เรื่องราวในกรณีที่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซัน ถนนราชวิถี ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นปัญหาเรื่องโลกทัศน์เกี่ยวกับสิทธิสตรีในสังคมไทยอย่างชัดเจน
คงต้องอธิบายก่อนว่า กรณีโรงแรมโฟร์ซีซันนี้ ถูกเปิดเผยโดยนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร นักธุรกิจและเจ้าของเว็บไซต์อินไซเดอร์ ในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายเอกยุทธเผยแพร่ข้อมูลว่า เขาไปที่โรงแรมโฟร์ซีซัน และเห็นนายกรัฐมนตรีเดินออกมาจากโรงแรม จากนั้น ก็ถูกทำร้ายร่างกายที่ร้านกาแฟภายในโรงแรม ซึ่งดูเหมือนว่า นายเอกยุทธจะเน้นประเด็นเรื่องอำนาจเถื่อน แต่ต่อมา นายเอกยุทธกลับแถลงข่าวเปลี่ยนประเด็นเน้นไปสู่เรื่องที่ว่า เขาถูกคนของนายกรัฐมนตรีทำร้ายเพราะไปเห็นนายกรัฐมนตรีไปที่โรงแรมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. แล้วขึ้นไปชั้น ๗ ของโรงแรม อยู่ที่นั่นประมาณ ๒ ชั่วโมงเต็ม กับบุคคลที่สามที่เป็น “นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ด้านอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่ง” นายเอกยุทธอธิบายว่า "มีคนกลัวว่าผมจะนำไปพูดต่อ สิ่งที่ผมเห็นนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องศีลธรรมและจรรยาบรรณ โดยเฉพาะช่วงกลางวันแสกๆ” และยังย้ำว่า “ไม่รู้อะไรเกิดขึ้นในห้อง และไม่กล้าจะบอกว่านายกฯ กับบุคคลดังกล่าวจะไปเจอกันหรือเปล่า เพราะอาจจะเป็นเหตุบังเอิญ แต่จากที่เช็กมา ทางนายกฯ ก็ไม่ได้มีกำหนดการอะไร มีแต่บอกว่า ว.๕ แจ้งเพียงว่าเป็นเรื่องส่วนตัว”
การเปิดประเด็นของนายเอกยุทธ ได้กลายเป็นอาหารหลักให้สื่อมวลชนกระแสหลัก สื่อฝ่ายขวาจัด และ พรรคประชาธิปัตย์ เอามาโจมตีทันที โดยมุ่งไปที่เรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี และตีความให้เป็นประเด็นทั้งทางการบริหารและในทางศีลธรรม โดยเน้นถึงการที่นายกรัฐมนตรีหลบการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปที่โรงแรม และตีความและขุดคุ้ยให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีไปพบกับนักธุรกิจชื่อ เศรษฐา ทวีสิน ด้วยเรื่องชู้สาว การโจมตีนำคำรหัสว่า ว.๕ ซึ่งมีความในทางการสื่อสารวิทยุว่า เป็นเรื่องส่วนตัวที่เปิดเผยไม่ได้ เพื่อสื่อให้ประชาชนมีความเห็นไปในลักษณะนั้น
อย่างไรก็ตาม จะขอตั้งข้อสังเกตในขั้นแรกว่า การสร้างกระแสโหมกระพือข่าวในลักษณะเช่นนี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยเลยว่า นายเอกยุทธนั้นเป็นแหล่งข่าวที่มีปัญหา ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงประชาชน แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น จอร์จ ตัน หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานถึง ๑๙ ปี แต่ในฐานะที่แสดงตัวเป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด และล่าสุด ก็เป็นเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ที่โจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขบวนการคนเสื้อแดงเสมอ และที่ร้ายแรงมากคือ การแสดงทัศนะดูถูกสตรี เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔ โดยนายเอกยุทธได้โพสต์ข้อความ โจมตีนายกรัฐมนตรีและลามไปถึงสตรีทางภาคเหนือ ว่า "ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี..แต่ในความเป็นจริงนั้น..สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน..หลักๆ ก็คือขายบริการ..ฉะนั้นสาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ?" ข้อความดังกล่าวทำให้นายเอกยุทธถูกกลุ่มสตรีภาคเหนือตอบโต้อย่างหนักมาแล้ว
และในกรณีนี้ คงจะต้องย้ำว่า นายเอกยุทธ สื่อความหมายโจมตีนายกรัฐมนตรีในเชิงของการประพฤติไม่งามทางศีลธรรม ด้วยการแสดง”ความเห็น โดยไม่มีข้อพิสูจน์เลย แต่ต่อมา นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ๓ คน คือ ศิริโชค โสภา เทพไท เสนพงศ์ และ ชวนนท์ อินทรโกมาลสุต ได้นำเอาเรื่องนี้ไปออกรายการสายล่อฟ้า ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ โดยแสดงการดูถูกนายกรัฐมนตรีในเรื่องเพศอย่างปราศจากหลักฐาน แต่มีลักษณะในการแสดงโวหารแบบสองแง่สองง่าม กักขฬะ และหยาบโลก ซึ่งเป็นการหมิ่นฐานะความเป็นสตรีอย่างยิ่ง
กลับกลายเป็นว่า น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ โดยไม่โจมตีกระบวนการละเมิดสิทธิสตรี แต่กลับโจมตีนายกรัฐมนตรีว่า ประเด็นเรื่องที่ นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ร่วมการประชุมสภา และไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอ่อนไหวในเรื่องเพศ ที่”ผู้หญิงมีความแตกต่างจากผู้ชายมาก” ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงให้สังคมรับทราบว่า มีความจำเป็นขนาดไหน ไปทำอะไร หากขอไปทำในเรื่องส่วนตัว ก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นเวลาราชการ แต่หากไปทำในเรื่องบ้านเมือง ก็ควรทำในสถานที่ราชการ ก็จะเหมาะสมมากว่า
ส่วนนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความเห็นว่า เรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องหญิงชายแน่นอน แต่เรื่องอยู่ที่ว่านายกฯ ไปทำอะไร เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ คำตอบนี้ก็ต้องมีให้ชัด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ว่า บทบาทสตรีไทยมีความสำคัญ ซึ่งทุกคนมีส่วนช่วยพัฒนาและส่งเสริมพลังสตรีให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพราะสตรีไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะบทบาทการเป็นแม่ของลูก การเป็นภรรยา รวมทั้งการเป็นผู้นำและผู้ตามในครอบครัว นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า “สังคมไทยยังมีช่องว่างความไม่เสมอภาคของสตรี เนื่องจากยังมองว่าเพศหญิงด้อยกว่าเพศชาย และถูกปลูกฝังให้สตรีต้องเป็นผู้ตามหรือช้างเท้าหลังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงทำให้เป็นตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และขาดโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงควรหันมาช่วยกันเพื่อยกระดับให้เกิดความเสมอภาคทางเพศ แต่การที่จะให้เพศหญิงมีความเท่าเทียมกับเพศชายนั้น ไม่ใช่ต้องการที่จะให้เป็นคู่แข่ง เพียงแต่เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน” และได้กล่าวโดยอ้อมถึงกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า "อยากให้สังคมไทยให้เกียรติซึ่งกันและกันโดยไม่คำนึงถึงเพศ สีผิว หรือถิ่นกำเนิด ตลอดจนการเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่เศร้าใจกว่านั้นคือการที่คนไทยด้วยกันดูถูกดูแคลนกันเองเพื่อความได้เปรียบในเรื่องทางเพศ การงานหรือแม้แต่ประโยชน์ของตนเองและทางการเมือง"
ความจริงแล้วเนื้อหาเรื่องปัญหาสตรีตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าว เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวว่า ขอเรียกร้องสิทธิสตรีและเกียรติของผู้หญิงไทยคืนมาจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าบิดเบือนประเด็นและเอาผู้หญิงทั้งประเทศเป็นเกราะกำบังการตรวจสอบ มัลลิกากล่าวว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์รู้ตัวไหมว่ากำลังละเมิดสิทธิของสตรีอื่น กำลังละเมิดความเป็นสตรีอย่างพวกเราทั้งหลายที่ไม่ได้ไปทำอะไรลับๆล่อๆ” และว่า “อย่าโยนความน่าสงสัยที่ผู้นำตัวเองไปกระทำแล้วให้ผู้หญิงคนอื่นต้องรับผิดชอบ ถ้าทนการตรวจสอบไม่ได้ก็โปรดออกไปเสียจากการเมืองหรือลาออกจากตำแหน่งไปเลย”
ต่อมา ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ได้มีนักวิชาการและบุคคล ๑๗๒ คน ได้ออกจดหมายเปิดผนึกผ่านศูนย์ข่าวอิสรา โจมตีนายกรัฐมนตรีว่า นำ" ความเป็นหญิง" มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยจดหมายเปิดผนึกเสนอว่า “กลุ่มผู้มีรายชื่อแนบท้ายใคร่ขอความร่วมมือสื่อมวลชน เผยแพร่ทัศนคติเกี่ยวกับความเป็นหญิงความเป็นชายบนพื้นฐานความคิดอย่างใช้สามัญสำนึกว่า การอ้างความเป็นหญิงด้วยเจตนาหลีกเลี่ยงตอบข้อซักถาม เบี่ยงเบน บิดเบือนประเด็นข้อเท็จจริง และอาจถึงกับปกปิดความผิดพลาดอันเนื่องจาก ความไม่เดียงสาไร้ประสบการณ์ ด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการทำให้สถานภาพสตรีไทยประสบภาวะถอยหลังเข้าคลองอย่างยิ่ง” ในจดหมายเปิดผนึกได้อธิบายต่อไปว่า ในบรรดาผู้นำหญิงในโลกตะวันออก ตะวันตก รวมถึงทวีปแอฟริกา ทั้งในยามสถานการณ์ปกติ หรือในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อขัดแย้ง ก็หาได้มีผู้ใดอ้างถึง "ความเป็นหญิง" ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และว่า “การเรียกร้องโอกาส การกล่าวอ้างทวงสิทธิ ทวงเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้หญิงให้เป็นที่ยอมรับ สมควรกระทำอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติ หรือกีดกันจากกฏหมาย สังคม การเมืองและวัฒนธรรม แต่มิใช่และไม่สมควรกระทำเพื่อเรียกร้องความเห็นใจต่อความประพฤติส่วนตัวที่มิได้เกี่ยวกับการถูกกีดกันใดๆ หรือที่ร้ายยิ่งกว่านี้ ก็คือ สร้างสิทธิพิเศษหลีกหนีหน้าที่อันพึงปฏิบัติต่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบ” และ”เมื่อไม่เข้าประชุมสภา ก็ต้องชี้แจงสาเหตุอย่างตรงไปตรงมา นายกรัฐมนตรีไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่าเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือสาเหตุอื่นใดในอันที่จะไม่ชี้แจงการไม่เข้าประชุมสภา” จดหมายเปิดผนึกเห็นว่า นายกรัฐมนตรีใช้ข้ออ้างความเป็นหญิง มาเป็นเหตุผลอย่าง "เอาสีข้างเข้าถู" ซึ่งไม่สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกผู้หญิงคนใด ทำให้ประชากรหญิงซึ่งรวมถึงผู้นำสตรีในทุกวงการ เศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองและวัฒนธรรม ต้องพลอยเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ที่บรรพบุรุษสตรีไทยได้สะสมสร้างมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังอาจนำสังคมประเทศชาติไปสู่วิธีคิดที่เบี่ยงเบนและเดินผิดทางจนอาจหายนะได้ในที่สุด
ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า เรื่องสิทธิสตรีดูจะกลายเป็นประเด็นสำคัญในการวิจารณ์ถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย โดยเฉพาะในเรื่องจดหมายเปิดผนึกที่วิจารณ์บทบาทขนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าพิจารณากรณีนี้โดยทั้งหมดแล้ว จะเห็นว่า การอธิบายเรื่องสิทธิสตรีของนายกรัฐมนตรีมิได้มีขื้นเพื่อปกปิดการไม่บริหารประเทศ แต่มีขึ้นเพื่ออธิบายตอบโต้การให้ร้ายป้ายสีอย่างหยาบช้าไร้ยางอาย โดยกระบวนการของพวกขวาจัด พลพรรคแมลงสาบ และสื่อกระแสหลัก ซึ่งสะท้อนความจนตรอกในการหาประเด็นมาโจมตีรัฐบาลด้วยเหตุผล นักสิทธิสตรี นักสิทธิมนุษยชนที่มีใจเป็นธรรม ควรจะต้องหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมในการโจมตีลักษณะนี้ ต้องเข้าใจว่า การเปิดโรงแรมเพื่อเจรจาพูดคุยกับนักธุรกิจ เป็นปรากฏการณ์ปกติที่นายกรัฐมนตรีคนอื่นที่เป็นชายก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรีคนอื่นไม่เคยมีใครที่อยู่ในที่ประชุมสภาตลอดเวลา
การต่อสู้ทางการเมืองไทยจะเป็นอารยะมากขึ้น จะต้องเลิกนำเอาเรื่องส่วนตัวที่ปราศจากสาระมาโจมตีทำลายกัน
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper