Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10 - 16 ธ.ค. 2554

$
0
0

แรงงานชง พม.ตั้งอนุกรรมการส่งเสริมการจ้างงานในผู้สูงอายุ 

นางอำมร เชาวลิต ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวง แรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ที่มีนายกีรศักดิ์ จันทรจรัสวัฒน์ อดีตรองปลัดกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานได้แสดงความเป็นห่วงและเสนอแนวทางการดูแลสูงอายุให้มีงานทำที่มี อายุหลัง 60 ปีขึ้นไปแล้ว เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป 8 ล้านคน ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 10.2 ล้านคน หรือคิดเป็นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4
      
นางอำมรกล่าวอีกว่า คณะกรรมการสภาที่ปรึกษาฯ ได้เสนอให้กระทรวงแรงงานไปจัดทำนโยบาย แผนงาน และการบริหารจัดการการอบรมวิชาชีพ รวมถึงการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พม. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองในการฝึกอาชีพและประกอบอาชีพที่เหมาะสม ทั้งนี้ ตนจะนำข้อเสนอนี้ไปรายงานต่อนพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ต่อไป
      
ที่ปรึกษาวิชาการ กระทรวงแรงงาน กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานได้เสนอรายชื่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการจ้างงาน สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่ง คณะอนุกรรมการฯชุดนี้มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน และกรรมการที่มาจากหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงแรงงาน กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเครือข่ายด้านผู้สูงอายุประมาณ 25 คน ไปยังปลัด พม.ที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเพื่อ พิจารณานำเสนอต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุฯที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯมีหน้าที่จัดทำแผนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำที่เหมาะสมกับ วัย และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยยึดตามแผนแม่บทด้านแรงงานปี 2555-2559 ที่ให้มีการส่งเสริมการมีงานทำและพัฒนาระบบการแนะแนวอาชีพที่สอดคล้องกับ ตลาดแรงงาน
      
“ในส่วนของกระทรวงแรงงานก็สามารถแบ่งหน้าที่ในการดูแลการอบรมวิชาชีพและ การจ้างงานผู้สูงอายุ โดยกรมการจัดหางาน (กกจ.) ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสาร และบริการจัดหางานให้แก่ผู้สูงอายุ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จัดอบรมอาชีพ เช่น การเป็นวิทยากรอบรม ให้ความรู้ด้านช่างฝีมือ หรือตามความเชี่ยวชาญของผู้สูงอายุแต่ละคน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ดูแลให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแลให้ผู้สูงอายุที่อายุเกิน 55 ปี ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ อย่างไรก็ตาม อยากให้ พม.ช่วยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูงอายุให้ชัดเจนว่าปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด เท่าไร อยู่ในพื้นที่ใดบ้าง และความเชี่ยวชาญด้านอาชีพ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดอบรมอาชีพและจัดหางานให้แก่ผู้สูงอายุ” นางอำมรกล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-12-2554)

วอนไม่นับวันลาหยุดช่วงน้ำท่วม

น.ส.ส่งศรี บุญบา รองปลัดกระทรวงแรงงาน และโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ได้รายงานสถานการณ์ความช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-7 ธ.ค. พบว่ามีสถานประกอบกิจการที่ประสบปัญหาน้ำท่วม 28,679 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ 993,944 คน

โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอความร่วมมือสถานประกอบการอนุญาตให้ลูกจ้างมาทำงานสาย หยุดงาน โดยไม่ถือเป็นวันลา และจัดสวัสดิการเรื่องรถรับ-ส่ง ที่อยู่อาศัย มีสถานประกอบการให้ความร่วมมือแล้ว 27,934 แห่ง ลูกจ้างได้รับการดูแล 1,020,110 คน และประสานนายจ้างที่ไม่ถูกน้ำท่วม รับลูกจ้างไปทำงานชั่วคราว ตามโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน มีสถานประกอบ การเข้าร่วม 108 แห่ง มีตำแหน่งงานรองรับกว่า 13,226 อัตรา

ส่วนกรมการจัดหางาน ได้จัดหาตำแหน่งงานว่างรองรับ 152,862 อัตรา สำนักงานประกันสังคม จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 164 ครั้ง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดฝึกอบรมพร้อมทำอาหารแจกจ่าย นอกจากนี้ ยังจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้การช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่จำเป็น

(ข่าวสด, 12-12-2554)

โฮยายังยันเลิกจ้าง สหภาพฯ หวัง กมธ.แรงงานตัวกลางขึ้นโต๊ะเจรจาอีก

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ (พนักงานบริษัทโฮย่า) เปิดเผยว่าในการเจรจาครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมานั้น ผลจากการประชุมระหว่างตัวแทนพนักงาน นายวชิระ ศรีบัวชุม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลำพูน ร่วมกับด้วยนายเทเคมิ มิยาโมโต ประธานบริษัท นายโตชิอะกิ โยชิมูระ ผู้จัดการทั่วไป ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลำพูน ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ โดยนายจ้างยังคงยืนยันที่จะให้มีการเลิกจ้างอยู่ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ทางสหภาพแรงงานมิอาจจะยอมรับได้

โดยทางสหภาพแรงงานฯ เห็นว่าถึงแม้จะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ข้ออ้างนั้นอาจจะไม่สมเหตุสมผล และอาจจะใช้เป็นบรรทัดฐานในการปลดคนงานในที่ต่างๆ แบบนี้ได้ (บริษัทฯ อ้างว่าขาดทุน แต่ยังขยายการดำเนินงานไปยังประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศเวียดนาม รวมถึงบริษัทฯ อ้างถึงสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย)

ทั้งนี้ทางสหภาพแรงงานฯ ระบุว่าในขณะนี้ความหวังของคนงานก็คือต้องรอคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อให้เกิดการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างตัวแทนลูกจ้างกับนาย จ้างอีกครั้ง หลังจากที่สหภาพแรงงานฯ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีโดยผ่านนายสถาพร มณีรัตน์ กรรมาธิการแรงงาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้ติดตามและลงมาดูแลในกรณีนี้เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.54 โดยทางสหภาพฯ คาดหวังว่าจะได้ความชัดเจนในเร็วๆ นี้

(ประชาไท, 12-12-2554)

ลูกจ้างไดนามิคสะอื้นรับ 2,000 บาท บวกค่าแรงค้างจ่าย 215 บาท

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา คนงานจำนวนหนึ่งของบริษัท ไดนามิคโปรโมชั่น จำกัด รวมตัวกันที่หน้าโรงงาน ไดนามิค เพื่อรับฟังคำชี้แจงจากคณะกรรมการสหภาพแรงงานไดนามิคเรื่องค่าจ้างที่ค้าง จ่ายหลังจากที่บริษัทฯถูกน้ำท่วม

นางสาวสมทรง  บุญรักษา ประธานสหภาพแรงงาน ชี้แจงกับสมาชิกสหภาพแรงงานว่า "ทางคณะกรรมการสหภาพแรงงานได้มีการประชุมร่วมกับตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ในวันที่ 8 ธันวาคม 2554 ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดสมุทรสาคร โดยนายจ้างได้เสนอจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นค่าครองชีพให้กับลูกจ้างในช่วงที่ ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในโรงงานตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 จนกว่าบริษัทจะสามารถเปิดกิจการได้เป็นจำนวน 2,000 บาท บวกค่าแรงที่ค้างจ่าย 1 วัน จำนวน 215 บาท และถ้าทุกคนตกลงให้มารับเงินได้ที่หน้าบริษัทฯ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2554 ถ้าคนงานกลับบ้านต่างจังหวัดไม่สามารถมารับเงินในวันที่ 13 ธันวาคม 2554 ก็ให้มารับในวันที่บริษัทฯเปิดกิจการได้  โดยสหภาพขอให้คนงานได้ปรึกษากันก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะรับตามข้อเสนอของฝ่ายนายจ้างหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอของบริษัทคนงานจะทำอย่างไรต่อไป ”

ตัวแทนกรรมการสหภาพแรงาน ได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า “ผลการพูดคุยกับฝ่ายนายจ้าง เงินจำนวน 2,000 บาท บวกค่าแรงที่ค้างจ่าย 1 วัน นั้นไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของคนงานในช่วงน้ำท่วม เพราะคนงานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้นในช่วงน้ำท่วม ได้พยายามเสนอให้บริษัทได้ช่วยเหลือคนงานตามความเป็นจริง แต่ฝ่ายนายจ้างยังคงยืนยันที่จะจ่ายให้เพียง 2,000 บาท และบวกค่าแรงที่ค้างจ่าย 1 วันเท่านั้น โดยอ้างว่า บริษัทได้รับความเสียหาย และขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่สามารถที่จะจ่ายค่าจ้างให้กับคนงานในช่วงที่น้ำท่วมได้ ในส่วนของมาตรการที่รัฐบาลนำเสนอต่อนายจ้างที่ช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่เลิก จ้างลูกจ้างโดยให้มีการร่วมทำ MOU ว่าจะไม่เลิกจ้างคนงานภายใน 3 เดือนนั้น  บริษัทฯไม่ยอมรับข้อเสนอ โดยบอกว่าไม่สามรถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากไม่มีเงิน เพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน”

หลังจากได้ฟังคำชี้แจงจาก นางสาวสมทรง  บุญรักษา ประธานสหภาพแรงงานแล้ว มีสมาชิกสหภาพแรงงานได้ตัดสินใจยกมือยอมรับเงินช่วยเหลือ จำนวน 2,000 บาท และบวกค่าแรงที่ค้างจ่าย 1 วัน ที่ฝ่ายนายจ้างเสนอมา เพราะคนงานกลัวที่จะไม่ได้อะไรเลยจากบริษัท

นางจิต  จิตใจดี (นามสมมุติ) กล่าวว่า “ทำงานมา 26 ปีแล้ว  จะไปหาสมัครงานที่ไหนเค้าก็ไม่รับหรอกอายุเยอะแล้ว และป้าก็ไม่อยากทำงานที่อื่น ป้าอยู่โรงงานนี้มานานแล้ว ป้ารักโรงงานนี้นะ ป้าก็ยังอยากทำงานที่นี่อยู่ ป้าจะรอจนกว่าเค้าจะเปิดทำงานนั้นแหละ อีก2-3 ปี ป้าก็จะเกษียนแล้ว เสียใจนะที่โรงงานเค้าไม่รับผิดชอบพวกป้าเลย พวกเราทุ่มเททำงานให้เค้า แต่เวลานี้เค้าไม่ดูแลพวกเราบ้างเลย ป้าเดือดร้อน ค่าเช่าห้องยังไม่จ่ายผลัดเค้ามา 2 เดือนแล้ว ไหนลูกจะต้องไปโรงเรียนอีก ต้องไปกู้ยืมเงินเค้ามาใช้ในช่วงนี้ ดอกเบี้ย ร้อยละ 7 บาทต่อเดือน เงินซื้อกับข้าวแต่ละวันก็ไม่ค่อยจะมี คอยไปขอเค้าตามที่เค้ามาแจก ก็ไม่ค่อยได้ เพราะต้องใช้ทะเบียนบ้าน ป้ามันคนต่างจังหวัดก็ไม่ได้ตามเคย”

อีกหนึ่งเสียงสะท้อน  “เสียใจ น้อยใจ เวลาที่เค้าลำบากเราก็ช่วยเค้า แต่เวลานี้ เค้าไม่คิดที่จะดูแลเราบ้าง ตอนก่อนที่น้ำจะท่วมพวกเราต่างช่วยกันขนกระสอบทรายไปทำแนวกั้นน้ำให้ เวลาที่พนักงานลำบาก ไม่มีรายได้ บริษัทฯกลับไม่คิดจะดูแลเราเลย” นางสาวกาเหว่า เสรีนิยม (นามสมมุติ) อายุประมาณ50ปี ทำงานมากว่า 13 ปี

กรรมการสหภาพแรงงานรายหนึ่งกล่าวว่า “ตนเองเหมือนเป็นคนงานที่ไร้ค่า ไร้ฝีมือ เงินที่บริษัทยื่นให้จำนวน 2,000 บาท และบวกค่าแรงที่ค้างจ่ายแค่ 1 วัน ถึงเป็นจำนวนไม่มาก แต่มันจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา ถึงแม้ไม่เพียงพอแต่ลูกจ้างอย่างเราจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเค้าบอกไม่มีเค้าให้ได้แค่นี้ เราก็ต้องรับไว้ เพราะเราต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่อไป หวังว่าบริษัทฯจะนำไปพิจารณาใหม่และช่วยเหลือลูกจ้างที่เค้าทุ่มเททั้งแรง กาย แรงใจ ทำงานให้นายจ้างอย่างเต็มที่”

อนึ่ง ก่อนหน้านี้มีบันทึกช่วยจำระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างของบริษัท ไดนามิค ลงวันที่ 3 ธันวาคม 54  ทำขึ้น ณ บริษัท ไดนามิค โปรโมชั่น (บันทึกช่วยจำ ลงวันที่ 3 ธันวาคม 54 บันทึก ณ บริษัท ไดนามิค)

อัยยลักษณ์ เหล็กสุข นักสื่อสารแรงงาน รายงาน

(voicelabour, 12-12-2554)

พนักงาน บ. ISCM ร้องจ่ายค่าจ้าง-เงินชดเชย

พนักงานบริษัท ISCM จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในนิคมอุสาหกรรมนวนคร ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กว่า 200 คน ชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้าสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ปทุมธานีเพื่อเรียกร้องให้ทางบริษัทจ่ายค่าจ้างและเงินชดเชย หลังทางโรงงานได้ขนย้ายเครื่องจักรไปผลิตที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้พนักงานไม่พอใจกลัวถูกลอยแพ

อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีตัวแทนบริษัท ISCM ฯ พร้อมด้วยนายอำนวย งามเนตร นักวิชาการชำนาญการ จากกระทรวงสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตลอดทั้งตัวแทนพนักงานอีก 5 คนเข้าเจรจาที่ห้องประชุม ตั้งแต่ 11.00น.-17.00 น. ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องดั่งกล่าว

ขณะที่น.ส.บุญมี เกิดปาน พนักงงานโรงงาน กล่าวว่า การรวมตัวประท้วงครั้งนี้เนื่องจากไม่พอใจที่นายจ้างยังค้างค่าแรงและเงินชด เชย หลังจากบริษัทดังกล่าวได้ขนย้ายเครื่องจักรไปประเทศมาเลเซีย ทำให้หวั่นว่าจะถูกลอยแพไม่ได้รับเงินค่าจ้างและเงินชดเชย

นอกจากนี้มีรายงานว่าโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในนิคมอุสาหกรรมนวนคร บางรายต้องปิดตัวลงชั่วคราว พร้อมจ่ายเงินชดเชยให้พนักงาน นอกจากนี้หากฟื้นฟูโรงงานเรียบร้อยก็จะเรียกตัวพนักงานเหล่านี้กลับเข้ามาทำ งานอีกครั้ง

(โพสต์ทูเดย์, 13-12-2554)

เจโทรยันเอกชนญี่ปุ่นไม่ย้ายฐานจากประเทศไทย

14 ธ.ค. 54 - ผู้แทนองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นเข้าพบ รมว.แรงงานไทย ยืนยันจะไม่ย้ายการลงทุนออกจากประเทศไทย ส่วนกรณี “ซันโย” ที่เลิกจ้างแรงงานไทยและเตรียมย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เพราะมีแผนล่วงหน้าไว้แล้ว

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังนายเซสึโอะ อิฟูจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ประจำประเทศไทย เข้าพบว่า ผู้แทนองค์การฯ มาแสดงความมั่นใจในส่วนของภาคเอกชนญี่ปุ่นที่จะลงทุนประกอบกิจการในเมืองไทย 100เปอร์เซ็นต์

ส่วนกรณีบริษัท ซันโย เซมิคอนดักเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีการเลิกจ้างแรงงานและเตรียมย้ายฐานการผลิตนั้น เป็นคนละส่วนของบริษัทญี่ปุ่น เพราะซันโยถูกซื้อกิจการไปโดยบริษัทของอเมริกาและมีแผนย้ายการผลิตล่วงหน้า ไว้แล้ว และทางผู้แทนองค์การฯ ยังแสดงความต้องการแรงงานไทยไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับสถานประกอบการในไทย โดยมีระยะเวลาฝึกงานนานกว่าปกติถึง 6 เดือน

ขณะเดียวกัน เตรียมจัดงานจ๊อบส์แฟร์ในเดือนมกราคมปีหน้า โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกจ้างในสถานประกอบการที่ถูกน้ำท่วมและถูกเลิกจ้าง ไปประมาณ 11,000 คน เพื่อไปทำงานในสถานประกอบการที่ไม่ประสบน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคอีสาน พร้อมยืนยันว่ามีความพร้อมที่จะรองรับแรงงานจำนวนนี้ที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมด

(สำนักข่าวไทย, 14-12-2554)

ขู่บริษัทลักไก่เลิกจ้างชั่วคราว ฟันแน่เบี้ยวค่าแรง

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานจะเข้าไปดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทที่เลิกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราวแล้วจะกลับมาจ้างอีกครั้ง ภายหลังจากที่สามารถประกอบกิจการได้ ซึ่งมองว่าการเลิกจ้าง หรือไม่จ่ายค่าจ้างชั่วคราว เท่ากับว่าเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างจะเลิกจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องจ่ายชดเชยให้กับลูกจ้างทันที ถ้าหากมีการเลิกจ้าง ไม่จ่ายค่าจ้างและอ้างว่าจะกลับมาจ้างใหม่ภายหลังประกอบกิจการได้แล้ว รัฐบาลมีสิทธิที่จะใช้กฎหมายเข้าไปจัดการดูแลให้เกิดความเป็นธรรมต่อลูกจ้าง

ส่วนกรณีที่บริษัท ซันโย เซมิคอนดักเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมถอนการลงทุนจากสวนอุตสาหกรรมโรจนะไปฟิลิปปินส์ มองว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องเกิดอุทกภัยก็มีโอกาสที่นักลงทุนจะไปลงทุนที่อื่น ขณะเดียวกันการลงทุนในไทยก็เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันกว่า 99% ยังไม่ย้ายการลงทุนไปไหน ขณะที่ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตมีความกังวลว่าแรงงานอาจจะไม่เพียงพอ

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน กล่าวถึงผลการประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 15 ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ว่าได้เดินทางไปชี้แจงถึงสถานการณ์น้ำท่วมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคแรงงาน ซึ่งต่างชาติได้สอบถามเรื่องการเลิกจ้างแรงงาน เนื่องจากน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลให้แรงงานได้รับผลกระทบกว่า 9 แสนคน ตนชี้แจงว่ากระทรวงแรงงานมีมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทำให้จนถึงขณะนี้มีแรงงานที่ตกงานเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น หลังจากที่ได้ชี้แจงสถานการณ์และแนวทางการช่วยเหลือแล้ว ปรากฏว่าได้รับผลในเชิงบวก ต่างชาติมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่น

ด้านนายสุพัฒน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยถึงผลกระทบของผู้ประกอบการหลังประสบน้ำท่วม ว่า ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกสมาพันธ์ฯ จำนวน 1,500 รายใน 7 สมาคม ได้รับผลกระทบอย่างหนัก มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นมากกว่า 1,000 ล้านบาท จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาเยียวยาช่วยเหลือด้านเงินทุนหมุนเวียน โดยหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และมีเงื่อนไขน้อย เพื่อให้ผู้ประกอบการฟื้นฟูกิจการได้ ซึ่งเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางสมาพันธ์ฯ ได้ยื่นเรื่องดังกล่าวให้รัฐบาลผ่านนายกิตติรัตน์ ด้วยการเสนองบประมาณของเงินกู้ไว้ 5,000 ล้านบาท

นายสุพัฒน์ กล่าวว่า ต้องการเห็นความช่วยเหลือที่ชัดเจนของรัฐบาลไม่เกินเดือนม.ค.2555 เพราะหากนานกว่านั้นเชื่อว่าจะต้องเห็นผู้ประกอบการปิดกิจการแน่นอน และมีแรงงานตกงานเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันสมาชิกสมาพันธ์ฯ 1,500 ราย มีแรงงานอยู่ 3 แสนราย แต่หากรวมผู้ประกอบการที่ไม่เป็นสมาชิกสมาพันธ์ฯ อีกกว่า 1,500 ราย จะมีแรงงานรวมกว่า 1 ล้านคน ขณะที่มูลค่าของอุตสาหกรรมของสมาชิกรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งในปีนี้อุตสาหกรรมติดลบถึง 6% จากวิกฤตที่เกิดขึ้น

(ข่าวสด, 14-12-2554)

แรงงานถูกเลิกจ้าง 1.2 หมื่น ขณะที่กว่า 5.5 แสนกลับเข้าทำงานตามปกติ

ก.แรงงาน 13 ธ.ค.- รมว.แรงงาน เผยแรงานถูกเลิกจ้างแล้ว 1.2 หมื่นคน ขณะที่กว่า 5.5 แสนคนกลับเข้าทำงานตามปกติโดยไม่ขอรับความช่วยเหลือจากรัฐ ระบุมีแรงงานกว่า 2.2 แสนคน ขอเข้าโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง เชื่อเดือนกุมภาพันธ์ สถานการณ์จะดีขึ้น พร้อมแจงนานาชาติในการประชุมไอแอลโอ ที่ญี่ปุ่น เชื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์ด้านแรงงานภายหลังน้ำลดว่า ล่าสุดมีแรงงานกว่า 5.5 แสนคน จากจำนวนทั้งหมดกว่า 9.9 แสนคน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ สามารถกลับเข้าทำงานตามปกติแล้ว โดยไม่ได้ขอรับการช่วยเหลือใด ๆ จากทางรัฐบาล ขณะที่แรงงานอีกกว่า 2 แสนคน จากสถานประกอบการ 347 แห่ง ได้เข้าร่วมโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง โดยรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาท แลกกับการที่สถานประกอบการ จ่ายค่าแรงให้คนงานร้อยละ75 และมีเงื่อนไขต้องไม่เลิกจ้างคนงานภายใน 3 เดือน

ส่วนคนงานที่เหลืออีก 1.8 แสนคน ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ในจำนวนนี้เป็นผู้ถูกเลิกจ้างจำนวน 1.2 หมื่นคน จากสถานประกอบการ 45 แห่ง  คาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2555 สถานการณ์แรงงานจะดีขึ้นกว่าร้อยละ 90 และสามารถเข้าสู่ภาวะปกติภายในสิ้นปี

นายเผดิมชัย กล่าวว่า ในการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ครั้งที่ 15 ซึ่งตนได้เดินทางไปร่วมประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นานาชาติได้แสดงความห่วงใย ถึงวิกฤตการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศ รวมถึงปัญหาการเลิกจ้าง ซึ่งตนได้มีโอกาสชี้แจงให้นานาประเทศเข้าใจถึงสภาพปัญหาทั้งหมด รวมถึงแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เชื่อว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติในอนาคต โดยเฉพาะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นที่แสดงท่าทีเชื่อมั่นอย่างชัดเจนว่าไทยจะ สามารถฟื้นฟูประเทศได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีท่าทีจะย้ายฐานการผลิตแต่อย่างใด ส่วนการเลิกจ้างคนงานของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย (บริษัท ซันโย )ในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นกรณีเฉพาะที่บริษัทดังกล่าวมีแผนในการย้ายฐานการผลิตเดิมอยู่แล้ว

(สำนักข่าวไทย, 13-12-2554)

เมืองย่าโมนำร่องคัดเลือกแรงงานบินฝึกฝีมือญี่ปุ่น

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการเดินทางไปร่วมประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสหารือกับประธาน IM Japan ถึงแนวทางการส่งแรงงานไทยไปฝึกงานตามโครงการ IM โดยขอกระจายการรับสมัครแรงงานไปยังภูมิภาคจากที่เปิดรับอยู่แต่ในกรุงเทพฯ โดยจะเริ่มนำร่องที่จังหวัดนครราชสีมา และประธาน IM ประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางมาประชาสัมพันธ์โครงการด้วยตัวเองในวันที่ 17 ธ.ค. นี้ ซึ่งผู้ที่ผ่านการฝึกงานครบ 3 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจาก JITCO และ IM และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพอีก 600,000 เยน หรือประมาณ 210,000 บาท

นายเผดิมชัยยังกล่าวถึงระบบการฝึกงานของ JITCO ประเทศญี่ปุ่น ว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนไทยในการพัฒนาทักษะทางอาชีพ การเข้าฝึกงานภายใต้โครงการ JITCO เป็นการช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ผู้ฝึกงานที่สำเร็จจากโครงการดังกล่าวนับเป็นกำลังสำคัญของบริษัทเหล่านี้ รวมถึงเป็นกำลังสำคัญของภาคอุตสาหกรรมของไทย

“ที่ผ่านมามีผู้เข้ารับการอบรมน้อย เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน จึงได้หารือเพื่อขอขยายอายุผู้เข้าอบรมจากเดิม 20-30 ปี เป็น 20-35 ปี ทั้งนี้ ก่อนเดินทางไปฝึกอบรมในญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวด้วยการเรียนภาษาญี่ปุ่นและ เรียนรู้การดำรงชีวิตในญี่ปุ่นก่อน ซึ่งไทยและญี่ปุ่นเห็นตรงกันว่าควรมีองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรเป็นผู้ดำเนิน การเรื่องนี้”

(โลกวันนี้, 15-12-2554)

ศธ.เฟ้น 35 แรงงานช่างให้ออสซี่ เงินเดือนหลักแสน-เร่งหาคนมีฝีมือส่ง พ.ค.55

น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดศธ. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และคณะผู้แทนจากดินแดนนอร์ทเทิร์น เทอร์ริทอรี่ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกันจัดโครงการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ออสเตรเลีย โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาแรงงานไทยที่มีทักษะ และความชำนาญไปทำงานที่ดินแดนนอร์ทเทิร์น เทอร์ริทอรี่ โดยเฉพาะด้านช่างโลหะ ช่างก่อสร้าง และช่างไม้ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุด ศธ.หารือกับผู้แทนออสเตรเลียแล้ว ออสเตรเลียสนใจแรงงานไทยที่มีฝีมือประมาณ 35 ตำแหน่ง และต้องมีทักษะทางภาษาอังกฤษ โดยจะต้องสอบไอเอล (IELTS) หรือการสอบภาษาอังกฤษที่ใช้ในการศึกษาต่อต่างประเทศ ในระดับ 5 ซึ่งต้องห่วงในเรื่องนี้มาก โดยมีสัญญาในการทำงาน 1-4 ปี มีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท และสามารถนำครอบครัวไปอยู่ด้วยได้ หากมีบุตรก็จะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาจนจบชั้น ม.6 ตนอยากได้คนที่ตั้งใจ มีความสม่ำเสมอ เพราะเป็นโครงการครั้งแรก จึงไม่ต้องการให้เสียชื่อเสียงประเทศ

ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า แรงงานไทยที่จะเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นนักเรียน นักศึกษา นักศึกษาที่เรียนจบไปแล้ว เป็นแรงงานฝีมือที่มีความประพฤติดี และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการประเมินทักษะ 3 ขั้นตอน คือ 1.การประเมินผลเบื้องต้นทางเว็บไซต์ 2.การประเมินผลโดยข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ 3.การทดลองปฏิบัติงานจริงต่อหน้าผู้ว่าจ้างงานจากออสเตรเลีย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นผู้พิจารณาและคัดเลือก โดยเริ่มตั้งแต่เดือนธ.ค.นี้ ถึง 31 ม.ค.2555 หลังจากนั้น ศธ.จะจัด ฝึกอบรมวัฒนธรรมความเป็นอยู่ และจัดสอบภาษาอังกฤษ ก่อนที่จะทดลองปฏิบัติงานจริงต่อผู้ว่าจ้าง จนกระทั่งส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ในเดือน พ.ค.2555

(ข่าวสด, 15-12-2554)

สปส.รื้อระบบจ่ายค่ารักษาโรคร้ายแรงใหม่ แก้ปัญหา รพ.ปฏิเสธการรักษา

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบประกันสังคมให้เป็นรูปแบบ ใหม่ตามกลุ่มโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคไต โรคปอด ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่เป็นเครือข่ายประกัน สังคมกว่า 2,000 แห่งได้ฟรี โดยไม่ต้องสำรองจ่าย เนื่องจากทางสถานพยาบาลจะไปเบิกค่ารักษาตรงที่ สปส. ขณะเดียวกันผู้ประกันตนยังสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนอกเครือข่าย ประกันสังคม รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนได้ด้วย แต่ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากค่ารักษากลางของแต่ละกลุ่มโรค ผู้ประกันตนต้องรับผิดชอบเอง โดย สปส.ได้จัดสรรงบประมาณปี 2555 รองรับไว้จำนวน 4,460 ล้านบาท

“ปัจจุบันมีผู้ประกันตนส่วนหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคไตและต้องเสียค่ารักษาจำนวนมาก เมื่อเข้ารักษาโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม จะมีปัญหาในเรื่องไม่ยอมส่งต่อผู้ป่วยเพราะกังวลเรื่องงบค่ารักษาพยาบาล จึงเชื่อว่าระบบจ่ายค่ารักษาตามกลุ่มโรคร้ายแรงจะช่วยแก้ปัญหากรณีดังกล่าว ได้ ขณะที่งบประมาณกว่า 4,400 ล้านบาทเป็นงบก้อนแรกเท่านั้น หากต้องใช้งบเพิ่มขึ้นก็สามารถเพิ่มเติมได้อีก” นายเผดิมชัย กล่าว

ด้าน นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานบอร์ดประกันสังคม กล่าวว่า ปัจจุบัน สปส.จัดงบรักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในรูปแบบเหมา จ่ายรายหัวครอบคลุมทุกโรค โดยในปี 2554 จัดงบไว้ในอัตราคนละ 2,050 บาท แต่ในปี 2555 ได้ปรับรูปแบบเป็นจ่ายตามกลุ่มโรคทำให้งบรายหัวซึ่งเป็นงบรักษาโรคทั่วไปลด ลงเหลือ 1,955 บาท และได้หักเงินค่าความเสี่ยงในรักษาโรคคนละ 400 บาท มาตั้งเป็นงบกลางเพื่อใช้ในการรักษาโรคร้ายแรง วิธีจ่ายจะคำนวณตามน้ำหนักระดับความรุนแรงของโรคซึ่งมีระดับตั้งแต่ 2-40 โดยเริ่มต้นระดับละ 15,000 บาทและสูงสุด 600,000 บาทต่อราย  

นพ.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกันตนอยู่ประมาณ 10.5 ล้านคน และใช้งบค่ารักษาพยาบาลปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท เฉลี่ยผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมคน ละประมาณ 3 ครั้งต่อปี และป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ประมาณ 200,000 คน แต่โรคร้ายแรงต้องเสียค่ารักษาสูงมากจึงเชื่อว่าการปรับระบบจ่ายค่ารักษา พยาบาลรูปแบบใหม่จะทำให้โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมและผู้ประกันตนได้รับ ประโยชน์และพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย เพราะผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็จะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ประกันสังคมก็ลดภาระความเสี่ยงในการรักษาโรค ร้ายแรงและไม่ต้องกังวลเรื่องงบฯ การรักษาหากจะส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมในการรักษาสูงกว่า จากนี้ สปส.จะจัดทำบัญชีกลุ่มโรคร้ายแรงและโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษา โรคร้ายแรงแต่ละโรคใส่ในเว็บไซต์ของประกันสังคม www.sso.go.th หรือสายด่วน 1506 เพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ในเร็วๆ นี้

(สำนักข่าวไทย, 14-12-2554)

เผยผลวิจัยตลาดแรงงานปี 54 คนมองหางาน "ไอที บัญชี และการตลาด" มากที่สุด

15 ธ.ค. 54 – ที่ห้องประชุม ชั้น 5 จามจุรีเรซิเดนซ์ กรุงเทพฯ มีการจัดงานเปิดตัว “คู่มือฐานเงินเดือน (Adecco Salary Guide) ประจำปี 2555” และ ผลวิจัย “บริษัทในฝันของคนทำงาน” และ “ลักษณะคนทำงานที่องค์กรต้องการ” โดยกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลแบบครบวงจร

ข้อมูลสรุปสถานการณ์ตลาดแรงงานประจำปี 2554 พบว่าตลาดแรงงานโตขึ้นอย่างน้อย 20% โดยตลาดแรงงานมีความต้องการคนทำงานเพิ่มมากขึ้นเกือบทุกสายอาชีพ และคาดว่าตลาดยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า สายงานขาย วิศวกร ไอที ยังครองแชมป์หาคนมากที่สุดในตลาดแรงงาน ส่วนตำแหน่งรองมาจะอยู่ในกลุ่มสายงานบัญชี การเงิน บุคคล และการตลาด ส่วนกลุ่มธุรกิจที่มองหาคนมากที่สุด คือ กลุ่ม Trading กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มงานบริการ และกลุ่มพลังงาน ฯลฯ

ส่วนตำแหน่งที่คนทำงานมองหามากที่สุด คือ ไอที บัญชี และการตลาด ซึ่งในปี 2554ที่ผ่านมามีผู้สมัครงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกสายอาชีพ ยกเว้นบางสายอาชีพที่มีคนหางานลดลง ได้แก่ งานธุรการ บุคคล การเงิน การตลาด การขาย และโลจิสติกส์ อาจเห็นได้ว่าตำแหน่งการตลาดเป็นตำแหน่งที่คนทำงานมองหามากที่สุด แต่ยังมีจำนวนลดลงจากปีที่ผ่านมา อาจเนื่องจากเพราะเป็นตำแหน่งงานยอดนิยมที่คนทำงานมองหา ทำให้เกิดการแข่งขันสูง เป็นผลให้จำนวนผู้สมัครงานลดลง

แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานในปี 2555 คาดว่ายังคงมีอัตราการความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบางสายอาชีพยังคงมองหาผู้สมัครมาเติมเต็มตำแหน่งงานว่างในตลาด อยู่ เช่น งานออกแบบตกแต่ง งานขาย งานบุคคล งานบัญชี ธุรการ ลูกค้าสัมพันธ์ รวมถึงงานในกลุ่มสายอาชีพเทคนิคและสายงานโรงงานด้วย

ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศ กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย กล่าวว่า จากภาพตลาดแรงงานโดยรวมเห็นได้ว่าในปีนี้และปีหน้า คาดว่าตลาดแรงงานจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยบริษัทอเด็คโก้เป็นตัวกลางระหว่างคนทำงาน และบริษัทผู้จ้างงาน จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของคนทั้งสองกลุ่ม จึงได้จัดทำการสำรวจตลาดในหัวข้อ “บริษัทในฝันของคนทำงาน” และ “ลักษณะคนทำงานที่องค์กรต้องการ” เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและพื้นฐานเบื้องต้นที่แต่ละฝ่ายต้องการ ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อคนทำงาน คือ ชื่อเสียงขององค์กร ลักษณะงานน่าสนใจ และมีบรรยากาศในการทำงานที่ดี โดยมีความต้องการด้านผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหากต้องการเปลี่ยนงานที่ 20% และจะทำงานอยู่กับบริษัทหนึ่งเป็นเวลาเฉลี่ย 3- 5 ปี ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อองค์กรในการรับคนเข้าทำงาน คือ ความรู้/ ความสามารถ ลักษณะของงาน และการสร้างบรรยากาศในการทำงาน โดยมีค่าตอบแทนเฉลี่ยที่สามารถให้เพิ่มขึ้นได้จากงานเดิมคือ 5-10% และคาดว่าพนักงานจะทำงานอยู่กับองค์กรเป็นเวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 3 ปี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากงานวิจัยฉบับเต็ม) พร้อมกันนี้ อเด็คโก้ยังได้เปิดตัว “คู่มือฐานเงินเดือน ประจำปี 2555” เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนทำงาน ผู้ที่กำลังมองหางาน หรือองค์กรต่างๆ โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดผลวิจัยทั้ง 2 ฉบับ (ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) และคู่มือฐานเงินเดือนได้ฟรี ผ่านทางเวบไซด์ของบริษัทอเด็คโก้ (www.adecco.co.th)

(ประชาไท, 15-12-2554)

มหาชัยจ้างแรงงานฟื้นฟูเมือง

นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุส สรณ์ ผู้ช่วยรมว.แรงงาน เปิดเผยว่า จ.สมุทร สาครต้องประสบกับอุทกภัยมานานเดือนเศษ และเมื่อน้ำลดลงจนแห้งสนิทแล้ว เพื่อให้หมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่ของจังหวัดกลับมาสวยงาม สะอาด และน่าอยู่อาศัยอีกครั้ง ในโอกาสนี้ทางกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้สำนักงานแรงงานสมุทรสาคร จัดทำโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (เฉพาะหน้า)

โดยสนับสนุนงบ 1.7 ล้านบาท มาจ้างแรงงานให้ทำความสะอาดตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งได้จัดจ้างแรงงานทั้งสิ้น 1,200 คน พร้อมอุปกรณ์เพื่อลงพื้นที่ทำความสะอาดร่วมกับชาวบ้านในแต่ละชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นโครงการช่วยเหลือราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่น้ำท่วมขังที่เข้าร่วม กิจกรรมให้มีรายได้ชั่วคราวในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ

อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยเหลือนักเรียนและราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำ ท่วมขังให้สามารถเดินทางไปกลับและปฏิบัติภารกิจจำเป็นได้โดยสะดวก นอกจากนี้ยังเพื่อเป็นการกำจัดขยะในพื้นที่ชุมชน ป้องกันการเกิดโรคติดต่อและช่วยให้ชุมชนกลับสู่สภาพปกติมีความสะอาดหลังน้ำ ลด

(ข่าวสด, 16-12-2554)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>