กกจ.ไฟเขียวส่งแรงงานไทยไปลิเบียหลังสงครามสงบ / เผย 15 ก.พ.นี้ สรุปยอดโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง / อยุธยาระบุมีแรงงานในพื้นที่ตกงานกว่า 20,000 คน / 'เผดิมชัย' ยัน 1 เมย.ขึ้นค่าแรงพร้อมกัน 77 จังหวัด
หวั่นแรงงานไทยถูกหลอกจี้รัฐคุ้มครองเข้ม
6 ก.พ. 55 - ที่รัฐสภา นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ขอนแก่น ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการธิการ(กมธ.)ป้องกันการหลอกหลวงคนไปทำงานต่าง ประเทศ ในคณะกรรมาธิการ(กมธ.)แรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา เปิดเผยว่า คณะอนุกมธ.มีความเป็นห่วงต่อแรงงานที่ตกงานจากเหตุการณ์น้ำท่วมถูกหลอกไปทำ งานต่างประเทศ จึงขอเรียกร้องกระทรวงแรงงานใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเข้มงวด เพราะจากข้อมูลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เดือนม.ค.55 พบว่ามีแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมถูกเลิกจ้างกว่า 3 หมื่นคน และคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นไปจนถึงสิ้นเดือน มี.ค.เพราะเป็นช่วงที่บริษัทญี่ปุ่นปิดงบบัญชีประจำปี เกรงว่าพิษเศรษฐกิจจะทำให้แรงงานสนใจไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น เปิดโอกาสให้มิจฉาชีพอ้างตนเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับจากกรมการจัดหางาน หลอกลวงให้ทำงานต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาคนงานภาคอีสานและภาคเหนือจะถูกหลอกลวงมากที่สุด
ส.ว.ขอนแก่น กล่าวต่อว่า จากปัญหาที่ชาวบ้านถูกหลอกเพราะนายหน้าเถื่อนทำงานเชิงรุก โดยจะเข้าไปเชิญชวนถึงในหมู่บ้าน ในขณะที่ภาครัฐยังทำงานเชิงรับ ถึงแม้จะมีสายด่วนของกรมการจัดหางาน หมายเลข 1694 ไว้คอยบริการชาวบ้าน หรือมีอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ที่มีจิตอาสากระจายอยู่ทุกตำบลทั่วประเทศรวม 7,255 คน ก็ยังไม่ทันการ ถึงแม้ว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมีการเปิดศูนย์บริการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอีก 25 ศูนย์ใน 25 จังหวัด ก็เกรงว่าจะไม่ทันการ เพราะปัญหาการหลอกลวงแรงงานมีความซับซ้อนยากที่ประชาชนจะเข้าใจ ดังนั้น คณะอนุกมธ.เห็นว่าหากกระทรวงแรงงานจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงแก่ผู้เกษียณอายุ ของกระทรวงแรงงานเป็นที่ปรึกษาประจำศูนย์ จะสามารถช่วยเป็นที่ปรึกษาในด้านกฎหมายให้กับแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศไม่ ให้ถูกหลอกลวงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.
(เดลินิวส์, 6-2-2555)
พิษน้ำท่วมไม่จบ แรงงานชี้ครึ่งปีแรกว่างงานพุ่ง 1.7 แสนคน
น.ส.ส่งศรี บุญบา รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวระหว่างเป็นประธานสัมมนาส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพแรงงาน เพื่อเพิ่มผลิตภาพการทำงานของภาคอุตสาหกรรม โดยกล่าวว่า ปัจจุบันพบปัญหาการขาดแคลนแรงงานและว่างงานที่มาแบบคู่ขนาน เชื่อว่าตัวเลขการว่างงาน เดือน ม.ค.-มิ.ย. จะเพิ่มขึ้น 1.7 แสนคน จากสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัยทยอยปลดคนงาน และสถานประกอบการบางแห่งได้นำเหตุอุทกภัยปลดคนงาน เพราะมองว่าหากฟื้นฟูโรงงานแล้ว เดือน เม.ย.จะต้องจ่ายค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 40 จึงนำมาอ้างปลดคนงาน
อย่างไรก็ตาม จากการหารือกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม พบว่า บางแห่งจะเลิกจ้างและปิดกิจการ เพื่อรอดูทิศทางตลาดแรงงานว่า จะเปิดดำเนินกิจการใหม่ หรือเปลี่ยนลักษณะธุรกิจที่ใช้คนน้อย โดยกระทรวงแรงงานกำลังเร่งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ ทั้งประสบอุทกภัยและผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 40 ในเดือน เม.ย.นี้ ว่า ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
ขณะที่กระทรวงแรงงาน มีแนวคิดจะขยายโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือช่วยสถานประกอบการที่ยังฟื้นฟูโรงงานไม่เสร็จ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้ และไม่ปลดคนงาน เช่น นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร
(ไทยรัฐ, 6-2-2555)
นายจ้าง-ลูกจ้างเห็นสอดคล้องเลิกระบบค่าจ้างขั้นต่ำดันแรงงานไทยมีทักษะสูง
นายอภิวัฒน์ อสมาภรณ์ รองผอ.สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าทิศทางอุตสาหกรรมไทย เน้นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สมดุล ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันในตลาด จึงต้องพัฒนาทักษะ เพิ่มผลิตภาพ productivity และปรับระบบการบริหารจัดการ ทั้งนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรม ที่ใช้แรงงานเข้มข้น ค่าจ้างต่ำ จะย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ตะเข็บชายแดน หรือในประเทศเพื่อนบ้าน
การเสวนาเรื่องการพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานไทย เพื่อเพิ่มผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม รองรับรายได้วันละ 300 บาท โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยนายประพันธ์ มนทการติวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงานจะเร่งพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อให้เหมาะกับค่าจ้างขั้นต่ำ ที่มีการปรับเป็นวันละ 300 บาท โดยจัดอบรม พัฒนาทักษะฝีมือและพฤติกรรมการทำงาน ทั้งผู้เข้าใหม่และผู้ที่ทำงานอยู่เดิม รวมทั้งจะเร่งพัฒนาทักษะด้านภาษา ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาในชาติอาเซียน ให้แก่แรงงานด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของแรงงานไทยที่จะต้องเร่งแก้ไข
โครงการ “แรงงานพันธุ์เอ็กซ์” ศูนย์และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ จะรับสมัครเด็กที่จบชั้น ม.3 จำนวน 1,000 คนเข้ามาอบรมทักษะฝีมือช่างในสาขาต่างๆ รวมถึงทักษะภาษาอังกฤษ และ 9 พฤติกรรมสู่ความสำเร็จในการทำงานในช่วงเริ่มอบรมตั้งแต่มี.ค.-กย.นี้ เพื่อป้อนเข้าสู่สถานประกอบการ โดยแรงงานกลุ่มนี้จะได้ค่าจ้างสูงกว่า 300 บาทเนื่องจากเป็นแรงงานกลุ่มที่ได้รับการอบรมแบบเข้มข้น ที่เชื่อว่าจะผ่านการทดสอบตาม มาตรฐานฝีมือแรงงแห่งชาติ ค่าจ้างที่สูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท อีกทั้งจะมีการปรับทักษะให้พร้อมทุกด้าน เริ่มรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 21 กพ.นี้
นายถาวร ชลัษเฐียร รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวสนับสนุนแนวคิดที่ประเทศไทยจะผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง Value-added ที่นายจ้าง ต้องยกระดับProductivity ยกระดับศักยภาพ ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีการผลิต high Technology และส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดค่าตอบแทนในการทำงานให้เหมาะสม ซึ่งหมายถึงค่าจ้างและสวัสดิการ โดยค่าจ้าง ที่สะท้อนศักยภาพ ทักษะการผลิต
รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ กล่าวอีกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ที่มีการปรับขึ้นในทุกปีควรยกเลิก โดยใช้ค่าจ้างอัตราแรกเข้า สำหรับคนงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ ทั้งนี้ค่าจ้างจะมีการปรับขึ้นตาม Productivity ดัชนีราคาผู้บริโภค consumer price index และอายุงาน จึงเป็นเรี่องที่ต้องมีการปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีในสถานประกอบการ โดยปรับเป็นอัตราร้อยละ ที่จะเป็นการยืดหยุ่นมากกว่าการปรับโดยกำหนดค่าตัวเงิน
“ผลิตภาพ ของไทยเติบโตช้า ขณะเดียวกันค่าจ้างที่แท้จริงในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย”นายถาวรกล่าวและว่านโยบายพรรคการเมืองในการปรับค่าจ้าง ขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ถือเป็นการโยนระเบิด มากกว่าโยนหินถามทาง ที่เชื่อว่าในเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ค่าจ้างขั้นต่ำจะบังคับใช้ใน 1 เมย.55 ใน 7 จังหวัด (กรุงเทพ นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม ปทุมธานี และภูเก็ต อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท จังหวัดอื่น ปรับเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมอีก 40% )
นางสิริวัน ร่มโพธิ์ทอง เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (Ecot) กล่าวสนับสนุนค่าจ้างที่จะต้องสะท้อนผลิตภาพการผลิต productivity ทั้งนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท เป็นเรื่องที่นายจ้างต้องมีภาระด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงควรที่จะทำอย่างไรให้นายจ้าง มีกำลังที่จะจ่ายได้ เช่นคนงานมีทักษะ ผลิตชิ้นงานได้มากขึ้น มีคุณภาพ และลดต้นทุนด้านอื่นเช่น ลดการสูญเสียวัตถุดิบในการผลิต ร่วมกันประหยัดน้ำ ไฟ
ด้านนายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัญหาค่าจ้างในไทย เกิดขึ้นเพราะสถานประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีการปรับค่าจ้างประจำปี ไม่มีโครงสร้างค่าจ้าง โดยนายจ้างจะปรับขึ้นค่าจ้างให้ต่อเมื่อมีการประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ลูกจ้างต้องเรียกร้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำในทุกปี ทั้งนี้ลูกจ้างส่วนใหญ่ที่ทำงานมากหลายปียังคงได้ค่าจ้างที่สูงกว่าค่าจ้าง ขั้นต่ำไม่มากนัก ทำให้ต้องทำโอ.ที.เพื่อให้ได้เงินเพิ่ม เพียงพอกับการเลี้ยงดูครอบครัว
นายมนัส กล่าวอีกว่าสภาองค์การลูกจ้าง ต่างมีมติ และผลักดันให้มีการแก้ไข ยกเลิกค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นค่าจ้างแรกเข้าที่ใช้กับคนงานที่เริ่มเข้าทำงานในปีแรก และได้รับการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานในปีที่ 2 ที่จะได้รับการปรับตามฐานเงินเดือน โครงสร้างเงินเดือน และศักยภาพ
รายงานข่าวแจ้งว่าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ถูกกำหนดในพรบ.คุ้มครองแรงงาน ที่กฏหมายใช้บังคับกับแรงงานทุกคนที่ทำงานในประเทศ โดยไม่แบ่งสัญชาติ ผิวสี ศาสนา จึงมีสภาพบังคับใช้ทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้การที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีการปรับในทุกปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สถานประกอบการส่วนใหญ่ในประเทศไทย นายจ้าง สถานประกอบการไม่มีโครงสร้างเงินเดือน หรือการปรับค่าจ้างประจำปีให้กับลูกจ้าง โดยนายจ้างจะปรับขึ้นค่าจ้าง เมื่อทางราชการมีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จึงจะส่งผลให้บรรดาลูกจ้างที่ทำงานมากนาน ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้าง ที่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ รายที่มีอัตคาที่สูงกว่าขั้นต่ำ มักจะได้รับการปรับขึ้นในอัตราส่วนต่างที่มีการปรับขึ้นใหม่ ทำให้บรรดาลูกจ้างที่ทำงานมานาน มีส่วนในการเรียกร้อง กดดันให้รัฐบาลมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในทุกปี
ทั้งนี้ปัญหาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ กลายเป็นปัญหา "งูกินหาง" เนื่องจากเมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ราคาสินค้า ทั้งอุปโภค บริโภค ปรับราคสูงขึ้น โดยที่ทางการไม่สามารถควบคุมราคา โดยมีการนำเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับเพิ่ม เป็นต้นทุนแรงงาน ที่มีส่วนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำมีอัตราที่สูงขึ้นๆ ทำให้มีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการว่าทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดน้อย ลง
(โพสต์ทูเดย์, 7-2-2555)
'เผดิมชัย' ยัน 1 เมย.ขึ้นค่าแรงพร้อมกัน 77 จังหวัด
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท ที่กำลังจะมีผลในวันที่ 1 เมษายน ที่จะถึงนี้ ไม่ใช่นำร่อง 7 จังหวัด แต่เป็นการปรับขึ้น 40 % จากอัตราฐานค่าแรงเดิมทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งพื้นฐานอัตราค่าแรงแต่ละจังหวัด จะไม่เท่ากัน แต่เนื่องจากมี 7 จังหวัด ที่มีฐานค่าแรงสูงคือ 215 บาทต่อวัน เมื่อคำนวณแล้ว จะได้ปรับขึ้น 39.5 % หรือ ประมาณ 80 กว่าบาท
ส่วนจังหวัดที่เหลือ ก็จะปรับฐานค่าแรงสูงขึ้นตามมา โดยจังหวัดที่มีค่าแรงต่ำสุด คือ พะเยา 159 บาทต่อวัน หลังปรับขึ้น 40 % แรงงานจะได้รับค่าจ้างเพิ่มประมาณ 60 กว่าบาท หรือ ภูเก็ต มีอัตราค่าแรงสูงสุด คือ 221 บาทต่อวัน ปรับขึ้น 36 % จะได้รับค่าจ้างเพิ่มคงที่ประมาณ 300 บาทต่อวัน เมื่อถึงสิ้นปี ก็อนุมัติพร้อมกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นายเผดิมชัย กล่าวด้วยว่า ไม่กังวลที่ผู้ประกอบการบางราย เตรียมฟ้องศาลปกครอง ให้ชะลอการปรับขึ้นค่าแรง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการไตรภาคีกับลูกจ้าง ที่สามารถฟ้องได้ ซึ่งเมื่อวานนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ (ส.อ.ท.) ได้มาหารือร่วมกันถึงเรื่องดังกล่าว และได้มีการปรับความเข้าใจต่อกัน โดยรัฐบาลลดการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลให้ พร้อมกับลดการจัดเก็บเงินประกันสังคม จาก 5% เหลือ 3% ใน 6 เดือนแรก ฉะนั้น หากมีปัญหาสามารถหารือได้ที่ศูนย์ 300 บาท กระทรวงแรงงาน
ส่วนปัญหาการว่างงานที่มีแนวโน้มมากถึง 1.7 แสนคน นั้น ไม่มี มีแต่ที่เป็นห่วง คือ แรงงานไทยขาดแคลนมากกว่า เท่าที่ทราบอาจมีแรงงานต่างด้าว และล่าสุดตัวเลขขาดแคลนแรงงาน อยู่ที่ 1.4-1.5 แสนราย ส่วนบริษัทที่ปิดตัวไปยอมรับว่า มีและแรงงานว่างงาน ประมาณ 2-3 หมื่นราย เท่านั้น และทางกระทรวงพร้อมที่จะจัดหางานให้
(กรุงเทพธุรกิจ, 7-2-2555)
อยุธยาระบุมีแรงงานในพื้นที่ตกงานกว่า 20,000 คน
นางปราณี ไชยเดช แรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งเปิดดำเนินการบางส่วนแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากลูกจ้างจะได้เข้ามาทำงานได้รวดเร็วขึ้น ล่าสุด มีตัวเลขผู้ว่างงานมาลงทะเบียนกับจัดหางานจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพียง 21,000 คน ซึ่งเมื่อเทียบจาก 3 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 3 ของเดือนกันยายน 2554 จะมีลูกจ้างตกงาน 4,800 คน อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขผู้ว่างงานดังกล่าว ยังถือว่ามีผู้ตกงานจำนวนน้อย
“เราหวังว่าหลังเมษายนจะเห็นได้ชัด คิดว่าน่าจะเป็นทั้งบวกและลบ เพราะหลังจากจบโครงการบรรเทาการเลิกจ้างของรัฐบาลแล้ว ผู้ประกอบการจะเห็นตัวเองได้ชัดเจน ว่าจะสามารถรับภาระได้ขนาดไหน”
นางปราณี ไชยเดช กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าที่เกิดวิกฤตอุทกภัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะขาดแคลนแรงงาน แต่หลังจากมีการฟื้นฟูตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ทางจังหวัดฯ อาจจะขาดแคลนแรงงานเช่นเดิมก็ได้
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 8-2-2555)
เผย 15 ก.พ.นี้ สรุปยอดโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง
นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือ กสร. เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ในพื้นที่ประสบอุทกภัย สรุปยอดสถานประกอบการที่สมัครเข้าร่วมโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง ให้ชัดเจนภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากเมื่อสิ้นสุดโครงการภายใน 15 วัน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะต้องสรุปตัวเลขที่ชัดเจนว่าสามารถช่วยเหลือแรงงานได้จำนวนเท่าใด อย่างไรก็ตามในการพิจารณาจ่ายเงิน ธนาคารออมสิน จะร่วมกับ กระทรวงการคลังในการตรวจสอบก่อนสั่งจ่ายเงินให้กับสถานประกอบการ ซึ่งล่าสุดนายจ้างแจ้งยอดลูกจ้างที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของเงินเดือน ผ่านโครงการฯ เกินเป้าที่ตั้งไว้จาก 3 แสนคน เป็นกว่า 3.1 แสนคน และมีการสั่งจ่ายแล้วกว่า 1 แสนราย โดยหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะทราบยอดที่ชัดเจนว่าจะมีสถานประกอบการใดเข่าข่ายที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะนำเงินโครงการที่เหลือมาช่วยเหลือต่อ ทั้งนี้หากเงินโครงการมีเงินเหลือไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือก็เตรียมเสนอ รัฐบาลของบประมาณเพิ่มเติม โดยได้รับความเห็นชอบจาก นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้ว
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 8-2-2555)
กกจ.ไฟเขียวส่งแรงงานไทยไปลิเบียหลังสงครามสงบ
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ประชุมร่วมบริษัทจัดหางานที่ส่งแรงงานไทยไปประเทศลิเบีย 20 ราย โดยได้ชี้แจงถึงสถานการณ์ในประเทศลิเบีย ซึ่งได้รับการยืนยันจากสถานทูตไทยในลิเบียว่าขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลาย เข้าสู่ภาวะปกติและความปลอดภัยแล้ว และสามารถส่งแรงงานไทยกลับไปทำงานได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บริษัทจัดหางานได้มีการทวงถามถึงการส่งแรงงานไทยกลับไปทำงานที่ลิเบีย แต่ขณะนั้นสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ทำให้ กกจ.ยังไม่อนุญาตส่งแรงงานไทยกลับไปทำงาน ทั้งนี้ เมื่อได้รับการยืนยันจากสถานทูตจึงได้เชิญบริษัทจัดหางานทั้ง 20 แห่งมารับทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ และชี้แจงถึงเกณฑ์การส่งแรงงานไทยกลับไปทำงานที่ลิเบีย ซึ่ง กกจ.ได้อนุญาตให้บริษัทจัดหางานส่งแรงงานไทยกลับไปลิเบียตั้งแต่บัดนี้เป็น ต้นไป
อธิบดี กกจ.กล่าวอีกว่า สำหรับการส่งแรงงานไทยกลับไปลิเบียในครั้งนี้ ทาง กกจ.ได้เพิ่มเกณฑ์การคัดเลือกบริษัทจัดหางานโดยได้เพิ่มเติมในส่วนของการทำ ประกันชีวิตให้แก่แรงงาน และทำหนังสือยืนยันกลับไปทำงานที่บริษัทเดิมภายใต้สัญญาจ้างเดิมและตำแหน่ง งานเดิม นอกจากนี้ จะต้องทำหนังสือยืนยันส่งตัวแรงงานไทยกลับกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติโดย บริษัทจัดหางานจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตลอดจนบริษัทจะต้องทำแผนอพยพแรงงานในการส่งกลับไทยให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในการส่งแรงงานกลับไปนั้นแรงงานจะต้องไปเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก และห้ามไม่ให้บริษัทจัดหางานไปเรียกเก็บจากแรงงาน เนื่องจากเป็นสัญญาจ้างเดิมที่ยังไม่หมดอายุ
“จากเหตุการณ์สงครามกลางเมืองในลิเบีย การอพยพแรงงานไทยกลับมาเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากบริษัทจัดหางานไม่มีแผนอพยพที่ชัดเจน ทำให้ทุกอย่างต้องดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อปกป้องชีวิตแรงงานไทยหากเกิด เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม” นายประวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ ส่วนค่าจ้างค้างจ่ายของแรงงานไทยในลิเบียที่เดินทางกลับมาทั้งหมด 10,754 คน ขณะนี้เหลือแรงงานที่ยังไม่ได้เงินค่าจ้าง 2,483 คน ซึ่ง กกจ.กำลังช่วยติดตามทวงถามจากบริษัทจัดหางานโดยขอให้แรงงานติดต่อไปที่ บริษัทจัดหางานก่อน แต่หากติดต่อไม่ได้ก็ขอให้แจ้งมาที่ กกจ.อย่างไรก็ตาม คาดว่า การส่งแรงงานกลับไปล็อตแรก ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานกลุ่มเดิมที่เดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากสัญญาจ้างยังไม่หมดอายุ ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้สามารถเดินทางกลับไปทำงานได้เลยโดยไม่ต้องตรวจสอบสัญญา จ้าง แต่หากบริษัทเดิมมีโควตาเหลือและต้องส่งแรงงานใหม่เพิ่มเติม จะต้องเข้าสู่กระบวนการปกติและมารตรวจสอบสัญญาจ้างและสถานทูตจะต้องยืนยัน ตำแหน่งงานมาก่อน ซึ่งล่าสุดกกจ.เตรียมจะส่งทูตแรงงานไปประจำที่กรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย จะทำให้แรงงานไทยได้รับการดูแลได้ใกล้ชิดขึ้น
“ขณะนี้ตลาดแรงงานลิเบียเปิดแล้ว และ กกจ.ได้รับแจ้งสถานทูตว่าลิเบียมีความต้องการแรงงานกว่า 1 แสนคน ส่วนใหญ่งานด้านประเภทบ่อน้ำมันและงานก่อสร้างทั่วไป ซึ่งตลาดแรงงานคู่แข่งของไทยส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากประเทศอินเดีย บังกลาเทศ และศรีลังกาที่จะมีแรงงานเข้าไปทำงานเป็นอันดับต้นๆของตลาดลิเบีย ทั้งนี้ ขณะนี้กกจ.ได้เปิดให้บริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งสามารถแรงงาน ล็อตใหม่ได้” อธิบดี กกจ.กล่าว
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 9-2-2555)
เครือข่ายผู้ป่วยฯ จี้ทบทวนโครงสร้างสถาบันความปลอดภัยฯ ย้ำต้องเป็นองค์กรอิสระ
ก.แรงงาน 10 ก.พ.- นางสมบุญ ศรีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย สมัชชาคนจน กล่าวภายหลังนำเครือข่ายผู้ป่วยฯ ยื่นหนังสือที่กระทรวงแรงงาน เรียกร้องให้นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทบทวนร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.... ซึ่งกระทรวงแรงงานกำลังจะจัดทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ เพราะมีโครงสร้างที่ยังยึดติดกับระบบราชการเดิม และไม่ได้เป็นองค์กรอิสระตามผู้ใช้แรงงานเรียกร้องอย่างแท้จริง อาทิ การไม่มีหน่วยงานรับเรื่องราวร้องทุกข์จากคนงานโดยตรง ทำให้สถาบันไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและปัญหาในเชิงลึก การให้มีสัดส่วนคณะกรรมการบริหารสถาบันฯ ที่มาจากราชการมากเกินไป แทนที่จะเพิ่มสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญ และประธานก็ไม่ควรมาจากฝ่ายข้าราชการ เพราะจะทำให้สถาบันฯกลายเป็นแค่หน่วยงานเล็ก ๆ ภายในกระทรวงแรงงานเช่นเดิม ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาการเสียชีวิต บาดเจ็บและพิการจากการทำงานได้ จากข้อมูลของกองทุนเงินทดแทนพบว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการทำงาน ตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบันมีมากว่า 3 ล้านคน เฉลี่ยปีละกว่า 200,000 คน โดยปีล่าสุดมีมากกว่า 140,000 คน ไม่นับรวมผู้ป่วยโรคจากการทำงานที่ยังมีปัญหาเรื่องการวินิจฉัยสาเหตุอีก จำนวนมาก ทั้งนี้ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ตนพร้อมด้วยเครือข่ายฯ กว่า 500 คนจะไปยื่นหนังสือถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุดรธานี เพื่อให้ทบทวนในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง
(สำนักข่าวไทย, 10-2-2555)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper