หวั่น ครม.เห็นชอบโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน เอื้อประโยชน์โครงการใหญ่ เผยสายสัมพันธ์เหมืองแร่โปแตช-บริษัทใหญ่ เกี่ยวผันน้ำที่หนองหานกุมภวาปี จี้รัฐฯ จัดการน้ำให้สอดคล้องกับพื้นที่ ชุมชนร่วมตัดสินใจ
หลังจากที่ ครม.เห็นชอบผลการคัดเลือกกรอบแนวคิด เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ครม.เพื่อขออนุมัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ.2555 ในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการ ตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 (ฉบับ2)
พร้อมกันนี้นายปลอดประสพ ยังได้แถลงผลการพิจารณาบริษัทผู้ผ่านการคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้าง ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยมี 6 กลุ่มบริษัทที่เข้ารอบสุดท้าย ได้แก่ 1.บริษัทโคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค.วอเตอร์) 2.กิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทย 3.ITD-POWERCHINA JV 4.กิจการร่วมค้าทีมไทยแลนด์ 5.กิจการร่วมค้าซัมมิท เอสยูที และ 6.กลุ่มบริษัทร่วมค้าล็อกซเล่ย์
สำหรับกลุ่มบริษัทที่ผ่านเข้ารอบทั้ง 6 กลุ่ม คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย (กบนอ.) ได้พิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอกลุ่มโครงการ (Module) ละ 3 ราย ซึ่งมี Module ที่ต้องพิจารณาทั้งสิ้น 10 Module แบ่งไปตามแผน และลักษณะการก่อสร้าง เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ การจัดทำผังการใช้ที่ดิน การจัดทำทางน้ำหลาก (Floodway) และการปรับปรุงระบบคลังข้อมูล เป็นต้น

นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางที่จะจัดการน้ำทั้งระบบโดยเสนอให้มีการรวมหน่วยงานเกี่ยวกับเรื่องน้ำ แล้วจัดตั้งกระทรวงน้ำ และนำไปสู่การออกกฎหมายน้ำขึ้นมาบริหารจัดการน้ำ
“ในกฎหมายน้ำ เราจะเห็นว่าน้ำเป็นของรัฐ ผู้ที่จะใช้น้ำหรือเข้าถึงน้ำได้ก่อนก็คือ กลุ่มทุนและโครงการขนาดใหญ่ สถานบริการ เกษตรกรก็เป็นลักษณะ Contract farming ที่มีเงินซื้อ ดูกรณีมาบตาพุดที่ทุนได้น้ำไปใช้ก่อนเรา” นายสุวิทย์ กล่าว
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า จากการติดตามโครงการพัฒนาในภาคอีสานโดยร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่มากว่า 10 ปี พบว่ามีแผนการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่นโครงการเหมืองแร่โปแตช จำนวน 10 จังหวัด รวมเนื้อที่กว่า 1.3 ล้านไร่ ซึ่งมีความต้องการที่จะใช้น้ำอย่างมหาศาลของกลุ่มทุน และจะส่งผลกระทบต่อการแย่งน้ำในชุมชนเป็นบริเวณกว้าง ดังนั้นนโยบายการจัดการน้ำของรัฐบาลจึงเป็นการเอื้อประโยชน์ เพื่อจัดหาน้ำให้กับเมกะโปรเจกต์
“1 ใน 6 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท คือ บริษัท ITD-POWERCHINA JV อยู่ในกลุ่มอิตาเลี่ยนไทย และเหมืองแร่โปแตชที่อุดรฯ บริษัทอิตาเลี่ยนไทยก็กำลังยื่นขอประทานบัตรเพื่อประกอบกิจการ โดยมีแผนการใช้น้ำจากโครงการผันน้ำที่หนองหานกุมภวาปี ซึ่งย่อมมีการเอื้อประโยชน์ต่อกันอย่างชัดเจน”
เลขาธิการ กป.อพช. อีสาน ยังได้สะท้อนถึงปัญหาการจัดการน้ำของรัฐ ที่ล้มเหลวในอดีต ดังเช่น โครงการ โขง ชี มูล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้านถูกทำลาย จนนำมาสู่การชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เขามีข้อเสนอว่า รัฐบาลควรมีแนวทางการจัดการน้ำให้สอดคล้อง ตามความเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ
“รัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมที่เป็นธรรมอย่างเท่าเทียมของคนในชุมชนก่อนนำไปสู่การตัดสินใจ ซึ่งในส่วนของเอ็นจีโอ และชาวบ้านได้ปรึกษากันว่าจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” เลขาธิการ กป.อพช. อีสาน กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai