ก่อนที่จะไปสู่การอธิบายปัญหาบางประการที่ได้กล่าวไว้ในบทความที่แล้ว ก็ได้พบว่ามีผู้สนใจแสดงแง่คิดที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้แสดงความคิดเห็นในเชิงหลักการเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความคิดเห็นในด้านหลักการการแก้ไขความขัดแย้งในหมู่ประชาชนอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กล่าวคือ
ประการแรก ข้อเสนอสามประการคือ
“สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี”
“รักษาโรคเพื่อช่วยคน” และ
“แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
นั้นใช้กับทุกส่วนในหมู่มิตร ไม่ใช่เรียกร้องกับเฉพาะผู้วิพากษ์วิจารณ์นปช. เพราะนปช.และผู้ถูกวิจารณ์อื่น ๆ ก็ต้องใช้เช่นเดียวกัน ถือว่าใช้กับทุกส่วนในหมู่มิตร เพราะเมื่อมีผู้วิจารณ์ออกไปด้วยท่วงทำนองไม่ถูกต้องประหนึ่งท่าทีต่อศัตรู และที่สำคัญคือ “เนื้อหาไม่ถูกต้อง” โดยจงใจบิดเบือนความจริงหรือบนข้อมูลไม่ครบถ้วน ก็จะทำให้เกิดการวิจารณ์ตอบโต้กลับเช่นกัน ดังนั้นหลักการเช่นนี้ก็ต้องใช้กับ “ทุกฝ่าย” ในความขัดแย้งในหมู่ประชาชนเพื่อรักษามิตรมิใช่ทำลายมิตร
นี่ไม่ใช่การเรียกร้องต่อผู้วิจารณ์ องค์กร นปช. แต่หมายถึงฝ่ายประชาชนทุก ๆ ฝ่ายต้องพยายามยึดกุมให้ได้ด้วยความอดกลั้น อดทน โดยเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง การพยายามอธิบายความเข้าใจที่ไม่ตรงกันหรือแก้ไขสิ่งที่ถูกบิดเบือนผิด ๆ ก็ควรอยู่บนผลประโยชน์ของขบวนทั้งขบวน
ประการที่สอง“แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” เราจะใช้เมื่อผ่านการอภิปรายด้วยเหตุด้วยผลและข้อมูล แล้วยังมีความเห็นไม่ตรงกัน เราก็ต้องยึดหลักการนี้โดยเอาเรื่องใหญ่เพื่อการต่อสู้ของประชาชนได้บรรลุเป้าหมายเป็นสำคัญ นี่จึงเป็นหลักการที่ใช้กับองค์กรคนละองค์กร ใช้กับคนละกลุ่ม หรือใช้ในแนวร่วมสำหรับขบวนการคนเสื้อแดงนั้นต้องใช้ตลอดเวลา เพราะขบวนการประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงนั้นหลากหลายด้วยจุดยืน ด้วยเป้าหมาย และวิธีการ ดังนั้นคำพูดนี้จึงต้องใช้ให้มากสักหน่อย ยามที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งที่มีเป้าหมายใหญ่ในการต่อสู้ร่วมกัน เพราะท่ามกลางการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ใหม่ที่ฝ่ายประชาชนได้เป็นรัฐบาล เป็นเรื่องยากที่จะเกิดความเป็นเอกภาพทางความคิดและการกระทำทั่วทั้งขบวนในการขับเคลื่อน
ประการที่สาม สิ่งที่เร่งความขัดแย้ง เพิ่มความขัดแย้งในหมู่ประชาชนให้พุ่งขึ้นสูง ที่สำคัญมิใช่ท่วงทำนองประหนึ่งเป็นศัตรู แต่เป็นเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริงโดยจงใจบิดเบือน ใส่ร้าย ให้มิตรถูกดูถูกเหยียดหยามและถูกเกลียดชัง เพราะถ้าจงใจใส่ความเท็จ นี่จะเป็นตัวเร่งความขัดแย้งให้พุ่งสูงขึ้นทันที
และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แม้ว่าขบวนประชาชนนั้นจะไม่ใช่ขบวนปฏิวัติก็ตาม เพราะการใช้ความจริงนั้นเป็นอาวุธที่ทรงพลังของประชาชนผู้ถูกกระทำจากผู้ปกครอง และแม้แต่ต่อพวกปฏิปักษ์ต่อประชาชน ประชาชนก็ต้องใช้ความจริงไปโจมตี ใช้การโป้ปดมดเท็จไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้นในขบวนการประชาชนไม่อนุญาตให้กล่าวเท็จใส่ร้ายต่อฝ่ายประชาชนด้วยกันเองเป็นอันขาด และต้องถือเรื่องนี้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ มิใช่ข้อเรียกร้องขั้นสูงแต่ประการใด
ประการที่สี่ มีผู้เสนอประโยคที่ว่า “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรณ์” นี่เป็นข้อเสนอที่เรียกร้องต่อ “ผู้ถูกวิจารณ์” โดยที่ต้องเข้าใจว่า ประโยคนี้ใช้เมื่อไร? นั่นคือ ถ้าผู้พูดที่บอกว่าไม่ผิด (แม้ว่าจะพูดอย่างผิด ๆ) คือมวลชนที่ถูกป้อนข้อมูลผิด ๆ หรือมวลชนปฏิกิริยา (มวลชนระบอบอำมาตย์) ผู้ฟังคือฝ่ายประชาชน “พึงสังวรณ์”นี่ย่อมถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนนำของประชาชน เพราะในขบวนประชาธิปไตย แกนนำมิใช่ผู้นำแบบพรรคปฏิวัติ ฝ่ายประชาชนทั้งหมดพึงสังวรณ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดเช่นกัน
แต่ถ้าผู้พูดเป็นผู้มีบทบาทในฝ่ายประชาชน และมีภาวะเป็นแกนนำระดับใดระดับหนึ่ง (ทางความคิดและการเคลื่อนไหว) จะพูดอะไรแล้วอ้างเอาว่า “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรณ์” ก็คงไม่ได้แน่ เพราะเท่ากับว่าตนสามารถพูดอะไรก็ได้ พูดผิด ๆ พูดใส่ร้าย บิดเบือนความจริงก็พูดได้ เป็นหน้าที่ของผู้ฟังพึงสังวรณ์เช่นนั้นหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้พูดดังกล่าวก็ไม่ต่างอะไรกับมวลชนของพวกปฏิกิริยาล้าหลัง หรือเป็นแบบเดียวกับนักการเมืองพรรคปฏิกิริยาล้าหลังบางพรรคที่ “พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และนี่จะเป็นแบบอย่างของการไร้ความรับผิดชอบต่อคำพูดหรือการกระทำของตนที่ส่งผลร้ายต่อขบวน และถ้าพูดกันให้ถึงที่สุด นี่ไม่ควรเป็นวิธีคิดของฝ่ายประชาชน “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังควรสังวรณ์” บ่งถึงความต่างชั้น ต่างระดับของผู้พูดและผู้ฟังดังตัวอย่างเช่น ชาวบ้านกับหัวหน้าพรรคการเมือง มีหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรคก็จะโต้ตอบกับประชาชนที่เป็นผู้หญิง 2-3 ท่านอย่างเอาเป็นเอาตายในตลาด
ดังนั้น ตรงข้าม ผู้เขียนคิดว่าจะถูกต้องกว่า ถ้าใช้ “ไม่สำรวจ (ข้อมูล) ย่อมไม่มีสิทธิวิจารณ์” นี่ควรจะเป็นเนื้อหาที่เอามาใช้ในการแก้ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ไม่ใช่ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรที่จะเติมเชื้อไฟและเร่งให้ความขัดแย้งในหมู่ประชาชนเพิ่มสูงขึ้น อาจมีบางท่านกล่าวว่า นี่เป็นการเรียกร้องต่อผู้วิจารณ์อีกเช่นกัน เพราะนี่จึงจะนำไปสู่ “สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี” ได้ และไม่ใช่เรื่องของการ “ประจาน” ที่หมายความว่าเอาเรื่องความจริงที่เป็นความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในหมู่ประชาชนมาบอกเล่าต่อสาธารณะ เพราะการวิจารณ์ที่อยู่บนพื้นฐานของการสำรวจข้อมูลมาพอสมควรจึงจะสามารถนำเสนอได้โดยไม่มีอคติ และความมุ่งร้ายทำลายต่อกันจึงจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชนได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดในหมู่ประชาชน
ถามว่าอนุญาตให้มีข้อมูลไม่ครบถ้วนวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ ย่อมได้แน่นอน และอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ผิดได้ โดยผู้พูดไม่มีความผิดในแง่เจตนาทำลายขบวน แต่บกพร่องในเรื่องข้อมูล เพราะไม่ได้มีเจตนาพูดเท็จใส่ร้ายป้ายสีและอยู่บนพื้นฐานแห่งการสำรวจระดับหนึ่ง ข้อนี้อาจจะเป็นการเรียกร้องต่อผู้พูดที่มีความรับผิดชอบพอสมควร เพราะการพูดวิพากษ์วิจารณ์ผิด ๆ หรือจงใจเท็จ แม้อาจมีคนเชื่อถือในตอนแรก ๆ แต่นาน ๆ ไปคนก็จะรู้ว่าความจริงคืออะไร ผู้พูดก็หมดความน่าเชื่อถือเอง
เช่นพวกที่อ้างวาทกรรม “ล้มเจ้า” “เผาบ้านเผาเมือง” “มีชายชุดดำ” หรือในหมู่ประชาชนเองที่แกนนำกลุ่มหนึ่งหรือคนหนึ่งโจมตีแกนนำอีกกลุ่มหนึ่งด้วยความเท็จ หรือการโต้ตอบผู้วิจารณ์กลับด้วยความเท็จ ผู้พูดก็จะหมดความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือการเพิ่มความขัดแย้งระหว่างฝ่ายประชาชนด้วยกันให้สูงยิ่งขึ้น เนื้อความที่ว่า “ไม่สำรวจ ไม่มีสิทธิวิจารณ์” จึงทำให้ทุกฝ่ายเกิดความยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือโต้ตอบการวิพากษ์วิจารณ์อีกที โดยพยายามตรวจสอบข้อมูลให้มากสักหน่อย นี่จึงจะเป็นการยกระดับความรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตนว่าจะมีผลเสียหายต่อขบวนหรือไม่ นี่ยอมมิใช่การจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันการสื่อสารสมัยใหม่ เพียงแค่คิดว่าเครียด, ดีใจ, หิวข้าว, กินข้าวอิ่ม ก็กดแป้นระบายความรู้สึกออกมาแล้วโดยไม่ต้องคิด จึงมีโอกาสที่จะสื่อสารได้เร็วมาก ก่อนที่จะมีข้อมูลและเนื้อความก็จะถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การโจมตีวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลหรือด้วยอารมณ์ไม่พึงพอใจจะระบาดลุกลามอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต้องอดทนที่จะชี้แจง ผู้เขียนซึ่งเคยชินกับการสื่อสารยุคโบราณจึงไม่สันทัดในโลกไซเบอร์ โดยทั่วไปก็จะคิดว่าประเดี๋ยวคนก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร เพราะความจริงนั้นจะทนต่อการพิสูจน์ แต่ปัจจุบันก็พบว่า ถ้าความเชื่อถูกสร้างให้เกิดขึ้นเร็วในโลกไซเบอร์ และความจริงมาช้าเกินไป ก็ส่งผลเสียหายใหญ่หลวงเช่นกัน
รูปธรรมในการนำเสนอเพื่ออธิบายความสงสัยในหมู่ประชาชนนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้นำเสนอในบทความนี้ รวมถึงมีปัญหาบทเรียนการต่อสู้ของประชาชน แต่ขอพูดประเด็นเดียวในการอธิบายประกอบหลักการคือ เหตุใดนปช.ไม่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล นปช.ได้แถลงข่าวในวันพุธที่ 6 ก.พ. 56 แล้วว่าจะไม่ใช้วิธีนำมวลชนมาชุมนุมกดดันรัฐบาลเพราะจะใช้ท่วงทำนองมิตรในการนำเสนอพระราชกำหนดนิรโทษกรรม โดยให้คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นตัวแทนไปเจรจากับนายกรัฐมนตรี แต่เนื้อหาคือ การออกพระราชกำหนดโดยอาศัยอำนาจบริหารซึ่งจะเกิดผลเร็วที่สุด นั่นคือมีผลในทางปฏิบัติต่อรัฐบาลที่หนักหน่วงอย่างยิ่งว่าจะยินดีปฏิบัติหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลวิกฤตประเทศที่ฝ่ายประชาชนยากที่จะอดทนต่อไปอีกแล้ว และเพื่อป้องกันภัยพิบัติที่จะมาสู่ความมั่นคงของประเทศในเวลาอันใกล้นี้ ถ้าไม่หาทางออกให้แก่ประเทศไทย
แต่เราก็ใช้ท่วงทำนองอย่างมิตรที่ขอให้ใช้เวลาไม่นานเกินไป ขอให้มีการปฏิบัติการโดยเร็วที่สุด จะเลือกใช้ พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ. หรือร่างรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ทำให้เร็วที่สุดดังนี้เป็นต้น เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมไม่ไปกดดันรัฐบาลด้วยการชุมนุม
เพราะเราใช้หลักความเป็นมิตรไม่สร้างหรือขยายความขัดแย้งในหมู่ประชาชน แต่จุดยืนและเนื้อหานั่นต่างหากที่แสดงออกถึงความมั่นคง ยืนหยัดต่อข้อเรียกร้องบนผลประโยชน์ของการต่อสู้ของประชาชน พูดง่าย ๆ คือกดดันด้วยเนื้อหาของฝ่ายประชาชนนั่นเอง สำหรับคำชี้แจงในเรื่องอื่น ๆ จะอธิบายประกอบหลักการต่อไป แม้ว่าได้ชี้แจงกันมาหรือมีข้อมูลนำเสนอมาก่อนนี้ก็ตาม แต่เมื่อมีการพูดซ้ำ ๆ ก็จำเป็นต้องอธิบายชี้แจงและปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai