Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 51078 articles
Browse latest View live

โควิดมาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลยิ่งผุด ส่องปัญหาใหญ่ที่โลกและไทยต้องชนะ

$
0
0

“หมอชนะ” สะท้อนประเด็นความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลไทย พร้อมส่องปัญหานี้ในอังกฤษและสหรัฐฯ รวมทั้งข้อเสนอและมาตรการแก้ปัญหาของไทยที่ต้องเผชิญหนักขึ้นในช่วงโรคระบาดโควิด-19

แถลงการณ์ของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ว่าใครไม่โหลดจะมีโทษฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา เรียกเสียงฮือจากคนในสังคมจำนวนมาก จนเกิดคำถามตามมาหลายข้อ หนึ่งในคำถามที่คนทั่วไปทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์พูดถึงกันมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “แล้วถ้าไม่มีสมาร์ตโฟน จะทำอย่างไร”

แม้ว่าผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึง อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะออกมาชี้แจงในภายหลังเกี่ยวกับประเด็นการติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ว่าหากไม่สะดวกติดตั้ง ก็สามารถใช้บันทึกเอกสารแสดงต่อเจ้าหน้าที่แทนได้ แต่ประเด็นอื่น ๆ ที่สืบเนื่องจากเรื่องนี้ยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง โดยเฉพาะประเด็นความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) หรือโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและข้อมูลสารสนเทศที่ไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม

ตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานเข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น ที่ชัดเจนสุด คือ ภาคการศึกษา เพราะโรงเรียนในหลายพื้นที่ถูกสั่งปิด จึงต้องเปลี่ยนมาทำการเรียนการสอนผ่านช่องทางออนไลน์แทน การเรียนออนไลน์เป็นตัวอย่างสำคัญที่เน้นย้ำประเด็นปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในกลุ่ม OECD ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่

อังกฤษ

วันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน รายงานว่า ส.ส. พรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ เรียกร้องให้บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เร่งแก้ไขปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ ด้วยการจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และขยายโครงข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซีโอเบน แมคโดนา ส.ส. พรรคแรงงาน เผยข้อมูลจากสำนักการสื่อสารแห่งชาติ ระบุว่า เด็กนักเรียนในสหราชอาณาจักรประมาณ 1,100,000-1,800,000 คนหรือประมาณ 9% ไม่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ต และเด็กอีกกว่า 880,000 คนไม่มีอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ใช้ที่บ้าน ต้องเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้เรียนออนไลน์ อีกทั้งยังเกิดปัญหาการส่งมอบคอมพิวเตอร์แล็บท็อปล่าช้ากว่า ทำให้เด็กนักเรียนจำนวนมากขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาในช่วงโรคระบาด แม้ว่าเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลอังกฤษประกาศจะดำเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายใน พ.ศ.2568 แต่เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนทำให้รัฐบาลอังกฤษออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการอนุญาตให้นักเรียนที่ไม่มีคอมพิวเตอร์กลับไปเรียนที่โรงเรียนตามปกติได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างอย่างเคร่งครัด ทั้งยังสั่งผู้ให้บริการเครือข่ายเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ปัญหาเรื่องการเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ยังคงเป็นปัญหาหลัก รวมถึงปัญหาการขาดทักษะความรู้ด้านไอทีของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ของเด็กประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่ม OECD ที่ประสบปัญหาเดียวกัน เช่น ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ มีคนอีกกว่า 1,500,000 คน หรือคิดเป็น 18% ที่ไม่มีทั้งอินเตอร์เน็ตบ้านและอินเตอร์เน็ตมือถือใช้ เป็นเหตุให้วันที่ 7 ม.ค. 2564 บิลล์ ดี บลาซีโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก อนุมัติงบ 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการขยายโครงข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ทั่วนครนิวยอร์ก ซึ่ง 55.4% ของงบประมาณนี้โยกมาจากเงินของสำนักงานตำรวจแห่งรัฐนิวยอร์ก (NYPD) โดยเบื้องต้นจะแบ่งจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือฉุกเฉินเดือนละ 15 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ผู้อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในนครนิวยอร์กกว่า 600,000 คน

แม้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจะอัดฉีดงบช่วยเหลือค่าอินเตอร์เน็ต รวมถึงพยายามจัดหาอุปกรณ์สำหรับเรียนออนไลน์ให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการเรียนออนไลน์ในสหรัฐอเมริกายังมีปัญหาหลายอย่าง สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในแต่ละรัฐจึงช่วยผลักดันให้เด็กทุกคนสามารถเรียนทางไกลจากที่บ้านได้ด้วยการผลิตรายการส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น ช่อง Fox ในเมืองฮูสตัน ชิคาโก ซานฟรานซิสโก และวอชิงตันดีซี ที่ผลิตรายการการศึกษาด้วยการเชิญครูหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาให้ความรู้ โดยมียอดคนดูเฉลี่ยเกิน 20,000 คนทุกครั้งที่ออกอากาศ เมลินดา สปาวล์ดิง เชวาลิเยร์ อดีตผู้ประกาศข่าวช่องฟอกช์ผู้ริเริ่มโครงการนี้บอกว่า “การศึกษาผ่านโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล แต่จากประสบการณ์ [การทำงานเป็นผู้ประกาศข่าว] ทำให้ฉันรู้ดีว่าฉันและผู้ชมเชื่อมต่อกันได้ในห้องครัวหรือห้องนั่งเล่น ฉันจึงรู้สึกว่านี่อาจช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำได้บ้าง” นอกจากนี้ ยังมีช่องพีบีเอส ซึ่งเป็นเครือข่ายออกอากาศสาธารณะที่ร่วมมือกับเขตการศึกษาของทุกรัฐผลิตรายการการศึกษา ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ด้วยเช่นกัน

ไทย

ไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่ชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 เพราะสถานศึกษาในไทยต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนมาสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เรื่องการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครัวเรือนไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2561 ระบุว่าครัวเรือนไทยที่มีเด็กวัยเรียน มีทั้งหมด 8,280,000 ครัวเรือน แต่กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน จำนวน 5,000,000 ครัวเรือน สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ได้ไม่ถึง 20% ในขณะที่กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงเกิน 50,000 บาท/เดือน มีสัดส่วนการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์มากกว่า 50 % อีกทั้งการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ผ่านคอมพิวเตอร์ แล็บท็อป หรือแท็บเล็ต ในจังหวัดอื่น ยกเว้นกรุงเทพมหานครและนนทบุรี มีสัดส่วนต่ำกว่า 40 % แสดงให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทย และยิ่งเห็นชัดขึ้นในช่วงโรคระบาดโควิด-19

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 นักเรียนและนักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตใช้ที่บ้าน ยังสามารถเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ได้จากมหาวิทยาลัย อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือสถานที่ให้บริการอื่น ๆ แต่เมื่อสถานที่ดังกล่าวจำเป็นต้องปิดให้บริการตามคำสั่งของภาครัฐ ทำให้นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตซึ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนการสอนออนไลน์ นักเรียนนักศึกษาบางส่วนจึงต้องรวมตัวกันที่หอพักหรือบ้านเพื่อน เพื่อเรียนออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงติดโรค หากเกิดการระบาดซ้ำ

นอกจากไทยแล้ว ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตถือเป็นปัญหาสำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียน ข้อมูลจากเว็บไซต์ Business Today ระบุว่า สิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย เป็นเพียง 3 ประเทศในอาเซียนที่มีอินเตอร์เน็ตครอบคลุม 80% ของพื้นที่ของประเทศ ส่วนประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้มีอินเตอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า 60% โดยพื้นที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตของไทยครอบคลุมเพียง 57% เท่านั้น

เว็บไซต์ Business Today เสนอแนวทางการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลว่าจำเป็นต้องอาศัยนโยบายและการลงทุนภาครัฐในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยและครอบคลุม เช่น ระบบไฟฟ้าและการสื่อสาร เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในอนาคต รวมถึงกำหนดมาตรฐานค่าบริการอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมีสิ่งเหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้ส่วนใหญ่ของประชากรในภูมิภาค นอกจากนี้ ภาครัฐต้องวางแผนการดำเนินงานต่าง ๆ รวมถึงแผนการศึกษาออนไลน์ในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งการกำหนดมาตรฐานความเป็นส่วนตัวของผู้เรียน ผู้สอน และข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงจัดทำระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เพื่อป้องกันการจารกรรมข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินในระดับบุคคลและองค์กร

แม้ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายภาครัฐมีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบโครงข่ายอินเตอร์เน็ต แต่ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในภาคการศึกษายังมีปัจจัยด้านทรัพยากรบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง รายงานการวิจัยหัวข้อ “การสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ดิจิทัล (Digital Divide) ด้านการเมืองในชุมชนภาคตะวันออก” โดย กุสลวัฒน์ คงปรดิษฐ์ จากมหาวิทยาลัยบูรพา ระบุว่า ประชาชนแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในการเรียนออนไลน์ของเด็กเล็กหรือเด็กชั้นประถมวัย ที่ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยสอนและให้ความรู้แก่บุตรหลาน หากผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้บุตรหลานได้ ดังนั้น จึงควรมีองค์กรหรือหน่วยงานที่สนับสนุนด้านความรู้ออนไลน์ จัดอบรมหลักสูตรการใช้งานอินเตอร์เน็ตในมิติต่าง ๆ ทั้งระดับโรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่น เพื่อกระจายองค์ความรู้แก่ประชาชนทุกระดับให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ไทยแก้ปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง

วันที่ 23 มี.ค. 2563 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผ่านมติช่วยเหลือเยียวยาประชาชนด้วยการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม โดยเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 10 กิกะไบต์/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 และให้เพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์อีก 100 Mbps ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องไม่คิดค่าบริการเพิ่มกับผู้ใช้บริการ แต่ กสทช. จะค่าใช้จ่ายจากเงินที่ต้องนำส่งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ยังผุดแพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” หรือบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ราคาพิเศษ ความเร็ว 100/50 Mbps ราคา 390 บาท/เดือน แก่ประชาชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยยกเว้นค่าติดตั้งและค่าแรกเข้า รวมถึงให้ใช้บริการฟรีเป็นระยะเวลา 3 เดือนจากระยะเวลาสัญญาติดตั้ง 12 เดือน

ไม่เพียงแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมเท่านั้นที่ออกมาตรการช่วยเหลือ แต่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ออกประกาศขอความร่วมมือจากหน่วยงานและสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งหลายสถาบันก็ตอบรับและมีมาตรการช่วยเหลือออกมาทันที อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่แจกซิมอินเทอร์เน็ตให้นิสิตนักศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังที่มีนโยบายคืนค่าหอพักให้นักศึกษา  หรือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ให้นักศึกษาผ่อนชำระค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าหอพัก เป็นต้น ส่วนนักเรียนในระดับประถมศึกษาและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดให้เรียนทางไกลผ่านช่องรายการโทรทัศน์จากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ซึ่งรับชมได้จากโทรทัศน์ดิจิทัล ดาวเทียม เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน DLTV

‘เน็ตประชารัฐ’ โครงการเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้วเรือเมื่อ 7 ธ.ค. 2559 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้น มีมติมอบหมายให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งโครงข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล โดยเริ่มจากหมู่บ้านนำร่องจำนวน 24,700 หมู่บ้าน ภายใต้วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2559 จำนวน 13,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนประเทศตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ภายหลังพบว่าโครงการเน็ตประชารัฐใช้งานได้จริงเพียงบางจุด จึงมีการร้องเรียนให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบผลการดำเนินงานดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 2 ก.ค. 2563 สตง. มีมติว่าการใช้งบประมาณลงทุนในโครงการเน็ตประชารัฐยังไม่รัดกุมเพียงพอ และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงกำหนด ส่งผลให้รัฐไม่ได้รับสิทธิหรือผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับ สตง. จึงเสนอแนะให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงานโครงการนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งให้กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง หรือคู่มือสำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ ติดตามการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามแผนบริหารจัดการให้เป็นปัจจุบันอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้

แม้รัฐบาลจะเริ่มนโยบายอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชนมาแล้ว 5 ปี แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในสังคมไทยกลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลง อีกทั้งยังถูกสังคมตั้งคำถามมากขึ้นเพราะไม่มีมาตรการรองรับที่แน่ชัดจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลุกลามตั้งแต่ต้นปี

เรียบเรียงจาก : 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'Land Watch' ชี้หนี้ครัวเรือนที่สูง 40% เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งที่เป็นปัจจัยสี่ จี้รัฐเยียวยา

$
0
0

กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน ชี้หนี้ครัวเรือนที่สูงทุบสถิติขณะนี้ 40% เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งที่เป็นปัจจัยสี่ สะท้อนการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน ยิ่งสถานการณ์โควิดอาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัย หากไม่มีการเยียวยา

11 ม.ค.2564 จากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่ผลการ ประเมินว่า จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือ “หนี้ครัวเรือน” ล่าสุดในไตรมาส 3/2563 จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนว่า หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง และมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางสัญญาณอ่อนแอของภาวะเศรษฐกิจ โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3/2563 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปีครั้งใหม่ ที่ 86.6% ต่อจีดีพีนั้น

ล่าสุดวันนี้ (11 ม.ค.64) กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน (Land Watch Thai) โพสต์ข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อ 'ประชาชนแพ้ หนี้บ้านชนะ' โดยระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยแพร่รายงาน หนี้สินครัวเรือน ปรากฏถึงข้อมูลของหนี้สินครัวเรือน ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เก็บข้อมูลมา ปัจจุบันอัตรา หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 86.6% จากจีดีพีหรือ 13.76 ล้านล้านบาท ด้วยสาเหตุจากปัญหาที่สะสมมาหลายอย่าง แต่ปะทุรุนแรงขึ้นจากเศรษฐกิจตกต่ำ สถานการณ์โควิด และการล็อคดาวน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบาย “หนี้ครัวเรือน” ไว้ว่า คือเงินที่สถาบันการเงินต่างๆ ให้คนทั่วไปอย่างเราๆ กู้ยืมมา แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ในประเทศเท่านั้น ซึ่งเราจะเอาเงินไปใช้ซื้อของ หรือเพื่อไปทำธุรกิจก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน ระบุต่อว่า สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ในส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยที่มีอยู่ราว 13 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนหนี้แตกต่างจากประเทศอื่นๆ เมื่อดูข้อมูลจาก TMB Analytics ระบุว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทย ส่วนใหญ่ 40% เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่อาจจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนอย่างตรงจุดและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ให้กับประชาชนได้

ที่อยู่อาศัยหรือบ้านเป็นสิ่งพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือเป็นปัจจัยสี่ แน่นอนทุกคนมีความต้องการเข้าถึงที่อยู่อาศัยในสังคมไทยเป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้นสะสมตลอดมา 40% คือสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนเกิดขึ้นจากความต้องการเข้าถึงที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นจากการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นผลักให้ราคาที่อยู่อาศัยสิ่งปลูกสร้างสูงขึ้นตาม และการที่ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นทำให้หนี้สินของครัวเรือนที่ต้องการเข้าถึงที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ต้องมีรายได้มากขึ้น แต่สถานการณ์โควิดในปัจจุบัน อาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัย หากไม่มีการเยียวยาแล้ว อาจจะทำให้ครอบครัวหลายครอบครัว ไม่มีเงินมากพอสำหรับชำระหนี้ค่าบ้าน และต้องสูญเสียที่อยู่อาศัย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ประเมินเรื่องบุกรัฐสภาไว้ แต่ขาดมาตรการรับมือเพียงพอ

$
0
0

กรณีจลาจลที่ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ "นิวส์วีค" รายงานว่ามีบางหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินความเป็นไปได้ในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่ก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ในสหรัฐฯ ทำให้ไม่มีการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อีกทั้งฝ่ายความมั่นคงบางส่วนยังเอื้อให้เกิดการจลาจลของกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ด้วย

ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามบุกเข้าไปที่ทำการสภาคองเกรส ที่วอชิงตัน ดีซี 
ขัดขวางการลงมติสนับสนุนโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดี เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021
ที่มา:
Wikipedia/Tyler Merbler

8 ม.ค. 2564 สื่อนิวส์วีครายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์เอ่ยนามจากหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยงานของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ, หน่วยสืบราชการลับ, กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ, กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ, รัฐบาลประจำกรุงวอชิงตัน โดยส่วนหนึ่งของแหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงแหล่านี้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์กลุ่มฝูงชนพยายามยึดรัฐสภาและทำให้ระบบล่ม

เรื่องดังกล่าวนี้มาจากการประเมินของคนของหน่วยงานความมั่นคงหลายสิบคนที่มองว่าเหตุจลาจลในครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรมของโดนัลด์ ทรัมป์, การขาดความเป็นผู้นำของรัฐบาลกลางและสภาคองเกรสปัจจุบัน, การแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างหนัก และเพราะทุกคนกำลังมองไปในทางที่ผิด

มีการโทษกันไปมาระหว่างหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เอฟบีไอไม่เชื่อถือกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิโดยกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นพวก "มือสมัครเล่นและอันธพาล" ขณะที่องค์กรสายทหารและความมั่นคงเองก็ดูถูกฝ่ายบริหารวอชิงตันดีซี, อัยการ และตำรวจ ปัดความรับผิดชอบว่าความเป็นไปได้นี้ดูเหมืนเป็นปัญหาของคนอื่น ทำให้นิวส์วีตระบุว่าเห็นได้ชัดเจนว่าหน่วยงานบังคับกฎหมายและความมั่นคงเหล่านี้ไม่เตรียมพร้อมดีพอและ "มีความลำเอียง" ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นหน่วยงานที่รักษาความสงบในสังคม

นิวส์วีควิเคราะห์ว่าโครงสร้างบทบาทของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ เหล่านี้ที่ตั้งขึ้นมาหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 ทำให้สหรัฐฯ อ่อนแรงลงเพราะปล่อยให้ทรัมป์ปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล มีแหล่งข่าวจากเอฟบีไอเปิดเผยว่าทำเนียบขาวไม่ได้วางมาตรการความปลอดภัยหรือใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมใดๆ เลยในช่วงที่ใกล้จะมีการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ (ช่วงระหว่างวันที่ 15-21 ม.ค. 2564)

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวส่วนหนึ่งบอกว่าสาเหตุที่หน่วยงานความมั่นคงไม่ค่อยขยับอะไรมากในเรื่องการรักษาความปลอดภัยเพราะเหล่าผู้ช่วยของทรัมป์กลัวว่าถ้าหากมีการขยับจะกระตุ้นให้โดนัลด์ ทรัมป์ ทำอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าที่เขาวางแผนไว้

ขณะเดียวกันแหล่งข่าวอีกหลายคนก็เปิดเผยว่ากองกำลังตำรวจประจำอาคารรัฐสภาที่มีอยู่มากกว่า 2,000 นาย อาจจะปล่อยให้มีการประท้วงต่อไปเพราะผู้นำรัฐสภาคือพรรครีพับลิกันต้องการให้ม็อบเป็นตัวช่วยขยายเสียงความชอบธรรมในข้ออ้างที่ว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ผิดกฎหมายซึ่งเป็นข้ออ้างที่มีความชอบธรรมน้อยลงเรื่อยๆ

ถึงแม้จะไม่มีอะไรยืนยันคำกล่าวอ้างนี้แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มม็อบใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 15 นาทีเท่านั้นในการเข้าไปในตัวอาคารรัฐสภาได้ราวกับไม่มีอะไรคอยขัดขวาง

มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่ากองกำลังความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่เคยใช้กำลังปราบปรามการประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมในพอร์ตแลนด์และเมืองอื่นๆ ไม่ได้วางกำลังเพื่อคุ้มกันอาคารรัฐสภาในเมืองหลวงด้วยซ้ำ ขณะที่เอฟบีไอคอยจับตามองการเคลื่อนขบวนเข้าเมืองหลวงของผู้ชุมนุมและเป็นหน่วยงานที่มักจะประเมินขนาดผู้ชุมนุม แกนนำ และระดับความอันตรายได้ถูกแต่พวกเขากลับไม่ได้เอาข้อมูลข่าววิเคราะห์เกี่ยวกับทรัมป์และผู้สนับสนุนโพสต์ตามโซเชียลมีเดียมาเป็นข้อมูลประกอบการประเมินสิ่งเหล่านี้ด้วย

ในส่วนของกองกำลังรัฐบาลประจำกรุงวอชิงตันนั้นก็ไม่ได้มีการติดอาวุธและเน้นมาคอยดูแลจัดการเรื่องการควบคุมการจราจรเพื่อช่วยเสริมหน้าที่ของตำรวจมากกว่า

อีกหน่วยงานหนึ่งคือเพนทากอน หรือกระทรวงกลาโหมก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นหน่วยงานเดียวที่เหลืออยู่ในสหรัฐฯ ที่มีความเป็นกลาง ถึงแม้ว่าก่อนห้นานี้ มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ เคยถูกนำเสนอผ่านสื่อในเรื่องที่เดินร่วมกับโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้สื่อมองว่าทรัมป์กับผู้นำระดับสูงของกองทัพรัฐมีความใกล้ชิดกับทรัมป์ แต่ต่อมามิลลีย์ก็แถลงขอโทษที่ตัวเอง "ขาดความตระหนักถึงสถานการณ์" และหลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเพนทากอนให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองใดๆ ทำตัวเองให้กลายเป็นสถาบันที่มีเกียรติและปฏิบัติตามหน้าที่

แต่สุดท้ายแล้วนิวส์วีคก็ระบุว่าการที่รัฐบาลฝากความหวัง ความเชื่อใจ ไว้กับกองทัพตัวเองได้อย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงสร้างทางการเมือง จึงเสนอว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนให้หลักนิติธรรมกลับมาและทำให้เกิดความรับผิดชอบในการปกป้องประชาธิปไตยของประเทศ อย่าทำให้กลายเป็นว่า "คำตอบเดียวอยู่ที่กองทัพ" เพราะนั่นจะทำให้สถาบันพลเรือนอ่อนแอลง และสถาบันของพลเรือนเป็นสิ่งสำคัญที่ชาติต้องพึ่งพา

เรียบเรียงจาก

FBI, Homeland Security, White House Advisers Foresaw Possible Riots, Looked the Other Way, News Week, 06-01-2021

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

โปรดเกล้าฯ ตั้ง 'เจ้าคุณพระสินีนาฏ' เป็นรองประธานที่ปรึกษา 'โครงการราชทัณฑ์ ปันสุขฯ'

$
0
0

11 ม.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชหัตถเลขา เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ต้องให้บริการแก่ผู้ต้องขัง ในกรณีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นจำนวนมาก ยังขาดแคลนบุคลากร เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ การดูแลสุขภาพของผู้ต้องขัง ถือเป็นหน้าที่สำคัญของกรมราชทัณฑ์ ในการที่จะให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมตามหลักมนุษยธรรม ทั้งนี้ เมื่อพ้นโทษจะได้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ออกมาสู่สังคมภายนอกและประกอบอาชีพสุจริตได้อย่างมีคุณภาพ โดยจะพระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนการให้จิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ได้เข้าไปมีบทบาทในการช่วยเหลือทั้งทางด้านการแพทย์ การพยาบาล การอบรมให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ

เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการประสบผลสำเร็จตามพระบรมราโชบาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชุดใหม่ ดังนี้

องค์ประธานที่ปรึกษา

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

รองประธานที่ปรึกษา

เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี

องค์ประธานกรรมการ

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

คณะกรรมการ

1. พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองประธานกรรมการ

2. พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท รองประธานกรรมการ

3. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล รองประธานกรรมการ

4. พันโท สมชาย กาญจนมณี รองประธานกรรมการ

5. พลอากาศโท สมคิด สุขบาง รองประธานกรรมการ

6. พลอากาศตรีสุพิชัย สุนทรบุระ รองประธานกรรมการ

7. พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองประธานกรรมการ

8. คุณจันทนี ธนรักษ์ กรรมการ

9. พลเอก ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ กรรมการ

10. พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย กรรมการ

11. พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ กรรมการ

12. พลเอก จักรภพ ภูริเดช กรรมการ

13. พลอากาศเอก สุบิน ชิวปรีชา กรรมการ

14. พลอากาศตรีวีระพันธ์ ภูวจินดา กรรมการ

15. พลอากาศตรีวีระ สุรเศรณีวงศ์ กรรมการ

16. พลตรีปริญญ รื่นภาควุฒิ กรรมการ

17. ปลัดกระทรวงกลาโหม กรรมการ

18. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ

19. ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ

20. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรรมการ

21. ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรรมการ

22. อธิบดีกรมการแพทย์ กรรมการ

23. อธิบดีกรมสุขภาพจิต กรรมการ

24. อธิบดีกรมควบคุมโรค กรรมการ

25. อธิบดีกรมอนามัย กรรมการ

26. อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรรมการ

27. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กรรมการ

28. ผู้บัญชาการทหารบก กรรมการ

29. ผู้บัญชาการทหารเรือ กรรมการ

30. ผู้บัญชาการทหารอากาศ กรรมการ

31. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการ

32. เจ้ากรมแพทย์ทหารบก กรรมการ

33. เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ กรรมการ

34. เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ กรรมการ

35. นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ กรรมการ

36. เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรรมการ

37. นายนัทธี จิตสว่าง กรรมการ

38. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ กรรมการและเลขานุการ

39. พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

40. อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

41. นางจิรภา สินธุนาวา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 10 มกราคม พุทธศักราช 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 62 เคยมีประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุขทำความ ดี ด้วยหัวใจ โดยมี เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี เป็นรองประธานที่ปรึกษามาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนมีพระราชโองการ เมื่อวันที่ เมื่อ 21 ต.ค. 62 ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ เหตุพยายามเทียบเท่าพระราชินี กระทำความผิดราชสวัสดิ์ และไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์  และปีต่อมา 2 ก.ย. 63 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ ดํารงฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราดังเดิม

โดยระหว่างนั้นเมื่อวันที่ 11 พ.ย.62 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี ด้วยหัวใจ ที่มี สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เป็นองค์ประธานที่ปรึกษาด้วย

ประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการฯ ฉบับวันที่ 11 พ.ย.62

ขณะที่เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ข่าวในพระราชสำนักเผยแพร่รายงานพิเศษกิจกรรมในโครงการโคกหนองนาซึ่งเป็นโครงการที่ทำกับผู้ต้องขัง โดยมีเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ ดำเนินงาน

ที่มา สำนักข่าวไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชวนย้อนดูการนำเสนอตัวละคร Trans และ Gender Nonconformist จากวิดีโอเกมปี 2563

$
0
0

ในปี 2563 ที่ผ่านมาเป็นปีที่น่าสนใจในเรื่องการนำเสนอตัวละครคนข้ามเพศหรือทรานส์เจนเดอร์ในโลกของวิดีโอเกม รวมถึงตัวละครผู้แสดงออกไม่ตรงบรรทัดฐานทางเพศของสังคม (gender nonconforming) ด้วย เรียกได้ว่ามีข่าวคราวตัวละครคนข้ามเพศในเกมเยอะมาก ถึงแม้จะมีส่วนที่เป็นดราม่า สิ่งที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงโต้แย้งอยู่บ้าง แต่ก็มีหลายข่าวที่เป็นด้านบวกแสดงให้เห็นพัฒนาการในวงการคนสร้างเกมที่มีประเด็นทรานส์ ผู้เขียนขอรวบรวมประเด็นต่างๆ เอาไว้ตามนี้

ไฟนอล แฟนตาซี ภาค 7 รีเมค : ทำให้ฉากแต่งกายข้ามเพศ กลายเป็นการเฉลิมฉลองความเควียร์ได้

เกมในตำนานอย่างไฟนอนแฟนตาซี ถูกนำกลับมารีเมคอีกครั้งก็มีการพูดถึงฉากๆ หนึ่งคือการที่ตัวเอกผู้ชายอย่าง คลาวด์ สไตรฟ แต่งกายข้ามเพศ โดยที่ในเกมภาคเดิมเมื่อปี 2540 นั้น ฉากนี้ค่อนข้างมีปัญหาและมีลักษณะการเล่าเรื่องที่ทำให้รู้สึกน่ากระอักกระอ่วนใจจากมุมมอง LGBTQ+ แต่ในภาคที่กลับมาทำใหม่มีการเปลี่ยนแปลงฉากนี้แบบยกเครื่องจนได้รับความชื่นชม

ผู้พัฒนาไฟนอล แฟนตาซี 7 ฉบับรีเมคไม่เพียงแค่เปลี่ยนข้อความหรือบทพูดต่างๆ ให้เป็นแง่บวกกับชาว LGBTQ+ มากขึ้นเท่านั้น พวกเขายังพรีเซนต์ฉาก "คลาวด์แต่งหญิง" ให้ดูอลังการณ์ตระการตาเสมือนเป็นการเฉลิมฉลองความเควียร์ ไม่เพียงแค่คลาวด์เท่านั้น ในเกมยังมีการนำเสนอภาพผู้แสดงออกไม่ตรงบรรทัดฐานทางเพศของสังคม (gender nonconforming) อีกคนหนึ่งชื่อ Jules ที่มีการนำเสนอแบบเคารพในความเป็นมนุษย์ของเขามากขึ้น เมื่อเทียบกับตัวละครคล้ายๆ กันในฉบับดั้งเดิม

เกมที่มีปัญหาและทำให้เกิดข้อถกเถียง (?)

ในช่วงกลางปี 2563 มีเกมที่ชื่อ Deadly Premonition 2 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและการเหยียดทรานส์ จากกรณีที่มีการเรียกเพศผิด (misgender) และใช้ชื่อเดิม (deadnaming) ตัวละครหญิงข้ามเพศที่ชื่อ Lena Dauman ซึ่งต่อมาผู้เขียนบทและกำกับเกมนี้คือ ฮิเดทากะ ซุเอะฮิโระ หรือ Swery ก็ระบุขอโทษเรื่องนี้ผ่านทางทวิตเตอร์ และบอกว่าจะแก้ไขเนื้อหาเหล่านั้น (พร้อมกับปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ ในเกมที่ทำให้เกิดนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบมาก) แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีบางส่วนที่เป็นการเหยียดคนข้ามเพศอยู่ในเกมอยู่ดี

อีกเกมหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกแตกต่างกันไปในแง่ของการพรีเซนต์ตัวละครทรานส์ คือ The Last of Us 2 มีตัวละครทรานส์ที่น่าสนใจคือ Lev ผู้เป็นทรานส์มาสคิวลีน (Trans masculine) คือคนข้ามเพศที่ข้ามเพศไปเป็นชายหรือเพศที่เอียงไปในทางความเป็นชาย ซึ่งเป็นตัวละครคนข้ามเพศที่ปรากฏในหน้าสื่อบันเทิงต่างๆ น้อยมาก

อีกตัวละครหนึ่งคือ แอบบี หรืออบีเกล ที่มีผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าเธอเป็นหญิงข้ามเพศ หรือหญิงตามเพศกำเนิดที่มีเรือนร่างไม่ตรงกับบรรทัดฐานทางสังคมกันแน่ (แอบบีเป็นผู้หญิงที่ดูล่ำ) กระนั้นแอบบีก็เป็นตัวละครที่ถูกเกมเมอร์ประณามวิพากษ์วิจารณ์เนื่องด้วยบทของเธอ นั่นทำให้หลายคนที่คิดแตกต่างกันออกไปในการนำเสนอตัวละครแอบบีในรูปแบบนี้ ทั้งนี้ก็มีคนเชื่อว่าความผิดไม่ใช่ตัวละครตัวนี้หรือการเขียนบทของเกม The Last of Us 2 แต่มาจากทัศนคติเหยียดเพศสภาพของกลุ่มเกมเมอร์บางกลุ่มที่มีอยู่ก่อนแล้ว

เกมเมอร์เหล่านี้จงเกลียดจงชังตัวละครถึงขั้นข่มขู่เอาชีวิต ลอรา เบลีย์ นักพากษ์เสียงแอบบี และในเวลาต่อมาช่วงปลายปี 2563 ไบเลย์ก็เปิดใจเกี่ยวกับการพากษ์เสียงตัวละครคนนี้ว่าเธอคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นตัวละครที่ทำให้คนรู้สึกถ้าชอบก็ชอบไปเลยถ้าเกลียดก็เกลียดไปเลย แต่ไม่นึกว่าจะมีกระแสความเกลียดชังมากขนาดนี้ 

กระนั้นไบเลย์ก็กล่าวยืนยันว่าแอบบีเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยให้เสียงพากษ์เอาไว้ เธอบอกอีกว่าความเกลียดชังที่เกิดขึ้นมาจากเพราะเกมเมอร์เหยียดเพศเหล่านี้ "สร้างแผงกัน สร้างกำแพงในจิตใจเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่จะเข้าใจตัวละครนี้"

The Last of Us 2 เป็นเกมที่มีเนื้อหาอยู่ในยุคหลังจากโลกแตกและมีการต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดของคนหลายกลุ่ม รวมถึมีงเนื้อหาล้างแค้นกันไปกันมา ในสภาพเช่นนี้ตัวละครทุกตัวไม่ว่าเพศใดก็ตามมีโอกาสให้ความรุนแรงต่อกันและกันอย่างน่าเศร้าได้เสมอ แต่น่าสงสัยว่าทำไมกลุ่มคนเหยียดเพศถึงประณามแต่หญิงที่แสดงออกไม่ตรงบรรทัดฐานเพศสภาพทางสังคมเท่านั้น? เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่ตัวละครคนข้ามเพศกับ gender nonconformist จะเป็นตัวละครกลมๆ ที่มีแง่ดีแง่ร้ายมีรักโลภโกรธหลงไม่ต่างจากตัวละครตรงเพศ?

Tell Me Why - มาตรฐานใหม่ของการนำเสนอตัวละครทรานส์

นอกจากเรื่องข้อถกเถียงต่างๆ แล้วในปี 2563 ก็มีเกมดีๆ ที่นำเสนอตัวละครทรานส์ได้เข้าท่ามากคือเกม Tell Me Why ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าตัวละครทรานส์เป็นพ่อพระแม่พระดีเลิศแต่เป็นตัวละครกลมๆ ที่มีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดินพล็อต ไม่ได้เป็นแค่มุขตลก ไม่ได้เป็นแค่สีสันที่ถูกมองตามภาพเหมารวม แต่เป็นตัวละครหลักที่มีอารมณ์ความรู้สึกและแรงจูงใจของตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบข้างทั้งที่มีจากความเป็นคนข้ามเพศของตัวเองและมิติมนุษย์ด้านอื่นๆ ของเขา

ตัวละครที่พูดถึงนี้คือ ทรานส์แมน ที่ชื่อไทเลอร์ ที่ได้พบกับน้องสาวฝาแฝดของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางอย่างในอดีตที่ทำให้ต้องพรากกัน เขากับน้องสาวที่ชื่อ อลิสัน พบกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่เพราะต้องการขายบ้านที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันที่อลาสกา แต่ทว่าเมื่อพวกเขากลับไปยังบ้านที่เคยอาศัยวัยเด็กแห่งนี้แล้ว ก็มีความทรงจำต่างๆ ผุดพรายขึ้นมา กลายเป็นทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข ความทุกข์ และมีปริศนาคาใจบางอย่างที่ทำให้พวกเขาต้องสืบหาความจริง

สื่ออย่างเกมส์เรดาร์ยก Tell Me Why ให้เป็น "มาตรฐานใหม่ของตัวละครทรานส์ในวิดีโอเกม" ไทเลอร์ โรนัน เป็นตัวละครชายข้ามเพศคนแรกๆ ที่ได้รับบทนำในเกม แน่นอนว่าถึงแม้ความเป็นทรานส์จะมีอิทธิพลกับการขัดเกลาคาแรกเตอร์ของไทเลอร์แต่เขาก็มีมุมอื่นๆ ในชีวิตที่ไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นคนข้ามเพศอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เกมนี้ "เผยให้เห็นความซับซ้อนในชีวิตของชายข้ามเพศ และนำเสนอพวกเขาด้วยฉากพระอาทิตย์อัสดงที่งดงาม"

Cyberpunk 2077 - ก้าวหน้าอยู่บ้างแต่ยังขาดความรู้เรื่องทรานส์

อีกหนึ่งเกมที่เกมเมอร์รอคอยมานานคือ Cyberpunk 2077 ที่มีกระแสนิยมกันมาก แต่พอออกมาจริงๆ แล้วก็มีข้อวิจารณ์มากมายในทางเทคนิค และก่อนหน้านี้ก็เคยมีปัญหาวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้แรงงานผู้ผลิตผู้พัฒนาเกมหนักเกินไป ไปจนถึงเรื่องการนำเสนอภาพลักษณ์ของคนข้ามเพศในเกม ที่ทำให้แม้แต่ชาวทรานส์ก็เสียงแตกในเรื่องนี้

เหตุเกิดตอนแรกมาจากการที่พวกเขานำเสนอภาพจากในเกมที่มีใบปลิวโฆษณาเป็นหญิงข้ามเพศที่ถูกมองว่ามีลักษณะทำให้เป็นวัตถุทางเพศ รวมถึงมีข้อความว่า “Mix it up” ที่มีความหมายโดยนัยแปลว่า "สับสนจนเอามาปนกัน" ทำให้ถูกตั้งคำถามว่าเหมือนเป็นการเหยียดทรานส์ว่าสับสนใจตัวเองหรือเปล่า แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่านี่เป็นการนำเสนอภาพโลกเลวร้ายที่เรียกว่า Dystopia ซึ่งเป็นฉากของเรื่องราว Cyberpunk 2077 ที่บรรษัทยักษ์ใหญ่ในเกมเป็นผู้นำเสนอภาพคนข้ามเพศแบบแย่ๆ เช่นนี้ (กล่าวคือสิ่งที่เหยียดทรานส์คือสังคมจำลองในเกมเอง ไม่ใช่ตัวผู้ผลิต ผู้ผลิตเป็นแค่ผู้เล่าเรื่องราวเหล่านี้) 

เรื่องนี้จุดประเด็นให้ชาวทรานส์ในต่างประเทศพูดคุยหารือกันว่าการนำเสนอภาพลักษณ์ทรานส์ในเกมนี้ถือว่า่น่าพึงพอใจหรือไม่ อนา วาเลนส์ นักเขียนเรื่องเกมที่เป็นหญิงข้ามเพศจากสื่อ Daily Dot บอกว่าเธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับภาพลักษณ์ของคนข้ามเพศในเกมนี้เหมือนกันแต่เอียงไปในทางรู้สึกลบ แต่เธอก็เข้าใจที่กลุ่มคนข้ามเพศส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่าแค่มีตัวตนคนข้ามเพศของพวกเขาอยู่ในเกมบ้างก็ดีแล้ว โดยเฉพาะเกมที่เป็นกระแสพูดถึงอย่างต่อเนื่องมากตั้งแต่ปี 2562 และมี คีนู รีฟ นักแสดงฮอลลิวูดชื่อดังช่วยโปรโมท

แต่ก็มีข้อวิจารณ์อีกหลายแง่ต่อเกมนี้เช่นที่ว่าถึงแม้จะมีตัวละครทรานส์แต่กลับไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกเขาหรือพวกเธอ ทำให้เหมือนถูกทำให้เป็นไม้ประดับ (tokenism) หรือไม่ รวมถึงตัวผู้พัฒนาเองคือบริษัท CD Projekt ก็เคยไม่ประวัติแสดงออกไม่ค่อยดีนักต่อประเด็นคนข้ามเพศมาก่อนหน้านี้ แต่ก็มีการขอโทษในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ถึงแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในเรื่องการสร้างตัวละครที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกเพศได้โดยไม่จำกัดว่าตัวละครจะมีอวัยวะเพศใด แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีตัวเลือกสำหรับนอนไบนารี อีกทั้งตัวละครอื่นๆ จะใช้สรรพนามเรียกตัวละครที่เราสร้างตามเสียงของตัวละครที่เราใช้ว่าฟังดู “เป็นหญิง” หรือ “เป็นชา”ย ซึ่งเป็นความล้าหลังที่ผูกเพศสภาพไว้กับเสียง หรือไม่ก็สะท้อนว่าผู้ผลิตเกมยังขาดความรู้ประเด็นคนข้ามเพศ เรื่องนี้บางคนบอกว่าล้าหลังยิ่งกว่าเกม Saint Row IV ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2556 เสียอีก เพราะ Saint Row สามารถให้คนปรับแต่งรูปลักษณ์หรือแม้กระทั่งเสียงได้ตามใจชอบไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม

ที่มา:

The Big Question – How Gay is Final Fantasy VII Remake?, Gaymingmag https://gaymingmag.com/2020/04/final-fantasy-vii-remake-gay/

Deadly Premonition 2 Patch Cuts Transphobic Lines, Improves Frame Rate, Screenrant https://screenrant.com/deadly-premonition-2-trans-update-lena-frame-rate/

Deadly Premonition 2 patch does not fix transphobic scenes, Gaymingmag https://gaymingmag.com/2020/07/deadly-premonition-2-patch-does-not-fix-transphobic-scenes/

TLOU2 Abby Voice Actress Breaks Down Divisive Role, Screenrant 
https://screenrant.com/last-of-us-2-abby-laura-bailey-role/

I Have Mixed Feelings About The Last Of Us Part 2's Trans Character, Kotaku 
https://kotaku.com/i-have-mixed-feelings-about-the-last-of-us-part-2s-tran-1844245756

TELL ME WHY REVIEW: "THE NEW GOLD STANDARD FOR TRANS CHARACTERS IN GAMES", Gamesradar, https://www.gamesradar.com/tell-me-why-review/

'Tell Me Why': Video game features transgender lead character, NBC News, 
https://www.nbcnews.com/feature/nbc-out/tell-me-why-video-game-features-transgender-lead-character-n1239123

Cyberpunk 2077 looms. How am I supposed to deal with it as a trans woman?, Dailydot 
https://www.dailydot.com/irl/cyberpunk-2077-trans-woman/

Cyberpunk 2077's Trans Representation Problems Explained, Screenrant 
https://screenrant.com/cyberpunk-2077-trans-representation-problems-cdpr-controversy/

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ดีอีเอส-กสทช. เปิดมาตรการช่วยเหลือประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาดรอบใหม่

$
0
0

ดีอีเอส-กสทช. แถลงมาตรการช่วยเหลือประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ไม่คิดค่าดาต้าเมื่อประชาชนใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ

11 ม.ค.2564 สำนักงาน กสทช. รายงานว่า พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย ได้แก่ เอไอเอส ทรู ดีแทค เอ็นที ได้สนับสนุนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) โดยการสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” โดยไม่คิดค่าดาต้าเมื่อประชาชนใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ

ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กำชับมาเกี่ยวกับการสนับสนุนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของรัฐบาล โดยสำนักงานฯ ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ ผู้ให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (เน็ตบ้าน) หารือมาตรการช่วยเหลือประชาชนช่วงโควิด–19 ระบาดรอบใหม่เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน ได้ข้อสรุปดังนี้

1. กรณีการใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (Fixed Broadband) หรือเน็ตบ้าน ผู้ประกอบการฯ สนับสนุนให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (Fixed Broadband) โดยปรับเพิ่มความเร็วขึ้นไม่ต่ำกว่า 100/100 Mbps สำหรับผู้ใช้บริการที่ใช้บริการในโครงข่ายไฟเบอร์ และเพิ่มความเร็วให้เต็มขีดความสามารถของอุปกรณ์นั้นๆ ในกรณีที่ไม่ได้ใช้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ เช่น xDSL

2. กรณีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband) ปัจจุบันผู้ประกอบการได้มีการออกแพ็คเกจเสริมในการสนับสนุนการ Work From Home อยู่แล้ว แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติม จึงมีความร่วมมือในการออกแพ็คเกจเสริมพิเศษ ในราคา 79 บาทต่อเดือน (ไม่รวม VAT) ใช้งานได้ 30 วัน ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน (Unlimited Data) ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 10 Mbps เพื่อรองรับการใช้งานแอปพลิเคชัน Work From Home ต่าง ๆ เช่น Microsoft Teams 365, ZOOM (ค่าบริการไม่รวมค่า license ในการใช้งานแอปพลิเคชัน)

นอกจากนั้น สำนักงาน กสทช. ได้กำชับให้โอเปอเรเตอร์ทุกรายดูแลคุณภาพสัญญาณให้มีประสิทธิภาพในช่วงที่ประชาชนทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยเฉพาะเรื่องโครงข่ายในการรองรับโครงการคนละครึ่งรอบใหม่ของรัฐบาล และเตรียมระบบรองรับ OTP ในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ของโครงการด้วย สำหรับโรงพยาบาลภาคสนาม สำนักงานฯ ก็ได้ขอความร่วมมือให้โอเปอเรเตอร์ทุกรายสนับสนุนการติดตั้ง Internet WiFi และสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เตรียมรองรับการปฏิบัติงานของทีมบุคลากรทางการแพทย์ และการใช้บริการ ณ โรงพยาบาลภาคสนามที่จังหวัดสมุทรสาครเรียบร้อยแล้ว

“สำนักงาน กสทช. พร้อมสนับสนุนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของรัฐบาล และกำกับดูแลให้การติดต่อสื่อสารของคนไทยใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง” ไตรรัตน์ กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงประสบอุบัติเหตุล้มระหว่างออกกำลังพระวรกาย

$
0
0

สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงล้มระหว่างทรงพระดำเนินออกกำลังพระวรกายตามปกติในเวลาเช้า บาดเจ็บที่ข้อพระบาททั้งข้างซ้ายและข้างขวา เป็นเหตุให้ทรงพระดำเนินไม่สะดวก 

 

11 ม.ค.2564 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระประชวร

โดยระบุว่า เนื่องจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประสบอุบัติเหตุ ทรงล้มระหว่างทรงพระดำเนินออกกำลังพระวรกายตามปกติในเวลาเช้า เมื่อวันจันทร์ที่ 11 มกราคม พุทธศักราช 2564 ทรงได้รับบาดเจ็บที่ข้อพระบาททั้งข้างซ้ายและข้างขวา เป็นเหตุให้ทรงพระดำเนินไม่สะดวก

คณะแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ได้ถวายการรักษา และถวายความเห็นว่า ควรจะทรงงดพระราชกรณียกิจต่างๆ เป็นเวลาประมาณ 2 เดือน

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

สำนักพระราชวัง

11 มกราคม พุทธศักราช 2564

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชวน ตั้ง 11 กรรมการสมานฉันท์แล้ว ไร้เงาฝ่ายค้าน

$
0
0

ประธานรัฐสภา ลงนามตั้ง 11 กรรมการสมานฉันท์แล้ว ไร้เงาฝ่ายค้าน ประชุมนัดแรก 18 ม.ค.นี้ คาดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิด้านปรองดองอีก 4 คน

11 ม.ค.2564 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ลงนามในประกาศรัฐสภา เรื่อง แต่งตั้งกรรมการสมานฉันท์ ความว่า ตามที่มีประกาศรัฐสภาเรื่องการเเต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ลงวันที่ 8 ธ.ค.63 กำหนดรูปแบบเเละองค์ประกอบของคณะกรรมการสมานฉันท์ โดยกำหนดให้มีกรรมการ จำนวน 21 คน และบัดนี้ รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ว. ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้เสนอชื่อผู้เเทนของตนเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์แล้ว อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 วรรคสี่

ประธานรัฐสภา จึงออกประกาศแต่งตั้งบุคคลต่อไปนี้ เป็นกรรมการสมานฉันท์ 1. พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล 2. เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ 3. นิโรธ สุนทรเลขา 4. สรอรรถ กลิ่นประทุม 5. วัลลภ ตังคณานุรักษ์ 6. ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร 7. สุริชัย หวันแก้ว 8. วันชัย วัฒนศัพท์ 9. สมศักดิ์ รุ่งเรือง 10. นิรุต ถึงนาค 11. วิโรจน์ ลิ้มไขแสง และให้ข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการสมานฉันท์ ดังนี้ คุณวุฒิ ตันตระกูล เลขานุการ  ณัฐพัฒน์ พัดทอง ผู้ช่วยเลขานุการ ศตพล วรปัญญาตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการ

คุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ประสานไปยังกรรมการที่แต่งตั้ง ให้ร่วมประชุมนัดแรกวันที่ 18 มกราคมนี้ เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา โดยในนัดแรกช่วงต้น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเข้าร่วมประชุมและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าร่วมด้วย เบื้องต้นคาดว่า นายชวนจะกล่าวถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ดังกล่าว สำหรับวาระประชุมของกรรมการนั้น จะเริ่มจากการเลือกกรรมการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น ประธาน รองประธาน โฆษก และมีวาระที่กรรมการต้องพิจารณาเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ด้านงานปรองดอง จำนวน 4 คน รวมถึงหารือถึงกรณีของกรรมการที่กำหนดให้มาจากผู้ชุมนุมด้วย

ที่มา : สำนักข่าวไทยข่าวสดออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

COVID-19 : 11 ม.ค.64 พบติดเชื้อเพิ่มขึ้น 249 ราย

$
0
0

สถานการณ์ COVID-19 ประจำวันที่ 11 ม.ค.64

  • ศบค.รายงานผู้ติดเชื้อโควิด19 จำนวน 249 ราย ติดเชื้อในประเทศ 224 ราย สะสม 10,547 ราย
  • กักตัว 273 ลูกเรือจักรีนฤเบศรสัมผัสเสี่ยงสูง
  • 'อนุทิน' ย้ำทุกคนตรวจฟรี เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงให้รีบไปตรวจทันที
  • สปสช. ประชุมหน่วยปฐมภูมินำร่องยกระดับบริการ หวังขยายผลเกิดการทำงานแบบเครือข่าย

11 ม.ค.2564 ความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 วันนี้ (11 ม.ค.) เพิ่มขึ้น 249 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 224 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 25 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 10,547 ราย หายป่วยแล้ว 6,566 ราย เสียชีวิตคงที่ 67 คน อยู่ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3,914 ราย ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า state quarantine 25 ราย คือ ผู้ที่เดินทางจาก สหราชอาณาจักร 2 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 2 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ตุรกี 1 ราย ฮังการี 1 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย บาห์เรน 1 ราย เดนมาร์ก 1 ราย มาเลเซีย 1 ราย เมียนมา 14 ราย โดยมีผู้ป่วยหนักอยู่ที่ 28 คน ใส่เครื่องช่วยหายใจ 5 คน

“สำหรับผู้ติดเชื้อภายในประเทศ ที่ยังน่ากังวลคือ จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีผู้ติดเชื้อในวันนี้ 37 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุตั้งแต่ 9 เดือนถึง 62 ปี ส่วนที่จ.นนทบุรี พบผู้ติดเชื้อ 31 ราย ซึ่งเกินครึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยสูงอายุ ตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับจ.อ่างทอง19 ราย กรุงเทพมหานคร 36 ราย สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน14 ราย มาจากเมียนมา อ.แม่สอด จ.ตาก มีประวัติมาจากแหล่งเล่นการพนัน ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลแม่สอดดูแลอยู่” โฆษกศบค. กล่าว

กักตัว 273 ลูกเรือจักรีนฤเบศรสัมผัสเสี่ยงสูง

พล.ร.ท.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยกรณีมีกำลังพลบางส่วนของเรือหลวงจักรีนฤเบศรไปรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา และพยาบาลประจำเรือ รายงานว่า พบผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด-19 จากการประกาศของ จ.ชลบุรี ว่า ได้คัดกรองสอบถามกำลังพลที่ไปในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศ พบว่ากำลังพลจำนวน 11 นาย มีประวัติเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว จึงส่งตัวเข้ารับการตรวจที่คลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic) โรงพยาบาลในสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือเอง ซึ่งผลตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 2 นาย ทางโรงพยาบาลจึงแจ้งไปที่ทีมสอบสวนโรค และร่วมกันค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

“ทีมสอบสวนและควบคุมโรคของกรมแพทย์ทหารเรือ ร่วมกับกองเวชกรรมป้องกัน โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ชลบุรี ได้สอบสวนโรคและค้นหาผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง โดยให้เข้ารับการกักกัน และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จำนวน 273 นาย อยู่ระหว่างรอผลการตรวจ และเสนอรายงานให้กองทัพเรือทราบ” โฆษกกองทัพเรือ กล่าว

'อนุทิน' ย้ำทุกคนตรวจฟรี เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงให้รีบไปตรวจทันที

ทีมสื่อ สปสช. รายงานว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทางรัฐบาลมีความห่วงใยสุขภาพของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนโรค ควบคุม ป้องกันโรค และจัดเตรียมมาตรการสนับสนุนต่างๆ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาด ซึ่งทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยจะได้รับตรวจการคัดกรองโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองโควิด-19 แก่คนไทยทุกคนทุกสิทธิการรักษาพยาบาล สำหรับกลุ่มแรงงานต่างชาตินั้น ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบดูแลงบประมาณสำหรับตรวจคัดกรองโควิด-19  

โดยเกณฑ์การตรวจคัดกรองโควิด-19 เป็นไปตามหลักเกณฑ์ผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค หรือ PUI ซึ่งย่อมาจาก Patient Under Investigation ของกรมควบคุมโรค คือ ผู้สงสัยติดเชื้อที่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ประวัติมีไข้/อุณหภูมิกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หายใจลำบาก ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยง คือ  

1. 14 วันก่อนเริ่มป่วย มีประวัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้  

1.1 เดินทางไปยัง มาจาก หรืออยู่อาศัยในประเทศที่มีการรายงานโรคในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา  

1.2 สัมผัสกับผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 

1.3 ไปในสถานที่ชุมนุมชน หรือ สถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล หรือ ขนส่งสาธารณะ ที่พบผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา  

1.4 ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรค 

2. แพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  

“หากมีอาการเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์นี้ รวมถึงกรณีที่ท่านสงสัยหรือไม่แน่ใจ สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ได้ที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยทางแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าท่านมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนและวางแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของท่าน อย่านิ่งนอนใจหรือประมาทว่าตัวเองไม่น่าจะติดเชื้อ หากท่านมีประวัติเกี่ยวข้องกับพื้นที่ระบาดหรือสัมผัสกับบุคคลที่มาจากพื้นที่ที่มีการระบาด แม้จะไม่มีอาการอะไรก็ขอให้ไปพบแพทย์ก่อน ถ้าท่านไม่ติดเชื้อ ท่านก็จะได้สบายใจว่าไม่ติด แต่หากตรวจพบเชื้อ ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาแต่เนิ่นๆ โดยกระบวนการทั้งหมดไม่เสียค่าใช้จ่าย" อนุทิน กล่าว  

ทั้งนี้ สปสช.จะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองโควิด-19 แก่คนไทยทุกคน สำหรับกลุ่มแรงงานต่างชาตินั้น ทางกรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับตรวจคัดกรองโควิด-19 ไว้แล้ว ดังนั้น หากท่านมีลูกจ้างแรงงานต่างชาติหรือรู้จักกับแรงงานต่างชาติที่พักอาศัยใกล้บ้านท่านที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก็สามารถแจ้งให้ไปรับการตรวจคัดกรองได้ฟรีเช่นกัน และหากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 

สปสช. ประชุมหน่วยปฐมภูมินำร่องยกระดับบริการ หวังขยายผลเกิดการทำงานแบบเครือข่าย

สปสช. จัดประชุมชี้แจงแนวทางและหลักเกณฑ์การขอรับค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ปีงบประมาณ 2564 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับหน่วยบริการปฐมภูมิ 428 แห่งที่จะนำร่องยกระดับการให้บริการ ตามแนวทางของ พ.ร.บ.ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ 2562 

นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ระบบปฐมภูมินับจากนี้คงไม่ได้มีนิยามแบบ 10-20 ปีก่อน แต่ต้องทำให้เกิดการจัดเครือข่ายในระบบ ทำให้ผู้รับบริการไปรับบริการที่ไหนก็ได้ในเครือข่าย ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องปรับมุมมองและวิธีการหรือแม้แต่แผนการลงทุน ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการจัดบริการ ไม่ใช่มองว่ามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (รพ.สต.) หรือ คลินิกอยู่แห่งหนึ่งแล้วมองว่านั้นคือบริการปฐมภูมิ แต่ต้องมองว่ายังมีคลินิกเอกชนอื่นๆที่มีศักยภาพให้บริการได้ เช่น คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด การไปรับยาที่ร้านยาหรือส่งยาทางไปรษณีย์ รวมทั้งระบบ telehealth, telemedicine เหล่านี้ต้องมองว่าทำอย่างไรจะดึงทรัพยากรจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมให้บริการได้ 

ขณะเดียวกัน สปสช.เองก็มีระบบการจ่ายเงินที่ลงลึกในรายละเอียดหลายรายการและกำลังเริ่มบูรณาการเป็นการจ่ายแบบ service package หรือชุดบริการโดยในปี 2564 จะมีพื้นที่นำร่องที่เป็นต้นแบบหน่วยบริการปฐมภูมิตามหลักคิดข้างต้น 428 แห่ง โดยอยากย้ำว่าขอให้ทำได้ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่วางไว้ ส่วน สปสช.ก็จะพยายามจัดสรรงบประมาณเพื่อให้เกิดผลสะท้อนในการเกิดบริการ ขณะเดียวกันก็อยากให้ใช้ศักยภาพของกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับพื้นที่ให้เข้ามาทำงานร่วมกันด้วย ซึ่งหากทำได้ตามเป้าก็จะทำให้ระบบสาธารณสุขเข้มแข็งมากขึ้น 

ด้าน ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิ สปสช. กล่าวว่า หน่วยบริการปฐมภูมิที่ขึ้นทะเบียนในระบบของ สปสช. มี 11,851 แห่ง เป็นหน่วยบริการที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 1,921 แห่งและได้รับเลือกให้เป็นหน่วยนำร่องยกระดับบริการสุขภาพปฐมภูมิ 428 แห่ง ซึ่งการจัดสรรงบประมาณสำหรับ 428 แห่งนี้ จะจัดสรรเพิ่มเติมจากงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว โดยแบ่งเป็น กทม. 44 ล้านบาท และต่างจังหวัด 214 ล้านบาท  

ขณะที่ นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร รองผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า นโยบายระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกที่ สธ. ยกขึ้นมาจัดการ หน่วยบริการปฐมภูมิต้องทำให้ประชาชนรู้จักแล้วไปรับบริการที่ดีขึ้นกว่าเดิมและมากขึ้นกว่าเดิม และวางเป้าในปี 2564 ว่าต้องการเพิ่มจำนวนหน่วยบริการปฐมภูมิให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นต้องมาจากหน่วยบริการนำร่องทั้ง 428 แห่งนี้ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานและสามารถปลดล็อกให้ทั้งประเทศได้งบประมาณมากขึ้น  

"จุดนี้เป็นประเด็นว่าถ้าทีมหมอครอบครัว 428 แห่งนี้ทำได้ดี ทำให้สำนักงบประมาณเห็นภาพรวมของการพัฒนาระบบปฐมภูมิ ต่อไปการจัดสรรงบประมาณก็อาจเป็น service package หรือชุดบริการลงไปที่หน่วยบริการโดยตรง ขณะนี้ทาง สธ.ได้หารือกับกรมบัญชีกลางแล้ว และสำนักงานประกันสังคมก็จะมีงบเพิ่มเติมด้วย ดังนั้นท่านเป็นครีมของจังหวัด ครีมของเขต ช่วงนี้ท่านมีโอกาส ขอให้ใช้จังหวะนี้สร้างผลงาน ซึ่งก็จะเป็นความก้าวหน้าของผู้ปฏิบัติงานในระบบปฐมภูมิทั้งระบบ ทั้งเรื่องงบประมาณ ความก้าวหน้าทางวิชาชีพและทรัพยากรต่างๆ" นพ.ประสิทธิ์ชัย กล่าว 

ที่มา : ทีมสื่อ สปสช., เว็บไซต์ทำเนียบ และสำนักข่าวไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กลุ่มธุรกิจหลายแห่งระงับการบริจาให้คพรรครีพับลิกัน หลังกรณีผู้สนับสนุนทรัมป์บุกรัฐสภา

$
0
0

ผลพวงจากการประท้วงของกลุ่มฝ่ายขวาในสหรัฐฯ ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ปิดล้อมและบุกอาคารรัฐสภาเนื่องจากไม่พอใจผลการเลือกตั้ง ทำให้ในตอนนี้พรรครีพับลิกันเผชิญกับการที่บริษัทธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งถอนการบริจาคให้พรรค ส่งผลกระทบต่องบการทำงานพรรคของพวกเขา

ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามบุกเข้าไปที่ทำการสภาคองเกรส ที่วอชิงตัน ดีซี 
ขัดขวางการลงมติสนับสนุนโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดี เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021
ที่มา:
Flickr/Tyler Merbler

กลุ่มธุรกิจและการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ซิตีกรุ๊ป, เจพีมอร์แกนเชส, มาริอ็อตอินเตอร์เนชันแนล และบริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่บลูครอสบลูชิลด์ (BCBSA) ประกาศเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2564 ว่าพวกเขามีแผนการพิจารณาการบริจาคให้กับพรรคการเมืองรีพับลิกันใหม่อีกครั้ง หลังจากที่มีเหตุการณ์จลาจลที่ผู้ประท้วงบุกรุกอาคารรัฐสภาในกลางสัปดาห์ที่แล้ว

BCBSA ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคที่ให้บริการประกันสุขภาพแก่ชาวอเมริกันราว 1 ใน 3 ของประเทศ แถลงถึงปัญหาที่จะมีการปรับการบริจาคให้กับพรรครีพับลิกัน เนื่องมาจากสาเหตุที่ว่านักการเมืองพรรครีพับลิกันเองก็ลงคะแนนคัดค้านชัยชนะในการเลือกตั้งของ โจ ไบเดน ผู้สมัครพรรคเดโมแครต ในวันเดียวกับที่มีกลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดบุกสภา

ถ้อยแถลงของบริษัท BCBSA ระบุว่า "จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ การบุกจู่โจมอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ อย่างน่าตื่นตระหนก และการลงมติของสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนก็ทำลายผลการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. โดยการคัดค้านผลจากคณะผู้เลือกตั้ง BCSBA จะทำการระงับการบริจาคให้กับ ส.ส. เหล่านี้ผู้ที่ลงคะแนนในเชิงทำลายประชาธิปไตยของพวกเรา"

แมริออตอินเตอร์เนชันแนลซึ่งเป็นบริษัทโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็แถลงในทำนองเดียวกัน คอนนี คิม โฆษกของบริษัทกล่าวยืนยันว่าการตัดสินใจที่จะระงับการบริจาคให้กับ ส.ส. รีพับลิกัน 147 ราย ที่เข้าข้างโดนัลด์ ทรัมป์ และปฏิเสธชัยชนะของไบเดน

"พวกเรายังพิจารณาถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ที่มีเป้าประสงค์จะทำลายการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรมและเป็นไปอย่างยุติธรรมแล้ว เราจะระงับการบริจาคทางการเมืองโดยหน่วยงาน "คณะกรรมาธิการด้านปฏิบัติการทางการเมือง" ของพวกเราต่อกลุ่มคนที่โหวตต่อต้านผลการเลือกตั้งในครั้งนี้" โฆษกของแมริออตกล่าว

อีกกลุ่มหนึ่งที่ยกเลิกการบริจาคให้กับพรรครีพับลิกันคือกลุ่มธนาคารใหญ่สองแห่งคือ เจพีมอร์แกนเชส และ ซิตีกรุ๊ป พวกเขาระบุว่าจะหยุดบริจาคทางการเมืองให้กับทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต โดยที่เจพีมอร์แกนจะหยุดบริจาคเป็นเวลา 6 เดือน จากที่พวกเขาบริจาคทางการเมืองร้อยละ 60 ของวงเงิน 900,000 ดอลลาร์ (ราว 27 ล้านบาท) ให้กับพรรครีพับลิกันในช่วงปี 2019-2020

ขณะที่ แคนดี วูล์ฟฟ์ ประธานฝ่ายบริหารกิจการนานาชาติของซิตีกรุ๊ปส่งแจ้งเตือนถึงพนักงานตัวเองว่าพวกเขาจะ "ไม่สนับสนุนผู้แทนฯ ที่ไม่เคารพหลักนิติธรรม" โดยที่ก่อนหน้านี้ซิตีกรุ๊ปเคยบริจาคให้กับ ส.ว. โจช ฮาวลีย์ จากพรรครีพับลิกันมาก่อนในปี 2562 จากที่ฮาวลีย์เป็นผู้แทนประจำรัฐมิสซูรีที่มีลูกจ้างของซิตีกรุ๊ปอยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตามฮาวลีย์เป็นผู้นำการฟ้องร้องต่อต้านชัยชนะของไบเดน และในปี 2562-2563 ซิตี้กรุ๊ปทำการบริจาคให้กับผู้แทนทางการเมืองของรัฐบาลกลางรวม 742,000 บาท โดยที่ร้อยละ 56 บริจาคให้กับพรรครีพับลิกัน

บริษัทอื่นๆ ก็เผชิญคำถามเกี่ยวกับแผนการยกเลิกการบริจาคให้กับพรรคเดโมแครตหลังกรณีการจลาจลที่อาคารรัฐสภา แต่บริษัทจำนวนมากก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรในเรื่องนี้ หนึ่งในบริษัทเหล่านี้คือฟอร์ดมอเตอร์ ที่แถลงเมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยอ้างว่านักการเมืองเหล่านี้สนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างของพวกเขาจึงต้องมีการพิจารณาในเรื่องนี้

ทั้งนี้ ทรัมป์ ยังเผชิญกับการสกัดกั้นการระดมทุนทางการเมืองของตัวเอง หลังจากที่บริษัทการชำระเงินทางดิจิทัล Stripe ประกาศว่าพวกเขาจะไม่อนุญาตให้มีการชำระเงินไปยังเว็บไซต์หาเสียงของทรัมป์อีกต่อไป โดยที่ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ย. 2563 ทีมหาเสียงของทรัมป์เคยขอให้ผู้สนับสนุนบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคดีที่ทรัมป์ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

อีกกลุ่มหนึ่งที่ทำการแบนทรัมป์คือสมาคมกอล์ฟพีจีเอทัวร์แห่งอเมริกา พวกเขาประกาศว่าจะตัดสายสัมพันธ์กับทรัมป์ด้วยการไม่จัดแข่งขันพรีเมียร์แชมเปียนชิปส์ที่สนามกอล์ปของทรัมป์ในนิวเจอร์ซี

 

เรียบเรียงจาก

US businesses cut Republican party donations in wake of riot, DW, 11-01-2021

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

4 สถิติที่จะทำให้มอง COVID-19 ใกล้ชิดกับความเจ็บปวดระดับปัจเจกบุคคลมากขึ้น

$
0
0

ช่วงเดือน ธ.ค.63 สถิติผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในสหรัฐฯ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 2,000 หรือ 3,000 ต่อวัน อย่างไรก็ตามนอกจากตัวเลขที่ดูเป็นสถิติใหญ่ๆ แล้ว ดิแอตแลนติคนำเสนอตัวเลขที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดในระดับปัจเจกบุคคล

นอกจากตัวเลขสถิติใหญ่ๆ เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ที่ทำให้ความเจ็บปวดเหล่านี้ดูห่างไกลและชวนให้เฉยชาแล้ว สื่อดิแอตแลนติดได้นำเสนอตัวเลขสถิติ 4 ประการที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเหตุการณ์โรคระบาดนี้อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตเรามากกว่าที่คิด

1. โดยเฉลี่ยแล้ว ประชาชนชาวสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตจาก COVID-19 ชีวิตของพวกเขาหายไป 13 ปี

สเตเฟน เอลลีจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเปรียบเทียบอายุของผู้คนที่เสียชีวิตจาก COVID-19 ในสหรัฐฯ กับอายุคาดเฉลี่ยของพวกเขาถ้าหากพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับโรค COVID-19 โดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานสวัสดิการสังคม
ผลออกมาว่าถ้าหากผู้คนไม่ติดโรคนี้จนเสียชีวิตพวกเขาจะมีอายุไขไปอีกประมาณ 13 ปีโดยเฉลี่ย แต่นั่นหมายความว่าจากค่าเฉลี่ยนี้เอามาคิดรวมกับคนที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังเยาว์วัยจากโรคนี้ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสูญเสียเวลาที่ควรจะได้มีชีวิตออยู่ต่อไปอย่างมาก

เรื่องนี้เอลลีจต้องการชี้ให้เห็นว่าเวลาที่คนพูดถึง COVID-19 พวกเขามักจะพูดถึงว่าผู้คนที่เป็นโรคนี้มักจะเป็นผู้สูงอายุที่ใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้ว แต่เหตุใดพวกเขากลับไปคิดว่าถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะเป็นคนอายุ 70-75 ปี แต่พวกเขาก็อาจจะมีชีวิตไปได้อีก 10-15 ปี นั่นยังไม่นับรวมคนอายุน้อยที่อาจจะสูญเสียเวลาที่ควรจะได้มีชีวิตอยู่ไปอีกถึง 40 ปี เมื่อนำมารวมกันแล้วผู้คนจะสูญเสียเวลาในชีวิตไปราว 4.5 ล้านป

2. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อายุคาดเฉลี่ยแต่กำเนิดของชาวสหรัฐฯ ทั้งหมดลดลงมา 1 ปีเต็ม

แพทริก ฮิวเวลีน นักประชากรศาสตร์จากสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันประเมินว่าเมื่อปี 2563 จบลงแล้ว มีการเสียชีวิตในสหรัฐฯ มากพอที่จะทำให้อายุคาดเฉลี่ยทั้งหมดของประชากรในสหรัฐฯ ลดลงจาก 78.8 ปี ในปี 2562 เหลือ 77.7 ปี ในปี 2563 ซึ่งในหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรที่ทำให้อายุคาดเฉลี่ยประชากรลดลงได้ขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็นช่วงเอดส์ระบาดหรือช่วงเกิดวิกฤตสารเสพติดประเภทโอพิออยด์

ถึงแม้ว่าฮิวเวลีนจะเตือนว่าอายุคาดเฉลี่ยเป็นการคำนวนเชิงการทดลองทางความคิดที่อาศัยการประมาณการมากกว่าหลักฐาน แต่การที่อายุคาดเฉลี่ยประชากรทั้งหมดลดลงมากเท่านี้ถือเป็นสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งใปนระวัติศาสตร์สหรัฐฯ

3. คนดำมีโอกาสเสียชีวิตจาก COVID-19 มากกว่าคนขาว ในระดับ 1 ใน 800 ต่อ 1 ใน 1,325 ชนพื้นเมืองเผชิญหนักที่สุด

จากการวิเคราะห์ของโครงการเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสของศูนย์วิจัยเอพีเอ็มระบุถึงอัตราการเสียชีวิตเปรียบเทียบระหว่างคนเชื้อชาติสีผิวต่างๆ พบว่า คนขาวมีโอกาสเสียชีวิตจาก COVID-19 ในอัตรา 1 ใน 1,325 คน ขณะที่คนดำมีโอกาสเสียชีวิตในอัตรา 1 ใน 800 คน ส่วนชนพื้นเมืองอเมริกันได้รับผลกระทบหนักที่สุดโดยมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 1 ใน 750 คน ชาวเกาะแปซิฟิกมีโอกาสเสียชีวิต 1 ใน 1,100 คน ชาวละติน 1 ใน 1,150 คน และชาวเอเชียอเมริกัน 1 ใน 1,925 คน

ในเรื่องนี้ดิแอตแลนติคยังระบุว่ามันแสดงให้เห็นถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนขาวกับคนดำและคนเชื้อชาติสีผิวอื่นๆ ในสหรัฐฯ เพราะถึงแม้ว่าคนสูงอายุมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนอายุยังน้อย แต่กลุ่มคนดำที่มีสัดส่วนประชากรสูงอายุน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนขาวกลับมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า

4. ชาวอเมริกันประมาณ 3.1 ล้านคนสูญเสียญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดของตัวเองไปเพราะ COVID-19

แอชตัน เวอร์เดอรี นักสังคมวิทยาจากรัฐเพนน์เป็นผู้ที่ร่วมทำการประเมินตัวเลขนี้ โดยมีนิยามของญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดนั้นรวมถึงปู่ย่าตายาย, พ่อแม่, สามีภรรยา, พี่น้อง และลูกๆ มีการประเมินจำนวนผู้สูญเสียญาติพี่น้องจากโมเดลที่เรียกว่า "ตัวคูณผู้สูญเสียบุคคลที่รัก" (bereavement multiplier) ซึ่งระบุว่าในหนึ่งคนที่เสียชีวิตจะมีผู้ไว้ทุกข์จากการสูญเสียประมาณ 9 คน เมื่อคิดจากตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในสหรัฐฯ แล้วจำนวนผู้ไว้ทุกข์จะอยู่ที่ประมาณ 3.1 ล้านคน

ในช่วงที่มีการนำเสนอรายานนี้เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2564 ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณเกือบ 350,000 คน ถึงแม้ว่าในช่วงไม่นานนี้จะมีข่าวดีว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพแต่การที่ช่วงฤดูหนาวมีโอกาสที่จะทำให้ให้ไวรัสแพร่กระจายได้มากกว่าก็อาจจะทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น

รียบเรียงจาก : 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จาก ห อ ม สู่ #เฟมินิสต์ปลดแอก (3) : ขอให้ประชาธิปไตยไม่ผลักใครให้เป็นอื่น

$
0
0

รายงานบทสัมภาษณ์ “เคท ครั้งพิบูลย์” ผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ วิเคราะห์วัจนะภาษาต่อความสัมพันธ์ จนถึงบทบาทของศาสนา ปิตาธิปไตย และการกดทับซ้ำซ้อนทางเพศ พร้อมเปิดแง่มุมการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การบัญญัติกฎหมาย สร้างความเท่าเทียมทางเพศในระยะยาว

และแล้วก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของซีรีส์ จาก ห อ ม สู่ #เฟมินิสต์ปลดแอก พร้อมกับการจากไปของปี 2563 อย่างเป็นทางการในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่การกลับมาระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) เป็นผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และยอดผู้ติดเชื้อรอบนี้จะไปหยุดลงที่จำนวนเท่าไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะต้องพบเจอกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้องจากการปิดประเทศเพื่อหยุดการระบาดระลอกแรกของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อช่วงต้นปี ยังผลให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตดิ้นรนมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ความล้มเหลวของระบบสวัสดิการรัฐที่ไม่ต่างอะไรกับการแข่งขันลุ้นรับโชคอย่างเช่น เงินชดเชยเพื่อเยียวยาพิษโควิด-19 ความล้มเหลวของระบบการศึกษาผ่านดาวเทียมที่ไม่อัปเดตหลักสูตรและวิธีการสอนให้สอดรับกับยุคสมัยปัจจุบัน หรือปัญหาสังคมที่นับวันยิ่งจะเผยให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น

การออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกผ่านการชุมนุมของกลุ่มนักเรียนและนิสิตนักศึกษา นำมาสู่การผลักดันหลายประเด็นปัญหาที่ไม่เคยถูกพูด ทั้งหมดจึงเป็นเหมือนการจุดไฟแห่งความหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องมีสังคมที่ดีกว่านี้ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกประเด็นจะสามารถขับเคลื่อนไปโดยง่าย บางประเด็นต้องอาศัยการสร้างความรู้ความเข้าใจ บางประเด็นต้องอาศัยการดึงประสบการณ์ร่วมในแง่ต่างๆ ออกมาให้เห็นปัญหา หากแต่สำหรับประเด็นเพื่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQ+ ก็ยังเป็นประเด็นที่ยากต่อการขับเคลื่อนอย่างมากทั้งแง่การสร้างความเข้าใจเพื่อลดความเกลียดชังในอัตลักษณ์ทางเพศ และแง่การตรากฎหมายเพื่อรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานที่เขาเหล่านี้ควรได้รับเฉกเช่นคนทั่วไป สวนทางกับคำยกยอของชาวต่างชาติที่ว่า “ประเทศไทยเป็น ‘Land of Freedom’ สำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ”

แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่การสร้างความเข้าใจจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเราไม่พูดคุยกันถึงวิธีการเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย วันนี้เราจะมาพูดคุยกับ “เคท ครั้งพิบูลย์” อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้เคยถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศก่อนการเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในประเทศไทย ก็อาจนำมาซึ่งความคิดในอีกแง่มุมหนึ่งกับการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การบัญญัติกฎหมายเพื่อการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในระยะยาวได้

เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้เคยถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศก่อนการเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในประเทศไทย

เมื่อวัจนะภาษามีผลต่อความสัมพันธ์และความรู้สึก

เป็นที่ทราบกันดีกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้จากการรวมกลุ่มและปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์ก็นำมาซึ่งความรู้สึกที่ต่างกันออกไป เกิดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในหลากหลายรูปแบบ เมื่อจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์คือ การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างปฏิสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องของวัจนะภาษาหรือภาษาพูด และอวัจนะภาษาหรือท่าทางที่จะเป็นตัวกำหนดว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะไปในทิศทางใด

เคท เริ่มต้นอธิบายว่า ทั้งวัจนะภาษากับอวัจนะภาษาต่างมีความหมายของมัน ซึ่งสองสิ่งนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์นั้น ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารหรือสื่ออารมณ์อย่างไรกับเรา ผู้รับสารจะเป็นผู้เดียวที่รับรู้ได้ว่า สารและอารมณ์ที่ส่งมามีลักษณะเช่นไร แน่นอนว่า อวัจนะภาษาส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของบุคลิกภาพส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ท่าทางที่แตกต่างกันจึงมีผลต่อการตีความในแง่ความรู้สึก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบุคคลหนึ่งมีความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรกับอีกบุคคลหนึ่ง บุคคลนั้นอาจแสดงออกซึ่งท่าทางที่ไม่เป็นมิตร ไม่ว่าจะเผลอกระทำหรือตั้งใจ หากผู้รับสารรู้สึกว่า ท่าทีดังกล่าวมีความหมายแฝงเร้นว่าเป็นการเหยียด ผู้รับสารจะรู้สึกได้และสามารถบอกได้ว่า ท่าทีดังกล่าวส่งผลต่อความรู้สึกของตนอย่างไร

เช่นเดียวกับวัจนะภาษา เคท กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ภาษาในการสื่อสาร ไม่ว่าจะในรูปแบบคำหรือประโยค หากเจตนาของผู้ส่งสารต้องการสื่อความหมายในเชิงลบหรือสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้รับสาร หากผู้รับสารรู้สึกไม่สบายใจจากคำพูดดังกล่าว ผู้รับสารจะต้องอธิบายได้ว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร และถือเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามสิทธิของตนหรือไม่

เมื่อคำพูดมีผลต่อความสัมพันธ์และความรู้สึก ภาษาพูดทั่วโลกรวมทั้งภาษาไทยจึงมีรูปแบบการใช้คำ 2 แบบ คือ การใช้คำในความหมายทางตรง และการใช้คำในความหมายโดยนัย เนื่องจากคำบางคำอาจเป็นคำหยาบคายหรือมีความหมายเชิงลบ การบัญญัติความหมายโดยนัยลงบนคำที่มีอยู่เดิมเพื่อใช้สื่อสารทางอ้อมถึงประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน จึงเป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยลดทอนความรุนแรงหรือความหยาบคายของประเด็นนั้นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องพูดเรื่องของอวัยวะเพศชาย เราจะไม่ใช้คำที่มีความหมายว่า อวัยวะเพศชายโดยตรง แต่เราจะเลี่ยงไปใช้คำอื่น เช่น ช้างน้อย น้องชาย ลึงค์ หรืออื่นๆ หรือเมื่อพูดถึงเรื่องของอวัยวะเพศหญิง เราอาจจะใช้คำว่า น้องสาว หรืออื่นๆ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการใช้คำมีผลต่อความสัมพันธ์อย่างมากในปัจจุบัน การตระหนักรู้เรื่องมิติความละเอียดอ่อนของคำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก กล่าวคือ มิติความละเอียดอ่อนของคำเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนว่า เราตระหนักรู้ถึงความเหมาะสมได้มากน้อยเพียงใดในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อจะเลือกใช้คำหรือประโยคต่างๆ โดยที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ปัจจัยนี้จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างสังคมที่เคารพความแตกต่างบนความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน เพราะหากไม่มีการเคารพกันแล้ว สังคมก็จะพบกับความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาจุดจบได้ ดังเช่น กรณีการใช้คำว่า ห อ ม ที่เป็นประเด็นถกเถียงถึงเรื่องบริบทของคำดังกล่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ก่อนหน้านี้ แม้ปัจจุบันคำดังกล่าวจะไม่ถูกพูดถึงแล้ว แต่ในแง่ความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายที่ถกเถียงกันนั้นยังคงเป็นสิ่งที่คลุมเครือ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว การถกเถียงดังกล่าวเกิดจากการถามถึงความเหมาะควรของการใช้คำที่มีความหมายโดยนัยในลักษณะคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) เมื่อผู้รับสารรู้สึกว่าการใช้คำว่า ห อ ม ในลักษณะดังกล่าวนำมาซึ่งความไม่สบายใจ และความรู้สึกต่อต้านกับการใช้คำดังกล่าว ผู้ส่งสารก็จำเป็นจะต้องเคารพความรู้สึกและความต้องการของผู้รับสารด้วยเช่นกัน

แต่กระนั้นก็มีกลุ่มคนบางส่วนถามถึงการกระทำในลักษณะเดียวกันของ “กลุ่มจ๊อกจ๊อกผู้ชาย” อันเป็นกลุ่มสังคม LGBTIQ+ ที่ถูกสร้างขึ้นบน Facebook เพื่อส่งต่อรูปภาพผู้ชาย และแสดงความคิดเห็นร่วมกันในลักษณะคุกคามทางเพศ อาทิเช่น น้ำเดิน เดินไม่ไหว ปล่อยท้อง เป็นต้น จนเกิดเป็นการตั้งคำถามว่า ถือเป็นการคุกคามทางเพศหรือไม่?

เคท ตอบคำถามนี้ว่า การกระทำดังกล่าวถือการคุกคามทางเพศเช่นเดียวกับการพิมพ์คำว่า ห อ ม ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นเพศใด หรือมีเจตนาในการใช้คำหรือประโยคแบบใดก็ตาม หากคำหรือประโยคเหล่านั้นได้รับการตีความแล้วว่า เป็นหนึ่งในรูปแบบของการละเมิดความเป็นมนุษย์อันประกอบด้วย สีผิว หน้าตา รูปร่าง วัฒนธรรม ภาษา เชื้อชาติ ศาสนา และเพศสภาพ ส่งผลให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกไม่ดี ผู้ส่งสารก็จำเป็นจะต้องทบทวนเพื่อเลี่ยงการใช้คำหรือประโยคที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตใจกับผู้รับสารที่อาจต้องเผชิญกับความรู้สึกเมื่อได้รับคำเหล่านั้น

ภาพจากกิจกรรม#ไพร่พาเพรด เดินขบวนเพื่อประชาธิปไตย ความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในทุกมิติ จัดโดย  กลุ่มเสรีเทยพลัส และผู้หญิงปลดแอก เมื่อวันที่ 7 พ.ย.63

ศาสนา ปิตาธิปไตย และการกดทับซ้ำซ้อนทางเพศ

“ถ้าย้อนกลับไปดูจะพบว่า สังคมมันมีการมองเห็นอยู่แล้วว่า คนที่เป็นเพศสภาพอื่นนอกจากชายหญิงในสังคมวัฒนธรรมเดียวกัน มันมีอยู่จริง”

จากประโยคเมื่อครู่ เคทอธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณาถึงการนำเสนอความเป็นเพศในสังคมเอเชียอาคเนย์ หรือแม้แต่สังคมไทยจะมีคำศัพท์ที่แสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศ อาทิเช่น คำว่า “กะเทย” ในภาษาไทยที่ถูกนำมาใช้แทนความหมายกับคนที่ไม่ได้เป็นเพศหญิงหรือชาย หรือแม้แต่คำว่า “Pondan” ในภาษามลายู หรือ คำว่า “Waria” ในภาษาอินโดนีเซีย ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าความหลากหลายทางเพศในบริบทของสังคมเอเชียอาคเนย์เป็นสิ่งที่ถูกมองเห็นและบันทึกไว้อยู่ก่อนแล้ว

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาอันก่อให้เกิดการกดทับทางเพศในบริบทภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่สังคมในภูมิภาคนี้สมาทานแนวคิดชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) เป็นผลให้เพศชายเป็นเพศที่เข้าถึงทรัพยากรและผลประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่ถูกเชื่อว่า จะเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพมากกว่ากลุ่มคนเพศสภาพอื่น พวกเขาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่กุมอำนาจ รวมทั้งออกแบบวิธีการเข้าถึงอำนาจและสร้างระบอบคิดเรื่องคุณค่าความเป็นชายว่า เป็นคุณค่ามาตรฐานที่สังคมต้องยึดถือ อีกทั้งวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ทำให้เห็นว่า ความเป็นเพศสภาพถูกสร้างขึ้นมาแบบกล่องสองเพศ คือ ความเป็นเพศหญิงกับความเป็นเพศชาย และถูกทำให้เชื่อว่า เพศทั้งสองคือเพศกระแสหลัก และใครก็ตามที่ออกจากความเป็นเพศกระแสหลักนี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

แน่นอนว่า จารีต วัฒนธรรม และศาสนาก็มีส่วนทำให้แนวคิดชายเป็นใหญ่นั้นแข็งแรงและคงอยู่ร่วมกับสังคมได้ ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธศาสนา (อาจหมายรวมถึงศาสนาอื่นที่มีผลต่อบริบทการในสังคม) ที่เข้ามาบทบาทในแง่ของการกำหนดวิถีชีวิต และบทบาทหน้าที่ของคนในระดับต่างๆ ตั้งแต่ครอบครัวไปจนถึงระดับสังคม สามสิ่งนี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้แนวคิดชายเป็นใหญ่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ผ่านการกำหนดบทบาททางเพศสภาพว่า เพศสภาพแบบไหนมีบทบาทอย่างไรในสังคม เพื่อคงอยู่และสืบทอดต่อไปในแง่ของความเชื่อและอุดมการณ์ที่คนในสังคมเชื่อร่วมกันว่า เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การธำรงรักษา ดังจะเห็นจากคนที่เป็นเพศสภาพอื่นที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศใช้ระบอบปิตาธิปไตยในการส่งทอดความคิดในรูปแบบต่างๆ เพื่อทำให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นมาแบบไหนก็ควรจะต้องดำรงต่อไปเช่นนั้น

ดังนั้นแล้ว การพูดถึงปัญหาหลักของระบอบปิตาธิปไตยในมุมมองของ เคท คือ เราจะต้องทำให้ผู้คนในสังคมเห็นภาพร่วมกันว่า มันมีการผลิตซ้ำแนวคิดนี้อยู่ในทุกที่ เพื่อคงภาพจำไว้ว่าเพศสภาพอื่นนั้นอ่อนแอและมีข้อด้อยทั้งหมด ขณะที่เพศสภาพชายคือสิ่งที่ดีเลิศและเป็นมาตรฐานของสังคม

ทั้งหมดนี้จึงนำมาซึ่งการต่อสู้ทางความคิดระหว่างผู้สมาทานปิตาธิปไตยกับกลุ่มคนที่ต้องการความเท่าเทียมทางเพศ ดังเช่นประวัติศาสตร์ชนชั้นนำที่ออกมาพูดถึงบทบาทของผู้หญิงอย่าง กรณีอำแดงเหมือน หญิงชาวบางม่วง นนทบุรี ผู้ที่ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนสิทธิสตรีคนแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 จากบันทึกคดีความระหว่างอำแดงเหมือนและนายริด ผู้เป็นสามี กับ นายภู ผู้ซึ่งบิดาและมารดาของอำแดงเหมือนทำหนังสือขายอำแดงเหมือนให้เป็นภรรยา นำมาสู่การยื่นหนังสือฎีกาต่อในหลวง รัชกาลที่4 และได้รับพระบรมราชวินิจฉัยว่า “หญิงนั้นอายุก็มากถึง ๒๐ ปีเสศแล้ว ควรจะเลือกหาผัว ตามใจชอบของตนเองได้” และ “บิดามารดา ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้หญิง ดังหนึ่งคนเป็นเจ้าของโค กระบือ ช้าง ม้า ที่ตนจะตั้งราคาขายโดยชอบได้  เมื่อบิดามารดายากจนจะขายบุตรได้ก็ต่อเมื่อบุตรยอมให้ขาย ถ้าไม่ยอมให้ขายก็ขายไม่ได้ ฤๅยอมให้ขายถ้าบุตรยอมรับหนี้ค่าตัวเพียงไร ขายได้เพียงเท่านั้น กฎหมายเก่าอย่างไร ผิดไปจากนี้อย่าเอา” กรณีดังกล่าวจึงถือเป็นพัฒนาการแรกในด้านสิทธิสตรีว่า ผู้หญิงมีสิทธิเลือกคู่ครองได้ตามตนเองต้องการได้

นับแต่นั้นมาพัฒนาการเรื่องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศก็มีมาอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ แต่ที่เห็นชัดมากที่สุดคือ กระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในประเทศไทย มีส่วนเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่ทำให้เกิดการพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะ 20 ปีที่ผ่านมาของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิความเท่าเทียมทางเพศได้ดำเนินการต่อสู้กับภาครัฐในหลากหลายประเด็น จนกระทั่งผู้หญิงได้รับสิทธิที่ทัดเทียมกับผู้ชายมากขึ้นเช่น สิทธิแรงงาน สิทธิในการลาคลอด สิทธิในการเข้าถึงอาชีพที่หลากหลายเท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นต้น

การต่อสู้ทางด้านสิทธิของผู้หญิง และ LGBTIQ+ จึงมีพัฒนาการในแบบกลุ่มของตน มีการต่อสู้กับวัฒนธรรมที่ตีกรอบบทบาทของความเป็นเพศ ทั้งวัฒนธรรมเดิมที่อ้างอิงกับระบอบปิตาธิปไตย การกำหนดบทบาทผู้คนของศาสนา รวมทั้งอิทธิพลที่รับมาจากวัฒนธรรมตะวันตกช่วงยุควิคตอเรีย ซึ่งมีผลอย่างมากกับการแสดงออกเรื่องความเป็นเพศ สิ่งเหล่านี้ทำให้กรอบความคิดเรื่องเพศกลับไปสู่จุดที่ยึดถือความเป็นเพศแบบสองเพศเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อสิ่งเหล่านี้ดำเนินการเช่นดังกล่าวไปเรื่อยๆ ทางประวัติศาสตร์สังคม จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความไม่เสมอภาคทางเพศที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะระบอบการเมือง วัฒนธรรม และศาสนา หรือแม้แต่ในสถานศึกษา เมื่อความเป็นเพศถูกนำมาเป็นเครื่องมือชี้วัดความเท่าเทียม เราจะเห็นได้ในทันทีว่า ความไม่เสมอภาคมีอยู่ทุกที่ ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางเพศโดยมีผู้หญิงและ LGBTIQ+ เป็นผู้ขับเคลื่อน

สำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQ+ สิ่งที่เป็นลักษณะเด่นคือ ความเป็นกลุ่มก้อนของผู้คน กอปรกับอัตลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนมากว่า พวกเขาไม่ใช่เพศตามกรอบเพศชายและหญิง จริงอยู่ว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่ทุกคนสามารถแสดงออกทางอัตลักษณ์ทางเพศได้อย่างเสรี แต่ใช่ว่าสังคมไทยจะไม่มีเรื่องความเกลียดชังต่อคนกลุ่มนี้ เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าสังคมคือ สังคมไทยไม่มีความเกลียดชังแบบซึ่งหน้า (Hate Crime) ต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ผู้คนภายนอกจึงมองว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่เปิดรับความหลากหลายทางเพศ ผู้คนสามารถเป็นเกย์ กะเทย หรือเลสเบี้ยนได้ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อคนกลุ่มนี้มีปัญหากับสังคม สังคมก็จะทำการเปิดเผยเพื่อตีตราและประณาม ดังเช่นการเลือกปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้จากการเลือกนำเสนอข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันที่ เช่น “หนุ่มตุ้งติ้งถูกฆ่า” “ทอมหึงโหด” และ “กะเทยลักทรัพย์” หรือแม้แต่ละครหลังข่าวที่แสดงออกถึงบทบาทของพวกเขาว่า เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง เป็นตัวตลก และเป็นคนไม่สมหวังในความรัก ทั้งหมดนี้เป็นสร้างภาพจำ และขับเคลื่อนสังคมให้มีมุมมองด้านลบต่อ LGBTIQ+ ในระดับเข้มข้นมาก

Land of Freedom ที่กฎหมายไม่รับรอง

“ภาพมันฉายให้เห็นชัดว่า สังคมไทยไม่ยอมเข้าใจความเป็นเพศวิถี ไม่ยอมเข้าใจความเป็นอัตลักษณ์ทางเพศ และเชื่ออย่างเดียวว่า เพศกำเนิดเป็นสิ่งที่ติดตัวไปตลอด”

อย่างที่เราได้พูดคุยกันไปหลากช่วงหลายตอนเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความเป็นอัตลักษณ์ทางเพศ สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ ความเข้าใจเรื่องเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ รวมไปถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ควรผูกติดกับศักยภาพที่มีมากกว่าความเป็นเพศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมไทยมีเลือกเชื่ออย่างฝังหัวเกี่ยวกับแนวคิดแบบกล่องสองเพศ แม้บางคนจะไม่ได้สมาทานคุณค่าความเป็นชายตามแบบระบอบปิตาธิปไตย แต่แนวคิดแบบกล่องสองเพศยังคงฝังรากลึกอยูในชุดความคิดของผู้คน แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากกรอบความคิดเรื่องบทบาททางเพศ อันสืบเนื่องมาจากจารีต ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด แต่ส่วนที่เป็นปัญหาหลักน่าจะมาจากนโยบายของภาครัฐที่กำหนดความเป็นเพศภายหลังคนๆ หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา ผ่านคำนำหน้าว่า “เด็กชาย” และ “เด็กหญิง”

เคท ให้ข้อสังเกตว่า ประเทศไทยให้สิทธิการกำหนดเพศของทารกผ่านการแจ้งเกิดในสูติบัตร ซึ่งสูตินารีแพทย์ผู้ทำคลอดจะเป็นผู้มีสิทธิกำหนดเพศของทารกผ่านการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยความเป็นเพศผ่านเครื่องเพศกำเนิดของทารก แต่ปัญหาที่ปรากฏก็คือว่า การวินิจฉัยเพศของสูตินารีแพทย์นั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นเพศของเด็กที่โตมา เนื่องจากเครื่องเพศเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสะท้องความเป็นเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลได้ ดังนั้นบางประเทศที่มีพัฒนาการความคิดเรื่องความเป็นเพศไปไกลระดับนึงแล้ว เขาจะมองเห็นความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับการนิยามความเป็นเพศของบุคคล นโยบายของประเทศเหล่านี้จึงกำหนดว่า ต้องรอให้เด็กโตขึ้นมาในระดับหนึ่งก่อน เพื่อให้เด็กสามารถตัดสินใจเลือกเพศของตัวเองได้ สิ่งนี้จึงเป็นข้อยืนยันมากที่สุดว่า ท้ายที่สุดแล้วแนวคิดเรื่องความเป็นเพศสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมว่า วัฒนธรรมนั้นให้สิทธิบุคคลในการตัดสินใจและสร้างนิยามความเป็นเพศของตัวเองอย่างไร

แต่ถึงอย่างนั้น คำถามถัดมาคือ แล้วประเทศไทยจะสามารถให้สิทธิการกำหนดเพศแก่เจ้าของร่างกายนั้นหรือไม่? คำตอบของ เคท สำหรับเรื่องนี้คือ

“ยากค่ะ เพราะว่าการเลือกเพศ เป็นเรื่องของการรักษาอำนาจของผู้ปกครอง”

เนื่องจากจารีต ศาสนา และวัฒนธรรมของสังคมไทยได้เข้าไปควบคุมความเป็นเพศ และบทบาททางเพศของคนในสังคมระดับที่แข็งตัวมาก โดยเฉพาะในวัฒนธรรมของชนชั้นสูงที่ฉายภาพอย่างชัดเจนว่า เพศสภาพชายเป็นผู้นำ และเพศสภาพหญิงเป็นผู้ตาม อีกทั้งความเป็นเพศถือเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจของผู้ชาย อิทธิพลของจารีต ศาสนา และวัฒนธรรมเหล่านี้จึงก่อเกิดความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ว่า ถ้าผู้หญิงจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจของผู้ชายนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

ทำไมเขาถึงเชื่อเช่นนั้น? เคท ให้เหตุผลว่า วัฒนธรรมของชนชั้นสูงนั้นถือเป็นต้นแบบของคนชนชั้นอื่นในสังคม เมื่อชนชั้นที่ทำการปกครองประเทศมีวัฒนธรรมเช่นไร กลุ่มคนต่างๆ ที่อยู่ใต้อำนาจก็จะรับเอาวัฒนธรรมเหล่านั้นจากศูนย์กลางออกมาปฏิบัติสืบทอดต่อไป การรักษาอำนาจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากมันคือการเข้าไปควบคุมความคิดของคนในสังคม ฉะนั้นการควบคุมความคิดเรื่องความเป็นเพศจึงเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจต้องเข้าไปจัดการ ส่งผลให้ระดับนโยบายหรือกฎหมายของรัฐไทยในประเด็นเรื่องความเป็นเพศมีลักษณะเป็นการตีกรอบให้ลงกล่องว่า “คุณเป็นเพศอะไร?” เมื่อบุคคลต้องการข้ามเพศไปเป็นอีกเพศหนึ่งก็จะถูกตั้งคำถามว่า “ถ้าข้ามเพศไปแล้วสังคมจะยอมรับได้ไหม?” หรือ “ถ้าผู้ชายไม่รู้ว่าคุณข้ามเพศแล้วมารักพอชอบกันถึงขั้นแต่งงานจะทำอย่างไร?” ทั้งหมดจึงออกมาในลักษณะที่สังคมเป็นผู้คิดแทนบุคคล

ดังนั้นเมื่อพูดถึงการเปิดรับความหลากหลายทางเพศของสังคมไทย ข้อด้อยที่สุดก็คือ เราไม่มีกฎหมายที่สามารถนำมาใช้คุ้มครองสิทธิคนที่เป็น LGBTIQ+ ได้เลย เมื่อการคุ้มครองในทางกฎหมายไม่มีแล้ว การจะพูดว่า สังคมไทยมีการยอมรับคนกลุ่มนี้ แต่การยอมรับในทางกฎหมายกลับยังไม่มี มันจึงเป็นข้อบ่งชี้ว่า รัฐไทยไม่ได้สนับสนุนคนที่เป็น LGBTIQ+ อย่างแท้จริง คนกลุ่มนี้จึงไม่สามารถพูดได้ว่า ความรู้สึกของการถูกคุ้มครองสิทธิโดยรัฐในฐานะประชาชนทั่วไปคืออะไร เพราะสิทธิขั้นพื้นฐานที่อยู่ในกฎหมายนั้นไม่ได้ถูกให้การรับรองบุคคลทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน

ตัวอย่างหนึ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 วรรค 1 ระบุว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน” ขณะที่วรรคสอง มาตราเดียวกันระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ทั้งสองวรรคของมาตรานี้จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่า สถานะของบุคคลในรัฐไทยมีเพียงแค่ชายหญิงเท่านั้น

ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานในประเด็นความหลากหลายทางเพศได้พยายามเรียกร้องไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังคืบหน้าไปได้น้อยมาก เนื่องมาจากสาเหตุแรกคือ กลุ่มผู้มีอำนาจได้ทำการปฏิเสธ และพยายามแสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเหตุไม่มีอยู่จริง สังคมไทยเปิดกว้างให้กับบุคคลทุกคน รัฐไทยดูแลทุกคนเท่าเทียม สาเหตุที่สองคือ เรื่องของความเพิกเฉย สิ่งที่กลุ่มคนทำงานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศค้นพบคือ มันมีความเพิกเฉยที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้มีอำนาจ และส่วนนี้มีผลอย่างมากต่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศเพื่อให้แก้ได้อย่างตรงจุด

ดังนั้นเมื่อพูดถึง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม พ.ร.บ.รับรองเพศสภาพ และกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาเพื่อให้กลุ่มคนหลากหลายทางเพศมีสิทธิที่ทัดเทียมกับเพศอื่น เหตุผลที่กฎหมายเหล่านี้ยังไม่ถูกรับรอง เนื่องจากกลุ่มผู้บริหารประเทศยังมีชุดความคิดว่า เมื่อพูดถึงเรื่องของการสมรส ภาพจำของคนกลุ่มนี้ยังคงเป็นภาพของผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้นที่จะสามารถสมรสเพื่อดำรงพงศ์พันธุ์ของตนให้อยู่บนโลกใบนี้ได้ ขณะที่เมื่อพูดถึงเพศสภาพ อุปสรรคที่พบเจอส่วนใหญ่คือ สังคมไม่ได้พูดถึงเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ แต่สังคมเชื่อและยึดมั่นถือมั่นในเรื่อง เพศกำเนิด ฉะนั้นปัญหาตรงนี้จะยังแก้ไขไม่ได้ ตราบใดสังคมยังยึดถือในเรื่องเพศกำเนิดและไม่เปิดรับความเป็นอัตลักษณ์ทางเพศอื่น

ภาพจากกิจกรรม#ไพร่พาเพรด เดินขบวนเพื่อประชาธิปไตย ความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียมในทุกมิติ จัดโดย  กลุ่มเสรีเทยพลัส และผู้หญิงปลดแอก เมื่อวันที่ 7 พ.ย.63

เสียงของปัญหาที่ส่งไปไม่ถึงสภา

บทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเคท ดำเนินมาถึงจุดหนึ่งที่ชวนให้ผู้เขียนฉุกคิดถึง งานเสวนา “ความรุนแรงทางเพศ – จากโลกออฟไลน์ถึงออนไลน์” ที่จัดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา และมี “กอล์ฟ – ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล และส.ส.คนแรกที่เป็นสตรีข้ามเพศ เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมวงเสวนา โดย กอล์ฟ ได้กล่าวถึงความเป็นสังคมไทยว่า “สังคมไทยให้ความสำคัญกับอวัยวะเพศมากกว่าความเป็นมนุษย์” ประโยคดังกล่าวนำมาซึ่งคำถามในวงสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเคทว่า “ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นสะท้อนมุมมองของรัฐและสังคมต่อ LGBTIQ+ อย่างไรบ้าง?”

“สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องการสร้างข้อจำกัด เขาไม่ได้ยอมรับตัวตนของคนที่เป็นเพศสภาพอื่นให้เข้าไปมีสถานะทางสังคมนะคะ”

เคท กล่าวเพิ่มเติมว่า สังคมไทยมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า อาชีพ สถานะ และตำแหน่งบางอย่างคู่ควรเฉพาะกับคนที่เป็นเพศกระแสหลักเท่านั้น อาทิเช่น อาชีพครู อาจารย์ ทหาร ตำรวจ หรือแม้กระทั่ง ส.ส. และ ส.ว. เป็นต้น มุมมองของสังคมที่มีต่อ LGBTIQ+ จึงถูกสะท้อนออกมาเมื่อ กอล์ฟ ผู้เป็นตัวแทนของความหลากหลายทางเพศที่ได้รับเลือกเข้าไปในสภา และได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า “จะใส่ชุดข้าราชการผู้หญิงได้อย่างไร” เห็นได้ชัดว่า กรอบความคิดเรื่องเพศและบทบาททางเพศมันเข้าไปจับแทนที่หลักการความเท่าเทียมของมนุษย์ไปเสียหมด ทั้งที่จริงแล้ว สังคมไม่จำเป็นต้องคิดแทนเลยด้วยซ้ำว่า กอล์ฟจะแต่งกายอย่างเพศสภาพหญิงเข้าสภาพได้หรือไม่? เพราะกอล์พสามารถแต่งกายอย่างไรเข้าสภาก็ได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในกฎระเบียบของสภา

ยิ่งไปกว่านั้น มุมมองทั้งหมดนี้มีผลต่อความแสดงคิดเห็นของ กอล์ฟ ทั้งในฐานะผู้เสนอประเด็นและผู้ซักถาม เพราะไม่ว่าจะขับเคลื่อนประเด็นใด หรือเสนอข้อคิดเห็นอย่างไรก็ตาม เสียงของกอล์ฟก็จะถูกด้อยค่าลงไป เพราะความเป็นคนหลากหลายทางเพศทำให้ถูกตีตราและปัดเป็นเสียงของคนชายขอบ

“เสียงของคนที่เป็นชายขอบเนี่ยมันถูกมองให้เป็นอื่นเสมอ”        

การถูกลดทอนพลังเสียงในการสื่อสารด้วยเหตุแห่งเพศสภาพยังเป็นสิ่งที่พบได้ในสังคม ทั้งจากกรณีของ อดีต ส.ส.กอล์ฟ และ เคท ในฐานะอาจารย์นั้น คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยไม่เปิดรับและไม่เลือกเชื่อในเรื่องของเพศวิถี อัตลักษณ์ทางเพศ และความเท่าเทียมของมนุษย์ โดยการไม่เปิดรับเหล่านี้เป็นผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในลักษณะที่เป็นความเกลียดกลัว เช่น “ตอนแรกมองอาจารย์เคทไม่ออกค่ะ นึกว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ” หรือแม้แต่คำถามว่า “ทำไมถึงมาเป็นแบบนี้ได้” “ที่บ้าน คนรอบตัวยอมรับบ้างไหม?” ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพให้เห็นว่า สังคมไทยให้คุณค่ากับอวัยวะเพศมากกว่าศักยภาพของบุคคลนั้นๆ

อีกทั้งการถูกกดทับด้วยความเป็นบุคคลหลากหลายทางเพศ เป็นเหตุให้คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญความรู้สึกแบบเดียวกันคือ การต้องถีบตัวเองขึ้นมา อันเป็นผลมาจากวาทกรรมที่ว่า “คนที่เป็น LGBTIQ+ จะต้องเก่งรอบด้าน” และทำให้คนเหล่านี้จำเป็นจะต้องถีบตัวเองขึ้นมา เพื่อแสวงหาความมั่นคง ความเชิดหน้าชูตาให้ครอบครัว ราวกับเป็นการทดแทนคุณค่าทางสังคมบางอย่างที่หายไป ทั้งที่จริงแล้วคุณค่าของพวกเขาอยู่ที่ศักยภาพที่พวกเขามี หาใช่ความเป็นเพศกระแสหลักหรือกระแสรองใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งหมดนำมาสู่การตั้งคำถาม และค้นพบว่า ทุกคนมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในแบบของตน และไม่จำเป็นจะต้องไปเสาะแสวงหาศักยภาพอื่นมาเพื่อต้องการได้รับการยอมรับ ดังนั้นกลุ่มผู้หญิงและ LGBTIQ+ จึงออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการที่จะมีตัวตนในแบบของตนเอง ทั้งในแง่กฎหมายที่สร้างความเท่าเทียม และการสร้างทัศนคติการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางสังคมให้ได้

แต่ปัญหาก็ติดอยู่ที่ว่า…

พหุวัฒนธรรมที่ไม่เข้าใจในความต่าง

“แม้สังคมไทยจะมีความหลากหลายของผู้คนมาก แต่เรื่องความเข้าใจและการปฏิบัติต่อกันบนความเคารพความแตกต่างของเรามีน้อยมาก”      

เมื่อเราพูดถึงเรื่องความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ผู้คนส่วนใหญ่มักมีภาพจำของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนไทยพุทธ คริสต์ อิสลาม พรามห์-ฮินดู ซิกข์และอื่นๆ แต่ เคท ให้มุมมองที่แตกต่างออกไปว่า ความหลากหลายในสังคมมันมีมิติมากกว่านั้น นอกเหนือจากความเป็นเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถิ่นแล้ว ความหลากหลายเพศและความหลากหลายทางกายภาพก็นับเป็นส่วนหนึ่งของสังคมพหุวัฒนธรรมเช่นกัน เมื่อสังคมไทยมีความเป็นพหุวัฒธรรม สิ่งที่ผู้คนในสังคมจะต้องเรียนรู้และส่งต่อความคิด ทัศนคติมุมมอง เพื่อจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ คือ การเคารพซึ่งกันและกัน การปฏิบัติที่ดีต่อกันในฐานะปัจเจกบุคคล

ขณะที่เมื่อย้อนกลับดูยังสังคมไทย สิ่งที่เป็นปัญหาคือ เราพูดถึงเรื่องการเคารพซึ่งความแตกต่างของกันและกันน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่ (Collectivism) ที่ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่ม และมองว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บรรทัดฐานและหน้าที่ของตนเองตามที่สังคมกำหนดไว้ เมื่อมีการรวมกลุ่มทางสังคมจะส่งผลทำให้ผู้คนคิดและปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนในกลุ่มทำสิ่งใดได้ บุคคลอื่นในกลุ่มจะมีความเชื่อในทันทีว่า “เมื่อคนในกลุ่มทำได้ ฉันก็ต้องสามารถทำได้”

แล้ววัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่นี้ก่อให้เกิดปัญหาอย่างไรกับสังคมแบบพหุวัฒนธรรม?

คำตอบที่สามารถสรุปได้คือ วัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่มีผลต่อการสร้างคนให้มีลักษณะคล้ายกันทั้งในแง่ของความคิด และการปฏิบัติ เมื่อสังคมเรามีความเป็นพหุวัฒนธรรม เท่ากับผู้คนในสังคมมีสิทธิที่จะสมาทานความคิดความเชื่อบนพื้นฐานที่แตกต่างกัน เมื่อมีการรวมกลุ่มทางสังคมจึงก่อให้เกิดปัญหาว่า การสมาทานความคิดความเชื่อที่ต่างกันนำมาซึ่งการเลือกปฏิบัติที่ต่างกัน ทำให้ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันว่า “เมื่อคุณมารวมกลุ่มกับพวกเราเหตุใดคุณถึงปฏิบัติต่างกันกับพวกเรา” เมื่อมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็ยังผลให้เกิดเป็นการมองบุคคลที่คิดและทำต่างกันให้กลายเป็นอื่น และเป็นผลให้เกิดการถูกเลือกปฏิบัติไปในที่สุด

เมื่อปัญหาของเรื่องดังกล่าวเกิดจากความไม่เข้าใจและการไม่เคารพกันซึ่งความแตกต่างของบุคคล อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่ การสร้างความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันบนพื้นฐานความแตกต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญสำคัญอย่างมากในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเช่นนี้ รวมถึงการสร้างความเข้าใจเรื่องการตกลงยินยอม เพื่อกำหนดขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไม่ให้กระทบกับความคิด ความเชื่อของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกัน

แน่นอนว่า ครอบครัวคือสถาบันพื้นฐานที่สุดในการปลูกฝังบุคคลให้มีความคิด ความเชื่อและการปฏิบัติต่อสังคมอย่างไร ดังนั้นการปลูกฝังทัศนคติการใช้ชีวิตรวมกลุ่มในสังคมอย่างไม่ก้าวก่ายกันจึงควรเริ่มต้นมาจากสถาบันครอบครัว จนมาสู่สถาบันที่สองอย่างโรงเรียน และสถาบันที่สามอย่างที่ทำงาน เพราะฉะนั้นทั้งสามโลกนี้จึงควรพูดถึงเรื่องนี้อย่างสืบเนื่องกัน เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีคนหลากหลายเราควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นได้ เราจะสร้างความตระหนักรู้ต่อผู้คนในสังคมในเรื่องการเคารพในความแตกต่างได้อย่างไร?

ภาพกลุ่มความหลากหลายทางเพศเดินทางไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เสนอตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 62 

การขับเคลื่อนเข้าสู่สภา และการมองคุณค่ากันที่ศักยภาพ

“สังคมตอนนี้เรามาไกลมากแล้ว มันผ่านจุดที่เรานำเสนอประเด็นปัญหาแล้ว เราพูดกันมาจนถึงจุดซ้ำแล้ว สถานะตอนนี้จึงรอแก้ไขในทางกฎหมายและนโยบายเท่านั้น แต่เราจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง?”

เมื่อพูดถึงขบวนการขับเคลื่อนเพื่อความเท่าเทียมทางเพศในปี 2564 นี้ เคท ให้ข้อเสนอว่า เราควรจะวิธีการว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อผู้คนได้มีพื้นที่ในการพูดถึงปัญหาที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมทางเพศ หรือได้รับพื้นที่ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในสภาได้ แน่นอนว่า เรามี ส.ส. หญิงและ LGBTIQ+ เข้าไปทำงานในสภาขณะที่ภาคประชาสังคมต้องทำงานร่วมกับสังคมให้ได้มากที่สุดเพื่อให้เกิดการยอมรับ และทำให้พวกเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการขับเคลื่อนของเราต่อไป

วิธีการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากเพื่อจะขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวเข้าสู่สภา และขับเคลื่อนออกมาในระดับกฎหมายและนโยบายต่อไป ทั้งนี้องค์กรภาคประชาสังคมที่เคยเป็นผู้นำเสนอปัญหาต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นผู้ติดตามงานระดับนโยบายว่า จะต้องเข้าไปพูดคุยกับใครบ้าง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ กระทรวงต่างๆ รวมถึงภาคกฎหมายอย่างรัฐสภา และต้องใช้วิธีการแบบใดเพื่อทำให้นโยบายมันเกิดขึ้นได้

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเราพูดถึงความเท่าเทียมทางเพศ เราพูดถึงการเข้ามีส่วนร่วมในสภาและองค์กรภาครัฐในระดับต่างๆ ของผู้หญิงและ LGBTIQ+ หากแต่การกำหนด Gender Quota ในรัฐสภา เพื่อผู้หญิงเข้าไปมีสัดส่วนเก้าอี้ทางการเมืองในระดับครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50 ถือเป็นการสร้างความเสมอภาคหรือไม่?

เคท กล่าวตอบว่า ในแง่นึงว่า การกำหนด Gender Quota ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงและ LGBTIQ+ เข้าไปมีส่วนร่วมในสภามากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกังขาว่า การกำหนด Gender Quota จะนำพาสังคมไปสู่วังวนการเลือกปฏิบัติที่มีความซับซ้อนมากขึ้นหรือไม่? เพราะถ้าเราเชื่อในแนวคิดมนุษยนิยม เราเชื่อในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เราต้องเชื่อในเรื่องความสามารถและศักยภาพของบุคคลมากกว่าความเป็นเพศ แม้ว่าเราต้องสร้างพื้นที่และโอกาส แต่วิธีที่จะนำมาสู่การสร้างโอกาสมีอะไรบ้าง?

คำถามที่อาจเป็นเรื่องยากในการคำตอบ เนื่องจากทุกวิธีการนำมาซึ่งการที่เราต้องฝ่าอุปสรรคกับดักประตูที่ปิดกั้นโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะประตูบานใหญ่ที่ชื่อว่า ระบอบปิตาธิปไตยที่ยังคอยปิดกั้นโอกาสในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศ

กระนั้นก็ตามการสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารสังคมเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อให้เกิดสังคมที่พร้อมเข้าใจและสนับสนุนคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง หากเรามีการสื่อสารที่มีคุณภาพ ปรับเปลี่ยนมุมมองสังคมให้เป็นสังคมที่เคารพกันซึ่งความหลากหลายของผู้คน เมื่อนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องมี Gender Quota เพราะไม่ว่าใครก็สามารถลงเลือกตั้งเข้าสู่สภาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประชาชนทุกกลุ่มได้

ขอให้การขับเคลื่อนประชาธิปไตยนำพามาซึ่งความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

ขอให้ประชาธิปไตยไม่ผลักใครให้เป็นอื่นอีกต่อไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ครม.มีมติลดค่าไฟ-น้ำ-แก๊สและให้ธนาคารรัฐปล่อยกู้และพักชำระหนี้

$
0
0

ครม.มีมติให้ลดค่าไฟฟ้า น้ำและคงราคาแก๊ส LPG และขยายระยะเวลาลงทะเบียนขอสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการระบาดโควิด-19 ในระลอกที่สองออกไปรวมถึงการให้ประชาชนยังพักชำระหนี้ธนาคารที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐออกไปอีกจนถึง 30 มิ.ย.64 "พิธา ก้าวไกล" เสนอเพิ่มการชดเชยให้กับผู้ประกอบการใน 28 จังหวัดและออกกฎหมายช่วยเหลือผู้เช่าไม่ให้ถูกให้ออก รวมถึงการพักชำระหนี้ Soft loan สูงสุด 2 ปี

ภาพจากการถ่ายทอดสดของทำเนียบรัฐบาล

12 ม.ค.2564 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและทีมเศรษฐกิจแถลงผลการประชุม ครม. ได้มีมติให้ยืดระยะเวลาของมาตรการเยียวยาและปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจ SMEs ที่มีอยู่แล้วออกไปอีกเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาระบาดระลอก 2

ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแถลงรายละเอียดมาตรการเกี่ยวกับแรงงานและการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคว่า ในส่วนของมาตรการด้านแรงงาน มีเรื่องของการลดหย่อนเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมโดยลูกจ้างเหลือร้อยละ 3 นายจ้างเหลือร้อยละ3ตั้งแต่เดือนม.ค.-มี.ค. 2564

ดนุชา กล่าวว่ามีการเพิ่มสิทธิประโยชน์จากการว่างงานจากการถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยร้อยละ 70 ของค่าจ้างไม่เกิน 200 วันจากเดิมที่ให้ร้อยละ 50 ไม่เกิน 180 วัน ส่วนเรื่องของการว่างงานจากการลาออกจะได้เงินชดเชยไม่ร้อยละ 45 ปีละไม่เกิน 90 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 30 ของค่าจ้างไม่เกิน 90 วัน ส่วนการว่างงานจากเหตุสุดวิสัยซึ่งเกิดจากการประกาศของทางราชการมีการสั่งปิดพื้นที่หรือหยุดปฏิบัติงานในโรงงานต่างๆ ส่วนนี้จะได้รับเงินชดเชยร้อยละ 50 ของค่าจ้างไม่เกิน 90 วัน ถ้าเป็นการหยุดกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด นายจ้างจะต้องจ่ายเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างก่อนหยุดการจ้างชั่วคราว

ดนุชากล่าวว่ากระทรวงแรงงานยังมีสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานและให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนสามารถเข้าไปตรวจได้ในกรณีที่ตัวเองสงสัยว่าจะติดเชื้อโควิดและการตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่โรงงานต่างๆ ซึ่งกระทรงแรงงานก็ได้ให้ โรงพยาบาลในสังกัดทำการตรวจคัดกรองเชิงรุกร่วมกับสาธารณสุขด้วย

ดนุชา กล่าวต่อว่านอกจากนั้นยังมีมาตรการช่วยเหลือด้านแรงงานเพิ่มเติม คือนอกจากมาตรการจ้างบัณฑิตใหม่ที่มีการอนุมัติไปแล้ว ยังให้กระทรวงแรงงานปรับโครงการนี้มาใช้รักษาระดับการจ้างงานได้อย่างไร

ดนุชา อธิบายมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคว่ามีมาตรการในส่วนของค่าไฟ ค่าน้ำและพลังงานที่ ครม.มีมติเห็นชอบไปตั้งแต่เดือนธ.ค.63 แล้วและมีมาตรการที่เพิ่มขึ้นมา แบ่งมาตรการออกเป็น

  1. การคงราคาขาย LPG หน้าโรงกลั่นก็จะทำให้มีราคา 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งจะมีผลถึง 31 มี.ค.2564

  2. ค่าไฟฟ้ามีมาตรการดังนี้

    1. ขยายเวลามาตรการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) ทำให้ราคาไฟฟ้าลดลง 2.89 สตางค์ต่อหน่วย แล้วจะมีผลถึง 30 เม.ย.2564

    2. ขยายเวลามาตรการยกเว้นการเก็บค่าไฟให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่างออกไปจนถึง 31 มี.ค.2564

    3. ขยายเวลามาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยติดต่อกัน 3 เดือน สามารถใช้ไฟฟรี ถ้าใช้เกิน 50 หน่วยต่อเดือนก็จะสิทธิได้ตามมาตราการในวงเงินไปเกิน 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน แต่ถ้าใช้เกิน 230 บาทก็ต้องรับผิดชอบค่าไฟด้วย

    4. เพิ่มมาตรการแบ่งช่วงคิดราคาการใช้ไฟฟ้าโดยกลุ่มผู้ใช้ไฟน้อยกว่า 150 หน่วยจะได้ใช้ไฟฟรี 90 หน่วยแรกทุกราย แต่หากมีการใช้เกิน 150 หน่วยก็จะคิดตามช่วงราคา โดเริ่มตั้งแต่ 1-500 หน่วยจะคิดราคาต่อหน่วย 3.24 บาท 501-1000 หน่วยคิดราคาต่อหน่วย 4.22 บาท และตั้งแต่ 1001 หน่วยขึ้นไปคิดราคา 4.42 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ในส่วนของกิจการขนาดเล็กจะได้ใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรกทุกราย ซึ่งมาตรการทั้งหมดนี้จะครอบครัวที่พักอาศัยและกิจการขนาดเล็ก

  3. ค่าน้ำประปามีมาตรการดังนี้

    1. ขยายเวลามาตรการค่าน้ำประปาใช้ได้ 100บาท/ครัวเรือน/เดือน

    2. ลดค่าน้ำลงร้อยละ 10 เป็นเวลา 2 เดือนสำหรับใบแจ้งหนี้ของเดือน ก.พ.-มี.ค.2564

ดนุชากล่าวถึงมาตรการป้องการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ว่าในที่ประชุมให้ได้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ สำรองไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไป

ส่วนมาตรการช่วยเหลือสำหรับโรงงานที่ใช้พื้นที่โรงงานของตัวเองเป็นพื้นที่สำหรับกักตัวพนักงานของตนเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกระบวนการผลิต ก็ได้มอบให้ทางกระทรวงแรงงานและมหาดไทยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม 5 จังหวัดได้แก่ สมุทรสาคร จันทบุรี ชลบุรี ตราดและระยอง เข้าไปสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการโรงงานว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออะไรบ้าง

ส่วนมาตรการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อนุชาระบุว่ายังมีการปรับการใช้สิทธิโครงการเที่ยวด้วยกันโดยให้ผู้ใช้สิทธิที่จองที่พักในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ให้เลื่อนการใช้สิทธิออกไปได้จนถึงเม.ย.2564 และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาขยายระยะเวลาของโครงการออกไปอีกเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงหลังสถานการณ์เริ่มเข้าสู๋ภาวะปกติ

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อในส่วนของมาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs รมต.คลังชี้แจงว่า กระทรวงการคลังมีมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศเพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยมีทั้งหมด 4 โครงการ

  1. มาตรการคนละครึ่งทางนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการเปิดรับลงทะเบียนใหม่อีก 1 ล้านสิทธิในเดือนมกราคม ทางกระทรวงการคลังก็มีการเตรียมการมาตลอด ซึ่งตอนนี้มีสิทธิที่เหลือมาจากรอบแรกราว 5 แสนสิทธิส่วนที่เปิดให้ลงทะเบียนรอบสองที่ผ่านมายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีสิทธิคงเหลือเท่าไหร่ เนื่องจากที่ผ่านมามีประชาชนที่สมัครขอสิทธิเข้ามาแต่ไม่ผ่านในเรื่องของคุณสมบัติ และได้สิทธิแล้วภายใน 14 วันไม่มีการใช้สิทธิก็จะโดนตัดสิทธิไปซึ่งสิทธิที่เหลือจากรอบที่สองก็ประมาณ 5 แสนสิทธิเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้มีสิทธิเหลืออยู่รวม 1 ล้านสิทธิก้จะมีการเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า และเมื่อ ครม.เห็นชอบแล้วในวันที่ 19 ม.ค.แล้วก็จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้เลยในวันที่ 20 ม.ค.และจะเริ่มใช้สิทธิได้ในวันที่ 25 ม.ค.

  2. มาตรการเยียวยาจะมีเงินเยียวยาให้กับประชาชนคนละ 3,500 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 2 เดือน โดยจะนำเข้า ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้าเช่นกัน และประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วผ่านเกณฑ์ก็จะได้เงินเยียวยาในสิ้นเดือนมกราคมเป็นอย่างเร็ว หรือต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นอย่างช้า โดยมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจะเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มแต่ต้องลงทะเบียนผ่าน “เราชนะ”

  3. มาตรการเสริมสภาพคล่องหรือการพักชำระหนี้ หรือมาตรการเฉพาะของสถาบันการเงิน ทั้งหมด 7 แห่งที่อยู๋ภายใต้กำกับกระทรวงการคลัง โดยวันนี้กระทรวงการคลังได้ของอนุมัติจาก ครม. เพื่อผ่าน 3 โครงการ ได้แก่

    1. ขยายเวลาลงทะเบียนโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานรากของธนาคารออมสิน ออกไปอีกจนถึง 30 มิ.ย.2564 เนื่องจากมีวงเงินคงเหลืออยู่ 7,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้เป็นการสนับสนุนสินเชื่อให้กับประชาชนที่มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อยและบุคคลในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือภัยธรรมชาติหรือภัยทางเศรษฐกิจ โดยจะมีวงเงินให้ 50,000 บาทต่อรายโดยมีอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.35ต่อเดือน ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 3 ปี

    2. ขยายเวลาดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระหรือเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ออกไปอีกจนถึง30 มิ.ย.2564 จากการมีวงเงินเหลืออยู่ 11,400 ล้านบาท เป็นวงเงินของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธ.ก.ส โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.1ต่อเดือน ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน

    3. ขยายเวลาสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตออกไปอีกจนถึง30 มิ.ย.2564 เป็นวงเงินคงเหลืออยู่ 2 พันล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย ก็จะสนับสนุนสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจการส่งออกและที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปีในปีที่ 1 และ 2

    4. ส่วนมาตรการพักชำระหนี้ Soft loan ของธนาคารแห่งประเทศไทยหลังจากหมดลงเมื่อ 22ต.ค.2563 ทางกระทรวงการคลังก็ให้ขยายเวลาออกไปอีกจนถึง 30 มิ.ย.2564 ในทันทีที่หมดลง และธนาคารภายใต้กำกับของกระทรวงการคลังทั้ง 7 แห่งก็ได้ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้อยู่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

    5. มาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งธนาคารออมสิน ธนาคารเอสเอ็มอี และบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมหรือ บสย. เมื่อเดือนธ.ค.2563 ก็ได้มีการเพิ่มวงเงินประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่กู้เงินผ่านธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ ก็สามารถใช้ประกันสินเชื่อของ บสย. ได้ โดยมีวงเงินทั้งหมดอยู่ที่ 170,000 กว่าล้านบาท และยังมีวงเงินของ Soft loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป ในการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อที่จะใช้วงเงินของ Soft loan นี้ได้

    6. ธนาคารออมสินและ ธกส.ก็มีโครงการ “มีที่มีเงิน” ให้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีเงินจ่ายลูกจ้างหรือขาดสภาพคล่อง หากมีที่ดินก็สามารถเอามาแลกเป็นเงินกับธนาคารออมสินได้ แต่ทางธนาคารเองก็จะมีการประเมินอย่างรอบคอบอีกทีเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาการจ้างงานและธุรกิจของตนเอาไว้ได้

อาคมกล่าวอีกว่าขณะนี้ทั้ง 7 ธนาคารของรัฐยังมีวงเงินเหลืออยู่ 268,000 ล้านบาท และSoft loan ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังเหลืออยู่ที่ 370,000 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินสภาพคล่องที่จะให้บริการได้เหลืออยู่ 638,000 บาท

ก้าวไกลเสนอชดเชยให้ผู้ประกอบการเพิ่ม ปล่อย Soft loan

วันเดียวกันนี้ก่อน ครม.แถลงมาตรการต่างๆ ทีมสื่อพรรค ก้าวไกลรายงานว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงข้อข้อเสนอมาตรการเยียวยาที่พรรคก้าวไกลได้ศึกษาและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมจากสัปดาห์ที่แล้วมาให้ โดยหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจและเห็นใจความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรการพร้อมใช้ที่รัฐบาลสามารถนำไปใช้ได้ทันที ดังนี้

1.ทบทวนมาตรการการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัดโดยเร่งด่วน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ระดับการติดเชื้อ ศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย รวมถึงต้องคำนึงถึงประเภทสถานประกอบการที่ถูกสั่งปิดในแต่ละจังหวัด ให้มีมาตรการเยียวยาที่สอดคล้องและสมเหตุสมผลกับแต่ละสถานที่

2.เร่งช่วยเหลือถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน (สำหรับอายุ 18 ปี ขึ้นไป ยกเว้นข้าราชการ) เพื่อเป็นโครงข่ายรองรับทางสังคม ให้ประชาชนที่กำลังประสบปัญหา อย่างถ้วนหน้า และพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวไปมากกว่านี้

3. เยียวยาเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากเป็นพิเศษจากโควิดและมาตรการของภาครัฐ

3.1 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเช่าให้ประชาชน ในจังหวัดที่ถูกควบคุมในระดับเข้มงวดสูงสุด

3.2 ชดเชยสถานประกอบการที่ถูกขอความร่วมมือให้หยุดกิจการราว 6,098 แห่ง ใน 28 จังหวัดที่ถูกสั่งปิด เพิ่มจาก 50% เป็น 75% ใช้งบเพิ่ม จาก 2,321 ล้านบาทเพิ่มเป็น 3481.5 ล้านบาท โดยสามารถตั้งต้นงบประมาณไว้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพราะอาจมีสถานประกอบการที่มาลงทะเบียนเพิ่ม

3.3 ควรมีมาตรการพยุงการจ้างงานสำหรับธุรกิจที่รายได้ลดลงในช่วงโควิด โดยมุ่งเน้นจังหวัดที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เช่น 5 จังหวัดแดงเข้มและกรุงเทพฯ เสนอให้ใช้เกณฑ์การพิจารณาให้โดยดูจากรายได้/การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลง ชดเชยที่ 50-75% โดยมีเพดานไม่เกิน 7,500 บาท/ราย

3.4 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าไม่ให้ถูกให้ออก โดยอาจมีกฎหมายพิเศษห้ามบังคับไล่ผู้เช่าออกในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมาก และให้รัฐบาลไปเยียวยาผู้ให้เช่า เช่น พิจารณาลดภาษีที่ดิน

4. สำหรับภาคธุรกิจ รัฐบาลควรต่อสายป่านของธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์ที่คลี่คลายช้าลง โดยต้องมีโครงการ Soft-loan และพักชำระหนี้ไปสูงสุด 2 ปี ซึ่งอาจใช้โมเดลแบบการฟื้นฟูช่วงที่เกิดสึนามิ ด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารและธนาคารของรัฐ

พิธา กล่าวต่อว่า มาตราการเยียวยาทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นได้จริงและทำได้อย่างเร่งด่วน โดยจะหางบประมาณได้จากการ

1. โยกงบฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่ ใช้สำหรับเยียวยา รวมแล้วจะมีงบยังไม่ได้ใช้จากเงินกู้ 1 ล้านล้านเหลืออยู่ราว 467,000 ล้านบาท งบกลางเหลืออยู่ราว 139,000 ล้านบาท

2. เกลี่ยก่อนที่จะกู้ เมื่อมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกรอบ ก็ควรรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดที่มี รวมถึงการโยกงบปี 64 ในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพื่อนำไปเป็นกระสุนสำหรับการฟื้นฟูในระยะถัดไป ก่อนที่จะคิดกู้เงินเพิ่ม ประสบการณ์จากการโยกงบปี 63 พบว่าหน่วยงานรัฐสามารถหั่นงบตัวเองได้เมื่อยามจำเป็นโดยไม่กระทบเป้าหมายเดิม สำหรับปี 64 ที่งบประมาณเพิ่งเริ่มใช้มาไม่ถึง 3 เดือน จะโยกงบได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท

“มาตรการเหล่านี้คิดมาโดยละเอียดรอบคอบ บนพื้นฐานที่เป็นไปได้ทางการคลังทั้งสิ้น หากท่านเป็นรัฐบาลของประชาชนก็ไม่ควรรั้งรอที่จะดำเนินการใดๆ เพราะเวลานี้หลายครอบครัวและหลายกิจการเหมือนมือกำลังเกาะขอบเหว ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกแค่ไหน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของประเทศนี้จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาบ้าง” พิธา กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘ค่าตรวจโควิดแพง’ ข้อกังวลที่อาจทำให้การดึงแรงงานข้ามชาติเข้าระบบไม่ถึงฝัน 

$
0
0

ภาคประชาชน และนักวิชาการ ประสานเสียง ค่าตรวจโควิด-19 แบบ PCR ราคา 3,000 บาท อาจแพงเกินไป วอนรัฐทบทวนหรือหาวิธีอื่น ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หากปล่อยไป แรงงานสามสัญชาติอาจไม่สามารถกลับเข้าระบบได้ ภาครัฐจะคุมโรคลำบาก 

สืบเนื่องจากวันที่ 29  ธ.ค.63 รัฐบาลมีมติเห็นชอบเปิดให้แรงงานลอดรัฐสามสัญชาติ (ลาว กัมพูชา และพม่า) สามารถจดทะเบียนออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.64-13 ก.พ.64 เพื่ออาศัยและทำงานในไทยได้อย่างถูกกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ (ระยะเวลา 2 ปีจนถึง 16 ก.พ.66) แต่ในสายตาขององค์กรภาคประชาชนยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเงื่อนไขบางอย่าง โดยเฉพาะค่าจดทะเบียนแสนแพงกว่าเก้าพันกว่าบาทนี้ อาจเป็นกำแพงที่ขวางกั้นไม่ให้แรงงานลอดรัฐจดทะเบียนกลับเข้าระบบได้

เมื่อวันที่ 7 ม.ค.64 The Reporters (เดอะ-รีพอร์ตเตอร์ส) จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “วิกฤตโควิดในลูกจ้างข้ามชาติและแผนบริหารแรงงาน”ดึงภาครัฐ-นักวิชาการ-องค์กรภาคประชาชน มาร่วมโต๊ะถกกันถึงปัญหาของมติ 29 ธันวา มาตรการระยะยาวในการรักษาแรงงานข้ามชาติในระบบ และอื่น ๆ

ผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย

1. สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

2. นฤมล ทับจุมพล ศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3. อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงาน เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ

4. คายน์ มิน ลวิน อาสาสมัครกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวพม่า จากมูลนิธิรักษ์ไทย สมุทรปราการ

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ดำเนินการเสวนา 

 

มติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธันวา คืออะไร 

สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อธิบายขั้นต้นให้ฟังว่า การออกมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.63 เบื้องต้น เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ประกอบการชาวไทยลอยแพแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย และลักลอบนำลูกจ้างข้ามชาติเหล่านี้ไปทิ้งจังหวัดอื่น ๆ หลังกลัวความผิด หากภาครัฐพบว่าผู้ประกอบการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นวงกว้างตามมา 

นอกจากนี้ ภาครัฐยังเล็งเห็นว่าการนำแรงงานข้ามชาติที่หลุดระบบไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สามารถกลับขึ้นมาในระบบได้นั้น จะทำให้แรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อน ๆ  กล้าปรากฏตัวต่อสาธารณะหรือสถานที่ราชการมากขึ้น หรือเวลาเจ็บป่วยกล้าเดินทางมารักษากับทางภาครัฐ สุดท้าย ก็เป็นผลดีต่อภาครัฐในการควบคุมโรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ 

ดังนั้น รัฐบาลจึงเห็นชอบมีมติผ่อนผัน ให้แรงงานข้ามชาติที่หลุดระบบ สามารถจดทะเบียนเพื่ออาศัยและทำงานในไทยได้เป็นกรณีพิเศษ เป็นเวลา 2 ปี หรือเรียกชื่อเล่นว่า “การเปิดต่อบัตรชมพู”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อธิบายขั้นตอนโดยย่อมีดังนี้ เบื้องต้น นายจ้างต้องลงทะเบียนให้ลูกจ้างข้ามชาติผ่านระบบออนไลน์ของกรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยถ่ายรูปหน้าของลูกจ้างที่ผิดกฎหมาย และก็ถือบัตรประชาชนของเขาจากประเทศต้นทาง ถ่ายรูปและคีย์เข้าระบบกรมจัดหางาน ซึ่งก็ได้เป็น name list ระบบออนไลน์ จากนั้น กรมจัดหางาน ก็จะทยอยส่งต่อข้อมูลให้กระทรวงสาธารณสุขตอนเวลาเที่ยงคืนของทุกวันตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 64 จนถึงวันปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์คือวันที่ 13 ก.พ.64 ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข ก็จะมีรายชื่อจากกระทรวงแรงงานว่ามีนายจ้างท่านใด บริษัทอะไร เบอร์โทร.อะไร มีลูกจ้างกี่คน เป็นใครบ้าง ที่มีความจำนงค์ที่จะขึ้นทะเบียนบัตรชมพู 

จากนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะประสานงานกับเจ้าของกิจการ เพื่อนำชุดเคลื่อนที่ไปตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้นายจ้างต้องออกค่าใช้จ่ายให้กับลูกจ้างข้ามชาติ ขั้นตอนที่สอง ตรวจโรคต้องห้ามตามกฎหมาย (ประกอบด้วย 6 โรค ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรค ระยะอันตราย โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดยาเสพติด โรคเท้าช้าง และการตั้งครรภ์ *เฉพาะผู้หญิง*) และสุดท้าย เรื่องประกันสุขภาพ โดยนายจ้างต้องออกค่าใช้จ่ายเรื่องประกันสุขภาพให้กับลูกจ้างคนนั้น เป็นเวลา 2 ปี 

สมมติว่านายจ้าง ต้องการจ้างแรงงานข้ามชาติทั้งหมด 100 คน ตรวจเสร็จ มีระบบประกันถูกต้อง ผ่านการคัดกรองโรค 90 คน อีก 10 คนไม่ผ่าน ก็ต้องถูกส่งกลับ เป็นโรคเท้าช้าง หรือเป็นโรคต้องห้ามอื่น ๆ ต้องถูกส่งกลับประเทศ แต่ในส่วนที่ผ่าน ถ้าใครถูกตรวจและพบว่าเป็นโควิด-19 ก็จะได้รับการรักษา  

หลังจากได้ทั้งหมด 90 คน กระทรวงสาธารณสุขก็จะออกใบรับรองแพทย์ และใบเสร็จรับเงินให้นายจ้าง นายจ้างก็จะได้รับเอกสารว่า คนของเขาผ่านเป็นจำนวนกี่คน จากนั้น นายจ้างจะมาจ่ายเงินให้กับกระทรวงแรงงาน เป็นค่าทำใบอนุญาตทำงาน (Workpermit) จำนวนเงิน 1,900 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี (คิดเป็นปีละ 900 บาท 2 ปีเท่ากับ 1,800 บาท และมีค่าดำเนินการ 100 บาท) เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ กระทรวงแรงงานจะนำข้อมูลการอนุญาตทำงาน ส่งไปที่กระทรวงมหาดไทย 

เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้รับข้อมูลที่ส่งมา ทางการกระทรวงมหาดไทยจะส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปที่สถานประกอบการของนายจ้างท่านนั้น เพื่อทำบัตรชมพูให้กับแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการจดทะเบียน เมื่อได้บัตรชมพู แรงงานข้ามชาติคนนั้นจะได้เลข 13 หลัก สามารถทำงานและอาศัยในไทยได้ชั่วคราว เป็นเวลา 2 ปี 

ถ้ากรณีแรงงานข้ามชาติภาคการประมง ก็ต้องไปที่กรมประมง เพื่อทำ Seabook เล่มสีเขียว เป็นเล่มประจำตัวของคนประจำเรือ มีค่าทำ 100 บาท 

ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่ายตลอดกระบวนการที่หลายฝ่ายโดยเฉพาะองค์กรภาคประชาสังคมและนักวิชาการกังวลว่าอาจเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่ทำให้มติ ครม. 29 ธันวาคม อาจไม่สำเร็จดังหวัง

สุชาติมองต่างว่านายจ้างจะยอมให้ความร่วมมือ ด้วยเหตุผลดังนี้ ถ้าดูจากค่าใช้จ่ายตลอดกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ค่าตรวจโรคระยะ 2 ปี 1,000 บาท ค่าประกันสุขภาพระยะเวลา 2 ปี 3,200 บาท ค่าตรวจโควิด-19  แบบ PCR ไม่เกิน 3,000 บาท ค่า Workpermit 1,900 บาท ค่าทำบัตรชมพูอีก 80 บาท รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 9,180 บาท ซึ่งราคานี้เมื่อเทียบกับการนำเข้าแรงงานข้ามชาติแบบ MOU มีราคาถูกกว่า ซึ่ง MOU ต้องใช้ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 20,000-30,000 บาทต่อคน ดังนั้น นายจ้างน่าจะยินยอม เพราะราคาถูกลงเยอะมาก อีกทั้ง นายจ้างก็ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังว่าตัวเองจะทำผิดกฎหมายหรือไม่ และสุดท้าย คือเงินประกันสังคมถูกต้อง เงินประกันสุขภาพ 3,200 บาท เขาก็ได้คืน เพราะเขาโดนหักจากประกันสังคมเข้ากองทุน ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้น่าจะมีแรงจูงใจมากพอที่จะทำให้นายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานข้ามชาติ ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนนี้      

 

เสียงจากแรงงานเพื่อนบ้าน “ไม่มีใครอยากอยู่อย่างผิดกฎหมาย” วอนภาครัฐทบทวนเรื่องค่าใช้จ่าย

แม้ว่าทางรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน จะยืนยันหนักแน่นว่า นายจ้างจะยอมให้ความร่วมมือจ่ายเงินให้แรงงานข้ามชาติอย่างแน่นอน แต่คายน์ มิน ลวิน อาสาสมัครกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวพม่า แสดงความเป็นห่วงต่อพี่น้องแรงงานข้ามชาติว่า ค่าใช้จ่ายทั้งกระบวนการ อาจจะสูงเกินไป และจากประสบการณ์ คายน์มองว่า นายจ้างไม่อยากจ่าย

นอกจากนี้ คายน์ ยังระบุว่า ค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นกว่าปกติ เพราะนายจ้างบางคนไม่ทำขั้นตอนพวกนี้เอง พวกเขาไม่ถนัดจัดการเรื่องพวกนี้ เขาก็จะไปจ้างนายหน้า ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็จะสูงขึ้นกว่าที่ภาครัฐบอกไว้เบื้องต้น ก็อาจทำให้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเข้าระบบได้ เพราะนายจ้างเองถ้าราคาทำเรื่องต่อบัตรชมพูแพงเกินไปเขาก็ไม่อยากจ่ายเพื่อจ้างแรงงาน คายน์จึงอยากให้ภาครัฐดูว่าพอจะปรับได้หรือไม่

“เรื่องนโยบายเราเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น” คายน์ ระบุ

 

คายน์ มิน ลวิน ตัวแทน อาสาสมัครกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวพม่า (ถ่ายเมื่อ 16 ธ.ค.63)

 

นักวิชาการ-ภาคประชาสังคม ประสานเสียงถึงรัฐ ค่าทำบัตรชมพูแพง อาจทำให้แรงงานข้ามชาติอดเข้าระบบ 

จากปัญหาข้างต้นเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้เสวนาจากองค์กรประชาสังคม และนักวิชาการ มีข้อเสนอให้ภาครัฐถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง  

เริ่มจาก นฤมล ทับจุมพล จากศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา เสนอว่ารัฐควรมีการทบทวนเรื่องค่าใช้จ่าย หรือมีความเป็นไปได้ไหมว่า ภาครัฐจะช่วยออกทุนในการจดทะเบียนรอบนี้ หรือมีมาตรการผ่อนจ่ายให้ภาคธุรกิจ เพราะตอนนี้ภาคธุรกิจกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และต้องเข้าใจว่าผู้ประกอบการขนาดเล็กโดยเฉพาะในภาคบริการ หรือโรงงานขนาดเล็ก ที่มีลูกจ้างข้ามชาติตั้งแต่ประมาณ 50-100 คนนั้น ไม่ได้มีทุนมากมาย ดังนั้น เธอไม่แน่ใจว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถจ่ายเงินให้แรงงานข้ามชาติหัวละหนึ่งหมื่นบาทไหวไหม

“ดังนั้นเป็นไปได้ไหม ถ้าทางกระทรวงแรงงานไม่สามารถลดราคาได้ ผ่อนจ่ายได้ไหม เรามี 0% ผ่อน 5 งวด รัฐบาลอาจจะต้องคิดเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะว่าดูเหมือนว่าเรายังไม่ได้คุยกับนายจ้าง ยกเว้น บริษัทใหญ่ ๆ อย่างไทยยูเนี่ยน (บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) แต่ว่าบริษัทเล็ก ๆ โรงงานเล็ก ๆ ดิฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะมีเงินหัวละหมื่นต่อคน สมมติว่ามีลูกจ้าง 100 คน อย่างร้านอาหาร หรือโรงงานขนาดเล็ก อาจจะฝากไว้ในแง่ของค่าใช้จ่าย ไม่ได้บอกว่าต้องลดราคา แต่คิดว่าวิธีการจ่าย อาจจะต้องมีการจัดการ หรือคนละครึ่ง อาจจะต้องคิดรูปแบบแบบนี้” นฤมล กล่าว 

อีกเรื่องที่เธอแชร์ให้ฟังคือ เรื่องวิธีการตรวจของ บ.ไทยยูเนี่ยน ซึ่งทางไทยยูเนี่ยนใช้วิธีตรวจ Rapid Test ก่อน ซึ่งเป็นการตรวจแอนตีบอดีว่ามีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าผลออกมาว่า positive ค่อยใช้วิธีการตรวจแบบ PCR ซึ่งจะได้ผลภายในเวลา 2 วัน หรือ 48 ชม. ซึ่งภาครัฐบ้านเราใช้วิธีการตรวจแบบมั่นคง คือใช้ PCR เลย   

อดิศร เกิดมงคล จากเครือข่ายด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เองก็กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐเรียกเก็บจากนายจ้างเช่นกัน โดยค่าใช้จ่ายสำหรับจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่สูงเกินไป จะกลายเป็นภาระของนายจ้างและลูกจ้างข้ามชาติในช่วงวิกฤต 

ฉะนั้น คำถามสำคัญ คือ “ลดได้ไหม” เพราะค่าใช้จ่ายที่สูงนั้น ส่วนหนึ่งมาจากค่าตรวจโควิด-19 แบบ PCR ราคา 3,000 บาท ซึ่งถ้าภาครัฐใช้วิธีตรวจเช่นเดียวกับ บ.ไทยยูเนี่ยน จะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง โดยเริ่มจากตรวจ Rapid Test เพื่อจะดูว่าคนที่ตรวจนั้นได้ผลแบบ positive หรือไม่ ถ้าผลออกมา positive ก็ค่อยมาตรวจอย่างละเอียด หรือตรวจแบบ PCR 

“ข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค เขาบอกว่า เคสของสมุทรสาคร ไทยยูเนี่ยน มันมีแค่ 0.28% ที่เป็น positive ฉะนั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตัว test แบบละเอียดตั้งแต่แรก หนึ่งใช้เวลามาก สองใช้คนทำงานเยอะมาก และอีกปัญหาก็คือไม่มีทางจะเสร็จได้เร็ว ถ้าลดมาได้ก็คือใช้ตัว Rapid test เนี่ย ราคาอยู่ที่ 1,000-1,500 บาท ลดมาเยอะมาก”

ดังนั้น ก็อยากให้ตรวจแบบ Rapid Test ก่อน ถ้าพบว่าคนที่ตรวจได้ผลเป็น positive ค่อยตรวจเพิ่มแบบ PCR อันนั้น นายจ้างก็ต้องยอมแล้วว่า ถ้าตรวจขั้นแรกไม่ผ่าน ค่อยมาตรวจตรงนี้ต่อ ก็ต้องยอมจ่าย ซึ่งคิดว่านายจ้าง-ลูกจ้างข้ามชาติยอมรับตรงนี้ได้ ถ้าใช้วิธีการตรวจแบบไทยยูเนี่ยนราคาโดยรวมจะลดลงมาเหลือ 7 พันกว่าบาท 

อีกวิธีที่จะลดค่าใช้จ่ายโดยรวม คือ การลดค่าประกันสุขภาพ โดยลดจาก 2 ปี ให้เหลือแค่ปีเดียว ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจะลดลงเหลือแค่ 1,600 บาท จาก 3,200 บาทเลยทีเดียว ซึ่งทางอดิศร ก็อยากให้ทางรัฐบาลช่วยดูค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วยว่าพอจะเป็นไปได้ไหม 

หากรัฐบาลสามารถหาวิธีปรับลดค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะค่าตรวจโควิด-19 ก็น่าจะทำให้แรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมายอยู่ในขณะนี้สามารถกลับเข้าระบบได้ และจะส่งผลต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลควบคุมโรคระบาดได้สะดวกยิ่งขึ้น
 

อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงาน เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (ถ่ายเมื่อ 16 ธ.ค.63)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รัฐสภาควรหยุดประชุมหรือไม่? ชวนดูวิธีการทำงานของสภาต่างประเทศในช่วงโรคระบาด

$
0
0

ชวนดูความพยายามทำงานของผู้แทนประชาชนในอังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์ บางที่ใช้ประชุมสภาออนไลน์ บางที่ใช้การรักษาระยะห่าง เพื่อให้กลไกออกกฎหมาย การสะท้อนข้อเรียกร้อง ความเดือนร้อนของประชาชนไปพร้อมตรวจสอบรัฐบาลยังทำงานต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ และอีกหลายประเทศังยเดินหน้าจัดการเลือกตั้งได้ลุล่วง 

ภาพ virtual meeting ของคณะกรรมาธิการเตรียมการจัดการประชุมประธานรัฐสภาโลก ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 13 พ.ค.63 ซึ่งในครั้งนั้น พิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สมาชิกวุฒิสภาและกรรมการบริหาร
สหภาพรัฐสภา ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย (ที่มาภาพ
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร)

จากเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา แถลงภายหลังการหารือร่วมวิป 3 ฝ่ายโดยมีมติไม่เอกฉันท์ว่าให้เลื่อนการประชุมสภาออกไป 2 สัปดาห์ จากกำหนดเดิมที่จะเริ่มในวันที่ 6-8 ม.ค.64 เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตการณ์สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เพราะเกรงว่ารัฐสภาจะกลายเป็นคลัสเตอร์การระบาดของโรคแห่งใหม่ เนื่องจากมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน ประกอบกับการที่รัฐบาลออกข้อปฏิบัติห้ามการประชุมต่าง ๆ แต่กลุ่ม ส.ส. พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค กล่าวว่าพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติจะหยุดชะงักไม่ได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขันของประเทศชาติที่กำลังต้องการมาตรการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และพยายามผลักดันให้จัดการประชุมสภาแบบรักษาระยะห่าง หรือนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้

จนล่าสุดวันนี้ (12 ม.ค.64) ชวน ตรวจความเรียบร้อยของห้องประชุมสภาผู้แทนฯ ประชุมส.ส.ในสัปดาห์หน้า พร้อมท่าทีที่เหมือนพยายามกลับมาทำหน้าที่ของสภาให้ได้  ไม่ว่าตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเป็นอย่างไร และขอความร่วมมือสมาชิกทุกคน ให้นำผู้ติดตามมาเพียงท่านละ 1 คน เพื่อลดความแออัด รวมทั้งเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมาชวนเองเพิ่งลงนามเห็นชอบในระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของคณะกรรมาธิการ พ.ศ.2564 แล้ว

แม้การประชุมสภาของไทยจะชะงักไปดังกล่าว แต่รัฐสภาของหลายประเทศทั่วโลกยังยืนยันจัดการประชุมสภาต่อไป เพื่อปรึกษาหารือ หรือออกกฎหมาย เนื่องจากรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญตามระบอบประชาธิปไตยที่ใช้แก้ไขปัญหาให้ประชาชน รัฐสภาในหลายประเทศทั่วโลกจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาได้ตามปกติ ไม่เว้นแม้แต่อังกฤษที่ตอนนี้มีจำนวนผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 สะสมทะลุ 2,600,000 คน

อังกฤษ

22 เม.ย. 2563 รัฐสภาอังกฤษเปิดประชุมสภาออนไลน์ครั้งแรกท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขณะนั้นอังกฤษมีผู้ป่วยสะสมจำนวน 117,942 คน และบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ คือ หนึ่งในผู้ป่วยจำนวนนี้ ถึงแม้ว่าขณะนั้น อังกฤษจะอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ 5 สัปดาห์ อีกทั้งสุขภาพของผู้นำประเทศยังอยู่ในขั้นวิกฤติ แต่สมาชิกรัฐสภารวมถึงคณะรัฐมตรีจำเป็นต้องเดินหน้า ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนต่อไป

การประชุมสภาออนไลน์ครั้งแรกของอังกฤษ กำหนดให้ ส.ส. จำนวน 50 คนเข้าประชุมแบบรักษาระยะห่างทางกายภาพในอาคารรัฐสภา ส่วนที่เหลืออีก 120 คนให้ประชุมผ่านโปรแกรม Zoom ซึ่งมีการเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับจอโทรทัศน์ในรัฐสภา เพื่อให้ ส.ส. ทุกคนสามารถพูดคุย ปรึกษาหารือ รวมถึงลงมติต่าง ๆ ได้เสมือนเข้าร่วมประชุมปกติ และถ่ายทอดสัญญาณให้ประชาชนรับชมได้ผ่านทางเว็บไซต์ของรัฐสภา โดยในวันนั้น โดมินิก ราบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และแมตต์ ฮานค็อก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้านั่งในห้องประชุมจริงเพื่อตอบกระทู้ซักถามจาก ส.ส. หลายคนที่ร่วมประชุมจากทางบ้าน ด้าน ลินด์เซย์ ฮอยล์ โฆษกประจำรัฐสภากล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุมสภาวันนั้นว่า “นี่คือสัญลักษณ์ที่ต้องจดจำ รัฐสภาอังกฤษอยู่มา 700 ปี แต่จู่ ๆ ก็ต้องปรับ[วิธีการทำงาน]ไปสู่รูปแบบใหม่ นี่คือจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ สิ่งที่เราต้องการคือระบบอันแข็งแกร่งซึ่งก่อร่างสร้างขึ้นจากจุดเปลี่ยนในวันนี้”

จากการประชุมสภาออนไลน์ในช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรก จนถึงปัจจุบันซึ่งรัฐบาลอังกฤษประกาศล็อกดาวน์ครั้งที่ 3 สมาชิกรัฐสภาอังกฤษยังคงเดินหน้าเปิดประชุมสภาอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาปิดตายสภา รวมทั้งเปิดให้ ส.ส. สามารถลงมติรับร่างกฎหมายต่าง ๆ ได้ผ่านเว็บไซต์ของรัฐสภา

ญี่ปุ่น

14 เม.ย. 2563 รัฐสภาญี่ปุ่นจัดการประชุมสภาแบบรักษาระยะห่างครั้งแรก โดยอนุญาตให้ ส.ส. จำนวน 230 คนจากทั้งหมด 465 คน เข้านั่งแบบที่เว้นที่ในห้องประชุม ส่วน ส.ส. ที่เหลือให้ประชุมผ่านไลฟ์จากที่บ้าน ในการประชุมดังกล่าว ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งดำแรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นได้เสนอร่างงบประมาณฉุกเฉินจำนวน 108 ล้านล้านเยน เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อนจากโรคระบาดโควิด-19 ต่อมาในวันที่ 1 พ.ค. 2563 คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นจัดการประชุมออนไลน์เต็มรูปแบบครั้งแรก โดยมีเพียงชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรี และโยชิฮิเดะ ซูงะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น นั่งประชุมในห้องเดียวกันแบบรักษาระยะห่าง ส่วนรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ประชุมออนไลน์ผ่านโปรแกรมสไกป์ และสวมหน้ากาอนามัยทุกคน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นลงมติให้จัดการประชุมทุกวันอังคารและวันศุกร์ตามกำหนดการเดิมทุกอย่าง เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบมาใช้ช่องทางออนไลน์แทน

รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นกำหนดให้ ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ต้องเข้าร่วมประชุมสภา ทำให้สามารถจัดการประชุมแบบรักษาระยะห่าง รวมถึงนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ ส.ส. ที่เหลือประชุมทางไกลได้ แต่เมื่อถึงกำหนดลงมติเห็นชอบกฎหมาย ส.ส. จำนวน 465 คน และ ส.ว. อีก 245 คน ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อลงมติทุกคน แต่ในช่วงที่เกิดโรคระบาดนี้สมาชิกรัฐสภาหลายคนไม่สะดวกเข้าร่วมประชุมเพื่อลงมติได้ เช่น ยาซุฮิโกะ ฟุนาโงะ ส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค่ายวัย 62 ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมิทสึรุ อูระตะ คณะกรรมการจังหวัดไซตามะที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน บุคคลเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่าย ซึ่ง ส.ส. พรรคฝ่ายค้านและคณะกรรมการบริหารในหลายจังหวัดของญี่ปุ่นได้ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายนี้ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาทุกคนสามารถลงมติเห็นชอบกฎหมายผ่านการประชุมออนไลน์ได้ ทั้งยังช่วยคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตให้แก่สมาชิกรัฐสภาทุกคนอีกด้วย ทว่า ข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติให้ทำได้เฉพาะการประชุมของคณะกรรมการจังหวัด และคณะทำงานงานย่อยอื่น ๆ เท่านั้น ส่วนการลงมติเพื่ออกกฎหมายในระดับประเทศเห็นควรให้ยึดถือรูปแบบการลงมติตามเดิม

ถึงแม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องรูปแบบและข้อกำหนดการประชุมสภา แต่รัฐสภาญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าทำงานแบบรักษาระยะห่างอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดประชุมสภาวิสามัญสมัยถัดไปในวันที่ 18 ม.ค. นี้

ออสเตรเลีย

24 ส.ค. 2563 รัฐสภากลางของออสเตรเลียเปิดประชุมวิสามัญเต็มรูปแบบโดยใช้ช่องทางออนไลน์เป็นครั้งแรกใน หลังจากพักการประชุมนาน 9 สัปดาห์ โดยอนุญาตให้ ส.ส. ที่เดินทางมาประชุม ณ อาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์ราไม่ได้เนื่องจากนโยบายห้ามเดินทางข้ามรัฐ รวมถึง ส.ส. ที่มีปัญหาสุขภาพ สามารถเข้าร่วมประชุมสภาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของทางการได้ ซึ่งการประชุมสภาครั้งนี้ถือเป็นการประชุมทางไกลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย

ส.ส. ที่ประสงค์เข้าร่วมการประชุมออนไลน์จะได้รับลิงก์เข้าร่วมเป็นรายบุคคล และต้องปฏิบัติตามระเบียบของที่ประชุมอย่างเคร่งครัด โดยต้องแต่งตัวสุภาพตามระเบียบการประชุมปกติ ต้องประดับสัญลักษณ์พรรคการเมือง รวมถึงป้ายระบุชื่อและตำแหน่งให้เห็นเด่นชัดตลอดการประชุม และไม่สามารถโหวตลงคะแนนใด ๆ ได้ตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้การลงคะแนนมีผลต่อเมื่อ ส.ส. เข้าร่วมในสถานที่ประชุมจริงเท่านั้น แต่ ส.ส. ที่ประชุมออนไลน์ยังสามารถปรึกษาหาหรือหรือซักถามบุคคลอื่นในที่ประชุมได้ตามปกติ

เมื่อ พ.ศ.2552 รัฐสภาออสเตรเลียเคยสำรวจความเห็นของสมาชิกรัฐสภาเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาประชุมที่กรุงแคนเบอร์รา และพบว่าสมาชิกระหว่าง 5-10% รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางและการปรับเวลา เนื่องจากออสเตรเลียเป็นประเทศใหญ่ที่มี 3 เขตเวลา การเดินทางข้ามเขตเวลาบ่อย ๆ จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ นอกจากนี้ แคโรลิน อีแวนส์ ศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการเดินทางข้ามรัฐและเขตเวลาเป็นประจำ ส่งผลให้ผู้หญิงในรัฐสภาออสเตรเลียมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

แคนาดา

แคนาดาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จัดประชุมสภาออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ปีที่แล้ว สมาชิกรัฐสภาแคนาดาทุกคนทดลองประชุมทางไกลร่วมกันผ่านโปรแกรม Zoom เป็นครั้งแรก เพราะไม่ ส.ส. และ ส.ว. มากกว่า 300 คนไม่สามารถรวมตัวกัน ณ อาคารรัฐสภา ตามระเบียบป้องกันโรคระบาดโควิด-19 แต่รัฐสภาแคนาดาจำเป็นทำงานเพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติไปได้ จึงทดลองประชุมสภาในรูปแบบนิวนอร์มัลโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย แน่นอนว่า สมาชิกรัฐสภาแต่ละคนมีความสามารถด้านเทคโนโลยีแตกต่างกัน ทำให้เกิดปัญหาทางเทคนิคหลายอย่างตามมา เช่น ขาดการเชื่อมต่อเพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี เผลอกดออกจากห้องประชุม หรือลืมปิดไมค์ ทำให้มีเสียงรบกวนจากคนในบ้าน หรือสัตว์เลี้ยงดังเล็ดลอดเข้ามาในที่ประชุม แต่การประชุมก็ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยมีสมาชิกรัฐสภาจำนวน 280 คนจากทั้งหมด 338 คนเข้าร่วม

แม้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าการใช้ Zoom ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากจีนเป็นสื่อกลางการประชุมระดับประเทศจะเสี่ยงต่อความมั่นคงทางไซเบอร์ แต่แอนโทนี โรตา โฆษกรัฐสภาของแคนาดากล่าวว่า Zoom ที่รัฐสภาใช้เป็นแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มฟรีที่ใช้กันอยู่ทั่วไป จึงมั่นใจเรื่องระบบความปลอดภัย อีกทั้งเนื้อหาการประชุมสภาก็ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ จึงยืนยันที่จะจัดการประชุมสภาผ่าน Zoom พร้อมเปิดให้ประชาชนดูการประชุมย้อนหลังได้ในเว็บไซต์รัฐสภา

รัฐสภาแคนาดาจัดการประชุมสภาออนไลน์เต็มรูปแบบสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อซักถามและปรึกษาหารือเกี่ยวกับกฎหมายแนะนโยบายต่าง ๆ ส่วนการประชุมจริงที่อาคารรัฐสภาในกรุงออตตาวาจะจัดขึ้นทุกวันพุธ โดยให้ตัวแทนพรรคการเมืองแบ่งกลุ่มเข้าร่วมประชุมแบบรักษาระยะห่าง เพื่อให้สามารถออกกฎหมายฉุกเฉินสำหรับบริหารประเทศในช่วงโรคระบาดได้

สิงคโปร์

วันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประธานรัฐสภาไทยประกาศเลื่อนการประชุมออกไป 2 สัปดาห์ แต่รัฐสภาสิงคโปร์เดินหน้าจัดการประชุมสภาออนไลน์ครั้งแรก โดยถ่ายทอดสดผ่านช่องยูทูบของกระทรวงการสื่อสารและข้อมูลสื่อสารแห่งสิงคโปร์ พร้อมมีซับไตเติลภาษาอังกฤษขึ้นให้อ่านแทนการใช้ล่ามภาษามือ และจะจัดเก็บวิดีโอถ่ายทอดสดไว้นาน 6 เดือน

คณะรัฐมนตรีสิงคโปร์เสนอให้ถ่ายทอดสดการประชุมสภาแบบเต็มรูปแบบผ่านยูทูบตั้งแต่ ก.ย. ปีที่แล้ว แต่ ส.ส. ฝ่ายค้านคัดค้านเนื่องจากเห็นว่ามีช่องการอื่นที่ประชาชนสามารถรับชมการประชุมสภาได้อยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุด คณะรัฐมนตรีก็สามารถผลักดันให้ประชาชนมีช่องทางการรับชมการประชุมสภาได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากการดูผ่านเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง CNA

เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ปีที่แล้ว รัฐสภาสิงคโปร์มีมติให้จัดการประชุมสภาโดยรักษาระยะห่างทางกายภาพ ให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมโดยนั่งห่างกันอย่างน้อยเว้น 1 ที่ และอนุญาตให้ขึ้นไปนั่งบนชั้น 2 ของห้องประชุมได้ นอกจากนี้ สมาชิกรัฐสภาทั้งหมดต้องใช้ทางเข้าออกคนละทาง รวมถึงแบ่งกลุ่มการประชุมย่อยหลายกลุ่ม เพื่อลดความแออัดภายในอาคาร มาตรการนี้ยังคงบังคับใช้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้โรคโควิด-19 จะระบาดหนัก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐสภาสิงคโปร์

การประชุมสภาทางไกลไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเพราะโรคระบาดโควิด-19 แต่ใน พ.ศ.2554 รัฐสภาสเปนอนุญาตให้ ส.ส. และ ส.ว. ลงมติทางไกลได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมที่รัฐสภา ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจ็บป่วยจนไม่สามารถเดินทางได้ หรือลาเลี้ยงบุตร ส่วนบราซิลเป็นประเทศแรก ๆ ที่นำเทคโนโลยีประชุมทางไกลมาใช้กับการประชุมสภา เนื่องจากประเทศมีขนาดใหญ่ ทำให้มี ส.ส. มากกว่า 500 คน จึงไม่สะดวกต่อการเดินทางเข้ามาประชุมในเมืองหลวง  นอกเหนือจากประเทศเหล่านี้ ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่มาตรการล็อกดาวน์หรือรักษาระยะห่างไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐสภา เพราะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย หรือจัดรูปแบบการประชุมให้สอดคล้องกับหลักการป้องกันโรค เช่น นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฟินแลนด์ ลัตเวีย จอร์เจีย แอฟริกาใต้ หรือแม้แต่เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาที่สามารถจัดการเลือกตั้งท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดได้อย่างสำเร็จลุล่วง แสดงให้เห็นว่าโรคระบาดไม่ใช่อุปสรรคร้ายแรงต่อความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญยังเป็นกลไก ออกกฎหมายสำคัญๆ การสะท้อนข้อเรียกร้อง ความเดือนร้อนของประชาชนไปพร้อมตรวจสอบการทางงานของรัฐบาลในช่วงเวลานี้

ที่มา : 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองฯ ล่าชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ หวังโอกาสแก้ไขปัญหาตรงจุด สอดคล้องกับวิถีชีวิต

$
0
0

เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย หรือ คชท. เปิดให้สาธารณชนร่วมเข้าชื่อสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อให้มีการรับสิทธิของชนพื้นเมืองในประเทศไทยอย่างเป็นทางการและเพื่อให้ชนพื้นเมืองในประเทศไทยได้มีโอกาสแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างตรงจุดและสอดคล้องกับวิถีชีวิต

ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN)รายงานว่าชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยประสบปัญหาหลายประการ เช่นสิทธิที่ดิน สิทธิในสัญชาติ การเข้าถึงการศึกษา และปัญหาการสูญหายของอัตลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรม ในขณะที่กระแสโลกาภิวัฒน์และกระบวนการพัฒนาประเทศดึงดูดเยาวชนและคนวัยทำงานออกจากชุมชนไปสู่เมืองมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่มีสาเหตุมาจากการที่นโยบาย กฎหมาย และมาตรการที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าพื้นเมืองยังไม่มีความสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมและขัดกับเจตนารมย์ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองหรือ UNDRIP ซึ่งรัฐบาลไทยได้ร่วมกับอีก 143 ประเทศลงนามรับรองเมื่อพ.ศ. 2550

ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองมีการระบุสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองไว้หลายประการ ซึ่งรวมไปถึงสิทธิในการเข้าถึงที่ดิน สัญชาติ และสิทธิขั้นพื้นฐานอื่น ๆ สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเองและมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของแหล่งที่มา และสิทธิในการไม่ต้องถูกบังคับให้ผสมกลืนกลายทางวัฒนธรรมหรือทำลายวัฒนธรรมของตน โดยรัฐจะต้องจัดหากลไกสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีการกระทำใด ๆ ที่ทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองต้องสูญเสียอัตลักษณ์หรือคุณค่าเชิงวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของพวกเขา สูญเสียความเป็นเจ้าของที่ดิน เขตแดน หรือทรัพยากร ถูกบังคับให้ผสมกลืนกลายหรือรวมพวกทางวัฒนธรรม หรือเมื่อมีการโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะที่ส่งเสริมหรือยุยงให้เกิดการเลือกปฎิบัติทางชนชาติต่อชนเผ่าพื้นเมือง

เหตุผลเหล่านี้นำไปสู่การยกร่างพ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยเพื่อยืนยันสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองตามรัฐธรรมนูญและรับรองสิทธิในการกำหนดวิถีชีวิตของตนเองตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐไทยเป็นภาคี รวมถึงข้อกำหนดในปฎิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง และเพื่อให้เกิดกลไกการแก้ไขปัญหาอย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมที่ชนพื้นเมืองได้มีส่วนร่วมด้วยตนเอง

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวกำหนดให้มีการตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยโดยให้มีสมาชิกที่มาจากชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งเลือกกันเองภายในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาขึ้นทะเบียนกับสำนักงานสภาฯ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของสภาฯ ซึ่งรวมถึงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ส่งเสริมและฟื้นฟูอัตลักษณ์ ภาษา วัฒนธรรม พื้นที่ทางจิตวิญญาณและพื้นที่ทำมาหากินตามจารีตประเพณีของชนเผ่าพื้นเมือง และเป็นกลไกในการแสวงหาความร่วมมือในการป้องสิทธิมนุษยชน ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพชนเผ่าพื้นเมือง

นอกจากนี้ ร่างพ.ร.บ. ยังกำหนดนิยามของชนเผ่าพื้นเมืองว่าหมายถึง “บุคคลหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานร่วมกันโดยมีวิถีปฏิบัติตามจารีตประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ ตลอดจนมีภาษาและแบบแผนทางวัฒนธรรมของตนเองมาจนถึงปัจจุบัน เป็นกลุ่มคนที่มีความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือหลายพื้นที่และพึ่งพาผูกพันกับทรัพยากรในพื้นที่นั้น ๆ มิได้ป็นกลุ่มครอบงำทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม และพิจารณาตนเองว่ามีความแตกต่างไปจากภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคม มีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์พัฒนา และสืบทอดวิถีชีวิต อัตลักษณ์ระบบภูมิปัญญาสู่คนรุ่นอนาคต อันเป็นไปตามแบบแผนทางวัฒนธรรม สถาบันทางสังคม และระบบนิติธรรมของตน รวมทั้งเป็นกลุ่มที่รักษาสันติวัฒนธรรม อันเป็นแนวปฏิบัติตามจารีตประเพณี ยิ่งกว่านั้น ยังระบุตนเองว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองและได้รับการยอมรับจากกลุ่มอื่น ๆ”

ผู้สนใจร่วมลงชื่อสนับสนุนพ.ร.บ. สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่เว็บไซต์ของเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมืองและสามารถส่งเอกสารไปร่วมลงชื่อได้ที่สำนักงานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยก่อนวันที่ 30 มกราคม 2564 โดยขณะนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15,000 รายชื่อ

พ.ร.บ.​สภาชนเผ่าฯ กับทางออกของปัญหาของชนพื้นเมือง

ที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการออกแนวนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาของชนพื้นเมืองในประเทศไทย โดยเมื่อพ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีการออกมติครม. สองฉบับ คือมติครม.เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลซึ่งออกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน และ มติครม. เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงซึ่งออกเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553

มติครม. ทั้งสองฉบับมีการกำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาวในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ต้องเผชิญ เช่นปัญหาเกี่ยวกับสัญชาติและสถานภาพบุคคล ปัญหาสิทธิที่ดินทำกิน หรือปัญหาการจัดการทรัพยากร และมาตรการในการส่งเสริมวิถีวัฒนธรรมของทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ การอนุญาตให้ชาวเลทำประมงโดยใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมในพื้นที่เขตอนุรักษ์ การสนับสนุนวิถีการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง และการเพิกถอนพื้นที่อนุรักษ์ที่ทับซ้อนกับที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวกะเหรี่ยงที่อยู่มาก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์

อย่างไรก็ตาม มติครม. ทั้งสองฉบับยังคงมีปัญหาในเชิงปฎิบัติ กิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ระบุว่ามติครม. ทั้งสองฉบับมักไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่เมื่อมีการบังคับใช้ในพื้นที่ เช่นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ก็อาจจะอ้างว่าพระราชบัญญัติป่าไม้เป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าตัวมติครม. ที่เป็นคำสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมติครม. ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับเป็นกฎหมายเพื่อให้มีช่องทางสำหรับเรียกร้องสิทธิ

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 70 ยังระบุไว้ว่า "รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย" จึงมีการเสนอว่าจะต้องมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของชนพื้นเมืองเพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญ

กิตติศักดิ์ระบุว่าร่างพ.ร.บ. สภาชนเผ่าฯ จะเข้ามาคุ้มครองสิทธิของชนพื้นเมืองในทุกมิติ ทั้งในประเด็นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไปจนถึงสิทธิเฉพาะด้านต่าง ๆ ซึ่งกิตติศักดิ์กล่าวว่าสิทธิเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิทธิที่ชนพื้นเมืองเคยมีอยู่แล้วและต้องการให้มีการบรรจุไว้เป็นกฎหมาย

"เนื้อหาของเราก็คือเราอยากจะมีนโยบายและแผนงานเฉพาะที่จะมาตอบโจทย์กับพวกเรา เพราะเท่าที่เราเห็น บทเรียนที่ผ่านมา นโยบายที่มันออกมาโดยภาครัฐส่วนใหญ่มันจะออกมาแบบกลาง ๆ เทา ๆ แล้วเวลาไปประยุกต์ใช้จริงมันไม่ตอบโจทย์ของชาวบ้าน แม้แต่ของสภาชนเผ่าพื้นเมืองเองก็อยากได้แผนเฉพาะที่มันตอบโจทย์ความต้องการของพวกเราจริง ๆ แล้วก็อยากจะให้ใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมที่เราอยากจะอยู่ คล้าย ๆ เป็นการกำหนดชะตาชีวิตของพวกเรากันเอง" กิตติศักดิ์กล่าว

นอกจากร่างพ.ร.บ.สภาชนเผ่าฯ แล้ว กิตติศักดิ์ยังระบุว่ามีร่างกฎหมายอีกสองร่างที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ คือร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจัดทำโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรตามแผนของรัฐบาลที่กำหนดให้มีการออกกฎหมายเร่งด่วน 15 ฉบับ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้คาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ในช่วงต้นปี 2564 และร่างกฎหมายที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศอีกฉบับซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการยกร่าง

นอกจากด้านกฎหมายแล้ว กิตติศักดิ์กล่าวว่าการสื่อสารกับสาธารณะในประเด็นเกี่ยวกับการคุ้มครองวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะคนในสังคมมักมีอคติกับชนพื้นเมืองเนื่องจากในอดีต หลักสูตรการศึกษามักจะสื่อสารภาพลักษณ์ของชนพื้นเมืองในเชิงลบ เช่นว่าชาวเขาทำลายป่า หรือชาวเขาค้ายาเสพติด ซึ่งถึงแม้ว่าหลักสูตรในปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่มายาคติเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงและต้องรณรงค์อย่างจริงจัง โดยหลักสูตรการศึกษาจะต้องทำให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม อยู่กันหลากหลายชาติพันธุ์ที่แต่ละกลุ่มก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

"เหมือนกับการจัดแจกัน ถ้ามีดอกร้อยอย่างมันก็จะสวย ถ้าดอกอย่างเดียวมันก็ดูจืด ๆ ถ้าให้เห็นมิติของความสวยงาม มิติของประโยชน์ คุณค่า คิดว่าระบบการศึกษาก็สำคัญ การรณรงค์ก็สำคัญ" กิตติศักดิ์กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ลูกจ้างอ.วังสะพุงยิงปืนขู่ ฅนรักษ์บ้านเกิด หลังเพิ่งร้อง ตร.ขอมาตรการคุ้มครอง

$
0
0

ลูกจ้างชั่วคราวอ.วังสะพุงยิงปืนขึ้นฟ้าขู่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด หลังจากตอนเช้าเพิ่งแจ้งตำรวจวังสะพุงขอให้มีมาตรการคุ้มครองชาวบ้าน หลังพบมีชายฉกรรจ์เข้ามาในพื้นที่เหมืองทอง และมีการขนย้ายแร่และสินทรัพย์และยื่นหนังสือให้อธิบดีกพร.ชี้แจงกรณีเอกชนเข้าไปคนย้ายสินแร่ว่าทำถูกกฎหมายหรือไม่

12 ม.ค.2564 เวลา 9.00 น. ที่สภ.วังสะพุง จังหวัดเลย กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จังหวัดเลย เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านทางผู้กำกับ สภ.วังสะพุง เพื่อขอให้มีมาตรการดูแลความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ จากการใช้ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น และลงบันทึกประจำวันกรณีที่อาจจะมีการขนแร่และสินทรัพย์เถื่อนออกจากเหมืองทองคำโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ทราบฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเข้ายื่นหนังสือมีชายแต่งตัวมิดชิดทำการถ่ายรูปชาวบ้านที่เข้ายื่นหนังสือในครั้งนี้แบบประชิดเรียงคน ทำให้นักศึกษาที่มาช่วยดูแลความปลอดภัยและสนับสนุนชาวบ้านเข้าล้อมรอบชายคนดังกล่าวให้แสดงชื่อและบัตรประจำตัวประชาชน หน่วยงานที่สังกัด พร้อมให้แจ้งวัตถุประสงค์ของการถ่ายรูปชาวบ้านในครั้งนี้ซึ่งในภายหลังชายคนดังกล่าวได้แจ้งว่าเป็นตำรวจ

รจนา กองแสน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ กล่าวถึงการเข้ายื่นหนังสือในครั้งนี้ว่าช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ได้มีชายฉกรรจ์ ที่มีลักษณะคล้ายทหารรับจ้าง เข้ามาวนเวียนในพื้นที่ 6 หมู่บ้าน ซึ่งสร้างความหวาดกลัว และความไม่ปลอดภัย ทั้งในร่างกายและทรัพย์สิน เพราะเราไม่ทราบว่า เป็นผู้ใดมาวนเวียนในหมู่บ้าน นอกจากนี้แล้ว ในวันที่ 2-5 ม.ค.2564 ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลที่เป็นชายฉกรรจ์ ที่อ้างตัวว่าเป็นคนของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้เข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจอำเภอวังสะพุง และยังปรากฏชายฉกรรจ์ที่มีลักษณะคล้ายทหารรับจ้าง วนเข้าออกหมู่บ้านและจอดเฝ้ายามในพื้นที่หมู่บ้าน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมาย มีเพียงเจ้าหน้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านจังหวัดเลย และผู้ประมูลสินแร่ได้ เท่านั้นที่สามารถเข้าได้

นอกจากนี้วันที่ 4 ม.ค.2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจอำเภอวังสะพุง ยังได้นำตู้แดงมาติดตั้งบริเวณทางเข้าเหมืองพิพาท ซึ่งนักปกป้องสิทธิฯ ไม่ได้ทราบจุดประสงค์ในการติดตั้ง และเมื่อนักปกป้องสิทธิฯได้เปิดตู้แดงก็เห็นว่าไม่มีสมุดบันทึกการตรวจเยี่ยม มีเพียงตู้แดงที่ติดตั้งไว้เท่านั้น และหลังจากวันที่ 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้เดินทางมาตรวจตราใดๆ อีก ทำให้เราเกิดความกังวลในเรื่องความปลอดภัยจากความไม่ชัดเจนดังกล่าว

รจนาระบุว่าชาวบ้านเคยถูกคุกคามมาโดยตลอดโดยครั้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในคืนวันที่ 15 พ.ค.2557 มีชายฉกรรจ์หลายร้อยคน เข้ามาทำร้ายคนถึงในบริเวณชุมชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสหลายสิบราย ทางกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดจึงเกิดความห่วงกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำขึ้นอีก เราจึงมีข้อเรียกร้องถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดังนี้

1. ขอให้ผบ.ตร. ได้สั่งการมาที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย และสภ. วังสะพุง เพื่อเร่งรัดหามาตรการสร้างความปลอดภัยและมีประสิทธิผลเพื่อดูแลความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด หกหมู่บ้าน จังหวัดเลยและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆที่สนับสนุนการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อให้มั่นใจว่า

2. ขอให้ผบ.ตร. ได้สืบสวนและหาข้อเท็จจริงถึงการเข้ามาของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างว่ามาจากบริษัททุ่งคำ จำกัด ที่มีพฤติการณ์ข่มขู่สมาชิกในชุมชน

3. ขอให้ผบ.ตร. ได้สอบข้อเท็จจริงของพฤติกรรมตำรวจ สภ.วังสะพุง ที่ได้เดินทางเข้ามาพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว และมาติดตู้แดงบริเวณหน้าเหมืองพิพาทเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2564 ว่าเข้ามาด้วยจุดประสงค์ใด และใครสั่ง

พ.ต.ท.วัชระพงษ์ จักรโนวัน รองผู้กำกับการ สภ.วังสะพุง กล่าวว่า ตำรวจจะดำเนินการตามที่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดได้ยื่นหนังสือมาทั้ง 3 ข้อ และจะดำเนินการในเรื่องความปลอดภัยให้เร็วที่สุดและให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย และจะเพิ่มความถี่ในการตระเวณตรวจให้มากขึ้นเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย

พ.ต.ท.วัชระพงษ์ กล่าวถึงส่วนของการขนย้ายแร่เถื่อนที่ชาวบ้านมาลงบันทึกประจำวันนั้น ตำรวจก็ยังไม่ทราบเรื่อง หลังจากวันนี้ก็จะจัดเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบตามการร้องเรียกร้องของชาวบ้าน

ขออธิบดี กพร.แจงข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอน ขนย้ายแร่ หลังพบเหตุไม่ปกติ

ต่อมา มล คุณนา ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ เป็นตัวแทนยื่นหนังสือถึง ณรงค์ จีนอ่ำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย สายพิรุณ วัฒนวงศสันติ ผู้อำนวยการสำนักงาน บังคับคดีจังหวัดเลย มานิต นวลพับ หัวหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลย ที่เดินทางมาขอพบกับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดที่หน้า สภ.วังสะพุง เพื่อให้ชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการขนย้ายแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัดไขนภาสตีล ที่ประมูลสินแร่จำนวน 190 ถุงและตรวจสอบว่าการดำเนินการของบริษัทเป็นไปโดยถูกกฎหมายหรือไม่โดยบริษัทต้องแสดงหลักฐานว่าทำโดยถูกต้อง

มลกล่าวว่าการขอให้ชี้แจงครั้งนี้เนื่องจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดที่ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการเจ้าหนี้ ให้ทำหน้าที่เฝ้าเวรยาม ดูแลเหมืองทองคำ แต่กลับพบว่าเมื่อวันที่ 2 และ 4 ม.ค.2564 มีชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวว่ามาจากบริษัททุ่งคำ จำกัด รวมทั้งตำรวจและทหารกว่าสิบนายเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้าน และไปหาชาวบ้านเป็นเวรยามอยู่ทางเข้าเหมืองทองคำ ด้วยท่าทีข่มขู่คุกคาม

ชาวบ้านยังตั้งข้อสังเกตว่าการจัดการขนย้ายสินแร่ทั้ง 190 ถุงดังกล่าว ไม่มีทั้งขั้นตอน วันเวลาที่ชัดเจนใด อีกทั้งยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์อื่นในพื้นที่ โดยเข้าไปเคลื่อนย้ายและปรับแต่งกองสินแร่ที่อยู่บริเวณหน้าโรงงานแต่งแร่ที่ไม่ถูกตีตรายึดทรัพย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนั้นหากตรวจสอบแล้วพบว่าเกิดการกระทำความผิด ขอให้เอาผิดเจ้าหน้าที่บังคับคดีกองล้มละลายหากไม่ได้ดำเนินการตีตราทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด จนนำมาสู่การทุจริตหรือเอื้อผลประโยชน์ให้เกิดการทุจริต ในการประมูลขายสินทรัพย์ทั้งในและนอกรายการ และดำเนินการคุ้มครองความปลอดภัยของชาวบ้านด้วย

ณรงค์ จีนอ่ำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดกับชาวบ้าน ทางผู้ว่าฯ ก็ไม่สบายใจ จึงให้นายอำเภอและผู้กำกับสภ.วังสะพุง มีมาตรการรักษาความปลอดภายให้เข้มข้นกว่าเดิม และจะกำชับให้ตำรวจมาตรวจตราตามที่ได้มีการติดตั้งตู้แดงไว้

ณรงค์กล่าวถึงประเด็นการขายสินแร่ต่างๆ ที่มีส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือมีการเคลื่อนย้ายออกไป และจะให้กรมบังคับคดีที่เป็นเจ้าของเรื่อง ให้ไปทำบัญชีทรัพย์สินต่างๆ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจกับพี่น้องประชาชน ว่ามีสินแร่เหลือกี่ถุง ประมูลไปแล้วเท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ทางราชการเห็นว่าไม่มีเรื่องราวที่ต้องปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น และตนจะรับไว้ว่าจำต้องมีการดำเนินการต่อเพื่อดูว่าทรัพย์สินใดบ้างที่จะขายทอดตลาดโดยกรมบังคับคดี

ส่วนการเร่งรัดการขายสินทรัพย์ ณรงค์กล่าวว่าตนทราบจากกรมบังคับคดีว่า ทางกรมฯ ได้ขายสินแร่แล้วแต่ยังไม่ได้ขนออกไป จึงยังเป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ วันนี้ผมบอกว่าต้องดำเนินการให้เร็ว คนที่ขายเอาเงินมาให้ราชการแล้วต้องดำเนินการให้เร็ว หากสินแร่ยังอยู่ที่เดิม ความไม่ปลอดภัยก็จะยังคงอยู่ ทราบว่าเมื่อซักครู่ ผู้ที่ประมูลได้ จะขอให้ออกใบอนุญาตขนย้ายแร่ภายในวันนี้ ทางอุตสาหกรรมต้องทำให้เร็ว และการขนย้ายต้องทำให้ประชาชนได้มีส่วนรับรู้ด้วย ย้ำว่าจะทำให้ดีที่สุดและทำให้ประชาชนรับรู้ด้วยกัน

ณรงค์ยืนยันถึงกรณีที่มีบุคคลแอบอ้างว่าได้เข้ามาเคลียร์กับผู้ว่าแล้วจึงเข้าไปในพื้นที่ได้ว่า ไม่เป็นความจริงเด็ดขาด หากพบเจอให้แจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และหากมีการอ้างถึงผู้ว่าฯ ที่ให้เกิดความเสียหาย ผู้ว่าฯ ก็อาจจะดำเนินคดีด้วย และยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแน่นอน

ลูกจ้างชั่วคราวอ.วังสะพุง ใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ชาวบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการยื่นหนังสือ ในช่วงบ่ายของวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.วังสะพุงได้เข้าไปทำการติดตั้งดูแดงใหม่ให้กับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดที่บริเวณปากทางเจ้าเหมืองทองคำ พร้อมทั้งได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพื้นที่เพิ่มเติม

ทั้งนี้ช่วงเวลาประมาณ 17.15 น. มีชายที่ทราบชื่อภายหลังคือ ธนกฤต อันทะระ ลูกจ้างชั่วคราวฝ่ายความมั่นคงของ อ.วังสะพุง ขับรถโตโยต้าทะเบียน กค 6667 เข้าไปในบริเวณทางเข้าเหมืองที่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด และนักศึกษาเฝ้าเวรยามอยู่ โดยธนกฤตสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่ระบุสังกัดว่า “กรมการปกครอง” และพกพาอาวุธปืนมาด้วย โดยเข้าไปพูดท้าทายชาวบ้านและนักศึกษาก่อนด้วยลักษณะกำลังมึนเมาอยู่ เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จึงกันตัวธนกฤตกลับไปขึ้นรถก่อนขับออกไป

ธนกฤต อันทะระ(กลาง) ผู้ก่อเหตุ

จากภาพเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอ กลุ่มชาวบ้านและนักศึกษาได้นำไม้มากั้นทางเพื่อไม่ให้ธนกฤตออกไปเพื่อรอให้ตำรวจเข้ามาดำเนินการกับธนกฤตแต่ทาง ชรบ.ที่อยู่ในพื้นที่ได้นำไม้กั้นออกเพื่อให้รถของธนกฤตออกไปได้แต่เมื่อขับผ่านไปแล้ว ธนกฤตได้ใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า 1 ครั้งก่อนออกจากพื้นที่ไป

ภาพขณะ ชรบ. นำไม้ที่กั้นถนนออกเพื่อให้รถของธนกฤตผ่าน

ธนกฤตขณะขับรถผ่านกลุ่มชาวบ้านและนักศึกษา

หลังเกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในพื้นที่รายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุตำรวจจากวังสะพุงได้เข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบและเก็บพยานหลักฐาน

ประยูร อรัญรุท นายอำเภอวังสะพุง ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ก่อเหตุเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่มาทำงานให้กับอำเภอในช่วงโควิด-19 ซึ่งจะมีการประเมินการทำงานเดือนต่อเดือนแต่เมื่อเหตุแบบนี้ขึ้นแล้วก็ต้องให้ออกจากงาน แต่ส่วนการดำเนินคดีก็ต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต่อไป ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุไม่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้มาปฏิบัติหน้าที่ในการมาดูแลรักษาความปลอดภัยกลุ่มชาวบ้านครั้งนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วก็ต้องเพิ่มการดูแลความปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ 1 ในกำนันที่เป็นหัวหน้าชุด ชรบ.และอยู่ในที่เกิดเหตุอธิบายว่าที่ต้องเอาไม้กั้นทางออกเพราะไม่ต้องการให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเนื่องจากธนกฤตก็มีอาวุธปืนและมีลักษณะมึนเมาชัดเจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์ในขณะที่พยายามนำตัวธนกฤตออกไปจากพื้นที่ และตนก็ไม่ทราบว่าทำไมธนกฤตถึงมาที่นี่ และพวกตนยืนยันว่าจะดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่

20.12 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนกฤตเดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.วังสะพุงเอง โดยทางเจ้าหน้าที่สอบสวนอยู่ที่ สภ.วังสะพุง ทั้งนี้ทางกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดจะขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย และผู้ต้องหามีปืน 2 กระบอก โดยทางตำรวจกำลังตรวจสอบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

This Land No Mine ชวนจับตาสถานการณ์ร้อนเหมืองแร่ปี 2564 อาจหนักกว่าปีที่ผ่านมา

$
0
0

หลังจากปีที่ผ่านมา This Land No Mine ได้นำเสนอ 5 เรื่องเด่นประเด็นเหมืองแร่ ปี 2563 ไปแล้ว ในปี 2564 นี้ This Land No Mine ได้คาดการณ์ว่า สถานการณ์เหมืองแร่ในประเทศไทยมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงของปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน และยังมีความท้าทายภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 อีกด้วย จากการเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละพื้นที่ This Land No Mine พบว่า มีหลายกรณีที่เป็นประเด็นน่าสนใจและต้องจับตาสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนว่า สถานการ์เหมืองแร่ในปี 2564 นี้ ยังคงร้อนแรงไม่แพ้ปีที่ผ่านมา และอาจจะหนักหนากว่าปีที่ผ่านมาก็เป็นไปได้

จับตาสถานการณ์ร้อน ‘เหมืองแร่’ ปี 2564

1. จับตาเหมืองทองคำคิงส์เกตกลับมาเปิดใหม่ แลกประยุทธ์แพ้คดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ

2. เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ชี้ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ ขัด พ.ร.บ.แร่ 60 จ่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง หาก กพร. ไม่ดำเนินการแก้ไข

3. ละลายงบฟื้นฟูเหมืองตะกั่ว ยิ่งทำสารเคมียิ่งกระจาย ล่าสุดยิงปิดปากลูกชายเจ้าของเหมือง ชาวบ้านเชื่อเหตุเคยวิจารณ์มาตรการการฟื้นฟูฯ

4. SEA โปแตชอีสาน

5. พื้นที่คำขอประทานบัตรเหมืองโดโลไมท์ที่ลำทับทับลงไปในโครงข่ายน้ำใต้ดิน

 

1. จับตาเหมืองทองคำคิงส์เกตกลับมาเปิดใหม่ แลกประยุทธ์แพ้คดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ

ถ้าจะยกเว้นการออกคำสั่ง คสช. ที่ทำลายนิติรัฐนิติธรรมโดยกฎหมายสักฉบับหนึ่ง  คำสั่งนั้นคือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2559 ที่สั่งให้ปิดและฟื้นฟูเหมืองทองคำ  เพราะว่า 3 ปีหลังปิดเหมืองทองของบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด  บริษัทแม่สัญชาติออสเตรเลีย  ภายใต้การบริหารของบริษัทลูกสัญชาติไทยในนามบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)  ที่พิจิตรและเพชรบูรณ์  เด็กที่นั่นมีสารหนูลดลง 12 เท่า  มีความบกพร่องทางการเรียนรู้น้อยลง

แต่ประเด็นคือไม่ควรยกเว้น  เนื่องจากว่าใช้กฎหมายปกติและมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็สั่งปิดและฟื้นฟูเหมืองทองได้แล้ว

สาเหตุหลักที่ต้องใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ปิดเหมืองทอง  ก็คือ  ระบบราชการ  เนื่องจากระบบราชการเป็นตัวการสำคัญในการต่อต้านการใช้กฎหมายปกติปิดเหมืองทอง  เพราะเกรงความผิดจะถึงตัวข้าราชการ

เหตุเพราะรัฐประหารไม่ได้ทำให้ระบบราชการคล้อยตามทุกอย่างได้  เพราะข้าราชการกังวลว่าความผิดจะถึงตัวเอง  และตัวเองก็รับสินบนจากเหมืองไว้เยอะ  ข้าราชการในกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จึงดื้อต่อรัฐบาลรัฐประหารด้วยการไม่ยอมใช้กฎหมายปกติสั่งปิดเหมืองทอง

ดังนั้น  สิ่งที่ประยุทธ์ทำด้วยการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ปิดเหมืองทอง  ก็เพื่ออุ้มระบบราชการให้ค้ำจุนรัฐประหารให้คงอยู่อย่างดีต่อไป  ไม่ทำให้ระบบราชการสั่งสมความไม่พอใจต่อรัฐประหาร

จึงเป็นการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อปกปิดและปล่อยให้ระบบราชการอยู่กับสินบนและคอร์รัปชั่นเหมืองทองกัดกินสังคมไทยต่อไป

นี่คือประการแรกที่ไม่ควรยกเว้นนิติรัฐนิติธรรมโดยกฎหมาย  แม้จะเป็นคำสั่งที่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักการสูงสุดที่รัฐพึงรับผิดชอบก็ตาม

ประการต่อมา  การที่ประยุทธ์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา  ดังนั้นแล้วประยุทธ์เอาสถานะอะไรไปออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ให้ปิดเหมืองทอง

ดังนั้น  สิ่งที่สังคมควรเรียกร้องไม่ใช่แค่ว่าประยุทธ์ต้องใช้เงินตัวเองชดใช้ค่าแพ้คดีที่อาจจะสูงถึง 40,000 ล้านบาท (เป็นตัวเลขที่อัคราฯประเมินการเสียโอกาสทำเหมืองทองบริเวณรอยต่อ จ.พิจิตร  เพชรบูรณ์และพิษณุโลก  ซึ่งคาดว่าจะผลิตทองและเงินใน 8 - 10 ปีข้างหน้า  แบ่งเป็นทอง 8.9 แสนออนซ์  มูลค่า 37,020 ล้านบาท  และเงิน 8.3 ล้านออนซ์  มูลค่า 3,984 ล้านบาท  รวมเป็น 41,004 ล้านบาท, ที่มาหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 9 ธันวาคม 2563)  จากคำตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการเท่านั้น  แต่ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบจากการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นผีโม่แป้ง  โดยที่ไม่มีสถานะอะไรไปออกคำสั่ง  ด้วยการลาออกด้วย

แต่แม้จะเป็นอำนาจจากรัฐประหารก็ไม่จีรังยั่งยืน  ประยุทธ์รู้ดีว่าถ้าสู้คดีก็น่าจะแพ้อย่างแน่นอน  แนวทางจึงขอประนีประนอมในชั้นอนุญาโตตุลาการ  เพื่อไกล่เกลี่ยให้เหมืองทองกลับมาดำเนินการใหม่  ด้วยการที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอนุญาตให้อัคราฯขนสินแร่ทองคำคงค้างในระบบผลิตเดิมเข้าสู่กระบวนการถลุงโลหะทองคำและเงินในโรงถลุงภายในประเทศไทยได้

และเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563  กพร. ได้จัดประชุมคณะกรรมการแร่  ครั้งที่ 10/2563  เพื่อพิจารณาอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษให้อัคราฯสำรวจแร่ทองคำสี่สิบกว่าแปลงคำขอ  เพื่อหวังจะยุติคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ

และเมื่อคราวประชุม ครม. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563  รัฐบาลค่อนข้างมีแนวทางชัดเจนขึ้นโดยต้องการให้เรื่องนี้จบให้ได้ก่อนที่คดีจะไปสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้  ด้วยการยื่นข้อเสนอให้คิงส์เกตหลายประการ  อาทิเช่น  การไม่ขึ้นบัญชีดำคิงส์เกต/อัคราฯในการประมูลงานภาครัฐ  การเปิดโอกาสให้คิงส์เกต/อัคราฯเข้ามาขออาชญาบัตรสำรวจแร่ทองคำในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ  และคืนสิทธิให้คิงส์เกต/อัครากลับมาทำเหมืองทองในพื้นที่เดิม  เป็นต้น

นี่จึงเป็นสิ่งที่พวก NGOs  ประชาสังคม  นักวิชาการ  หรือใคร/องค์กรใดก็ตาม  ซึ่งเป็นพวกที่ชอบสร้างบทบาทและสถานะให้ตัวเอง/องค์กรตัวเองยืนเหยียบอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชน  สมควรโดนตำหนิอย่างรุนแรง  เพราะไปล็อบบี้ให้รัฐบาลรัฐประหารออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ปิดเหมืองทองได้แล้ว  แต่กลับไม่ลงทำงานระดับลึกกับประชาชนในพื้นที่จนทำให้คำสั่งเสียของ  ทั้ง ๆ ที่คำสั่งดังกล่าวมีมิติและบรรทัดฐานที่สูงกว่ากฎหมายปกติด้วยซ้ำ  นั่นคือ  สั่งให้ 'ปิด' และ 'ฟื้นฟู' เหมืองทองไปพร้อม ๆ กันด้วย  ซึ่งสูงกว่ากฎหมายแร่  กฎหมายสิ่งแวดล้อม  กฎหมายควบคุมมลพิษ  และกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย  ที่ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องฟื้นฟูเหมืองโดยตรง

ตลอดระยะเวลาของการใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ปิดเหมืองทองที่นั่น  ตั้งแต่ปลายปี 2559  พวก NGOs  ประชาสังคม  นักวิชาการ  หรือใคร/องค์กรใดก็ตาม  ซึ่งเป็นพวกที่ชอบสร้างบทบาทและสถานะให้ตัวเอง/องค์กรตัวเองยืนเหยียบอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชน  ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล็อบบี้รัฐบาลรัฐประหารให้ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ปิดเหมืองทอง  ไม่เคยมีกระบวนการพูดคุยใด ๆ กับชาวบ้านที่นั่นเกี่ยวกับการผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูเหมืองทองตามคำสั่งหัวหน้า คสช. เลย

ถ้ามีกระบวนการและปฏิบัติการเพื่อกดดันบังคับให้ กพร. และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้อง 'ฟื้นฟู' เหมืองทองด้วย  ไม่ใช่ 'ปิด' เหมืองทองเฉย ๆ  รับรองได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลไทยจะไกล่เกลี่ยเกี้ยเซียะกับ ‘คิงส์เกต’ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอัคราฯให้กลับมาเปิดเหมืองทองทำการผลิตได้ใหม่  เพื่อแลกกับการยุติคดี  ก็เป็นเรื่องยากที่การกลับมาเปิดเหมืองทองเพื่อทำการผลิตใหม่จะประสบผลสำเร็จ

 

2. เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ชี้ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ ขัด พ.ร.บ.แร่ 60 จ่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง หาก กพร. ไม่ดำเนินการแก้ไข

นับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติแร่ฉบับ พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 กฎหมายได้ระบุให้มีการจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ และให้กำหนดพื้นที่ ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ให้ชัดเจนและเพื่อสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคม และต้องพิจารณาเรื่องผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนด้วย

และพ.ร.บ.แร่ ฉบับใหม่นี้เอง ก็ได้มีการระบุพื้นที่หวงห้าม ที่ต้องกันออกจาก ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ อย่างเด็ดขาดโดย มาตรา 17 วรรค 4 ระบุให้ “พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตแห่งแร่เพื่อการทำเหมืองต้องไม่ใช่พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เขตโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เขตพื้นที่ที่มีกฎหมายห้ามการเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ หรือพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม” และมาตรามาตรา 188 ,189 ความว่า บรรดาคำขอทุกประเภทที่ได้ออกก่อน พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ และ บรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ออกตาม พ.ร.บ.แร่ 2510 ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.แร่ 2560

หากพิจารณาจากบทบัญญัติข้างต้น จะเห็นว่า พ.ร.บ.แร่ฉบับนี้มีความก้าวหน้าอย่างมาก เพราะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างมาก หากมีการปฏิบัติตามกฎหมายจริง นั่นหมายถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วในประเทศไทย จะต้องถูกนำมาวิเคราะห์ใหม่อีกครั้ง ว่าพื้นที่ดังกล่าว เหมาะสมกับการเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ หรือไม่ และได้มีการกันพื้นที่อ่อนไหวออกจากพื้นที่ที่มีการสำรวจหรือทำเหมืองแร่หรือไม่  ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการเหมืองแร่ทั่วทั้งประเทศไทย ย่อมได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ เพราะที่ผ่านมาพื้นที่อ่อนไหว โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ได้ถูกทำให้กลายเป็นข้อยกเว้นสำหรับหลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่ทำเหมืองหินเพื่อทำปูนซีเมนต์ ที่ได้รับข้อยกเว้นภายหลัง พ.ร.บ.แร่ใหม่ประกาศใช้

วิธีแก้ปัญหาของหน่วยงานรัฐ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการคือการออกยุทธศาสตร์แร่ และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2561 - 2564 ที่สร้างข้อยกเว้นมากมาย เช่น ทำให้ผู้ประกอบการที่เคยได้ประทานบัตรมาแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 17 วรรค 4 และการสำรวจแร่ ก็ไม่ต้องสำรวจภายใต้เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์แร่ และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ กำลังมีอำนาจเหนือกว่า พ.ร.บ.แร่ 60 เพราะสามารถสั่งให้ไม่ต้องทำตามบทบัญญัติของกฎหมายในลำดับศักดิ์พระราชบัญญัติได้

จากการประชุมเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการสำรวจและทำเหมืองแร่ จากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และตัวแทนภาคประชาสังคม ซึ่งได้ยื่นหนังสือต่อนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากยุทธศาสตร์แร่และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ดังกล่าว รวมถึงการออกอนุบัญญัติต่าง ๆ ที่มีปัญหาในเชิงปฏิบัติ

ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิดในปีนี้ หากปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข  และหากยังปล่อยให้กฎหมายลูกอยู่เหนือกฎหมายแม่เช่นนี้ต่อไป ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ทั่วประเทศ จะดำเนินการฟ้องคดีเพื่อให้มีการเพิกถอนยุทธศาสตร์แร่ และแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ อย่างแน่นอน

3. ละลายงบฟื้นฟูเหมืองตะกั่ว ยิ่งทำสารเคมียิ่งกระจาย ล่าสุดยิงปิดปากลูกชายเจ้าของเหมือง ชาวบ้านเชื่อเหตุเคยวิจารณ์มาตรการการฟื้นฟูฯ

ยังคงเป็นปัญหาคาราคาซัง และมีแนวโน้มว่าปัญหาจะยังคงบานปลายอย่างต่อเนื่อง สำหรับการฟื้นฟูมลพิษในลำห้วยคลิตี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการแต่งแร่ตะกั่ว ที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี จนทำให้ลำน้ำเกิดการปนเปื้อนไปทั่วทั้งสาย จนเกิดการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษ กำหนดแผนงาน วิธีการ และดำเนินการฟื้นฟู โดยตรวจและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี และชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ฟ้องคดี (ชาวบ้านคลิตี้ล่าง) เป็นเงินรายละ 177,199.55 บาท ทั้งนี้ ภายใน 90 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด โดยกรมควบคุมมลพิษได้ใช้วิธีว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการฟื้นฟูดังกล่าว โดยใช้งบประมาณจากภาษีประชาชน 454,762,865.73 บาท และเริ่มทำการฟื้นฟูตั้งแต่ ปี 2560

ซึ่งปัจจุบันปี 2564 ผ่านไป 3 ปีแล้ว กลับพบว่า การดำเนินการฟื้นฟูดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ลำน้ำคลิตี้ กลับมาใช้ได้อีกครั้งตามที่ตกลงกันไว้ ซ้ำร้ายกระบวนการในการฟื้นฟู ยังไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด ไม่มีการทำตามมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการฟื้นฟูแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นฝายหินที่ไม่สามารถดักตะกอนปนเปื้อนสารตะกั่วได้จริง และทำลายระบบนิเวศน์ หรือแม้แต่การนำตะกอนดินขึ้นมาใส่ถุงแต่ก็รีดน้ำที่เต็มไปด้วยสารตะกั่วกลับลงสู่ลำห้วยคลิตี้อีกครั้งโดยไม่มีมาตรการกำจัดสารเคมีก่อนปล่อยลงน้ำ จนเกิดการปนเปื้อนอย่างมหาศาลอีกรอบหนึ่ง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด สำหรับการตั้งคำถามว่าประเทศไทยเหมาะแก่การอนุญาตให้ทำเหมืองแร่จริง ๆ หรือไม่? เพราะการฟื้นฟูภายหลังจากการทำเหมืองตะกั่วที่คลิตี้ เป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนถึงการไม่มีศักยภาพในการควบคุมดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถกำกับดูแลให้เหมืองแร่ทำตามมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ และไม่สามารถดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้ที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาเหมือนเดิมได้จริง

นอกจากนี้ เรายังพบสัญญาณของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา วันที่ 29 ธันวาคม 2563 คงสิทธิ์ กลีบบัว ทายาทเจ้าของเหมืองตะกั่วถูกยิงเสียชีวิต ภายในหมู่บ้านคลิตี้บน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี แม้ทางตำรวจจะสันนิษฐานว่า เป็นการยิงจากเหตุทะเลาะวิวาท แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะผู้เสียชีวิต ถึงแม้จะเป็นทายาทเจ้าของเหมืองตะกั่ว แต่ก็เคยออกมาวิจารณ์ถึงกระบวนการฟื้นฟูหลายครั้ง ซึ่งได้ให้ความเห็นถึงการฟื้นฟูในครั้งนี้ว่า หลายขั้นตอนของการฟื้นฟู ไม่ตรงตามข้อตกลงการว่าจ้าง จนส่งผลให้การฟื้นฟูไม่มีประสิทธิภาพ และไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไป ทั้งยังมีบทบาทในการประชุมไตรภาคีเพื่อติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ซึ่งในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาผู้เสียชีวิต ได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมหลายเรื่อง โดยเป็นการพูดแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จนทำให้คณะกรรมการหลายคนไม่พอใจ  จากวันเวลาที่เกิดเหตุ กับวันเวลาในการประชุมครั้งล่าสุดที่ไม่ได้ห่างกันมากนัก หลายคนจึงเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาถูกยิง ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า ในพื้นที่มีเรื่องของผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์เข้ามาพัวพันกับกระบวนการฟื้นฟู

บทเรียนแห่งความล้มเหลวของการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ที่เกิดการตั้งคำถามต่อหน่วยงานของรัฐในเรื่องของกระบวนการฟื้นฟู ซึ่งพื้นที่เหมืองแร่ทองคำ จังหวัดเลยก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ศาลได้มีคำสั่งให้ทำการฟื้นฟูพื้นที่หลังทำเหมืองแร่ทองคำ และบริษัทก็ได้ใช้วิธีการปล่อยให้ตัวเองล้มละลายเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ทำให้ภาระของการฟื้นฟูตกมาที่หน่วยงานของรัฐ ซึ่งชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านรอบเหมืองแร่ทองคำ ก็ได้ยืนยันว่า กระบวนการฟื้นฟูของพื้นที่นี้ จะต้องดำเนินการโดยประชาชนเป็นหลัก และหน่วยงานรัฐต้องมีหน้าที่เข้ามาหนุนเสริม เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำอีก และเพื่อให้การฟื้นฟูครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจริง และคลอบคลุมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตที่ถูกทำลายไป 

นี่จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญของหน่วยงานของรัฐทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำเหมืองแร่ ว่าจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อให้การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และสุขภาพ ภายหลังการทำเหมืองแร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีเรื่องของการใช้อิทธิพลเถื่อนและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงท่าทีต่อแผนการฟื้นฟูฉบับประชาชน ที่ถูกเสนอโดยกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จ.เลย ว่าจะนำไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร หากยังคงปล่อยปัญหาเหล่านี้ให้คาราคาซังต่อไป คงไม่มีชาวบ้านที่ไหนในประเทศไทย ยินยอมให้เกิดการทำเหมืองแร่ขึ้นอีก เพราะการฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมืองแร่ไม่เคยปฏิบัติได้จริงในประเทศไทย

4. SEA โปแตชอีสาน

ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 - 2564 ซึ่งได้มีการกำหนดให้แหล่งแร่โปแตชและเกลือหินในภาคอีสานและบรรดาคำขออาชญาบัตรสำรวจแร่โปแตช คำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตช และประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตช เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองทั้งหมด โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้ต้องทำกระบวนการตามมาตรา 16 วรรคสอง มาตรา 17 วรรคแรกและวรรคสี่เสียก่อน

ซึ่งในปีที่ผ่านมาสถานการณ์การสำรวจและการทำเหมืองแร่โปแตชในหลายพื้นที่ของภาคอีสานได้มีบริษัทเอกชนยื่นคำขออาชญาบัตรสำรวจแร่โปแตชทั้งแอ่งโคราชและแอ่งสกลนครกว่า 380,000 ไร่ และมีบริษัทเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชและเกลือหินไปแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 9,005 ไร่ และบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ เนื้อที่ 9,707 ไร่

แต่ทว่าการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน จึงทำให้ประชาชนรวมตัวกันลุกขึ้นมาคัดค้านการสำรวจและการทำเหมืองแร่โปแตชในหลายพื้นที่ เช่น กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี จ.อุดรธานี กรณีการคัดค้านคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชของบริษัท เอเชียแปรซิฟิก โปแตช คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เนื้อที่ 74,474 ไร่ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ กรณีการคัดค้านประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชและเกลือหินของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เนื้อที่ 9,707 ไร่ กลุ่มรักษ์ลำคอหงษ์ จ.นครราชสีมา กรณีการคัดค้านคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม กรุ๊ป จํากัด เนื้อที่ 35,000 ไร่ และกลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส กรณีการคัดค้านการสำรวจแร่โปแตชของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า คอร์เปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เนื้อที่ 120,000 ไร่

แต่ถึงอย่างนั้นกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก็ยังคงพยายามผลัดดันให้เกิดการทำเหมืองแร่โปแตชและเกลือหินมากขึ้น ทว่าจะมีหลักประกันอะไรให้บริษัทเอกชนที่ยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชมั่นใจว่าหลังจากยื่นคำขอประทานบัตรไปแล้วจะได้รับใบอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชอย่างแน่นอน และประเด็นปัญหาสำคัญ คือ ต้องไม่ถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ จนนำไปสู่การที่กรมทรัพยากรธรณีและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ได้มีการว่าจ้างบริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นบริษัทที่ปรึกษา โดยให้ดำเนินการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์แร่โปแตช (Strategic Environmental Assessment : SEA) เพื่อการพัฒนาทรัพยากรแร่ที่ยั่งยืน เพื่อพิจารณาทางเลือกในการบริหารจัดการแร่โปแตชอย่างยั่งยืน และเพื่อพิจารณามาตรการในการบริหารจัดการแร่โปแตชที่ยั่งยืน แต่ทว่ากระบวนการจัดทำ SEA ดังกล่าวกลับเป็นกระบวนการในการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของประชาชน ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ลิดรอนสิทธิชุมชน และเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้าแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประชาชนและชุมชนอย่างน่าละอายใจ จนนำไปสู่การคัดค้านกระบวนการจัดทำ SEA ดังกล่าวในที่สุด 

โดยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี ได้จัดเวทีประชุมระดมความคิดเห็น เรื่อง ‘แผนบริหารจัดการทรัพยากรแร่โพแทชเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ ในโครงการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อบริหารจัดการแร่โปแตช ณ โรงแรมมณฑาทิพย์ฮอลล์ อ.เมือง จ.อุดรธานี แต่ถูกชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ประมาณ 70 คน เดินทางไปคัดค้านเวทีดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการจัดเวทีประชุมระดมความคิดเห็น เรื่อง ‘แผนบริหารจัดการทรัพยากรแร่โพแทชเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ อีกครั้ง ณ โรงแรมกรีนโฮเทล อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ถูกกลุ่มประชาธิปไตยไทบ้าน จ.ขอนแก่น เดินทางไปคัดค้านเวทีดังกล่าวและถูกล้มเวทีจนไม่สามารถดำเนินการจัดเวทีประชุมดังกล่าวได้

ภายหลังจากที่ บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้ถูกคัดค้านอย่างหนักจากประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการจัดทำ SEA ที่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เกิดการสำรวจและการทำเหมืองแร่โปแตชมากกว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น แต่บริษัทดังกล่าวรวมถึงกรมทรัพยากรธรณีและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ยังคงไม่ลดละความพยายามในการผลัดดันให้เกิดรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการระดมความคิดเห็นของประชาชนด้วยการส่งแบบสอบถามไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่คัดค้านการสำรวจและการทำเหมืองแร่โปแตช เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล้มเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งกระบวนการและวิธีการดังกล่าวไม่ได้สอดคล้องกับกระบวนการในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) แต่ทว่าเป็นกระบวนการในการสร้างความชอบธรรมให้เกิดการสำรวจและการทำเหมืองแร่โปแตชมากขึ้นเท่านั้น

ซึ่งก่อนที่จะนำไปสู่การว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สมควรที่จะต้องยกเลิกเพิกถอนให้แหล่งแร่โปแตชและเกลือหินทั่วทั้งภาคอีสานออกจากการเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง รวมทั้งต้องยกเลิกเพิกถอนคำขออาชญาบัตรสำรวจแร่โปแตช คำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตช และประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชทั้งหมดเสียก่อน จึงค่อยมาดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) โดยประชาชนต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนแรกก่อนการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว แต่ทว่ากระบวนการที่ บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด และสมรู้ร่วมคิดกันกับกรมทรัพยากรธรณีและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำลังดำเนินการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เป็นกระบวนการเอื้อผลประโยชน์ให้เกิดการทำเหมืองแร่โปแตชเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สอดคล้องกับการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ตามหลักสากลที่ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนในพื้นที่ สิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชนสากล และหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติด้วย

โดยสถานการณ์ในการจัดทำ SEA โปแตชอีสาน ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างมากและมีความเป็นไปได้ว่า SEA ฉบับนี้เป็นฉบับหนุนให้เกิดการทำเหมืองแร่โปแตชเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งถือได้ว่า แหล่งแร่โปแตชเป็นแร่ชนิดแรกที่ได้เริ่มต้นกระบวนการจัดทำ SEA โดยต่อไปอาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานในการจัดทำ SEA ในชนิดแร่อื่น ๆ ที่กำลังเรียกร้องให้ดำเนินการจัดทำ SEA ด้วย ซึ่งต้องจับตากระบวนการจัดทำ SEA โปแตชอีสานดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

5. พื้นที่คำขอประทานบัตรเหมืองโดโลไมท์ที่ลำทับทับลงไปในโครงข่ายน้ำใต้ดิน

ที่หมู่บ้านควนลูกรัง หมู่ 3  ในท้องที่ตำบลดินแดง อ.ลำทับ จ.กระบี่ เป็นพื้นที่รอยต่อโดยมีสันปันน้ำแบ่งจังหวัดกระบี่กับนครศรีธรรมราชในเขต อ.บางขัน  ภูเขาที่เป็นพื้นที่คำขอประทานบัตรเหมืองโดโลไมต์มีลักษณะเป็นกลุ่มภูเขาลูกโดดขนาดไม่ใหญ่มาก  ถูกเรียกว่าเขาพลู  โดยมียอดภูเขาอยู่สามลูก  ซึ่งพื้นที่คำขอประทานบัตรดังกล่าวครอบยอดภูเขาทั้งสามลูก  ลักษณะพิเศษของเขาพลูจะมีถ้ำน้ำใต้ดินเป็นโครงข่ายน้ำใต้ดิน  ซึ่งชาวบ้านได้ทดลองโดยโยนเปลือกข้าวลงไป  และเปลือกข้าวจะไปโผล่อีกที่หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตรจากพื้นที่คำขอประทานบัตร

ในเขาพลูมีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก  เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำของทั้งสองจังหวัด  ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่เห็นด้วยที่จะเปิดให้ประทานบัตรทำเหมืองโดโลไมต์  เนื่องจากเกรงว่าการแปรสภาพเขาพลูที่เป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติในการรับใช้ชุมชนโดยรอบ  ซึ่งส่วนใหญ่ดำรงวิถีชีวิตและมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวชุมชน  การเกษตรและแปรรูปเกษตรจากสวนปาล์ม  กาแฟ  กล้วย  และพืชไร่อื่น ๆ  เปลี่ยนไปเป็นการทำเหมือง  จะส่งผลกระทบในหลายมิติ  ฉะนั้นการทำเหมืองจึงไม่อยู่ในวิสัยทัศน์ของการพัฒนาหมู่บ้าน  รวมทั้งรถบรรทุกหนักและเครื่องจักรอุปกรณ์ที่เข้ามาทำเหมืองจะส่งผลกระทบเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่มากขึ้นจากการใช้ถนนของคนในชุมชน  เสียงและแรงสั่นสะเทือนก็เป็นผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพของประชาชนในแถบถิ่นนี้เช่นกัน

สถานภาพปัจจุบัน  อุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ได้รับจดทะเบียนคำขอประทานบัตรทำเหมืองโดโลไมต์ของบริษัท ภูทองอันดา จำกัด  เป็นคำขอประทานบัตรที่ 5/2560  และได้จัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563  ณ ลานกีฬาประจำหมู่บ้านควนลูกรัง  ซึ่งเป็นการจัดเวทีโดยนำคนนอกพื้นที่คำขอประทานบัตรเข้ามาร่วมในเวที  จนทำให้เวทีผ่านไปได้

แต่อีกเกือบหนึ่งเดือนต่อมาสภาองค์การบริหารส่วนตำบลดินแดงได้มีมติสวนทางกับการจัดเวทีรับฟังฯ  โดยมีมติไม่เห็นด้วยที่จะให้บริษัทภูทองฯดำเนินการขอประทานบัตรเหมืองแร่โดโลไมต์ต่อไปด้วยคะแนนเสียง 11 ต่อ 0 

จึงเป็นที่น่าจับตาว่าในปี 2564 นี้  บริษัทภูทองฯและอุตสาหกรรมจังหวัดพังงาจะผลักดันการขอประทานบัตรสวนทางกับมติ อบต. ดินแดง  หรือไม่

และเป็นพื้นที่ที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากความสวยสดงดงามของเขาพลู  ที่มีโครงข่ายน้ำใต้ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง

 

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก :

77 ข่าวเด็ด

Workpoint Today

Sarakadee

Prachachat

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

องค์กรคนพิการแถลงจี้ 'ปารีณา'ขอโทษ หลังใช้คำพูดกระทบคนพิการ-ตอกย้ำเจตคติเชิงลบ

$
0
0

องค์การคนพิการร่วมอ่านข้อเรียกร้องต่อ 'ปารีณา' หลังใช้คำว่า ‘ออทิสติก’ เปรียบเปรยสภาพบุคคล ชี้การแจ้งความประชาชนนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง วอนสื่ออย่าเงียบ เพราะการเอาเปรียบคนพิการเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

13 ม.ค. 2564 วันนี้ จากกรณีที่สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึมไทยได้โพสต์จดหมายผ่านทางเฟซบุ๊กส่งถึง ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้ตักเตือนปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เรื่องการใช้คำเปรียบเปรยสภาพบุคคลหลังปารีณาได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ก้อย อรัชพร คือใคร...ดาราหน้าแบ๊ว หรือออทิสติกกันแน่...จึงได้เล่นเป็นแค่ตัวตลก ตลกหกฉาก และเธอคือใคร ตกอับหรือไม่ จึงต้องมาโหน พล.อ.ประยุทธ์ ดัง” เพื่อพูดถึงก้อย-อรัชพร โภคินภากร ดารานักแสดงนั้น

ล่าสุดสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยจึงร่วมอ่านแถลงการณ์เรื่องข้อเรียกร้องต่อปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใจความว่า

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อสาธารณะเรื่องนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ต่อว่าดาราท่านหนึ่งโดยใช้คำว่า ‘ออทิสติก’ เปรียบเปรยแทนคำในทำนองว่า ‘ดาราท่านนั้นแบ๊วหรือออทิสติก’ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเหยียดหยาม เป็นการทำให้รู้สึกด้อยค่า เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ขัดกับหลักการตามรัฐธรรมนูญและอนุสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ รวมทั้งเมื่อเป็นคำพูดที่ออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้แทนปวงชนชาวไทย ยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมเจตคติที่ไม่ถูกต้องของสังคมเกี่ยวกับคนพิการว่า เป็นคนไร้ความสามารถ ทั้งนี้บ่อยครั้งที่คนในสังคมยังใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม เช่น คนหูหนวกว่าคนใบ้ เรียกคนพิการทางสติปัญญาว่าปัญญาอ่อน เรียกคนพิการทางจิตสังคมว่าบ้า และใช้คำหลังนั้นแทนคำด่า ถึงแม้ท่านจะใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมข้างต้นด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจหรือไม่มีเจตนาดูหมิ่นดูแคลนคนพิการหรือบุคคลออทิสติก แต่ทว่าเมื่อสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิสติก บิดามารดาผู้ปกครองบุคคลออทิสติก บุคคลออทิสติกเองและคนอื่นในสังคมมากมายออกมาแสดงความกังวล ไม่สบายใจ ตักเตือนวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะด้วยความบริสุทธิ์ใจ แทนที่ท่านจะรับฟังเสียงของประชาชนโดยเฉพาะพยายามทำความเข้าใจกับประเด็นความอ่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรม ท่านกับประกาศ แก่สาธารณะว่าจะดำเนินคดีทางอาญาและทางแพ่งให้ถึงที่สุด รวมถึงได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทแก่ประชาชนเหล่านั้นเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง 

สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยและองค์กรสมาชิกในฐานะที่มีหน้าที่พิทักษ์สิทธิคนพิการขอเรียกร้องให้นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ กล่าวคำขอโทษต่อบุคคลออทิสติกและครอบครัวและยุติการดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทันที รวมถึงขอให้สังคมมีเจตคติและให้โอกาสคนพิการเพราะคนพิการมีศักยภาพไม่ต่างจากคนทั่วไป จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกันวันที่ 13 มกราคม 2564

ลงชื่อ 

สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย
สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย
สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย
สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย
สมาคมบุคคลออทิซึมไทยสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย 
เสาวลักษณ์ ทองก๊วย ที่ปรึกษาสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ 
วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย 
อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ
ว่าที่ร้อยตรีสมเกียรติ คุณสุขทวีเลิศ ทนายความ
ชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิสซึมไทย
ศุภชีพ ดิษเทศ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย
สุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย
นุจจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย
วิทยุท บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย
เอกกมล แพทยานันท์ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
สำเริง วิรัตน์ชนัง อุปนายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิสซึมไทย
ปราโมทย์ ธรรมสโรช อุปนายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิสซึมไทย

นูนู๊ บุคคลออทิสติกซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิออทิสติกอาเซียน กล่าวว่า ตัวเองเป็นออทิสติกและคิดว่าการเอาออทิสติกมาล้อเล่นนั้นไม่สนุกเลย เพราะถึงแม้ว่าคนเป็นออทิสติกจะน่ารักจริงตามที่ปารีณากล่าว แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้มีแค่ความน่ารัก การอยู่กับออทิสทิกนั้นไม่ได้น่ารักเพราะต้องเผชิญความยากลำบากหลายอย่างและคนที่มีภาวะออทิสติกสามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้น ทุกคนไม่เหมือนกัน และมีความเป็นตัวของตัวเอง

เสาวลักษณ์ ที่ปรึกษาสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างสากลว่า การใช้คำพูดดูหมิ่น เหยียดหยาม กลั่นแกล้ง ถือเป็นการเลือกปฏิบัติชนิดหนึ่งที่สร้างอคติและการเหมารวม การทำแบบนี้เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์และเป็นต้นเหตุของการแบ่งแยก กีดกัน ไม่ส่งเสริมการพัฒนาระดับประเทศ ทั้งที่ประเทศไทยให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ตามมาตราแปด ที่เขียนไว้ชัดเจนว่ารัฐภาคีจะต้องสร้างความตระหนักรู้และป้องกันการสร้างพภาพลักษณ์ที่เหมารวมเพื่อลดการลดทอนศักศรีความเป็นมนุษย์ คนที่เป็นผู้แทนประชาชนอยู่สในสภาฯกลับทำเรื่องนี้เสียเอง เราคงต้องกลับมาคุยกันถึงเรื่องจริยธรรมของนักการเมืองและไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปได้เมื่อภาครัฐเป็นฝ่ายกระทำเสียเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องยุติเรื่องนี้โดยด่วน อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นทำลาย ลดทอนคุณค่า และทำให้คนพิการไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ร้ายแรง 

“จึงขอให้พี่น้องทุกท่านสนับสนุนข้อความในแถลงการณ์ ซึ่งดำเนินการตามมาตราแปด ช่วยสนับสนุนกระตุ้นให้รัฐภาคีหยุดเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะทัศนคติทางลบที่บั่นทอนให้คนไม่สามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้ วอนสื่ออย่าปล่อยเรื่องนี้เหมือนสายลมที่พัดผ่าน การเอาเปรียบคนพิการไม่ควรเป็นเรื่องที่ยอมรับได้”

เธอเสริมกับผู้สื่อข่าว Thisable.me ว่า หลักการของความเป็นมนุษย์นั้นสากลอยู่แล้วว่า เราจะไม่เปรียบเทียบใครว่าดีกว่าใคร ใครเก่งกว่าใคร ใครสวยกว่าใคร ใครหล่อกว่าใคร เพราะการเปรียบเทียบนั้นลดทอนคุณค่าของคนที่ด้อยกว่า ฉะนั้นเหตุการณ์นี้จึงถือว่ายอมรับไม่ได้ เป็นการเลือกปฏิบัติทางตรงที่ลดทอนคุณค่าในความเป็นมนุษย์ ทำให้มนุษย์ไร้ค่าทันทีและแยกคนออกเป็น 2 ฝั่งคือฝั่งที่มีค่ากับฝั่งที่มีค่าน้อย คนจึงถูกให้คุณค่าด้วยคุณค่าจากคำเปรียบเทียบและอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ยังลดทอนความสามารถ ศักยภาพผ่านการบูลลี่ ซึ่งไม่ใช่การแกล้งด้วยวาจาอย่างเดียวแต่เป็นการใช้คำที่แฝงไปด้วยเจตนา เช่น เมื่อพูดว่าแบ๊วหรือออทิสติก นัยยะของการพูดว่าออทิตติกก็ตีความได้กับการบอกว่า ปัญญาอ่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องคนที่พูดต้องให้คำตอบเอง คุณรู้อยู่แล้วว่าคุณมีเจตนาอะไร คำเดียวมันแสดงเจตนาของผู้พูด เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องการใช้คำกระทบกระเทียบเรียกคนโดยใช้คำถามเหน็บแนมเปรียบเปรยนั้นคนที่รู้ดีที่สุดคือคนพูด

การเปิดเวทีนี้ขึ้นเป็นเพราะต้องการสร้างแกนกลาง สร้างหลักเกณฑ์หลักการในการใช้คำให้ถูกต้อง ให้คุณค่ากับคนเหมือนกันขณะที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยคนที่อยู่ในกลไกรัฐสภาอันทรงเกียรติ ซึ่งมีหน้าที่บริหารประเทศและต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนทั้งประเทศ สิ่งนี้จึงไม่ใช่แค่ความผิดตามหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการหรือหลักการสิทธิมนุษยชนสากลเท่านั้น แต่ผิดหลักการของความเป็นคนที่เป็นผู้นำ คนที่ดูแลเรื่องการบริหารและมีอำนาจในการตัดสินใจที่ต้องเป็นตัวอย่างและสร้างความเคารพ โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตยที่มีความหลากหลายและเคารพความแตกต่างของคน

แม้ตอนนี้หลายคำเกี่ยวกับสภาพบุคคลถูกสังคมใช้จนเป็นความเคยชิน แต่คนที่จะตัดสินใจได้คือคนที่ถูกกล่าวถึง ถ้าคนที่เขาถูกกล่าวถึงบอกว่าคุณกำลังเปรียบเปรยและลดทอนคุณค่าฉัน ก็ไม่ควรทำ เพราะถือเป็นการเลือกปฏิบัติ ใช้คำในการตีตราคนทนายอนันตชัยกับน้องนูนู๊เล่าให้ฟังว่าเขาพยายามขนาดไหนในการที่จะยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกและของตัวเองให้ได้มาตรฐานตามที่สังคมวางไว้ว่าคนเก่ง คนดี คนปกติ คนมีความสามารถต้องเป็นแบบไหน ในขณะเดียวกันคนที่มีหน้าที่อันทรงเกียรติกลับใช้คำพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยกับอีกสิ่งหนึ่งเพื่อลดคุณค่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจะลดคุณค่าผ่นโซเชียลมีเดีย ฉะนั้นเมื่อเกิดการแบ่งเขาแบ่งเราคนก็ใส่กันเต็มที่ ปารีณาเองก็โดนบูลลี่ไม่ใช่น้อย ซึง่เราก็ไม่เห็นด้วยกับฝั่งที่นำเอาคำเหล่านั้นมาบูลลี่ปารีณาเสียเองแต่แกก็ยอมรับและไม่ได้ตระหนัก อย่างไรก็ดีไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับการถูกบูลลี่ เรื่องนี้จึงควรถูกแก้ไขก่อนที่จะเกิดความรุนแรงขึ้น เป็นซุปเปอร์สเปรดเดอร์ในเชิงการสร้างความเกลียดชังจากการใช้คำพูดได้เลย


เสาวลักษณ์ ทองก๊วย

เอกกมล นายกสมาคนคนตาบอด ระบุว่า หากจะทำให้คนพิการอยุ่ดีกินดีได้ ความเข้าใจต่อคนพิการนั้นจำเป็นมาก แต่ถ้ายังมีการพูดจาเชิงลบก็ไม่สามารถทำให้คนเข้าใจคนพิการได้ คนพิการเองก็อาจมองตัวเองในแง่ลบ เราในฐานะสังคมจึงควรลดการพูดจาเชิงลบต่อคนพิการ ออกมาช่วยกันพิทักษ์สิทธิของคนพิการและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

สุชาติ นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่มีลูกพิการสิ่งหนึ่งที่ต่อสู้มาตลอดคือเจตคติ ลูกเราไม่กล้าออกนอกบ้านเพราะเจอสังคมกีดกัน เหยียดหยาม และตัวเขาเองก็ต่อสู้ยืนหยัดเพื่อศักศรีคนพิการ และจะเดินหน้ายืนหยัดไม่ยอมต่อเรื่องนี้เป็นอันขาด

ชูศักดิ์ นายกสมาคมผู้ปกครองออทิติกไทย ระบุว่า น้องออทิสติกและผู้ปกครองหลายคนแจ้งเรื่องมายังสมาคม เพราะรู้สึกเจ็บปวดและไม่สบายใจมากที่ถูกเปรียบเทียบด้วยคำว่าออทิสติก จนรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าในสังคม ทั้งทั้งที่พยายามทำความดีมาตลอด สมาคมจึงต้องเข้าไปดูแลทำหนังสือไปถึงต้นสังกัดของผู้กระทำ แต่กลับถูกถูกกล่าวหาว่านำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบและหมิ่นประมาท เราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ทนายสมเกียรติและทนายอนันตชัยจึงอาสาดูแลเรื่องกฎหมายให้

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สำคัญก็คือ คนพูดไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นคนที่มีสถานะทางสังคมสูงมาก หากเกิดการเลียนแบบหรือมีคนเข้าใจว่าใช้คำเหล่านี้ได้แล้วจะทำอย่างไร เด็กๆ ก็ต้องเจ็บปวด พวกเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไรการพูดไม่คิดเป็นเรื่องที่อันตราย น้องเพียงฝันที่อยู่ประเทศอังกฤษเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกบูลลี่ ซ้ำยังถูกขู่อีก ในเบื้องต้นทางสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยจะร้องเรียนไปในเรื่องของการเลือกปฏิบัติ แต่ถ้าคุณปารีณายอมกล่าวขอโทษ เราก็จบ ผมอยากให้สังคมเข้าใจความแตกต่าง ออทิสติกไม่ใช่บุคคลที่น่ากลัวหรือน่ารังเกียจ แม้อาจทำอะไรผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ทำด้วยความจริงใจ เราควรจะให้เกียรติกัน เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ควรว่ากล่าวดูถูกแต่ควรให้โอกาสในการทำงาน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สามีร้อง ยธ.-DSI ตามหาภรรยาที่หายไปตั้งแต่มิ.ย.63 หลังร้องเรียนถูก ตร.แม่อายรีดไถ

$
0
0

ชายเจ้าของร้านอาหารในเชียงใหม่ร้องเรียนกระทรวงยุติธรรมติดตามภรรยาที่หายตัวไปตั้งแต่มิถุนายน 63 หลังเคยร้องเรียนกรณีตำรวจสภ.แม่อาย 5 นายคุมตัวภรรยาและลูกของตนเพื่อเรียกเงิน 5 แสนบาทเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย

วานนี้(12 ม.ค.2564) เว็บไซต์ สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สปยธ.)รายงานว่า ที่กระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ ฐานะพล เสาวคนธ์ เจ้าของร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและตามหาพิมพ์ชนก นายประทุม ภรรยาของตนหายตัวไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 และยังไม่พบตัวจนถึงขณะนี้ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากตนและภรรยาเคยร้องเรียนกรณีพิมพ์ชนกถูกตำรวจ สภ.แม่อาย 5 นาย เรียกเงิน 3 แสนบาทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถูกดำเนินคดีข้อหาแจ้งความเท็จ

ภาพจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ

สปยธ.รายงานอีกว่า ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(สมศักดิ์ เทพสุทิน) พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธัญญะ ระย้า ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองพยาน และ พ.ต.อ.อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนจากฐานะพล

ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวว่า สืบเนื่องเมื่อช่วงเดือน ก.พ. 63 ผู้เสียหายและภรรยา คือ น.ส.(นามสกุล) เดินทางกลับจากไปทำธุระที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีตำรวจ 7 นายตั้งด่านกรรโชกทรัพย์จำนวน 300,000 บาท เพราะภรรยาเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีบัตรประชาชน ต่อมาเดือน มิ.ย. 63 ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อเอาผิดตำรวจชุดดังกล่าว โดยนำสลิปการโอนเงินมอบไว้เป็นหลักฐานและมีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 5 นายออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนอีก 2 นายอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบ รวมทั้งแจ้งความที่ สภ.แม่อาย เอาผิดต่อตำรวจในข้อหารีดไถเงิน นอกจากนี้ ตำรวจชุดดังกล่าวกลับไปแจ้งความผู้เสียหายและภรรยาคืนฐานแจ้งความเท็จที่ สภ.แม่ปิง

“ผู้เสียหายได้ร้องเรียนผ่านยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือทางคดี เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการดูแลตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือน มิ.ย. 63 ภรรยาผู้เสียหายได้ออกจากบ้านพักเพื่อไปเยี่ยมน้องสาวที่อยู่ต่างอำเภอ จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกและสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือน้องสาวภรรยาเท่านั้น” เลขานุการรมว.ยุติธรรม กล่าว

ด้าน พ.ต.ท.ธัญญะ กล่าวว่า สำนักงานคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายและภรรยาในการคุ้มครองพยาน เพราะไม่กล้าเดินทางไปสอบปากคำที่ สภ.แม่อาย กลัวเรื่องความปลอดภัยจากตำรวจคู่กรณี จึงประสานใช้สถานที่ส่วนกลางให้ถ้อยคำ ซึ่งสำนักงานคุ้มครองพยานโทรศัพท์ติดต่อผ่านมือถือน้องสาวภรรยาหลังไปเยี่ยมน้องสาวตั้งแต่เดือน มิ.ย. 63 แต่เจ้าตัวไม่เคยเดินทางมาตามนัดหมายเลย กระทั่งติดต่อครั้งสุดท้ายได้เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 63 แต่ต้องพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง

ส่วน พ.ต.อ.อัครพล กล่าวว่า ดีเอสไอจะดำเนินการตรวจสอบกรณีบุคคลสูญหาย และออกเลขสืบคดีหาสาเหตุจูงใจเพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน

ขณะที่ฐานะพล กล่าวว่า อยากให้ดีเอสไอรับคดีสอบสวนตำรวจทั้งหมดว่าเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของภรรยาตนหรือไม่ เพราะขณะนี้ได้หายตัวไปผิดปกติโดยไม่รู้ชะตากรรม รวมทั้งสืบหาตัวภรรยาตนด้วยว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่

ช่องวัน 31เคยรายงานไว้เมื่อ 11 มี.ค.2563 ว่า หลังจากฐานะพลและพิมพ์ชนกร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมตำรวจที่รีดไถพิมพ์ชนกพร้อมลูกชายแล้วเรียกเงินจำนวน 500,000 บาทเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีบัตรประจำตัว ซึ่งภายหลังต่อรองจนเหลือจ่าย 300,000 บาทจึงได้รับการปล่อยตัวนั้น

ทางตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้าราชการตำรวจเพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว โดยคณะกรรมการเป็นตำรวจภูธรเชียงใหม่ 2 นาย พ.ต.อ.ทรงกริช ออนตะไคร้ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เป็นประธาน พ.ต.อ.สมพร ปานพรหม ผกก.สอบสวน ตำรวจภูธรเชียงใหม่เป็นรองประธาน และเป็นตำรวจใน สภ.แม่อาย 3 นายเป็นกรรมการ ได้แก่ พ.ต.ท.สนิท มาลา รอง ผกก.สอบสวน  ร.ต.อ.ณรงค์ชัย อนาวัน รองสารวัตรสอบสวน ร.ต.ท.ธีรวัฒน์ มณีวงค์ รองสารวัตรสอบสวน ซึ่งเป็นตำรวจท้องที่เดียวกับตำรวจ 5 นายที่ก่อเหตุรีดไถ

ในรายงานของช่องวัน ระบุชื่อของตำรวจที่ก่อเหตุทั้ง 5 นายไว้ได้แก่ ร.ต.อ.นราธิป หลิ่งห้า รองสารวัตรปราบปราบ สภ.ไชยปรากการ ช่วยราชการ สภ.แม่อาย, ด.ต.เจริญ ชัยนา ผู้บังคับหมู่ สภ.แม่อาย, จ.ส.ต.วิทยา สุรินต๊ะ ผู้บังคับหมู่ สภ.แม่อาย, ส.ต.อ.ศราวุธ ปันชัย ผู้บังคับหมู่ สภ.แม่อาย, ส.ต.ต.ทักษิณ ศรีวิชัย ผู้บังคับหมู่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ช่วยราชการ สภ.แม่อาย โดยตั้ง5 คน ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยต้องหาคดีอาญาฐาน ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง กรรโชกทรัพย์ พิมพ์ชนก

หลังจากนั้นผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าเมื่อ 13 พ.ค.2563  ฐานะพล เสาวคนธ์ พร้อมภรรยาได้ถือป้ายข้อความเรียกร้องเพื่อทวงเงินที่ถูกเอาไปคืนที่หน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่เพื่อติตตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว แม้ว่าจะมีคนเสนอเงินจำนวน 1,500,000 บาท เพื่อให้ฐานะพลและพิมพ์ชนกกลับคำให้การแต่ก็ไม่ได้รับเงินนั้นไว้และยังเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับตำรวจเพิ่มอีก 2 นายที่ร่วมก่อเหตุด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 51078 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>