ผู้เขียนใช้คำว่า “ในหมู่ประชาชน” เพื่อแสดงว่าความขัดแย้งและความเข้าใจไม่ตรงกัน ที่เกิดขึ้นในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้คือเป็นเรื่องราวในหมู่ประชาชน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนและปฏิปักษ์ประชาชน การแก้ปัญหาจึงต้องเริ่มจาก
1. สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี
2. การรักษาโรคเพื่อช่วยคน
3. แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างในหมู่แนวร่วม
ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นหลักการของฝ่ายประชาชนในอดีตที่ถูกนำมาใช้เมื่อเกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน คือเริ่มต้นจากสามัคคี วิจารณ์ เพื่อนำไปสู่ความสามัคคี แต่ก็มีฝ่ายประชาชนบางส่วนจะใช้วิธีโจมตีศูนย์การนำเพื่อสถาปนาการนำใหม่ หรือโจมตีเพราะขัดแย้งผลประโยชน์
ดังนั้นเราจะพบเห็นท่วงทำนองทั้งสองแบบในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยในปัจจุบัน
ท่วงทำนองแบบแรกคือ สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี จะเริ่มจากความคิดที่ถือว่านี่เป็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ไม่ใช่ปฏิปักษ์ประชาชน จึงต้องเริ่มด้วยความปรารถนาจะรักษาสัมพันธภาพอันดีและความเข้มแข็งในฝ่ายประชาชนโดยการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ไม่อนุญาตให้กล่าวร้าย บิดเบือนความจริง เพราะมิฉะนั้นจะเกิดความระส่ำระสายในหมู่ประชาชน ไม่เชื่อถือการนำ แกนนำที่ขัดแย้งกันออกสู่สาธารณะ หลักการรักษาโรคเพื่อช่วยคนก็จะใช้เมื่อมีการทำความผิดเช่น ผิดวินัย ผิดหลักการ ก็จะให้โอกาสแก้ไข การใช้สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี แต่ถ้าพยายามเต็มที่แล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็ต้องใช้หลักการ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝ่ายประชาชนอิสระหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นคนละกลุ่มกันโดยรักษาฐานะแนวร่วมทางยุทธศาสตร์ไว้ คือยังเป็นฝ่ายประชาชนด้วยกัน ที่มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ใหญ่ร่วมกัน ดังเช่นถือระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นอุปสรรคขัดขวางการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ ต้องการยกเลิกผลพวงการรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญ 2550 แก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและองค์กรอิสระที่มีที่มาจากคณะรัฐประหาร เช่นนี้ก็ถือเป็นแนวร่วมทางยุทธศาสตร์ใหญ่ร่วมกัน
แต่ท่าทีต่อปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชนอีกแบบคือ “พุ่งเป้าโจมตีศูนย์การนำของประชาชน” เพื่อสถาปนาศูนย์การนำใหม่ อันเนื่องจาก
1. เพื่อเปลี่ยนตัวบุคคล และ/หรือ
2. เปลี่ยนชุดความคิด แนวทาง และหนทางการต่อสู้
สรุปคือต้องการสถาปนาการนำใหม่ด้วยคนกลุ่มใหม่ ชุดความคิดแนวทางใหม่เช่นนี้ก็จะเลือกใช้วิธีการโจมตีการนำ การปฏิบัติการ ออกข่าวโจมตีผู้นำในที่สาธารณะ และใช้การโจมตีรุนแรงในระดับที่ต้องการฉุดกระชากจากฐานะนำ ถ้าเป็นการแสดงออกลักษณะนี้ พูดง่าย ๆ ตามทฤษฎีคือ “การช่วงชิงการนำ” นั่นเอง ซึ่งความถูกผิดจะแจ่มชัดในเวลาหลังจากนั้น เรื่องนี้อาจเกิดภายในองค์กรเดียวกันหรือคนละองค์กรก็ได้เช่นกัน
ดังนั้น ท่าทีท่วงทำนองที่กระทำต่อกันในฝ่ายประชาชนด้วยกันจึงบ่งชี้ถึงรากเหง้าความคิดและจุดมุ่งหมายของผู้กระทำ
และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ท่วงทำนองโจมตี รุนแรง ที่สำคัญถ้าไม่ได้ใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้ใช้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ใช้อารมณ์แทนเหตุผล กลายเป็นทำลาย-วิจารณ์-ทำลาย ก็จะนำไปสู่การแตกแยกและกลายเป็นปฏิปักษ์กันได้ เพราะจะถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจากอีกข้างหนึ่งเช่นกัน
นี่พูดในมิติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่แอบแฝงมากับการโจมตี
อีกอย่างหนึ่ง การโจมตีรุนแรงระหว่างแกนนำต่อแกนนำ องค์กรต่อองค์กร หรือมวลชนต่อมวลชน อันเนื่องมาจากขัดแย้งทางผลประโยชน์ เช่น ปัญหาการเลือกตั้งท้องถิ่น การคัดสรรผู้นำหรือตัวแทนอันก่อให้เกิดการได้เสียผลประโยชน์ อำนาจ บทบาทการต่อรอง นี่ก็ทำให้เกิดการแตกแยกระส่ำระสายได้เช่นกันในองค์กรจัดตั้งทุกระดับ
ทางแก้ไขจึงต้องปรับความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และใช้วิธีการถูกต้องในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชนตั้งแต่เนิ่น ๆ ถ้าเป็นคนละกลุ่มก็จำเป็นต้องแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ไม่จำเป็นต้องไปทำลายด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ถ้าจำเป็นต้องแสดงความเห็นก็ยังต้องใช้ สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี นั่นเอง
แต่เท่าที่สังเกตความขัดแย้งในหมู่ประชาชนด้วยกันมีทั้งความขัดแย้งโจมตีภายในองค์กรเดียวกัน และความขัดแย้งของคนต่างองค์กรโจมตีองค์กรอื่นที่มิใช่องค์กรของตนเอง
มองในแง่ดีก็แสดงว่าที่โจมตีกันเพราะถือว่าอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่บทบาทการนำของประชาชนอยู่ในฐานะที่มีเอกภาพและค่อนข้างมีพลังสูงในหมู่ประชาชน จึงต้องการให้มีลักษณะอนาธิปไตยเพื่อลดทอนภาวะการนำที่มีเอกภาพสูง และให้มีการวิพากษ์ตามทัศนะของตน ของกลุ่ม และขององค์กรตน เพื่อเล็งเห็นผลการปฏิบัติ ทำลายความน่าเชื่อถือผู้นำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภาวะการนำให้มีภาวะการนำหลายกลุ่ม
เนื่องจากฝ่ายประชาชนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนี้มีจำนวนประชาชนนับสิบล้านคน มีความแตกต่างหลากหลายทางชนชั้น ทางผลประโยชน์ วิธีคิด วิธีทำงาน องค์ความรู้ และข้อมูล มิได้เป็นเอกภาพ แม้จะมีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเพื่อความยุติธรรมเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดการปฏิบัติและเป้าหมายเฉพาะหน้าแตกต่างกันมาก การรวมกลุ่มผลประโยชน์ เช่น สถานีวิทยุชุมชน กลุ่มเลือกตั้งทั่วไป เลือกตั้งท้องถิ่น หรือกลุ่มแสวงหาฐานมวลชนเพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง แสวงหาผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่การขายเฟรนไชส์หรือทำการหาสมาชิกเพื่อขายตรง หรือทำในรูปสหกรณ์เป็นเครือข่ายร้านค้าก็มีทุกรูปแบบ แม้แต่กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน และแดงอิสระ ชนชั้นกลาง เหลานี้จัดเป็นกลุ่มย่อย ๆ ในฟากฝ่ายประชาชนทั้งสิ้น โดยมีการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน เรียกตัวเองว่าเป็นเสื้อแดงและถือว่าเป็นแดงอิสระ แต่จัดเป็นแนวร่วมทางยุทธศาสตร์ใหญ่ คือต่อสู้ระบอบอำมาตย์เหมือนกัน และต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเหมือนกัน แม้จะมีรายละเอียดต่างกัน และจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายเฉพาะหน้าต่างกัน เช่น บางส่วนเอากรณี 112 ก่อน ขณะที่ นปช.เป้าหมายยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าคือรัฐธรรมนูญ 2550 และล่าสุดเป้าหมายเฉพาะหน้าของนปช.ที่เป็นข้อเรียกร้องตั้งแต่ปลายปี 2555 คือ
1.ให้รัฐสภาโหวดผ่านวาระ 3 เพื่อลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติเพื่อเป็นข้อยุติ อันจะนำความหายนะของการต่อสู้ของประชาชน
2.ให้รัฐบาลประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีการปราบปรามประชาชนในวันที่ 10 เมษายน – พฤษภาคม 2553 เพื่อเป็นช่องทางอีกช่องทางสำคัญในการทำความจริงให้ปรากฏโดยฝ่ายอัยการของ ICC สามารถเข้ามาหาข้อมูลเพื่อนำไปฟ้องร้องในกรณีที่กระบวนการยุติธรรมของไทยไม่เป็นไปตาม นิติรัฐ นิติธรรม ซึ่งจะเป็นผลดีในการเอาคนผิดร่วมกันกระทำการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน จะได้รับการลงโทษเพื่อทำให้การฆ่าประชาชนกลางถนนแบบในอดีตจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกต่อไป และคนผิดต้องถูกลงโทษ มิใช่นิรโทษกรรมฝ่ายรัฐประหารและเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายเดียวหรือทั้งสองฝ่าย แบบไม่มีความจริงปรากฏในสังคม
3.การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับประชาชนในคดีอาญาทั้งหลาย อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองทุกสีเสื้อ ยกเว้นแกนนำผู้มีอำนาจในการสั่งการเคลื่อนไหวทุกสีเสื้อ นปช.นั้นเสนอเป็นพระราชกำหนด โดยใช้อำนาจบริหารในเบื้องแรกเพื่อความรวดเร็วในการนำประเทศออกจากวิกฤติ จากนั้นจึงเข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติ ที่นำเสนอวิธีนี้หลังจากได้เคยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ฉบับประชาชนที่ประชาชนร่วม 2 แสนคนลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และผ่านการตรวจสอบโดยรับรองชื่อประชาชนกว่าเจ็ดหมื่นคน เป็นร่างประชาชนร่างเดียวที่ผ่านมาตรฐานการตรวจสอบ บัดนี้ก็ยังค้างเติ่งอยู่ในรัฐสภา สำหรับร่างที่สองคือพระราชบัญญัติปรองดองฉบับแกนนำเสื้อแดงที่เสนอประกบกับร่างพระราชบัญญัติปรองดองของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็มีเนื้อหาให้นิรโทษกรรม ยกเว้นผู้ถูกข้อหาก่อการร้าย (ทุกสีเสื้อ) และผู้ทำการประทุษร้ายผู้อื่นถึงชีวิตก็คล้ายกัน คือยกเว้นแกนนำที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายและยกเว้นผู้ทำการเข่นฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เฉพาะหน้าการขอให้รัฐบาลออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมจึงเป็นเรื่องด่วน เพื่อหาทางออกของประเทศในภาวะวิกฤต เพราะทางอื่น ๆ ถูกขัดขวางจากฝ่ายเครือข่ายระบอบอำมาตย์จนค้างเติ่งแขวนไว้ที่รัฐสภาทั้งสิ้น ไม่กล้าเดินหน้าต่อไป
ข้อเรียกร้อง 3 ประการนี้ นปช.ประกาศมาหลายเดือนแล้ว ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการและในที่ชุมนุมใหญ่ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ที่เรียกกันว่า “ปฏิญญาเขาใหญ่” ดังมีคำแถลงเป็นทางการทั้งด้วยวาจาต่อหน้าผู้ชุมนุมนับแสนคนและเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อวันที่ 14 มกราคม นปช.ก็ออกแถลงการณ์และเสนอร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมประชาชนยกเว้นแกนนำทุกสีเสื้อ ณ. เรือนจำหลักสี่
นี่จึงมิใช่เป็นดังคำพูดที่นักวิชาการบางท่านโจมตีว่า นปช.มิได้ทำอะไร แต่มาเขียนพรก.เสนอตัดหน้ากลุ่ม 29 มกรา หรือนักวิชาการบางท่านไปพูดในรายการ Wake Up Thailand ที่ Voice TV ว่า นปช.รอให้การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเสร็จก่อน นี่จึงเป็นเรื่องจงใจบิดเบือนความจริง
ยังมีปัญหารูปธรรมที่กลุ่มต่าง ๆ บางท่านตั้งข้อสงสัยเชิงกล่าวร้ายต่อ นปช.เช่น ปัญหาประกันตัวทำไมแกนนำได้ประกันตัวและยังเหลือมวลชนอยู่ในห้องขัง (ประมาณ 20 คน) ปัญหากล่าวหาว่าแกนนำนปช.กระทำการกีดกันขัดขวางแกนนำของกลุ่มอื่น ๆ ไม่ให้นำมวลชนและขัดขวางในวันที่ 29 มกราคม หรือทำไมแกนนำนปช.ไม่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล, ศาล ฯลฯ เหล่านี้จะได้ชี้แจงเพื่อความเข้าใจต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ในเชิงความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อทำลายบดขยี้กลุ่มใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป้าหมายสำคัญยิ่งคือชัยชนะของฝ่ายประชาชนที่ยั่งยืน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai