10 เม.ย.55 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคดีที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด เป็นผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน กีดขวางทางจราจร และก่อความไม่สงบแก่ประชาชน ในพื้นที่ซึ่งมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจากกรณีที่จัดกิจกรรม “เปลือยเพื่อชีวิต” และเวทีชั่วคราวบริเวณใต้ทางด่วนดินแดง เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 โดยศาลยกฟ้องคดีนี้
ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจำเลยระบุถึงเหตุผลในคำพิพากษาว่า ศาลเห็นว่าเหตุการณ์ความรุนแรงได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น มีการใช้กระสุนจริงจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก การตั้งเวทีเล็กก็ดำเนินมาก่อนที่นายสมบัติจะมีการจัดกิจกรรม นอกจากนี้กิจกรรมที่นายสมบัติจัดก็เป็นไปโดยสันติ ปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงตามฟ้อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงไม่สามารถลิดรอนสิทธิดังกล่าวได้ โดยเฉพาะเมื่อนายสมบัติเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ศึกษาเรื่องการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ย่อมต้องเข้าไปอยู่ในที่ชุมนุมเพื่อสังเกตการณ์อยู่แล้ว
นายสมบัติ กล่าวว่า วันนี้ได้เตรียมตัวไปฟังคำพิพากษาโดยคาดว่าจะถูกพิพากษาลงโทษโดยให้รอลงอาญา เช่นเดียวกับคดีลักษณะเดียวกันอีกคดีหนึ่งที่ตัดสินไปก่อนหน้านี้ เป็นความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน บริเวณเรียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ จึงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจเมื่อศาลตัดสินยกฟ้อง โดยยืนยันหลักการสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการชุมนุม ไม่มีอำนาจใดจะมาลิดรอนความเป็นมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่ากิจกรรมดังกล่าวชัดเจนมากว่าไม่ได้ยั่วยุความรุนแรงและทำให้ประชาชนสงบลงด้วยซ้ำ ศาลจึงยกฟ้อง โดยคาดว่าคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญ
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ก่อนหน้านี้ประชาชนจำนวนมากถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาหลายเดือน สมบัติกล่าวว่า คดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นคดีทางการเมือง และต้องยอมรับว่ามีการพิจารณาจากบรรยากาศทางการเมือง เกี่ยวพันกับสถานการณ์ทางการเมือง ในช่วงหลังเกิดเหตุใหม่มันถูกใช้อย่างเกินเลยมากเพราะต้องการให้เกิดความเข็ดหลาบเพื่อหยุดสถานการณ์ แค่เพียงคนไปส่งข้าวส่งน้ำในม็อบก็ถูกตัดสินลงโทษจำคุกแล้ว