Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live

2560 อนาคตแรงงานมืดมน เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น

$
0
0

สัมมนา 'เศรษฐกิจไทยกำลังจะดี แรงงานก็มีอนาคต' ผลปรากฏตรงข้ามทุกข้อ นักวิชาการระบุรัฐต้องปรับตัว เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น การลงทุนชะลอยาว แรงงานพัฒนาศักยภาพไม่ทันโลก รัฐไม่มีมาตรการดูแล แถมเข้าสู่สังคมสูงอายุ ด้าน ‘ศิโรฒน์’  ย้ำการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่กระทบต่อการลงทุน

18 ม.ค. 2560 ที่โรงแรมเซนจูรี่ พาร์ค มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยและมูลนิธิฟรีดริด เอแบร์ท(FES)จัดสัมมนาวิชาการหัวข้อ เศรษฐกิจไทยกำลังจะดี แรงงานก็มีอนาคต โดยมีวิทยากรร่วมสัมมนา 3 คน ได้แก่ รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย , รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,ศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ, และ รศ.ดร.นภาพร อติวานิชยพงศ์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

ศิโรฒม์: ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นประเด็นการเมือง สร้างข้อมูลเท็จโยนภาระให้ผู้ใช้แรงงาน

ศิโรฒม์ กล่าวว่า สถานการณ์ของผู้ใช้แรงงานอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากขึ้นในรอบหลายปี และหลายเรื่องเป็นโจทย์ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สวัสดิการ ค่าแรง และอำนาจการต่อรองในการใช้แรงงาน สองปีที่ผ่านมาแรงงานอยู่ในสภาพที่เผชิญกับแรงกดดันของกลไกตลาดอย่างเสรี 

ศิโรฒม์กล่าวถึงการเลือกตัดสินใจของนักธุรกิจในการลงทุนว่า  โจทย์ที่บอกว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ภาคเอกชนไม่อยากจะมาลงทุนเป็นโจทย์ที่โอเวอร์ แต่จากเวที World Economic Forum ระบุว่า เหตุผลสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้นักธุรกิจไม่ตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทย คือ การรัฐประหาร, การคอร์รัปชัน, ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ ซับซ้อน เป็นเหตุผลอันดับแรกๆ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับความไม่มีความรับผิดชอบของแรงงาน อาชญากรรม โครงสร้างพื้นฐานของรัฐไม่ดี การเปลี่ยนนโยบายอย่างสับสน ซึ่งจะเห็นว่า ไม่มีเหตุผลเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ดังนั้น ค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่โจทย์ใหญ่ในการให้คนไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทย

ศิโรฒม์กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วงสองปีหลังรัฐประหารไม่มีการขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำมานาน  โดยมีการสำรวจของหอการค้า ในปี 2558  เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นหลังปี 2560 โดยการพูดว่าการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลง ซึ่งหากดูในความเป็นจริงจะพบว่า ในสองปีที่ผ่านมาไม่มีการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเลย แต่เศรษฐกิจก็ตกต่ำลง และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างมีปัญหา ซึ่งมีปัจจัยอย่างอื่นที่ส่งผลมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำมาก ในขณะเดียวกันการไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ทำให้ความเชื่อมั่นในภาค SMEsลดน้อยลงเช่นกัน

“การพูดว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทำให้เศรษฐกิจแย่ลง เป็นการโยนปัญหามาให้ผู้ใช้แรงงาน “ ศิโรฒม์กล่าว

ศิโรฒน์ระบุว่า ข้อมูลจากสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายที่แรงงานจำเป็นต้องใช้ในปัจจุบันว่าจะต้องมีอย่างน้อย 361.93 บาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 25%  นั้นเป็นค่าอาหารในการดำรงชีวิต หากรวมค่าเดินทางค่าที่อยู่อาศัย ยานพาหนะต่างๆ จะพบได้ว่าแรงงานได้ค่าแรงที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดมาก แต่เราอยู่ในประเทศที่หน่วยงานรัฐรู้ว่า แรงงานได้ค่าแรงต่ำกว่าความเป็นจริงและทำให้คุณภาพชีวิตลดถอยลงโดยไม่คิดจะแก้ไข

ศิโรฒม์กล่าวเพิ่มว่า หากดูในภาคการเกษตรจะพบว่า ในการดูแลของรัฐบาลปัจจุบัน ภาคการเกษตรก็มีรายได้ต่ำสุดในรอบ 7 ปี  ซึ่งถ้าเอาภาพของแรงงานและการเกษตรมาดูด้วยกันนั้นจะเห็นว่ารัฐไม่ดูแลแรงงานทั้งสองภาคเลย ดูได้จากการการแก้ไขปัญหาราคาข้าวของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งใช้เวลานานมากและไม่ได้ผลการดำเนินงานที่ดี 

ศิโรฒม์ระบุถึงโจทย์ที่คนมักตั้งคำถามการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า ถ้าอยากได้ค่าแรงมากขึ้นต้องขยันมากขึ้น ทำงานมากขึ้น ทั้งที่ไม่มีโจทย์นี้กับสายอาชีพอื่นๆ เลย เช่น นักวิชาการ อาจารย์ ซึ่งเงินเดือนขึ้นรายปีอยู่แล้ว การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นทางการเมือง และการสร้างข้อมูลเท็จ

ศิโรฒม์ทิ้งท้ายว่า ภาครัฐเชื่อว่าแรงงานต้องเป็นไปโดยตลาดเสรี ซึ่งไม่เข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเลย ในสองสามปีที่ผ่านมาและศิโรฒม์ย้ำว่า สถานการณ์แรงงานไทยยังมืดมน และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน 

ยงยุทธ: เศรษฐกิจเติบโตค่อยเป็นค่อยไป แต่ขีดความสามารถการแข่งขันไทยลดลง

ยงยุทธ กล่าวว่า  เศรษฐกิจในปี 60 ยังคงผันผวน การลงทุนภาคเอกชนยังประสบปัญหาเนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินมาก ภาคอุตสาหกรรมและงานบริการที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในภาคเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง จากกอันดับที่ 32 มาเป็นอับดับที่34 (จากการสำรวจของ Global competitive Index) ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจึงจำเป็นต้องยกระดับแรงงานเพื่อการสร้างการเปลี่ยนผ่านโดยเร็ว ยงยุทธ ยังกล่าวอีกว่า ภาพรวมในปี 60 อุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว แต่คาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว จาก 3.3% ในปี 59  เป็น 3.5% ในปี 60  และการส่งออกในปี 60 จะขยายตัวกว่า 2.3%  ด้วยปี 60 จะมีเม็ดเงินจากมาตรการของรัฐเข้าสู่ระบบกว่า 3.8 แสนล้านบาท ในส่วนของการท่องเที่ยวในปี60 คาดว่าจะเติบโตขึ้นกว่า 6% แต่ไม่ได้ส่งผลมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวของจีนจะลดลงเนื่องจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญและเศรษฐกิจของจีนที่ทรงตัว

ยงยุทธระบุว่า ภาคแรงงานของไทยนั้นมีลักษณะผันผวน  โดยมีการเคลื่อนย้ายระหว่างแรงงานภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเป็นไปมาจำนวนมาก เนื่องจากนโยบายภาคเกษตรของรัฐบาล ผู้สูงอายุ นโยบายจำนำข้าว และพืชผลการเกษตร ทำให้แรงงานกลับถิ่นฐานเพื่อทำนามากขึ้น เมื่อรัฐบาลใหม่ไม่มีนโนบายด้านนี้ คนจึงกลับเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งโครงสร้างประชากรของไทยนั้นเปลี่ยนไปจากการที่มีแรงงานในวัยทำงานมากกลายเป็นสังคมของคนชรา ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าสังคมไทยเป็นสังคมของผู้สูงอายุ ดังนั้นกำลังแรงงานในระยะสั้นอาจมีจำนวนมากขึ้นแต่ก็มีแนวโน้มจะลดลงอย่างมากในอนาคต 

ยงยุทธ ได้ให้ข้อเสนอต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมั่นคง ยั่งยืน ว่า ต้องมีกระปฏิรูปประกันสังคม ให้มีความยืดหยุ่น และต้องดูแลแรงงานนอกระบบให้ได้รับการดูแลไม่น้อยไปกว่าแรงงานในระบบ ต้องสนับสนุนให้แรงงานมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างน้องถึงอายุ 60 ปี ควรปฏิรูปกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำให้ เป็นการจ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรม เป็นต้น  

กิริยา: โลกหมุนเร็ว วางกรอบนโยบายยาว-บนลงล่าง ไม่ได้ผล

รศ.ดร. กิริยา กล่าวว่า อุตสาหกรรมในปัจจุบันมีลักษณะเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลจำนวนมาก ทำให้มีหุ่นยนต์เข้ามาอยู่ในระบบอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อแรงงานในปัจจุบัน  เช่น บริการของ AmaZon Go, Uber,Airbnb ซึ่งมีเสถียรภาพมากกว่าการทำงานของมนุษย์และลดปัญหาเรื่อง Human error ได้อุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นลักษณะของการขายบริการมากกว่าการขายสินค้า ในส่วนของแรงงาน จะมีแต่ผู้รับจ้างอิสระ(freelance) และการจัดการเทคโนโลยีนั้นต้องมีการจัดการอย่างเป็นธรรม เพื่อให้อุตสาหกรรมพัฒนามากขึ้น

อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังกล่าวต่อว่า แรงงานต้องปรับตัวในประสิทธิภาพที่หุ่นยนต์ไม่สามารถทำได้ ควรจะสอนเยาวชนในอนาคตให้ต้องรู้จักปรับตัวและตื่นตัวต่อการเรียนรู้ เผชิญหน้าต่อการเปลี่ยนแปลง  ตลอดเวลา 

กิริยาระบุว่า สำหรับกระทรวงแรงงาน การวางแผนระยะยาวจะเสียเวลาเปล่า เพราะโลกหมุนเร็ว การวางกรอบอย่างยาวนานอาจไม่ได้ผล สภาพเศรษฐกิจหมุนเร็ว และเป็นเศรษฐกิจกิจที่หมุนจากปัจจัยข้างล่างมากกว่าปัจจัยด้านบนอย่างการกำหนดนโยบาย ดังนั้นการบริหารเศรษฐกิจแบบบนลงล่างนั้นอาจจะไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง

กิริยาทิ้งท้ายว่า หลังจากที่แรงงานเรียนจบแล้ว เข้าสู่ตลาดแรงงาน สิ่งที่กระทรวงแรงงานต้องทำคือ กระทรวงแรงงานต้องรับรองทักษะ ฝีมือ วุฒิการศึกษา เช่น มีการทำข้อสอบมาตรฐานต่างๆ ให้แรงงานมีการฝึกฝนนอกห้องเรียน และ จัดการอบรมอย่างต่อเนื่องให้แรงงาน เพื่อให้แรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติ สตช.กรณีทุจริตสอบนายสิบ เพิกถอนเฉพาะส่วนที่ทำผิด - จ่อขอหมายจับ 200 ราย

$
0
0

มติ สตช. กรณีทุจริตสอบนายสิบ ให้เพิกถอนบางส่วนที่กระทำผิดเท่านั้น ผบช.น. เผยรวบรวมหลักฐานจ่อขอหมายจับราว 200 ราย ย้ำเป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัย

18 ม.ค. 2560  ความคืบหน้ากรณีพบการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ วันนี้ (18 ม.ค.60) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ล่าสุดมติของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีมติไม่เห็นชอบการยกเลิกสอบนายสิบตำรวจทุกภาค แต่ให้เพิกถอนเฉพาะผู้ที่ตำรวจมีหลักฐานชัดเจนในการสอบ ซึ่งขณะนี้มีกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ที่สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงยังคงมีการประกาศผู้ผ่านการสอบคัดเลือกทุกกองบัญชาการ ภายในวันที่ 27 ม.ค.นี้ แต่ในส่วนของ กองบัญชาการตำรวจนครบาล จะประกาศภายในวันที่ 30 มกราคม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพยายามอัพเดตข้อมูลในเฟซบุ๊ก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้

สำหรับแนวทางการเยียวยานั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีแนวทางในการเยียวยาผู้เข้าสอบอยู่แล้ว ขอผู้เข้าสอบอย่ารับฟังกระแสสังคม รวมถึงขณะนี้มีการขยายผลดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ทั้งผู้รับจ้างสอบ ผู้ได้รับผลประโยชน์ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

ผู้ต้องหาขอหมายจับราว 200 ราย

ขณะที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เปิดเผยกรณีนี้ ว่าตนได้สั่งการพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน ต้องใช้เวลาพิสูจน์ทราบ ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 200 ราย นั้น เบื้องต้นอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพราะขบวนการเหล่านี้ต้องให้เวลาพนักงานสอบได้ทำงาน ตนจะไม่รอเพียงการซัดทอดของผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายเรียกก่อนหน้านี้ 52 ราย ในชั้นสอบสวนต้องมีหลักฐานแน่น และในชั้นพิจารณาของศาลจะยิ่งมีข้อสงสัยจนออกหมายจับไม่ได้ จึงจำเป็นจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมัดแน่นตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดซึ่งผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวนจะไปให้การในชั้นศาล
       
เมื่อถามว่าจากการสอบสวนพฤติกรรมความผิดของผู้ต้องหาสอดคล้องในข้อหาใดบ้าง พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพิจารณาเมื่อข้อเท็จจริงเข้าผิดองค์ประกอบฐานใดต้องตั้งข้อหาตามนั้น
       
เมื่อถามว่าสำนวนจะเสร็จภายในเดือนนี้หรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ตนอยากให้เสร็จภายในวันนี้พรุ่งนี้ด้วยด้วยซ้ำไป แต่ไม่อยากเร่งจนเกินไปต้องให้ชัดเจน แต่ต้องอยู่บนข้อมูลเชิงประจักษ์ หากมีข้อมูลที่เบาะแสเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีกลุ่มนี้แก๊งนี้หรือกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ย้ำเป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัย

“นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง เรามองว่าครอบครัวไม่ได้ดูแลใกล้ชิดเพราะเหตุว่าน้องๆ ส่วนใหญ่ก็โตแล้ว ในส่วนนี้ครอบครัวกับทางเจ้าหน้าที่ต้องมาจับมือให้ความสำคัญร่วมกันมากกว่านี้ เพราะกลุ่มที่ทุจริตไปชักชวนโน้มน้าวทำให้เด็กเหล่านี้หลงผิดหลงทางไป ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลงมาให้ความสำคัญจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทาง ผบ.ตร.และคณะกรรมที่ประชุม ตร.มีมติให้นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง” พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถาปัตยกรรมทางการเมืองไทยก่อนการรัฐประหาร 19 กันยา 49

$
0
0

 

บทความชิ้นนี้มิใช่การวิจารณ์หนังสือ สถาปัตยกรรมไทยหลังรัฐประหาร 19 กันยา 49 ของอาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ แต่หากท่านผู้อ่านจะเข้าใจไปว่าชื่อบทความนี้ล้อเลียนหนังสือเล่มสำคัญนั้น ก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะบทความชิ้นนี้เชื่อว่าภายใต้การปกครองแบบอำนาจนิยม การล้อกันเล่นอาจเป็นช่องทางจำนวนน้อยที่เหลืออยู่ ที่จะต่อโต้สนทนากับเผด็จการ เพราะรักจึงสมัครเข้ามาล้อ--เพราะรักสังคมจึงต้องร่วมด้วยช่วยกันสมัครเข้ามาล้อกันเล่น แม้ผู้เขียนจะมิได้เป็นแม้แต่เพียง "มือสมัครเล่น" ที่ปราชญ์ใหญ่ท่านชื่นชมนักหนาก็ตาม การล้ออาจให้พลังทางปัญญาแก่สังคมร่วมสมัยได้ไม่น้อยไปกว่าการเล่น !

0000

บทความชิ้นนี้เชื่อว่าการจะเข้าใจปรากฏการณ์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยหลังรัฐประหาร 19 กันยา 49 และรัฐประหาร 22 พฤษภา 57 จำเป็นจะต้องย้อนไปพิจารณาสถาปัตยกรรมสำคัญก่อนรัฐประหาร 19 กันยา 49 ซึ่งก็คือศาลหลักเมือง

ผู้รู้คงพอจะมองออกได้โดยง่ายว่า กระบวนการสร้าง/รื้อสร้าง/บูรณะ/สมโภชศาลหลักเมืองตามเมืองต่าง ๆ หลายแห่ง นับแต่ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยา 49 และเรื่อยมาจนภายหลังการรัฐประหารก็ตาม ได้ทำให้ศาลหลักเมืองกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ขยายอำนาจการปกครอง "ส่วนภูมิภาค" อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของรัฐบาลกรุงเทพ ฯ แม้ว่าจะมีเนื้อหาหรือคำของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอยู่ในตัวศาลหลักเมืองนั้น ๆ ก็ตาม ความภูมิใจในความเป็น "ท้องถิ่น" ของตนได้ถูกเคลือบคลุมด้วยอำนาจปกแผ่ของ "ส่วนกลาง" (ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในแง่หนึ่ง การรัฐประหาร 19 กันยา 49 การรัฐประหาร 22 พฤษภา 57 ตลอดจนการชนะประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ก็คือความสำเร็จของอำนาจการปกครองจาก "ส่วนกลาง" ที่สามารถครอบงำทำท้องถิ่นให้เชื่อง กลายเป็น "ภูมิภาค" ผู้ขึ้นต่อรัฐบาลกรุงเทพ ฯ ยึดอำนาจที่กรุงเทพ ฯ ก็สามารถยึดกุมได้ทั้งแผ่นดินด้วยเครือข่ายของการบริหารงานภูมิภาค) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ว่า กระบวนการที่กระทำต่อสถาปัตยกรรมศาลหลักเมืองตามเมืองต่าง ๆ คือการประกาศชัยชนะของกรุงเทพ ฯ ที่ทำให้กรุงเทพ ฯ เป็นศูนย์กลาง และเมืองอื่น ๆ กลายเป็นภูมิภาค--กลายเป็นบ้านนอก

เมื่อท้องถิ่นกลายเป็นส่วนภูมิภาค กลายเป็นบ้านนอกของกรุงเทพ ฯ การเข้าใจศาลหลักเมืองที่กรุงเทพ ฯ จึงน่าจะช่วยให้เข้าใจถึงความเป็นไปทางการเมืองของทั้งประเทศได้

0000

สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ศาลหลักเมืองกรุงเทพ ฯ คงมีบทบาทหน้าที่แทบจะไม่แตกต่างจากพระพรหมที่สี่แยกราชประสงค์ เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม บรรยายว่า ปัจจุบันมีประชาชนจากทั่วทิศหลั่งไหลกันไปสักการะบูชาและไหว้เพื่อเสริมมงคลกับชีวิต ขอพรให้เป็นหลักชัยของชีวิต ให้มีหน้าที่การงานที่มั่นคงดังหลักชัย และขอพรให้สมหวังในสิ่งที่ตนปรารถนา หรือมาบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สมปรารถนา (www.m-culture.in.th ความเชื่อในการสักการะ ศาลหลักเมือง , สืบค้น 31 ธค.59) (หรือเราอาจกล่าวในทางกลับกันก็ได้ว่า พระพรหมที่สี่แยกราชประสงค์มีการหน้าที่เดียวกันกับศาลหลักเมือง)

ความน่าสนใจของศาลหลักเมืองกรุงเทพ ฯ คงไม่พ้นการที่ศาลนี้มีหลักเมืองประดิษฐานอยู่ถึง 2 ต้น แต่จมูกของผู้เขียนบทความนี้สงสัยอยู่ว่า แม้พระหลักเมืองจะมีความสำคัญในฐานะหมุดหมายของการสถาปนาเมือง แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลหลักเมืองกรุงเทพ ฯ อย่างที่เรารับรู้อยู่ทุกวันนี้ อาจเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกขยายให้ใหญ่โตขึ้นในภายหลัง เพราะความทรงจำในวัยเด็กครั้งเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเล็ก ๆ ตรงข้ามสถานเสาวภา (ปัจจุบันเลิกกิจการไปนานแล้ว) มีว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ.2516 ครูประจำชั้นประถมปีที่ 6 ในเวลานั้น มักกล่าวถึงการที่บ้านเมืองผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ว่า เป็นเพราะบ้านเมืองมีพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองคอยปกปักรักษาอยู่ ครูอาจจะหรืออาจจะไม่ได้พูดถึงคำว่าเทพารักษ์หลักเมืองตามมา แต่คำว่าพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองแปลกเด่นอยู่ในความทรงจำครั้งนั้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงสภาพของศาลหลักเมืองในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็เป็นเพียงศาลาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ปลูกไว้พอกันแดดกันฝนเท่านั้น แต่ในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้นเองกลับทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาลประดิษฐานรูปเทพารักษ์สำคัญสำหรับพระนครอีก 3 ศาล คือ ศาลพระเสื้อเมือง ศาลพระทรงเมือง และศาลพระกาฬไชยศรี (ดู ประวัติโบราณสถานหรือข้อมูลแหล่ง ศาลหลักเมือง , สืบค้น 7 มค. 60) ศาลทั้ง 3 นี้อยู่ในบริเวณพื้นที่ระหว่างหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามกับคลองคูเมืองเดิม ซึ่งก็คือบริเวณกรมการรักษาดินแดนในปัจจุบัน ในบริเวณเดียวกันนี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเจตคุปต์หรือเจตคุก ที่หน้าคุกของพระนครบาล และศาลเจ้าหอกลอง ที่หน้าหอกลองประจำเมือง

สถานะของหลักเมืองในระยะเริ่มตั้งกรุงเทพฯ หลักใหญ่ใจความจึงน่าจะเป็นเรื่องของการเป็นหมุดหมายสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น โดยบรรจุดวงชะตาเมืองไว้เป็นสำคัญ บทบาทในการเป็นเทพารักษ์ปกปักรักษาเมืองน่าจะเป็นของพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ซึ่งมีการหล่อเป็นองค์ ดูมีตัวมีตนชัดเจน

ในบรรดา 5 พระองค์นี้ ซึ่งถูกถือรวม ๆ ว่าเป็นเทพารักษ์ด้วยกัน เมื่อพิจารณาคุณสมบัติรายพระองค์แล้ว (ข้อมูลเกี่ยวกับเทพารักษ์ทั้ง 5 ได้จาก "5 เทพารักษ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพระนคร"  ซึ่งแถลงไว้ด้วยว่าคัดลอกจากคอลัมน์ เล่าเรื่องในเมืองไทย โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 เมษายน 2549 18:18 น.) พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองน่าจะเป็นเทพารักษ์ระดับผู้บริหาร ส่วนพระกาฬไชยศรี เจ้าหอกลอง เจ้าเจตคุปต์ เป็นเทพารักษ์ระดับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ เพราะในขณะที่พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองทรง "อาวุธ" เกรดพรีเมียม กล่าวคือ พระเสื้อเมืองทรงคทาวุธในพระหัตถ์ซ้าย ทรงจักราวุธในพระหัตถ์ขวา และพระทรงเมืองทรงพระขรรค์ในพระหัตถ์ซ้าย ทรงสังข์ในพระหัตถ์ขวา พระกาฬไชยศรีคงมีงานในภาระรับผิดชอบมาก จึงมีถึงสี่กร แม้จะทรงพระขรรค์ในพระหัตถ์หนึ่ง แต่อีก 3 พระหัตถ์กำลังทรงงานอยู่ พระหัตถ์ซ้ายบนทรงเชือกบาตสำหรับคล้องมัดปราณของมนุษย์ผู้ถึงฆาต พระหัตถ์ซ้ายล่างแสดงกิริยาตักเตือนสั่งสอน และพระหัตถ์ขวาบนทรงชวาลา คือดวงวิญญาณเปรียบดังธาตุไฟในร่างกายคนเรา หากแตกดับลงก็คือสิ้นชีวิต โดยสรุปก็คือพระกาฬไชยศรีเป็นบริวาร เป็น #ทีมพระยม เทพแห่งความตาย ส่วนเจ้าหอกลองก็ต้องคอยแจ้งเหตุต่าง ๆ พระหัตถ์หนึ่งจึงทรงเขาสัตว์เพื่อคอยเป่าเป็นสัญญาณเตือน และเจ้าเจตคุปต์ก็วุ่นอยู่กับการจดความชั่วร้ายของผู้ที่ตายจากไป พระหัตถ์ขวาจึงถือเหล็กจารเพื่อคอยจารลงในใบลาน ซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ซ้าย เจ้าเจตคุปต์จึงเป็น #ทีมพระยม อีกพระองค์หนึ่ง ในขณะที่กล่าวได้ว่าเจ้าหอกลองเป็นทีมงานของพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง (ใน "5 เทพารักษ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพระนคร" บอกว่าเป็นผู้รายงานเหตุร้ายที่เกิดขึ้นให้พระเสื้อเมืองทราบ)

เทพารักษ์ทั้ง 5 นี้เพิ่งถูกอัญเชิญมาประดิษฐานรวมกันในศาลหลักเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเปิดทางให้แก่การสร้างสถานที่ราชการและการตัดถนน ซึ่งก่อนหน้านี้ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการซ่อมแปลงศาลหลักเมืองจากที่เป็นศาลาให้หรูขึ้นเป็นมณฑปจตุรมุขยอดปรางค์ บทความชิ้นนี้สันนิษฐานคือเดาว่าการที่เทพารักษ์สำคัญมี 2 พระองค์คือพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองนี้ น่าจะให้ความรู้สึกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ไม่เป็นเอกภาพ จึงเป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง (ในทำนองไตร่ตรองลึก ๆ อยู่ในพระราชหฤทัย แต่มิได้ทรงแจกแจงเปิดเผย) ให้รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้า ฯให้มีการสร้างพระสยามเทวาธิราชขึ้น ในส่วนที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปนั้น พระสยามเทวาธิราชเกิดขึ้นจากการมีพระราชดำริว่า บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นอันตรายได้เสมอมา คงจะมีเทพยดาศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ ควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการะบูชา และจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการปั้นหล่อเทวรูปสมมุติขึ้น ถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช ประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง (ข้อมูลเกี่ยวกับพระสยามเทวาธิราช จาก wikipedia/พระสยามเทวาธิราช , สืบค้น 30 ธ.ค. 59) ในแง่หนึ่งพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจึงถูกแทนที่หรือถูกชิงบทบาทโดยพระสยามเทวาธิราชที่เพิ่งสร้าง แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่พระเสื้อเมืองพระทรงเมือง และเทพารักษ์อื่น ๆ อีก 3 พระองค์ ต้องอพยพมาประดิษฐานอยู่ร่วมกันในศาลหลักเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็น่าจะหมายถึงบทบาทที่เด่นเป็นพระเอกของเสาหลักเมืองเหนือเทพารักษ์ทั้ง 5 นั้นด้วย

(ข้อที่น่าสังเกตในที่นี้ด้วยก็คือว่า พระสยามเทวาธิราชที่เพิ่งสร้างนี้ ทรงฉลองพระองค์อย่างเครื่องของเทพารักษ์ พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ และพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นจีบดัชนีเสมอพระอุระ ดูเป็นเทพารักษ์ที่มีทั้งอำนาจ (พระแสงขรรค์) และมีความคิดตรึกตรอง (พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นจีบดรรชนี) และน่าเทียบเคียงกับพระทรงเมืองที่ทรงพระขรรค์ในพระหัตถ์ซ้าย และพระสังข์ในพระหัตถ์ขวา อีกทั้งควรตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แม้จะสูงเพียง 8 นิ้ว แต่พระสยามเทวาธิราชก็หล่อด้วยทองคำ ในขณะที่พระเสื้อเมืองพระทรงเมือง (ซึ่งสูง 93 และ 88 ซม.ตามลำดับ) หล่อด้วยสำริดปิดทอง

(นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสนใจด้วยว่า เครื่องสังเวยที่รัชกาลที่ 4 ทรงถวายเป็นราชสักการะประจำวันแด่พระสยามเทวาธิราชนั้น มีหมูนึ่งหนึ่งชิ้นพร้อมด้วยน้ำพริกเผาอยู่ด้วย (ดู "พระสยามเทวาธิราช" ที่เพิ่งอ้าง) ในขณะที่เครื่องสังเวยไม่ว่าจะเป็นชุดใหญ่ (ราคา 1,800 บาท) หรือชุดเล็ก (ราคา 1,200 บาท) ที่สำนักงานกิจการศาลหลักเมือง องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกจัดไว้บริการประชาชนผู้มาสักการะที่ศาลหลักเมืองก็มีน้ำพริกเผาประกอบอยู่ในเมนู (คำขวัญที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของสำนักงานกิจการศาลหลักเมืองมีว่า "สง่างามโบราณสถานศาลหลักเมือง ลือเลื่องความศักดิ์สิทธิ์ เทพสถิตย์อำนวยพร เครื่องสักการะและละครพร้อมบริการ" (ดู ประวัติองค์พระหลักเมือง , สืบค้น 5 มค. 60) น้ำพริกเผาจึงดูจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจรสที่เทพารักษ์หลักเมืองไทยนิยม ในแง่นี้ชวนให้คิดต่อไปว่า หากทั้งพระสยามเทวาธิราชและพระหลักเมืองจะได้มีโอกาสลิ้มรสความเป็นไทยที่หลากหลาย ได้มีโอกาสเสวยน้ำพริกภาคต่าง ๆ เช่น น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกปลาร้า แจ่ว น้ำชุบ ฯลฯ ครบทุกภาควนไปบ้าง คนไทยก็อาจจะมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่าที่เป็นอยู่. เมื่อเมื่อเทพารักษ์ได้มีประสบการณ์ใหม่ ๆ ผู้คนก็คงพร้อมจะรับสิ่ง/ความคิดใหม่ ๆ ด้วย)

0000

ถึงแม้พระสยามเทวาธิราชจะกลายเป็นเทพารักษ์ประจำเมืองที่โดดเด่นเหนือพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง แต่ศาลหลักเมืองที่หรูขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และการมีเทพารักษ์ทั้ง 5 มาร่วมประดิษฐานอยู่ด้วยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทำให้ศาลหลักเมือง/เสาหลักเมืองมีความสำคัญโดดเด่นเพิ่มขึ้นด้วย และดังกล่าวแล้วว่าความน่าสนใจของศาลหลักเมืองกรุงเทพ ฯ นั้น อยู่ที่การมีหลักเมืองประดิษฐานอยู่ 2 ต้น ปัญหาก็คือ เราจะเข้าใจเสาหลักเมือง 2 ต้นนี้อย่างไร

ข้อมูลจาก wikipediaศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร (สืบค้น 29 ธค. 60) มีว่า เสาหลักเมืองต้นแรก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6:54 น.

ส่วนเสาหลักเมืองอีกต้นหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริว่าหลักเมืองชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่สง่างาม จึงโปรด ฯ ให้สร้างขึ้นใหม่อีกทั้งทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์ ทราบว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพ ฯ นอกจากจะทรงแก้เคล็ดโดยการให้ช่างแปลงรูปทรงศาลหลักเมืองที่เดิมเป็นศาลาไม้มุงกระเบื้องให้เป็นอาคารจตุรมุขทรงยอดประสาทแล้ว ที่สำคัญคือทรงโปรด ฯ ให้ถอนเสาหลักเมืองเดิม และประดิษฐานเสาหลักเมืองใหม่ พร้อมผูกดวงเมืองขึ้นใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือนอ้าย ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2395 (ดู "เหตุใด "เสาหลักเมือง" กรุงเทพมหานคร จึงมีสองต้น ?" , สืบค้น 30 ธค. 59)

เสาหลักเมืองในรัชกาลที่ 1 จึงถูกถอนออกแล้วแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ยังคงตั้งวางไว้ภายในศาลหลักเมือง และเพิ่งมาในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ภายหลังการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี การบูรณะคราวนี้ ซึ่งทำให้ศาลหลักเมืองยิ่งหรูขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก นอกจากจะมีการสร้างหอเทพารักษ์เพื่อเป็นที่สถิตย์แห่งเทพารักษ์ทั้ง 5 และสร้างอาคารหอพระพุทธรูปขึ้นแล้ว ที่สำคัญคือมีการเชิญเสาหลักเมืองต้นเดิมไปประดิษฐานไว้คู่กับเสาหลักเมืองต้นปัจจุบัน (ดู "ประวัติองค์พระหลักเมือง") การบูรณะครั้งใหญ่นี้เป็นการสร้างขึ้นใหม่ภายหลังจากการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี คือดำเนินการในระหว่าง พ.ศ. 2525 - 2529 โดยผู้ออกแบบศาลหลักเมืองครั้งนี้คือ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรม ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในงานออกแบบครั้งนี้ด้วย (ดู ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2525 - 2529) , สืบค้น 9 มค. 60)

นักโหราศาสตร์มักเป็นผู้ผูกขาดการตีความเสาหลักเมือง โดยการเป็นผู้ผูกขาดความรู้เรื่องดวงชะตาของเมือง ซึ่งมาด้วยกันกับการยก/ตั้ง/ประดิษฐาน/สถาปนาเสาหลักเมือง เนื่องจากเสาหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ฯ มี 2 เสา คือเสาสมัยรัชกาลที่ 1 และเสาที่รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ ปัญหาก็คือ แล้วเราจะเอาดวงชะตาใดมาทำนายความเป็นไปของเมือง ? นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่ยึดกุมเอาดวงเมืองสมัยรัชกาลที่ 1 ในการทำนาย บางส่วนเห็นว่าการทำนายต้องใช้ดวงเมืองรัชกาลที่ 1 ประกอบกันกับดวงเมืองรัชกาลที่ 4 และบ้างก็เห็นว่าต้องใช้ดวงเมืองรัชกาลที่ 4 เป็นหลักในการทำนาย ทั้งเพราะเสาหลักเมืองรัชกาลที่ 1 ได้ถูกถอนออกแล้ว (แม้ว่าต่อมาจะถูกนำกลับมาตั้งคู่กันกับเสาของรัชกาลที่ 4 ก็ตาม) และเพราะการทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองยุคใหม่ (ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยถือเอาการสถาปนาหลักเมืองใหม่เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นยุคใหม่) ก็ต้องใช้ดวงของเสาหลักเมืองต้นใหม่ในการทำนาย

แต่หากเราตีความการเชิญเสาหลักเมืองรัชกาลที่ 1 ซึ่งถูกถอนออกแล้วในสมัยรัชกาลที่ 4 มาตั้งประดิษฐานไว้คู่กับเสาหลักเมืองต้นปัจจุบัน ในสมัยรัชกาลที่ 9 ว่าดูจะมีนัยทางการเมืองถึงการหวนกลับไปหาสิ่งเก่าให้กลับมาอยู่คู่กับสิ่งใหม่ ในแง่นี้เราคงต้องสรุปว่านี่คือการสถาปนาเสาหลักเมืองครั้งที่ 3 และถือเอาการสมโภชศาลหลักเมืองภายหลังการรื้อสร้างครั้งนี้เป็นดวงเมืองยุคที่ 3 ซึ่งหากจะเทียบเคียงกับยุคสมัยทางการเมืองแล้ว ก็คงจะกล่าวได้ว่า นี่คือดวงเมืองยุคหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา

หากยึดเอาศาลหลักเมืองเป็นหมุดหมายในทางสถาปัตยกรรมแล้ว ปรากฏการณ์สถาปัตยกรรมภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยา 49 จึงสืบเนื่องมาจากสถาปัตยกรรมภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่เขียนข้อความเช่นนี้ก็เหมือนไม่ได้ความรู้อะไรใหม่เลย เพราะถึงอย่างไร พ.ศ. 2549 ก็ต้องสืบเนื่องตามหลัง พ.ศ. 2519 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม นักโหราศาสตร์คงโต้เถียงกันได้ไม่รู้จบว่า ควรจะถือเอาดวงเมืองใดเป็นดวงเมืองที่ใช้ทำนายชะตาของประเทศ เพราะต่างก็คงอ้างเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถือมาอธิบายว่า ดวงเมืองที่ตนใช้นี้แหละเหมาะสมในการทำนายที่สุด

สุดทางของการใช้โหราศาสตร์ในทางการเมืองอาจกลายเป็นเรื่องของความกำกวมตัดสินชี้ขาดให้แน่นอนลงไปไม่ได้ ในแง่นี้จึงกล่าวได้ว่าโหราศาสตร์การเมืองไทยก็เช่นเดียวกับภาษาไทยที่ก็กำกวมมีหลายนัยของความหมาย และในท้ายที่สุด ความเป็นไทยจึงแยกไม่ออกจากความกำกวม !

0000

หากความกำกวมทำให้ดวงเมืองไม่อาจช่วยให้เราเข้าใจความเป็นไปของการเมืองสมัยใหม่ได้ เราคงต้องลองหาทางมองเสาหลักเมืองจากแง่มุมอื่นดูบ้าง แทนที่หนังสือพิมพ์คุณภาพเพื่อคุณภาพของประเทศจะพิมพ์หนังสือศาสตร์แห่งโหรขายดิบขายดีทุกปี บางทีหากสำนักนั้นจะหันมาพิมพ์ศาสตร์แห่งการตีความอื่น ๆ เช่น สัญวิทยาฉบับเข้าใจง่าย ๆ การเมืองไทยอาจพบทางออกใหม่ ๆ บ้างก็ได้ การพิจารณาหลักเมืองที่ถูก de-construct คือ รื้อแล้วสร้างใหม่แบบไทย ๆ 2 ครั้ง 2 ครา คือในสมัยรัชกาลที่ 4 และในสมัยรัชกาลที่ 9 อาจช่วยให้เราเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง หลักเมืองที่ถูกรื้อแล้วสร้างใหม่ หรือกลับมาตั้งใหม่ ดูจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือหลักของประเทศ หลักของการเมืองในยุคสมัยใหม่ ก็จักต้องถูกรื้อแล้วเขียนใหม่ รื้อแล้วเขียนใหม่อยู่ร่ำไป

เมื่อได้เวลาเห็นกงจักรเป็นสองดอกจิก ก็จะเกิดการยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ แล้ววานแม่นาคหรือพ่อนาคมีชัยเหยียดมือให้ยืดยาวเพื่อหยิบรัฐธรรมนูญฉบับเดิมจากใต้ตุ่มใบเดิมกลับขึ้นมาใช้ใหม่ ซ้ำซากอยู่เช่นนี้ จนอีกเพียง 15 ปีก็จะเป็นพ.ศ. 2575 ครบรอบ "100 ปีแห่งความเหนื่อยหน่าย (ในวัฏจักรอันซ้ำซาก)"

หากเสาหลักเมืองยุคที่ 2 คือสมัยรัชกาลที่ 4 หมายถึงการเปิดรับ/ปรับตัวเข้ากับการเมืองยุค modern (หรือยุคแสวงอาณานิคมของชาติตะวันตก ?) ยุคที่ 3 ของหลักเมืองก็อาจหมายถึงการเข้าสู่ยุคสมัยแห่งราชาชาตินิยม "อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข" ที่แม้สิ่งเก่าจะดำรงอยู่คู่กับสิ่งใหม่ แต่รูปการณ์ดูจะเป็นไปในทางที่สิ่งเก่าอยู่เหนือสิ่งใหม่

หากมองเสาหลักเมืองทั้ง 2 ว่าเป็นสัญญะของความเป็นไทย การอยู่แบบไทย ๆ จึงน่าจะเป็นการอยู่คู่กันของ 2 ลักษณะ ที่ดูจะกำกวมชี้ชัดไม่ได้ว่า อะไรคือความหมายที่แท้จริง จะเป็นอะไร หรือคนไทยจะเอาอย่างไรกันแน่ จะเลือกสุนทรียะแบบสูงเพรียวอย่างเสาหลักเมืองรัชกาลที่ 1 หรือจะเลือกความงามที่ดูอวบสมบูรณ์อย่างเสาหลักเมืองรัชกาลที่ 4 จะเลือกข้างไพร่หรือเลือกข้างผู้ดี หรือจะแสดงออกเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้คือไพร่ จะเป็นประชาธิปไตยหรือจะเป็นเผด็จการ หรือจะเป็นเผด็จการแต่เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นประชาธิไตย จะเป็นข้าราชการหรือจะเป็นนักการเมือง หรือจะอยู่คู่กันไป หรือจะทำกิจของนักการเมือง แต่ยืนยันว่าตนเป็นเพียงข้าราชการ มิใช่นักการเมือง

0000

พร้อมกันไปกับการเป็นสัญญะแห่งความกำกวมซ่อนนัยแห่งความหมาย ศาล/เสาหลักเมืองก็อาจชี้ทางออกให้สังคมด้วยเช่นกันว่า จงใช้การอยู่คู่กันของสองสิ่งเป็นทางออกให้แก่สังคม

รัฐธรรมนูญอันเป็นเสาหลักในทางการเมือง ควรจะร่างกันด้วยแนวทางใหม่ที่ดึงเอาแก่นของมรดกจากอดีต คือหลักความยุติธรรม/ความเป็นธรรมของพระมนูธรรมศาสตร์ อันเป็นรากฐานของกฎหมายตราสามดวง มาอยู่คู่/สนทนากับแก่นของยุคสมัยปัจจุบัน คือ หลักการเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มิใช่ร่างรัฐธรรมนูญกันด้วยความสับสนดังร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา เพียงการอ่านส่วนที่เป็นคำปรารภ ก็ทำให้เราเข้าใจความไม่เป็นรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในเมื่อคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กล่าวถึงเป้าหมายแห่งความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งมิใช่เป้าหมายที่คนไทยทุกคนยอมรับ อีกทั้งกล่าวถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่มิได้อธิบายเลยแม้แต่น้อยในคำปรารภนี้ว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ว่าคืออะไร คำปรารภไพล่ไปเริ่มต้นกล่าวถึงการปกครองที่ไม่มีเสถียรภาพ กล่าวเน้นว่าปัญหาเกิดจากการให้ความสำคัญแก่รูปแบบและวิธีการยิ่งกว่าหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วตัวคำปรารภกลับกล่าวถึงแต่การปกครอง การจัดระเบียบ จัดโครงสร้างหน้าที่ จัดสัมพันธภาพ การสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรการ การสร้างกลไก มีกล่าวอ้างถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่หน่อยหนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปพูดถึงหน้าที่อีก เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของวิธีการจัดการ มิใช่เรื่องของหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย ก็ท่านกล่าวไว้ว่าปัญหาเกิดจากการให้ความสำคัญแก่รูปแบบและวิธีการเสียยิ่งกว่าหลักการมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงไม่อธิบายเรื่องหลักการให้แจ่มชัดเล่า ?

คำปรารภแห่งร่างรัฐธรรมนูญยังกล่าวอ้างถึงประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และสังคมไทย หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมภิบาล โดยมิได้สนใจจะอธิบายขยายความความหมายและความสำคัญของหลักเหล่านี้ว่ามีต่อประชาธิไตยอย่างไร หากคำปรารภจะได้อธิบายว่าหลักสำคัญแห่งประชาธิปไตยคืออะไร และหลักอื่น ๆ ที่ท่านยกมามีความหมายและช่วยสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาในตัวบทรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ย่อมจะมีหลักในการตรวจสอบได้ว่า ควรจะตีความ/ปรับแก้รูปแบบวิธีการต่าง ๆ ที่ปรากฏในตัวบทอย่างไร ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่หลักการกำหนดเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นการอธิบายหลักการเอาไว้ในคำปรารภ ย่อมจะทำให้ประชาชนสามารถแม้แต่จะตรวจสอบตัวหลักการนั้นได้ด้วยว่าเป็นหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่

ในตอนท้ายของคำปรารภ ร่างรัฐธรรมนูญถึงกับเอ่ยเชิญชวน "ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะปฏิบัติและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้...." แต่เราจะปกปักรักษาอย่างไรหากไม่รู้ว่าหลักการคืออะไร ดุจเดียวกับที่สังคมไทยในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาดูจะคลั่งเหลือเกินกับการเป็นคนดี โดยไม่สนใจจะอภิปรายถกเถียงเสียก่อนว่า อย่างไรจึงจะเรียกว่าดี ความดีคืออะไร อะไรคือชีวิตที่ดี เมื่อไม่รู้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ดี อะไรไม่ใช่ ตีขลุมเอาว่ารู้แล้ว แล้วเราจะปกปักพิทักษ์รักษากันได้อย่างถูกต้องหรือ ?

เมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่อธิบายขยายความหลักการที่ใช้ในการร่างตัวบท ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจึงไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นได้เพียงกฎหมายปกครองที่มีรายละเอียดยุบยิบ ผู้มีอำนาจสามารถนิยามหลักการและกำหนดวิธีการจัดการได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะด้วยการอาศัย "กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ" เป็นเครื่องมือ

หากจะเปรียบเทียบกับสถาปนิก ก็คงกล่าวได้ว่าสถาปนิกผู้ออกแบบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เทียบเคียงได้กับสถาปนิกผู้ถือมั่นในตนเอง เวลาเสนองานลูกค้า ก็อ้างว่าตนใช้ concept โน้นนี้ในการออกแบบ ทั้งอูลตร้าโมเดิร์น ทั้งสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ฯลฯ แต่เนื้องานจริงกลับไม่มีการใช้ concept ที่ตนกล่าวอ้างในการออกแบบเลย เป็นเพียงการใส่สิ่งต่าง ๆ ลงไปในตัวงานตามแต่ความเคยชินและความปรารถนาของตน แล้วอ้างว่านี่คืองานอูลตร้าโมเดิร์น นี่คืองานแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ยกระดับได้ทั้งค่าจ้างและภาพลักษณ์/ชื่อเสียงของตัวสถาปนิก

เมื่อร่างรัฐธรรมนูญกลับไม่มีความเป็นรัฐธรรมนูญ สถาปัตยกรรมทางการเมืองจึงคือความกำกวมเคลือบแฝงความหมาย เช่นเดียวกับงานสถาปัตยกรรมเสาหลักเมือง

ตราบที่สถาปัตยกรรมทางการเมือง คือตัวรัฐธรรมนูญ ยังมีแต่ความกำกวมเคลือบแฝงความหมาย เราก็ยังจะต้องเห็นปรากฏการณ์ซ้ำซากแห่งการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ เพื่อนำรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ๆ กลับมาใช้ใหม่ วนเวียนนับร้อยนับพันปี การเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับศาลหลักเมืองเสียใหม่ อาจเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้รอดพ้นจากความซ้ำซากนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

จากแนวคิดอันเก่าแก่เรื่องมองวรรณคดีจากสังคม มองสังคมจากวรรณคดี เราอาจต้องก้าวต่อไปสู่การหาคำตอบให้แก่สังคมด้วยวิธีการทางวรรณคดี สัจนิยมมหัศจรรย์อาจไม่เป็นเพียงทางเลือกในทางวรรณคดีเท่านั้น แต่สัจนิยมมหัศจรรย์อาจเป็นทางรอดของสังคมการเมืองไทยด้วย เราควรจะรื้อคิดใหม่เกี่ยวกับศาลหลักเมือง เพื่อให้สิ่งใหม่และสิ่งเก่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

นักทำนายอนาคตได้เสนอกันเอาไว้บ้างแล้วว่าควรย้ายเมืองหลวงไปยังชัยภูมิใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมร่วมสมัย (โดยไม่จำต้องทอดทิ้งกรุงเทพมหานคร) สยามประเทศควรพิจารณาอย่างจริงจังต่อข้อเสนอนี้ โดยมิพักต้องรู้สึกว่ากำลังเดินตามรอยประเทศเพื่อนบ้าน สร้างเมืองใหม่ ตั้งเสาหลักเมืองใหม่ โดยให้ชีแม่พราหมณ์ชีพ่อพราหมณ์ประกอบพิธีลงเสาหลักเมืองจำนวน 6 ต้น แทนที่จะลงเพียงเสาเดียวดุจดังในอดีต เพื่อให้เสาทั้งหกยึดกุมและเป็นอนุสติถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เสาเหล่านี้พึงนำมาจากทิศต่าง ๆ ทั่วประเทศ และไม่จำเป็นต้องเป็นไม้ เป็นหินก็ได้ เป็นเหล็กหรือโลหะไร้สนิม หรือวัสดุล้ำสมัยอื่นใดก็ได้ทั้งนั้น

การสร้างเมืองใหม่อาจกระทำได้โดยการพลิกเอาเมืองบางเมืองที่อยู่ในหรืออยู่ใกล้แนวตัดของแกนคมนาคมเหนือ-ใต้ตัดกับตะวันออก-ตะวันตก (เช่น แนวทางหลวงหมายเลข 12) ให้เป็นเมืองหลวงใหม่ ปล่อยให้กรุงเทพ ฯ เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไปให้ถึงการเป็นเมืองแบบคอสโมโพลิแทน ขณะเดียวกัน แทนที่จะมาแออัดแย่งใช้ทรัพยากรแย่งใช้ infrastructure กันอยู่ในเมืองธุรกิจ กองทัพก็ควรย้ายออกไปตั้งมั่นอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันประเทศ ศูนย์การทหารไม่จำเป็นและไม่ควรอยู่ซ้อนทั้งในศูนย์กลางธุรกิจและศูนย์การบริหารประเทศ

ในการตั้งเสาหลักเมืองใหม่นี้ ชีแม่พราหมณ์ชีพ่อพราหมณ์จักต้องหันไปใช้ฤกษ์ของพระพุทธเจ้า ดังที่เราได้เห็นแล้วจากดวงเมืองกรุงเทพ ฯ ที่ดวงดาวกลายเป็นขีดจำกัดทางเลือกในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทางการเมือง ตลอดทั้งความเชื่อถือไม่ได้สนิทใจต่อนักโหราศาสตร์การเมืองในความสามารถและในความเที่ยงธรรมในการทำนาย การหันไปใช้ฤกษ์ของพระพุทธเจ้าที่ยืนยันว่า ประโยชน์เป็นฤกษ์ในตัวของมันเอง ดวงดาวจะทำอะไรใครได้ มาเป็นหลักในการประกอบพิธีตั้งเสาหลักเมืองทั้ง 6 ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเดินไปสู่เป้าหมายของเมืองนั้น ๆ ได้ดีกว่าการวางลัคนาดวงเมือง ด้วยวิธีเช่นนี้และด้วยการเป็นเสาแห่งหลัก 6 ประการของคณะราษฎรเช่นนี้ คุณค่าเดิมในการเป็นที่พึ่งทางใจของพลเมือง จึงดำรงอยู่คู่กับการเป็นเสาหลักการทางการเมือง ต่างดำรงอยู่คู่กันและพร้อมกันไป ผู้คนพากันมากราบไหว้ขอพร และมาสักการะศาลหลักเมืองด้วยอาหารนานาภาคและนานาชาติ (มิใช่มีแต่รสน้ำพริกเผา) จนบริเวณโดยรอบศาลหลักเมืองอาจกลายเป็นศูนย์รวมร้านอร่อยจากทั่วประเทศและทั่วโลก ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญที่จะร่างกันขึ้นใหม่จากหลัก 6 ประการอันเป็นอุดมคติของเสาหลักเมืองก็ย่อมจะแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ๆ ที่พาให้เราลงไปอยู่ใต้ตุ่มใต้กะลาที่ที่รัฐธรรมนูญเหล่านั้นจากมา สิ่งเก่าจะสามารถดำรงอยู่คู่กับสิ่งใหม่ ไพร่อยู่ร่วมกับผู้ดี เหลืองอยู่คู่กับแดง ทุกคนสามารถยอมรับว่าต่างก็มีดีมีชั่วดำรงอยู่ในตนพร้อมกันไปในโลกสันนิวาสแห่งปุถุชน ไม่มีใครดีใครเลวโดยส่วนเดียว จะดีจะชั่วก็ค่อย ๆ เรียนรู้อยู่กันไป ความห่อเหี่ยวทุกข์ยากที่ซ้ำซากเนิ่นนานมานับร้อยปีจะพลันยุติ นี่คือทางรอดของสังคมการเมืองไทย

0000

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน เฟซบุ๊ก วิทย์ วัชพืช

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.เตรียมออกแผนที่การเกษตร ยันไม่บังคับ - ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

$
0
0

รัฐบาลเตรียมประกาศแผนที่การเกษตร กำหนดพื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชแต่ละชนิด แต่ใม่ใช่มาตรการบังคับ ก.เกษตรฯ ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

18 ม.ค. 2560 พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกรอบแนวทางแก้ปัญหาข้าวครบวงจร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนงานในปี 60 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.นี้ เพื่อรับทราบข้อมูล เกี่ยวกับปริมาณการปลูกข้าว ความต้องการทั้งปริมาณการบริโภคในประเทศ และการส่งออก และใช้ในอุตสาหกรรม  ซึ่งมีความต้องการประมาณ 30 ล้านตัน และการปลูกข้าวในพื้นที่ปลูกนาปีประมาณ 58 ล้านไร่ และนาปรัง 5 ล้านไร่ หลังจากนั้นกระทรวงเกษตรฯเตรียมออกประกาศแผนที่ทางการเกษตร ในวันที่ 28 ก.พ.60 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะในการปลูกหรือทำการเกษตร หวังปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ และความต้องการของตลาด เช่น พื้นที่ใดไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวควรปลูกพืชชนิดอื่น เช่น การปลูกถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เพราะตลาดยังมีความต้องการ เช่น การเปลี่ยนจากปลูกข้าว ไปเลี้ยงปศุสัตว์ โดยภาครัฐพร้อมส่งเสริมการตลาดให้กับเกษตรกร ผ่านมาตรการส่งเสริมต่างๆ เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในเร็วๆนี้ ยอมรับว่าไม่ใช่มาตรการบังคับ  หากรายใดปลูกพืชสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจะได้รับการส่งเสริมผ่านมาตรการต่างๆจากภาครัฐ

ก.เกษตรฯ ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการเกษตรแปลงใหญ่ปี 2559  มีแปลงใหญ่ทั้งสิ้น 600 แปลง พื้นที่ 1.538 ล้านไร่ เกษตรกร 96,554 ราย สำหรับปี 2560 กำหนดเป้าหมายไม่น้อยกว่า 900 แปลง คือ เดือนมกราคม 400 แปลง และพฤษภาคม 512 แปลง รวมทั้งสิ้น 1,512 แปลง ซึ่งปีนี้ต้องมีการปรับลดหลักการ เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจง่ายขึ้น ทั้งนี้ รายงานความสำเร็จที่สามารถตรวจวัดผลผลิตและประเมินผลได้มี 480 แปลง จาก 600 แปลง คิดเป็นร้อยละ 92 ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างประเมินผลผลิต เนื่องจากยังไม่เก็บเกี่ยว
 
“การปรับปรุงขั้นตอนการรับรองส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ได้ลดขั้นตอน โดยแต่งตั้งคณะทำงานรับรองแปลง Single Command (ประธาน/เกษตรจังหวัด/เลขานุการ)  จากเดิมต้องผ่านอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัด  โดยให้คณะทำงานรับรองแปลงรับรองและนำเสนออนุกรรมการฯ เพื่อรับทราบ อีกทั้งต้องมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนทุกราย เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
 
โดย สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การดำเนินงานแปลงใหญ่ที่ผ่านมามีหลักเกณฑ์การดำเนินงาน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ เนื่องจากมีเกษตรกรต้องการเข้าร่วมแปลงใหญ่จำนวนมาก จึงมีการหารือร่วมกันและสรุปหลักการของแปลงใหญ่ ดังนี้ 1.ง่ายต่อการเข้าถึง รวมตัวกันได้ จับเป็นกลุ่มผลผลิตเกษตรชนิดเดียวกัน ดำเนินการได้ทันที  2. ขนาดพื้นที่เหมาะสม ไม่จำกัดขนาดและจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วม 3. พัฒนาให้ถึงเป้าหมาย คือ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ขยายโอกาส 4. พื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri Map สามารถรวมเป็นแปลงใหญ่ได้ และใช้เทคโนโลยีเข้าไปปรับพื้นที่ให้เหมาะสม 5. ยกระดับมาตรฐานผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น 6. แหล่งน้ำ ตามความจำเป็นหรือความเหมาะสม 7. กระบวนการกลุ่ม คือ กลุ่มเดิม (สหกรณ์/วิสาหกิจชุมชน) กลุ่มย่อยทำแปลงใหญ่ได้ กรณีไม่มีกลุ่ม จะต้องมีการพัฒนาให้เกิดกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง 8. Economy of scale ตัดสินด้วยเกณฑ์ของแหล่งทุน ขึ้นกับกิจกรรมที่กลุ่มขอรับการสนับสนุน และ 9. ความสมัครใจเป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ และดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และเป้าหมายของแปลงใหญ่
 
ที่มา สำนักข่าวไทย 1, 2
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: อย่าทำลายชีพชนบนฝั่งโขง

$
0
0



โอ้ว่าชีพ ว่าชน บนฝั่งโขง
ต่างยึดโยง สายใย ให้เกิดก่อ
เลี้ยงชีวิต ชีวี ที่เพียงพอ
เพราะโขงหนอ ต่อเติมเต็ม เข้มฤดี

โอ้ว่าชีพ ว่าชน บนฝั่งโขง
เขาจึงต้อง จรรโลง ในวิถี
มิทำลาย สลายสิ้น ถิ่นชีวี
เพราะโขงนี้ คือบ้าน สถานรัก

โอ้ว่าชีพ ว่าชน บนฝั่งโขง
ทุกยามโมง มีเรื่องราว เล่าประจักษ์
หากโขงโดน รานรุก คงทุกข์หนัก
ขาดเกาะแก่ง แหล่งเพิงพัก จักวอดวาย

โอ้ว่าชีพ ว่าชน บนฝั่งโขง
สายชลโยง เชื่อมกัน มั่นยืนหลาย
สายน้ำล้ำ ค้ำชีวา ค่ามากมาย
อย่าทำลาย ชีพชน คนโขงเอย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม(CSE)

$
0
0


 

อีกก้าวหนึ่งของคนเชียงใหม่ที่จะ “จัดการตนเอง(self determination)”ก็คือการจัดตั้งบริษัทเชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด หรือในภาคภาษาอังกฤษว่า Chiang Mai Social Enterprise (ในบทความนี้ผมจะเรียกย่อๆว่า CSE) ซึ่งได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือการแก้ไขปัญหาที่สั่งสมและเรื้อรังของเชียงใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานหลายๆปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญหาหมอกควันที่สร้างความเสียหายต่อทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจของเชียงใหม่อย่างมหาศาล

คำว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise (SE) ประกอบด้วย Enterprise คือ การประกอบการหรือ วิสาหกิจ กับคำ ว่า Social คือ สังคม และเมื่อนำคำดังกล่าวมารวมกันจึงเกิดคำใหม่ว่า“วิสาหกิจเพื่อสังคม”คือ การประกอบการเพื่อสังคม ซึ่งถือเป็นคำเดียวกับ “กิจการเพื่อสังคม” ส่วนความหมายที่เป็นทางการที่มีอยู่นั้น พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๖๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๙ นิยามว่า

“วิสาหกิจเพื่อสังคม” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือการให้บริการ โดยมุ่งส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นที่วิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งอยู่ หรือมีเป้าหมายในการจัดตั้งตั้งแต่แรกเริ่มในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนสังคม หรือสิ่งแวดล้อม โดยมิได้มุ่งสร้างกําไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน และนําผลกําไรไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบไปลงทุนในกิจการของตนเอง หรือใช้เพื่อประโยชน์ของเกษตรกร ผู้ยากจน คนพิการผู้ด้อยโอกาส หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกําหนด"

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือSocial Enterprise มีหลัก 5 ประการ คือ

1)มีเป้าหมายเพื่อสังคม มิใช่เพื่อกำไรสูงสุด
2)เป็นรูปแบบธุรกิจที่รายได้หลักมาจากการขายสินค้าและบริการ มิใช่เงินจากรัฐหรือเงินบริจาค
3)กำไรต้องนำไปใช้ในการขยายผล มิใช่นำไปปันผลเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
4)บริหารจัดการตามหลักgood governance
5)ต้องจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท

CSE น่าสนใจอย่างไร

1)เป็นการรวมตัวกันของคนเชียงใหม่ล้วนๆตั้งแต่ประชาชนในรากหญ้า นักวิชาการ นักธุรกิจในท้องถิ่นทุกระดับทั้งจากที่เป็นและไม่ได้เป็นสมาชิกหอการค้าหรือสภาอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการรายย่อยโดยไม่ได้พึ่งพิงจากบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ๆ ของไทยแต่อย่างใดทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระจายหุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมและไม่ถูกครอบงำจากผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่ง ซึ่งผมขอไม่ยกตัวอย่างรายชื่อผู้ถือหุ้นเพราะเกรงว่าจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวบุคคลไปเสีย

2)เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพลเมืองที่ไม่รอให้การแก้ปัญหาจากภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผลอย่างแท้จริงหากขาดเสียซึ่งการมีส่วนร่วมจากประชาชนซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับปัญหามาโดยตลอด


CSEทำอะไร

1)ปลูกป่า3 อย่างคือ ไม้ใช้สอย ไม้ก่อสร้าง ไม้กินได้ เพื่อประโยชน์ 4 อย่าง คือ ใช้เป็นฟืนสำหรับหุงต้มและใช้สอยเบ็ดเตล็ด ใช้สร้างและซ่อมแซมที่พักอาศัย ใช้เป็นอาหาร และเป็นการอนุรักษ์ต้นน้ำ ในหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสนองความต้องการของชุมชนและฟื้นป่าและระบบนิเวศน์ต้นน้ำ

2)เกษตรอินทรีย์ เช่น พืชผักผลไม้ พืชสมุนไพร และปศุสัตว์ โดยการพัฒนาศักยภาพด้านเกษตรอินทรีย์ของชุมชน, การเตรียมพื้นที่และแหล่งน้ำเพื่อรองรับการทำวนเกษตรอินทรีย์ของชุมชน,การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการปัจจัยการผลิตชุมชน,การพัฒนาระบบปศุสัตว์ครบวงจรเพื่อส่งเสริมวนเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืนและส่งเสริมการปลูกและจัดจำหน่ายข้าวไร่และ/หรือเมล็ดทานตะวันวนเกษตรอินทรีย์ หรือการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกซังข้าวโพดที่เกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้วิธีเผาจนทำให้เกิดหมอกควัน

3)การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนโดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมนำเที่ยวและไกด์ อาหารและภัตตาคาร ที่พักและของขวัญของที่ระลึก

4)การแปรรูปไม้ จากสวนป่าเศรษฐกิจชุมชน เช่น ไม้ไผ่ ไม้สักหรือไม้จากการตัดแต่งกิ่ง

5)การจัดการพลังงานทดแทน ในรูปแบบชุมชนพลังงานสีเขียว(green energy) เช่น การผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่งจากซังและเปลือกข้าวโพด ฯลฯ

ซึ่งทั้ง 5 เรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องและส่งเสริมซึ่งกันและกัน

แน่นอนว่างานต่างๆนี้ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญและความยากง่าย และลำพังตัวCSEเองจะทำอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ไม่ได้แต่ต้องร่วมมือกับภาครัฐและหน่วยงานในพื้นที่เช่น กรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งCSEเราก็ได้มีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น และมีความเห็นร่วมกันว่าพื้นที่ในชั้นแรกนี้จะเน้นไปที่อำเภอแม่แจ่มซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเผามากที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ แม้ว่าจะมีประกาศห้ามเผาในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตามแต่ก็ยังมีการลักลอบเผาและระดมเผาเมื่อพ้นจากช่วงระยะเวลาประกาศห้าม ซึ่งการแก้ปัญหาการเผาเหล่านี้จำเป็นต้องมีสิ่งที่ไปทดแทนให้เกษตรกรนอกเหนือการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือการลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งก็คือวิธีการข้างต้นทั้ง 5 วิธีนั่นเอง

เชียงใหม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่เป็นต้นแบบของความเป็นพลเมืองเข้มแข็งมาแล้วอย่างต่อเนื่อง เช่น การริเริ่มแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองจนภาคประชาชนได้มีการเสนอร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯสู่สภาฯไปแล้วแต่ต้องสะดุดอยู่เพราะเหตุที่สภาถูกยกเลิกไป แต่อย่างไรก็ตามจังหวัดอื่นๆก็ได้นำไปเป็นต้นแบบในการจัดตนเองอย่างแพร่หลายและพร้อมที่จะดำเนินการต่อไปเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ

เชียงใหม่เป็นต้นแบบของการเกิดขึ้นของสภาพลเมืองที่คอยเสนอแนวความคิดและตรวจสอบถ่วงดุลการดำเนินการที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่น เช่น กรณีขนส่งสาธารณะ,กรณีข่วงหลวงเวียงแก้ว ,กรณีการสร้างที่พักในวัดอู่ทรายคำจนต้องมีการทบทวนและตรวจสอบจากภาคประชาชนหรือการมีแนวคิดจะสร้างคอนโดในที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในย่านสถานศึกษาจนต้องคืนพื้นที่ให้ชุมชนเพื่อจัดทำเป็นสวนสาธารณะ เป็นต้น

ผมเชื่อว่าการจัดตั้งCSEในครั้งนี้ก็จะเป็นการจุดประกายให้แก่จังหวัดอื่นๆให้เห็นถึงความเข้มแข็งของภาคประชาชนที่จะเข้ามามีส่วนแก้ไขปัญหาร่วมกับภาครัฐสมดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีใครรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีกว่าคนในท้องถิ่น”นั่นเอง

 

 

หมายเหตุ:  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 18 มกราคม 2560
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สัมฤทธิผลทางการศึกษาแบบไทยๆ

$
0
0


 

โครงการจัดสอบนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA (Program for International Students Assessment) ที่ดำเนินการโดย OECD (องค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล) ประกาศผล PISA 2015 อย่างเป็นทางการ โดยมีประเทศเข้าร่วมการทดสอบ 72 ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจ ทั้งหมดเป็นการทดสอบวิทยาศาสตร์ การอ่าน และคณิตศาสตร์ ในเด็กอายุ 15 ปี ปรากฏว่าไทยอยู่อันดับที่ 55 (วิทยาศาสตร์ อันดับที่ 54 การอ่าน อันดับที่ 57 และคณิตศาสตร์ อันดับที่ 54) ปรากฏว่า ผลการทดสอบลดลงจากการสอบเมื่อปี 2012 ในทุกวิชา ขณะที่เวียดนามมีผลคะแนน PISA ขยับขึ้นมาในอันดับ 8 ของโลก ซึ่งจากผลการทดสอบที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า อันดับ PISA ของไทยตกต่ำอย่างมาก

หากพิจารณาแล้วอันดับ PISA ของไทยที่ได้ในปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำทางการศึกษาของไทยเป็นประวัติการณ์อย่างถึงที่สุด กล่าวคือ ไทยไม่ผ่านมาตรฐานการศึกษาตามเกณฑ์ของโลก หรือกล่าวตามตรงก็คือ  นักเรียนไทยได้ผลการสอบ “ตก”นั่นเอง

เป็นการตกชนิดที่นักการศึกษาไทยบางท่าน (อย่างเช่น นายสมพงษ์ จิตระดับ แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) ถึงกับกล่าวว่า “ตกซ้ำซาก ไม่มีแนวโน้มดีขึ้น จัดอันดับกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตกอย่างนี้ทุกครั้ง สะท้อนว่าการปฏิรูปการเรียนรู้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ล้มเหลว ไม่เป็นท่า” (http://www.matichon.co.th/news/395185)

น่าคิดว่ากระแสทัศน์ทางการศึกษาของไทยกับกระแสทัศน์ทางการศึกษาของโลกหรือของสากลเดินกันไปคนละทางกันล่ะหรือ? การศึกษาของไทยหรือแบบไทยๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกับการศึกษาแบบสากลหรือไม่? หรือวิธีการและหลักสูตรการศึกษาของไทยไปคนละทางกับของสากล โดยเฉพาะกับวิธีการทางการศึกษาและหลักสูตรของประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างเช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น (OECD)

เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไทยเคยสนับสนุนหรือมีนโบบาย Child Centerคือเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่แล้วก็ไปได้ไม่นาน หรือว่าสภาพวัฒนธรรมแบบไทยๆ ไม่เหมาะสมกับกระแสทัศน์การศึกษาแบบสากลที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จนท้ายที่สุดนำมาซึ่ง “ครู (ผู้สอน)เป็นศูนย์กลาง”ดังเดิม

ดูเหมือนนักการศึกษาไทยและหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงผู้บริหารในระดับนโยบายการศึกษาของรัฐบาลไทย (กระทรวงศึกษาธิการ) เองเข้าใจเป็นอย่างดีว่าปัญหาใหญ่ในการจัดรกระบวนทัพทางด้านการศึกษาของไทยคืออะไร แต่แล้วกลับแก้ไขปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้เสียทีจนหลายปีดีดัก

ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาระดับต้น ระดับกลางหรือระดับปลายหรือระดับมหาวิทยาลัย ล้วนแต่มีปัญหาเดียวกัน ไม่รวมถึงการกระทำเชิงนโยบายรัฐด้านอื่นๆ ที่ย้อนแย้ง (paradox) กับกระแสทัศน์การศึกษาแบบสากล เนื่องจากการรวบรัดตัดตอนเชิงนโยบาย คือไม่เปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐอย่างเต็มที่ ขณะที่กระแสทัศน์ทางการศึกษาแบบสากลเน้นไปที่การกล้าวิพากษ์  แม้กระทั่งการวิพากษ์ตัวผู้สอน นี่เองที่วัฒนธรรมการศึกษาไทยอาจรับไม่ได้

หากดูวัฒนธรรมการเรียนการสอนในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ผู้สอนเปิดโอกาสอย่างเต็มที่จากข้อมูลที่มีอย่างล้นหลามในสื่อยุคโลกาภิวัตน์  (เช่น ข้อมูลจาก search engines ในอินเตอร์เน็ต) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่อ่านมาดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์ในห้องเรียนด้วยความเข้าใจว่า ความรู้มีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะแหล่งความรู้นอกห้องเรียน หากแต่การนำข้อมูลหรือความรู้มาวิพากษ์ดังกล่าว มิใช่สักแต่การลอกข้อมูลความรู้มาเท่านั้นผู้เรียนต้องนำข้อมูลความรู้ “มายำ”หรือวิพากษ์เพื่อแสดงความถูกความผิดของข้อมูลความรู้ที่ได้มาด้วย

นั่นหมายความว่า ผู้สอนต้องยอมรับตัวเองว่า ในแง่ของปริมาณข้อมูลความรู้นั้น ในสมัยโลกาภิวัตน์ผู้สอนอาจไม่สามารถมีมากเท่าผู้เรียนที่สามารถสืบค้นได้หลายทาง การวิพากษ์ข้อมูลความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ตะหากที่ทำให้เกิดนวัตกรรมหรือการต่อยอดข้อมูลความรู้ใหม่ๆ เรื่องนี้สถานศึกษาจำนวนมากในอเมริกาเข้าใจดีและมีนโยบายให้ผู้สอนทำเช่นนี้ เช่น มหาวิทยาลัยเนวาดา ลาสเวกัส (UNLV) จ้างผู้สอนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือประสบความสำเร็จในวิชาชีพแขนงต่างๆ ที่มีประสบการณ์จากข้างนอกสอนนักศึกษาที่นั่นมานานหลายปี เป็นต้น

เมื่อกระแสทัศน์การศึกษาในระดับล่างคือตั้งแต่ระดับประถม มัธยม มีปัญหาจากรูปแบบวัฒนธรรมการถือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ก็ย่อมส่งผลต่อมายังการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอีกด้วย ทั้งส่งผลต่อแม้กระทั่งเนื้อหางานวิจัยที่เบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง เพราะเป็นงานวิจัยที่ตั้งอยู่ในกรอบของการตอบสนองต่อวัฒนธรรมอำนาจนิยมเป็นหลักนั่นเอง

จากผลสอบ PISA ของนักเรียนไทยที่ย่ำแย่คราวนี้ หลายฝ่ายทางการศึกษาของไทย รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นสื่อมวลชน เป็นต้น ได้คำตอบที่ตรงกันอย่างหนึ่ง เท่าที่ผู้เขียนสังเกตดูก็คือ นักเรียนไทยวิเคราะห์ไม่เป็น เมื่อวิเคราะห์ไม่เป็นก็นำข้อมูลความรู้ที่ได้มาไปประยุกต์หรือไปต่อยอดเพื่อนให้เกิดนวัตกรรมไม่ได้ ขณะที่กรอบของการศึกษายังตั้งอยู่บนพื้นฐานของการท่องจำเหมือนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ซึ่งรูปแบบวัฒนธรรมทางการศึกษาดังกล่าวมิได้เป็นแค่ในระดับการศึกษาตอนต้นหรือตอนกลาง (มัธยม)เท่านั้น หากแต่เป็นไปถึงในระดับการศึกษาขั้นปริญญาโท ปริญญาเอกหรือในระดับบัณฑิตศึกษา

น่าสงสัยว่าการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาของไทยที่ตั้งอยู่บนวัฒนธรรมพินอบพิเทาหรืออำนาจนิยมที่ว่านี้ จะมีคุณภาพมากน้อยขนาดไหน ที่อนุมัติปริญญากันตูมๆ ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ จะมิต่างไปจากสำนวนคำพูดเชิงดูถูกดูแคลนที่ว่า “จ่ายครบจบแน่”อย่างไร

ไม่รวมถึงการรับจ้างเขียนวิทยานิพนธ์ที่กระทำกันอย่างเปิดเผยโล่งโจ้ง (หาดูได้ตามเว็บไซท์ต่างๆ ทั่วไป)  น่าอับอายมากตรงที่อาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับจ้างเขียนวิทยานิพนธ์เสียเอง ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลเองไม่ได้เข้าไปดูแลเต็มที่ ขณะที่เวลานี้บางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เป็นต้น หน่วยงานด้านการศึกษาถึงกับเข้ามาสอดส่องความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ผู้สอนกับลูกศิษย์ในโซเชียลมีเดียเอาด้วยซ้ำ

ประเด็นการวิเคราะห์ไม่เป็นของนักเรียนนักศึกษาไทย น่าจะเป็นประเด็นทิ่มแทงไปที่วัฒนธรรมการศึกษาแบบท่องจำแบบไทยๆที่ฝังหัวมาช้านาน รวมถึงวัฒนธรรมการเชื่อฟังผู้สอนแบบเชื่องๆ โดยปราศจากความเป็นตัวของตัวเอง (คิดเอง/คิดเป็น) ผลก็คือ สังคมการศึกษาของไทยเป็นสังคมที่ขาดการวิพากษ์ ตั้งแต่สังคมขนาดเล็กอย่างครอบครัว โรงเรียน และสังคมระดับประเทศ เมื่อวิพากษ์ไม่ได้ก็ป่วยการที่จะหวังถึงนวัตกรรม ไม่ว่าจะใช้คำพูดสวยหรูเชิงการโปรโมทประเทศ เช่น ไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น มากมายเพียงใดก็ตาม

รู้ๆ กันอยู่ครับว่าศักยภาพของบุคลากรผู้จบการศึกษา โดยเฉพาะในระดับบัณฑิตศึกษาของไทยเป็นอย่างไร มีคำนำหน้าชื่อ (ดร.) ไว้พิมพ์นามบัตรแจกเพื่อความโก้ หรือ เพื่อให้คนเห็นในใบฎีกาตอนเป็นกรรมการงานทอดกฐิน ทอดผ้าป่าฯทำนองนี้ซะก็มาก.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นพวรรณยันไม่เกี่ยวโพสต์แอนดรูว์ หลังตร.มาพบแม่ฝากเตือนหยุดโพสต์กระทบกษัตริย์

$
0
0

อดีตแม่ยาย  'แอนดรูว์ มาร์แชล' เผย ตร.มาพบที่บ้าน พร้อมฝากเตือนแอนดรูว์เลิกโพสต์กระทบสถาบันกษัตริย์ หลังโพสต์เนื้อหาในเอกสารลับของซีไอเอ ที่ถูกเปิดเผยออกมาหลังพ้นช่วงเวลาปกปิดเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ขณะที่นพวรรณโพสต์ยันไม่รู้เรื่องและไม่สามารถไปสั่งให้แอนดรูว์ทำอะไรได้

ภาพ นพวรรณ พร้อมลูกชายวัย 3 ขวบ ขณะถูกนำตัวไปที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 22 ก.ค.59 โดยคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในบ้านถูกยึดตามหมายค้น (ที่มา แฟ้มภาพประชาไท)

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา นพวรรณ บรรลือศิลป์ อดีตภรรยาแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล (อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทย) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงตำรวจไทย และต่อมา แอนดรูว์ นำมาเผยแพร่ต่อผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ 

โดย นพวรรณ ระบุว่า ขอชี้แจงให้ทุกท่านทราบว่า ตนไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว และยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของแอนดรูว์ ไม่เข้าใจว่าวันนี้เจ้าหน้าที่สันติบาลจะไปพบแม่ของตนที่บ้านที่ไทยเพื่ออะไร และบอกอีกด้วยว่าจะกลับมาอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์

นพวรรณ ระบุด้วยว่า ทางตำรวจได้สอบสวนตนเมื่อ ก.ค.ปีที่แล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าตนบริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของแอนดรูว์ แต่มาวันนี้ยังมีการเคลื่อนไหวและไปขอพบตนที่บ้าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนไม่ได้อยู่ไทย ตนขอให้พวกท่านยุติการเคลื่อนไหวที่ทำให้ครอบครัวตนกังวลและเดือดร้อน และการที่แอนดรูว์เป็นพ่อของชาลี(ลูกของนพวรรณ)มันก็ไม่ได้หมายความว่าตนต้องมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เค้าทำ หรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าทำ ซึ่งยืนยันไปแล้ว
 
"ดิฉันอยากฝากเอาไว้ว่าเราไม่รู้เรื่องและไม่สามารถไปสั่งให้แอนดรูว์ทำอะไรได้ พ่อแม่เค้ายังสั่งเค้าไม่ได้เลย เหนื่อยนะค่ะ
ถ้าคุณมีปัญหากับแอนดรูว์ กรุณาไปสถานทูตของสหราชอาณาจักร และไปทำการเรียกร้องส่งตัวแอนดรูว์ไปไทย อย่าไปทำให้ครอบครัวของดิฉันที่ไทยต้องมามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องที่เค้าไม่ได้ทำเถอะค่ะ" นพวรรณ โพสต์
 

แม่นพวรรณ เผย ตร.ฝากเตือนแอนดรูว์เลิกโพสต์กระทบสถาบันเบื้องสูง

บีบีซีไทยรายงานด้วยว่า ฤดีวรรณ ล่าทิพย์ มารดาของ นพวรรณ เปิดเผย "บีบีซีไทย" ว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 18 ม.ค. มีผู้หญิง 2 คน มายืนอยู่หน้าประตูบ้าน จะขอเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางเสียงเห่าของสุนัข โดยอ้างว่าเป็น ตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบ แล้วได้แสดงบัตรตำรวจให้ดู ทราบว่ามียศ ดาบตำรวจ โดยบอกว่า มาหา นพวรรณ แต่เธอบอกให้พูดคุยหน้าบ้าน และบอกว่าลูกสาวอยู่ต่างประเทศ หญิงสองคนจึงบอกว่า นายสั่งให้มาขอความร่วมมือให้ไป "เตือน" แอนดรูว์ มาร์แชล ให้เลิกโพสต์ข้อความที่เป็นที่ระคายเคืองต่อสถาบันเบื้องสูง พร้อมทั้งขอเบอร์โทรศัพท์มือถือไป เพื่อการติดต่อมาเป็นระยะๆในอนาคต
 
"เขามาแบบสุภาพ พูดดี เขาบอกว่า ฝากคุณแม่ไปเตือนแอนดรูด้วย ชอบไม่ชอบ ให้เก็บไว้ในใจ อย่างมาลงรูปอะไรอีก...อีกหน่อยลูกหลานจะได้กลับมาเมืองไทยได้สบายๆ ไม่ต้องเป็นห่วง" ฤดีวรรณ กล่าวทางโทรศัพท์ พร้อมกล่าวด้วยว่า "แม่ตอบเขาไปว่า แทบไม่เคยคุณกับแอนดรู ส่วนใหญ่เวลาคุยโทรศัพท์กัน ก็มักคุยกับลูกสาวหรือหลาน"
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ได้โพสต์เนื้อหาในเอกสารลับของสำนักข่าวกรองกลาง ของรัฐบาลสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ที่ถูกเปิดเผยออกมาหลังพ้นช่วงเวลาปกปิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองตั้งแต่สมัยจอมพล ป.  พิบูลย์สงคราม ถูกรัฐประหาร ฯลฯ 
 
ทั้งนี้ นพวรรณ พร้อมลูกชายวัย 3 ขวบ เคยถูกนำตัวไปที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 22 ก.ค.59 โดยคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในบ้านถูกยึดตามหมายค้น มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนั้นนพวรรณระบุว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของสามี และยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ เย็นวันเดียวกัน เธอได้รับการปล่อยตัว มีรายงานด้วยว่า ต่อมานพวรรณและลูกชายได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังสกอตแลนด์

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว 1 เดือน (22 ส.ค. 59) แอนดรูว์เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เขาและภรรยา ได้แยกกันอยู่และตัดสินใจจะหย่ากันแล้ว 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งปรับ 'หม่อมเต่านา' 500 หลัง จ้องหน้าคุกคามอัยการ คดีจำนำข้าว

$
0
0

19 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 59 ระหว่างที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หยุดพักพิจารณาไต่สวนพยาน คดีจำนำข้าว นั้น ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่านา อดีตนักเขียนบทภาพยนตร์เเละผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งเข้าสังเกตการณ์ ได้แสดงพฤติกรรม อาทิ จ้องตา เขม่น ต่อหน้าพนักงานอัยการ ต่อมาศาลได้มีคำสั่งในคำร้องที่พนักงานอัยการ โจทก์ยื่นคำร้องกรณีถูกคุกคาม โดยองค์คณะได้มีคำสั่งให้ตั้งสำนวนไต่สวนละเมิดอำนาจศาล พร้อมทั้งออกหมายเรียก ม.ล.มิ่งมงคล และผู้ถูกกล่าวหาอีกหนึ่งรายมาไต่สวน

วันนี้ (19 ม.ค.60) มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อ 09.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองศาล วิรุฬห์ เเสงเทียน รองประธานศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ 3  คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีละเมิดอำนาจศาล ที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา ม.ล.มิ่งมงคล และ ธรรศ วันพฤหัส อดีตเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา สภาผู้แทนราษฎร มีพฤติการเเสดงท่าทาง จ้องหน้า และเดินตามคณะพนักงานอัยการ ที่ว่าความคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 59 เวลา 12.00 น. ระหว่างการหยุดพักพิจารณาคดี ซึ่งอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2559

โดยเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา องค์คณะได้มีหมายเรียกบุคคลทั้งสองมาสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งสองรับว่าตามวันเวลาดังกล่าวได้หันไปมองหน้าคณะอัยการจริง ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยจริง จึงงดการไต่สวนเเละนัดฟังคำสั่งในวันนี้
 
โดยในวันนี้ ม.ล.มิ่งมงคล พร้อมด้วยทนายความ และ ธรรศ ได้เดินทางมาฟังคำสั่ง
 
องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของ มิ่งมงคล และ ธรรศ เข้าไปยืนระยะประชิด และจ้องหน้าในลักษณะคุกคามพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำในศาล จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด ไม่รักษาความสงบเรียบร้อยในศาล ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรคสอง และประมวลกฎหมายพิจารณาแพ่ง มาตรา 31 (1) และมาตรา 33
 
ส่วน ธรรศ แม้ไม่ยอมรับตามข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้เดินตามพนักงานอัยการในระยะประชิด และไม่ได้ถ่ายรูปพนักงานอัยการ แต่เห็นว่า ธรรศมาด้วยกันกับ ม.ล.มิ่งมงคล และเดินทางกลับด้วยกัน ตามหลักฐานภาพถ่ายในศาล จึงเชื่อได้ว่าหากมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นคงเข้าไปช่วยเหลือ ดังนั้น ธรรศจึงเป็นตัวการร่วมกับ ม.ล.มิ่งมงคล
 
เเต่เป็นเป็นการกระทำที่ไม่ร้ายแรงให้ ลงโทษสถานเบา สั่งปรับผู้ถูกกล่าวหาคนละ 500 บาท
 
ภายหลัง ม.ล.มิ่งมงคลกล่าวว่า ศาลมีคำสั่งเเล้วตนจะเขียนข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวให้รออ่าน ส่วนวันนัดไต่สวนคดีจำนำข้าวคงไม่ได้มาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ เเต่หากต่อไปมีเวลาว่างก็คงจะมา 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตาตุรกีแก้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นการเพิ่มอำนาจผู้นำเหนือรัฐสภาหรือไม่?

$
0
0

ธ.ค. ปีที่แล้วพรรคเอเคพีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลตุรกีภายใต้การนำของประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองตุรกี ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าจะกลายเป็นการทำลายระบบรัฐสภา เพิ่มอำนาจให้ประธานาธิบดีแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่

19 ม.ค. 2560 เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกันเป็นผู้ที่มีอำนาจในตุรกีมากว่า 13 ปี เริ่มต้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2557 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเขาถูกเรียกว่าเป็น "ระบอบประธานาธิบดีสไตล์ตุรกี" เป็นการยกเลิกระบบรัฐสภาแบบเดิม สั่งยุบสำนักนายกรัฐมนตรีไปสู่ระบบประธานาธิบดีเปิดทางให้เออร์โดกันกลายเป็นผู้มีอำนาจบริหารหนึ่งเดียวในประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังอยู่ในการถกเถียงอภิปรายกันในสภา

ร่างรัฐธรรมนูญตุรกีฉบับนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาและผ่านการทำประชามติก่อน แต่ถ้าหากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของตุรกีมีผลบังคับใช้ จะทำให้ตุรกีไม่มีคณะรัฐบาลอย่างเป็นทางการแบบเดิมที่จะตอบรับกับรัฐสภา โดยจะเป็นการให้อำนาจประธานาธิบดีในการแต่งตั้งและปลดรัฐมนตรีออก นอกจากนี้ยังให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้ 5 ปี และยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองไปในเวลาเดียวกันได้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาในตุรกีก็จะเปลี่ยนมาเลือกกันทุก 5 ปี แทน 4 ปี และต้องเลือกในวันเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ในแง่ของการจัดสรรอำนาจทางการเมือง รัฐบาลตุรกีมองว่าจะทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีรัฐบาลผสมที่อ่อนแออีกแบบในอดีต นายกรัฐมนตรี บินาลี ยิลดิริม เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในเรื่องนี้ว่ารัฐสภาเองก็จะเข้มแข็งขึ้นด้วยโดยมีอำนาจประธานาธิบดีคอยจัดการฝ่ายบริหารเพื่อระงับความขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในตุรกีกลับจะทำให้รัฐสภาอ่อนแอลง ทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล และอาจจะถึงขั้นทำให้ตุรกีกลายเป็นระบบการปกครองที่ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว จากเดิมที่ฝ่ายต่างๆ ของรัฐบาลได้แก่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการจะตรวจสอบถ่วงดุลกันเองไม่ให้ใครมีอำนาจมากเกินไป

ผู้วิจารณ์ในเรื่องนี้คือเบอร์ทิล เอ็มราห์ โอเดอร์  ศาตราจารย์ด้านกฎมายรัฐธรรมนูญจากมหาวิทยาลัยค็อกในอิสตันบูลกล่าวว่าจากข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ประธานาธิบดียังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในขณะที่มีการเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีไปพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้ลงสมัครประธานาธิบดีมีอำนาจจะเลือกบัญชีรายชื่อ ส.ส. ได้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ส่งผลให้ประธานาธิบดีมีอำนาจควบคุมรัฐสภาและวาระการประชุมของสภา นำไปสู่การทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล

เลเวนต์ คอร์คุต ศาตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเมดิโปลกล่าวในทำนองเดียวกันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ถึงขั้นทำให้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลถูกขจัดโดยสิ้นเชิงแต่จะทำให้ระบบแตกต่างออกไปจากระบบสภาแบบคลาสสิกหรือระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐฯ ที่มีผู้นำพรรคกับผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นคนละคนกัน ทำให้มีวาระของแต่ละคนต่างกันได้ ทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันได้ซึ่งระบบใหม่จะไม่มีในเรื่องนี้ คอร์คุตบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขยังขจัดสิทธิในการตั้งกระทู้ถามในสภาออกไป ทำให้ตั้งคำถามกับการกระทำของประธานาธิบดีไม่ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนรัฐธรรมนูญใหม่ตุรกีอย่าง เมห์เหม็ต อุคุม ที่ปรึกษาด้านตุลาการของเออร์โดกันกล่าวว่ารัฐธรรมนูญใหม่ของพวกเขาจะมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่ดียิ่งกว่าเดิม โดยอ้างว่าระบบปัจจุบันถ้าฝ่ายบริหารที่เป็นรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาก็จะผ่านร่างกฎหมายได้โดยไม่มีการต่อต้าน แต่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญระบุให้มีการแยกฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกันมากขึ้น อุคุมอ้างอีกว่าสิทธิในการตั้งกระทู้ถามเป็นเรื่องไม่จำเป็นในระบบที่อำนาจฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ริบอำนาจกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดยสภาถ้าหากประธานาธิบดีกระทำความผิด

อย่างไรก็ตาม ระบบใหม่ของตุรกีจะมีการกระบวนการถอดถอนที่ซับซ้อนมาก โดยเริ่มจากการต้องใช้รายชื่อของผู้แทน 301 ใน 600 ของสภา และหลังจากนั้นต้องตั้งคณะกรรมการจากการโหวตลับโดยผู้แทน 360 เสียง และถ้าหากมีการไต่สวนพิจารณาแล้วว่าต้องส่งตัวประธานาธิบดีไปดำเนินคดีในศาลสูงสุด จะมีการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีได้ก็ต่อเมื่อมีการโหวตลงคะแนนลับๆ จากผู้แทนเกิน 400 เสียงเท่านั้น ซึ่งคอร์คุต บอกว่าเป็นระบบที่ทำให้การถอดถอนประธานาธิบดีโดยสภาเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ เพราะต้องอาศัยเสียงข้างมากในสภา 2 ใน 3 ในขณะที่รัฐสภาเต็มไปด้วยคนพรรคเดียวกับของประธานาธิบดี

โอเดอร์ ยังกล่าวถึงอีกมุมหนึ่งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่นี้อาจจะทำให้สูญเสียอิสรภาพด้านตุลาการด้วย จากการที่ประธานาธิบดีมีอำนาจกว้างขวางเหนือสภาสูงแห่งผู้พิพากษาและอัยการ ขณะที่อุคุมอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ตุลาการ "เป็นอิสระมากขึ้น" จากการที่ "สภาสูงแห่งผู้พิพากษาและอัยการ"

ต้องดูกันต่อไปว่าถ้าหากร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญตุรกีจะผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ ซึ่งอัลจาซีราระบุว่ามีโอกาสที่ร่างการแก้ไขจะผ่านสูงมากเนื่องจากสองพรรคการเมืองอย่างเอเคพี กับเอ็มเอชพี ที่มีท่าทีสนับสนุนการแก้ไขมีจำนวนในสภามากพอที่จะทำให้ผ่านการลงมติได้ และหลังจากผ่านมติในสภาแล้วก็จะไปสู่ขั้นตอนการลงประชามติจากประชาชนซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย. ที่จะถึงนี้

 

เรียบเรียงจาก

Turkey's constitutional reform: All you need to know, Aljazeera, 18-01-2017
http://www.aljazeera.com/indepth/features/2017/01/turkey-constitutional-reform-170114085009105.html

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประกันสังคม' ส่ง จม.แจงปม ม. 39, 40 คนพิการและปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ

$
0
0

สนง.ประกันสังคม ส่ง จม.ถึงประชาไท แจงกรณี ม. 39 ม.40 คนพิการ และปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ โต้บทความ "ย้อนปี 59 กับ 10 แพ็กเกจ ก.แรงงาน “สร้างความทุกข์ สกัดความสุข ไม่หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ” 

19 ม.ค.2560 บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท ได้รับจดหมายชี้แจงจาก ลักขณา บุญสนอง รองเลขาธิกร รักษาการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ลงวันที่ 12 ม.ค. 60 เรื่อง ชี้แจงข่าว "ย้อนปี 59 กับ 10 แพ็กเกจ ก.แรงงาน “สร้างความทุกข์ สกัดความสุข ไม่หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ” (บทความดังกล่าวเขียนโดย บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา URL http://prachatai.org/journal/2017/01/69480)

จดหมายชี้แจงของ สนง.ประกันสังคม ระบุว่า ตามที่อ้างถึง เว็บไซต์ประชาไท เสนอข่าวที่มีผลกระทบต่อสำนักงานประกันสังคม ดังนี้ 1. ผู้ประกันตนมาตรา 39 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ไม่สามารถชำระเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ณ ที่ทำการสำนักงานประกันสังคมต่าง ๆ ได้ 2. ผู้ประกันตนที่เป็นผู้พิการต่อเนื่องจากบาดเจ็บในงานตามมาตรา 33 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผลจากคำสั่ง คสช. ที่ 58/2559

3. ประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ถูกละเลยจากกรรมการประกัยสังคมในการพิจารณาปรับสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มขึ้น และ 4. สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนแม้มีสถานะเป็น “ลูกจ้าง” ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2558

สำนักงานประกันสังคม ชี้แจ้งข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ไม่สามารถชำระเงินสมทบที่สำนักงานประกันสังคมต่าง ๆ ได้นั้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และสอดคล้องตามยุทธศาสตร์กระทรวงแรงงานในการสร้างความโปร่งใส ประกอบกับรองรับการก้าวเข้าสู่การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จึงเพิ่มช่องทางการรับจ่ายเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสำนักงานนายจ้าง ผู้ประกันตน และการดำเนินการจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตนโดยได้พัฒนาช่องทางการให้บริการของผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมิต้องเดินทางมาติดต่อ ณ สำนักงานประกันสังคม ทั้งนี้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สามารถชำระเงินสมทบผ่านธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาติ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม พร้อมรับใบเสร็จเงินทันที และช่องทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส เคาน์เตอร์ทำการไปรษณีย์ เคาน์เตอร์เซ็นแพทย์ ซึ่งมีร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จำนวน 22 สาขา โดยค่าธรรมเนียมเพียงรายการละ 10 บาท

2. กรณีผู้ประกันตนที่เป็นผู้พิการเนื่องจากบาดเจ็บในงานถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 58/2559 ลงวันที่ 14 ก.ย. 2559 เรื่องการรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนคนพิการ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา

ซึ่งที่ประชุมมีข้อสรุปดังนี้ 1) ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้พิการสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลของรัฐได้ทุกแห่งโดยสำนักงานประกันสังคมจะนำเสนอคณะกรรมการแพทย์ และคณะกรรมการประกันสังคม และที่ปรึกษาพิจารณาเพื่อให้เห็นชอบออกประกาศ ฯ มีผลใช้บังคับภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2559 2) กรณีผู้พิการที่เป็นผู้ประกันตนถูกโอนสิทธิไปใช้บัตรทองและไม่ได้รับความสะดวกต้องเขารับบริการในสถานพยาบาลเอกชนเดิมและสถานพยาบาลเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมสามารถนำใบเสร็จมายื่นเบิกกับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา โดยสำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายให้ตามเงื่อนไขของประกาศคระกรรมการการแพทย์ ฯ โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ภายใต้บทเฉพาะกาลของประกาศกระทรวงการคลังฯ และ 3) บัญชีประเภทและอัตราค่าอวัยวะและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรคกรณีสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรืออวัยวะบางส่วน สำนักงานประกันสังคมได้ปรับรายการและอัตราจาก 31 รายการ เป็น 95 รายการโดยผู้พิการไม่ต้องสำรองเงินจ่ายและให้สถานพยาบาลมายื่นเบิกกับสำนักงานประกันสังคม

สำนักงานประกันสังคม ชี้แจ้งข้อเท็จจริง เพิ่มเติมว่า 3. กรณีประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ถูกละเลยจากกรรมการประกันสังคมในการพิจารณาเพิ่มขึ้น สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการพัฒนาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมตามมาตรา 40 โดยมีการพิจารณาเพิ่มขยายสิทธิประโยชน์เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีประสบอันตราหรือเจ็บป่วยเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ เงินบำเหน็จกรณีชราภาพ อัตราเงินสมทบทางเลือกที่ 1 และอัตราเงินสมทบทางเลือกที่ 2 ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าวได้ผ่านพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559 โดยในขั้นตอนต่อไปกระทรวงแรงงานจะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามถึงคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นก่อนส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป

และ 4. กรณีสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ แม้มีสถานะเป็นลูกจ้างขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวลูกจ้างเป็นแรงงานต่างดาวสัญชาติเมียนมา ขึ้นทะเบียนตามนโยบายของรัฐบาลไทย มีหนังสือเดินทาง (Passport) และใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) โดยทำงานตำแหน่งลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานกับสถานประกอบการ ต่อมาประสบอันตรายในพื้นที่จังหวัดนครปฐมสาขาสามพราน มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกฎกระทรวงกำหนด จ่ายค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัวและจ่ายค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ และกรณีดังกล่าวลูกจ้างได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีมติว่าลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน แต่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 โดยให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 50 เมื่อมีการแจ้งการประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย หรือมีการยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทน หรือความปรากฎแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่าลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหายให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวน และออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิ

     

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.เห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดน รมว.คลัง ชี้ทำให้ทันสมัยตามมาตรฐานสากล

$
0
0

สนช. เห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดนและภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน รับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ และร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ สร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์

 

19 ม.ค. 2560 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดนและภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ด้วยคะแนนเห็นด้วย 196 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง

วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงสาระสำคัญของร่างพิธีสารดังกล่าวว่า เพื่อให้ความตกลงระหว่างประเทศมีผลผูกพันประเทศไทย ในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรผ่านแดนโดยประเทศสมาชิกอาเซียน และจะอนุญาตให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นขนส่งสินค้าผ่านแดนของตนเองได้ ยกเว้นสินค้าต้องห้าม ต้องจำกัดที่ได้กำหนดไว้ในพิธีสาร ทั้งนี้ต้องไม่มีการเก็บภาษีใดๆ สำหรับสินค้าที่ขนส่งผ่านแดน โดยศุลกากรของแต่ละประเทศสามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถควบคุมการขนส่งผ่านแดนเป็นไปอย่างเหมาะสม ให้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติพิธีศุลกากรผ่านแดนอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกำหนดให้ผู้ประกอบการผ่านแดนของประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศวางหลักประกันครั้งเดียว โดยถือว่าหลักประกันดังกล่าวมีความสมบูรณ์ในทุกประเทศและครอบคลุมถึงสินค้าตลอดเส้นทางการขนส่งผ่านแดน กำหนดให้ใช้แบบสำแดงทางศุลกากรที่เหมือนกันทั้งภูมิภาค ในการขนส่งผ่านแดน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงยกระดับการพิธีการศุลกากรให้มีความทันสมัยตามมาตรฐานสากล เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ
 
สมาชิก สนช.ได้ให้ความเห็นในหลายประเด็น อาทิ ควรคำนึงถึงการได้ประโยชน์ เสียประโยชน์หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ความเชื่อมโยงของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ความพร้อมของจุดผ่านแดนต่างๆในทางปฏิบัติ การควบคุม กำกับ ดูแลและการอำนวยความสะดวก

รับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ 

สนช. ยังมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเห็นด้วย 196 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงานของ คณะกรรมาธิการ 30 วัน     
 
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเพื่อการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนระหว่างประเทศทางอากาศ ค.ศ. 1999 (Convention for the Unification of Certain Rules for  International Carriage By Air, 1999) แต่โดยที่พระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่าง ประเทศ พ.ศ. 2558 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การรับขนทาง อากาศระหว่างประเทศยังมี่ครอบคลุมครบถ้วน จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมทบบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวเพื่อให้การเป็นไปตามอนุสัญญา

รับหลักการร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ สร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์

นอกจากนี้ สนช. ยังมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมือง สมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ไว้พิจารณาด้วยคะแนนเห็นด้วย 198 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงาน 30 วัน
 
อาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า เนื่องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจที่ ที่จะต้องเวนคืน เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ อ.บางพลี อ.เมืองสมุทรปราการ และ อ.พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2547 เสร็จแล้ว ทั้งนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ตกลงขายที่ดินและยินยอมรับราคาค่าทดแทน ตามที่คณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดให้ แต่มีเจ้าของที่ดินจำนวน 77 แปลงไม่มาตกลงทำสัญญาซื้อขายและรับเงินค่าทดแทนจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในการนี้เพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนมาเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย สมควรเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไป    
 
ขณะที่ สมาชิก สนช. ได้ให้ความเห็นและข้อสังเกตต่อร่างดังกล่าวอย่างหลากหลาย อาทิ ยังพบปัญหาในการเวนคืน ในกรณีเวนคืนที่ดินบางแปลงแต่แปลงที่เหลือไม่สามารถทำประโยชน์อื่นต่อได้ ราคาที่ให้ไม่เป็นไปตามท้องตลาดซึ่งเป็นการเอาเปรียบประชาชน จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและคำนึงถึงความเหมาะสม ความเป็นธรรมในการชดเชย การเยียวยาให้กับประชาชนที่ถูกเวนคืนที่ดิน พร้อมแนะควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์พื้นที่ว่างใต้ทางด่วน และฝากกรรมาธิการดูกรณีเจ้าของที่ดิน 77 รายข้างต้นว่า เหตุใดไม่มาทำสัญญาและรับเงินค่าทดแทน จนต้องออกกฎหมายให้เวนคืน เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมต่อประชาชน อย่างไรก็ตามเห็นว่า หากจะมีการเวนคืนที่ดินในลักษณะนี้อีกจะต้องมีแผนในการต่อเชื่อมและใช้สถานที่ให้มีประโยชน์ร่วมกัน สามารถเชื่อมต่อระบบจราจรต่างๆ เข้าด้วยกันได้ เพื่อให้ได้ประโยชน์และความคุ้มค่า
 
เรียบเรียงจากเว็บไซต์วิทยุรัฐสภา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธ.ค. 2559 ผู้ประกันตนว่างงาน 141,267 คน ถูกเลิกจ้าง 29,748 คน

$
0
0
พบเดือน ธ.ค. 2559 ผู้ประกันตน ม.33 ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน 141,267 คน ถูกเลิกจ้าง 29,748 คน

 
19 ม.ค. 2560 สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน เปิดเผยตัวเลข  เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน ธันวาคม 2559 ระบุว่าภาวะการจ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนธันวาคม 2559 การจ้างแรงงานในระบบประกันสังคม มีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จานวน 10,511,821 คน มีอัตราการขยายตัว 1.16% (YoY) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งมีผู้ประกันตน จำนวน 10,391,761 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทำงานเพิ่มขึ้นถึง 120,060 คน สำหรับการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคม มีจำนวน 141,267 คน มีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 14.35 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 0.33% (MoM) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่มีจำนวน 146,168 คน อัตราการว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 1.34 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 29,748 คน คิดเป็นร้อยละ 0.28 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ร้อยละ 0.29
 
ในด้านสถานการณ์การจ้างงานจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2559 มีลูกจ้างที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม (ม.33) จำนวน 10,511,821 คน มีอัตราการขยายตัว 1.16% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนธันวาคม 2558) ซึ่งมีจำนวน 10,391,761 คน หากพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลง (YoY) ของเดือนธันวาคม 2559 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2559 พบว่าในเดือนธันวาคม 2559 มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 1.16% ขยายตัวจากเดือนพฤศจิกายน 2559 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 1.10% สถานการณ์การจ้างงานขยายตัวมากกว่า 1% จึงถือว่าสถานการณ์การจ้างงานอยู่ในภาวะปกติ
 
 
ในด้านสถานการณ์การว่างงานจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2559 มีผู้ว่างงานจำนวน 141,267 คน มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 14.35% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือนธันวาคม 2558) มีจำนวน 123,536 คน ซึ่งตัวเลขลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 18.61 % และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน 2559) พบว่า มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 0.33% (MoM) และหากคิดเป็นอัตราการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเดือนธันวาคม 2559 อยู่ที่ 1.34% โดยอัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ที่ 0.8 (ธันวาคม 2559)
 
 
ในด้านสถานการณ์การเลิกจ้างอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สานักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33เดือนธันวาคม 2559 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 29,748 คน คิดเป็นร้อยละ 0.28 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ร้อยละ 0.29 และขยายตัวจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.26
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘คดีสุภัคสรณ์’ Hate Crime เกลียดต้องฆ่า (?) เพราะความเกลียดมีอยู่จริง

$
0
0

เสียงสะท้อน ‘คดีสุภัคสรณ์’ หรือนี่คืออาชญากรรมจากความเกลียดชังผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็นทอม? ฟ้าสีรุ้งระบุอาชญากรรมที่เกิดกับทอมมีทุกพื้นที่ พบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทำกลุ่มหญิงรักหญิงไม่กล้าออกนอกบ้านตอนกลางคืน นักวิชาการชี้ ‘แก้ทอมซ่อมดี้’ เป็นวาทกรรมที่นำสู่ความรุนแรง แนะสังคมไทยเร่งทำความเข้าใจ Hate Crime

 

เหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปีถูกเปิดเผยออกมาไม่นานก่อนหน้านี้ ผู้ตายคือสุภัคสรณ์ พลไธสง หรือหญิง ซึ่งมีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นทอม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งไปที่ประเด็นชู้สาวเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าสังคมน่าจะรับรู้ที่มาที่ไปของคดีนี้ไปบ้างแล้ว

แต่ลักษณะการสังหารที่ค่อนข้างทารุณทำให้กรณีนี้เป็นประเด็นที่สังคมชวนตั้งคำถามว่า อาชญากรรมครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นจากความเกลียดชังต่ออัตลักษณ์ทางเพศของผู้ตายหรือไม่ หรือที่เรียกว่า Hate Crime อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง

‘ทอม’ มักตกเป็นเป้าของความเกลียดชังอันเกิดจากอคติ เห็นได้จากความคิดเห็นต่างๆ ที่พรั่งพรูในโลกโซเชียล มีเดีย กรณีสุภัคสรณ์อาจต้องรอการสืบสวนให้มากกว่านี้จึงจะสามารถฟันธงได้ว่า ส่วนผสมของแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมนี้เกิดจากความเกลียดชังด้วยหรือไม่ แต่ผลจากข่าวนี้ก็ทำให้ทอมจำนวนหนึ่งรู้สึกหวาดกลัว หรืออดไม่ได้ที่คนรอบข้างทอมเองจะรู้สึกเป็นห่วง ดังที่พริษฐ์ ชมชื่น นักกิจกรรมเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศ ทอมทรานส์ กล่าวในวงเสวนาสาธารณะ ‘อุ้ม ซ้อมทรมาน ฆาตกรรม: อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง “ทอม” และความหลากหลายทางเพศ’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 ที่โรงเรียนเอเชีย ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ ทอมจำนวนหนึ่งถูกขอให้ ‘เลิก’ เป็นทอมก่อน เนื่องจากคนในครอบครัวกลัวจะไม่ปลอดภัย

อาจฟังเป็นเรื่องขำขันเมื่อได้ยินครั้งแรก แต่เมื่อปล่อยให้เนื้อสารตกตะกอนก้องในความนึกคิด มันเป็นเรื่องเศร้าที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังขาดความเข้าใจต่อความหลากหลายทางเพศในระดับฉุกเฉินเพียงใด และชักพาให้ผิดประเด็น เพราะไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดมีสิทธิมาทำร้ายได้หรือละเมิดเนื้อตัวร่างกายผู้อื่นได้

คดีสุภัคสรณ์กลายเป็นข่าวใหญ่เพราะบิดาของผู้ตายเข้าแจ้งความ แล้วตัวผู้ต้องหาก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่นี่เป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีฐานของภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำที่ไม่ถูกมองเห็น

"วาทกรรมแก้ทอมซ่อมดี้ ชายจำนวนหนึ่งเชื่อว่าสามารถซ่อมทอมดี้ได้ ที่น่ากลัวคือทำอยู่บนความเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง...ไม่ได้คิดว่าทำอาชญากรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ สำหรับดิฉันถือเป็นความรุนแรงต่อหญิงที่มีอัตลักษณ์เป็นทอม สังคมไทยเชื่อว่าจู๋สามารถแก้ได้...มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเพศในสังคมไทยนอกจากไม่คุยกันแล้ว ความรู้ความเข้าใจยังอ่อนแอมาก”

ทิพย์อัปสร ศศิตระกูล ผู้จัดการโครงการลดการตีตรา การเลือกปฏิบัติ การละเมิดสิทธิในหญิงรักหญิง กะเทย สาวประเภทสอง สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานว่า พบเจอกรณีการทำร้ายร่างกาย ข่มขืน ไปจนถึงการฆ่า ผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิงรักหญิงบ่อยครั้ง บางกรณีเกิดจากคนในครอบครัวเพราะคิดว่าจะสามารถ ‘แก้ทอม ซ่อมดี้’ ได้ด้วยความรุนแรงทางเพศ หรือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีกรณีที่ทอมถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มขืนและฆ่า เพียงแต่ไม่ถูกนำเสนอเป็นข่าว หลายกรณีผู้เสียหายเลือกที่จะเงียบเพราะความอับอายและหวาดกลัว

“จากที่ทำงานลงพื้นที่มาสองปี จะได้ยินเหตุการณ์แบบนี้ปีละครั้งต่อหนึ่งภาค ตัวอย่างที่เราไปทำงานด้วย ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มันทำให้กลุ่มหญิงรักหญิงในพื้นที่ไม่กล้าไปไหนตอนกลางคืน ต้องหลบๆ ซ่อนๆ นัดเจอกันตามบ้านเพื่อน”

นอกจากนี้ คดีสุภัคสรณ์ยังดูเหมือนซ้อนทับกับการอุ้มฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ซึ่งในความเห็นของพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า

“ในเคสนี้ ในทางสิทธิมนุษยชนเป็นการอุ้มฆ่าหรือไม่ อุ้มหายกับอุ้มฆ่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐในฐานที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วย ต้องสืบสวนด้วยว่าเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานหรือไม่ ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่สำหรับกรณีนี้ เป็นแค่อาชญากรรมปกติ เพียงแต่ผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ในเครือข่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการนำศพไปทำลายไม่ใช่เรื่องเล็ก”

ทั้งหมดนี้ กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ในกรณีของการอุ้มฆ่า-อุ้มหาย ยังถือเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นนี้และไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งจุดใหญ่ก็คือเจ้าหน้าที่รัฐอาจกำลังเชื่อว่าการอุ้มฆ่า-อุ้มหายของตนเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

“อย่างวาทกรรมแก้ทอมซ่อมดี้ ชายจำนวนหนึ่งเชื่อว่าสามารถซ่อมทอมดี้ได้ ที่น่ากลัวคือทำอยู่บนความเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับคดีอุ้มฆ่าที่เจ้าหน้าที่รัฐคิดว่าเขาทำถูก ไม่ได้คิดว่าทำอาชญากรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ สำหรับดิฉันถือเป็นความรุนแรงต่อหญิงที่มีอัตลักษณ์เป็นทอม สังคมไทยเชื่อว่าจู๋สามารถแก้ได้ ในสังคมตะวันตกก็เป็น เพราะคิดว่าถ้าเจอของจริงแล้วจะหาย ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเพศในสังคมไทยนอกจากไม่คุยกันแล้ว ความรู้ความเข้าใจยังอ่อนแอมาก”

กฤตยา เสนอว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องทำความเข้าใจอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง แสวงหาคำนิยาม และวางกฎกติกา เช่นที่ในตะวันตกมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ผู้เข้าร่วมฟังเสวนาคนหนึ่งตั้งคำถามว่า เราสามารถสรุปได้แน่ชัดแล้วหรือว่านี่คืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง เพราะแรงจูงใจในการก่อเหตุอาจเป็นได้หลายทาง แม้บางคนจะยังไม่มีการฟันธง แต่ข้อสรุปที่ดูจะได้คำตอบชัดเจนก็คือความเกลียดชังผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างนั้นดำรงอยู่จริง และผู้ที่ก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้ที่ถูกเกลียดชังนั้นน้อยกว่าตน

 

หมายเหตุเนื่องจากมีการทักท้วงว่าภาพที่นำมาประกอบข่าวมีความไม่เหมาะสมและเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง ทางประชาไทจึงขอนำรูปประกอบออกจากเนื้อหาข่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรยันที่รัฐประหารได้เพราะปชช.เอาด้วย ย้ำไม่อยากยึดอำนาจใครอยากมาแทนก็มา

$
0
0

พล.อ.ประวิตร ระบุแนวคิดสร้างปรองดอง ให้นักการเมืองร่วมพูดคุย อยู่กันอย่างสันติ ยืนยันทหารเป็นตัวกลาง ไม่อยากปฏิวัติ อภิสิทธิ์ เผย ปชป.พร้อมร่วมมือปรองดอง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ที่มาภาพ แฟ้มภาพเว็บไซต์ทำเนียบฯ)

19 ม.ค. 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการเชิญนักการเมืองมาปรึกษาหารือและมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อสร้างความปรองดองและยุติความขัดแย้ง ว่า เพราะอยากให้พรรคการเมืองอยู่กันอย่างสันติ

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า อยากให้ทหารลงนามเอ็มโอยูด้วยว่าจะไม่รัฐประหารอีก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารมีความเป็นกลาง ไม่มีความขัดแย้ง เช่นในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ทำรัฐประหาร ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง แต่อยากให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีใครอยากจะปฏิวัติ
 
“ไม่ต้องไปเซ็นหรอก นอกจากบ้านเมืองไปไม่ได้แล้วและเกิดความขัดแย้งเท่านั้น ทหารจึงจะทำ พรรคเพื่อไทยคงคิดไปเองว่าทหารจะออกมาปฏิวัติ ผมอายุ 70 กว่าแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยากปฏิวัติ คือถ้าจะปฏิวัติแล้วไม่มีประชาชนเอาด้วยก็ไม่มีทางทำได้เลย แต่ครั้งนี้ประชาชนเห็นชอบว่าเราจะเข้ามาทำให้เกิดความสงบ และเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ไม่มีใครที่อยากจะมายึดอำนาจ มามีอำนาจ ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ใครอยากมาแทนผมก็มาเลยผมไม่ว่า” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ส่วนคำถามจะให้ความั่นใจกับนักการเมืองที่จะมาคุยอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่จะทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นจากพรรคการเมือง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกัน ไม่มีระเบียบทางกฏหมายบังคับการคุย ถ้าคุยแล้วจะต้องออกมาเป็นระเบียบกฎหมายหรือพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ค่อยว่ากัน อะไรที่ต้องใช้กฎหมายต้องไปดูและต้องใช้ตามนั้น
 
“หรืออาจจะออกเป็นมาตรา 44 ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่ใช่ทหารอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีบทลงโทษใด ๆ เพราะเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บทลงโทษมีอยู่แล้วในกฎหมายทั่วไป และไม่ห่วงหากพรรคการเมืองกลับคำ เพราะทุกฝ่ายรับรู้กันอยู่แล้วในข้อตกลงที่คุยกันร่วมกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ส่วนกรณีที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูนิธิมวลมหาประชาชน ระบุว่าจะไม่ลงนามสัตยาบันร่วมด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ต้องไปคุยกันเรื่องข้อตกลงก่อน ส่วนจะลงนามหรือไม่ลงนามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เกิดความปรองดองและเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มองว่ามีความชัดเจนแล้ว
 

อภิสิทธิ์ เผย ปชป.พร้อมร่วมมือปรองดอง

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลตั้งคณะทำงานมาดูเรื่องปรองดอง ว่า การที่จะให้คณะกรรมการชุดนี้เดินสายพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยินดีที่จะให้ข้อมูลและถือว่าการใช้วิธีการแบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ความปรองดองเดินหน้าไปได้ แต่สิ่งสำคัญจะต้องพูดคุยให้ครอบคลุมทุกฝ่าย รวมทั้งภาคสังคมและประชาชน อย่ายึดติดแค่พรรคการเมือง โดยต้องสรุปบทเรียนให้ถูกว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นล่าสุดไม่ได้เกิดจากพรรคการเมือง แต่เกิดจากความพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะหากตั้งโจทย์ผิด ก็ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับการให้พรรคการเมืองมาลงนามสัตยาบัน เพราะพรรคการเมืองไม่สามารถตอบแทนประชาชนทุกคนได้ แต่อยากให้รัฐบาลและทุกฝ่ายย้อนกลับไปดูว่าที่มีปัญหาขัดแย้งกันไม่ได้เกิดจากผลการเลือกตั้ง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ที่มาภาพ เพจ Abhisit Vejjajiva)
 
“ผมไม่ทราบว่าเนื้อหาสาระที่อยากให้ตกลงทำสัตยาบันกันเป็นอย่างไร แต่อยากย้ำว่าเรื่องของการลงนามในเอกสาร ไม่ได้เป็นหลักประกัน เพราะคนที่ไปลงนามกล้ายืนยันหรือไม่ว่าประชาชนจะเห็นด้วยเหมือนกับตัวเอง เพราะแม้กระทั่งพรรคการเมืองก็พูดไม่ได้ ผมจึงอยากให้นำเรื่องความขัดแย้งมาพูดกันแบบเปิดใจ และที่เคยขอความเห็นฝ่ายต่าง ๆ มา ก็ควรนำมาสรุป ซึ่งผมก็พร้อมที่จะให้ข้อมูล และอยากให้ความขัดแย้งมันจบเร็ว ๆ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่อย่าเอามาผูกติดกับการเลือกตั้ง ถ้าหวังว่าพรรคการเมืองอยากเลือกตั้ง แล้วให้มาตกลงกัน ถ้าไม่ตกลงแล้วจะไม่มีเลือกตั้ง ผมว่ามันก็ไม่จบ ควรว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และผมว่าอย่าจับกันเป็นคู่ขัดแย้ง แต่ผมว่าทุกคนที่มีบทบาทในสังคมควรไปรับฟังความเห็นจากเขา” อภิสิทธิ์ กล่าว
 
อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้คนที่ทำงานด้านความปรองดองคำนึงถึงเนื้อหาสาระและให้นำสิ่งที่คณะทำงานชุดเก่า ๆ เคยศึกษาและสรุปออกมา นำมาประกอบการทำงานสร้างความปรองดอง และสิ่งสำคัญขอยืนยันว่าการทำผิดกฎหมายหรือการใช้ความรุนแรงจะต้องมีความรับผิดชอบ โดยควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าทำงาน หากจะยกเว้น ก็ควรนิรโทษให้เฉพาะกรณีของประชาชนที่มาชุมนุมแล้วทำผิดกฎหมายพิเศษและทำผิดเพียงเล็กน้อย ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีก็พูดมาตลอดว่าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงอยากให้ยึดหลักการในส่วนนี้ และอยากให้มองไปข้างหน้าว่าขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมการปลุกระดมและสร้างความขัดแย้ง โดยผ่านวิทยุชุมชน แต่ปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตและมีสังคมออนไลน์ที่จะต้องเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มเติม
 
ที่มา สำนักข่าวไทย 1, 2
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

$
0
0
"ถ้าจะปฏิวัติแล้วไม่มีประชาชนเอาด้วยก็ไม่มีทางทำได้เลย แต่ครั้งนี้ประชาชนเห็นชอบว่าเราจะเข้ามาทำให้เกิดความสงบ และเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่คิดแบบนี้"
 
รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, 19 ม.ค. 60

รบ.ขออังกฤษหนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย

$
0
0

เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลไทยขอให้หนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย

19 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร เป็นโอกาสอันดีที่จะเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคต และแสดงความขอบคุณที่สหราชอาณาจักรแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักร ย้ำความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร และมีความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับตั้งแต่ราชวงศ์ ไปจนถึงประชาชน การรับตำแหน่งครั้งนี้มุ่งหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์และแสวงหาโอกาสความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างกัน
 
ด้านสถานการณ์ทางเมือง นายกรัฐมนตรีทราบว่าสหราชอาณาจักรมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทย อย่างไรก็ดีไทยกำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อยากให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยด้วย ซึ่งเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร แสดงความเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทย โดยเห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการเดินหน้าตาม Roadmap เพื่อปฏิรูปด้านต่างๆ และวางรากฐานไปสู่การมีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
 
นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่านายอะล็อก ชาร์มา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ สหราชอาณาจักร จะเดินทางเยือนไทยสัปดาห์หน้า (26-28 มกราคม 2560) และหวังจะได้ต้อนรับนายชาร์มาอีกครั้งในการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักรครั้งที่ 3 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปีนี้ เพื่อหารือถึงประเด็นความร่วมมือที่หลากหลายทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ความมั่นคง เป็นต้น
 
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความสำเร็จในการจัดการประชุมสภาผู้นำธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (TUBLC) ครั้งแรก กลไกดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนที่มีมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่างๆ ร่วมกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะเห็นการขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม จึงขอฝากออท. สหราชอาณาจักรในการร่วมมือกันเพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว
 
ในด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีย้ำความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านหลัง Brexit ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักร ยินดีสนับสนุนให้นักธุรกิจสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นตามนโยบาย New S-curve และ Thailand 4.0 ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารทางการเงิน พลังงานแบบยั่งยืนและสาธารณสุข
 
ในด้านการศึกษานายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษากับไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยไทยประสงค์จะเห็นโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรเข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งออท.สหราชอาณาจักรเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ และยินดีที่สหราชอาณาจักรจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมด้านภาษาอังกฤษ รวมถึงการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี การสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งจะช่วยสนับสนุนโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของไทยด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความยุติธรรมไร้ความหมาย บทกวีจากกรงขังโดย ไผ่ ดาวดิน

$
0
0



เมื่อความยุติธรรม ไร้ความหมาย 

นี่คือความท้าทาย ของสังคม 

ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น 

ใช่จะข่มจะเหง กันอยู่ได้

เป็นแบบนี้ไม่มีหรอก ประชาธิปไตย

เอาแต่ใจ คืนความสุขแต่ปาก อ้างทำดี

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ ชี้ 75.2% หนุนพรรคการเมือง-คู่ขัดแย้งให้สัจจะวาจาสร้างความปรองดอง

$
0
0

กลุ่มประชากรตัวอย่าง 47.2 % เชื่อมั่นค่อนข้างมาก หากลงนามข้อตกลง แล้วจะสร้างความปรองดอง 72.1% มอง ม.44 ยังจำเป็นอยู่ในการสร้างความสามัคคีปรองดอง 57.9% อยากให้ปฏิรูปให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง 

20 ม.ค. 2560 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ทางออกของความปรองดองในสังคมไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,216 คน พบว่า  ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.2 เห็นด้วยว่าควรให้พรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือทางออกโดยทำสัจจะวาจาร่วมกัน และให้ลงนามข้อตกลง (MOU) เป็นลายลักษณ์อักษรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความปรองดองให้แก่สังคม โดยในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า  ประเทศจะเดินหน้าพัฒนาได้เร็วขึ้น (ร้อยละ 59.1) รองลงมาคือ จะได้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้เร็วยิ่งขึ้น (ร้อยละ 47.1) และจะได้มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีใครกล้าละเมิดข้อตกลง (ร้อยละ 43.0) ขณะที่ร้อยละ 20.5 เห็นว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงก็กลับมาขัดแย้งอยู่ดี และร้อยละ 4.3 ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามต่อว่าเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดว่าการสร้างความปรองดองโดยการทำ MOU ในข้างต้นจะช่วยทำให้สังคมเลิกขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่ายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนใหญ่ร้อยละ 47.2 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 43.8 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ที่เหลือร้อยละ 9.0 ไม่แน่ใจ
 
ส่วนข้อคำถามที่ว่า ม.44 ยังจำเป็นหรือไม่กับสังคมไทย หากรัฐบาลต้องการสร้างความสามัคคีปรองดอง ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.1 เห็นว่าจำเป็นอยู่ ขณะที่ร้อยละ 19.8 เห็นว่าไม่จำเป็นแล้ว ที่เหลือร้อยละ 8.1 ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการรีเซ็ตนักการเมืองในปัจจุบัน ให้เว้นวรรคการเมือง 1 สมัย เพื่อให้ผ่านข้อครหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง และให้นักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.2 ระบุว่า “เห็นด้วย” ขณะที่ร้อยละ 21.9 ระบุว่า “ไม่เห็นด้วย” และร้อยละ 10.9 ยังไม่แน่ใจ
 
สุดท้ายเมื่อถามว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.9 อยากให้ปฏิรูปให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง ส่วนร้อยละ 35.9 อยากให้มีการเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ และเดินหน้าปฏิรูปต่อไปพร้อมๆ กัน ที่เหลือร้อยละ 6.2 ยังไม่แน่ใจ
 
รายละเอียดการสำรวจ : 
 
วัตถุประสงค์การสำรวจ
1)เพื่อสะท้อนความเห็นถึงแนวทางการปฏิรูปสร้างความปรองดอง ในสังคมไทย
2)เพื่อสะท้อนความเห็นว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้
 
ประชากรที่สนใจศึกษา  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
      
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error) การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีการรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล  :  17 – 18 มกราคม 2560
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หลายบริษัทในญี่ปุ่นเริ่มให้คนทำงาน 4 วัน หยุดงาน 3 วันต่อสัปดาห์

$
0
0

กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นเผยว่าบริษัทร้อยละ 8 เริ่มให้มีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน หลายบริษัทใช้วิธีโปะชั่วโมงทำงาน บางแห่งก็ลดชั่วโมงทำงาน นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ส่วนหลายบริษัทเล็งให้แรงงานฝึกฝนทักษะ หรือมีเวลากลับไปดูแลเด็กและผู้สูงอายุ

ย่านชิบูยาในกรุงโตเกียว ภาพถ่ายปี 2015 (ที่มา: แฟ้มภาพ/IQRemix/Wikipedia)

20 ม.ค. 2560 นิเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่าสถานที่ทำงานของญี่ปุ่นโดยทั่วไปเริ่มมีการให้หยุดงานสัปดาห์ละ 3 วันกันมากขึ้น หลังจากที่กลุ่มคนทำงานเรียกร้องให้มีความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการปฏิรูปแรงงาน

กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นสำรวจในปี 2558 พบว่ามีบริษัทร้อยละ 8 ของทั้งหมดที่อนุญาตให้มีวันหยุด 3 วันหรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า 10 ปีที่แล้ว นิคเคอิระบุว่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ให้หยุด 2 วันเป็นต้นไปเพื่อให้คนมีเวลาเลี้ยงดูลูกหรือคนชราในบ้านมากขึ้นซึ่งจะเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในด้านนี้

หนึ่งในบริษัทใหญ่ที่เริ่มให้มีการหยุดงานเพิ่มขึ้นคือ เคเอฟซี โฮลด์ดิง เจแปน โดยในปีงบประมาณที่ 2559 เคเอฟซีญี่ปุ่นปรับลดเวลางานของลูกจ้างลงเหลือ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และให้พนักงานเลือกได้ว่าจะหยุดงานวันใดบ้างเป็นเวลา 3 วันในแต่ละสัปดาห์ โดยที่ทางบริษัทหวังว่าจะทำให้พนักงานยังคงอยู่ทำงานให้บริษัทต่อไป

อีกบริษัทหนึ่งคือฟาสต์ รีเทลลิง ซึ่งรู้จักกันดีในฐานะเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Uniqlo ก็มีโครงการให้หยุดสัปดาห์ละ 3 วันเช่นกัน ในขณะที่บริษัทยะฮู เจแปน ก็วางเป้าหมายจะให้พนักงานสามารถหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ได้ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่เพียงแค่ในใจกลางเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ธุรกิจบางส่วนที่อยู่นอกเมืองใหญ่อย่างเช่น สถานปฏิบัติการพยาบาลของอุจิยามะโฮลด์ดิงในจังหวัดฟุกุโอกะก็ขยายโครงการหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ตามสถานพยาบาลต่างๆ ของพวกเขารวม 81 แห่ง ให้กับคนงานมากกว่า 2,000 คนในช่วงปลายปีงบประมาณ 2559 แต่ของอุจิยามะจะยังคงนโยบายชั่วโมงทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่าเดิม นั้นหมายความว่าจะมีการทำงาน 10 ชั่วโมง ใน 4 วัน แทนแบบเดิมคือ 8 ชั่วโมง ใน 5 วัน

นิเคอิระบุว่าญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนการดูแลผู้สูงอายุ จึงมีการพยายามปรับสภาพการทำงานโดยหวังว่าการวางกะทำงานแบบใหม่จะดึงดูดคนสมัครงานมากขึ้นและทำให้คนทำงานเดิมยังคงทำงานกับพวกเขาต่อไป

อีกภาคส่วนหนึ่งคือผู้ผลิตเครื่องมือชื่อบริษัทซาตาเคะ ที่เป็นบริษัทจากฮิโรชิมา จะเริ่มให้พนักงาน 1,200 คนมีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เริ่มจากตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีแผนการระยะยาวจะลดชั่วโมงทำงานลงเหลือร้อยละ 20 เหลือแค่ทำงาน 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ภายในปี 2561 ด้วยวิธีการตัดการประชุมและงานเอกสารที่ไม่จำเป็นซึ่งถือเป็นความไร้ประสิทธิภาพออกไป ซึ่งการลดชั่วโมงทำงานนี้บริษัทซาตาเคะหวังว่าจะส่งเสริมให้คนมีเวลาฝึกทักษะเพิ่มเติมเช่นการไปเรียนภาษาเพิ่มได้ด้วย

เท็ตสุ วาชิทานิ ศาตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชูโอกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีแต่บริษัทใหญ่ๆ เท่านั้นที่ให้มีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีบริษัทที่อยู่นอกเมืองใหม่ใช้ระบบหยุด 3 วันต่อสัปดาห์เพิ่มมากขึ้น โดยถ้าหากทำควบคู่ไปกับการจำกัดให้การไปเพิ่มเวลาทำงานต่อวันน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็จะอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้นด้วย

เรียบเรียงจาก

Japan Inc. moving toward 4-day work week, Nikkei Asian Review, 19-01-2017  http://asia.nikkei.com/Business/Trends/Japan-Inc.-moving-toward-4-day-work-week

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 51020 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>