Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

นักกิจกรรมสังคมในสื่อใหม่ กับ สายลับในโลกข้อมูลข่าวสาร

$
0
0

 

การสื่อสารเป็นการต่อสู้ทางความคิดที่สามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ประหยัดเลือดเนื้อได้กว่าการใช้กำลังเข้าประหัตประหารกัน และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มั่นคงกว่าเนื่องจากเข้าไปอยู่ในความคิดหรืออาจฝังลงสู่จิตใต้สำนึกในลักษณะของความนิยมชมชอบหรืออารมณ์ร่วมอย่างรุนแรงต่อเรื่องนั้นๆ   

สื่อใหม่เป็นช่องทางในการทำกิจกรรมทางสังคมในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต และสัญญาณโทรคมนาคม กลายเป็นเครื่องมือและสนามหลักในการทำกิจกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งข้อมูลในการศึกษามนุษย์ ดังสุภาษิตที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” อย่างมิต้องสงสัย   และอาจจะดียิ่งขึ้นเมื่อใช้กับคนไทยๆ

อย่างไรก็ดีการใช้สื่อใหม่ก็มีข้อดีที่ประหยัดต้นทุนในการลงมือลงแรง ผู้ใช้สามารถแสดงความเห็นหรือส่งผ่านข้อมูลกิจกรรมต่างๆได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายจิปาถะ   การสื่อสารและเผยแพร่ความคิดและความรู้สึกสำนึกร่วมเกิดขึ้นรวดเร็วและสามารถส่งผ่าน ผลิตซ้ำได้ในเวลาไม่นาน    ความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุต่างๆน้อยลง   และด้วยความสามารถในการถ่ายทอดเหตุการณ์แบบทันทีทันใดได้ตลอดเวลาก็ลดความยุ่งยากให้กับชีวิตประจำวันของแต่ละคนที่มีภาระและเงื่อนไขไม่เหมือนกันได้   นักกิจกรรมไม่มีอัตลักษณ์ตายตัวสามารถเคลื่อนย้าย เปลี่ยนหน้ากากไปในหลายกิจกรรม ต่างความจำเป็นและคิดค้นรูปแบบให้เหมาะกับวาระและเป้าหมายเฉพาะเจาะจงได้

อย่างไรก็ดีสื่อใหม่ก็เรียกร้องให้นักกิจกรรมต้องใช้เวลา ความคิด และความรู้สึกร่วมไปกับประเด็นที่ตนจุดประเด็นขึ้นตลอดเวลาและต้องเกาะติดสถานการณ์เพื่อให้เกิดการถกเถียง หรือแสดงออกซึ่ง “ถูกที่ถูกเวลา” เป็นอย่างมาก   ทั้งนี้นักกิจกรรมอาจต้องมีความเข้าใจต่อระบบการสื่อสารของสื่อใหม่ที่ถูกออกแบบให้กักเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไว้ในที่ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมผู้ใช้ การลบทุกอย่างออกจากเครื่องหรือบัญชีการใช้ ไม่ได้ทำให้ข้อมูลหายไป กลับกันได้ทำให้สำเนาของเราหายไป แต่ข้อมูลไปอยู่กับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหรือแม้กระทั่งรัฐอยู่แล้ว   การทำกิจกรรมในสื่อใหม่ที่มีลักษณะแบบสื่อผสมต้องการความสามารถทางคอมพิวเตอร์เพื่อออกแบบให้เหมาะกับลักษณะงานต่างๆ แม้ปัจจุบัน เฟซบุ๊ก ได้ทำให้ง่ายขึ้น แต่เมื่อใดที่ต้องการป้อมปราการของตนก็ต้องสร้างเว็บไซต์ของตน   กิจกรรมดังกล่าวต้องใช้งบประมาณทั้งในลักษณะการสร้าง การควบคุมให้กิจกรรมเดินไป และการแก้ไขปัญหาต่างๆ   และสิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสามารถเชิงศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ที่ดึงความสนใจให้ประชาชนทั่วไปหันมาสนใจและรับรู้ได้ง่ายและซาบซึ้งตรึงใจ

ผลสำเร็จของกิจกรรมทางสังคมโดยใช้สื่อใหม่ อาจวัดได้จากความสัมพันธ์และผลสะเทือนระหว่างโลก ออนไลน์ กับ ออฟไลน์   ดังเช่น การใช้สื่อเรียกคนในโลกออนไลน์มาทำกิจกรรมในโลกจริง หรือกิจกรรมในโลกจริงถูกนำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ แล้วอาจเกิดปรากฏการณ์เผยแพร่ความคิด ถกเถียง และสร้างกิจกรรมต่อเนื่อง ต่อยอดออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ จนบางครั้งหาที่มาและต้นตอไม่เจอ   แต่จริงๆแล้วสามารถสืบย้อนได้ซึ่งเป็นประโยชน์ในเชิงการศึกษาประวัติศาสตร์การต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อถอดบทเรียน หาแนวทางในการทำงานอื่นๆ ที่มีหน้างานต่างกันไป

 

ด้วยคุณประโยชน์และเงื่อนไขทั้งหลายทำให้เกิดความพยายามในการเข้ามาจัดการกับสื่อใหม่และข้อมูลที่ไหลเวียนอยู่ในรูปแบบต่างๆ อาทิ

1)    การใช้เทคโนโลยี โดยอาศัยคนเขียนโปรแกรมกำหนดว่าจะปิดกั้น ติดตาม หรือเก็บข้อมูลใดบ้าง   โดย

2)    ทุนนิยมและการภาคเอกชนมีบทบาทหลัก โดยตลาดเป็นตัวชี้ว่าบรรษัทจะปฏิบัติตัวอย่างไรตามความนิยมและการตอบสนองของลูกค้าผู้ใช้บริการ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของเฟซบุค  

3)    รัฐเข้าควบคุมกิจกรรมทั้งหลายโดยเฉพาะในช่วงที่ประกาศภาวะฉุกเฉินที่อำนาจในการกำกับเกิดจากกฎหมายและการประกาศใช้ของรัฐบาลนั้นๆ   

4)    รัฐกำกับโดยให้ชุมชนออนไลน์ทำตามกรอบ เช่น การให้นโยบายและขอความร่วมมือไปยังผู้ดูแลเว็บข่าว บอร์ด

5)    ปล่อยให้ชุมชนออนไลน์ปกครองกันเอง มีกติกาของตนเอง และบังคับกติกาด้วยการแบน ลบ หรือปิดกั้น

 

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความร่วมมือระหว่างรัฐกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและโทรคมนาคมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อสิทธิของประชาชนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะนักกิจกรรม              ในหลายกรณีพบว่า กูเกิ้ล(บริการทั้งหลายมิใช่เพียงเสิร์ชเอนจิ้น)   สื่อเครือข่ายทางสังคม เช่น เฟซบุค หรือเว็บไซต์ชื่อดังจำนวนมาก ได้ทำการเก็บสะสมข้อมูล   แบ่งปันข้อมูล   และขุดค้นฐานข้อมูล   ร่วมกับหน่วยงานรัฐ   กลายเป็นฐานข้อมูลของบุคคลจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอันแสนแยบคายในสร้างฐานข้อมูลของประชาชน ที่ไม่ต้องพึ่งการเซ็นเซอร์ความเห็นอันสุดแสนล้าหลังและสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรรัฐและเอกชน   ไม่ว่าจะเป็น

-          การยั่วยวนหรือเปิดสวรรค์ของผู้นิยมข้อมูลแบบสุดขั้วแล้วใช้โปรแกรมตามบุคคลที่เข้ามาใช้ต่อไปจนถึงตัวบุคคลนั้น ดังกรณีเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน

-          การทำให้ชนชั้นกลางเพลิดเพลินกับสื่อบันเทิงทั้งหลายซึ่งส่งต่อได้ง่าย เช่น ได้เวลาทีวี ผลิต เผยแพร่ซ้ำในเน็ต

-          การทำให้ชนชั้นกลางอิ่มเอมไปกับเรื่องเล่าของยายไฮและโรงงานปลากระป๋อง จนไม่อยากจะลุกมาสู้อะไรต่อ

-          สร้างสื่อดราม่าด้วยงบประมาณรัฐ ที่มุ่งปลุกระดมความรักชาติ ซึ่งหน่วยงานรัฐ กับ กอ.รมน. ให้การสนับสนุน

-          การทำมาหากินขององค์กรต่างๆเพื่อปลุกเร้าและแสดงออกถึงความนิยมเจ้าและรักชาติอย่างออกนอกหน้า (Commercializing Ultra-royalism) ผ่านมิวสิควีดีโอ สารคดี และการโฆษณาเสริมภาพลักษณ์   จนทำให้การแสดงความคิดเห็นวิจารณ์องค์กรเหล่านั้นโดนกดทับไปด้วยภาพลักษณ์ที่จงรักภักดีและน้อมนำฯ

-          รัฐจัดให้มีบริการที่ฟรีเพื่อทำให้ประชากรเข้าใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ประชาชนเข้ามาสร้างฐานข้อมูลเองมากขึ้น

-          ฐานข้อมูลกลายเป็นสินค้าของบรรษัทเพราะสามารถนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์เพื่ออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดได้ และสามารถตกลงกับรัฐเพื่อแบ่งปันจัดเป็นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของรัฐและรายชื่อเฝ้าระวังของฝ่ายความมั่นคง

-          การชะลอโครงการเพิ่มความเร็วสัญญาณโทรคมนาคม และสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ เพื่อชะลอการอัพโหลดและสร้างข้อมูลที่หลากหลายจากการผลิตสื่อของผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และแย่งช่องทาง

-          การขยายความรับผิดของบรรณาธิการหนังสือต่อการกระทำของนักเขียนคนอื่น   เท่ากับ   สร้างบรรทัดฐานในการรับผิดของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และผู้ควบคุมเว็บไซต์ จนทำให้ระวังมากและบีบช่องทางกิจกรรมแคบลง

 

โทษทางอาญาของหมวดว่าด้วยความมั่นคงแห่งรัฐ ควรปรับใช้กับการกระทำที่รุนแรง และมีกระบวนการพิสูจน์ที่แน่นหนา และหลักฐานที่หนักแน่น   และผลกระทบมีลักษณะนามธรรม และกระทบรัฐในภาพใหญ่ ถ้าจะเป็นความผิดควรพิสูจน์ว่ากระทบต่อการรับรู้ของสาธารณะในลักษณะสร้างความตื่นตระหนกได้ หากทำในพื้นที่ส่วนตัว หรือวงแคบ ไม่ควรเป็นความผิด เพราะฉะนั้น เรื่องไม่จริงจังในพื้นที่ก้ำกึ่งว่าจะเป็นส่วนตัวหรือส่วนสาธารณะ ควรยกประโยชน์ให้ผู้กล่าวหา

ต่างจากการกระทำอาญาเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นในลักษณะปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง Hate Speech มีลักษณะสร้างความเกลียดหรือเจตนาให้เกิดขึ้นทันที และมีผลในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรมและแพร่หลาย และโทษไม่ได้หนักเมื่อเทียบกับความผิดต่อความมั่นคง   ควรแล้วหรือไม่ที่จะนำหลักความรับผิดอย่างเด็ดขาด Strict Liability มาใช้โดยไม่ต้องสร้างภาระในการนำสืบและพิสูจน์เจตนา เพื่อทำให้เกิดการควบคุมตนเองของผู้พยายามเผยแพร่ความเกลียดชังในสังคมให้มากขึ้น

นักกิจกรรมและผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหลายก็เสมือนคนที่ติดอยู่ในกล้องโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวแล้ววิ่งหลบออกไปจากกล้องก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะได้ถูกบันทึกข้อมูล และเผยแพร่ต่อไปไม่รู้จบ   ดังนั้นการต่อสู้ในสื่อใหม่ที่มีการกักเก็บข้อมูลมหาศาลและสามารถนำผลิตและใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่รู้จบ   จึงต้องสู้เพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ได้เจตนาหรือเรื่องผ่อนคลาย หรือระบายความอึดอัดต่อรัฐและโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมของสังคม แต่ไม่ได้เหยียดหยามเกลียดชังใครหรือกลุ่มใดเป็นการเจาะจง   กลายเป็นเรื่องจริงจังและต้องรับผิดชอบทางกฎหมายไปเสียหมด   มากกว่าการต่อสู้ว่าไม่ควรกักเก็บข้อมูล   เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหลายออกแบบมาโดยกองทัพสหรัฐอเมริกาเพื่อจัดเก็บและรื้อฟื้นข้อมูลได้แม้โลกจะถูกถล่มราบไปด้วยสงครามนิวเคลียร์แล้วก็ตาม

บทความนี้มิได้ให้ข้อมูลเพื่อสร้างความกลัวเพราะโดยสภาพนักกิจกรรมก็ไม่มีความกลัวในการกระทำที่แสดงออกมาอยู่แล้ว แต่ให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรู้ว่าสื่อใหม่เป็นเทคโนโลยีที่เก็บสะสมข้อมูลอยู่ และได้สะสมมานานแล้ว หากเราจะสะดุดและหยุดการเคลื่อนไหวไปก็เท่านั้น    แนวทางการเคลื่อนไหว น่าจะเป็นการสู้ต่อให้ข้อมูลเหล่านั้นไม่อาจนำมาปรักปรำให้ต้องรับผิดตามกฎหมายเสียมากกว่า   และสู้เพื่อให้เราเข้าถึงข้อมูล เพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ ใคร/หน่วยงาน/องค์กรใดเก็บไว้   เก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์อะไรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่   นานเท่าไหร่   และเราต้องได้รับแจ้งเมื่อใครเอาไปใช้เพื่อให้เราชี้แจงแก้ไขข้อมูลได้

 

 

 


Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>