Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

เวียงรัฐ เนติโพธิ์: ประชาสังคมแบบไทย และไม้เกี๊ยะของการปฏิวัติ

$
0
0

เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อธิบายลักษณะสิ่งที่เรียกว่า “เอ็นจีโอ/ประชาสังคม” ในไทย พร้อมชี้ให้เห็นข้อจำกัด และอธิบายว่ามีปัจจัยใดบ้างที่จะเปลี่ยนแปลงประชาสังคมแบบไทยๆ ไปสู่ “ไม้เกี๊ยะ” ของการปฏิวัติ 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมาที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการเสวนาหัวข้อ "6 ทศวรรษ กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมท้องถิ่นล้านนา" เนื่อง ในโอกาสเกษียณอายุราชการ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง โดยในช่วงหนึ่งมีการอภิปรายโดย ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้อภิปรายถึงลักษณะของ “ประชาสังคมไทย” โดยมีรายละเอียดการอภิปรายต่อไปนี้

000

การอภิปรายโดยเวียงรัฐ เนติโพธิ์ เมื่อ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาัลัยเชียงใหม่ ในงาน "6 ทศวรรษ กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมท้องถิ่นล้านนา"

เวียงรัฐ เนติโพธิ์

"ประการสำคัญที่ทำให้ (ประชาสังคมไทย) แตกต่างจาก Civil Society ของตะวันตก คือ ต้นทุนทางสังคมของประชาสังคมของไทย เป็นต้นทุนทางสังคมที่ผูกพันกับลักษณะเครือญาติและลักษณะพรรคพวก หรือ Family and Kinship ที่ลักษณะของ ฝรั่งเรียกว่า “Backward Society” ที่เป็นสังคมก่อนสมัยใหม่ และเอา Element นี้มาใช้รวมคน มันไม่ใช่รวมกันในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งที่จะรวมกันเพื่อปกป้อง สิทธิทางการเมืองของตัวเอง แต่เป็นการรวมกันในเครือข่ายแบบเครือญาติ พรรคพวก เพราะมีความเป็นไทยปนอยู่ด้วย ซึ่งไม่แตกต่างจาก Hegemony หลักของรัฐนิยม หรือราชาชาตินิยมของไทย"

 

การอภิปรายในวันนี้จะพยายามอธิบายเอ็นจีโอว่าเป็นอย่างไรในฐานะนักรัฐศาสตร์ และ จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในอายุราชการของอาจารย์ธเนศวร์ (เจริญเมือง) ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ Civil Society แบบใหม่ ที่เป็นการเมือง และการเปลี่ยนแปลงนั้นได้นำไปสู่อะไร หรือเป็นไม้เกี๊ยะของการปฏิวัติอย่างไร

ซึ่งขอออกตัวว่าอาจจะพูดให้ดูง่าย และสองอาจจะ Stereotype เหมารวม เอ็นจีโอมีความหลากหลาย วิธีคิดแบบปฏิวัติมีความหลากหลาย นิยามของ Civil Society มีความหลากหลายการศึกษาหลายเรื่อง อาจจะขอข้ามไปหรือไม่ได้ทบทวน โดยจะถือว่าพูดในฐานะที่มาจุดประกายทางความคิด

000

มายาภาพของประชาสังคม ไทยๆ’

จากคนนอกที่มองคำว่าประชาสังคม อาจจะมีปัญหานิดหน่อย การพูดในวันนี้ขอใช้คำว่า "Civil Society" คือส่วนรวมนอกภาครัฐ ที่ไม่ใช่อยู่ในภาครัฐ ซึ่งอาจารย์อัจฉราอธิบายว่าตอนนี้องค์กรนอกภาครัฐ กำลังจะไปรวมกับภาครัฐ หรือองค์กรที่ต่อต้านภาครัฐ จะเป็น Civil Society หรือไม่ องค์กรที่มีการใช้ความรุนแรงจะเป็น Uncivil Society เป็นองค์กรของการปฏิวัติหรือไม่ จะไม่ขอแจกแจง

คำว่า Civil Society ที่ใช้ในเมืองไทย มีการใช้มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ 1990 และต่อเนื่องมาในทศวรรษที่ 2000 ต้นๆ มันมีพลังในการอธิบายการเคลื่อนไหวและเครือข่ายของเอ็นจีโอ Civil Society ไม่เคยรวม อสม. เครือข่ายแม่บ้าน หัวคะแนน นักปฏิวัติที่ซ่อนเร้นที่สักวันหนึ่งอาจลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติ ไม่เคยรวมพวกที่มีจิตใจฝักใฝ่ชาตินิยมทั้งชาตินิยมแบบราชาชาตินิยม และแบบไม่ราชาชาตินิยม

คำว่า "ประชาสังคม" ที่ใช้ในเมืองไทย จึงไม่รวมนิยามพวกนี้ จึงทำให้ตกหล่นไป แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ประชาสังคมที่มีพลังในสังคมไทย หมายถึงอะไรบ้าง ดิฉันคิดว่า หลักๆ เลยหมายถึง เอ็นจีโอ และกิจกรรมของเอ็นจีโอ

จากการสังเกต ปฏิบัติการของเอ็นจีโอ มีลักษณะเป็นเครือข่ายที่ทำกับผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน ไม่ใช่เครือข่ายที่ทำกับประชาชนกับประชาชน แต่เป็นเครือข่ายที่ผู้ปฏิบัติงานในภาคเหนือจะร่วมมือกับเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานในภาคอีสาน เครือข่ายเอ็นจีโอภาคใต้ ในรูปแบบต่างๆ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดังนั้นเราจึงมี "ผู้ใหญ่เอ็นจีโอ" คือคนที่สามารถประสานรวมเอาเอ็นจีโอเชียงใหม่ไปคุยกับเอ็นจีโออีสาน ไปคุยกับเอ็นจีโอทางใต้ได้

ข้อสังเกตก็คือ แกนนำหรือคนที่มีบทบาทในเอ็นจีโอ ในเกือบทุกองค์กรคือคนเดือนตุลา ทั้ง 14 ตุลา, 6 ตุลา และอดีต พคท,, อดีต สมาชิก พคท. ซึ่งคนเหล่านี้มีประสบการณ์ร่วมกันคือต่อสู้กับเผด็จการและต่อสู้กับทุนนิยม และหรือไม่ใช่คนเดียวกัน ถึงออกเฉดหลายเฉด หลังจากยุคพีคของเอ็นจีโอ มาเป็นยุคเสื้อเหลืองเสื้อแดงคือมีหลายเฉด ซึ่งอาจารย์ธเนศวร์เองก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่เป็นนักวิชาการ เรียกว่าเอ็นจีโอ หรือสายที่มีแนวคิดพัฒนาสังคมแบบยั่งยืนเป็นทางเลือก

อีกอันหนึ่งที่คิดว่าเป็นข้อสังเกต จากการศึกษาเปรียบเทียบกับเอ็นจีโอในประเทศต่างๆ เอ็นจีโอในประเทศญี่ปุ่นเอง คิดว่าการมีส่วนร่วมมีน้อยกว่าผลสะเทือนทางสังคม หมายความว่า จำนวนคนมีไม่มากเท่ากับภาพพจน์ที่ออกมา ดิฉันพยายามที่จะหาสมาชิกของเอ็นจีโอที่ส่งผลสะเทือนในเรื่องของการเคลื่อนไหวเรื่องกำจัดขยะ โรงงานกำจัดขยะในเชียงใหม่ เคลื่อนไหวต่อต้านกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพ ขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ถ้านับจำนวนคนกับมองภาพจากสื่อมวลชน ดิฉันคิดว่าจำนวนการมีส่วนร่วมน้อยกว่าผลสะเทือน แล้วเวลาไปวิเคราะห์ในแต่ละเคส เคสที่จบลงได้ สำเร็จได้ ไม่ได้ด้วยการเอาจำนวนคนมากดดัน คุณกดดัน สามารถตั้งเต็นท์อยู่ได้ 99 วัน หรือมากกว่านั้นก็ได้ แต่ผลสะเทือนจริงๆ อยู่ที่การลอบบี้และต่อรอง นั่นคือการปฏิบัติงานของเอ็นจีโอที่ผ่านมา ก่อนที่จะถึงปลายสมัยอายุราชการอาจารย์ธเนศวร์

ส่วนวาทกรรมคำว่า “Civil Society” หรือ “ประชาสังคม” ไปผูกพันอยู่กับภาคประชาชน ซึ่งยิ่งช่วยทำให้ขยายผลสะเทือนของการเคลื่อนไหวของเอ็นจีโอให้มันใหญ่ขึ้นไปอีก โดยใช้คำว่า "ภาคประชาชน" ซึ่งทำให้เห็นว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งหมด มีความชอบธรรมในการที่จะเป็นตัวแทนของส่วนรวมที่ไม่ใช่รัฐทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เกิดความยิ่งใหญ่มากไปกว่าเดิมเสียอีก

และนอกไปจากนั้น ถ้าคุณไม่ลงพื้นที่เลย ไม่ดูการเมืองในระดับท้องถิ่นเลย และดูเฉพาะข่าวจากสื่อมวลชน จะเห็นว่าการให้พื้นที่ข่าว ถือว่าใหญ่พอสมควรเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เข้าร่วม ดังนั้นวาทกรรมที่เกี่ยวกับภาคประชาชนถูกส่งเสริมโดยสื่อมวลชน ดิฉันเข้าใจว่าสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งคืออดีต Activist ที่มีเครือข่ายกัน ไม่เพียงเท่านั้นนักวิชาการก็มีส่วนที่ทำให้ภาพของเอ็นจีโอ หรือกิจกรรมของเอ็นจีโอ ในการปฏิบัติการ ทำให้ภาพของ Civil Society ใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยมีนักวิชาการสายเอ็นจีโอ ศึกษาเรื่อง Civil Society ก็มักจะยกตัวอย่าง เอ็นจีโอ เมื่อนักศึกษาทำรายงานเรื่อง Civil Society ตัวอย่างที่เขามีคือ “99 วันสมัชชาคนจน” “เขื่อนปากมูน” และการเคลื่อนไหวประท้วงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสายสมัชชาคนจน

นั่นก็คืองานวิชาการทั้งหมดไปสนับสนุนการเคลื่อนไหวหรือปฏิบัติการของเอ็นจีโอ ซึ่งสิ่งที่อาจารย์อัจฉรา(รักยุติธรรม) พูดไว้ก็ชัดเจนว่าทำไม (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

000

ประชาสังคมกับ Royal Hegemony

ดิฉันคิดว่า Ideology สำคัญของสิ่งที่เรียกว่า "Civil Society/ประชาสังคม" มันคือส่งเสริมชุมชนนิยม (Communitarianism) และมีพื้นฐานของความคิดวัฒนธรรมชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นรากฐานสำคัญ ของความคิด/อุดมการณ์ของเอ็นจีโอเหล่านี้ และไม่เพียงเท่านั้นยังมีลักษณะพุทธศาสนาของเถรวาท มีลักษณะของ Morality หรือจริยธรรมต่างๆ ความเป็นคนดี ทำดี ทำในสิ่งที่ดี จึงกลายเป็นความคิดที่มากำกับการปฏิบัติการของเอ็นจีโอ และกำกับแนวคิดของ Civil Society ไปพร้อมๆ กันด้วยด้วย

โดยสรุปแล้ว Ideology ของเอ็นจีโอ หรือ Civil Society ที่ผ่านมาในยุคก่อนปลายอาจารย์ธเนศวร์ คือการต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านอำนาจรัฐ ไม่เพียงเท่านั้น เลยไปถึงการต่อต้านนักการเมือง เพราะนักการเมืองคือตัวแทนของคนที่ไม่มีจริยธรรม คือตัวแทนของความไม่ถูกต้อง เพราะนักการเมืองคือสัญลักษณ์ของการคอรัปชั่น ซึ่งทำให้ คละเคล้ากันไปก็กลายเป็นการไม่เห็นด้วย ต่อต้านประชาธิปไตยแบบตัวแทน แบบไม่รู้ตัว (หรือจะรู้ตัวก็ตาม ซึ่งอาจจะรู้ตัวก็ได้) อันนี้ ถ้ามองในเชิงเปรียบเทียบ หรือภาพกว้าง ประชาสังคมในความหมายของไทย จะสอดคล้องกับ “Royal Hegemony” หรือการครองความเป็นใหญ่ทางความคิดแบบราชาชาตินิยม ได้แก่แบบเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งตรงข้ามกับทุนนิยม พุทธศาสนาซึ่งเป็นชุมชนนิยม หรือแบบดั้งเดิม ความถูกต้อง ความดีงาม นอกจากนั้นสิ่งสำคัญคือ ความเป็นไทย หรือ Thainess คือ กรอบวิธีคิดแบบไทย วัฒนธรรมแบบไทย ความเป็นชุมชน

ซึ่งประการสำคัญที่ทำให้แตกต่างจาก Civil Society ของตะวันตก คือ ต้นทุนทางสังคมของประชาสังคมของไทย เป็นต้นทุนทางสังคมที่ผูกพันกับลักษณะเครือญาติและลักษณะพรรคพวก (Family and Kinship) ที่ลักษณะของ ฝรั่งเรียกว่า “Backward Society” ที่เป็นสังคมก่อนสมัยใหม่ และเอา Element นี้มาใช้รวมคน มันไม่ใช่รวมกันในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งที่จะรวมกันเพื่อปกป้องสิทธิทางการเมืองของตัวเอง แต่เป็นการรวมกันในเครือข่ายแบบเครือญาติ พรรคพวก เพราะมีความเป็นไทยปนอยู่ด้วย ซึ่งไม่แตกต่างจาก Hegemony หลักของรัฐนิยม หรือราชาชาตินิยมของไทย

 

000

ประชาสังคมที่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

ทีนี้ทำไม Civil Society แบบนี้จึงไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ดิฉันขอยกประโยคของ Hannah Arendt ที่กล่าวว่า มนุษย์จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าความยากจนไม่ได้อยู่เป็นมรดกที่อยู่ในสายเลือดของมนุษย์ แต่เกิดจากการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง

พูดง่ายๆ ว่า ความยากจนสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่สำนึกของประชาสังคมที่เป็นสำนึกแบบที่ดิฉันอธิบายมาทั้งหมด มันเป็นสำนึกที่ไม่ทำให้มนุษย์เข้าใจได้ว่า ตัวเองมีความยากจนเป็นปัญหาของโครงสร้างรัฐที่ตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และยังอยู่ในกรอบเดียวกันกับกรอบของรัฐ ซึ่งการที่บอกว่าเป็น “กรอบความคิดแบบทางเลือก” จึงไม่สามารถชัดเจนขึ้นมาได้ ในบริบทของรัฐไทยและสังคมไทยแบบนั้น

Civil Society ที่จะพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับของการปฏิวัติได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบใดบ้าง ประการแรก มนุษย์ต้องตระหนักว่าตัวเองต้องต่อสู้เพื่อเสรีภาพ “Liberty” จึงเป็นคำสำคัญ ในการนำพามนุษย์เข้าสู่การปฏิวัติ Liberty แสดงว่าตัวเองต้อง ต้องตระหนักว่าตัวเองถูกกดขี่ หรือถูกกดทับเสรีภาพอยู่ หรือเป็นมนุษย์ที่ Partly liberated ส่วนหนึ่งถูกปลดปล่อยแล้ว แต่มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่ถูกปลดปล่อย มนุษย์ต้องตระหนักว่าตัวเองต้องปลดปล่อยตัวเองจากกรงขังทางอำนาจที่มีพันธะของตัวเองอยู่และเขาไม่สามารถปลดปล่อยได้ แต่ต้องตระหนักใน Liberty อันนี้ แต่คิดว่าประชาสังคมที่ผ่านมาไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงเสรีภาพอันนี้

ประการที่สอง คือความเป็นพลเมือง หรือ Citizenship ซึ่งไม่ได้ตระหนัก แต่ตระหนักว่าเป็น ชุมชน คนไทย คำว่าชาติ มันไม่ได้หมายถึง เราเป็นสมาชิกพลเมืองของชาติ ความรักชาติจึงไม่ได้หมายถึงความรักในสังคมที่เราเป็นส่วนหนึ่ง ความรักชาติไม่ได้หมายถึงตัวเองมีสิทธิมีหน้าที่ในฐานะพลเมืองอะไรบ้าง แต่หมายถึงสิ่งที่มันอยู่เหนือ เป็นอุดมคติ เป็นอุดมการณ์ที่อยู่เหนือสูงส่งกว่าตัวเอง

ไม่ตระหนักว่าตัวเองคือหน่วยย่อยที่สุดที่จะสู้กับอำนาจรัฐที่มันใหญ่โต แต่ตระหนักว่าอำนาจรัฐเป็นอะไรที่ลอยอยู่ไกลจากตัวเอง ที่ตัวเองต้องต่อสู้และไม่เห็นด้วยอำนาจรัฐในทุกๆ รูปแบบ จนลืมตระหนักไปว่า อำนาจรัฐที่เป็นรูปแบบประชาธิปไตยก็เป็นอำนาจรัฐที่เราสามารถจับต้องได้ อย่างใกล้ชิด

และองค์ประกอบอีกประการคือ ไม่เห็นเห็นความสำคัญระหว่างตัวเองกับรัฐ คือความเป็นพลเมืองของ Civil Society ในแบบเดิม เมื่อมันไม่เกิดขึ้น มันจึงไม่ส่งผลให้เราตระหนักถึงตัวเองในการยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐ ในการยืนอยู่ใน Civil Society ที่อยู่นอกภาครัฐ และต้องการที่จะท้าทาย เปลี่ยนแปลง หรือสนับสนุนอำนาจรัฐแบบนั้น

พูดง่ายๆ โดยรวม ประชาชนไม่ถูก Activate หรือไม่ถูกกระตุ้นให้เกิดการเป็นมนุษย์ทางการเมือง ไม่ถูก Politicized ประชาชนในรูปแบบของ Civil Society ในแบบที่ผ่านมา ไม่ถูก Politicized ให้เป็นมนุษย์ทางการเมือง ไม่ให้เป็นสัตว์การเมือง ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ Civil Society แบบนั้นจึงไม่อาจเป็นมวลชนของนักปฏิวัติแบบอาจารย์ธเนศวร์ เจริญเมืองได้ อาจารย์ธเนศวร์ เจริญเมือง จึงต้องมีภารกิจ

 

000

ภารกิจของธเนศวร์: รัฐกระจายอำนาจ และรัฐรวมศูนย์

โดยเป็นภารกิจที่ดิฉันจำได้ติดตาคือ เรากำลังรณรงค์ให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย 2540 “ธงเขียว” ซึ่งเชียงใหม่มีมากกว่ากรุงเทพฯ ปี 2540 เชียงใหม่เขาจะปักธงเขียวที่มอเตอร์ไซค์จำนวนมาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นหัวหอกสำคัญในการรณรงค์นั้น

อาจารย์ธเนศวร์อาจจะไม่ได้คิดถึงการปฏิวัติจนถึงวันนี้ก็ได้ในการรณรงค์เรื่องธงเขียว เพราะในใจวันนั้นที่อาจารย์ธเนศวร์พูดถึงการเลือกตั้งผู้ว่า การกระจายอำนาจ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม การสร้างภาคประชาสังคมที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตย ก็อาจจะไม่ได้นึกไปไกลเหมือนตอนนี้ เพราะโครงสร้างอำนาจรัฐก็ยังไม่แจ่มชัดมากขึ้น

ทีนี้ในระหว่างการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดขบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 มีลักษณะโครงสร้างอำนาจรัฐแบบไหน ซึ่งดิฉันไม่อยากพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก อาจารย์ในคณะที่เป็นเจ้าพ่อของ “รัฐรวมศูนย์” ที่เพิ่งเกษียณไปคืออาจารย์สุชาย ตรีรัตน์ พูดมาตลอดว่า "รัฐรวมศูนย์" อาจารย์ธเนศวร์ก็พูดว่า “รัฐรวมศูนย์”

ซึ่งจะขอเสริมว่า แน่นอนโครงสร้างอำนาจรัฐจำนวนมากเป็นแบบรวมศูนย์ ไร้ประสิทธิภาพ และตอนที่ตัวเองนำเสนอมาตลอดคือเป็นโครงสร้างอำนาจรัฐที่มีตัวกลางระหว่างรัฐกับสังคมแทรกอยู่ คือไม่สามารถที่อำนาจรัฐจะมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมโดยตรงได้ ตัวกลางเหล่านั้นคือเจ้าพ่อท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น หรือถ้าไม่อยู่ในเครือข่ายเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล ก็อยู่ในเครือข่ายของเอ็นจีโอ เครือข่ายของภาคประชาสังคมในแบบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและสังคมแบบนี้ คือโครงสร้างที่มันทำให้มนุษย์ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่รู้ว่าความจนของตัวเองเป็นความจนส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ครอบงำอยู่ มนุษย์ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองมีเสรีภาพในการบริโภค เพราะมนุษย์อยู่ในโครงสร้างที่รัฐกับการบริโภคมันไม่เกี่ยวกัน จะซื้อมือถือ จะซื้อบัตรเติมเงิน จะไปรักษาพยาบาล มันไม่เกี่ยวกับโครงสร้างรัฐ ในโครงสร้างแบบรวมศูนย์ มนุษย์ไม่รู้เลยว่าถนนที่ตัวเองขับมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านมันคืออำนาจของตัวเอง และไม่อาจรู้ได้ว่า รัฐส่งผลประโยชน์ตัวเองอย่างไรบ้าง

แต่การเคลื่อนไหวของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้เป็นคนที่เชียร์ออกนอกหน้า ต้องยอมรับ ว่า มันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม ที่ทำให้โปสการ์ดอาจารย์อรรถจักร (สัตยานุรักษ์) ถูกฉีดขาดฉะบั้น (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

มันเกิดขึ้นจากประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นที่มันอัดฉีดเข้ามา มันเกิดความขัดแย้งในชุมชน พ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) แบ่งออกเป็นพ่อหลวงใหญ่ พ่อหลวงเล็ก มีบ้านนั้นบ้านนี้ ซุ้มนั้นซุ้มนี้ คุ้มนั้นคุ้มนี้ มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำวิจัยท้องถิ่น พนันได้เลยว่า คำว่า ผลประโยชน์” จะต้องเข้ามา ซึ่งกลายเป็นภาพโปสการ์ดได้ถูกทำลายไป นั่นคือความตื่นเต้นของระบอบใหม่ที่กำลังจะมาถึง ผลประโยชน์มันมาถึงประชาชน และมันผูกพันกับประชาธิปไตยในท้องถิ่น และคนเหล่านั้นมีความขัดแย้งที่ชัดเจนขึ้น มีผลประโยชน์ชัดเจนขึ้น ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตัวเอง

นั่นคือประชาชนถูกทำให้เป็นพลเมือง ประชาชนถูกทำให้เป็นมนุษย์ทางการเมือง และประชาชนถูกทำให้เห็นว่าตัวเองถูกปลดปล่อยมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ต้องตระหนักว่ามีบางส่วนยังไม่ถูกปลดปล่อย Ideology ที่ครอบงำอยู่ คุณมีความเห็นต่าง คุณสามารถด่าผู้ใหญ่บ้านได้ แต่คุณไม่สามารถรัฐระดับชาติได้ คุณสามารถล้มนักการเมืองท้องถิ่นได้ในสี่ปี แต่คุณกำลังเห็นอำนาจที่มันใหญ่กว่านั้นคือรัฐส่วนกลาง สิ่งเหล่านี้เองคือเชื้อเพลิงแห่งการปฏิวัติ ซึ่งไม่อยาก Romanticize ว่ากำลังจะนำไปสู่อะไร แต่คิดว่า Civil Society ที่เกิดขึ้นมาใหม่ หลังจากผลพวงของรัฐธรรมนูญที่ทำก่อให้เกิดการกระจายอำนาจ และมีพรรคการเมืองที่อัดฉีดผลประโยชน์มาสู่ประชาชนอย่างชัดเจนนี้ ทำให้เกิด Civil Society แบบใหม่เสรีภาพของตัวเอง ที่ประชาชนตระหนักในเสรีภาพของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับรัฐ ตระหนักในผลประโยชน์ของตัวเองที่ต้องต่อสู้ให้ได้มา นี่คือเชื้อเพลิงของการปฏิวัติ

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>