“อาจารย์ปรีดีไม่ได้เป็นคนที่วิเศษวิโส วิจารณ์ได้”
อั้ม (ไม่ใช่ดารา) เวปไซต์ประชาไท 15 พ.ค. 2555
“กับปุ่มกลางหลังที่มองไม่เห็นของคนอื่น ควรต้อง handle with care”
เกษียร เตชะพีระ, Facebook, 15 พ.ค. 2555
“ในสังคมสมัยใหม่ ไม่ใช่มาคอย regulate ว่า ใครต้อง มี "ท่าทีแสดงออก" อย่างไร เพราะมันขัดกับธรรมชาติ
ดูเหมือนว่าข้อถกเถียงกรณีสาวโหนรูปปั้นปรีดีจะเกี่ยวพันกับ “เส้นแบ่ง” ระหว่างสิ่งต่าง ๆ บนฐานความชอบธรรมที่เรียกว่าเสรีภาพ
“เสรีภาพ” ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์กับการลบหลู่ดูหมิ่นหายไปจนเห็นแต่การวิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว
“เสรีภาพ” ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างสิทธิของเรากับสิทธิของเขาหายไปจนเห็นแต่สิทธิของเราเพียงฝ่ายเดียว
ถ้าเชื่อจอห์น ล๊อค ที่ว่า “อิสรภาพไม่ใช่เสรีภาพสำหรับให้ทุกคนกระทำตามต้องการ (อย่างที่เรารับฟังกันมา) (John Locke, Second Treatise of Government. p. 32) ข้อเสนอของเกษียร เตชะพีระที่แนะนำให้ “handle with care” น่าจะหมายถึงการพิจารณาเส้นแบ่งที่ว่าให้ถี่ถ้วนรอบคอบทั้งเนื้อหาและวิธีการก่อนที่จะใช้เสรีภาพของเราในชุมชนที่มีความหลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงการยัดเยียดสิ่งที่เรายึดมั่นว่าจริงกว่าด้วยกำลังให้กับสมาชิกร่วมชุมชน เพราะการใช้เสรีภาพนี้มีผลพวงโดยตรงต่อความสุขความทุกข์ ชีวิตและจิตใจของคนอื่น
นอกจากนี้ การยัดเยียดความจริง/ความหมายของเราให้คนอื่นนี้ก็มีปัญหาในตัวมันเอง เพราะว่า ประการแรก ความหมายเป็นนิยามร่วม ไม่สามารถบังคับกะเกณฑ์กันได้ ต่อให้ต้องการยัดเยียดและมีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้ การยอมรับความหมายโดยสนิทใจก็ต้องผ่านการสร้างฉันทามติด้วยวิธีการต่าง ๆ และใช้เวลารอคอยอย่างเยือกเย็น ประการที่สอง ความหมายที่ฝังตัวลงไปในสังคมแล้วมีรากลึกพัวพันเกี่ยวโยงซับซ้อน การไปรื้อถอนอย่างหักหาญนั้นไม่ง่าย หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ผลที่ได้อาจจะตีกลับ หรือถ้าการรื้อถอนนั้นเกิดขึ้นจริงก็มักก่อเกิดเป็นบาดแผลเรื้อรังในสังคมรอการปะทุ (ซึ่งหมายความว่าการรื้อถอนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทำได้แต่เพียงปิดทับเอาไว้) หรือไม่ก็จะทำลายความหมายทางอุดมการณ์บางประการที่คาดหวังในสัญญะนั้นลงไปจนสัญญะว่างเปล่าไร้ความหมายไปด้วย
ตัวอย่างของปัญหาประการแรกนั้น เห็นได้จากความเป็นสถาบันของสถาบันต่าง ๆ ในสังคมไทยที่กว่าจะหยั่งรากลึกจนเป็น “ปุ่มกลางหลัง” ของคนในสังคมได้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน เช่น ปรากฏการณ์ “เสื้อเหลือง” จึงเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2549 ไม่ใช่ พ.ศ. 2516 หรือ พ.ศ. 2519 ตัวอย่างของปัญหาประการที่สองนั้น ในกรณีของการโหนรูปปั้นปรีดี วิธีการเช่นนั้นน่าจะมีผลในการทอนความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นน้อยมาก (เมื่อพิจารณาจาก ‘เม้นท์’ ที่มีต่อเจ้าของรูป) หรือถ้าคนในสังคมยินดีกับการโหนรูปปั้นปรีดี รูปปั้นนั้นคงไม่มีความหมายใดๆ มากไปกว่าม้าหมุนเด็กเล่นในสนาม ความหมายที่ถูกทำลายไป คงไม่ใช่เพียงแค่ความศักดิ์สิทธิ์แบบเจ้าพ่อเจ้าแม่ แต่คงรวมไปถึงประวัติศาสตร์และความทรงจำของอุดมการณ์ทางการเมืองของท่านผู้ประศาสน์การด้วย
จะเป็นไปได้มากกว่า และดีกว่าไหม ถ้าค่อย ๆ ทอน ถอดถอนหรือรื้อสร้างความหมายผ่านกระบวนการต่าง ๆ จนมีมติร่วมกัน
เพราะว่าอันที่จริงแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าความจริงของเราจริงกว่า? หรือต่อให้จริงแล้วไง? โลกมันซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะอยู่ได้ด้วย “ความจริง” เพียงไม่กี่ชุดหรือไม่? การอยู่ร่วมกันโดยสันติของมนุษย์บนโลกควรประกอบด้วยอะไรบ้าง? ความจริงแห้งๆ ทื่อๆ อย่างเดียวพอไหม?
ดังนั้น “ความจริง” ที่เราค้นพบและ “เสรีภาพ” ที่เรามี/อ้าง ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เราใช้กำลังทำลายความหมายที่ชุมชนมีร่วมกัน
ในชุมชนหนึ่ง ๆ สมาชิกชุมชนแต่ละคนล้วนมีสิทธิและเสรีภาพของตนเองด้วย การใช้เสรีภาพของอย่างไร้ขอบเขตย่อมทำลายโอกาสในการใช้เสรีภาพของคนอื่น ๆ
“เสรีภาพ” จึงกำเนิดจากความคิดที่จะพิทักษ์สิทธิของผู้อื่นก่อนการใช้เสรีภาพของตนเอง
การเรียกร้อง “เสรีภาพ” จึงต้องเริ่มต้นด้วยการคิดถึงสิทธิของผู้อื่น ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการยัดเยียดความต้องการของตนเองไปให้ผู้อื่นจนไม่เหลือพื้นที่สำหรับความเป็นไปได้อื่นๆ