ภายใต้แสงแดดอันแผดเผาที่ระอุในช่วงเดือนเมษายน ผู้เขียนได้มองและรับรู้สิ่งต่างๆมากมายโดยเฉพาะในสังคมโลกเรา มองการเมืองที่ล้มเหลวของผู้ยึดอำนาจในมาลี มองการเมืองที่น่าปวดหัวในเมืองไทย มองความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ก็ทำให้เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วความขัดแย้งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด ความขัดแย้งที่ทุกคนวาดฝันอย่างสวยงามว่าวันหนึ่งเราต้องมีวิธีจัดการกับมันนั้น สิ่งที่จะขจัดได้เป็นอย่างดีก็คงเป็นดังที่หลายต่อหลายคนในสังคมนี้บอกก็คือ “ลืมมันไป”
คำกล่าวนี้ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าสังคมไทยเรานั้นลืมมามากแล้ว ลืมจนไม่สามารถที่จะนำเอาเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ลืมจนเราไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุของการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ.2475 เป็นอย่างไร ลืมจนไม่รู้ว่า 14 และ 16 ตุลาคม ใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้างและสถาบันต่างๆ ในสังคมในตอนนั้นมีจุดยืนอย่างไร ต่อต้านหรือสนับสนุน จนมาถึงปัจจุบันก็มีผู้เสนอให้ใช้แนวทางเดียวกันคือ “ขอให้ลืม” เพื่อวันข้างหน้า ซึ่งดูแล้วมันก็ไม่เจ็บปวดอะไรกับคนอย่างเราๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่หากเราลองนึกถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบดูบ้างก็จะรู้ว่ามันเป็นการปัดความรับผิดชอบที่น่าเจ็บปวดมิใช่น้อย เพราะขนาดเราแค่จะลืมแฟนเก่าที่ทิ้งเราไปมันยังทำได้ยาก แล้วนับประสาอะไรกับคนที่สูญเสียผู้ที่เป็นที่รักอย่างไรเสียเขาก็คงทำใจให้ลืมมิได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นความจริงเกี่ยวกับเหตุต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในรอบหลายปีที่ผ่านมาและไม่อยากรอวันที่คุณหมดลมหายใจแล้วถึงจะรู้ความจริง
แต่ไม่เป็นไร วันนี้ผู้เขียนจะลองลืมปัญหาที่หนักสมองแล้วหันมาลองมองอะไรที่ผ่อนคลายลงบ้าง เป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนมีโอกาสได้พบกับเพื่อนเก่าท่านหนึ่งซึ่งมีมุมมองเกี่ยวกับการเมืองเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียน ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กันต่างๆนานา และที่สำคัญได้อ่านวรรณกรรมซึ่งได้กล่าวถึงการเมืองอีกมุมหนึ่งที่สะท้อนผ่านเรื่องราวธรรมดาๆแต่แฝงไปด้วยความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย วรรณกรรมเรื่อง “การเมืองเรื่องเซอร์เรียล” ของ จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ ได้ตั้งคำถามแบบเซอร์เรียลไว้มากในระดับหนึ่ง เป็นการตั้งคำถามแบบปลายเปิดไว้อย่างน่าสน เพียงแต่ว่า จะมีใครสักกี่คนที่สนใจจะตอบคำถามประเด็นเหล่านั้น ผู้เขียนจึงขอเป็นคนส่วนน้อยที่อยากตอบคำถามและอธิบายความต่อจากมุมมองของคุณจิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ แบบไม่เซอร์เรียลดูบ้าง โดยจะนำจุดที่น่าสนใจมาลองมองผ่านความคิด ความรู้ ความเห็น ที่ผู้เขียนมีมาเปิดมุมมองต่อข้อเขียนเหล่านั้น
กล่าวถึง “การเมืองเรื่องเซอร์เรียล” เป็นงานเขียนที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของ SCG INDY AWARD 2011 เป็นงานที่ซ่อนความคิดอะไรไว้หลายอย่างแม้ว่าตัว คุณจิรัฏฐ์ เองจะกล่าวว่ามีความรู้ด้านการเมืองในลักษณะฉาบฉวย แต่ในมุมมองผู้เขียนกลับมองว่า ก็คงเป็นการถ่อมตัวของ คุณจิรัฏฐ์ มากกว่า เพราะในที่สุดแล้วเมื่อคุณอ่านจบคุณน่าจะได้ความรู้ และความสนุกจากวรรณกรรมชิ้นนี้มากทีเดียว
“คำนำ”
สำหรับคำถามนี้มันไม่ง่ายนักที่จะตอบ หากจะถามว่าสิ่งที่เรามีมันคืออะไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดผู้เขียนคิดว่า เราควรแบ่งผู้ชุมนุมต่างๆ ออกเป็น 2 ส่วนก่อนนั่นก็คือ ส่วนของนักคิดซึ่งก็คือเหล่าบรรดาแกนนำต่างๆ และเหล่านักฟัง (ผู้เขียนมองว่าคนไทยชอบหาความจริงโดยการฟังมากกว่าการศึกษาผ่านตำราและวิชาการ) ในที่นี้ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการกำหนดสถานที่ต่างๆในการชุมนุมนั่นก็คือ ส่วนของนักคิด
จริงๆ แล้วอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่ได้เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่หากเราไปกราบไหว้บูชาแล้วจะต้องได้ตามที่ขอดังเช่นสถานที่ต่างๆในสังคมนี้ เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ยุคของประชาธิปไตยเสื่อมถอย หลังจากการเสื่อมอำนาจของคณะราษฎร์เป็นต้นมา สถานที่ต่างๆ ที่คณะราษฎร์ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานและสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงจากระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” สู่ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” นั้นได้ถูกทำลายลงที่ละน้อยที่ละน้อย ดังนั้นพื้นที่ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ประชาธิปไตยของประเทศนี้ก็ลดน้อยลงไปเช่นเดียวกัน เช่น สนามหลวง ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาสามัญชนไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ภายหลังเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงฯ สนามหลวงก็ถูกใช้เป็นที่จัดงานของราษฎร์นั่นก็คือ วันฉลองรัฐธรรมนูญและวันชาติ (ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเราก็มีวันชาติกับเขาเช่นกัน) จนมาถึงในยุคนี้ เริ่มแรกแห่งความขัดแย้ง สนามหลวงก็เป็นที่ซึ่งใช้ในการแสดงความคิดทางการเมืองของบรรดานักพูดหลากสีหลายค่าย แต่กระนั้นปัจจุบันสนามหลวงก็กลับมาเป็น “ของหลวง” อีกครั้ง นั้นก็แสดงว่าพื้นที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงก็ได้ถูกกลืนไปอีกหนึ่งที่เช่นกัน
ดังนั้นเหลืออีกกี่ที่กัที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง ผู้เขียนลองนั่งนึกดูว่ามีอะไรบ้างก็คงเหลือแต่ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” เท่านั้นที่จะเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ผู้เขียนไม่ทราบหรอกว่า บรรดาเหล่าผู้คนที่ไปชุมนุมที่นั้น มีจุดประสงค์ที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดการไปชุมนุมที่นั้นก็เป็นสัญลักษณ์และสร้างความเด่นชัดในเนื้อหาการชุมนุมเพื่อสนับสนุนแนวความคิดของตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยก็เท่านั้น กล่าวโดยสรุปก็คือว่า “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” มันมิได้ศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่มันเป็นสิ่งที่แสดงสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่เหล่าคณะราษฎร์สร้างขึ้นที่เหลือเป็นมรดกชิ้นสำคัญสิ้นสุดท้ายในสังคมเท่านั้นเอง
“เหตุฆาตกรรมในห้องน้ำของสำนักงาน อบต.”
กับเรื่องนี้ผู้เขียนมีความเห็นด้วยและมองว่า คุณจิรัฏฐ์ กำลังพยายามที่จะอธิบายและเตือนสังคมว่า รัฐมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในท้องที่ ส่งที่ประชาชนควรจะตระหนักมากกว่าเรื่องภูตผีมันควรจะเป็นการตระหนักถึงสวัสดิภาพของชีวิตมากกว่า การเกิดเหตุฆาตกรรมในพื้นที่ชุมชนนั่นก็แสดงว่า ความไม่ปลอดภัยกำลังคืบคลานเข้ามาในชุมชน ประชาชนควรที่จะตระหนักและตื่นตัวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เขียนเห็นว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจและเห็นด้วยเป็นอย่างมาก และที่สำคัญการจบปัญหานี้มันก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว นั่นก็คือ “ลืม” สิ่งที่ควรจะเป็นมากกว่าคือรัฐควรหาสาเหตุและวิธีป้องกัน ส่วนประชาชนก็ควรตื่นตัวและเรียกร้องความปลอดภัยจากรัฐมากกว่า
ส่วนที่กล่าวถึงนักการเมืองที่เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็หายตัวไปอย่างไม่ใยดี มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อเราพูดอยู่เสมอว่า การเลือกตั้งคือ การเลือกตัวแทน (Represent) คำว่าตัวแทนความหมายของมันหากเปรียบแล้วก็เสมือนว่า ตัวแทนเป็นดังสี่เหลี่ยมที่สามารถวางทับกันอย่างแนบสนิท หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เหมือนกันอย่างกับแกะ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจหากเข้าหายไปเพราะในเมื่อคุณบอกว่าเขาเป็นตัวแทน เขากับคุณก็เป็นคนๆเดียวกัน สิ่งที่เขาคิดก็เหมือนสิ่งที่คุณคิด ดังนั้นก็ถูกต้องแล้วที่ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เขาเหล่านั้นจะมาไถ่ถามและขอความเห็นจากคุณ หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเราเองที่ยอมรับและเรียกเขาว่าตัวแทนของเรา แต่หากถามผู้เขียน ผู้เขียนไม่เคยเรียกเขาเหล่านั้นว่าผู้แทนเพราะผู้เขียนมองว่าไม่มีใครที่จะแทนตัวของเราได้
“ผมกับหมวกกันน็อค”
“หล่อนร่วมรักใต้แสงเทียน”
“ME IN THE DARK”
ทั้งหมดนี้เป็นการมอง เรื่องเซอร์เรียลของ คุณจิรัฏฐ์ แบบไม่เซอร์เรียล เชื่อแน่ว่าหลายคนอาจจะมีความคิดและมุมมองที่ต่างออกไปเมื่อได้อ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ ผู้เขียนคิดว่าวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นมากกว่าวรรณกรรม ซ่อนแนวคิดและปัญหาของสังคมไว้ภายใต้ตัวหนังสือ แม้ว่าบางอย่างอาจจะไม่ใช่ความมุ่งหมายของ คุณจิรัฏฐ์ ที่อยากจะสื่อก็ตาม แต่อย่างน้อยๆก็เป็นสิ่งเล็กๆที่ผู้เขียนนำมาขบคิดต่อได้ คนอื่นอาจจะไม่ได้อะไรจากวรรณกรรมเล่มนี้นองจากความสนุก แต่สำหรับผู้เขียนนอกจากจะได้ความสนุกแล้วยังได้เรียนรู้กับมันอย่างมากเลยทีเดียว