้เป็นกลุ่มที่จัดการการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารเมื่อปี 2007 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องบันทึกไว้ว่านักการเมืองและนักเคลื่อนไหวชาวพม่าจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นในพลังประชาชนว่าเป็นทางออกเดียวที่จะหยุดยั้งเผด็จการในพม่า แน่นอนว่าความสำเร็จของการลุกขึ้นสู้ในโลกอาหรับ (Arab Spring) นั้นเกิดขึ้นได้เพราะพลังประชาชน

การเปลี่ยนแปลงสำหรับประเทศพม่านั้นอาจดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้และไม่อาจจินตนาการได้หากไม่มีอองซาน ซูจี แต่ประชาชนชาวพม่ามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ประชาชนจำเป็นต้องตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่อาจที่จะขึ้นอยู่กับเธอเพียงคนเดียว พวกเขาสามารถที่จะสร้างพลังอำนาจให้ตัวเองและทำให้รัฐบาลที่ดูประหนึ่งเป็น “พลเรือน”พ่ายแพ้ในที่สุดเช่นเดียวกับการลุกขึ้นสู้ในโลกอาหรับ (Arab Spring) ที่นำไปสู่จุดจบของเผด็จการในประเทศตูนีเซีย อียิปต์ และลิเบีย หากพวกเขารอเพียงอองซาน ซูจีในการที่จะเปลี่ยนแปลงพม่า มันจะเหมือนกับการนั่งดูภาพยนตร์เรื่องยาวที่แสนจะน่าเบื่อโดยไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นเช่นไร ดอว์ อองซาน ซูจี จะไม่สนับสนุนการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฯตราบเท่าที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและรัฐบาลฯยังชื่นมื่นอยู่ เป็นไปได้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะขอร้องให้เธอช่วยรักษาความมั่นคงแห่งรัฐไว้

ในปี 2012 ดูเหมือนว่าดอว์อองซาน ซูจีได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการรณรงค์หาเสียงของพรรคเอ็นแอลดีโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มศิลปิน ในปี 2011 ที่ผ่านมาเธอได้มีการพบปะกับบรรดาดารา นักร้อง นักแต่งเพลง และผู้กำกับภาพยนตร์ เส้นทางสู่สภาของเธอมิใช่เรื่องยาก แต่เธอจะสามารถสร้างความแตกต่างในสภาได้แค่ไหนนั้นยังเป็นคำถามอยู่ เพราะว่าสมาชิกสภาร้อยละ 75 เป็นนักการเมืองจากพรรคสหภาพเพื่อเอกภาพและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) และอีกร้อยละ 25 เป็นนายทหาร

กลุ่มสิทธิมนุษยชนและกลุ่มการเมืองพลัดถิ่นต่างจำเป็นต้องคิดทบทวนใหม่ว่าจะรณรงค์กันอย่างไรในปี 2012 นี้ เพราะดูเหมือนว่าบรรดาแหล่งทุนที่เคยสนับสนุนพวกเขาจะเปลี่ยนไปให้ความสนับสนุนกับองค์กรต่างๆภายในประเทศพม่า

ในปี 2012 ถ้ารัฐบาลพม่านิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด จะมีผู้ลี้ภัยกลับเข้าประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ การกลับมาของพวกเขาจะส่งผลต่อการเมืองนอกสภาภายในประเทศ การกลับมาของพวกเขามีความหมายยิ่งต่อประชาชนพม่าและประเทศ อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องเผชิญกับข้อถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนกับฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เคยลี้ภัยออกนอกประเทศ ว่าถ้าต้องการเข้าสู่เวทีการเมืองในประเทศ ทำไมพวกเขาถึงหนีออกไปในช่วงที่สถานการณ์เลวร้าย มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับ แต่หมายถึงว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้

พม่าเป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นเป็นอันดับสองของโลก และในปี 2012 วัฒนธรรมการคอรัปชั่นนี้จะยังคงเป็นปัญหาของรัฐบาลต่อไป การต่อต้านคอรัปชั่นจะไม่ยุติตราบที่ยังไม่มีการจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตทั้งในรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลชุดก่อน อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสุดเป็นทศวรรษในการที่จะหยุดยั้งวัฒนธรรมการคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจ ขั้นตอนสำคัญที่สุดสำหรับการต่อต้านคอรัปชั่นคือการนำเจ้าหน้าที่ระดับสูงและพวกพ้องมาดำเนินคดี และนำเจ้าหน้าที่รัฐในรัฐบาลชุดก่อน รวมถึงนายพลอาวุโสตานฉ่วย และนายพลอาวุโสหม่อง เอ มาสู่กระบวนการยุติธรรม นั่นจะเป็นสัญญานเตือนที่หนักแน่นว่าจะไม่มีผู้ใดได้รับการยินยอมให้คอรัปชั่นไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

ในปี 2012 หรือระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีเต็งเส่งอาจจะพยายามทำให้รัฐบาลของเขาเป็นรัฐบาลที่สะอาดและมีนโยบายที่สามารถนำคนเหล่านี้มาสู่กระบวนการยุติธรรม มิฉะนั้นแล้ว ถ้อยแถลงเมื่อปี 2011 ของประธานาธิบดีเต็งเส่งในเรื่องรัฐบาลที่สุจริตและมีธรรมาภิบาลนั้นจะไม่สามารถนำมาใช้กับใครได้เลยรวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตทั้งในรัฐบาลชุดก่อนและชุดปัจจุบัน

ด้วยเหตุที่พม่าเป็นประเทศยากจนที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียรองจากอัฟกานิสถาน ความพยายามของประธานาธิบดีเต็งเส่งในการที่จะลดความยากจนนั้นไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตราบเท่าที่ประเทศกลุ่มตะวันตกยังคงแซงชั่นพม่า ตราบเท่าที่วัฒนธรรมการคอรัปชั่นในประเทศยังไม่ถูกกำจัดไป และตราบเท่าที่สงครามประชาชนตามแนวชายแดนยังไม่ยุติลง

การเจรจาสันติภาพของรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในปี 2011 สามารถโน้มน้าวกองกำลังชนชาติว้า (UWSA), กองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ – รัฐฉานภาคตะวันออก (NDAA-ESS), และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKNB) ให้ลงนามในสัญญาหยุดยิงได้ แต่รัฐบาลไม่อาจบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับสมาชิกสภาสหพันธรัฐแห่งชาติ (UNFC) รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็งที่สุดอีกสองกลุ่ม คือ กองกำลังอิสระคะฉิ่น (KIA) และกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะต้องทบทวนวิธีการเจรจากับกลุ่มกองกำลังที่ยังมีการสู้รบอยู่ การเจรจากับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะสมาชิกของสภาสหพันธรัฐแห่งชาตินั้นยังไม่พียงพอ รัฐบาลต้องให้คำมั่นสัญญาทางการเมืองพร้อมกับแรงจูงใจต่างๆด้วย สมาชิกของสภาสหพันธรัฐแห่งชาติอาจจะยังคงเจรจาต่อไปกับรัฐบาล แต่พวกเขาจะยังคงยึดถือตามหลักการของสภาสหพันธรัฐแห่งชาติ หมายถึงว่ากลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มสามารถที่จะแยกเจรจากับรัฐบาลได้ แต่เพื่อที่จะให้บรรลุข้อตกลงสันติภาพในขั้นท้ายสุด พวกเขาจะยังคงเป็นเอกภาพ และขอให้รัฐบาลแสวงหาข้อยุติในการเจรจาสันติภาพผ่านสภาสหพันธรัฐแห่งชาติ มีความเป็นไปได้ว่าในที่สุดรัฐบาลจะต้องแสวงหาข้อยุติในการเจรจากับสภาสหพันธรัฐแห่งชาติ

ประธานาธบดีเต็งเส่งอาจเผชิญความเสี่ยงในกระบวนการปฏิรูปของเขา รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงการนำในกองทัพ นั่นเป็นความเสี่ยงที่เขาต้องเผชิญหากเขามีความต้องการอย่างแท้จริงที่จะดำเนินการปฏิรูป

ปี 2012 รัฐบาลพม่าจะพยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับประชาคมนานาชาติ และยุติการแซงชั่นของชาติตะวันตก โดยการประกาศกับประชาคมนานาชาติและสหรัฐอเมริกาถึงความสัมพันธ์อันราบรื่นระหว่างรัฐบาลกับดอว์อองซาน ซูจี และการลงนามในสัญญาหยุดยิงกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม รวมถึงความพยายามของรัฐบาลเพื่อที่จะให้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มที่ยังมีการสู้รบอยู่ การปล่อยตัวนักโทษการเมือง และพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะให้มีการยุติการแซงชั่นต่อรัฐบาลพม่า

การเมืองพม่ามีความซับซ้อน บางคนเรียกมันว่าเป็นการเมืองอมโรค ความขัดแย้งต่างๆและประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงเป็นปัญหาที่ไม่แก้ไขไม่ได้ และสงครามประชาชนจะยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รัฐบาลมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในการที่จะพัฒนาสถานการณ์สิทธิมนุษยชน สำหรับการเมืองกระแสหลักนั้น ซูจีและพรรคการเมืองของเธอกำลังเตรียมการที่จะเข้าสู่สภาผู้แทนในปี 2012 นี้ เธอจะเป็นผู้เกื้อหนุนและที่ปรึกษาที่จะสามารถผลักดันเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในพม่า
อะไรจะเกิดขึ้นจริงๆในการเมืองพม่าในปี 2012 นี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างตามมาในเกมการเมืองปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ชี้อนาคตของพม่าว่าประเทศจะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยจริงหรือไม่
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles