จดหมายเปิดผนึกถึง มท.1 ชี้คำสั่งขัดต่อกฎหมาย คณะกรรมการฯ ขาดองค์ประกอบผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วน ‘อ.แหวว’ ขอลาออกจากตำแหน่งแจงไม่ได้ถูกแต่งตั้งตามคุณวุฒิที่เป็นอยู่
วันที่ 18 เม.ย.55 เครือข่ายนักวิชาการและนักกฎหมาย ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อกรณีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น โดยขอให้ทบทวนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 246/2555 เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ลงวันที่ 3 เม.ย.55
จดหมายระบุว่า คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ปรากฏเนื้อหาที่ขัดต่อตัวบทและความมุ่งหมายแห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 และ พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 อันหมายถึงการใช้อำนาจโดยบิดเบือน (Abuse of Power) และส่งผลให้คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 9 วรรค 1 (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542) และส่งผลให้คณะกรรมการฯ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงตามความมุ่งหมายแห่งกฎหมาย กล่าวคือ
1.คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 246/2555 ขาดความสมบูรณ์ในแง่เนื้อหาหรือองค์ประกอบ เนื่องจากขาดองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในส่วนนักวิจัยหรือนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์
นอกจากนี้ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้จะทำงานด้านสถานะบุคคลและสิทธิที่เจ้าของปัญหาหรือผู้ทรงสิทธิ ได้แก่ บุคคลผู้มีชาติพันธุ์ต่างๆ หลากหลายที่ปรากฏตัวในประเทศไทยและในประเทศอื่นๆ อันรวมถึงคนไทยพลัดถิ่นด้วยก็ตาม แต่ต้องกล่าวว่า รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์เป็นอาจารย์ประจำวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งที่สำคัญของวิชาเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นสถานะบุคคล และสิทธิ (โดยกฎหมายสัญชาติเป็นเนื้อหาอย่างหนึ่งของสถานะบุคคลตามกฎหมาย) มิได้เป็นนักวิชาการหรือนักวิจัยที่มีความรู้ ประสบการณ์ด้านประวัติศาสตร์หรือชาติพันธุ์แต่อย่างใด
2.ผู้ทรง คุณวุฒิฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบุหรือยืนยันถึงการมีอยู่ของข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ คือ บุคคลหนึ่งๆ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ด้วยเพราะมีคุณสมบัติใดกล่าวคือ เป็นนักวิจัยหรือนักวิชาการในด้านหนึ่งด้านใด หรือเป็นผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเป็นผู้แทนภาคประชาชน
จดหมายดังกล่าวยังระบุข้อเสนอแนะว่า เนื่องจากคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น คือ กลไกสำคัญที่จะคุ้มครองและผลักดันให้คนเชื้อสายไทยสามารถเข้าถึงและใช้สิทธิ ในสัญชาติไทยของพวกเขา โดยขอให้มีการดำเนินการทบทวนคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 246/2555 และมีคำสั่งฯ ฉบับใหม่เพื่อแต่งตั้งนักวิจัยหรือนักวิชาการผู้มีข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ ประกอบที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วน โดยมีความจำเป็น ทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบที่กฎหมายได้กำหนดเป็นคุณสมบัติไว้ว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น จำเป็นต้องระบุหรือยืนยันว่าบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง หรือระบุว่าเป็นผู้แทนของภาคส่วนใด
วันเดียวกัน รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านชาติพันธุ์ ได้ส่งจดหมายขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้แต่งตั้งตามคุณวุฒิที่เป็นอยู่
“คำสั่งดังกล่าวได้แต่งตั้งให้ดิฉันทำหน้าที่กรรมการผู้ทรงวุฒิในส่วนที่ เกี่ยวกับวิชาการด้านชาติพันธุ์ อันเป็นหัวข้อศึกษาในวิชามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ซึ่งดิฉันเองไม่เคยเรียนหรือทำวิจัยในสาขาวิชาดังกล่าว ดิฉันจึงไม่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการผู้ทรงวุฒิที่อาจรับผิดชอบงานวิชาการด้าน ชาติพันธุ์”
“ด้วยว่า ดิฉันเป็นผู้สอนในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมากว่าสามสิบปี และการศึกษากฎหมายสัญชาติไทยเป็นหัวข้อที่สำคัญในสาขาวิชานี้ จริยธรรมของผู้สอนกฎหมาย ก็คือ การเคารพเจตนารมณ์ของกฎหมาย หากผู้สอนกฎหมายเอง เป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่เคารพเจตนารมณ์ของกฎหมาย ลูกศิษย์ของผู้สอนก็คงไม่มีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิของกฎหมายเช่นกัน จึงเป็นจริยธรรมของผู้สอนวิชาชีพกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของ กฎหมาย และผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่มนุษย์ในสังคม” จดหมายระบุ
ทั้งนี้จดหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ต่อกรณีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น
(คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕)
ที่ พิเศษ ๒/๒๕๕๕
วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕
เรื่อง ขอให้ทบทวนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
สำเนาถึง ๑) ปลัดกระทรวงมหาดไทย
๒) อธิบดีกรมการปกครอง
๓) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔) สภาทนายความ
๕) สื่อมวลชน
สืบเนื่องจากการใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕
ในฐานะอาจารย์ประจำวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นักวิชาการ นักกฎหมายที่ทำงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านสถานะบุคลและสิทธิ ซึ่งมีรายนามข้างท้ายจดหมายฉบับนี้ มีความเห็นว่า คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ฯ อันเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามมาตรา ๙/๑ (๓) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ ประกอบกับมาตรา ๖ แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ นั้น ปรากฎเนื้อหาที่ขัดต่อตัวบทและความมุ่งหมายแห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ และพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ อันหมายถึงการใช้อำนาจโดยบิดเบือน (Abuse of Power) และส่งผลให้คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา ๙ วรรค ๑ (๑) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒) และส่งผลให้คณะกรรมการฯ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงตามความมุ่งหมายแห่งกฎหมาย กล่าวคือ
(๑) คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ฯ ขาดความสมบูรณ์ในแง่เนื้อหาหรือองค์ประกอบ เนื่องจากขาดองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในส่วนนักวิจัยหรือนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่น รวมถึงมีส่วนอย่างสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นในการคืนสัญชาติไทยให้กับคนไทยพลัดถิ่น
นอกจากนี้ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้จะทำงานด้านสถานะบุคคลและสิทธิที่เจ้าของปัญหาหรือผู้ทรงสิทธิ ได้แก่ บุคคลผู้มีชาติพันธุ์ต่างๆ หลากหลายที่ปรากฏตัวในประเทศไทยและในประเทศอื่นๆ อันรวมถึงคนไทยพลัดถิ่นด้วยก็ตาม แต่ต้องกล่าวว่า รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ฯ เป็นอาจารย์ประจำวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งที่สำคัญของวิชาเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นสถานะบุคคลและสิทธิ (โดยกฎหมายสัญชาติเป็นเนื้อหาอย่างหนึ่งของสถานะบุคคลตามกฎหมาย) มิได้เป็นนักวิชาการหรือนักวิจัยที่มีความรู้ ประสบการณ์ด้านประวัติศาสตร์หรือชาติพันธุ์แต่อย่างใด
(๒) ผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๙/๑ (๓) ที่จะมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบุหรือยืนยันถึงการมีอยู่ของข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ คือ บุคคลหนึ่งๆ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ด้วยเพราะมีคุณสมบัติใดกล่าวคือ เป็นนักวิจัยหรือนักวิชาการในด้านหนึ่งด้านใด หรือเป็นผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเป็นผู้แทนภาคประชาชน
ข้อเสนอแนะ
(๓) นักวิชาการ นักกฎหมายด้านสถานะบุคคลและสิทธิฯ ขอเรียนย้ำต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครองว่า ภายใต้ความมุ่งหมายของพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ นั้น ประสงค์ที่จะแก้ไขเยียวยาปัญหาความไร้สัญชาติ ความไร้สิทธิที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของตนเองในฐานะมนุษยคนหนึ่ง ด้วยเพราะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ที่คนเชื้อสายไทยไร้สัญชาติต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น คือ กลไกสำคัญที่จะคุ้มครองและผลักดันให้คนเชื้อสายไทยสามารถเข้าถึงและใช้สิทธิในสัญชาติไทยของพวกเขา
ดังนั้น ความครบถ้วนขององค์ประกอบในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นจำเป็นต้องประกอบดังนี้
(๓.๑) ผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญฯ ต่อข้อเท็จจริงหรือ สถานการณ์ข้อเท็จจริงต่างๆ ของคนเชื้อสายไทยฯ หรือคนไทยพลัดถิ่นกลุ่มต่างๆ อันหมายถึง ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมาจากนักวิจัยหรือนักวิชาการด้านสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา ด้านประวัติศาสตร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการฯ ในการคืนสัญชาติไทยให้กับคนไทยพลัดถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักเกณฑ์ กระบวนการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่นในเชิงเนื้อหา
(๓.๒) ผู้แทนจากองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาชน อันเป็นไปตามหลักการการมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนสถานการณ์ข้อเท็จจริงของคนไทยพลัดถิ่นในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการประสานงานกับเครือข่ายต่างๆ ของภาคองค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาชนเพื่อร่วมผลักดันการบังคับใช้กฎหมาย
(๓.๓) ผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่น อันหมายถึง นักวิจัยหรือนักวิชาการด้านกฎหมายในประเด็นสถานะบุคคลและสิทธิ (โดยกฎหมายสัญชาติเป็นหนึ่งในกฎหมายสถานะบุคคลตามกฎหมายมหาชน หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายสถานะบุคคล) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการฯ ในการพัฒนาหลักเกณฑ์และกระบวนการการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่น ในเชิงเนื้อหาและรูปแบบ โดยทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย ความเป็นไปได้จริงของทางปฏิบัติในการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทย
นอกจากนี้ ในระหว่างทางของกระบวนการพิสูจน์และพัฒนาสิทธิในสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่น ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายการทะเบียนราษฎร รวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านต่างๆ ของผู้ทรงสิทธิ ดังนั้น ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายสถานะบุคคลและสิทธิจึงสามารถช่วยสนับสนุนงานของคณะกรรมการฯ ในการพิจารณา ตรวจสอบความสอดคล้องกับกฎหมายด้านสถานะบุคคลและสิทธิฉบับต่างๆ รวมถึงกฎหมายด้านสถานะบุคคลและสิทธิทุกลำดับชั้น
(๓.๔) หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ มีความเกี่ยวข้องกับคนไทยพลัดถิ่นทั้งในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการฯ ในการบังคับใช้กฎหมายโดยการสั่งการไปตามสายบังคับบัญชา รวมถึงสายการกำกับดูแล
(๔) เพื่อเป็นการเคารพต่อความมุ่งหมายของตัวบท และเจตนารมณ์แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ และพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ.๒๕๕๕ นักวิชาการ นักกฎหมายด้านสถานะบุคคลและสิทธิฯ จึงเรียนมาเพื่อขอให้มีการดำเนินการทบทวนคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ฯ และมีคำสั่งฯ ฉบับใหม่เพื่อแต่งตั้งนักวิจัยหรือนักวิชาการผู้มีข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วน โดยมีความจำเป็น ทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบที่กฎหมายได้กำหนดเป็นคุณสมบัติไว้ว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น จำเป็นต้องระบุหรือยืนยันว่าบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง หรือระบุว่าเป็นผู้แทนของภาคส่วนใด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
ขอแสดงความนับถือ
|
จดหมายขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
วันพุธที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
เรื่อง ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามมาตรา ๙/๑ (๓) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕
ดังที่ท่านได้มีคำสั่งแต่งตั้งดิฉันให้ทำหน้าที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามมาตรา ๙/๑ (๓) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕ ตามปรากฏตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๔๖/๒๕๕๕ เรื่องแต่งตั้งผู้ทรงวุฒิเป็นกรรมการในคณะคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ณ วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ นั้น ดิฉันขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งที่ท่านเห็นในความเชี่ยวชาญของดิฉันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการรับรองสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายสัญชาติไทยของคนไทยพลัดถิ่น แต่ด้วยว่า คำสั่งดังกล่าวได้แต่งตั้งให้ดิฉันทำหน้าที่กรรมการผู้ทรงวุฒิในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาการด้านชาติพันธุ์ อันเป็นหัวข้อศึกษาในวิชามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ซึ่งดิฉันเองไม่เคยเรียนหรือทำวิจัยในสาขาวิชาดังกล่าว ดิฉันจึงไม่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการผู้ทรงวุฒิที่อาจรับผิดชอบงานวิชาการด้านชาติพันธุ์
ขอให้ตระหนักว่า การที่ มาตรา ๙/๑(๓) ข้างต้นบัญญัติให้คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นประกอบด้วย “ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินเจ็ดคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยต้องมีนักวิจัยหรือนักวิชาการทางด้านกฎหมายสัญชาติหรือสถานะบุคคล ด้านสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา ด้านประวัติศาสตร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาชนรวมอยู่ด้วย เป็นกรรมการ” ก็เพราะบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีนักวิชาการ ๒ ประเภทเพื่อทำหน้าที่รับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น อันเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิต กล่าวคือ (๑) นักวิจัยหรือนักวิชาการที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับความเป็น “ผู้ซึ่งมีเชื้อสายไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่น โดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในอดีต” ซึ่งเป็นบุคคลเป้าหมายของการรับรองสิทธิดังที่กำหนดในมาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕ และ (๒) นักวิจัยหรือนักวิชาการที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับกฎหมายสัญชาติหรือสถานะบุคคล ซึ่งเป็นศาสตร์ที่จะต้องใช้ในการปรับสถานะคนต่างด้าวของคนไทยพลัดถิ่นหรือบุตรของคนดังกล่าวให้มีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตดังบุพการี โดยเหตุผลของเรื่อง การมีผู้ทรงวุฒิอย่างครบถ้วนที่จะจัดการปัญหาย่อมนำไปสู่การรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นอย่างถูกต้องและไม่ล่าช้าจนเกินสมควร การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิตามมาตรา ๙/๑ (๓) อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ของการยกร่างกฎหมายเท่านั้นจึงจะนำไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการขจัดปัญหาความไร้สัญชาติให้แก่คนไทยพลัดถิ่นที่ประสบความยากลำบากที่ต้องอพยพหนีภัยการสู้รบกลับจากดินแดนที่ประเทศไทยเสียไปในอดีต
นอกจากนั้น ด้วยว่า ดิฉันเป็นผู้สอนในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมากว่าสามสิบปี และการศึกษากฎหมายสัญชาติไทยเป็นหัวข้อที่สำคัญในสาขาวิชานี้ จริยธรรมของผู้สอนกฎหมาย ก็คือ การเคารพเจตนารมณ์ของกฎหมาย หากผู้สอนกฎหมายเอง เป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่เคารพเจตนารมณ์ของกฎหมาย ลูกศิษย์ของผู้สอนก็คงไม่มีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิของกฎหมายเช่นกัน จึงเป็นจริยธรรมของผู้สอนวิชาชีพกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่มนุษย์ในสังคม
ดิฉันจึงจำเป็นที่จะต้องขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นตามมาตรา ๙/๑ (๓) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕ หากท่านมิได้แต่งตั้งดิฉันในคุณวุฒิที่ดิฉันเป็นอยู่
ท้ายที่สุด ดิฉันขอความกรุณาที่ท่านจะรักษาการตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕ เพื่อให้คนไทยพลัดถิ่นจำนวนไม่มากนักที่ยังประสบปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติทั้งที่อพยพกลับจากดินแดนที่เสียไปมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว พวกเขาประสบความยากลำบากในชีวิตด้วยมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย อันทำให้มีอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสิทธิในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมาล่วงหน้า
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
|
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper