‘ฮอด’ คือเส้นทางผ่านของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
พ่อครูจงกล นามเทพ ปราชญ์ท้องถิ่นของฮอด ได้บอกเล่าเอาไว้ว่า มีผู้เฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีพ่อค้าชาวญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายและทำแผนที่ไปประเทศพม่า พอเกิดสงครามจริงก็เห็นทหารญี่ปุ่นลอยเรือมาตามลำน้ำแม่ปิง แล้วมาขึ้นวังในเขตพื้นที่ตำบลฮอด เดินทางขึ้นเขาไปทางดอยเหลี่ยม ผ่านไปอำเภออมก๋อย มุ่งสู่ประเทศพม่า ต่อมา พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทหารญี่ปุ่นก็แตกทัพลงมาทางอำเภอฮอด แล้วล้มตายจำนวนมาก
เช่นเดียวกับ พ่อหนานนาค ใจเขียว ชาวบ้านจากฮอด บอกเล่าให้ฟังว่า “สมัยเมื่อตนเองอายุสิบกว่าปี มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาพักบ้านของเราเป็นหลังๆ ซึ่งบริเวณที่พัก คือ บ้านหลวงเก่า ตอนที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามานั้น เขาก็ไม่ทำอะไร แต่เรากลับมีรายได้จากการขายอาหารให้กับทหารญี่ปุ่น เดินทางผ่านบ้านวังลุง ขึ้นมาพักที่บ้าน พวกเขามาอยู่บ้านเราประมาณครึ่งเดือนแล้วก็เดินทางต่อ บ้านของเราเป็นเพียงทางผ่านของทหารญี่ปุ่น ต่อมา ทหารญี่ปุ่นก็เกิดการล้มตาย ก็ได้นำมาฝังไว้ที่โรงเรียน ซึ่งสาเหตุการตายของทหารญี่ปุ่น คือ ตายเพราะเป็นพยาธิ ตายเพราะความหิวโหย ไม่ได้กินอะไรนั่นเอง”
“ตอนนั้น ทหารญี่ปุ่นจะมาพร้อมๆ กัน เดินทัพกันมาเป็นกองทัพ และวังลุงก็จะเป็นจุดยุทธศาสตร์ ผมอยู่กับแม่ ซึ่งตอนนี้แม่ก็อายุ 91 ปีแล้ว แม่ก็ได้ช่วยเหลือทหารญี่ปุ่น พ่อก็ได้ของจากทหารญี่ปุ่น จากการบอกเล่ามา ญี่ปุ่นจะเอาปืนมาแลกข้าว มาแลกกล้วย หรืออะไรที่สามารถเป็นอาหาร เพราะว่าข้างบนดอยไม่มีอะไรกิน เวลานอนมดไต่เต็มหน้าตาก็มี ซึ่งตอนนั้นเองแม่ได้เข้าไปช่วย ซึ่งตอนกลางคืน ฝนก็ตก ตอนนั้นเองก็ได้ชวนแม่ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วย เพราะแม่เองก็ยังเป็นสาว มีป้าปุ๋น ที่สมัยนั้นเป็นคนที่งาม หน้าตาดี แม่ทัพญี่ปุ่นก็จะพาแกไปทุกที่เลย ฉะนั้น สถานที่ที่วังลุง จึงเป็นสถานที่เดินทัพของทหารญี่ปุ่น แล้วก็มาตายที่วังลุงกันเป็นจำนวนมาก ฮอดเราจึงเป็นเมืองผ่านของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ก็ขึ้นไปทางเส้นสายปาย สายห้วยน้ำดัง ซึ่งสามารถข้ามไปพม่า” นายพิชิต อุดธิ สมาชิก อบต.วังลุง ตำบลฮอด เล่าให้ฟัง
มีหลักฐานที่ยืนยันมากมายว่า ทหารญี่ปุ่นได้เดินทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาทิ การขุดพบซากของมีด ปืน ของทหารญี่ปุ่น แม้ในปัจจุบัน ชาวบ้านบอกว่าจะไม่ค่อยพบเห็นกันแล้วก็ตาม
ฮอด เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ แผ่นดิน แม่น้ำและป่าไม้
นายจงกล โนจา รองนายก อบต.ฮอด เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนนั้นมีการเดินทางด้วยทางน้ำ การค้าขายก็ทางน้ำ ซึ่งฮอดเองก็เป็นจุดที่เป็นเมืองท่า มีการเอาสินค้าจากเชียงใหม่หรือจากแม่แจ่ม ผ่านทางลำน้ำแจ่มมาพัก ณ จุดนี้ ถ้ามาถึงที่เจดีย์สูง ก็รู้แล้วว่ามาถึงเมืองฮอดแล้ว”
ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลหางดง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลนาคอเรือ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศตะวันออก ติดติดต่อกับตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศตะวันตก ติดติดต่อกับตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ตัวอำเภอฮอด ตั้งอยู่ที่บริเวณ หมู่ที่ 2 บ้านหลวงฮอด ตำบลฮอด มีสถานที่ราชการตั้งอยู่ เช่น ที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจ เป็นต้น จึงถือว่าพื้นที่ตำบลฮอด เป็นศูนย์กลางของราชการและเป็นศูนย์รวมของความเจริญทั้งด้านเศรษฐกิจ วิถีความเป็นอยู่และวัฒนธรรมในการสืบทอดดำรงอยู่ของคนฮอดมาช้านาน
หมู่บ้านแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นในสมัยพ่อหลวงแก้ว ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ต่อมา สมัยพ่อหลวงชุ่มเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน มีหมู่บ้านเพิ่มขึ้นมา 60-70 หลังคาเรือน พร้อมทั้งมีการก่อสร้างวัดวาอารามขึ้นมาในช่วงสมัยนั้น แต่ไม่มีพระมากราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็เลยหาถาวรวัตถุมาปั้น คือ ดินกี่ จนมีมาถึงปัจจุบันนี้ จากนั้น ชาวบ้านก็ไปนิมนต์หนานคำ เข้ามาอยู่ที่วัด และมีการตั้งชื่อวัด คือ วัดคัมภีราราม ซึ่งเป็นที่มาจากนามขอพระครูคัมภีรธรรม
บริเวณบ้านวังลุงในอดีตนั้น ก็ถือเป็นอีกศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญของฮอด มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างฮอดไปจนถึงปากน้ำโพ นครสวรรค์เลยทีเดียว
“กลุ่มที่อยู่บนดอยก็ลงมาซื้อของที่วังลุง ของสินค้าที่มาจากปากน้ำโพก็มาถึงที่นี่ สมัยนั้นสินค้าจะขึ้นมาทางเส้นน้ำ และวังลุงเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการค้าขาย คือ หันหลังชนฝา หันหน้าเข้าหาน้ำ วังลุงจึงมีความหลากหลาย มีแขก หรือคนฮอดบ้านเราเรียกกันว่า กุลา มีคะฉิ่น และอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในวังลุง คนจีนก็มีมากในตอนนั้น ส่วนเชื้อสายของผมเองเป็นขมุ ผมเองยังเป็นลูกครึ่งระหว่างหลวงฮอดกับวังลุง เพราะว่าวังลุงมีการแยกจากหลวงฮอดไป นาคอเรือก็แยกจากวังลุงไป แต่พื้นที่ก็ยังอยู่พื้นที่เดียวกัน”
นั่นเป็นการบอกเล่าของชาวบ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของฮอด ที่บ่งบอกว่า ฮอด มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยน และเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
ฮอด ยังขึ้นชื่อในเรื่อง ‘คนหาปลา’
“รายได้จากการขายปลานั้นจะได้มากกว่า เมื่อก่อนนั้น การรับจ้างรายวันจะได้ประมาณ 70 บาท แต่การหาปลาจะได้มากกว่า วันหนึ่งขายปลาได้หลายร้อยบาท บางวันหาปลาได้เยอะ ก็ขายปลาได้เงินหนึ่งพันสองพันกว่าบาทก็มี”
“เราจะใช้เรือพาย แต่ก็จะไปถึงแค่วังลุง จะไปไกลไม่ได้ เพราะเรือนั้นเป็นเรือพาย ต้องถ่อไป จะทำให้เหนื่อย ไปไกลก็ไม่ได้ พอตอนใกล้จะค่ำก็ต้องรีบกลับ”
“เหมือนกับที่คำโบราณบอกว่า จะใช้หงายก็เฉพาะเวลาช่วงฤดูแล้ง จะเอาไปหลอกปลา ยามพรรษาก็จะเอาไปหลอกคนเฒ่า เพราะว่ามันขาว คนเฒ่าชอบสะดุ้งเข้าใส่ คือพอหน้าแล้งต้องเอาไปลงที่น้ำใส ถ้าเป็นน้ำขุ่นก็ไม่ได้ ทีนี้ปลาไปเห็นเข้า ก็ว่ายหนี สุดท้ายก็เข้าไปในแหที่เขิงไว้” นายนิวัฒน์ บอกเล่า
ว่ากันว่า การใช้หงายล่อปลาเช่นนี้ วันหนึ่งสามารถหาปลาได้มากถึง 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว
แน่นอนว่า ปลาในสมัยก่อนนั้นมีมากกว่าเงินทองเสียอีก โดยดูได้จากวัฒนธรรมคนฮอดเวลาช่วยเหลืองานบุญก็ทำด้วยการลงแรงหาปลามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ขัดสนในยามยาก
นั่นถือว่า ชุมชนในตำบลฮอดนั้นมีอาชีพทำนา ทำสวน และการหาปลามาเพื่อยังชีพและเพื่อค้าขายกันนานหลายชั่วอายุคนมาแล้ว ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่สงบ ปกติสุข เป็นสังคมแห่งสันติสุข รักใคร่กลมเกลียวกันมาโดยตลอด
0 0 0
ข้อมูลประกอบ
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง