ระบบศาลและคุกในประเทศไทยเป็ นระบบป่าเถื่อนที่ล้าหลังกว่ ามาตรฐานสากลหลายร้อยปี และเป็นที่น่าอับอายขายหน้ าชาวโลก แต่การที่ชนชั้นปกครองไทยไม่ เคยสนใจที่จะสร้างวัฒนธรรมพลเมื องเสรี และไม่เคยเคารพความเป็นมนุษย์ ของประชาชน เพราะมัวแต่มองว่าประชาชนเป็ นเพียง “ราษฎร” ที่ควรจะเจียมตัวยอมรั บการปกครองจากเบื้องบน ทำให้ชนชั้นปกครองไทยไร้จิตสำนึ กโดยสิ้นเชิงในการพั ฒนาระบบศาลและคุก
สำหรับฝ่ายประชาชนเอง ซึ่งเจ็บปวดกับสภาพสั งคมในหลายด้าน ก็ถูกข่มขู่ ฆ่าหรือขัง เมื่อลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิเสรี ภาพ พร้อมกันนั้น ในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย และแม้แต่แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็ไม่เคยสนใจเรื่องระบบยุติธรรม และในกรณีพรรคเพื่อไทยมี การจงใจแช่แข็งความป่าเถื่อนผ่ านการจับมือกับทหารอีกด้วย
อย่างไรก็ตามการตื่นตัวของพลเมื อง ทั้งเสื้อแดงบางส่วน และคนที่ไม่สังกัดสีอีกส่วน ภายใต้กระแสนิติราษฎร์ และการแก้ไขกฎหมาย 112 แสดงว่าพลเมืองไทยไม่น้อยพร้ อมที่จะเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสั งคมอย่างจริงจัง ดังนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ จะมาร่วมกันพิจารณาปัญหาความป่ าเถื่อนของระบบศาลและคุ กในประเทศไทย เพราะสภาพความย่ำแย่ของระบบ “ยุติธรรม” และสภาพคุกในไทย ถูกเปิดโปงจากวิกฤตทางการเมือง
โดยรวมแล้วปัญหาของระบบศาลและคุ กไทย สามารถแบ่งเป็นหัวข้อสำคัญๆ ดังนี้คือ
1. ผู้พิพากษาเป็นเครื่องมือของผู้ มีอำนาจในระบบเผด็จการมาตลอด และไม่สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ และตรวจสอบโดยประชาชน ตามกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อการสร้างความโปร่ งใสและความเป็นธรรม เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการแต่งตั้ งผู้พิพากษาและการมองว่าเขาไม่ ใช่เจ้าหน้าที่ที่ต้องได้รั บการตรวจสอบจากสังคม มีการใช้ “กฎหมายหมิ่นศาล” ในลักษณะเดียวกับกฎหมาย 112 เพื่อบังคับกีดกันไม่ให้ใครวิ จารณ์คำตัดสิ นของศาลและกระบวนการของศาล แต่ในหลักสากล “การหมิ่นศาล” มีความหมายต่างออกไปคือ คนที่ “หมิ่นศาล” เป็นเพียงคนที่ไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งศาลเท่านั้น ส่วนใครจะวิจารณ์ผู้พิพากษา การตัดสินของศาล หรือกระบวนการของศาล ทุกคนทำได้อย่างเสรี ตามสิทธิในระบบประชาธิปไตย
นอกจากนี้ในระบบศาลไทย พลเมืองธรรมดาไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะไม่มีระบบลูกขุนที่คัดเลื อกจากประชาชนโดยไม่เลือกหน้า ระบบลูกขุนและการมีส่วนร่ วมของพลเมือง มีความสำคั ญในการคานอำนาจความอคติของผู้พิ พากษา ลูกขุนมีสิทธิ์ตัดสินว่าผู้ต้ องหาผิดหรือไม่ ส่วนผู้พิพากษามีหน้าที่ชี้ แจงประเด็นกฎหมาย และลงโทษผู้ที่ถูกตัดสินว่ ากระทำความผิด ระบบนี้เป็นระบบที่ขยายพื้นที่ ประชาธิปไตยเข้าสู่ระบบศาล
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนั กโทษการเมือง ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย นักโทษการเมืองคือคนที่ติดคุกอั นเนื่องมาจากการแสดงความเห็ นทางการเมือง โดยที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงแต่ อย่างใด นี่คือบทพิสูจน์ว่าทั้งศาล คุก และกฏหมายไทย รับใช้ผู้มีอำนาจเผด็จการ
2. ผู้พิพากษา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศาล ไร้ความเคารพต่อพลเมืองที่เข้ ามาเกี่ยวข้องกับระบบศาลโดยสิ้ นเชิง โดยมองว่าประชาชนเหล่านั้นเป็ นคนชั้นต่ำที่ “ย่อมทำความผิด” ผู้พิพากษา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศาล ไม่เคยมองว่าตนควรจะบริการรั บใช้ประชาชนแต่อย่างใด
บ่อยครั้งเจ้าหน้าที่ดังกล่ าวจะใช้ท่าทีเหยียดหยามดูหมิ่ นประชาชน มีหลายกรณีที่ผู้พิพากษาไม่ ยอมลงมาตัดสินคดีในห้องศาล ผู้ต้องหาจึงต้องคุยกับผู้พิ พากษาผ่านโทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งเป็นการกีดกันระบบยุติ ธรรมและสิทธิเสรีภาพในการชี้ แจงข้อมูลให้ผู้พิพากษาอย่างเต็ มที่ ในกรณีอื่นผู้พิพากษาบังอาจใช้ เสียงในการอ่านคำตัดสินคดีค่ อยเกินไป จนผู้ต้องหาและประชาชนทั่วไปไม่ มีสิทธิที่จะรับฟัง ซึ่งขัดกับกระบวนการยุติธรรมพื้ นฐาน
มีหลายกรณีที่ผู้ต้องหาถูกขั งไว้ในรถขังนักโทษกลางแดดหลายชั่วโมง มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ ศาลจงใจกลั่นแกล้งผู้ที่ จะมาประกันผู้ต้องหา เพื่อให้ “นักประกันธุรกิจ” ได้ประโยชน์จากความทุกข์ ของประชาชน
ในกรณีคดี 112 ประชาชนทั่วไปไม่สามารถร่วมพิ จารณาคดีได้ และไม่สามารถตรวจสอบความเที่ ยงตรงของศาลได้ เพราะสื่อจะถูกห้ามไม่ให้ รายงานรายละเอียดของคดีทุกครั้ง
3. ระบบศาลในไทย ไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานที่ถื อว่าผู้ต้องหาทุกคนบริสุทธิ์ก่ อนที่จะมีการตัดสินคดี ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ระบุไว้เป็ นนามธรรมในรัฐธรรมนูญ ศาลไทยมอง “ผู้ต้องหา” ว่า “ผิดแต่แรก” โดยเฉพาะคดีการเมืองเช่น 112 ไม่มีการประกันตัว พร้อมกันนั้นมีการกีดกันไม่ให้ คนจนในคดีธรรมดาสามารถได้รั บการประกันตัว เพราะต้องหาหลักประกันสูงเกินไป สรุปแล้วผู้ที่ควรจะถูกมองว่ าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ก่อนตัดสินคดี ถูกคุมขังเป็นเวลานานโดยไม่เป็ นธรรม
การที่รัฐบาลไทยรักไทยในอดี ตเคยสั่งให้เจ้าหน้าที่ฆ่าผู้ต้ องสงสัยว่าค้ายาเสพติด ก่อนที่จะนำมาขึ้นศาล เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่ างมหาศาล เพราะขัดกับหลักการณ์ที่ถือว่ าผู้ต้องหาทุกคนบริสุทธิ์ก่อนที่จะมีการตัดสินคดี
การที่ทหารและนักการเมืองสั่งฆ่ าประชาชน โดยใช้ข้อแก้ตัวว่าเขาเป็นพวก “ล้มเจ้า” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” โดยไม่มีการนำมาขึ้นศาลก่อน ถือว่าขัดกับหลักการณ์ที่ถือว่ าผู้ต้องหาทุกคนบริสุทธิ์ก่อนที่จะมีการตัดสินคดี
นอกจากนี้มีปัญหาใหญ่ในเรื่ องการล่ามโซ่และการบังคับใส่ชุ ดนักโทษ
4. การล่ามโซ่และบังคับให้ผู้ต้ องหาที่อยู่ในขั้นตอนก่อนตัดสิ นคดี ต้องแต่งชุดนักโทษ เป็นการละเมิดมาตรฐานยุติธรรมพื้นฐาน เพราะคนเหล่านี้ควรได้รับการพิ จารณาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ผู้ต้องหาเหล่านี้ต้องเข้ าไปในห้องศาลในสภาพแบบนั้น แทนที่จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ าของตนเองและปราศจากโซ่ เป็นการสร้างภาพในห้องศาลว่ าคนนี้เป็น “ผู้ร้าย” ซึ่งแน่นอนจะมีผลต่อการตัดสิ นคดี นอกจากนี้การล่ามโซ่เป็นการปฏิ บัติแบบป่าเถื่อน ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุ ษย์ และทำให้ไทยล้าหลั งประเทศอารยะทั้งหลายในโลก เพราะปฏิบัติต่อนักโทษเหมือนสมั ย “ยุคกลาง”
5. ในระบบศาลและคุกไทย และในสังคมไทยโดยรวม ไม่มีการมองถึง “สิทธิมนุษยชน” ของนักโทษที่ได้รับการตัดสินคดี ไปแล้ว แต่อย่างใด การปฏิบัติต่อนักโทษจึงขาดแง่ ของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็ นมนุษย์โดยสิ้นเชิง เรื่องนี้เป็นผลพวงของสังคมที่ คลั่งลำดับชนชั้น โดยที่ผู้น้อยต้องคลานหรือก้มหั วเมื่อเข้าไปหาผู้ใหญ่ คนที่เป็นนักโทษอาจทำความผิ ดไปแล้ว ตามกฏหมายของสังคม แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ ใช่มนุษย์ ทุกคนสามารถผิดพลาดได้ แต่สำหรับประชาชนตาดำๆ ธรรมดา การทำอะไรผิดกฏหมายกลายเป็นเงื่ อนไขที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนกั บว่าเขาเป็นแค่สัตว์
6. สภาพคุกไทย แย่พอๆ กับสภาพกรงสัตว์ ไม่มีการคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ แต่อย่างใด และเราจะสังเกตได้ว่าในทุ กประเทศของโลก สภาพคุกเป็นเครื่องชี้วัดถึ งความอารยะหรือความป่าเถื่ อนของสังคม มันเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้ าที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสั งคมป่าเถื่อนของโลก มีการให้นักโทษติดโซ่นอนถึ งสามสิบคนต่อห้องเดียว บางครั้งไม่มีเตียง สภาพห้องน้ำย่ำแย่ อาหารก็แย่ ไม่มีห้องสมุด ไม่มีวิธีการออกกำลังกายที่สร้ างสรรค์ ไม่มีโอกาสที่จะฝึกฝนพั ฒนาตนเองอย่างจริงจัง และเจ้าหน้าที่คุกก็เต็มไปด้ วยพฤติกรรมคอร์รับชั่น นอกจากนี้สังคมไทยใช้นั กโทษในการทำงานขุดโคลนออกจากท่ อระบายน้ำ ซึ่งเป็นงานสกปรก อันตราย และขาดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
7. คุกไทยเต็มไปด้วยคนจน ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีคดีประเภท “ลักขโมย” หรือคดียาเสพติด สังคมไทยไม่มีการถกเถียงและพิ จารณาว่ามีระบบคุกไว้ทำไม คือเพื่อแก้แข้น? เพื่อลงโทษ? หรือเพื่อปกป้องสังคมจากคนอั นตราย? และไม่มีการพิจารณาความจริงเกี่ ยวกับสาเหตุของการลักขโมย หรือสาเหตุของการใช้ยาเสพติด เพื่อหาทางแก้ไขแต่แรกโดยไม่ใช้ ความรุนแรงป่าเถื่อน คำตอบของชนชั้นปกครองป่าเถื่ อนของไทย สำหรับคนจนคือ ขัง ขัง ขัง ลงโทษ ลงโทษ ลงโทษ นี่คือวัฒนธรรมล้าหลังที่พวกอนุ รักษ์นิยมต้องการปกป้ องมากมายเหลือเกิน
โทษประหารเป็นการแก้แค้นเท่านั้ น เพราะไม่มีผลในการลดอาชญากรรม ไม่มีผลในการส่งเสริมให้คนปรั บตัว มันเป็นเพียงการใช้ความรุนแรงป่ าเถื่อน และบ่อยครั้งคนที่ถูกรัฐฆ่า อาจเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกตัดสิ นผิดด้วย
การลักขโมยมีต้นเหตุ จากความยากจนในสังคมที่มี ความเหลื่อมล้ำสูง ในไทยคนรวยรวยเท่าเศรษฐีสากล แต่คนจนจนเท่าประชาชนโลกที่สาม ไทยไม่มีรัฐสวัสดิการ ไม่มีการลดความเหลื่อมล้ำ และลัทธิเศรษฐกิจที่ชนชั้ นปกครองมักใช้ จะเน้นกลไกตลาดแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” และการจงใจแช่แข็งความเหลื่อมล้ ำผ่านการสั่งสอนให้คนจน “รู้จักออม”
ปัญหายาเสพติดถูกทำให้แย่มากขึ้ นผ่านการปกปิดข้อมูลจริงเรื่ องผลของการใช้ยา ซึ่งทำให้ประชาชนบริหารชีวิ ตยากขึ้น และสภาพการทำงานหลายต่อหลายชั่ วโมง ก็มีส่วนในการส่งเสริมการใช้ ยากระตุ้นต่างๆ อีกด้วย
คุกไทยมีนักโทษมากเกินไป ควรลดจำนวนนักโทษให้เหลือแต่ คนที่เป็นอันตรายสูงต่อเพื่อมนุ ษย์ในสังคมเท่านั้น และไม่ควรมีนักโทษการเมืองแม้ แต่คนเดียว
8. คนรวย คนที่มีเส้น นายพลระดับสูง นักการเมืองที่ใกล้ชิดกั บทหารหรืออำมาตย์ ลูกชายนักการเมือง ฯลฯ ไม่เคยต้องรับโทษหรือถูกพิ พากษาในระบบไทย คนที่ฆ่าประชาชนเป็นหมู่ เช่นแกนนำรัฐบาลประชาธิปัตย์ และผู้บังคับบัญชาทหารในปี ๒๕๕๓ และคนที่เคยก่อเหตุนองเลื อดในอดีต มักลอยนวลเสมอ ดังนั้นเราต้องสรุปว่ าระบบศาลและคุกไทยมีไว้ลงโทษ กลั่นแกล้ง และกดขี่คนชั้นล่างเท่านั้น เพื่อให้ถูกปกครอง และเพื่อไม่ให้มีประชาธิปไตยกั บสิทธิเสรีภาพ ศาลและคุกไทยไม่ได้มีไว้เพื่ อสร้างความยุตธรรมแต่อย่างใด มีไว้เพื่อแช่แข็ งระบบสองมาตรฐาน
ถ้าเราจะพูดถึงคดีการเมืองในไทย เราจะเห็นว่าการวิจารณ์ผู้มี อำนาจหรือสัญญลักษณ์ที่ทหารใช้ ในการให้ความชอบธรรมกับตนเอง ทำให้ประชาชนติดคุกได้ แต่การทำลายระบบประชาธิปไตยอั นมีกษัตริย์เป็นประมุขด้ วยการทำรัฐประหาร เป็นเงื่อนไขในการได้ดิบได้ดี ในสังคม
9. การลงโทษในระบบศาลไทย ไม่สมเหตุสมผล คดีฆ่าคน หรือทำร้ายคน จะได้รับโทษเบากว่าคดี 112 ซึ่งมาจากการแสดงความเห็นต่ อระบบการเมือง โดยที่ผู้กระทำไม่เคยใช้ความรุ นแรงแต่อย่างใด อันนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พิสู จน์ว่าศาลและคุกไทยมีไว้เพื่ อแช่แข็งสองมาตรฐานของชนชั้ นปกครอง
ทั้งหมดนี้ฟ้องถึงความย่ำแย่ป่ าเถื่อนของระบบศาลและคุ กในประเทศไทย ถ้าเราจะปฏิรูปเปลี่ยนแปลงให้สั งคมเราเป็นสั งคมอารยะตามมาตรฐานสากล เราต้องนำผู้มีอิทธิพลทั้ งหลายที่เคยฆ่าประชาชนหรือทำรั ฐประหาร มาลงโทษ เราต้องลดอำนาจมืดในระบบการเมื องและเพิ่มอำนาจประชาชน เราต้องปลดผู้พิพากษาที่ไม่มีจิ ตวิญญาณแห่งความยุติธรรมออกไป เราต้องแก้หรือยกเลิกกฏหมายต่ างๆ ที่สนับสนุนเผด็จการและความป่ าเถื่อน และเราต้องเริ่มสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์กับทุกคน แม้แต่นักโทษ
สังคมไทยในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยเคารพความเป็นพลเมื องของคนส่วนใหญ่ ไม่เคยเคารพสิทธิ ของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และไม่เคยเคารพความเป็นมนุษย์ ของนักโทษเลย
การ “ปรองดอง” ยอมจำนนต่ออำนาจทหาร ที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่ใช่คำตอบ เพราะปัญหาจะยิ่งแย่ลง คำตอบคือเราควรร่วมกันสนับสนุ นข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ และช่วยกันพัฒนาการปฏิรูปในขั้ นตอนต่อไปจากนั้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper